รุ้ได้เยี่ยงไร ว่าฉวี ชีวิตติดสมแทะ เขียนแค่นั้น
ไม่ใช่ว่าอยุ่แค่นั้น อันนั้นอำนาจอสุแพะ อสุแกะ
สมแทะและวิปัสสนาสามารถฝึกพร้อมกันได้เบย
ไม่ต้องแยกสมแทะก่อนแล้ววิปัสสนาทีหลัง แบบใครก้อไม่รู้พาเราแยกมาจนถึงปัจจุบัน...
... สมาธิในฌานมันโง่ สมาธิในอริยะมรรคมันฉลาด ...
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ปราบเทวดา, 5 มกราคม 2020.
หน้า 5 ของ 6
-
แหะแหะสุมาแพะที่แยกแยะเห็นสมาแทะ
ก็ด้วยเหตุเห็นหลวงพ่อปาแมะต่างกันแยะกับที่เป็น
ก็หากว่าเมื่อไหร่แหละปรารภไม่แยกแยะ
เห็นอสุแพะเสมอคำบริแกะเสมออานาแปะ
ก็จะรู้แน่แระว่าไม่ติดสมแทะเห็นนิพพาแพะ เหลือธรรม -
ฉวีฝึกกับ ลพ.ท่านอื่นมาก่อยยยย
อสุแพะ ถ้ายังเห็นร่างกายดีสุด(สวยงาม) เลวสุด (ไม่สวย) ก็ยังไม่พ้นอำนาจของอสุแพะ เพราะนิมิตรที่หน่วงมาได้(กสิณ) จะเข้ามาในจิต และจะเป็นตัวจิตเสียเองว่าขันธุ์ สบู่ แชมพู นี้ เป็นของน่าเกลียด จึงต้องเอาวิปัสสนากำหนดต่อ ก็จะเห็นว่าร่างกายมันทำงานเป็นเช่นนั้นเอง ไม่สวยงามอะไร ไม่ดีเลว ซ้ายสุดโต่งขวาสุดโต่ง เบอร์นั้น -
เอิ่ม พูดแบบ ตรงๆ เลยละกัน
ก่อนอื่น ต้องปรารภก่อนว่า
" ศีล นั้น จะรู้ได้โดยการอยู่ใกล้ " ซึ่ง การอยู่ใกล้
หมายถึง "คอยปรนิบัติ ล้างเท้า จัดที่นอน จัดโน้น
จัดนี้ให้ " ตาม บัญญัติการเป็น "อาจารย์" ที่พระ
ศาสดาทรงบัญญัติ หากไม่ได้อยู่ใกล้ ก็จะ ไม่มี
ทาง รู้ศีล ได้ ( และ ที่กล่าวถึง ก็เพื่อจะบอกว่า
ไม่ได้ ล่วงเกินปรารภเรื่อง มีศีล ไม่มีศีล )
ส่วน
"ธรรม จะรู้ได้จาก คำพูด" ซึ่ง ผู้พูด พูดเป็น
ธรรมไหม จะทราบกันได้ โดยที่ ไม่ได้เกี่ยว
อะไรกับ การไปรู้ " วิมุตติขันธ์ " เพราะ คน
ละส่วนการ คนทั่วไปสามารถพูดเป็นธรรมได้
โดยที่ไม่ต้องมี วิมุตติขันธ์
นะ
จากที่ ร้องแบะแบะ เป็น แพะ ไปก่อนหน้าว่า
อาศัย แยกแยะ จากการที่ ยังปรารภเห็น "แตะต่าง"
ใน วิธีการ ในการยกเข้าสู่ วิปัสสนา .........(1)
มาโพสต่อมา ก็พูดในเรื่อง "กาลเวลา"......(2)
อาศัย อำนาจ ความไม่มี สภาพ อกาลิโก สัณทิฏฐิโก
ก็ต้อง จำต้องพูดว่า .....ยังติด สมถะ อยู่ ยังไม่
เคย สัมผัส วิปัสสนา
เพราะ ถ้า เป็น วิปัสสนาแล้ว จะต้องเห็น ร่วมกัน
หรือ ลงรอยเดียวกัน เหมือนยืนบนยอดเขา แต่
ขึ้นคนละทาง
หลวงพ่อพุธ พูดง่ายๆ ว่า จุดนัดพบ จะอยู่ที่ "ปฐมฌาณ"
พระศาสดา จะตรัสอุปมาว่า ภิกษุในธรรมวินัยของ
พระองค์ จะสามารถ เอา เท้า หยั่งเหยียบ บาดาล ได้
( โดยที่ การพ้น หรือ การวิมุตติ จะอุปมา " อีกทั้งกาย
ก็ถึงฝั่ง " )
นะ จึงอยากจะ ขอแค่ ฝากเป็นข้อสังเกต
ถ้า ยกวิปัสสนาได้ ..... ความแตกต่างของการภาวนา
จะต้องไม่มี ลำพังแค่ นามรูปปริเฉทญาณ หากมี
จะไม่เกิดความเห็นต่าง ในการปฏิบัติแล้ว คำบริกรรม
อานาปานสติ อสุภะ กรรมฐาน40 จะเหมือนกันหมด
เป็นเพียง อุบาย ส่วนหนึ่ง
"กาลเวลา" นั้น หากยังปรากฏ ในหมู่นักปฏิบัติ
คนที่ปฏิบัติได้ จะทราบทันทีว่า นักปฏิบัตินั้นๆ
ยัง "ติดกองสัญญา" อยู่ เพราะ ความแตกต่าง
ทางเงื่อนเวลา จะเกิด จาก สัญญามันเคลื่อน แค่
ขณะจิตเดียว ที่ สัญญายังกุมจิต ความเป็น อกาลิโก
ของธรรม จะไม่เห็น
ดังนั้น หาก ยกวิปัสสนาได้ นอกจาก สายการปฏิบัติ
จะไม่แยก ยังไม่มีเรื่องมาก่อน มาหลัง เด็ดขาด
หาก ยังปรารภ แตกต่าง มีก่อน มีหลัง เราจะทราบ
ทันทีว่า คำพูดนั้น ไม่มีธรรม -
อนึ่ง กสิณ ที่ได้จาก อสุภะ จะต้องได้ ปฐวีกสิณ
เมื่อได้ ปฐวีกสิณ บัญญัติเรื่อง สวย งาม จะไม่เกิด
ขึ้นในคลองทิฏฐิ จะเห็น คลี่ เนื้อ ดิน อนุปาธินต่างๆ
ก็เสมอกันด้วยความเป็น ปฐวีธาตุ
ดังนั้น หาก อารมณ์ไม่ถึง ปฐวีธาตุ อย่ารีบร้อนใช้
บัญญัติ คำว่า กสิณ
แล้วใช้อะไร ใช้ไปในเชิง พิจารณา นวสี หรือ ปฏิกูล
ซึ่งจะเป็น กองสัญญา10 ไม่เกี่ยวกับ กสิณ ( เว้นแต่
จิตจะ ผลิกแผลง ก็จะอีกเรื่องหนึ่ง ) ......
หากทว่า จะพิจารณาเป็น กองสัญญา แล้ว ให้ยก
อาการ เดี๋ยวระลึกได้ เดี๋ยวระลึกไม่ได เห็น สัญญา
มีสภาพ เกิด ดับ ไม่ใช่ไปเน้น สาระของ สัญญา10
เพื่อ ฉลาดใน สัญญาอันเดียว(เกิด ดับ) หรือมี ธรรมหนึ่ง -
คำว่า เป็นธรรม พูดเป็นธรรม นี้ อย่าเอาไปโยง วิมุตติ เด็ดขาด
ถ้าจะเข้าใจ ก็ต้องเคย ดูหนัง "เต๋า สมชาย"
ต่อให้เป็น โจร หาก พูดเป็นธรรม ก็จะถือว่า คนนั้น มีธรรม -
คิดจะพัก คิดถึง คิดแคท..
-
แต่..
ถ้าคนพิจารณา น้อมเข้าสู่ธรรม ก็ เป็น..............
อยู่.. -
ข้าพเจ้าขออนุโมทนาในธรรมทุกท่านด้วยความเคารพครับ
ขอบคุณ คุณธรรมชาติอีกครั้งครับ
วิธีปฏิบัติละเอียดมากครับ ข้าพเจ้าจะปฏิบัติต่อไปครับ
และที่ข้าพเจ้าเห็นยังไม่ลึกและละเอียดแบบที่คุณธรรมชาติแนะนำครับ ยังเห็นแค่ตอนที่มันเกิดขึ้นมาแล้ว คือเกิดมาเป็นรูปแล้ว หรือเป็นนามแล้ว แต่ยังไม่เห็นไปถึงจุดกำเนิดก่อนๆนี้ครับ ขออนุโมทนาครับ
และเรื่องคำว่า พิจารณา ข้าพเจ้าเองก็เคยใช้ครับ แต่ พิจารณา ของข้าพเจ้าไม่ได้หมายถึงการคิดครับ แต่หมายถึง วิตกวิจารณ์ และรวมไปถึงการอนุโลมปฏิโลม ครับ นั่นคือความหมายของข้าพเจ้า เลยอาจทำให้สื่อสารผิดครับ แต่ต่อไปข้าพเจ้าจะใช้คำว่า พิจารณา เฉพาะ การคิด นะครับ จะพยายามใช้ศัพท์ให้ถูกครับ
ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปครับ -
อันไหนที่ตนเข้าใจ แล้วน้อมไปปฏิบัติ เพื่อ ลด ละ กิเลส อันนั้นเป็นธรรมที่เหมาะกับตนเองแล้ว
ไม่จำเป็นต้องอธิบายให้คนอื่นเข้าใจตามก็ได้ ถ้ามัวอธิบายอย่างนั้น มันไม่มีวันจบสิ้น
การปฏิบัติ เห็นบ่อยๆ จิตมันจะวิวัฏ ของมันเอง
ฝึกทวนกระแส หรือ อนุโลม ปฏิโลม มากๆ เมื่อชำนาญแล้ว จิตมันจะยกขึ้นสู่ภูมิธรรม ขั้นต่อไป เอง..
ปล. ขออนุญาตตอบ นิดหน่อย ต้องขออภัย ท่านธรรมชาติ ไว้ ณ. ที่นี้.. -
ความคิด ถ้าใช้ในเรื่องหนึ่ง เรื่องใด คิดกลับไปกลับมา อันนั้น เขาเรียก "ตรึก" หรือ วิตก
เมื่อวิตก เกิดขึ้น วิจารณ์ ก็เกิดขึ้น โดยธรรมชาติ มันเกิดสืบต่อเนื่องกันอยู่แล้ว..
การปฏิบัติ อย่าเรียงตามตำรามากนัก.. -
"พิจารณาโดยแยบคาย".. -
ฟังเพลง.. -
ขออนุโมทนาในธรรมทุกท่านด้วยความเคารพครับ
อืม....คุณเมืองนำดำเองเท่าที่ข้าพเจ้าเห็น ก็ไม่ธรรมดานะครับ แต่ทำไมถึงต้องทำเป็นเพี้ยนครับ
หรือใครมาอย่างไรก็ไปอย่างนั้นครับ คำแนะนำของคุณชัดเจนครับ ขออนุโมทนาครับ
ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปครับ -
อาจารย์อย่างไร ศิษย์ก็อย่างนั้น.. -
-
หลวงปู่แบน ละสังขาร..
-
+++ มันจะเกิดอาการ "กระพริบ/กระเพื่อม" ก่อนที่จะกลายเป็น "วจี/มโน จิตตะสังขารขันธ์"
+++ ให้สังเกตุอาการของ "สนามพลัง/ธัมมารมณ์" ที่ล้อมรอบ "จุด กำเนิดกิริยาจิต" ให้ดี ๆ
+++ ตรงนี้แหละเป็น "นาม" เป็น "สนามพลัง/ภูมิ/เนื้อธาตุ/ธัมมารมณ์" แล้วแต่จะเรียก
+++ ในยุคครูบาอาจารย์ คำว่า "พิจารณา" คือ โอปนยิโก หรือ การเดินจิต เข้า/ออก ไปในสภาวะธรรม
+++ เมื่อ เข้าไปแล้ว "เข้า/อยู่" ในสภาวะนั้น จะเกิด "อธิปัตติปัจจัยโย" ใน มหาปัฏฐานสูตร (เหตุปัจจัยโย)
+++ คำว่า "พิจารณา" แต่ก่อนผมใช้คำว่า "เดินจิต" แต่ปัจจุบัณ
+++ คำว่า "เดินจิต" นี้ โดนไอ้พวกพยายาม "ปั้นพระปลอม" มันหยิบเอาไปใช้
+++ ผมจึงเปลี่ยน "คำศัพท์" ใหม่ โดยใช้ คำศัพท์ในช่วงแรก ๆ ที่เข้ามาในเวปนี้
+++ ผมเคยใช้คำว่า "อยู่/ย้าย" มาก่อน แต่ คนส่วนใหญ่ จะ อ่านไม่รู้เรื่อง
+++ อาการ "เข้า/ออก" "อยู่/ย้าย" ไปตามสภาวะธรรม นี่แหละคือ อาการ "พิจารณา (วิ+จารณะ)"
+++ รวมทั้งคำว่า "เอกัคตา สู่ เอกัคตา" ก็เช่นกัน แต่เป็นเฉพาะในส่วนของ "นาม/ฌาน"
+++ ดังนั้น คำว่า "พิจารณา" ในปัจจุบันนี้ จะตรงกับอาการ "มโนเอาเอง" ไม่มีผิด
+++ ไม่รู้ว่า มันแฝงเข้ามาได้ยังไง จึงเปลี่ยนจาก "โอปนยิโก ไปเป็น มโนเอาเอง"
+++ คุณ Supop ต้องค่อย ๆ เลือกเอาเองว่า คำว่า "พิจารณา" จะใช้คำไหนแทน
+++ สำหรับผม จะใช้ "เข้า/ออก และ อยู่/ย้าย" ไปตามสภาวะธรรม
+++ การ "เข้า/อยู่" ในส่วนของ "รูป" จะเป็น "ภพ"
+++ การ "เข้า/อยู่" ในส่วนของ "นาม" จะเป็น "ภูมิ"
+++ ส่วนการ "เข้า/อยู่" แล้ว ถือครอง/ยึดเอาเป็นตน จะเป็น "อธิปัตติปัจจัยโย"
+++ ส่วนคำว่า "ขันธ์ประธาน แตกเป็น ขันธ์บริวาร" หากคุณ Supop เคยอ่านเจอมาก่อน
+++ ตรงนั้นเป็น "อะนันตะระปัจจะโย" "สะมะนันตะระปัจจะโย" "สะหะชาตะปัจจะโย"
+++ เหล่านี้ คืออาการ "พิจารณา ในยุค ครูบาอาจารย์" แต่ในยุคนี้กลายเป็น "มโนเอาเอง"
+++ คงพอแค่นี้แหละ โพสท์มากไป "โจรมันจ้องจะลอก" คนธรรมดาจะ "อ่านไม่ออก"
+++ ใช้เวลามาก ผู้ที่อ่านรู้เรื่อง มีได้น้อยคน แค่นี้พอก่อนนะครับ -
+++ คงพอแค่นี้แหละ โพสท์มากไป "โจรมันจ้องจะลอก" คนธรรมดาจะ "อ่านไม่ออก"
+++ ใช้เวลามาก ผู้ที่อ่านรู้เรื่อง มีได้น้อยคน แค่นี้พอก่อนนะครับ
555 อันนี้ชอบ -
+++ ไม่รู้จะว่ายังไง แม้แต่ชื่อ "ธรรมชาติ" มันยังเอาไปใช้ใน กลุ่มของมันเลย
+++ แถมพยายามที่จะใช้ "ภาษา" อย่างที่ผมใช้ซะอีก เช่น "รู้กว้าง ๆ" เป็นต้น
+++ การ "ขโมยธรรมะ" ของผู้อื่น "โดยที่ตนยังไปไม่ถึง" แล้วเอาไปแสดงนั้น
+++ เมื่อมีผู้ "ติดขัดในการปฏิบัติ" ไปถามมัน มันก็ย่อมต้อง "มโนมาตอบ" เป็นธรรมดา
+++ และนั่นแล.... ทำลายการปฏิบัติธรรมของผู้อื่น โดยปริยาย
+++ การปฏิบัติ ยิ่งลึกละเอียดไปเรื่อย ๆ "ภาษา" ต้องยิ่งตรงตามอาการมาก ตามระดับของการฝึก
+++ หากภายภาคหน้าคุณ kenny2 ไปเจอชื่อ "ธรรมชาติ" ในกลุ่มฝึกอื่น ๆ นอกจากในเวปนี้แล้ว
+++ ก็ให้รีบ ๆ เข้าใจซะเลยว่า "ไม่ใช่ผม ธรรม-ชาติ" ในเวปพลังจิต นี้ก็แล้วกัน
+++ มัน "กอปปี้" ชื่อผมไปใช้อย่าง "หน้าด้าน ๆ เต็ม ๆ เอาเลย"
+++ MOD ใหกลุ่มของมันก็รู้ว่า พระอาจารย์มหาของมัน "ก็อปปี้ธรรมะ" จากผมไปใช้
+++ กฏแห่งกรรม อาจไม่มาทันใจ แต่ เมื่อมันไปถึงที่สุดแล้ว จะแก้ไขอะไร "ไม่ได้เลย"
+++ โพสท์นี้เป็นการ "ระบุ" ว่าชื่อ "ธรรมชาติ" ในที่อื่นนั้น ไม่ใช่ผมแน่นอนนะ
หน้า 5 ของ 6