สติ เกิดได้ด้วยเหตุไฉน ?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ยอดคะน้า, 17 กันยายน 2011.

  1. ยอดคะน้า

    ยอดคะน้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    960
    ค่าพลัง:
    +711
    มิลินทปัญหา

    ปัญหาที่ ๑๐ ถามถึงเหตุที่ให้ระลึกถึงสิ่งที่ล่วงแล้วได้


    " ข้าแต่พระนาคเสน บุคคลระลึกถึงสิ่งที่ล่วงไปนานแล้วได้ด้วยอะไร? "

    " ได้ด้วย สติ ขอถวายพระพร "

    " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า สิ่งที่ล่วงไปนานแล้วสิ่งหนึ่ง บุคคลระลึกได้ด้วย จิต ต่างหาก ไม่ใช่ระลึกได้ด้วยสติ"

    " ขอถวายพระพร มหาบพิตรทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งไว้แล้ว ระลึกไม่ได้มีอยู่หรือไม่? "

    " มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า "

    " ขอถวายพระพร ในเวลานั้นพระองค์ไม่มีจิตหรือ ? "

    " จิตมี แต่เวลานั้นสติไม่มี "

    " ถ้าอย่างนั้น ขอมหาบพิตรจงเข้าพระทัยเถิดว่า บุคคลระลึกได้ด้วย สติ ไม่ใช่ระลึกได้ด้วย จิต "

    " ถูกดีแล้ว พระนาคเสน "


    ปัญหาที่ ๑๑ ถาม สติเกิดขึ้นได้เอง หรือเกิดจากผู้อื่น

    (เป็นสำนวนแปลของนายยิ้ม ปัณฑยางกูร จากหนังสือ "ปัญหาพระยามิลินท์" ฉบับหอสมุดแห่งชาติ)


    พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูกร พระนาคเสน สตินั้นเกิดขึ้นเอง หรือเกิดขึ้นต่อเมื่อมีคนเตือน

    พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร เกิดขึ้นได้ทั้ง ๒ ทาง

    ม. แต่ความเห็นของข้าพเจ้า ว่า เกิดขึ้นเอง มิพักต้องมีคนอื่นเตือน

    น. ถ้าเป็นอย่างพระองค์ตรัส คนก็ไม่ต้องมีครูอาจารย์คอยตักเตือนว่ากล่าว แต่นี่เพราะมิเป็นเช่นนั้น จึงต้องมีครู มี อาจารย์ คอยให้สติในเมื่อเราพลั้งเผลอ

    ม. จริง

    จบวรรคที่ ๖


    มิลินทปัญหา วรรคที่ ๗

    ปัญหาที่ ๑ ถาม สติเกิดแต่อาการเท่าไร


    (เป็นสำนวนแปลของนายยิ้ม ปัณฑยางกูร จากหนังสือ "ปัญหาพระยามิลินท์" ฉบับหอสมุดแห่งชาติ)



    พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน สติความระลึกหรือความจำ เกิดแต่อาการเท่าไร

    พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร เกิดแต่อาการ ๑๗ อย่างคือ

    (๑) เกิดแต่ความรู้ยิ่ง ดังผู้รู้ประวัติการณ์ที่ล่วง ๆ มาแล้ว ความรู้นั้นย่อมเป็นแนวให้ระลึกถึงเหตุการณ์แต่หลังได้

    (๒) เกิดแต่การที่ได้กระทำเครื่องหมายไว้

    (๓) เกิดแต่การได้ขยับฐานะสูงขึ้น ซึ่งเป็นเหตุให้นึก ให้จำกิจการที่ตนได้กระทำมาแต่หลัง

    (๔) เกิดแต่การได้รับความสุข ซึ่งชวนให้สาวเอากิจการที่ล่วงแล้วมานึก มาคิด เพื่อไต่สวนหาเหตุ

    (๕) เกิดแต่การได้รับความทุกข์ ซึ่งชวนให้หวนไปนึกถึงเหตุแห่งความทุกข์นั้น ๆ

    (๖) เกิดแต่การได้รู้เห็นสิ่งที่คล้ายกัน ซึ่งเป็นการเตือนให้จำอีกสิ่งหนึ่งได้

    (๗) เกิดแต่การรู้เห็นสิ่งที่ตรงกันข้าม เช่น เห็นสีขาว ทำให้นึกถึงสีดำได้

    (๘) เกิดแต่การได้รับคำเตือน

    (๙) เกิดแต่รู้เห็นตำหนิ หรือลักษณะทรวดทรง

    (๑๐) เกิดแต่นึกขึ้นได้โดยลำพัง

    (๑๑) เกิดแต่การพินิจพิเคราะห์

    (๑๒) เกิดแต่การนับจำนวนไว้

    (๑๓) เกิดแต่การทรงจำไว้ได้ตามธรรมดา

    (๑๔) เกิดแต่การอบรม เช่นผู้ที่กระทำใจได้แน่วแน่ ในเมื่อกระทำกิจการ สามารถรวบรวมกำลังใจมาคิด มานึก เฉพาะในกิจการอย่างนั้น แม้ว่ากิจการนั้น จะได้ผ่านหูผ่านตามานานแล้ว เมื่อมานึกมาคิดขึ้นในภายหลัง ก็ยังคงจำได้ระลึกได้

    (๑๕) เกิดแต่การได้จดได้เขียนไว้

    (๑๖) เกิดแต่การเก็บไว้

    (๑๗) เกิดแต่การเคยพบ เคยเห็น

    ม. มากอย่าง


    ปัญหาที่ ๒ ถามว่า ผู้ที่ทำบาปมาตั้ง ๑๐๐ ปี ถ้าเวลาจะตาย ทำจิตให้ผ่องใสได้ก็ไปสุคคติ จะไปได้จริงหรือ

    (เป็นสำนวนแปลของนายยิ้ม ปัณฑยางกูร จากหนังสือ "ปัญหาพระยามิลินท์" ฉบับหอสมุดแห่งชาติ)



    พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน คำที่เธอว่าผู้ที่ทำบาปกรรมเรื่อยมาแม้ตั้ง ๑๐๐ ปี แต่ถ้าเวลาจะตาย มีสติระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าได้ ก็ย่อมนำไปเกิดในสวรรค์ ส่วนผู้ที่ทำบาปแม้แต่ครั้งเดียวก็ย่อมไปเกิดในนรกนั้น ดูไม่สมเหตุผล ข้าพเจ้าก็ยังไม่เห็นด้วย

    พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร ศิลาแม้ก้อนเล็กโดยลำพังจะลอยน้ำได้หรือไม่

    ม. ไม่ได้

    น. ก็ถ้าศิลาตั้ง ๑๐๐ เล่มเกวียน แต่อยู่ในเรือ ศิลานั้นจะลอยน้ำได้หรือไม่

    ม. ก็ได้สิเธอ

    น. ขอถวายพระพร เปรียบบุญกุศลเหมือนเรือ บาปกรรมเหมือนศิลา อันคนที่กระทำบาปอยู่เสมอจนตลอดชีวิต ถ้าเวลาจะตาย มิได้ปล่อยจิตใจให้ตามระทมถึงบาปที่ตัวทำมาแต่หลังนั้น สามารถประคองใจไว้ในแนวแห่งกุศลอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น อาจทำใจให้แน่วอยู่เฉพาะแต่ในพระคุณของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ถ้าตายลงในขณะแห่งจิตดวงนั้น ก็เป็นอันหวังได้ว่าไปสู่สุคติ ประหนึ่งศิลา ซึ่งมีเรือทานน้ำหนักไว้ มิให้จมลงฉะนั้น ส่วนผู้ที่กระทำบาปที่สุดแต่ครั้งเดียว ถ้าเวลาใกล้จะดับจิต เพียงแต่จิตหวนไปพัวพันถึงกิริยาอาการที่ตัวกระทำบาปกรรมไว้เท่านั้น จิตดวงนั้นก็เป็นหนักพอที่จะถ่วงตัวไปให้เกิดในนรก ซึ่งเหมือนศิลาที่เราโยนลงไปในน้ำ แม้จะก้อนเล็กก็คงจมเช่นเดียวกัน

    ม. สมเหตุสมผลละ


    ปัญหาที่ ๓ ถามว่า จะเพียรดับทุกข์ที่ยังไม่มาถึงจะได้หรือไม่


    (เป็นสำนวนแปลของนายยิ้ม ปัณฑยางกูร จากหนังสือ "ปัญหาพระยามิลินท์" ฉบับหอสมุดแห่งชาติ)



    พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน เธอพยายามฝึกฝนตน ด้วยมีประสงค์จะละทุกข์ที่ล่วงมาแล้วกระนั้นหรือ

    พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร หามิได้

    ม. หรือจะละทุกข์ที่ยังมาไม่ถึง

    น. หามิได้

    ม. ถ้าเช่นนั้น ก็จะละทุกข์ที่มีอยู่ในบัดนี้

    น. จะว่าเฉพาะทุกข์ในบัดนี้ก็ไม่ใช่

    ม. ถ้าว่าอย่างนั้น เธอกระทำความพยายามทำไม

    น. ขอถวายพระพร อาตมภาพพยายามด้วยหวังว่า จะดับทุกข์ที่มีอยู่ และจะมิให้ทุกข์อื่นซึ่งยังมาไม่ถึงเกิดขึ้น

    ม. ทุกข์ที่ยังมาไม่ถึงนั้น จะพยายามไม่ให้มีขึ้นได้หรือเธอ

    น. ขอถวายพระพร ได้

    ม. เธอฉลาดมาก พยายามจะละทุกข์ที่ยังมีมาไม่ถึงก็ได้

    น. ขอถวายพระพร พระองค์เคยถูกราชศัตรูยกพลมาเพื่อจะชิงเอาพระนครบ้างหรือไม่

    ม. เคยถูกอยู่บ้าง

    น. ในทันทีนั้น พระองค์ตรัสสั่งให้ลงมือขุดคู สร้างป้อมปราการ และฝึกหัดทหารซ้อมเพลงอาวุธ กระนั้นหรือ

    ม. หามิได้ กิจการเหล่านั้นต้องจัดทำเตรียมไว้ก่อน

    น. นั่นพระองค์มีพระประสงค์อย่างไร จึงต้องทำเตรียมล่วงหน้าไว้เล่า

    ม. ประสงค์ว่า เมื่อเกิดสงครามขึ้น จะได้ทำการต่อสู้ข้าศึกได้ทันท่วงที มิฉะนั้น ถึงเวลาสงครามก็จะหาโอกาสจัดทำได้ยาก ที่สุดก็จะต้องพ่ายแพ้ข้าศึก และการที่เตรียมจัดทำไว้ในเวลาปกติย่อมทำได้ดี ทั้งเป็นที่เกรงขามของข้าศึกที่ยังมีมาไม่ถึงได้ด้วย

    น. ขอถวายพระพร ข้าศึกที่ยังมีมาไม่ถึงก็มีด้วยหรือ

    ม. มีสิเธอ

    น. เหตุผลที่พระองค์ตรัสถามเบื้องต้นก็มีเช่นนี้แล การที่อาตมภาพเพียรฝึกฝนกาย วาจา ใจ ไว้ให้อยู่ในความควบคุมของจิตที่อบรมดีแล้ว ก็เพื่อปราบทุกข์ที่มีอยู่ในบัดนี้ และเพื่อไว้ต่อสู้ หรือป้องกันทุกข์ที่ยังมาไม่ถึง เช่นเดียวกับพระองค์เหมือนกัน เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ย่อมเป็นช่องทางที่จะให้ความทุกข์เข้ามาผจญใจได้ เมื่อกำลังใจมีไม่พอที่จะต้านทาน ก็ต้องยอมเป็นเชลยแห่งความทุกข์เรื่อยไป เป็นอันหาโอกาสที่จะทำเช่นนี้ได้อีกยาก เพราะฉะนั้น อาตมภาพจึงต้องพยายามฝึกฝนตนไว้ก่อน

    ม. เธอว่านี้ชอบแล้ว


    มิลินทปัญหา
    http://www.dharma-gateway.com/dhamma-milin-index-page.htm

    เครดิต เพื่อนสมาชิก rinnn
     
  2. ยอดคะน้า

    ยอดคะน้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    960
    ค่าพลัง:
    +711
    จะบริกรรมก็ดี
    จะพิจารณาก็ดี
    จุดมุ่ง ก็เพื่อ สติตัวเดียวเท่านั้น

    โอวาท หลวงปู่ พุธ ฐานิโย​
     
  3. ยอดคะน้า

    ยอดคะน้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    960
    ค่าพลัง:
    +711
    ธรรมทั้งปวงมีฉันทะเป็นรากเหง้า
    มีมนสิการเป็นแดนเกิด
    มีผัสสะเป็นเครื่องให้กำเนิด
    รวมลงในเวทนา
    มีสมาธิเป็นหัวหน้า
    มีสติเป็นใหญ่
    มีปัญญาเป็นเยี่ยม
    มีวิมุติเป็นแก่นสาร
    มีนิพพานเป็นที่สุด


    สติเป็นใหญ่ในธรรมทั้งปวง

    สติเจตสิก

    ๒. สติเจตสิก คือความระลึกรู้อารมณ์และยับยั้งมิให้จิตตกไปในอกุสล ความระลึกอารมณ์ที่เป็นกุสล ความระลึกได้ที่รู้ทันอารมณ์

    สติ เป็นธรรมที่มีอุปการะมากต้องใช้สติต่อเนื่องกันตลอดเวลา ในทางเจริญวิปัสสนาหรือเจริญสมาธิ มุ่งทางปฏิบัติซึ่งเป็นทางสายเดียวที่จะหลุดพ้นจากกิเลสไปได้ โดยเจริญสติปัฏฐานทาง กาย เวทนา จิต ธรรม มีสติระลึกรู้อยู่เนื่อง ๆ ว่า กายมีปฏิกูล ฯลฯ

    สติมีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้

    อปิลาปนลกฺขณา มีความระลึกได้ในอารมณ์เนืองๆคือมีความไม่ประมาทเป็นลักษณะ

    อสมฺโมหรสา มีการไม่หลงลืม เป็นกิจ

    อารกฺขปจฺจุปฏฺฐานา มีการรักษาอารมณ์ เป็นผล

    ถิรสญฺญาปทฏฺฐานา มีการจำได้แม่นยำ เป็นเหตุใกล้

    สติเป็นเครื่องชักนำใจให้ยึดถือกุสลธรรมเป็นอุดมคติ ถ้าหากว่าขาดสติเป็นประธานเสียแล้ว สมาธิก็ไม่สามารถจะมีได้เลย และเมื่อไม่มีสมาธิแล้ว ปัญญาก็เกิดไม่ได้

    เหตุให้เกิดสติ โดยปกติมี ๑๗ ประการ คือ

    (๑) ความรู้ยิ่ง เช่น สติของบุคคลที่ระลึกชาติได้ พระพุทธองค์ระลึกชาติได้ไม่จำกัดชาติจะระลึกได้ทุกชาติที่พระองค์ปรารถนา สติของพระอานนท์จำพระสูตรที่พระพุทธจ้าตรัสไว้ได้หมด

    (๒) ทรัพย์ เป็นเหตุให้เจ้าของทรัพย์มีสติ คือเมื่อมีทรัพย์มักจะเก็บรักษาไว้อย่างดี และจะระมัดระวังจดจำไว้ว่าตนเก็บทรัพย์ไว้ที่ใด

    (๓) สติเกิดขึ้นเนื่องจากเกิดเหตุการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต เช่น พระโสดาบันจะจำได้โดยแม่นยำถึงเหตุการณ์ที่ท่านได้บันลุเป็นพระโสดาบัน หรือบุคคลที่ได้รับยศยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งในชีวิต

    (๔) สติเกิดขึ้น โดยระลึกถึงเหตุการณ์ที่ตนได้รับความสุขที่ประทับใจ เมื่อนึกถึงก็จะจำเรื่องต่าง ๆ ได้

    (๕) สติเกิดขึ้น เนื่องจากความทุกข์ที่ได้รับเมื่อระลึกถึงก็จะจดจำได้

    (๖) สติเกิดขึ้น เพราะเห็นเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกับเหตุการณ์ที่ตนเคยประสบ

    (๗) สติเกิดขึ้น เพราะเห็นเหตุการณ์ที่ตรงกันข้ามกับที่เคยประสบ

    (๘) สติเกิดขึ้น เพราะคำพูดของคนอื่น เช่น มีคนเตือนให้เก็บทรัพย์ที่ลืมไว้

    (๙) สติเกิดขึ้น เพราะเห็นเครื่องหมายที่ตนทำไว้ เช่น เห็นหนังสือที่เขียนชื่อไว้ถูกลืมไว้

    (๑๐) สติเกิดขึ้น เพราะเห็นเรื่องราวต่าง ๆ หรือผลงาน เช่น เห็นพุทธประวัติก็ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นต้น

    (๑๑) สติเกิดขึ้น เพราะความจำได้ เช่น มีการนัดหมายไว้ เมื่อมองไปที่กระดานก็จำได้ว่าต้องไปตามที่ได้นัดไว้

    (๑๒) สติเกิดขึ้น เพราะการนับ เช่น การเจริญสติระลึกถึงพระพุทธคุณ ก็ใช้นับลูกประคำ เพื่อมิให้ลืม

    (๑๓) สติเกิดขึ้น เพราะการทรงจำเรื่องราวต่าง ๆ ที่ศึกษาค้นคว้า แล้วจำเรื่องราวต่าง ๆ ได้

    (๑๔) สติเกิดขึ้นเพราะการระลึกชาติได้ ๑ ชาติบ้าง ๒ ชาติบ้าง (บุคคลที่มิใช่พระพุทธเจ้า)

    (๑๕) สติเกิดขึ้น เพราะการบันทึกไว้ เมื่อดูบันทึกก็จำได้

    (๑๖) สติเกิดขึ้น เพราะทรัพย์ที่เก็บได้เช่นเห็นทรัพย์ก็นึกขึ้นได้ว่าได้เก็บทรัพย์ไว้

    (๑๗) สติเกิดขึ้น เพราะสิ่งที่เคยพบเคยเห็นมาแล้ว เมื่อเห็นอีกครั้งก็ระลึกได้<!-- google_ad_section_end -->

     
  4. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    อันว่าจิตนั้น มีพลังงานอยู่สองชนิด คือ สติ๑ สัมปชัญญะ๑

    ฉนั้นการฝึกอบรมจิตใจ จึงทำให้เกิด สติ๑ สัมปชัญญะ๑

    อันผู้ไม่ได้ปฎิบัตินั้น ก็มีสติ แต่ไม่สามารถบังคับบัญชาได้

    ไม่สามารถคงทนอยู่ได้นาน มีการเผลอจาก สติ ได้เสมอ

    แต่ผู้ที่ปฎิบัติจนถึงพร้อมแล้ว จักมี สติ๑ สัมปชัญญะ๑ อยู่เป็นนิตย์
     
  5. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
    สติ เป็นธรรมะขั้นสูงสุด ที่หลายๆคนมักมองข้าม

    แม้นั่งสมาธิทั้งวัน แต่ถ้าไม่มีสติ อยู่กับการภาวนา สมาธินั้นก็ไม่พึงเกิด

    แม้เดินจงกรมทั้งคืน แต่เดินแบบไร้สติ เดินไปคิดไปเรื่อยเปื่อย สมาธิก็ไม่พึงเกิด

    แต่หากดำรงสติอยู่กับปัจจุบัน แม้จะอยู่ในอิริยาบถใดๆ ก็เท่ากับเป็นการปฏิบัติธรรมอยู่ตลอด

    เหมือนเรื่องของหลวงพ่อชา กับ หลวงปู่กินรี

    [​IMG]

    เมื่อครั้งยังเป็นพระหนุ่ม หลวงพ่อชา สุภัทโทได้ใช้เวลาหลายปีในการเสาะหาครูบาอาจารย์ผู้รู้แจ้งในธรรม ท่านเคยเดินธุดงค์จากลพบุรีไปยังนครพนมเพื่อศึกษาธรรมจากหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต แม้มีเวลาฟังธรรมโอวาทจากท่านเพียงแค่ ๓ วัน แต่ก็บังเกิดความอิ่มเอิบในธรรมอย่างยิ่ง มีกำลังใจในการปฏิบัติอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

    ในพรรษาที่ ๙ ท่านได้ฝากตัวเป็นศิษย์หลวงปู่กินรี จันทิโย ที่นครพนม หลวงปู่กินรีเป็นพระวิปัสสนาจารย์ซึ่งเปี่ยมด้วยภูมิธรรมและมีประสบการณ์การ ภาวนาตามป่าเขาอย่างโชกโชน เมื่อท่านชราภาพได้มาเป็นหลักเป็นประธาน ณ วัดป่าหนองฮี

    ในพรรษานั้นพระภิกษุชาทำความเพียรอย่างไม่ลดละ เดินจงกรมทั้งวันทั้งคืน โดยไม่ระย่อต่อแดดฝนหรืออุปสรรคใด ๆ จนพื้นดินเป็นร่องลึก แต่มีสิ่งหนึ่งที่ยังความสงสัยแก่ท่านมากก็คือ หลวงปู่กินรีนั้นกลับไม่ค่อยเดินจงกรมนั่งสมาธิ วันหนึ่ง ๆ ท่านเห็นหลวงปู่เดินเพียงไม่กี่เที่ยว เวลานอกนั้นท่านทำกิจอื่น เช่น เย็บผ้าปะจีวร ดูท่านมีงานจิปาถะทำทั้งวัน
    <center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td>
    เมื่อเห็นเช่นนี้พระภิกษุชาจึงคิดในใจ ว่า “ครูบาอาจารย์จะไปถึงไหนกัน เดินจงกรมก็ไม่เดิน นั่งสมาธินาน ๆ ก็ไม่เคยนั่ง คอยแต่ทำนั่นทำนี่ตลอดทั้งวัน แต่เรานี่ปฏิบัติไม่หยุดเลย ถึงขนาดนั้นก็ยังไม่รู้ไม่เห็นอะไร ส่วนหลวงปู่ปฏิบัติแค่นั้นจะเห็นอะไร”

    แต่ หลังจากที่ได้อยู่ปฏิบัติกับหลวงปู่นาน ๆ และได้ฟังธรรมอันลุ่มลึกจากท่าน พระภิกษุชาก็รู้ว่าเป็นความเขลาของท่านเองที่คิดเช่นนั้น ท่านพูดถึงบทเรียนที่ท่านได้จากประสบการณ์ครั้งนั้นว่า

    “เรามันคิด ผิด หลวงปู่ท่านรู้อะไร ๆ มากกว่าเราเสียอีก คำเตือนของท่านสั้น ๆ และไม่ค่อยมีให้ฟังบ่อยนัก เป็นสิ่งที่ลุ่มลึก แฝงไว้ด้วยปัญญาอันแยบคาย ความคิดของครูบาอาจารย์กว้างไกลเกินปัญญาเราเป็นไหน ๆ ตัวแท้ของการปฏิบัติคือความพากเพียร กำจัดอาสวกิเลสภายในใจ ไม่ใช่ถือเอากิริยาอาการภายนอกของครูบาอาจารย์เป็นเกณฑ์”

    ท่านมาได้ ตระหนักชัดอีกครั้งว่า การปฏิบัติธรรมนั้นไม่ได้อยู่ที่รูปแบบ แต่อยู่ที่การวางใจให้ถูกต้อง ไม่ว่าทำอะไร ก็สามารถเป็นการภาวนาได้

    คราว หนึ่งพระภิกษุชานั่งปะชุนจีวรที่ขาดวิ่น ใจนั้นนึกถึงการภาวนาอยู่ตลอดเวลา อยากรีบปะชุนให้เสร็จเร็ว ๆ เพื่อจะได้ไปภาวนาต่อ ขณะนั้นเองหลวงปู่กินรีเดินผ่านมา สังเกตเห็นอาการของพระหนุ่ม จึงพูดขึ้นมาว่า

    ท่านชา จะรีบร้อนไปทำไมเล่า”

    “ผมอยากให้เสร็จเร็ว ๆ ครับหลวงปู่
    </td></tr></tbody></table></center>
    “เสร็จแล้วท่านจะทำอะไรล่ะ”

    จะไปทำอันนั้นอีก”


    ถ้าเสร็จอันนั้นแล้ว ท่านจะทำอะไรอีกล่ะ”

    “ผมก็จะทำอย่างอื่นอีก”

    เมื่อทำอย่างอื่นเสร็จแล้ว ท่านจะไปทำอะไรอีกเล่า

    เมื่อเห็นว่าใจของพระภิกษุชาไม่ได้อยู่ กับงานที่กำลังทำ แต่คิดถึงงานชิ้นอื่น ๆ ที่อยู่ข้างหน้า และรีบร้อนจะทำให้เสร็จไว ๆ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อไปภาวนาต่อ หลวงปู่กินรีจึงเตือนพระหนุ่มว่า


    “ท่านชา ท่านรู้ไหม นั่งเย็บผ้าผืนนี้ก็ภาวนาได้ ท่านดูจิตตัวเองสิว่าเป็นอย่างไร แล้วก็แก้ไขมัน ท่านจะรีบร้อนไปทำไมเล่า ทำ อย่างนี้เสียหายหมด ความอยากมันเกิดขึ้นท่วมหัว ท่านยังไม่รู้เรื่องของตนอีก”

    คำพูดของหลวงปู่กินรีกระตุกใจของพระ ภิกษุชาอย่างแรง ทำให้ท่านได้สติ และเกิดความเข้าใจชัดเจนว่า ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ทำอะไร ก็ภาวนาได้ทั้งนั้น ขอให้หมั่นดูใจของตนอย่างต่อเนื่อง จนเกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อม นี้เป็นบทเรียนที่ประทับใจท่านมาก และถือเป็นหลักปฏิบัติของท่านตลอดมา

    ดัง นั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยเมื่อท่านได้กลายเป็นพระวิปัสสนาจารย์ชั้นผู้ใหญ่ หากฆราวาสคนใดบอกท่านว่า ไม่มีเวลาปฏิบัติธรรม ท่านก็จะถามกลับไปว่า “แล้วมีเวลาหายใจหรือเปล่าล่ะ”
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กันยายน 2011
  6. ยอดคะน้า

    ยอดคะน้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    960
    ค่าพลัง:
    +711
    อนุโมทนามิ งับพี่ 5314786​
    เล่นตัวเลข จักหน่อย หุหุ

    5314786
    เบอร์นี้ บ่งบอกว่าผู้ใช้ เป็นคนที่มีความสุขกับชีวิต
    ไม่ซีเรียสกับสิ่งที่เป็นอยู่ สะบายๆตามสไตล์ชีวิต
    หากจะมีคนรัก หรือคนที่ถูกคอพอใจ
    ก็จะได้เป็นแบบเพื่อนเรียกว่า เป็นเพื่อนมาก่อนเป็นแฟน หรือ
    มีคนรัก ก็จะคุยกันแบบเพื่อน

    เรื่องเพื่อนฝูงที่คบๆกัน ก็มักจะคอย แข่งๆกันอยู่
    แต่ก็เป็นคนที่มีผู้หลักผู้ใหญ่อุปถัม
    มีเรื่องเดือดร้อนก็มักจะได้รับความช่วยเหลือได้ง่าย
    นิสัยส่วนตัวมั่นคงหนักแน่น
    ทนทรหด หุหุ
    การมุ่งที่จะหวังอะไรมากๆอย่างเดียว
    มักจะเป็นเหตุให้พลาดพรั้ง ในกิจการงาน
    แต่หากทำอะไรที่ไม่คาดหวังมักจะได้สิ่งนั้นบ่อยๆ

    อันนี้ก็เดาเล่นๆไปตามเนื้อผ้าครับ ^^
     
  7. ยอดคะน้า

    ยอดคะน้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    960
    ค่าพลัง:
    +711
    ถ้าอริยะสติมันไม่เกิด มันไม่ละหรอกกิเลส
    มันละแต่ปากเท่านั้นแหล่ะ

    โอวาท หลวงปู่ บุญฤทธิ์ ปัณฑิโต​
     
  8. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,800
    ขอบคุณนะครับพี่ยอดคะน้า มีทำนายให้ฟรีด้วย

    ถ้าคิดตังก็ไม่จ่ายนะครับ เพราะยังไม่โดนจายเท่าไหร่ ^__^
     
  9. ยอดคะน้า

    ยอดคะน้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    960
    ค่าพลัง:
    +711
    ^ ^ ขำๆแล้วกันเน๊าะๆ
     
  10. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    thumb.png 3BX05N4FCC96B7268DF04Clv.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...