พระโสดาบันจะไม่ทำผิดศีล 5
"...เจตนาฆ่าสัตว์ของพระโสดาบันไม่มี เพราะเป็นพระโสดาเสียแล้ว ไม่มีเจตนาฆ่าสัตว์ หมดจากเจตนาฆ่าสัตว์ ตั้งต้นแต่ปาณาติบาต ผิดศีล 5 ไม่มีแก่พระโสดา มันอยู่ในศีลทีเดียว มั่นคงทีเดียว เจตนานอกจากศีลไม่มี
เหตุนี้ที่จะปรับกันจริงๆ ต้องแล้วแต่เจตนา พระองค์ทรงรับสั่งว่า เจตนาหํ ภิกฺขเว สีลํ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เจตนานั่นแหละเป็นศีล ศีล 5 ก็แล้วด้วยเจตนา เจตนาเป็นตัวสำคัญ เจตนาเป็นศีล เพราะพระโสดาบันท่านมีเจตนาเป็นศีลเช่นนั้น จะปรับพระโสดาบันบุคคลว่าเป็นผู้สมคบกับสามีให้ฆ่าสัตว์นั้น หาสมควรไม่ จึงได้วางเป็นตำรับตำราเนตติแบบแผนไว้
ก็ที่พระโสดาบันยังทำกรรมเป็นบาปด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ทำอย่างไร จึงจะเรียกว่า ทำบาป ท่านเพลี่ยงพล้ำไป ไม่ได้มีเจตนา แต่เพลี่ยงพล้ำไป เมื่อเพลี่ยงพล้ำลงไปอย่างหนึ่งอย่างใด ถึงกับเป็นอันตรายต่อศีลบ้าง หรือเกือบจะเป็นบ้าง ท่านก็แก้ไขเสีย ท่านไม่นิ่งเฉยอยู่ ชั่วร้ายด้วยกายด้วยวาจาอย่างใดอย่างหนึ่งของท่าน ท่านก็แสดงต่อเพื่อนพรหมจารี เหมือนภิกษุสามเณรแสดงอาบัติ เมื่อต้องอาบัติแล้วก็แสดงอาบัติต่อเพื่อนพรหมจารีว่าจะไม่ทำต่อไป สัญญากันเสียเช่นนั้น พระโสดาบันท่านก็สัญญาเช่นนั้นแน่นอนทีเดียว ไม่ยักเยื้อง แปรผัน
เหมือนพวกเราในบัดนี้รู้ว่าศีลไม่บริสุทธิ์ ก็รับสมาทานทีเดียวแก้ไขอีกเสีย นี่ปุถุชน แต่ว่าคล้ายพระโสดาบันบุคคลเหมือนกัน ไม่เป็นคนใจกล้าหน้าด้าน คอยระแวดระวังอยู่อย่างนี้ เพลี่ยงพล้ำแล้วก็แสดงเสีย แก้ไขตัวเสียให้สะอาด เมื่อแก้ไขสะอาดเสียเช่นนี้ ก็คล้ายพระโสดาบันบุคคล พุทธศาสนานิยมอย่างนี้
เหตุนั้น ที่พระโสดาบันบุคคลท่านไม่ปกปิดบาปกรรมอันนั้น เพราะท่านเห็นทางไปนิพพาน ทางพระนิพพานท่านเห็นเสียแล้ว ท่านจึงไม่ปกปิดบาปกรรมอันนั้นไว้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับสั่งไว้อย่างนี้..."
คัดลอกบางส่วนจาก
พระธรรมเทศนา เรื่อง รัตนสูตร: สังฆรัตนะ
เทศน์เมื่อ ๑๐ พฤษาคม พ.ศ. ๒๔๙๗
โดย #พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
#หลวงพ่อวัดปากน้ำ
สติปัฏฐานสี่ตามแนววิชชาธรรมกาย
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 21 สิงหาคม 2014.
หน้า 122 ของ 136
-
นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด
-
นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด
ครั้งหนึ่ง หลวงพ่อ (วีระ) พูดถึงภัยพิบัติต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ท่านว่าให้ระวัง เราจะได้รับผลกระทบบ้างเท่านั้น ไม่หนักหนาเหมือนคนอื่นเขาหรอก เราพออยู่ได้ มีบาดเจ็บบ้างล่ะ ถ้ามันเป็นกรรมก็หนีไม่รอด
ประเทศเรานี้ล่ะ จะเป็นแหล่งอาหารเลี้ยงโลกนี้ทั้งใบ เขาจะได้รู้จักสุวรรณภูมิ แผ่นดินที่มีค่าเหมือนกับปูด้วยทองคำ เป็นอู่ข้าวอู่น้ำ ที่มีพระมหากษัตริย์ มีพระพุทธศาสนา และเขาจะต้องคอยรักษาเรากันทั้งโลก ไม่อย่างนั้นจะอดตายกันทั้งโลกล่ะ หลวงพ่อ (วีระ) พูดให้ฟังเมื่อช่วงปีพุทธศักราช 2530
ที่มา :
พระราชพรหมเถร (วีระ คณุตฺตโม)
ผู้สืบทอดวิชชาธรรมกายโดยตรงครบทั้งหลักปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ จากพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) หลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญ
ท่านเป็นพระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระของวัดปากน้ำ และเป็นครูสอนวิชชาธรรมกายให้แก่พระเทพญาณมงคล (เสริมชัย ชยมงฺคโล) ปฐมเจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม จ.ราชบุรี
http://dhammakaya.tv/ครั้งหนึ่ง-หลวงพ่อพูดถึ/
****************
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ท่านเคยกล่าวถึงหลวงพ่อวีระไว้ในพระธรรมเทศนาเรื่อง "รัตนะ" อันเป็นเป็นกัณฑ์เทศน์ที่พูดเกี่ยวกับพระเดชพระคุณพระราชพรหมเถร (วีระ คณุตฺตโม) ซึ่งเป็นพระภิกษุลูกครึ่งญี่ปุ่นบวชใหม่ในวันนั้น (23 พฤษภาคม 2497) มีใจความโดยย่อว่าดังนี้...
เวลานี้มีธรรมกายในตัวนะ มีพวกญาติของพระบวชใหม่ และพระบวชใหม่นี้เป็นคนรู้แล้วเรียนแล้ว สอนได้ขนาดนี้ มีฤทธิ์มีเดชอย่างนี้ องค์นี้แหละ เขา (พระพุทธเจ้าต้นธาตุหรือพระพุทธเจ้าองค์ต้นๆ) สั่งลงมาให้เป็นครูพวกญี่ปุ่น จะสั่งสอนญี่ปุ่นให้ได้มากทั่วทั้งประเทศนั่นแน่ะ
องค์นี้แหละ ญี่ปุ่นจะต้องเคารพยำเกรงหมดทีเดียว สอนศักดิ์สิทธิ์สอนเก่ง สอนพวกเร็ว คล่องแคล้วเข้าใจสอน พอเป็นธรรมะเท่านั้นก็เข้าใจแจก เพราะเป็นตัวประกาศ เขาส่งเขาสั่งให้มาเป็นมนุษย์ มาประกาศพระพุทธศาสนา ไม่ใช่มาทำเรื่องอื่น มาประกาศพระพุทธศาสนา ญี่ปุ่นชอบเข้าแล้ว ญี่ปุ่นรู้เรื่องธรรมกายเรื่องพระพุทธเจ้าเข้าแล้ว
สังเกตดูพระบวชใหม่แกไม่กระทบกระเทือนแก่ใครๆ แกหลีกของแกตามเรื่องของแกทีเดียว เพราะเหตุอะไร แกเป็นผู้ใหญ่เข้าแล้ว มีธรรมของผู้ใหญ่เข้าแล้ว มีกระแสพระพุทธเจ้าเข้าแล้ว เป็นพระพุทธเจ้าเข้าแล้ว มีได้ยากอย่างนี้ ของได้ยาก ไม่ใช่ได้ง่าย คนที่รู้จักบุญเห็นบุญเช่นนี้ บุญก็ไหลมาเหลือประมาณนับประมาณไม่ได้ เจ้าของเขาก็เห็นเป็นดวงใหญ่โตมโหฬารนับประมาณไม่ได้ บุญที่ส่งมาคราวนี้แหละจะได้เป็นกำลังของพระบวชใหม่ ให้ประกาศศาสนาในประเทศญี่ปุ่น ให้ญี่ปุ่นเขาเคารพนบนอบหมดทั้งประเทศ มันสำคัญอย่างนี้ ส่งบุญมาวันนี้ ต้นธาตุส่งบุญมาให้มโหฬารทีเดียว นับประมาณไม่ไหว
ในธาตุในธรรมน่ะร่ำลือกันนักว่าเขามีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ ได้บุญยิ่งใหญ่ไพศาล ที่จะไปทรมานพวกประเทศญี่ปุ่น ไปพลิกประเทศญี่ปุ่นให้เป็นสัมมาทิฏฐิ ให้เป็นพุทธศาสนิกชนทั่วไปน่ะ ต้นธาตุท่านหลั่งสมบัติมาให้แล้ว ผู้นี้เป็นตัวประกาศศาสนา ไม่ช้าหรอกจะได้รู้เรื่องกัน ในประเทศญี่ปุ่นกับไทย ผู้ที่จะเป็นที่พึ่งของเขาได้มาเกิดปรากฏขึ้นแล้ว เป็นภิกษุบวชใหม่นี่แล้ว ต่อไปไม่ช้าก็จะได้ไปสั่งสอนเป็นลำดับไป
- คลิป Youtube วัดปากน้ำเป็นที่รู้จักของคนญี่ปุ่น
https://youtu.be/XAw2xqapfY8
- คลิป Youtube คนญี่ปุ่นมาเที่ยววัดปากน้ำ
https://youtu.be/UE0YomoD5aw
- คลิป Youtube วัดปากน้ำญี่ปุ่นที่หลวงพ่อวีระกับสมเด็จช่วงท่านได้สร้างเอาไว้
https://youtu.be/2bCzEs9wmC8
- กระทู้ Pantip ชาวญี่ปุ่นมาไทยแล้วต้องมาวัดนี้ >>> วัดปากน้ำ (ภาษีเจริญ) กรุงเทพมหานคร
https://pantip.com/topic/37532185?
****************
เมื่อภิกษุญี่ปุ่นบรรลุธรรม
ท่านเจ้าคุณพระราชพรหมเถร (วีระ คณุตฺตโม) ครั้งยังเป็นพระวีระ ท่านได้เขียนเล่าเรื่องเมื่อภิกษุญี่ปุ่นบรรลุธรรมไว้ว่า...
เมื่อคณะสมณทูตญี่ปุ่นซึ่งมาเยี่ยมสำนักวัดปากน้ำ หลังจากได้เดินทางกลับจากประชุมพุทธศาสนิกสัมพันธ์ ณ ประเทศอินเดียกับดูการสังคายนา ณ ประเทศพม่า สมณฑูตคณะนี้มีท่านสังฆราชตาคาชินาเป็นประธาน
หลังจากการเยี่ยมคำนับท่านเจ้าคุณพ่อเมื่อ 16 มิถุนายน 2497 เวลา 18.00 น. ข้าพเจ้าได้รับการเชื้อเชิญจากภิกษุญี่ปุ่นรูปหนึ่งซึ่งเป็นผู้สนใจในวิชาสมถวิปัสสนาตามแบบของสำนักเรานี้ ขอให้ไปพบกับท่าน เพื่อสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้กันที่โรงแรมชิโตเซะ ถนนนเรศ
ข้าพเจ้าได้รับเชิญให้เข้าพบท่านสังฆราชกับคณะ เรื่องโดยมากที่สนทนากันมีสารสำคัญเกี่ยวกับวิชาเจริญสมถวิปัสสนา ในระหว่างการสนทนานั้น ท่านเลขานุการของพระสังฆราชเป็นผู้มีความสนใจเป็นพิเศษถึงกับหาสมุดมาจดบันทึกข้อความ ท่านผู้นี้ได้ถามถึงจุดที่ตั้งของจิตขณะเจริญสมาธิตามแบบของวัดปากน้ำ
เป็นที่สนใจแก่สังฆราชญี่ปุ่น ถึงกับกล่าวว่าวิธีของวัดปากน้ำนี้ดีมาก และจะได้ใช้แบบของวัดเรานี้ในกาลต่อไป กับได้ชี้แจงให้คณะของเราทราบว่า วิธีของนิกายโซโตนั้น ได้กำหนดที่ตั้งของจิตที่บริเวณหน้าผากหรือดั้งจมูก ซึ่งต่างกว่าแบบของวัดเรา
ต่อจากนั้นคณะสมณทูตได้ขอให้ข้าพเจ้าอธิบายถึงวิธีดำเนินการปฏิบัติการเจริญสมถวิปัสสนา ซึ่งข้าพเจ้าได้ชี้แจงให้พอเป็นสังเขป ตามแบบของท่านเจ้าคุณพ่อ
ในระหว่างการสนทนาโต้ตอบ ท่านเลขานุการของพระสังฆราชได้แสดงความจำนงใคร่จะทราบว่า บิดาของท่านซึ่งได้ถึงแก่กรรมไปนานแล้ว บัดนี้อยู่ ณ ที่ใด ดังนั้นข้าพเจ้าจึงชักชวนให้คณะสมณทูตทั้งหมดทดลองทำการเจริญสมถวิปัสสนาตามแบบของวัดเราดูบ้าง
คณะสมณทูตมีความยินดีจะปฏิบัติตามคำเชื้อเชิญ จึงพากันเข้าไปสู่ห้องสงัดห้องหนึ่ง แล้วเริ่มเจริญสมถวิปัสสนาธรรมกันทันที
ข้าพเจ้าได้กำหนดให้เขาปฏิบัติโดยนั่งขัดสมาธิแล้วหลับตาเจริญสมถวิปัสสนาธรรม กับได้ชี้แจงวิธีการแก่คณะสมณทูตโดยลำดับไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านเลขานุการพระสังฆราช ซึ่งต้องการทราบว่าบิดาของท่านล่วงลับไปแล้วอยู่ ณ ที่ใดนั้น ข้าพเจ้าได้แจ้งวิธีสอบสวนหาที่อยู่ของท่านให้ทราบโดยละเอียดเป็นพิเศษ
การนั่งภาวนาเจริญสมถวิปัสสนาธรรมได้ดำเนินไปจนถึงขั้นสุดท้าย ท่านเลขานุการพระสังฆราชกลับลืมตาขึ้น เบ้าตาทั้งสองของท่านเต็มเปี่ยมไปด้วยน้ำตา พร้อมกับได้พึมพำด้วยความตื้นตันใจว่า
“ตั้งแต่ข้าพเจ้าเกิดมาจนถึงบัดนี้ ไม่เคยได้พบความสุขใดยิ่งไปกว่าที่ได้เข้าถึงพระนิพพานท่ามกลางพุทธสาวก ดังที่ได้ประสบมาเมื่อสักครู่นี้เลย”
ที่มา :
หนังสือธรรมสู่สันติ รายการวิทยุครั้งที่ 1-10 จัดพิมพ์โดยคณะกรรมการบริหารโครงการธรรมปฏิบัติเพื่อประชาชน วัดปากน้ำภาษีเจริญ พุทธศักราช 2521
****************
พระพุทธเจ้าต้นธาตุกับกลางธาตุ
พระพุทธเจ้าต้นธาตุและพระพุทธเจ้ากลางธาตุเมื่อถอยพืชกำเนิดธาตุธรรมเดิมลงมาเพื่อที่จะช่วยเหลือสัตว์โลกนั้น ก็จะต้องมาเกิดมาอยู่ร่วมกับสัตว์โลก จึงต้องถูกภาคมารเขาสอดละเอียดอวิชชาของเขา เอิบ อาบ ซึม ซาบ ปน เป็น เข้ามาปรุงแต่งธาตุธรรมเห็นจำคิดรู้ให้เกิดใหม่เป็นสัตว์โลกตามสายปฏิจจสมุปบาทธรรม ด้วยเหตุนี้ จึงต้องมีการบำเพ็ญบารมีกันอีก
ระดับพระพุทธเจ้าต้นธาตุกายมนุษย์นั้นมีองค์เดียวที่ถอยพืชลงมา คือ หลวงพ่อสดวัดปากน้ำ
แต่พระพุทธเจ้ากลางธาตุถอยพืชลงมากันหลายองค์ โดยระดับผู้ปกครองธาตุธรรมก็ถอยพืชลงมาเช่นกัน
พระพุทธเจ้ากลางธาตุบางองค์ยังเป็นกลางธาตุกายมนุษย์ (คือยังมีชีวิตเป็นมนุษย์) ซึ่งกำลังสร้างบารมี (กำลังสั่งสมประสบการณ์) และกลางธาตุบางองค์ก็ล่วงลับไปแล้ว
พระพุทธเจ้าต้นธาตุเป็นผู้ปกครองรวมใหญ่ทั้งหมด โดยปกครองทั้งจักรวาลถึงพระนิพพานที่สุดละเอียด ซึ่งหลวงพ่อสดท่านเป็นต้นธาตุองค์หนึ่งในจำนวนต้นธาตุหลายองค์ที่ถอยพืชลงมาจากระดับนี้ แล้วที่ละเอียดกว่านั้นก็เรียกว่า พระพุทธเจ้าต้นในต้น ทว่าท่านเหล่านั้นไม่ได้ถอยพืชลงมาเกิดเป็นมนุษย์
พระพุทธเจ้าต้นธาตุและพระพุทธเจ้ากลางธาตุในอายตนะนิพพานเป็นนั้น มีพุทธลักษณะเหมือนพระภิกษุกายเนื้อหรือพระภิกษุหนุ่มๆ (เทียบอายุประมาณหนุ่มวัย 20 ปี) มีขนาดใหญ่เต็มธาตุเต็มธรรมและครองจีวรแบบลดไหล่ธรรมดา ไม่มีผ้ารัดอกแบบห่มดอง ลูกบวบม้วนขวาเข้าใน มีพระพักตร์ใบหน้าที่แตกต่างกัน (ไม่ได้มีหน้าตาเหมือนกัน) มีพระเกศา (มีผม) แต่ไม่มีเกตุดอกบัวตูม และมีกายที่องอาจสง่างามสมบูรณ์
กอปรกับมีรัศมีใสสว่างยิ่งไปกว่าพระพุทธเจ้าในนิพพานถอดกาย เพราะท่านเหล่านี้ได้บำเพ็ญบารมีมาแก่กล้าเสียยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าในอายตนะนิพพานถอดกายมากมายนัก
ซึ่งเรื่องการถอยพืชลงมาเกิดนี้ ไม่ปรากฏในนิกายเถรวาท แต่จะไปปรากฏอยู่ในคำสอนของนิกายวัชรยานแบบทิเบตแทน โดยถ้าว่ากันตามคติวัชรยานนั้น พระโพธิสัตว์จะบรรลุธรรมไปตามลำดับขั้น โดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 10 ขั้น หรือที่เรียกว่า "ทศภูมิ" โดยในภูมิสูงสุด พระโพธิสัตว์จะมี "สิทธิ" หรือ "พลังอำนาจพิเศษ" ซึ่ง "สิทธิอำนาจ" ที่สำคัญสูงสุด คือ สามารถที่จะเลือกสภาวการณ์ในการกลับมาเกิดใหม่ เพื่อว่าการเกิดครั้งนั้น จะเอื้อประโยชน์ในการนำพาผู้อื่นไปสู่การบรรลุธรรม
ตรงนี้เองที่ศัพท์ทางวิชชาธรรมกายเรียกว่า การถอยพืชกำเนิดธาตุธรรมเดิม ส่วนสิทธิหรือพลังอำนาจพิเศษนั้น ศัพท์ในวิชชาธรรมกายเรียกว่า บุญศักดิ์สิทธิ์ บารมี รัศมี กำลัง ฤทธิ์ อำนาจ สิทธิ สิทธิเฉียบขาด
ความเชื่อในเรื่องพระโพธิสัตว์ ผู้ตั้งสัตยาธิษฐานในการเวียนว่ายตายเกิดเพื่อกลับมาช่วยเหลือสรรพสัตว์นี้ ได้กลายมาเป็นหัวใจสำคัญของคำสอนในพระพุทธศาสนาสายทิเบตปัจจุบัน
และอีกสิ่งหนึ่งที่สายปฏิบัติสัมมาอะระหังไปพบในญาณทัศนะแล้วบังเอิญตรงกันกับคำสอนในพุทธทิเบต คือ ผู้สร้างโลก
กล่าวคือ ผู้รู้ในสายธรรมกายแต่โบราณเกือบร้อยปีได้ค้นพบในญาณทัศนะว่าผู้ที่สร้างโลกขึ้นมาเพื่อให้มนุษย์ได้อยู่อาศัยและสร้างบารมีสั่งสมนั้น คือ ภาคผู้เลี้ยงหรือพระจักรพรรดิ (พระทรงเครื่อง) โดยจะไปตรงกันกับพระอาทิพุทธเจ้าหรือพระวัชรธารพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าทรงเครื่อง) พระผู้สร้างทุกสรรพสิ่งในโลกตามคติพุทธศาสนาแบบทิเบต
พระพุทธเจ้าจักรพรรดิ ผู้เป็นใหญ่ในสมบัติทั้งหลายทั้งปวง มีพุทธลักษณะเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องเยี่ยงกษัตริย์ พระจักรพรรดิจะซ้อนอยู่ในกลางพระพุทธเจ้าที่เป็นพระนิพพานธาตุที่ละเอียดๆ ถึงพระพุทธเจ้าต้นธาตุต้นธรรม (Primordial Buddhas) เมื่อวิชาละเอียดลุ่มลึกไปถึงระดับพระนิพพานธาตุแล้ว เดินวิชาต่อไปจะพบพระจักรพรรดิซ้อนสลับกับพระธรรมกายนิพพานธาตุ สลับกันอย่างนี้ และพระจักรพรรดินี้เป็นผู้เลี้ยงผู้รักษาหล่อเลี้ยงกายนั้นๆ คู่กันไปกับกายทุกกายสุดกายหยาบกายละเอียด มีบริวาร คือ กายสิทธิ์และรัตนะเจ็ดอันทรงมหิทธานุภาพ
พระจักรพรรดิภาคผู้เลี้ยงมีด้วยกันทั้ง 3 ฝ่าย คือ ภาคขาว (กุสลาธัมมา) ภาคกลาง (อัพยากตธัมมา) และภาคดำ (อกุสลาธัมมา)
ซึ่งศาสนาอันแท้จริงหนึ่งเดียวของพระจักรพรรดิภาคขาวผู้สร้างโลก คือ พระพุทธศาสนา
และนอกจากภาคผู้เลี้ยงแล้วก็ยังมีภาคผู้สอด ภาคผู้ส่ง ภาคผู้สั่ง ภาคผู้บังคับ ภาคผู้ปกครอง ภาคผู้ปกครองประจำภพ ภพสาม โลกันตร์ ภาคผู้ปกครองพระนิพพานกายธรรม ภาคผู้ปกครองย่อย รวมย่อย ภาคผู้ปกครองใหญ่ รวมใหญ่ และต้นธาตุต้นธรรมถึงต้นในต้น แล้วต้นในต้นสุดในสุด แก่ในแก่ ละเอียดในละเอียด จนสุดละเอียดในสุดละเอียด
นี่มิใช่เรื่องใหม่ แต่มีอยู่ในคำสอนหลวงพ่อสดวัดปากน้ำ ผู้ที่เจริญวิชชาธรรมกายถึงขั้นมรรคผลนิพพาน ย่อมสัมผัสรู้เห็นและเป็นได้ปกติ
• เกร็ดความรู้ •
พระทิเบตบรรลุธรรมกาย
พระเทพญาณมงคล (เสริมชัย ชยมงฺคโล) ท่านกล่าวว่า พระทิเบตเขาสามารถเข้าถึงธรรมกายได้ โดยเขาทำวิชาไปจนถึงเหตุสุด แต่ไปต่อไม่ได้ แต่ก็ทำได้และทำกันมาเนิ่นนาน กล่าวคือ เขาทำสืบทอดกันมานานแล้วตั้งแต่ครั้งโบราณกาล แต่ไม่ได้เป็นหลักวิชาที่บริบูรณ์เหมือนอย่างหลวงพ่อสด
หลวงป๋าเสริมชัยจึงไปสอนและแก้วิชาให้เขา เขาปีติมากจนน้ำตาซึม ที่วิชาก้าวหน้าอย่างรวดเร็วและเห็นได้อย่างถูกต้องบริสุทธิ์สมบูรณ์
ดังนั้น พระทิเบตเองท่านก็เข้าถึงธรรมกายเป็นเหมือนกัน แล้วยิ่งได้หลวงป๋าเสริมชัยไปชี้ทาง เขาก็ยิ่งก้าวหน้าในธรรมมากยิ่งขึ้น
****************
หลวงพ่อวีระ (คณุตฺตโม) เป็นศูนย์รวมหรือคลังแห่งวิชชาธรรมกาย ที่ได้รับถ่ายทอดมาจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำโดยตรง และยังเป็นที่รวมวิชชาธรรมกายชั้นสูง ที่ศิษย์ในพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำที่เป็นพระเถระรุ่นพี่ได้จดทำบันทึกไว้ ก็ยังได้มารวมตกแก่หลวงพ่อวีระองค์นี้อีกด้วย
จึงเห็นว่า วิชชาธรรมกายทุกระดับทั้งเบื้องต้น เบื้องกลาง และวิชชาธรรมกายชั้นสูง ควรจะต้องมีการรวบรวมขึ้นเป็นหลักฐานอ้างอิงที่สำคัญต่อไป เพื่อประโยชน์แก่อนุชนรุ่นหลังจะได้ศึกษาและปฏิบัติต่อไปอย่างถูกทางและสมบูรณ์ ตามที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อ (สด) ได้ถ่ายทอดไว้
วิชชาธรรมกายทุกระดับทั้งเบื้องต้น เบื้องกลาง และวิชชาธรรมกายชั้นสูง ได้จัดพิมพ์เป็นเล่ม ชื่อหนังสือว่า "มรรคผลพิสดาร" เล่ม 1-2-3 จัดพิมพ์โดยมูลนิธิพุทธภาวนาวิชชาธรรมกาย ไม่มีวางจำหน่าย แต่ทางวัดหลวงพ่อสดธรรมกายารามจะพิจารณามอบให้โดยไม่คิดมูลค่าเฉพาะแก่ศิษย์ผู้ที่ปฏิบัติได้เข้าถึงแล้ว
ที่มา :
ข้อความบางส่วนจาก "ตอบปัญหาธรรม" ทำไมจึงก่อตั้งสถาบันพุทธภาวนาวิชชาธรรมกาย
****************
โอวาทธรรมส่งท้ายโพส
พระราชพรหมเถร (วีระ คณุตฺตโม)
วัดปากน้ำภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร
วิชชาธรรมกายเป็นวิชชาที่พระพุทธเจ้าท่านเห็นที่ใต้ต้นโพธิ์ เราเรียกว่าโคตรภู หรือธรรมกาย นั่นเป็นกายอีกกายหนึ่งที่จะนำเราเข้าสู่มรรคผลนิพพาน กายมนุษย์เราจะเข้ามรรคผลนิพพานไม่ได้
ในเวลาที่เราตายแล้วก็เอาไปเผา มีอีกกายหนึ่งที่เรานอนไปกลางคืนแล้วฝันเรียกว่ากายมนุษย์ละเอียด
กายมนุษย์ละเอียด (กายฝัน) นี่ เวลาเราตาย แล้วมันไปทำหน้าที่ปลุกนะ กายมนุษย์ละเอียดทำหน้าที่เกิด ถ้าเราจะไปเกิดบนสวรรค์เราต้องเอากายทิพย์ไป กายทิพย์ไปเกิดบนสวรรค์ได้ หรือจะไปนรกก็เอากายทิพย์ไป ถ้าเรามีฌาณเราก็ต้องเอากายรูปพรหมไป ถ้าเรามีอรูปฌาณเราก็ต้องเอากายอรูปพรหมไป ถ้าเราจะไปนิพพาน เราก็ต้องเอากายธรรมไป
แต่ถ้าเราเข้าถึงคุณธรรมของพระโสดาเราก็จะเห็นกายพระโสดา ถ้าเรามีคุณธรรมของพระสกิทาคามีเราก็เห็นกายพระสกิทาคามี ถ้าเราเข้าถึงคุณธรรมของพระอนาคามีเราก็เห็นกายพระอนาคามี ถ้ามีคุณธรรมของพระอรหันต์ก็เห็นกายพระอรหันต์ได้ มันถอดไปเป็นชั้นๆ ไป
ผู้ปฏิบัติธรรมที่ได้ถึงธรรมกายเเล้ว ตราบใดที่ยังไม่สามารถละสังโยชน์ (กิเลสเครื่องร้อยรัดให้ติดอยู่กับโลก) เบื้องต่ำอย่างน้อย 3 ประการ (สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส) ได้โดยเด็ดขาด ตราบนั้นก็ยังมิได้บรรลุมรรคผลนิพพานเป็นพระอริยบุคคล จึงยังมิใช่ผู้ปฏิบัติธรรมที่ได้ (บรรลุ) ถึงที่สุดเเล้ว
พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้สอนภาวนาตามเเนววิชชาธรรมกายของพระพุทธเจ้า ได้กล่าวถึงผู้ปฏิบัติธรรมที่ได้ถึงธรรมกายเเต่ยังไม่สามารถละสังโยชน์เบื้องต่ำอย่างน้อย 3 ประการได้ดังกล่าวเเล้วว่า ยังจัดเป็นเเต่เพียงโคตรภูบุคคล
ซึ่งท่านอุปมาเสมือนหนึ่งว่า ผู้ปฏิบัติธรรมนั้นได้ก้าวขาข้างหนึ่ง ขึ้นไปอยู่บนพระนิพพาน ส่วนขาอีกข้างหนึ่ง ยังยืนอยู่ในภพสาม
กล่าวคือ หากผู้ปฏิบัติธรรมที่ถึงธรรมกายเเล้วนั้น ก้าวหน้าต่อไป คือ ปฏิบัติภาวนาต่อไปอีกจนสามารถละสังโยชน์เบื้องต่ำอย่างน้อย 3 ประการนั้นได้โดยเด็ดขาด ก็ได้บรรลุมรรคผลนิพพานเป็นพระอริยบุคคล ตามภูมิธรรมที่ปฏิบัติได้
เเต่หากว่าผู้ที่เคยปฏิบัติได้ถึงธรรมกายเเล้ว ได้ประพฤติปฏิบัติตนในลักษณะของการก้าวถอยหลังกลับคืนมาสู่โลก (ภพสาม) ด้วยอำนาจของกิเลส อวิชชา ตัณหา อุปาทาน เป็นเหตุนำ เหตุหนุน จนธรรมสัญญาขาดจากใจ เเละธรรมกายดับลงเมื่อใด บุคคลผู้นั้นก็กลับเป็นปุถุชนธรรมดาที่หนาไปด้วยกิเลส เเละมีสิทธิ์ถึงทุคติได้เมื่อนั้น
------------------------------------------------
-
นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด
-
นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด
- บริวารรอบข้างไม่ดี
เพราะไม่รู้จักชักนำผู้อื่นมาทำความดี.
พระพุทธเจ้าท่านตรัสนะ
บุคคลใดทำบุญด้วยตนเอง
แต่ไม่ชักนำผู้อื่นให้ทำบุญ
บุคคลผู้เช่นนั้น เกิดชาติใดหนใด
เจริญด้วยโภคยทรัพย์ แต่ขาดบริวาร
เราจะสังเกตุเห็นบุคคลเย้อะเลย มีคนใช้ มีลูกน้อง ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่ หรือบางทีก็ไม่มี เพราะเหตุว่า บุญไม่ได้ทำ ไม่ได้ไปชักนำใครให้เขามาทำความดี บางคนก็แหมผู้ดีจัด จะบอกเขาก็ไม่กล้าบอก อะไรประมาณนั้นก็มี
หรือบางคนก็ทำบุญเฉพาะคนเดียว ไม่อยากบอกใคร ต้องการดีคนเดียว ดีคนเดียวมันก็ได้คนเดียว แล้วคุณจะดีแค่ไหนคนเดียว อยู่ในสังคมมันสบายไหมล่ะ
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า
บุคคลใดตนเองไม่ทำ ดีแต่ชักนำผู้อื่น
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าบุคคลเช่นนั้น
เกิดชาติใดหนใด อยู่ที่ไหน เจริญด้วยบริวารแต่ขาดทุนทรัพย์
บุคคลใดทำเองก็ไม่ทำ ชักนำผู้อื่นก็ไม่ทำ
เกิดชาติใดหนใด ก็จะเป็นคนอนาถาขาดที่พึ่ง
และถ้าไปตัดบุญคนอื่นเขา
ไปวิพากษ์วิจารย์ให้เขาเสียศูนย์
เสียหลักในการทำบุญ
ถึงเป็นขอทานนะท่านนะ ถึงขนาดนั้นนะ
บางทีสิ่งที่ควรได้ก็ไม่ได้ ดังนี้เป็นต้น
เพราะฉะนั้น เรื่องบุญนี่เรื่องใหญ่.
_____________
เทศนาธรรมจาก
พระเทพญาณมงคล
หลวงตาเสริมชัย ชยมงฺคโล
วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
อ.ดำเนินสะดวก
จ.ราชบุรี
______________
จากเทศนาธรรมเรื่อง
บุญใหญ่-กุศลใหญ่
______________
cr.เพจอมตวัชรวจีหลวงป๋า
______________ -
นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด
#ทำอย่างไรจึงจะได้เห็นดวงปฐมมรรคเร็วๆ ?
ตอบ:
ปัญหาที่ว่าทำอย่างไรผู้ปฏิบัติจึงจะได้ดวงถึงปฐมมรรคเร็วๆ หรือดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายนับตั้งแต่เบื้องต้น ไปเบื้องกลาง เบื้องสูง
เอาเบื้องต้นเสียก่อนนั้น ความจริงเป็นเรื่องที่เร่งไม่ได้ การที่ผู้ปฏิบัติภาวนาธรรมจะถึงดวงปฐมมรรคได้นั้น ขึ้นอยู่ที่เหตุปัจจัยที่สำคัญหลายประการ
ประการที่ 1 ก็คือว่า ขึ้นอยู่ที่บุญกุศล มีทานกุศล ศีลกุศล ภาวนากุศล ซึ่งจะ เจริญขึ้นเป็นบารมี อุปบารมี ปรมัตถบารมี มีทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมบารมี ปัญญาบารมี ... ไปจนถึงเมตตา อุเบกขาบารมี ว่าได้ประกอบบำเพ็ญมากี่มากน้อย
ประการที่ 2 ในส่วนที่เป็นอธิษฐานบารมี ถ้าหากว่าผู้ปฏิบัติธรรมได้เคยอธิษฐานบารมีไว้ในระดับเบื้องต้นคือปกติสาวก ระยะเวลาของการบำเพ็ญบารมีก็สั้น คือสั้นกว่าผู้ที่ตั้งจิตอธิษฐานสร้างบารมีหรือบำเพ็ญบารมีเป็นพระสาวกที่สูงยิ่งไปกว่านี้ เช่น อัครสาวก อสีติมหาสาวก เป็นต้น หรือสูงขึ้นไปเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า พระสัพพัญญูพุทธเจ้า เหล่านี้ล้วนแต่ต้องบำเพ็ญบารมีมากกว่ากันไปตามระดับ นี้เป็นเหตุปัจจัยหนึ่งว่าได้บำเพ็ญบารมีมากี่มากน้อย
ประการที่ 3 ขึ้นอยู่ที่บาปอกุศลที่ตนได้กระทำขึ้นในอดีตมาถึงปัจจุบัน ใครทำบาปอกุศลมาก ก็เป็นอุปสรรคขัดข้องมากตามส่วน นี่เป็นเรื่องอดีต แต่ในเรื่องปัจจุบัน ผู้รู้ที่ประสงค์ที่จะประพฤติปฏิบัติภาวนาธรรมให้เห็น ให้ถึงดวงปฐมมรรคเร็ว ก็ต้องบำเพ็ญคุณความดีอันได้แก่ ทานกุศล ศีลกุศล ภาวนากุศล ให้เพิ่มมากขึ้น
ทานกุศลนั้น เป็นเครื่องชำระกิเลสประเภทความตระหนี่ ความเห็นแก่ตัว ประเภทความโลภ ประเภทตัณหาราคะ ประเภทความยึดมั่นถือมั่นด้วยตัณหาและทิฏฐิ ให้หมดไปจากจิตใจให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ให้เบาบางลง แปลว่าให้รู้จักละ รู้จักวาง เมื่อละวางได้มากเท่าใด ใจก็ว่างได้มากเท่านั้น เพราะฉะนั้น พระพุทธองค์จึงทรงบำเพ็ญบารมีคือ ทานกุศลเป็นทานบารมี อุปบารมี ปรมัตถบารมี เป็นเบื้องต้นและเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่ง
ส่วนศีลกุศลนั้น เป็นเครื่องป้องกันหรือเครื่องกลั่นกรองความประพฤติปฏิบัติ ที่เป็นการเบียดเบียนตนเองและผู้อื่นให้เดือดร้อน เพราะฉะนั้น ผู้ใดรักษาศีลบริสุทธิ์อยู่เสมอ กาย วาจา ก็สะอาดบริสุทธิ์ จิตใจก็อ่อนโยนที่จะอบรมให้หยุด ให้นิ่ง ได้โดยง่าย เพราะไม่ต้องเดือดร้อนด้วยเวรภัยซึ่งจะเกิดขึ้นจากความประพฤติผิดศีล แปลว่าผู้รักษาศีล จิตใจก็สงบ กายวาจาก็สงบระงับ เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ใจได้รับการอบรมให้สงบระงับได้โดยง่าย
ส่วนภาวนากุศล ต้องทำบ่อยๆ เนืองๆ ไม่ละเว้นเสียกลางคัน ด้วยใจรัก ด้วยความเพียร ด้วยความต่อเนื่อง ด้วยมีสติพิจารณาในเหตุสังเกตในผล ปรับจิตใจของตนให้หยุดให้นิ่ง ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ให้สามารถทำทุกอิริยาบถ คือเดิน ยืน นั่ง และนอน ยามเมื่อว่างจากภารกิจการงาน ตรึกนึกให้เห็นดวงแก้วกลมใส ใจอยู่ในกลางของกลาง ตรงจุดเล็กใส บริกรรมภาวนาว่า "สัมมาอรหังๆๆ" ไว้มากๆ ต่อเนื่องไปมากๆ ศีลกุศลก็จะเจริญขึ้นด้วย ใจก็จะได้รับการฝึกอบรมให้หยุดให้นิ่งได้โดยง่าย หรือที่เรียกว่าจิตจะเป็นเร็วขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แม้ก่อนนอน ถ้าก่อนนอนท่านก็ยังบริกรรมนิมิต บริกรรมภาวนาคู่กันไปจนหลับ ก่อนจะหลับ จิตดวงเดิมจะตกศูนย์ จิตดวงใหม่จะลอยเด่นขึ้นมาใส ท่านสามารถจะเห็นได้โดยง่าย และอาศัยอารมณ์เช่นนั้น ก่อนจะหลับ ก่อนจะตื่นเหมือนกัน ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายและใจนั้น จะลอยเด่นขึ้นมาที่ศูนย์กลางกายฐานที่ 7 ท่านสามารถจะเห็นได้โดยง่าย เมื่อเห็นได้ง่ายแล้ว ท่านก็อาศัยอารมณ์นั้นมาใช้บริกรรมต่อไป ไม่ช้าท่านก็ถึงดวงปฐมมรรคได้
อย่าลืม จงประกอบทานกุศล เพื่อละเพื่อวาง รักษาศีลเป็นศีลกุศล เพื่อระวังกายวาจาใจ มิให้เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น หมั่นเจริญภาวนากุศล ท่องในใจสัมมาอรหังๆ ตรึกนึกให้เห็นดวงแก้ว กลมใส ใจอยู่ในกลางของกลาง ตรงจุดเล็กใส ที่ศูนย์กลางกายไว้เรื่อยๆ ทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน ยามเมื่อว่างจากภารกิจการงาน จิตจะเป็นเร็วขึ้น และท่านจะถึงดวงปฐมมรรคได้เร็ว
พระธรรมเทศนาพระเทพญาณมงคล
เสริมชัย ชยมงฺคโล
ปฐมเจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม จ.ราชบุรี
-
นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด
ผมขออนุญาตเล่าเรื่อง
พญานาคที่วัดป่าวิสุทธิคุณ จ.ชะอำครับ
" แม้ไม่ถูกถาม ก็ควรเผยความดีของผู้อื่น
---------
พอจ.ศักดา เป็นอีกท่านในคณะ
ที่ไปอัญเชิญ ดวงแก้วพญานาคที่
แม่น้ําเนรัญชรา อินเดีย
ที่ดวงแก้ว ปรากฏอัศจรรย์
โดยผุดขึ้นมาเองบนพื้นทราย
( ทราบมาว่า ท่านปฏิบัติ
ได้ถึงธรรมกายชั้นสูงมานานแล้ว )
และเป็นอีกท่าน ที่ใช้วิชชาธรรมกาย
ช่วงหลวงป๋า ตั้งผังพระมหาเจดีย์สมเด็จฯ
ของวัดหลวงพ่อสดด้วย ทั้งในอดีต
จนถึงปัจจุบันนี้
ช่วงเย็นวันหนึ่ง ที่วัดป่าวิสุทธิคุณ
พอจ.ได้สอนสมาธิ ตามแนววิชชาธรรมกาย
เรื่องตรวจภพตรวจจักรวาล
โดยให้ผู้ที่ปฏิบัติถึงธรรมกายทั้ง 3 ท่าน
กำหนดสมาธิดูบริเวณเขานางพันธุรัต
ทั้ง 3 ท่าน ก็ได้เห็น
พญานาคองค์ใหญ่มาก
( เห็นในสมาธิ ) ลำตัวพญานาค
พันรอบๆภูเขา แล้วส่วนหัวพญานาค
ก็เทินอยู่บนศาลาปฏิบัติธรรม
เมื่อออกจากสมาธิ พอจ.ท่านก็ถาม
ผู้ได้ธรรมกาย ก็ยืนยันว่าเห็นตรงกัน
หมดทั้ง 3 ท่าน และพญานาค
" ท่านนี้คือ ท่านภุชงค์ "
ส่วนในภูเขา
ก็มีนางพันธุรัตน์
ท่านมีกายทิพย์ เป็นหญิงที่สวยงาม
และยักษ์บริวารหลายตน
มีบ่อทอง และทรัพย์สมบัติทิพย์
มากมาย อยู่ในบริเวณภูเขาแห่งนี้
และได้เห็นว่าที่นี่ เคยเป็นเมื่องโบราญมาก่อน
( ผู้เขียนเชื่อว่า วรรณคดีที่แต่งขึ้น
ส่วนนึง ก็คงอิงจากเรื่องจริง )
ส่วนในศาลาปฏิบัติธรรม
คุณน้าที่ใดธรรมกาย ท่านนึง
เล่าให้ฟังว่า ท่านกำหนดจิตดู
พระประธานในศาลา ก็เห็นแสงสว่างมาก
(แสงฉัพพรรณรังสี) ส่องสว่างในบริเวณนั้น
และส่องถึงผู้คนที่ไปกราบพระ
ไปปฏิบัติธรรมหรือประกอบการกุศล
ก็จะได้รับพลังงานนี้ไปด้วย
และผู้ที่ได้ธรรมกายก็ยัง
เล่าว่า เห็นอดีตชาติของ พอจ.
ที่เกี่ยวกับ สถานที่แห่งนี้ด้วยครับ
( แต่ผมไม่กล้าเล่า แล้วเรื่องที่เล่า
ทั้งหมดนี้ ผมก็ยังไม่ได้ขออนุญาต
พอจ. เลยครับ )
แต่ผมเห็นว่า พระพุทธเจ้าท่านก็สอนว่า
" แม้ไม่ถูกถาม ก็ควรเผยความดีของผู้อื่น
แม้ถูกถาม ก็กล่าวความดีผู้อื่น โดย
ไม่หลีกเลี้ยวลดหย่อน "
พอจ.ท่านก็คงเสียสละมาเยอะมาก
บนเส้นทางการสร้างบารมีนี้
หากท่านใดมีโอกาส
ไปปฏิบัติธรรมที่นี่ได้นะครับ
หรือไปร่วมบุญต่างๆ ตอนนี้ พอจ.ท่านกำลัง
สร้างหอฉันถาวร แทนอาคารเก่าเดิม
ที่ผุพังมากแล้วครับ
( หากเล่าผิดพลาดประการใด
ก็ต้องขออภัยด้วยครับ )
*********************************
-
นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด
- เคล็ดลับที่จะเอาชนะธาตุธรรมภาคดำได้เร็ว คือ...ต้องทำใจให้หยุด.
หน้าที่ของเรา เมื่อรู้เช่นนั้นแล้ว จึงมีหน้าที่อยู่ว่า "กำจัดธรรมดำ ยังธรรมขาวให้เจริญ"
#แต่วิธีกำจัด กำจัดอย่างไร ?
วิธีกำจัดต้องกำจัดด้วย เบื้องต้น รักษากาย วาจา ใจ ของเราให้เรียบร้อยเีไม่มีโทษ ด้วยการรักษาศีล และด้วยการประพฤติปฏิบัติกุศลกรรมบททั้ง 10 เว้นอกุศลกรรมบท นี้เป็นสำคัญ ให้กาย ให้วาจา ของเราสงบเสียก่อน
ทีนี้ ไอ้ชีวิตที่เราผ่านมา เราทำคละเคล้าปนกันไปหมดทั้งบุญ ทั้งบาป ไอ้ส่วนบุญเราบำเพ็ญบารมีมาเท่าไหร่ก็ตาม แต่เมื่อมีบาปอกุศลเข้ามาสอดมาแทรก มาปิดมาบัง ทำให้เราเข้าถึงธรรมภาคขาวได้ด้วยยาก ด้วยยาก
เพราะฉะนั้น อุบายวิธีที่จะเอาชนะได้เร็ว อย่างมีประสิทธิภาพ เรารู้จุดอ่อนของธาตุธรรมภาคดำอยู่อย่างหนึ่ง จุดอ่อนนั้นก็คือว่า ธาตุธรรมภาคดำนี่ เค้าจะมีโอกาสดลจิตดลใจสัตว์ได้ต่อเมื่อ สัตว์นั้นส่งจิตใจออกนอกตัว ไปรับไปสัมผัสอารมณ์ภายนอก แล้วก็ไปยึดไปติด ยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์ทั้งหลายเหล่านั้นด้วยตัณหา และทิฐิ คือ ความหลวงผิด กิเลสก็สอดแทรกเข้ามา ให้คิดผิด รู้ผิด เห็นผิด ทำผิด อย่างนั้น แล้วก็ส่งผลทับทวีกันอยู่อย่างนั้น
เพราะฉะนั้น
#เคล็ดลับสำคัญของเราคือ #ต้องทำใจให้หยุด
หยุดเพื่ออะไร หยุดตั้งแต่กิเลสหยาบ หยุดทำความชั่ว ด้วยกาย ด้วยวาจา ไปจนถึงหยุดที่ใจ หยุดที่ใจ พอใจเราหยุดปุ้บ ถูกศูนย์ถูกส่วนเข้าเมื่อไหร่ หมายความว่า ใจเราไม่ออกนอกตัว ใจเราไม่ออกนอกตัวมันก็ไม่สังขาร ไม่ปรุงแต่ง เมื่อมันไม่สังขาร มันไม่ปรุงแต่ง อวิชชาก็ทำอะไรไม่ได้
เสมือนหนึ่งว่า โจรมันมี มันอยู่รอบบ้านเรา มันมีอยู่รอบๆบ้านเราแหละ แต่เราอยู่กลางบ้าน มันก็เลยไม่เข้ามา มันยังเข้ามาไม่ได้ ในขณะที่มันเข้ามาไม่ได้นี่ เราเร่งทำกุศล คุณควมดียิ่งๆขึ้นไป คือ เมื่อเราใจเราหยุดกิเลสทำอะไรเราไม่ได้ เราก็ถูกตัวบุญ
คือ 1. กิเลสนิวรณ์หมดไป เป็นเบื้องต้น เมื่อกิเลสนิวรณ์หมดไปเพียงใดแล้ว เราก็ถึงธาตุธรรมที่สะอาดบริสุทธิ์ ที่เป็นธรรมฝ่ายขาว อันนี้เรียกว่า ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานน่ะ ถ้าจะกล่าวรวบยอด เบื้องต้น ท่านให้พิจารณากิเลสนิวนณ์ในใจของเราเสียก่อน ให้พิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือ นิวรณ์ 5 แล้วกำจัดกิเลสนิวรณ์เสียก่อน
เมื่อกิเลสนิวรณ์หมดไปแล้ว กิเลสอื่นๆซึ่งเป็นธรรมภาคดำ เมื่อเราเข้าไปถึงธรรมขาวด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ส่วนหยาบและส่วนละเอียด คือ ใจ เข้าไปละเอียดเพียงใด เราก็ถึงธรรมขาวมากขึ้นเพียงนั้น
หมดทั้งพระไตรปิฎก ที่เราจะศึกษาเป็นธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานนั้น ประชุมรวมกันอยู่ธาตุธรรม 3 ฝ่าย ว่าเราจะต้องเรียนรู้ธรรมดำ เรียนรู้ธรรมขาว เรียนรู้ที่มาของธรรมดำ และ ธรรมขาว
แล้วพึงมีสติสัมปชัญญะ ทำใจให้หยุดให้นิ่งเพื่อกำจัดธรรมดำ เพื่อเข้าถึงธรรมขาวให้ได้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้
การเข้าถึงด้วยใจ เธอทั้งหลายพึงเข้าใจว่า การเข้าถึงด้วยใจ เมื่อใจหยุดใจนิ่ง เบื้องต้นกิเลสนิวรณ์หมดไป เพราฉะนั้น ตรงนี้ที่ธรรมะจะเป็นหรือไม่ ให้พึงเข้าใจว่า กิเลสนิวรณ์นี้ มีธรรมภาคขาวซึ่งเป็นธรรมแข่งกันอยู่ เป็นธรรมคู่แข่งนะ อันนี้ก็จึงเป็นเคล็ดลับในการที่จะทำธรรมะให้เป็น ว่านอกจากบุญกุศลที่เราได้เคยสร้างสมอบรมมาแล้ว ประการสำคัญที่สุดเราต้องรู้จักธรรมคู่แข่งของธรรมดำ โดยธรรมขาว
#ธรรมดำที่เรียกว่ากิเลสนิวรณ์ที่สำคัญที่สุดคือ ฟุ้งซ่านแห่งจิตใจ แล้วก็ความง่วงเหงา ซึมเซา ไม่กระปี้กระเป่าแห่งจิต ความลังเลสงสัยในการปฏิบัติธรรม ความหงุดหงิด ความโกรธ ความพยาบาท ไปจนถึงความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจ เศร้าใจ โทมนัสทั้งหลาย นี่ก็เป็นธรรมภาคดำ เป็นกิเลสนิวรณ์
#และประการสำคัญที่สุดคือ ความยินดี พอใจ ยึดติด ในกามคุณทั้ง 5 คือ รูป เสียง กลิ่น รส สิ่งสัมผัสทางกาย
แต่สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนี่มันจะเกิดขึ้น เรารู้ช่องโหว่ของธรรมดำ คือ ใจอย่าออกนอกตัว นี่ประการที่ 1 ไปยึดไปเกาะอารมณ์ภายนอก
ประการที่ 2 เราต้องทำธรรมชาติเป็นคู่แข่งกัน เพื่อมาประหารกิเลสนิวรณ์นี้ให้จงได้
คู่แข่งกันมีอะไรจำไว้นะ นี่แหละเป็นเครื่องช่วย ต้องยกอารมณ์ขึ้นสู่วิตก วิจาร ตรึกตรองประคองนิมิตให้ได้ ตรึกนึกให้เห็นดวงแก้วกลมใส ใจอยู่ในกลางดวงที่ใสให้ได้ พยายามเข้า
แต่ความพยายามนี้ #อย่าบังคับใจนะ ใจบังคับไม่ได้ ยิ่งบังคับล่ะยิ่งไปใหญ่ ยิ่งหงุดหงิดยิ่งไม่ได้ ยิ่งเสียใจ ยิ่งไม่สบายใจ ยิ่งไปกันใหญ่
#เพราะฉะนั้นเคล็ดลับมันมีอยู่ว่า ทำใจสบายๆ นึกให้ถึงบุญกุศลที่เราได้สร้างสมอบรมมา ด้วยทานกุศลก็ดี ศีลกุศลก็ดี ภาวนากุศลก็ดี นี้ก็เป็นธรรมในธรรม เราพิจารณาแล้ว อ้อ! เราทำแล้ว เราสบายใจ เรากำลังจะทำ เราสบายใจ นี้อันหนึ่ง เมื่อความสบายใจเกิดขึ้น ใจมันเริ่มสงบ เราก็นึกให้เห็นโดยยกอารมณ์ขึ้นสู่วิตก วิจาร ให้ได้ ด้วยการนึกให้เห็นนิมิตดวงแก้วกลมใสก่อน
#ดวงแก้วกลมใสนี่เป็นผลของอาโลกกสิณนะ อาโลกกสิณ กสิณแสงสว่าง แล้วก็เป็นทางนำให้เกิดอุคคหนิมิต ไปจนถึงปฏิภาคนิมิต ใจจะได้รวมหยุดเป็นจุดเดียวกันได้ดี
แต่ส่วนที่จะถึงอุคคหนิมิตนั่นน่ะ มันต้องเป็นบริกรรมนิมิตก่อน คือ นึกให้เห็นด้วยใจ จำไว้อย่าใช้สายตาเนื้อ ข้อนี้สำคัญ อย่าใช้สายตาเนื้อ วิธีไม่ใช้สายตาเนื้อ และวิธีทำให้จิตใจไม่ออกนอกตัวทำอย่างไร เหลือบตากลับนิดๆ ไอ้นี่ก็เป็นเคล็ดลับเหมือนกัน
เราเหลือบตากลับนิดๆในขณะที่เราหลับตาลง แต่อย่าลืมตานะมันดูไม่สวย อันนี้ก็เป็นธรรมชาติของสัตว์โลกเวลาจะเกิด จะดับ คือตาย จะหลับ จะตื่น จิตมันจะตกศูนย์ จิตดวงใหม่ด้วยอาการอย่างใหม่จะปรากฏลอยขึ้นมา มีการเกิดดับเกิดดับแห่งจิตอยู่อย่างนั้น แต่ว่าจิตดวงเดิมน่ะมันยังอยู่ ไม่ได้ดับไปไหน ถ้าดับก็ต้องตายแน่ แต่อาการของจิตมันแสดงอย่างนั้น ด้วยความปรุงแต่งด้วยผลบุญ หรือ ผลบาป นี่ มันเป็นอย่างนี้
ทีนี้ เมื่อเราเหลือบตากลับนิดๆนี่ สายตาเนื้อมันไม่ทำงาน มันไม่ไปแย่งงานตาใน ทีนี้เมื่อเรารวมใจหยุดนิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางกาย โดยตำแหน่งให้อยู่ตรงนั้นนะ ให้หยุดตรงนั้นนะ มันถูกกลางกำเนิดธาตุธรรมเดิมของกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต และธรรมในธรรม นั่นแหละ เป็นที่ตั้งของกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต และธรรมในธรรมตรงนั้น สติปัฏฐาน 4 อยู่ตรงนั้น ซ้อนกันอยู่เป็นชั้นๆไปเลย จนถึงนิพพานโน่นน่ะ ตรงนั้นแหละ
เพราะเมื่อใจหยุดตรงนั้นได้ มันจะถูกธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ และก็กลางของกลางธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์น่ะ เมื่อเราหยุดนิ่งเข้าไปตรงนั้นแล้วนี่ มันจะถึงคุณธรรมขั้นที่ 2 เป็นความบริสุทธิ์ใจ ซึ่งเราเรียกว่า ศีลบริสุทธิ์
#ศีลบริสุทธิ์นี่ #ความจริงถ้าพูดกันธรรมดาเปลือกนอก มันหมายเอาการสำรวมระวังกาย วาจา แต่เมื่อละเอียดเข้าไปแล้ว เราหมายถึง "ใจที่บริสุทธิ์" ด้วยเจตนาความคิดอ่าน
ทีนี้ เมื่อใจมันหยุดนิ่ง กิเลสนิวรณ์หมดไป ใจมันก็บริสุทธิ์ยิ่งขึ้น เมื่อใจบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น กาย วาจา ของกายตั้งแต่มนุษย์หยาบ ไปจนถึงมนุษย์ละเอียด มันก็บริสุทธิ์ ศีลก็บริสุทธิ์ด้วยอาการอย่างนั้น นี่ก็เป็นธัมมานัปัสสนาสติปัฏฐาน
และผู้ที่ปฏิบัติถึงธรรมกายแล้ว อาจจะพิจารณาและควรจะมีสติพิจารณาศีลของเราในแต่ละวันละวัน และแต่ละครั้งละครั้ง ก็ดูที่ดวงศีลนี่แหละ แต่ว่าพึงดูเขาเราเป็นสำคัญ ของคนอื่นอย่าไปสน อย่าไปสนใจ ดูตัวเรา ถ้าเมื่อไหร่เราเผลอสติไป แล้วคราวหลังนึกได้ เรามาตรวจดู อ้อ! ศีลเราไม่บริสุทธิ์ ใจมันไม่บริสุทธิ์ มันอยู่ตรงนั้น ดูกันตรงนั้น นี่ ศีล ศีลบริสุทธิ์
ถ้าเราประคองดวงศีลนี้ไว้ กาย วาจา และใจ เป็นอันบริสุทธิ์ นี่ เป็นคุณธรรมภายใน ที่เรียกว่า ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน เป็นธรรมฝ่ายขาว ซึ่งมีสภาวะที่เป็นเครื่องกำจัดธาตุธรรมฝ่ายดำ เข้าใจนะ.....
______________
รับฟังธรรมะเต็มเรื่องได้ที่ลิ่งนี้
https://youtu.be/QnnVG7MeEDk
______________
เทศนาธรรมจาก
พระเทพญาณมงคล
หลวงตาเสริมชัย ชยมงฺคโล
วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
อ.ดำเนินสะดวก
จ.ราชบุรี
________________
ที่มา
https://youtu.be/QnnVG7MeEDk
เคล็ดลับความเข้าใจในการปฏิบัติธรรม
_________________
เพจอมตวัชรวจีหลวงป๋า
_________________
-
นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด
อมตวัชรวจีหลวงป๋า
- กว่าจะมาเป็นพระพุทธเจ้า
ในคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ดีที่ชอบ ที่ถูกต้องตามธรรมนองคลองธรรม ได้ผลดีนั้น เกิดแต่พระพุทธองค์ได้ทรงบำเพ็ญบุญบารมีมาแล้วเป็นเวลานาน
เฉพาะพระพุทธเจ้าของเราพระองค์นี้ ชื่อว่า"พระพุทธโคดม"นี่ ทรงบำเพ็ญบารมีในตอนปลายสมัย ๔ อสงไขยแสนกัป ได้ผ่านพระพุทธเจ้ามาแล้ว ถ้านับตั้งแต่"พระพุทธเจ้าตัณหังกร"ก็ ๒๗ พระองค์ แต่ว่าพระองค์เป็นองค์ที่ ๒๘
แล้วถ้าเผื่อว่า พระพุทธเจ้าของเราพระองค์นี้ บำเพ็ญบารมีในระดับปัญญาธิกโพธิสัตว์ ลำพังแต่ตรึกอยู่ในพระทัยนะ คิดอยู่ในใจ นี่นานนะ คิดอยู่ในใจว่า"เราปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้า" ยังไม่ได้บอกใคร คิดอยู่ในใจ แต่เคยบวชอยู่ในสำนักพระพุทธเจ้า ทั้งหมดถึง ๓๐๐,๐๐๐ พระองค์ คิดอยู่ในใจน่ะปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้า เพราะได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าองค์แรกก็คือ "พระพุทธเจ้าพรหมเทว" แล้วก็ตายแล้วก็เกิด ตายแล้วก็เกิด ผ่านพระพุทธเจ้ามาทั้งหมดถึง ๓๐๐,๐๐ พระองค์ คิดในใจ เรียกว่า"ตั้งมโนปณิธาน" และได้รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์แรกคือ "พระพุทธเจ้าพรหมเทว"
แล้วเมื่อมาถึงในกาลของ"พระพุทธเจ้าปุราณกัสสปะ" ก็มีญาณแก่กล้า เปล่งพระวาจาออกมาว่า "เราปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้า" ให้คนรู้ ในพระทัยก็ตั้งพระทัยไว้ นี่ก็ผ่านพระพุทธเจ้ามาอีกถึง ๒๒๐,๐๐๐ พระองค์
มาถึงกาลของ"พระพุทธเจ้าทีปังกร" แต่ตอนนั้นก็ พระพุทธเจ้าปุราณกัสสปะก็ทรงพยากรณ์พระมหาบุรุษนี้เหมือนกัน แล้วท่านพระองค์ก็ทรงบวชในสำนักพระพุทธเจ้ามาเนี่ยถึง ๒๒๐,๐๐๐ องค์นะ กว่าจะมาถึงพระพุทธเจ้าทีปังกร วจีปณิธานร่วมกับมโนปณิธาน ตั้งใจเลยแหละ
ที่นี้ เมื่อมาถึงกาลของพระพุทธเจ้าทีปังกร ซึ่งอยู่ในกัปที่เรียกว่าสารมณฑกัป มีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้น ๔ พระองค์ ก็คือ พระพุทธเจ้าตัณหังกร,เมธังกร,สรณังกรและทีปังกร และเมื่อมาถึงกาลนั้นแล้วเนี่ย พระพุทธเจ้าทีปังกรทรงพยากรณ์ว่า องค์นี้ต่อไปอีกข้างหน้า ๔ อสงไขยแสนกัป จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
จึงได้บำเพ็ญพุทธการกธรรมครบไตรทวาร คือคุณธรรมที่จะทำให้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า บำเพ็ญมาอีก ๔ อสงไขยแสนกัป ผ่านพระพุทธเจ้ามาอีก ๒๗ พระองค์ ถ้านับตั้งแต่พระพุทธเจ้าตัณหังกรแล้ว พระองค์ก็ทรงเป็นองค์ที่ ๒๘ แต่ถ้านับจากพระพุทธเจ้าทีปังกรก็ ๒๕ แต่ถ้านับตั้งแต่ในสารมณฑกัปแรกที่มีพระพุทธเจ้าตัณหังกรอุบัติขึ้นในโลก ก็เป็น ๒๗ พระองค์ แล้วพระองค์เป็นพระองค์ที่ ๒๘
นี่ การบำเพ็ญบารมีมาจนกระทั่งมาถึงพระชาติสุดท้าย แล้วก็ได้บำเพ็ญสมณธรรม เล่าลัดตัดความ เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ตรัสรู้ เมื่อวันเพ็ญ เดือนวิสาขะ เมื่อ ๒๖๐๓ ปีที่ผ่านมา นี่
ที่นี้ เราจะเห็นว่าเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสสอนพระธรรม คือธรรมะปฏิบัติ ว่า อย่างนี้ปฏิบัติไปแล้วผิด อย่างนี้ปฏิบัติไปแล้วถูก เอาง่ายๆนะ ที่ถูกนี่จะนำไปสู่ปัญญาอันเห็นแจ้งในสภาวธรรมและอริยสัจธรรมความจริงแท้สี่ประการ ที่หลวงป๋าพูดเมื่อกี้ ว่าความทุกข์ของสัตว์โลกเป็นอย่างนี้นะ พระองค์ตรัสสอนน่ะ แล้วก็แต่ต้องปฏิบัติอย่างนี้นะ ตามพระองค์นะ คือเมื่อกี้ได้เล่าให้ฟังว่าสามระดับกว้างๆ ก็คือว่า ทานกุศล ศีลกุศล แล้วก็ภาวนากุศลนะ คือทำสมาธิให้ตั้งมั่น แล้วก็เกิดองค์คุณ มีวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา ในระดับฌานจิตตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป
จิตใจก็จะตั้งมั่น แล้วก็มีองค์คุณขึ้น ปรากฏขึ้นในใจ คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา เป็นคุณเครื่องกำจัดกิเลสนิวรณ์ ซึ่งธรรมดาและปุถุชนจะมีเสมอ คืออะไร ??
๑. ถีนมิทธะ ง่วง ขี้เกียจ ไม่เอาถ่าน ท้อถอย
๒. ลังเลสงสัย ไม่รู้ธรรมะปฏิบัติของพระพุทธเจ้า ว่าปฏิบัติไปยังไงมันถึงจะได้ผลดี
๓. หงุดหงิด ขัดเคืองใจ ไปถึงโกรธพยาบาท หรือแม้แต่ว่าปฏิบัติหนักเกินไปจนร่างกายกรอบ ก็เป็นทุกข์เหมือนกัน
แล้วข้อที่ ๔. ก็คือ ฟุ้งซ่าน วิตกกังวลไปในเรื่องต่างๆ นี่มนุษย์เราก็มักจะเป็นอย่างนั้นน่ะ ใช่ไหม
และข้อที่ ๕. ก็คือ กามฉันทนิวรณ์ กามฉันทนิวรณ์นี่ก็หมายถึงว่า ความยินดี พอใจ ยึดตึด ในรูป เสียง กลิ่น รส สิ่งสัมผัสทางกายที่น่ากำหนัดยินดี ที่ชาวโลกกำลังเป็นกันอย่างมโหฬารเลยขณะนี้
นี้ ทำให้จิตใจขุ่นมัว ไม่ผ่องใส ไม่สามารถจะเห็นหรือรู้จักบาปบุญคุณโทษตามความเป็นจริง เพราะไม่รู้เห็นว่าสัตว์โลกมีทุกข์ยังไง ก็เห็นแค่มีแค่นี้ แต่ไม่เคยถามตัวเองว่าเอ๊ะ!! เรามาจากไหนหว่า? เออมาจากไหน? ก็จริงอยู่เกิดจากพ่อแม่ ก็รู้อยู่ แต่ว่ามายังไง มาจากไหน ตายแล้วจะไปไหนก็ไม่รู้ อวิชชาคือความไม่รู้ คือไม่มีวิชชา คำว่าอวิชชาแปลว่าไม่มีวิชชาให้สามรถเห็นแจ้งรู้แจ้งสภาวธรรมเหล่านี้ได้
ไม่เหมือนกับหมอ หมอเขามีเครื่องไมโครสโคป พวกดาราศาสตร์ก็มีเทเลสโคป เทเลสโครปนะส่องดูดาวต่างๆ ไมโครสโคปก็ส่องดูเชื้อโรค ก็จะรู้สมุฐานของโรค ก็จะรู้ว่าโรคนี้เกิดจากอะไรๆ แล้วจะแก้ไขยังไง
โดยนัยนี้เนี่ย ปุถุชนไม่มีเครื่องช่วยให้รู้เห็น ณ ภายใน ไอ้เครื่องช่วยให้รู้เห็นนี่เรียกว่า"#วิชชา" ชอช้างสองตัว ซึ่งต้องอาศัยเหตุปัจจัยก็คือ ทานกุศล ศีลกุศล ภาวนากุศล แล้วถ้าสูงขึ้นไปก็เป็น ศีล สมาธิ ปัญญา สูงขึ้นไปก็เป็น อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา คือศีลอันยิ่ง จิตอันยิ่ง ปัญญาอันยิ่ง นี่แหละปัญญาอันยิ่งมันเริ่มรู้แล้ว บาปบุญคุณโทษตามความเป็นจริงว่านี่ทุกข์ นี่เหตุแห่งทุกข์ นี่หนทางปฏิบัติเพื่อความเจริญสันติสุขและเพื่อถึงความพ้นทุกข์ นี่ปฏิบัติแล้วได้ผลอย่างนี้ นี่มันจะรู้ไปตามหลักต่างๆตามธรรมชาติที่เป็นจริง ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้บำเพ็ญสมณธรรมในพระชาติสุดท้าย แล้วตรัสรู้พระอริยสัจธรรมทั้งหมดนี่แล้วเอามาสอนเรา หลังจากที่ทรงบำเพ็ญบารมีมามาก ดังที่ได้กล่าวไว้แล้ว ผ่านพระพุทธเจ้ามาเย้อะมากเลย ทั้งหมดเป็น ๕๒๐,๐๒๗ พระองค์ ปัญญาธิกโพธิสัตว์ ไม่ใช่ธรรมดา กว่าจะรู้อย่างนี้ได้
และผู้ที่จะบรรลุคุณธรรมในขั้นพระอรหันต์ทั่วไป ก็เป็นแสนกัปเลยนะ เป็นอย่างต่ำ กัปหนึ่งมันนานหนักหนา ก็ต้องบำเพ็ญคุณความดีจนบุญกุศลแก่กล้าเป็นบารมี เป็นอุปบารมี เป็นปรมัตถบารมี ๑๐ อย่าง
ทานบารมี
ศีลบารมี
เนกขัมมบารมี
ปัญญาบารมี
วิริยะบารมี
ขันติบารมี
สัจจะบารมี
อธิษฐานบารมี
เมตตาบารมี
และอุเบกขาบารมี
ทั้งหมดนี้ บุคคลจะบรรลุคุณธรรมในขั้นที่เรียกว่า ตรัสรู้เป็นพระอริยเจ้าในระดับพระอรหันตบุคคล นี่ระดับปกติสาวก แต่ระดับอสีติมหาสาวกก็บำเพ็ญนานไปอีก พระปัจเจกพุทธเจ้าก็นานขึ้นไปอีก พระสัพพัญญูพุทธเจ้าอย่างพระพุทธเจ้าของเรานี่ก็ยิ่งนานขึ้นไปอีก ช่วงสุดท้าย ๔ อสงไขยแสนกัป กัปหนึ่งไม่ต้องพูดล่ะ มันนาน แปลว่าการบำเพ็ญคุณความดีมันต้องทำ.
______________
เทศนาธรรมจาก
พระเทพญาณมงคล
หลวงตาเสริมชัย ชยมงฺคโล
วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
อ.ดำเนินสะดวก
จ.ราชบุรี -
นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด
การเจริญจิตตภาวนาตามแนววิชชาธรรมกาย โดยหลวงพ่อภาวนาฯ (วีระ คณุตฺตโม)
https://www.youtube.com/watch?v=SwPNMucWhbw
-
นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด
"คุณลักษณะของธรรมกายอรหัต พระนิพพาน และพระจักรพรรดิ" ธรรมเทศนาโดยหลวงพ่อภาวนาฯ (วีระ คณุตฺตโม)
:: คุณลักษณะของธรรมกาย https://www.youtube.com/watch?v=dB2quCOPGZ8
:: จิตตภาวนาวิชชาธรรมกายและการเดินวิชชาเบื้องต้น https://youtu.be/GAFTyC8VLkY
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด
- ผู้ถึงธรรมกายที่ยังไม่บรรลุโลกุตตรธรรม อาจจะกลับไปเป็นปุถุชนได้ในชั่วพริบตา ถ้าประมาทขาดสติ แล้วลุแก่อำนาจของกิเลส.
ขณะใดที่จิตออกจากที่สุดละเอียดของธรรมกาย
กิเลสก็สามารถทำอะไรได้เช่นเดียวกับปุถุชนทั่วไป
เพราะฉะนั้น อาตมาถึงกล่าวเสมอว่า
ผู้ที่ถึงธรรมกายแล้วอย่าเหิมเกิม
ต้องมีสติพิจารณาเห็นกายในกาย เห็นเวทนาในเวทนา เห็นจิตในจิต และเห็นธรรมในธรรมอยู่เสมอ
อย่างน้อยต้องคอยพิจารณาดูว่า
จิตใจเราขุ่นมัวหรือผ่องใส
ถ้าขุ่นมัวก็รีบดับหยาบไปหาละเอียดไปสู่สุดละเอียด
ถึงความเป็นธรรมกายพระอรหัตในพระอรหัตๆๆ
หรือถึงธรรมกายในเบื้องต้นก็ดีแล้ว
นี้เป็นวัตถุประสงค์สำคัญ ของการเจริญมหาสติปัฏฐาน ๔ ไม่ใช่พิจารณาเห็นเฉยๆ แต่ให้พิจารณาสภาวธรรมทั้งที่เป็นสังขารและวิสังขาร ให้เจริญปัญญารู้แจ้งในสภาวธรรม ให้เห็นแจ้งในอริยสัจ ๔ ไปตามภูมิธรรม แล้วดับหยาบไปหาละเอียด ถึงธรรมกายที่สุดละเอียด ถึงพระนิพพาน จิตยึดหน่วงพระนิพพานเป็นอารมณ์ด้วยญาณของธรรมกาย ดำรงอยู่ในที่สุดละเอียดนั้นเสมอ จิตใจก็จะบริสุทธิ์ผ่องใส
เมื่อธาตุธรรมแก่กล้าแล้ว โลกุตรธรรม คือ มรรคผลนิพพาน ก็จะปรากฏมีขึ้นได้ เสมือนหนึ่งชาวนาที่ทำหน้าที่ของชาวนาดีที่สุด ปลูกข้าว ไขน้ำเข้านา ใส่ปุ๋ย ถอนวัชพืชรวงข้าว ฯลฯ เป็นต้นดีแล้ว เมื่อถึงเวลาข้าวก็ออกรวงเอง นี้เป็นพระพุทธดำรัสของพระพุทธเจ้า เช่นเดียวกัน
ธาตุธรรมเมื่อแก่กล้า บุญบารมีเต็ม ก็จะสามารถเจริญปัญญารู้แจ้ง และกำจัดกิเลส อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ตามระดับภูมิธรรมที่ปฏิบัติได้
แต่ว่า..
ผู้ปฏิบัติได้ถึงธรรมกาย ไม่แน่เสมอไปว่า จะเป็นพระอริยบุคคลหรือไม่ เพราะการอธิษฐานจิตบำเพ็ญบารมีไม่เหมือนกัน เช่น บางคนตั้งใจบำเพ็ญบารมี เป็นผู้บรรลุมรรคผลนิพพานในระดับปกติสาวก ก็ทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ค่อนข้างจะง่ายกว่า เร็วกว่าผู้ที่บำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ เพราะพระโพธิสัตว์ต้องบำเพ็ญบารมีจนถึงปรมัตถบารมีตามส่วนของท่านแล้ว จึงจะบรรลุมรรคผลนิพพาน และพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณได้
ถ้าผู้บำเพ็ญบารมีถึงธรรมกาย ที่ยังไม่ได้บรรลุมรรคผลเป็นพระอริยบุคคล แล้วกลับประมาทขาดสติสัมปชัญญะ ไม่มีศีลสังวรเมื่อใด หรือขาดอินทรีย์สังวร ญาณสังวร ก็เป็นอันเสร็จ คือ จิตตกต่ำไปด้วยอำนาจของกิเลสได้เหมือนกัน
เพราะฉะนั้น อาตมาจึงกล่าวเสมอ แม้เมื่อเช้านี้ก็กล่าวกับพระให้ท่านรับคำว่า ต่อแต่นี้ไป ผู้ถึงธรรมกายแล้วพึงจะมีอินทรีย์สังวร ศีลสังวร ญาณสังวร เพื่อรักษาตน ไปจนถึงธาตุธรรมแก่กล้า บุญบารมีเต็ม สามารถตัดสังโยชน์กิเลสเครื่องร้อยรัดให้ติดอยู่กับโลกได้แล้วโดยสิ้นเชิง นั่นแหละจึงวางใจได้
แต่ว่าท่านผู้ใดถึงธรรมกายแล้ว เจริญภาวนาให้เกิดปัญญาแจ้งชัดในสภาวธรรม ด้วยสมถะและวิปัสสนามีกำลังเสมอกัน จิตยึดหน่วงพระนิพพานเป็นอารมณ์ โลกุตรมรรคจิต มรรคปัญญา เกิดและเจริญขึ้น ให้สามารถตัดสังโยชน์กิเลสเครื่องร้อยรัดให้ติดอยู่กับโลกได้ ก็บรรลุมรรคผลนิพพาน ตามระดับภูมิธรรมที่ปฏิบัติได้ ข้อนี้ไม่มีประมาณ
เพราะฉะนั้น ผู้ถึงธรรมกายที่ยังไม่บรรลุโลกุตรธรรม อาจจะกลับไปเป็นปุถุชนได้ชั่วพริบตาในไม่กี่ชั่วโมง ไม่กี่นาที ถ้าประมาทขาดสติสัมปชัญญะ ไม่สำรวมระวังศีลและอินทรีย์ แล้วลุแก่อำนาจของกิเลส โลภะ ราคะ โทสะ โมหะ ตัณหา อุปาทาน
________________
เทศนาธรรมจาก
พระเทพญาณมงคล
หลวงตาเสริมชัย ชยมงฺคโล
วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
อ.ดำเนินสะดวก
จ.ราชบุรี
________________
ที่มา
จากหนังสือตอบปัญหาธรรมะปฏิบัติ
________________
เพจอมตวัชรวจีหลวงป๋า
________________
ขอเชิญร่วมแชร์ธรรมะครูอาจารย์
เป็นธรรมทานกันเถิด
-
นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด
ในทางวิชชาธรรมกายนั้น แต่ละกายในกายต่างก็มีความคิดเป็นของแต่ละกายเอง ไม่ใช่ว่ากายเนื้อคิดอย่างไร กายละเอียดจะคิดเหมือนกายเนื้อ ยกตัวอย่างกายที่ใกล้กันที่สุดก็คือ "กายฝัน"
โดยกายฝัน (กายมนุษย์ละเอียด) กับกายเนื้อ (กายมนุษย์หยาบ) ต่างก็มีความคิดที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งเราสามารถพูดคุยปรึกษากับกายฝันของเราได้ถ้าเข้าถึง
วิชชาธรรมกายหรือวิชชา ๑๘ กายนี้ ถูกต้องตามหลักสติปัฎฐาน ๔ ที่ว่าไว้ว่า
"กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม"
สอดคล้องกับหลักการทางวิทยาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา ยกตัวอย่างทฤษฎีของฟรอยด์ (Sigmund Freud) นักจิตวิทยาที่มีชื่อเสียงในทฤษฎีจิตวิเคราะห์ที่ว่าไว้ว่า จิตมนุษย์เราเหมือนก้อนน้ำแข็งส่วนที่ลอยน้ำที่มีอยู่เพียง ๗ เปอร์เซ็นต์ คือ "จิตสำนึก" หรือ "Conscious"
และน้ำแข็งส่วนที่จมซ่อนอยู่ใต้น้ำที่มีมากถึง ๙๓ เปอร์เซ็นต์นั้น เรียกว่า "จิตใต้สำนึก" หรือ "Subconscious" ซึ่งเป็นแหล่งของปัญญาและความคิดสร้างสรรค์ ฯลฯ โดยจิตใต้สำนึกนี้แหละ คือ กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม หรือ ๑๘ กาย
หลวงพ่อสดได้อธิบายไว้ว่า กายของเรานี้มีซ้อนลงไปมากถึง ๑๘ กาย เป็นกายหลัก และแต่ละกายหลักยังมีกายละเอียดซ้อนลงไปอีกมากมายนับไม่ถ้วน เป็นกายในกาย แล้วในแต่ละกายของกายในกายต่างมีจิต มีเวทนา มีธรรม ซ้อนลงไปเป็นชั้นๆๆ เข้าหลักที่ว่า "จิตมนุษย์ยากแท้หยั่งถึง" เพราะอะไร เพราะมันซับซ้อนอย่างนี้
ถ้าพูดอย่างนักจิตวิทยาก็คือการขุดลึกลงไปในจิตใต้สำนึกนั่นเอง โดยความรู้ทางวิทยาศาสตร์รู้เพียงแค่ว่า มีจิตใต้สำนึกเท่านั้น แต่ยังไม่สามารถอธิบายได้ว่า ในจิตใต้สำนึกนี้มีลักษณะเป็นอย่างไร ทำงานอย่างไร เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันอย่างไร ฯลฯ
กายในกายที่ซ้อนลงไปนี้ ต่างก็มีจิตใจเป็นของตัวเอง หลวงพ่อสดอธิบายไว้ว่า ในกายมนุษย์ซ้อนลงไปก็คือกายมนุษย์ละเอียด (กายฝัน) ซึ่งกายฝันนี้ก็คือ "จิตใต้สำนึก" โดยกายฝันนี้รูปร่างหน้าตาก็เหมือนคนๆ นั้น แต่มีจิตใจ เวทนา และธรรม เป็นเอกเทศเป็นของตนเอง กล่าวง่ายๆ คือ มีความคิดเป็นของตนเอง
ท่านเคยเป็นไหมว่า เวลาท่านนอนหลับและฝัน ท่านฝันว่าท่านกำลังนอนและฝันลึกลงไปอีก ท่านเคยสังเกตบ้างไหม นี่คือความเป็นเอกเทศที่เป็นเอกภาพของกายและใจของเรา แล้วในกายฝันก็ยังมีกายซ้อนลงไปอีกมากมาย
โดยหลังจากที่กายมนุษย์ได้หลับแล้ว กายมนุษย์ละเอียด (กายฝัน) จะทำหน้าที่ให้เราตรึกระลึกอย่างนี้ คือ ระหว่างที่เรามีอาการเคลิ้มกำลังจะหลับนั้น เราจะรู้สึกว่าตัวเราเริ่มเบาและสบาย นั่นหมายความว่าเริ่มปล่อยวางใจ เราจะสังเกตได้ว่าการที่เราปล่อยวางใจ กายจะเบาและตัวก็เบา กายและตัวเราเบาตอนไหน มันเบาตอนที่เรามีอาการเคลิ้มและกำลังจะหลับ พอเคลิ้มหนักเข้าๆ เราก็แทบจะไม่รู้ตัว มือเท้าก็แทบจะจำไม่ได้ แทบจำไม่ได้ว่าเรานอนตะแคง นอนหงาย หรือนอนคว่ำ จนในที่สุดแล้วเราก็หลับไป ช่วงที่เรากำลังจะหลับนั้น เหมือนวูบเดียว ความจดความจำทั้งหมดจะหายไปในวูบหนึ่งที่เรียกว่าการเข้าไปสู่การหลับ เมื่อหลับแล้วกายมนุษย์นี้ก็จะขาดความรู้สึก อายตนะ ๖ ภายนอกก็จะถูกหยุด เช่น ยุงมากัดเราก็จะไม่รู้ตัว เสียงทีวี เสียงวิทยุที่เราเปิดไว้เราก็ไม่ได้ยิน ตาก็มองไม่เห็น และอายตนะ ๖ ภายในก็เกิดขึ้น คือ กายฝัน (กายมนุษย์ละเอียด) เพราะฉะนั้นกายฝันทำหน้าที่ฝัน และถ้าเกิดคนเคยฝันก็จะรู้ว่าความฝันนั้นบางครั้งเรากลัว บางครั้งเราดีใจ บางครั้งเราเศร้าใจ เสียใจถึงขนาดร้องไห้ซะจนตื่นก็ยังมี หรือกลัวตกใจสุดก็มี นั่นคือกายฝันที่ทำหน้าที่
เมื่อเรานอนพอแล้วเราจะค่อยๆ รู้สึกตัวกลับมา ครั้งแรกที่เรารู้สึกตัวนั้น เราจะรู้สึกตัวไม่ทั้งตัว แล้วเราจะรู้สึกตัวมากขึ้นเป็นลำดับ จนในที่สุดเราจะลืมตาได้
และในเวลาฝันกายมนุษย์ละเอียดจะออกไปในที่ต่างๆ อันนี้บางทีอาจทำให้สงสัยได้ว่า ถ้ากายออกไปเสียแล้ว มิเป็นการถอดกายหรือ? และเหตุใดกายมนุษย์ผู้เป็นเจ้าของจึงยังไม่ตาย? ข้อนี้เป็นเพราะอายตนะที่ละเอียดระหว่างกายมนุษย์หยาบกับกายมนุษย์ละเอียดยังเนื่องกันอยู่ มิได้ขาดออกจากกัน ฉะนั้นไม่ว่ากายมนุษย์ละเอียดจะไปยังที่ใด ก็สามารถกลับคืนมาสู่กายมนุษย์หยาบได้รวดเร็วเช่นเดียวกับการที่เราส่งใจคิดไปในที่ต่างๆ นั่นเอง
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่มีศาสตร์ใดๆ ในโลกนี้สามารถอธิบายได้นอกจากวิชชาธรรมกายของพระพุทธศาสนา
โปรดตรองดูว่า ที่ท่านฝึกและเรียนรู้ขณะนี้ เป็นการเรียนรู้แค่กายมนุษย์เท่านั้นหรือไม่? กายฝันและกายละเอียดลึกๆ ลงไปอีกมากมายภายในตัวท่าน ท่านเคยฝึกให้หรือเปล่า? ท่านฝึกเจริญสติให้กับกายของท่าน แล้วกายละเอียดของท่าน ท่านเคยฝึกให้หรือเปล่า นี่ ! มันละเอียดปราณีตอย่างนี้
ขอย้ำว่า เรื่องจิตวิญญาณนั้น ต้องปฏิบัติธรรมเท่านั้น วิทยาศาสตร์ไม่ว่าจะสาขาไหน เขาไม่ถนัดในเรื่องนี้
วิชชาธรรมกายมีคำสอนครอบคลุมทั้งหมด ใครอยากจะเรียนประเด็นไหน วิชชา ๓ วิชชา ๘ อภิญญา ๖ ก็มีให้เรียนให้ปฏิบัติ จัดเป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ที่กลั่นออกมาจากพระไตรปิฎกเลยทีเดียว
การฝึกสมาธิเพื่อเข้าถึงกายในกาย ตัวตนที่สูงกว่า หรือจิตใต้สำนึก ไม่ต้องเสียเงินเสียทองไปกับค่าเรียนคอร์สออนไลน์พลังจิตใต้สำนึกสั่งจิตจงรวยๆ อะไรทั้งสิ้น ขอแค่ฝึกนั่งสมาธิเข้ากลางของกลางอยู่กับตนเองที่บ้านหรือที่วัดก็พอ เพียรปฏิบัติประจำทุกวันอย่าให้ขาดรับรองได้ประสบทุกคน เพราะวิชชา ๑๘ กายนี้ในตำราการฝึกสมาธิของหลวงพ่อสดวัดปากน้ำ จัดเป็นเพียงแค่ระดับอนุบาลเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องเข้าถึงยากอะไร เพราะวิชชาธรรมกายชั้นสูงขึ้นไปนั้นจะยากกว่านี้มาก เนื่องจากจะเน้นไปที่อาสวักขยญาณเผากิเลสอาสวะอย่างเต็มที่
__________________
กายมนุษย์ละเอียด (กายฝัน)
กายฝันเป็นกายที่อยู่ลึกเข้าไปจากกายมนุษย์หยาบ ๑ กาย ตามแกนกาย ๑๘ กาย (แกนตั้ง) การเข้าไปเห็นหรือรับรู้เรื่องกายฝันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่มนุษย์ทั่วไปก็ยังพอสัมผัสกับกายฝันได้ในเวลาเรานอนหลับแล้วฝันไป กายฝันออกไปทำหน้าที่รับรู้เรื่องราวต่างๆ บางส่วนรับรู้มาถึงกายมนุษย์หยาบ ส่วนที่พอจำได้นั้นก็คือการฝันของกายมนุษย์หยาบนั่นเอง หากกายฝัน ฝันเข้าไปบ้างก็จะไปถึงกายทิพย์หยาบ คือ กายข้างในของเราฝันเข้าไปเป็นชั้นๆ อย่างที่หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านว่าไว้ว่า "ฝันในฝัน" ซึ่งเราพอจะได้ยินกันมาบ้าง แต่ผู้ที่เดินวิชชา ๑๘ กาย สามารถเห็นกายฝันในเวลาใดก็ได้
"กายฝัน" มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า "กายมนุษย์ละเอียด" แต่ยังมีชื่อเรียกอื่นอีก คือ กายไปเกิดมาเกิด กายผี วิญญาณ สุดแต่สถานการณ์
กายฝันเวลามาเกิดนั้น มีบรรยายไว้ในหนังสือมรรคผลพิสดาร ๒ ของหลวงพ่อวัดปากน้ำว่า เป็นกายสูง ๘ ศอก (๔ เมตร) เข้ามาอยู่ในศูนย์กลางกายของบิดาก่อน มาอยู่นานเท่าใดไม่มีกำหนดเวลาแน่ชัด บังคับให้บิดาไปประกอบธาตุธรรม (ร่วมประเวณี) กับมารดา ตอนนี้เกิดการประสมธาตุธรรมของบิดามารดาและบุตร กายฝันออกจากศูนย์ของบิดาเข้าสู่ศูนย์ของมารดา แล้วเริ่มสร้างกายมนุษย์หยาบในมดลูกของมารดา แล้วเจริญวัยขึ้น
ส่วนเวลาไปเกิด คือ กายมนุษย์หยาบกำลังจะตาย กายฝันลอยขึ้นๆ ลงๆ อยู่ตรงฐานที่ ๗ กับฐานที่ ๖ หลังจากนั้นก็หลุดมาสู่ฐานที่ ๕ ฐานที่ ๔ ฐานที่ ๓ พอถึงฐานที่ ๓ ตาของกายมนุษย์หยาบจะเหลือกกลับเหมือนเป็นการสั่งลา แล้วออกไปฐานที่ ๒ และฐานที่ ๑ แล้วก็หลุดไปหาที่เกิดใหม่
ถึงตอนนี้เรามักได้ยินอยู่เสมอว่า คนไปดี (สุคติ) เท่าเขาโค ไปไม่ดี (ทุคติ) เท่าขนโค สุดแต่เราจะระลึกถึงคุณความดีหรือความไม่ดีที่เราทำไว้ได้แค่ไหน เห็นได้ชัดว่าคนส่วนใหญ่นึกได้แต่สิ่งไม่ดี ทั้งๆ ที่หลายท่านทำคุณงามความดีไว้ไม่น้อย ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เป็นเพราะบาปกรรมมีกำลังแรงกว่า? หรือเวลาใกล้ตายมีทุกขเวทนาแรงกล้าเหลือเกิน? ใจเลยพลอยกระสับกระส่ายไปด้วย การใส่สายสวนต่างๆ ท่อช่วยหายใจ เข็มแทงน้ำเกลือ มีส่วนเพิ่มทุกขเวทนาแก่กายมนุษย์หยาบของเราก่อนเราจะตายหรือไม่? เพราะถึงตอนนั้นเราก็สื่อสารกับใครๆ ไม่ได้แล้วว่าเราเจ็บขนาดไหน
เมื่อใดกายมนุษย์ “เห็นธรรม” กายฝันก็เห็นธรรมด้วย แต่ถ้าเมื่อใดกายมนุษย์ทำบาป กายฝันก็ตกนรกแทน
กายมนุษย์ตาย กายฝันรับภาระแทนกายมนุษย์ทุกข้อหา กายมนุษย์ที่ไม่มีธรรมเป็นเกาะเป็นหลัก กายฝันรับเคราะห์กรรมทุกสถาน
นี่คือความเกี่ยวข้องกันระหว่างกายมนุษย์ (หยาบ) กับกายฝัน (กายมนุษย์ละเอียด)
จงจำไว้ว่า กายทุกกายเกื้อกูลกัน กายหยาบเป็นฐานให้กายละเอียด และกายละเอียดก็ต้องดูแลช่วยเหลือกายหยาบ หากกายหยาบมีอันเป็นไป จะกระทบกระเทือนกายละเอียดทันที
ในปัจจุบันนี้ แม้วิทยาการจะก้าวรุดหน้าไปมาก มนุษย์สามารถรู้เรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ รอบตัวได้มากมาย แต่ก็ยังมีอีกหลายสิ่งที่เป็นปริศนาในใจของมนุษย์ เป็นต้นว่า “ความฝัน” แม้เราทุกคนจะเคยฝันกันมาแล้วทั้งนั้น แต่เราก็ยังมีคำถามเรื่องความฝันอยู่มากมาย
ที่ผ่านมามีทฤษฎีจำนวนหนึ่งพยายามอธิบายเกี่ยวกับเรื่องความฝัน แต่ก็ยังไม่ชัดเจน สำหรับหลวงพ่อสดท่านกล่าวถึงความฝันไว้ว่า
"กายมนุษย์นี่แหละเวลานอนหลับฝันไปก็ได้ พอฝันออกไปอีกกายหนึ่ง เขาเรียกว่า กายมนุษย์ละเอียด นี่รู้จักกันทุกคนเชียวกายนี้ เพราะเคยนอนฝันทุกคน รูปพรรณสัณฐานเป็นอย่างไร เป็นเหมือนมนุษย์คนนี้แหละ คนที่ฝันนี่แหละ”
หลวงพ่อสดท่านกล่าวว่า เราจะรู้จักพบปะเจอะเจอกับกายละเอียดได้ เมื่อเราทำสมาธิและสามารถทำใจให้หยุดนิ่งได้ถูกส่วน พอจิตดำเนินเข้าสู่เส้นทางสายกลาง ณ ศูนย์กลางกายฐานที่ 7 ก็จะเข้าไปถึงกายมนุษย์ละเอียด และรู้ว่ากายมนุษย์ละเอียดนี้เองที่ฝันออกไป ถ้าเราเจอกายมนุษย์ละเอียดแล้ว จะใช้ให้ไปที่ไหนก็ได้ เช่น ให้ฝันไปเมืองเพชร ไปอรัญประเทศ ไปพระธาตุพนม ไปเชียงใหม่ ปรากฏว่าเพียงแค่นาทีเดียวกายละเอียดก็ไปถึงสถานที่ต่างๆ เหล่านี้แล้วกลับมาเล่าให้ฟังได้ ฝันแบบนี้ไม่เหมือนนอนหลับฝัน ดังที่หลวงพ่อสดท่านกล่าวว่า
“ฝันทั้งๆ ที่ตื่น ไม่ใช่ฝันหลับๆ ฝันอย่างนี้ประเดี๋ยวเดียวได้หลายเรื่อง ถ้าหลับฝันนานนักกว่าจะได้สักเรื่องหนึ่ง ถ้าเราเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด เราก็ฉลาดกว่าคนชั้นหนึ่ง เพราะมนุษย์รู้เรื่องหยาบๆ เราเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด เราจึงรู้เรื่องได้ละเอียดกว่า เรื่องลี้ลับอะไรเรารู้หมด เราไปตรวจดูได้หมดทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน ฝันไปเรื่อย ตรวจดูทุกๆ คน ถ้าฝันตื่นๆ ได้อย่างนี้สนุกแน่”
เคยมีกรณีหนึ่ง เด็กเล็กๆ ยังดูดนมเจี๊ยบๆ พ่อแม่อุ้มมาพบผู้รู้ที่ได้วิชชาธรรมกาย ผู้รู้คนนั้นบอกว่าได้คุยกับกายฝันของเด็ก เขาไม่ได้ตัวเล็กอย่างที่เราเห็น เขาบอกผู้รู้แม้กระทั่งสาเหตุที่เขามาเกิด
อีกเรื่อง คือ กายฝันของพ่อแม่ที่แก่แล้วของผู้รู้บางคน ก็เคยออกมาปรากฏแก่ผู้มีรู้ญาณบางท่าน ซึ่งสวยงามหนุ่มสาวกว่ากายมนุษย์หยาบที่เราเห็นมากนัก และแสดงรัศมีให้ดู พร้อมกับบอกว่าเขามาเป็นพ่อเป็นแม่ให้ผู้รู้คนนั้นเชียวนะ
โดยตรงนี้ขออธิบายง่ายๆ ว่า กายมนุษย์หยาบยังเป็นเด็กเล็ก แต่เวลามาคุยกับเราเขาใช้กายฝันที่มีรูปร่างโตเป็นผู้ใหญ่แล้วมาคุย หรือกายมนุษย์หยาบที่แก่ชรามากแล้วเริ่มพูดไม่รู้เรื่องรู้ราว แต่ก็เอากายฝันที่สวยงามมาคุยกับเราได้
เห็นได้ว่าวิชชาธรรมกายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่หลวงพ่อสดค้นพบ ที่เรากำลังเรียนรู้กัน ยังมีความละเอียดลึกซึ้งอีกมากมายมหาศาลยิ่งนัก ซึ่งนอกจากจะเป็นหนทางอันประเสริฐสุดที่ช่วยให้มนุษยชาติหลุดพ้นจากความทุกข์ได้แล้ว ยังสามารถไขปริศนาต่างๆ ในใจของชาวโลกได้อีกมากมาย
ทุกค่ำคืนล้วนมีผู้คนมากมายกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความฝัน แต่ก็มีกลุ่มคนอีกส่วนหนึ่งที่กำลังพากเพียรทำสมาธิเพื่อที่จะ “ฝันในฝัน” ตามรอยหลวงพ่อสด
(เทศนาหลวงพ่อสด)
"กาเย กายานุปสฺสี เห็นกายในกาย เห็นเหมือนอะไร เห็นเหมือนนอนฝันอย่างนั้นซี เห็นจริงๆ อย่างนั้น ตากายมนุษย์นี่เห็นหรือ ตากายฝันมันก็เห็นละซี จะไปเอาตากายมนุษย์นี่เห็นได้อย่างไรล่ะ ตากายมนุษย์นี่มันหยาบนี่ อ้ายที่เห็นได้นั่นมันตากายมนุษย์ละเอียดนี่ มันก็เห็นกายโด่ๆ อย่างนั้น"
__________________
พระทิเบตบรรลุธรรมกาย
พระเทพญาณมงคล (เสริมชัย ชยมงฺคโล) ท่านกล่าวว่า พระทิเบตเขาสามารถเข้าถึงธรรมกายได้ โดยเขาทำวิชชาไปจนถึงเหตุสุด แต่ไปต่อไม่ได้ แต่ก็ทำได้และทำกันมาเนิ่นนาน กล่าวคือ เขาทำสืบทอดกันมานานแล้วตั้งแต่ครั้งโบราณกาล แต่ไม่ได้เป็นหลักวิชชาที่บริบูรณ์เหมือนอย่างหลวงพ่อสด
หลวงป๋าเสริมชัยจึงไปสอนและแก้วิชชาให้เขา เขาปีติมากจนน้ำตาซึม ที่วิชชาก้าวหน้าอย่างรวดเร็วและเห็นได้อย่างถูกต้องบริสุทธิ์สมบูรณ์
ดังนั้น พระทิเบตเองท่านก็เข้าถึงธรรมกายเป็นเหมือนกัน แล้วยิ่งได้หลวงป๋าเสริมชัยไปชี้ทาง เขาก็ยิ่งก้าวหน้าในธรรมมากยิ่งขึ้น
__________________
พระญี่ปุ่นบรรลุธรรมกาย
พระราชพรหมเถร (วีระ คณุตฺตโม) ครั้งยังเป็นพระวีระ ท่านได้เขียนเล่าเรื่องเมื่อภิกษุญี่ปุ่นบรรลุธรรมไว้ว่า เมื่อคณะสมณทูตญี่ปุ่นซึ่งมาเยี่ยมสำนักวัดปากน้ำ หลังจากได้เดินทางกลับจากประชุมพุทธศาสนิกสัมพันธ์ ณ ประเทศอินเดียกับดูการสังคายนา ณ ประเทศพม่า สมณฑูตคณะนี้มีท่านสังฆราชตาคาชินาเป็นประธาน
หลังจากการเยี่ยมคำนับท่านเจ้าคุณพ่อเมื่อ ๑๖ มิถุนายน ๒๔๙๗ เวลา ๑๘.๐๐ น. ข้าพเจ้าได้รับการเชื้อเชิญจากภิกษุญี่ปุ่นรูปหนึ่งซึ่งเป็นผู้สนใจในวิชาสมถวิปัสสนาตามแบบของสำนักเรานี้ ขอให้ไปพบกับท่าน เพื่อสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้กันที่โรงแรมชิโตเซะ ถนนนเรศ
ข้าพเจ้าได้รับเชิญให้เข้าพบท่านสังฆราชกับคณะ เรื่องโดยมากที่สนทนากันมีสารสำคัญเกี่ยวกับวิชาเจริญสมถวิปัสสนา ในระหว่างการสนทนานั้น ท่านเลขานุการของพระสังฆราชเป็นผู้มีความสนใจเป็นพิเศษถึงกับหาสมุดมาจดบันทึกข้อความ ท่านผู้นี้ได้ถามถึงจุดที่ตั้งของจิตขณะเจริญสมาธิตามแบบของวัดปากน้ำ
เป็นที่สนใจแก่สังฆราชญี่ปุ่น ถึงกับกล่าวว่าวิธีของวัดปากน้ำนี้ดีมาก และจะได้ใช้แบบของวัดเรานี้ในกาลต่อไป กับได้ชี้แจงให้คณะของเราทราบว่า วิธีของนิกายโซโตนั้น ได้กำหนดที่ตั้งของจิตที่บริเวณหน้าผากหรือดั้งจมูก ซึ่งต่างกว่าแบบของวัดเรา
ต่อจากนั้นคณะสมณทูตได้ขอให้ข้าพเจ้าอธิบายถึงวิธีดำเนินการปฏิบัติการเจริญสมถวิปัสสนา ซึ่งข้าพเจ้าได้ชี้แจงให้พอเป็นสังเขป ตามแบบของท่านเจ้าคุณพ่อ
ในระหว่างการสนทนาโต้ตอบ ท่านเลขานุการของพระสังฆราชได้แสดงความจำนงใคร่จะทราบว่า บิดาของท่านซึ่งได้ถึงแก่กรรมไปนานแล้ว บัดนี้อยู่ ณ ที่ใด ดังนั้นข้าพเจ้าจึงชักชวนให้คณะสมณทูตทั้งหมดทดลองทำการเจริญสมถวิปัสสนาตามแบบของวัดเราดูบ้าง
คณะสมณทูตมีความยินดีจะปฏิบัติตามคำเชื้อเชิญ จึงพากันเข้าไปสู่ห้องสงัดห้องหนึ่ง แล้วเริ่มเจริญสมถวิปัสสนาธรรมกันทันทีข้าพเจ้าได้กำหนดให้เขาปฏิบัติโดยนั่งขัดสมาธิแล้วหลับตาเจริญสมถวิปัสสนาธรรม กับได้ชี้แจงวิธีการแก่คณะสมณทูตโดยลำดับไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านเลขานุการพระสังฆราช ซึ่งต้องการทราบว่าบิดาของท่านล่วงลับไปแล้วอยู่ ณ ที่ใดนั้น ข้าพเจ้าได้แจ้งวิธีสอบสวนหาที่อยู่ของท่านให้ทราบโดยละเอียดเป็นพิเศษ
การนั่งภาวนาเจริญสมถวิปัสสนาธรรมได้ดำเนินไปจนถึงขั้นสุดท้าย ท่านเลขานุการพระสังฆราชกลับลืมตาขึ้น เบ้าตาทั้งสองของท่านเต็มเปี่ยมไปด้วยน้ำตา พร้อมกับได้พึมพำด้วยความตื้นตันใจว่า
“ตั้งแต่ข้าพเจ้าเกิดมาจนถึงบัดนี้ ไม่เคยได้พบความสุขใดยิ่งไปกว่าที่ได้เข้าถึงพระนิพพานท่ามกลางพุทธสาวก ดังที่ได้ประสบมาเมื่อสักครู่นี้เลย”
• เกร็ดความรู้ •
ที่ประเทศญี่ปุ่น มีวัดปากน้ำญี่ปุ่น โดยพระวีระกับสมเด็จช่วงท่านได้ไปสร้างเอาไว้ โดยจัดเป็นวัดไทยแห่งแรกในประเทศญี่ปุ่นเลยทีเดียว
__________________
ไม่ควรตั้งจิตไว้ที่หน้าผาก
พระเทพญาณมงคล (เสริมชัย ชยมงฺคโล)
"มีไฟอยู่ตรงหน้าผาก ตรงนี้ล่ะถูกบ้างไม่ถูกบ้าง เป็นคติของพวกพวกฤๅษีชีไพร ทำสมาธิไว้ที่หน้าผาก เขาถือว่าตาอยู่ตรงนี้ มีอีกตาหนึ่งอยู่ที่หน้าผาก แต่ว่าเอาล่ะไม่ต้องไปคิดมาก จะอยู่ตรงไหนก็ช่าง ถ้าเอาใจหยุดอยู่ที่ศูนย์กลางกาย แสงสว่างจะออกจากศูนย์กลางกาย ธมฺโม ปทีโป ธรรมเป็นเหมือนแสงสว่างหรือแสงสว่าง คือ ธรรม
ดวงไฟกลางหน้าผากอย่าไปสนใจ อยู่กลางหน้าผากมันผิดเรื่องผิดราว พวกฤๅษีชีไพรจึงไม่ถึงนิพพานซะที เพราะไปอยู่ที่หน้าผาก"
คัมภีร์อานาปานสมฤติสูตร
(อานาปานสติสูตร) 安般守意經
จีน : 息中具有四大。而心在中
ไทย : ใจควรถูกกําหนดไว้ตรงกลางกายในขณะหายใจ
__________________
ภาพด้านล่าง คือ การเข้าถึง ๑๘ กายในตำราของหลวงพ่อสดวัดปากน้ำ เริ่มจากกายมนุษย์หยาบเข้าถึงดวงธัมมานุปัสสนา ดวงศีล ดวงสมาธิ ดวงปัญญา ดวงวิมุตติ ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ จนเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด (กายฝัน) และเข้ากลางของกลางต่อไปไม่ออกนอกถึงกายทิพย์ กายพรหม ไปจนถึงกายธรรมพระอรหัตละเอียด
ตนเป็นที่พึ่งของตน
หลวงพ่อสด วัดปากน้ำภาษีเจริญ
คนส่วนใหญ่จะต้องเคยได้ยินสุภาษิตนี้ และมักจะคิดว่าตนเข้าใจความหมายถูกต้อง ถ่องแท้ เป็นคำง่ายๆ แปลง่ายๆ ตรงตัว ใครๆ ก็เข้าใจความหมาย แต่ในทางธรรมนั้น สุภาษิตบทนี้มีความหมายล้ำลึกยิ่งนัก ล้ำลึกอย่างไร หลวงพ่อสดอธิบายขยายความไว้ดังนี้
"...อะไรเป็นตน ตนคืออะไร นามรูปัง อนัตตา ก็แปลกันว่านามและรูปไม่ใช่ตัวตน ถ้ากระนั้น อะไรเล่าจะเป็นตน ซึ่งจะทำให้เป็นที่พึ่งแก่ตน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เรียกว่าขันธ์ ๕ เมื่อย่อเข้า เรียกอย่างสั้นก็เรียกว่า นามรูป โดยเอากองรูปคงไว้ ก็คือขันธ์ ๕ นั่นเอง เมื่อขันธ์ ๕ ไม่ใช่ตน จึงต้องถามว่าอะไรเล่าเป็นตน ถ้าค้นหาตนไม่พบ ก็ไม่รู้ที่ว่าจะทำอะไรให้เป็นที่พึ่งแก่อะไร พระพุทธวจนะ ที่มีอยู่ว่า อัตตาหิ อัตตโน นาโถ จะมิได้มีทางออกหรือ ย่อมเป็นไปไม่ได้
พระพุทธองค์ทรงสอนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และเน้นสอนทางอนัตตา ก็เพื่อให้เห็นอัตตา เอาเอง ฉะนั้นเมื่อมีเรื่องอนัตตากับอัตตา ยันกันอยู่ จึงต้องคิดค้นต่อไป ธรรมของพระพุทธองค์จะขัดกันเองไม่ได้ เพื่อที่จะไม่ให้ขัดแย้งกัน จึงต้องแบ่งอัตตาออกเป็น ๒ อย่าง คือ อัตตาสมติกับอัตตาแท้ อัตตาสมมติ ได้แก่ กายมนุษย์ กายทิพย์ กายพรหม กายอรูปพรหม เพราะกายเหล่านี้ ยังมีเกิดมีตาย เป็นกายส่วนโลกีย์ ยังมีกายอีกกายหนึ่งซึ่งเป็นกายโลกุตระ คือ ธรรมกาย ธรรมกายนี้แหละเป็นอัตตาแท้หรือตนแท้
ที่ว่าตนเป็นที่พึ่งแก่ตนนั้นก็คือ เพ่งยึดอาศัยกันดำเนินเข้าไปเป็นชั้นๆ คือ เพ่งกายมนุษย์ส่งให้ถึงกายทิพย์ เพ่งกายทิพย์ส่งให้ถึงกายรูปพรหม เพ่งกายรูปพรหมส่งให้ถึงกายอรูปพรหม เพ่งกายอรูปพรหมส่งให้ถึงกายธรรมหรือธรรมกาย กายคือตนอาศัยพึ่งกันเป็นชั้นๆ เข้าไปเช่นนี้จึงได้ชื่อว่า ตนเป็นที่พึ่งแก่ตน..."
__________________
โอวาทหลวงพ่อสด วัดปากน้ำภาษีเจริญ
"เกิดเป็นพระพุทธเจ้าจริงๆ น่ะ เกิดที่ต้นไม้ศรีมหาโพธิ์ เกิดขึ้นในกายพระสิทธัตถราชกุมาร ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างมนุษย์สามัญธรรมดานี้ มนุษย์สามัญธรรมดานี้มีพ่อมีแม่เป็นแดนเกิด ลูกอาศัยพ่อเป็นเหตุและอาศัยแม่จึงเกิดขึ้นได้ ถ้าไม่เป็นเช่นนั้นเกิดไม่ได้ แต่พระสิทธัตถราชกุมารอยู่ใต้ควงไม้ศรีมหาโพธิ์ทีเดียว ทำพระพุทธเจ้าให้เกิดในกายพระสิทธัตถราชกุมารได้" (รธ. ๗๒๒)
"ธรรมกายเท่านั้นเป็นพระพุทธเจ้าได้ พระองค์ทรงรับสั่งด้วยพระองค์เองว่า ธมฺมกาโย อหํ อิติปิ เราตถาคตคือธรรมกาย ธรรมกายนั้นเป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระตถาคตแท้ๆ ไม่ใช่อื่น" (รธ. ๓๘๑)
• เกร็ดความรู้ •
ความอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้านั้นเป็นสอง
คือ "รูปกายอุบัติ" และ "ธรรมกายอุบัติ"
=AZXmQUZNXeqomaTvuoZcA5ssXHsxhrIzScHP16fMRkAxaT84_X5Cs3hjoVgU5QP7zYUA0EJmS_9UFcT6fmAwCJ8Eax7hhDGrKc-7AqQqgoC2IwzbOvKuXF4RHiJnMFCys-S63y6c1WYKQdYAzHKKk0WZRegoAAcY02Ppy8_DpoWr6ldWToq-Sgma2Qi6e2Pv2Q8&__tn__=EH-R'] -
นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด
ถาม : ผู้ปฏิบัติ ไม่เห็นนิมิตธรรมกาย คือ ปฏิบัติสายอื่นแต่ระดับจิตถึงธรรมกายนั้นมีไหม
ตอบ : ข้อหนึ่ง คำว่านิมิตธรรมกายนั้น อย่าพูดเลยนะ ธรรมกายไม่ใช่นิมิตนะ ของจริง นิมิตมี 2-3 อย่าง ให้เข้าใจประเภทของนิมิต
หนึ่ง นึกขึ้น นึกให้เห็น เช่น นึกให้เห็นดวงแก้ว เรียกว่าบริกรรมนิมิต
เจริญภาวนาไป ใจหยุดรวมได้อุคคหนิมิต เห็นเป็นดวงใสขึ้นมา แต่เห็นอยู่ไม่ได้นาน ใจก็รวมหยุดแน่วแน่เข้าไปอีก ถึงปฏิภาคนิมิต (นิมิตติดตา) ระดับสมาธิก็ชั้นสูงจากขณิกสมาธิ-อุปจารสมาธิ นี่ระดับต่ำ สูงขึ้นไปเป็นปฏิภาคนิมิตก็อัปปนาสมาธิ นั่นระดับปฐมฌาน ตรงนั้นชื่อว่านิมิตอย่างหนึ่ง คิดเอาแล้วจิตค่อยหยุดนิ่ง ถ้าที่คิดเอานั้นกลายเป็นอุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิต นี่ประเภทหนึ่ง
อีกประการหนึ่ง นอนฝัน ฝันก็เป็นนิมิต เรียกว่าสุบินนิมิต ถ้าไม่นอนฝัน อะไรๆที่เรามองเห็นนี่เรียกว่านามรูป ก็เห็นเป็นนิมิตก็ได้ อย่างตัวท่านจะเรียกเป็นนิมิตก็ได้ การมองเห็นข้างในก็เป็นนิมิต
คือจากกายมนุษย์ เห็นกายมนุษย์ละเอียด
ทิพย์-ทิพย์ละเอียด
พรหม-พรหมละเอียด
อรูปพรหม-อรูปพรหมละเอียด
แต่นิมิตมีของปลอม กับของจริง
ของปลอม คือ ไม่นึกจะเห็น แต่ก็เห็นแปลกประหลาดไป ไม่เป็นไปตามที่เป็นจริง จริงนี้หมายถึงจริงโดยสมมติ บางทีนั่งแล้วเห็นเสือกระโดดโฮ้กเข้าใส่ แต่เปล่า เสือไม่มี นี่ก็เห็นได้เช่นกัน หรือบางคนนั่งแล้วเห็นผี แต่เปล่า ผีไม่มี นี่เรียกว่าเห็นของไม่จริง จะเกิดแก่ผู้ที่เอาใจออกนอกตัว
หลวงพ่อวัดปากน้ำจึงให้เอาใจเข้าในตัว เพื่อชำระใจของเราให้สะอาดบริสุทธิ์ หยุดนิ่งเป็นอารมณ์เดียว ปราศจากกิเลสนิวรณ์ จิตใจก็เที่ยง เห็นตามที่เป็นจริง พอ"ใจ"หรือเห็น-จำ-คิด-รู้ ที่เห็นนะ มันไปวางอยู่ตรงกำเนิดธาตุธรรมเดิม ซึ่งเป็นที่ตั้งของกาย เวทนา จิต ธรรม ณ ภายใน มันก็เห็นตรงตามนั้น สิ่งที่เห็นอย่างนั้น เห็นจริงโดยสมมติ
นิมิตจริง เห็นนาย ก. นาย ข. เห็นพระ เห็นเณร เห็นแม่ชี เห็นของจริงทั้งนั้น ที่เห็นๆอยู่นี่ เห็นเข้าไปข้างในตามที่เป็นจริง ก็จริง แต่ว่าจริงโดยสมมติ นี่ พระพุทธเจ้าตรัสว่า
"ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเมื่อไม่โดดเดี่ยวยินดียิ่งในความเงียบสงัดแล้ว จักถือเอานิมิตแห่งสมาธิจิต และวิปัสสนาจิตได้นั้น ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่มีได้เป็นได้"
แต่ถ้ามันเลยนิมิตนี่ไป เห็นธาตุล้วนธรรมล้วนจริง ๆ เขาไม่เรียกว่านิมิต เพราะนิมิตชื่อว่าเบญจขันธ์หรือนามรูป เกิดแต่อวิชชา แต่ธรรมกายไม่ใช่เบญจขันธ์ เป็นธรรมบริสุทธิ์ จึงเรียกว่าธรรมขันธ์ เหมือนพระรุ่น 4 ที่ว่าดัง ๆ นั่น พระผงธรรมขันธ์ ก็ธรรมกายนั่นแหละ ไม่เกิดแต่อวิชชา เป็นกายที่พ้นภพสามนี้ไป เป็นของจริง เป็นปรมัตถธรรม
แต่ว่า จำเพาะส่วนที่ยังไม่บรรลุ คือจัดเป็น"โคตรภู" คืออยู่ระหว่างโลกิยะกับโลกุตระ แต่กำลังจะขึ้นไป
แต่ถ้าว่าเป็นธรรมกายมรรค ธรรมกายผล พระนิพพานแล้วละก็ เป็นธรรมขันธ์แท้ ๆ ชัดเจน ไม่เรียกว่านิมิต
ไปเข้าใจผิดกันแล้วเอามาโจมตีกันเรื่องนี้แหละ เพราะเขาแยกนิมิต แยกของจริงของปลอมไม่ค่อยชัดเจน ก็มั่วไป ก็ไปคลุมว่าเห็นอะไรเห็นได้เรียกว่านิมิต จริง ๆ นิมิตอยู่ในครรลองในสภาวะที่จะสัมผัสได้ด้วยอายตนะของกายในภพสาม คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เช่น เห็นกายมนุษย์-คือตาเห็นรูป หรือว่าทิพพจักษุ-เห็นกายทิพย์ พรหมจักษุ-เห็นกายพรหม อย่างนี้เป็นของในภพ 3
แต่ว่าเห็นโดยพุทธจักษุ ตรงนี้ไม่ใช่นิมิตหละ ของจริง มันเข้าเขตปรมัตถ์ ที่โจมตีกันไม่ถูกหรอก เพราะเข้าไม่ถึงเลยไม่รู้เรื่อง ก็ตีกันไป ก็ไม่ว่ากระไร เป็นเรื่องของท่านจะเข้าใจอย่างไร ก็ว่ากันไปตามเรื่อง
แต่ว่าจะได้ผลเป็นบุญเป็นบาปอย่างไร นั่นก็เป็นเรื่องของท่านอีกเหมือนกัน
สรุปว่า เขาถามว่าปฏิบัติสายอื่น แต่ระดับจิตถึงธรรมกายน่ะมีไหม ?
มี ต้องมี อันนี้ไม่ปฏิเสธนะ จะสายพุทโธ ยุบหนอพองหนอ สัมมาอะระหัง หรือว่าอะไร ๆ ก็ตาม ถ้าจิตถึงก็ถึง ไม่มีปัญหา
ถ้ามี จะหลุดพ้นหรือไม่ ?
หลุดพ้นสิ ทำไมจะไม่หลุดพ้น.
ตอบปัญหาธรรม
โดย พระเดชพระคุณ #พระเทพญาณมงคล วิ. (หลวงป๋า)
(เสริมชัย ชยมงฺคโล)
อดีตปฐมเจ้าอาวาส #วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
=AZVJHDGFh5dH8VRrnc1RwGeJ8VKMI8-VSxa6Y6L0sjADUXi5YH1rtwyq8dVPiMJe9op1asc6rkMyVQnZiZlym_K_g_pFEuS9fJdYpXGa9uIiJs5mea_V2wijp8-vD5m9RQCDVuxOU6tVDIbFS8N3cUm-gMExbLXF3-xK4xu6O47BGg&__tn__=EH-R']ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด
-
นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด
-
นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด
แม่ชีรัมภา โพธิ์คำฉาย
แม่ชีวัดปากน้ำ อาจารย์สอนกรรมฐาน
ได้มรณกรรมด้วยอาการอันสงบ
เมื่อเช้า วันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๖๔
สิริอายุ ๙๔ ปี (พ.ศ.๒๔๗๐-๒๕๖๔)
ณ วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร
ไฟล์ที่แนบมา:
-
2ke_SjFQzYw2SF4t48zQt9VIensA1KzDc71b8Ydm3gjO&_nc_ohc=aNI2rwa-xXMAX9LBLga&_nc_ht=scontent.fbkk2-4.jpg
- ขนาดไฟล์:
- 58.4 KB
- เปิดดู:
- 56
-
-
นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด
-
นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด
การแจกพระให้กับผู้ทำบุญ
ให้พึงเข้าใจว่า ...
พระนั้นแจกให้แก่ "ผู้ทำบุญ"
โดยมีวัตถุประสงค์มุ่งหมายว่า
จะให้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ
ให้ "ประพฤติปฏิบัติธรรม" ... ให้ยิ่งขึ้นไป
แล้ว "คุณความดี"
จากการประพฤติปฏิบัติธรรมแล้วนั่นแหละ
จะเป็นเครื่องคุ้มครองเรา ... ไม่ให้ตกต่ำ
และให้ได้รับความคุ้มครองจากสรรพอันตราย
ด้วยอำนาจกรรมดีของเรา
... นี้เป็นเจตนาที่ได้กระทำไว้ !
และเจตนาที่กระทำไว้นี้
สืบเนื่องมาแต่ "หลวงพ่อวัดปากน้ำ"
ท่านมีเจตนาอย่างนี้
ว่า "พระ" ที่ให้นั้นมุ่งหมายจะให้เอาไปปฏิบัติ
หรือเป็นเครื่องช่วยใน "การปฏิบัติพระกรรมฐาน"
* พระเทพญาณมงคล (เสริมชัย ชยมงฺคโล)
วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรีไฟล์ที่แนบมา:
-
-
นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด
หน้า 122 ของ 136