สมเด็จนางพญางิ้วดำ วัดใหม่บ้านดอน และครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัตดีปฏิบัติชอบ

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย poon-pan, 6 พฤษภาคม 2016.

  1. poon-pan

    poon-pan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,292
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,115
    คำสอนของสมเด็จนางพญางิ้วดำเกี่ยวกับ การปฏิบัติต่อพ่อแม่ของเรา

    เคยมีลูกศิษย์มาขอให้ท่านช่วยดูเรื่องเงินหายในบ้าน คนที่มาดูนั้นก็คิดว่าคนในครอบครัวคือคนที่เป็นพ่อเป็นแม่ของเขาเองเป็นคนทำ จนท่านต้องเตือนออกมาว่า เงินแค่หลักพันถึงกับจะเอาเป็นเอาตายกับผู้ให้กำเนิดเลยหรือ?

    แม้ตัวผมเองเมื่อก่อนก็ไม่ค่อยชอบใจเรื่องที่พ่อผมชอบเอาเงินที่ให้ไปกินเหล้า เล่นหวยหมด เลยมีอารมณ์หงุดหงิด พูดจาไม่ดีและบางครั้งก็ทำกิริยาที่ไม่สมควรต่อผู้บังเกิดเกล้า ท่านก็เตือนว่า ให้ระวังกฎแห่งกรรมด้วย เราทำอะไรไม่ดีไว้กับพ่อแม่ อีกหน่อยลูกมันก็จะทำกับเราแบบนั้น พอผมได้ฟังแล้วทำให้ได้คิด เลยต้องตั้งใจเอาใหม่ว่า เราทำหน้าที่ของเราแล้วส่วนพ่อแม่เราจะทำที่ไม่ถูกใจของเรา ก็ต้องปล่อยๆไปบ้าง เดี๋ยวนี้ผมก็วางได้เบาลงไปเยอะเลยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤศจิกายน 2017
  2. poon-pan

    poon-pan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,292
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,115
    ตอนแรกผมเคยตั้งใจว่าจะคัดลอกเอาเรื่องประสบกาณ์ที่เกี่ยวกับสมเด็จนางพญางิ้วดำในหนังสือเล่มเล็กๆ บางๆเกี่ยวกับสมเด็จนางพญางิ้วดำ ที่ผมเคยซื้อเมื่อ1-2ปี แต่ไม่แน่ใจเรื่องลิขสิทธิ์เลยไม่ได้เอามาลงไว้ในกระทู้นี้

    ส่วนเรื่องข้างล่างนี้ขุดเอามาจากเวบนี้เองครับ เคยมีคนเอามาลงไว้

    เมื่อประมาณปี พ.ศ.2536 ขณะนั้นผมรับราชการที่สถานีอนามัยแห่งหนึ่งในจังหวัดกาฬสินธุ์ และได้รับพระนางพญางิ้วดำของหลวงพ่อเกษม เขมโก รุ่นเสตุวารี จากพี่ท่านหนึ่ง และได้แขวนคอไปทำงานประจำ อยู่มาวันหนึ่งมีคนไข้มาขอรับยาได้เดินตามหลังข้าพเจ้าขึ้นไปบนสถานีอนามัยซึ่งเป็นแบบสองชั้น พอคนไข้เดินขึ้นมาถึงก็ทำท่ามองหาอะไรสักอย่างหนึ่ง ผมแปลกใจจึงได้ถามเขาว่า มองหาอะไรอยู่ เขาบอกว่ามองหาผู้หญิงผมยาวที่แต่งชุดไทย ไว้ผมยาวที่เดินตามคุณหมอขึ้นมาเมื่อตะกี้งัย ผมบอกเขาว่าไม่มี เขายืนยันว่าเห็นมากับตา ยังแปลกใจว่าใครช่างแต่งตัวแปลกๆๆมาเดินตามหลังคุณหมอ(ชาวบ้านเรียกเจ้าหน้าที่สาธารณสุขว่าหมอ)..สวยก้สวยไม่เคยเห้นหน้ามาก่อนเลย

    เรื่องนี้มีลงไว้ในหนังสือ ผมลองเสริชดูเห็นมีคนลงไว้ในบางเวบครับเลยคัดลอกเอาบางส่วนมาครับ

    ...ใช่แต่เพื่อนคนนี้จะพบเจอปาฏิหาริย์แห่งองค์สมเด็จนางพญางิ้วดำ เพื่อนสนิทอีกคนหนึ่งซึ่งไม่ สะดวกจะออกนามเนื่องจากเขาเป็นคนเจ้าชู้ไม่น้อยซุกชนไปทั่ว ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดกับใครแม้จะมีครอบครัวลูกเมียแล้วก็ตาม วันหนึ่งขณะที่นั่งสมาธิอยู่ในห้องพระอันเงียบกริบ เปิดแต่ไฟสลัวและแอร์เย็นฉ่ำโดยลำพัง

    ทันใดนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงสตรีนางหนึ่งพูดขึ้นในห้องอย่างใกล้ตัวด้วยเสียงที่ไม่ดังและไม่เบา หากเป็นเสียงที่มีความไพเราะเป็นยิ่งนัก สดใส และกังวาน ราวกับระฆังเงินเนื้อดีว่า "กำลังจะเป็นเอดส์แล้วนะ"

    เจ้าตัวลืมตาขึ้นทันทีด้วยความตกใจสุดขีด หัวใจไหวระทึกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะเขาอยู่ในห้องโดยลำพังไม่มีใคร ประตูหน้าต่างก็ล็อคลงกลอนปิดแน่นหนาดี แล้วนั่งมาร่วมชั่วโมงก็ไม่มีอะไร แต่เมื่อกี้เสียงใครพูด ?

    ทบทวนไปมาก็นึกไม่ออกว่าจะเป็นใคร ทั้งข้อความที่มาบอกก็น่ากลัวอยู่ไม่น้อย เพราะโรคนี้ใครเป็นก็ตายสถานเดียว ขณะนึกไม่ออกว่าใครพูด ก็เหลือบไปเห็นพระเครื่ององค์น้อยในมือตน ซึ่งใช้กำนั่งสมาธิ สมเด็จนางพญางิ้วดำ !

    เป็นเนื้อพิเศษซึ่งแกะจากแก่นไม้องค์เดิมแท้ ๆ อันถือได้ว่าเป็นเนื้อเป็นหนังจากองค์ท่านจริง ๆ ชะรอยหรือนางพญางิ้วดำจะมาเตือนถึงกรรมที่เราล่วงศีลข้อกาเมฯ อยู่เป็นประจำ เมื่อคิดไม่ตกก็นำความไปกราบเรียนถามพระเถระผู้เป็นที่เคารพยิ่งคือ หลวงพ่อลำใย สัญญโม วัดสะแก ครั้นเล่าให้ท่านฟังยังไม่ทันจบดี ท่านก็สวนขึ้นทันทีว่า "ใช่ เขามาจริง เขามาเตือนแก"

    ทำให้เพื่อนผมขนลุกซู่ชูชัน แต่ที่น่าช็อคไปกว่านั้นคือ ท่านบอกว่าแกเป็นเอดส์จริง ๆ นะ ในขั้นเริ่มต้น เมื่อให้สัจจะสัญญาว่าจะไม่ผิดศีลข้อสามอีก หลวงพ่อก็บอกวิธีรักษาให้ ซึ่งเขาก็ซุ่มรักษาตัวโดยอาศัยบารมีหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ หลวงพ่อลำใย และสมเด็จนางพญางิ้วดำเป็นหลัก ไม่นานเท่าไร อาการที่เริ่มเป็นหลาย ๆ อย่างก็ค่อย ๆ ทุเลาลงจนหายไป เมื่อไปตรวจเลือดอีกทีก็ไม่ปรากฏว่าเป็นบวก เพื่อนคนนี้จึงให้ความเคารพในหลวงพ่อลำใยและเสด็จแม่นางพญางิ้วดำเป็นอันมาก

    อยู่มาวันหนึ่งพวกเราได้เดินทางขึ้นไปกราบสมเด็จนางพญางิ้วดำเป็นปกติ เรียบร้อยแล้วก็ไปนมัสการ หลวงพ่อพระครูอาคมฯ ที่กุฏิ คุยกันอยู่พักใหญ่เพื่อนคนนี้ก็กระมิดกระเมี้ยนเล่าให้ท่านฟังถึงประสบการณ์ตรงของตน ยังไม่ทันเล่าจบดีท่านก็ออกปากรับรองทันที ว่า "ใช่" ท่านเชื่อว่าสมเด็จนางพญางิ้วดำไปหาเขาจริง เพราะเสียงที่บอกกับเพื่อนคนนี้เป็นเสียงผู้หญิงและไพเราะ มาก...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤษภาคม 2017
  3. poon-pan

    poon-pan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,292
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,115
    เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมานี้ผมได้เดินทางไป จังหวัดอุบลราชธานีเพื่อไปงานบวชพระของรุ่นน้องที่ทำงานด้วยกัน เลยถือโอกาสแวะเข้ากราบสักการะสมเด็จนางพญางิ้วดำที่วัดใหม่บ้านดอน โคราช ผมและสมาชิกในครอบครัวสี่คนก็ขึ้นไปกราบสักการะท่าน นานแล้วครับที่ไม่ได้มีความตั้งใจเข้าไปกราบท่าน รู้สึกดีใจแม่บ้านเขาเด็ดดอกมะลิที่ปลูกอยู่ที่บ้านได้หนึ่งแก้วน้ำ เลยได้อาศัยดอกมะลินี้เป็นเครื่องบูชาสักการะท่าน

    ตอนที่เลี้ยวรถจะเข้าวัดนั้น ทำให้นึกถึงวันเก่าๆ คือวันงานพิธีไหว้ครูบวงสรวงสมเด็จนางพญางิ้วดำน่าจะอยู่ในช่วงประมาณปี 2549-50 ตอนที่วงดนตรีไทยได้บรรเลงเพลงไทยในการฉลองหลังจากพิธีไหว้ครูบวงสรวงสมเด็จนางพญางิ้วดำเสร็จลงไป ลูกสาวคนเล็กของผม ตอนนั้นน่าจะอายุได้สัก 3 ขวบกว่าๆ เขาก็ทำท่าทำทางรำ นึกแล้วก็ขำดีที่เด็กของเขาเป็นของเขาเองโดยที่ผู้ใหญ่ไม่ได้บอก พอวันหลังที่กลับมาหาท่านที่ตำหนักทรง ท่านบอกว่า เป็นลูกเป็นหลานท่าน เด็กก็เลยคิดอยากรำ ผมก็ว่ามันก็น่าคิดนะเพราะลูกสาวคนเล็ก ปกติผมไม่เคยเห็นจะออกทำท่าเต้นตามดนตรีตามเพลงสมัยใหม่ที่เปิดฟังบ้างเลยสักครั้ง

    พิธีไหว้ครูที่ตำหนักสมเด็จนางพญางิ้วดำ วัดใหม่บ้านดอน จังหวัดนครราชสีมา ในปีนั้นเป็นครั้งแรกที่ผมได้ไปร่วมงาน เพราะว่าผมรับเป็นเจ้าภาพเครื่องบวงสรวงกับสมเด็จนางพญางิ้วดำไว้ ส่วนพิธีไหว้ครูที่ตำหนักทรง ผมก็ไปหลายครั้งแต่ไปร่วมงานร่วมบุญเฉยๆยังไม่เคยเป็นเจ้าภาพเหมือนครั้งนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 เมษายน 2018
  4. poon-pan

    poon-pan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,292
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,115
    เสียดายที่ แบตในมือถือชาร์ทอยู่ในรถ เลยไม่ได้ถ่ายรูปที่วัดใหม่บ้านดอนมา ตอนนี้เขามีอาคารชั้นเดียวสำหรับให้บูชาวัตถุมงคลของวัดใหม่บ้านดอน ตั้งอยู่ข้างๆ มณฑปตำหนักสมเด็จนางพญางิ้วดำ ผมเลยแวะเข้าไปดู เห็นมีพระมีเหรียญอะไรต่างๆ เห็นพระผงไม้งิ้วดำ พิมพ์นางพญา ปี 2521 เหลืออยู่ 4-5 องค์ พระที่ดูแลท่านบอกว่าเป็นพระใส่กรุไว้ ผมมองเห็นที่ผิวมีฝ้าใยๆขึ้น เลยปากเบาบอกพระไปว่า สงสัยขึ้นรา

    และเห็นมีพระกริ่ง ปี 2535 อยู่ในกล่องอีกหลายองค์ ผมทำบุญบูชามา 2 องค์ๆละ 200 บาทส่วนพระกริ่งเสด็จเททองปี 2521 เลยทำบุญบูชามา 3 องค์ละ 200 บาทพระกริ่งเสด็จเททอง (พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ) นั้นผมเพิ่งเห็นว่ามีเลยบอกหลวงพี่ไปว่าผมไม่เคยเห็นว่ามีรุ่นนี้ ท่านก็บอกว่าเพิ่งเอาออกมา

    เมื่อก่อนผมไม่ค่อยมีความสนใจพระสมเด็จนางพญางิ้วดำมากนัก อาจเป็นเพราะว่า เคยได้มาเยอะตอนที่ไปทำบุญในงานพิธีไหว้ครูที่ผมเป็นเจ้าภาพเครื่องบวงสรวง ผมเคยเอาพระสมเด็จนางพญางิ้วดำให้พระอาจารย์ดูให้ ท่านบอกว่าแท้ มีเทพธิดาสถิตย์อยู่จริง นุ่งห่มสไบสีสวยสด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤศจิกายน 2017
  5. poon-pan

    poon-pan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,292
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,115
    นั่งพิมพ์เรื่องราวของสมเด็จนางพญางิ้วดำไปทำให้นึกถึงคำของท่านขึ้นมาได้ ที่ผมได้ไปสนทนาธรรมกับท่านผ่านร่างพี่คนทรงในช่วงท้ายๆ ท่านได้เมตตาสอนชี้แนะแก่ผมหลายเรื่องทั้งเรื่องทางโลก เรื่องทางธรรม ซึ่งช่วงนั้นท่านได้มีการเริ่มพูดถึงเรื่องที่ท่านกำลังจะหมดวาระแล้ว

    มีคำพูดนึงของท่าน ผมยังจำได้ดี คือท่านบอกกับผมว่า

    " ให้ผมเลือกเอาเองว่าจะไปเลยหรือว่าจะอยู่ต่อ ถ้าต้องการจะไปก็ไปได้เลย แต่ถ้าคิดจะอยู่ต่อก็อยู่ต่อได้ "

    ตอนนั้นผมรู้สึกงงกับคำพูดของท่านมาก ไม่เข้าใจในสิ่งที่ท่านพูดเลย ไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไร แต่ก็ปากหนักไม่ได้ซักถามอะไรเพิ่มเติม นึกแล้วอยากจะเขกกะบาลตัวเองเลยว่าวันนั้นทำไมไม่ถามท่านไปเลย จะได้เข้าใจว่าคำพูดของท่านนั้นหมายถึงอะไร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤษภาคม 2017
  6. poon-pan

    poon-pan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,292
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,115
    ถ้าใครได้เคยอ่านเรื่องจับพลังพระเครื่องที่ผมเคยร่วมลงข้อมูลการจับพระเครื่องต่างๆไว้ พระพุทธรูปองค์นี้ พระอาจารย์ที่ท่านสัมผัสพลังในพระเครื่องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตั้งชื่อพระพุทธรูปนี้ครับ โดยผมขอให้ท่านช่วยเหลือในการตั้งชื่อ ท่านเลยช่วย ท่านบอกว่า พระพุทธรูปนี้มีพระพรหม 3 องค์คอยรักษาอยู่ ท่านว่า พระพรหม ท่านมาบอกให้ตั้งชื่อตามนี้ครับ ท่านก็บอกผมไว้ว่าพระพรหมอยู่ชั้น...แต่ผมจำไม่ได้ ไม่ได้จดเอาไว้
     
  7. poon-pan

    poon-pan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,292
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,115
    ขอเล่าต่อนะครับ หลังจากที่ผมและสมาชิกในครอบครัว กราบไหว้พระสมเด็จนางพญางิ้วดำเสร็จก็ออกเดินทางต่อ จุดที่2 ที่จะแวะก็คือ ไปกราบนมัสการพร้อมถวายปัจจัยและเครื่องไทยธรรม กับหลวงปู่เหลือง ที่วัดกระดึงทอง อ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์

    จากโคราชผมมาถึงแวะกินข้าวกลางวันที่ร้านขาหมูมีชื่อใน อ.นางรอง พอกินเสร็จก็เลยหาซื้ออาหารสำหรับถวายเข้าโรงครัว มีหมูหยอง กุนเชียง กล้วยตาก มะขามจี๊ด อย่างละ 2 ถุง และน้ำผึ้งเดือน 5 อีก1ขวด ซื้อขนมหวานพุดดิ้งมะพร้าวน้ำหอม 6 ถ้วยจากร้านอาหารไปไว้ถวายเป็นภัตตาหารเช้า ใจก็อยากจะหาซื้อน้ำอ้อยสด เข้าไปถวายเป็นน้ำปานะแก่หลวงปู่เหลือง และสงฆ์ในวัดพอขับรถใกล้จะถึงทางเข้าวัด ก็มีตลาดนัดริมทางกำลังตั้งร้านกันอยู่ มองไปเห็นมีรถปิ๊คอัพ กำลังหีบอ้อยคั้นน้ำอยู่ เลยได้แวะซื้อ10 ขวด (โชคดีมากที่เจอร้านขายน้ำอ้อยก่อนจะถึงวัดอยู่ร่อมร่อ ถ้าไม่มีร้านนี้ก็คงไม่ได้ถวายน้ำปานะกับหลวงปู่และคณะสงฆ์วัดกระดึงทอง)

    ?temp_hash=76707028d4536e0101024ad71ae4ae8d.jpg

    พอซื้อน้ำอ้อยเสร็จก็ออกรถขับเลยมานิดเดียวก็ถึงทางเข้าวัด ขับเข้าไปอีก ประมาณ 50เมตรก็ถึงประตูทางเข้าวัด ดูนาฬิกาเป็นเวลาเกือบจะบ่ายสี่โมงเย็น พระท่านกำลังทำข้อวัตรเย็น ทำความสะอาดวัดกันอยู่พอดี เดี๋ยวเสร็จแล้วท่านคงได้ฉันน้ำปานะ (แอบดีใจอยู่ว่ามาทันถวายน้ำปานะ)


    ผมถ่ายรูปคู่กับกุฎิเดิมของท่านซึ่งอยู่ด้านหลังศาลายาวหลังคาสีเขียวที่อยู่ในภาพแรก ส่วนรูปขวามือนี้เป็นกุฎิใหม่ของหลวงปู่เป็นตึก หลวงปู่ท่านจำวัดอยู่ชั้นล่างเพราะว่าท่านชราภาพมากครับ มีเตียงสำหรับผู้ป่วยวางอยู่ด้วยครับ ท่านคงได้ใช้ตอนที่ท่านไม่สบาย มีพระอุปัฐฐากหลวงปู่ดูแลอยู่หนึ่งองค์ ตอนผมกับครอบครัวเข้าไป ก็มีคณะญาติประมาณ เกือบ 10 คนกำลังจะกราบลากลับอยู่พอดี

    ผมเลยได้เข้าคิวถวายปัจจัยท่านไป 1 พันบาทเรียนท่านไปว่าถวายไว้เป็นค่าใช้จ่ายยามท่านเจ็บไข้ครับ และก็ถวายเครื่องไทยธรรมที่ซื้อมา ของกินก็แยกไว้ด้านข้าง ส่วนน้ำปานะท่านให้เอาใส่ ตะกร้าที่วางอยู่บนผ้ารับถวาย พอถวายเสร็จท่านก็ให้พรทั้งบาลีและภาษาไทย พอรับพรเสร็จผมเลยเข้าไปเรียนกับท่าน ว่าอยากได้รับสัมผัสจากท่านเพื่อเป็นเครื่องระลึกถึงท่าน ท่านเลยเอามือมายีที่หัวผมและลูกชายเป็นถัดไป

    เป็นอันเสร็จในสิ่งที่ตั้งใจเอาไว้ก่อนที่จะมา ผมชอบคำที่ท่านให้พรถึงแม้ว่าจะเป็นคำง่ายๆ ท่านบอกว่าให้มีอายุมั่นขวัญยืน เสร็จแล้วก็กราบลาท่านกลับ ใช้เวลาแค่ไม่เกิน 10 นาทีก็เสร็จตอนกำลังจะออกมาผมเหลือบเข้าไปมองหลวงปู่ เห็นพระที่ดูแลหลวงปู่กำลัง เอาน้ำอ้อยจะรินใส่แก้วเข้าไปถวายหลวงปู่พอดี ...รู้สึกดีใจมากๆครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image6.jpg
      image6.jpg
      ขนาดไฟล์:
      207.2 KB
      เปิดดู:
      107
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤศจิกายน 2017
  8. poon-pan

    poon-pan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,292
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,115
    ขอเล่าเสริมเรื่องปาฏิหาริย์หน่อยครับ

    คือพี่ที่ทำงานผม เขาเป็นคนบุรีรัมย์ เพื่อนบ้านของแกในอำเภอเมืองบุรีรัมย์ เป็นคนชอบสะสมพระเครื่อง คือทั้งสะสมทั้งปล่อยให้บูชา เพื่อนคนนี้เขาไปกราบหลวงปู่ที่วัด (เหตุการณ์นี้น่าจะนานมาแล้ว) เหมือนอยากให้จะหลวงปู่เหลืองช่วยอธิษฐานของที่เขาได้มา เขาบอกว่าตอนที่เข้าไปที่วัด ได้เจอกับหลวงปู่ หลวงปู่กำลังทำข้อวัตร กวาดใบไม้อยู่ด้านหน้าวัดซึ่งห่างจากกุฎิพอสมควร หลวงปู่ก็บอกให้เพื่อนคนนี้ไปรอที่กุฎิ

    แต่ปรากฎว่าตอนที่พี่คนนี้ไปถึงก็เจอกับหลวงปู่ที่รออยู่แล้ว เขาบอกว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่หลวงปู่จะมาถึงที่กุฎิก่อนเขา เพราะเขาเดินมาก่อน พอผมได้ฟังเรื่องเล่านี้ มันทำให้เรานึกถึงสิ่งที่ได้รู้มาก่อนหน้าคือคุณธรรมของท่านนั้นประจักษ์แจ้งด้วยธาตุของท่าน แต่เรื่องในทำนองนี้ของหลวงปู่เหลืองยังไม่เคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อนเลย จึงทำให้อดคิดไม่ได้ว่าโชคดีจริงๆที่ได้ทำบุญกับท่านไปเมื่อหลายปีก่อนผมเคยฝากผ้าไตร 1 ชุดไปไปถวายหลวงปู่เหลืองร่วมกับกองบุญของเพื่อนในเวบพลังจิตนี้เองครับ

    สิ่งที่อยากจะบอกอีกเรื่องนึงครับ คือเรื่องพรที่เราได้รับจากพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบนั้นผมว่าน่าอัศจรรย์น่ะครับ คือช่วงนี้ผมหัวเข่าไม่ค่อยดี จะลุกยืนลุกนั่งจะปวดเขามาก เคยไปหาหมอกินยาแล้วก็ทุเลาไปบ้างพอตอนนี้ยาหมอหมดไป ก็เริ่มกลับมามีอาการ เรียกว่าเรื้อรังมานานสองสามเดือนแล้วครับ แต่หลังจากที่ผมได้รับพรอายุมั่นขวัญยืนและได้รับมือสัมผัสจากหลวงปู่ ตั้งแต่คืนวันเสาร์ ผมพยายามสังเกตุอาการที่เข่า มันหายไปจะลุกขึ้น ลุกนั่งและขึ้นขั้นบันได มันไม่มีอาการเลย จนผมรู้สึกแปลกประหลาดใจ ทั้งๆที่ไม่ได้กินยาอะไรเลย เลยด้นเดาเอาเองว่า สงสัยคงจะได้อานิสงส์จากบุญครั้งนี้เป็นแน่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 เมษายน 2018
  9. poon-pan

    poon-pan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,292
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,115
    เรื่องเล่า...ตอน 1 เกี่ยวกับพระอาจารย์ของผมโดนคุณไสย์

    มีเรื่องนึงที่ผมประสบมาตอนที่พาพระอาจารย์ตะเวนรักษาตัวตอนที่โดนคุณไสย์มนต์ดำตอนช่วงต้นๆที่โดนกระทำ คือได้รู้จักกับร่างทรงปู่แห่งหนึ่ง ไม่ไกลจากบ้านผมมากนัก ที่รู้จักกับที่นี่เพราะว่ามีพี่คนนึงเขาแนะนำให้ไป เขาบอกว่าเก่งมาก

    ผมเลยพาพระอาจารย์ไป มีพี่ผู้หญิงคนที่เป็นลูกศิษย์พาไปฝากเพื่อรักษาตัว พระอาจารย์ท่านเล่าให้ผมฟังหลังจากที่ท่านให้ผมไปรับท่านกลับมานอนที่บ้านผม ท่านบอกว่า ที่โต๊ะหมู่บูชาพระที่บ้านร่างทรงปู่นี่ไม่มีเทวดาเลยสักองค์ ท่านบอกว่าอาการท่านก็ย่ำแย่เจ็บปวดทรมานมาก ท่านบอกร่างทรงปู่ก็บอกว่าถอนของให้แล้ว ผลักกลับไปที่คนทำเรียบร้อยหมดแล้ว

    พระอาจารย์บอกว่ามันยังเจ็บเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อยจนท่าน ทนอยู่ต่อไม่ไหวเพราะท่านเจอกับผีมันมากระชากตัวท่าน ( ตอนที่คุยกับท่านเราก็คิดว่าน่าจะมาจากหมอทำคุณไสย์) ท่านบอกไม่รู้มันมาได้ไงทั้งๆที่อยู่ในบ้านของร่างทรงปู่ ที่ว่าแท้

    ผมก็คอยโทรไปหาท่าน จนวันที่สามท่านบอกให้รีบมารับกลับด้วย ผมเลยรีบไปรับท่านกลับมาจำวัดที่บ้านผม พอท่านมาถึงบ้านผมก็ได้พักผ่อนพอสมควร ท่านก็บอกผมว่า มาอยู่บ้านผมแล้วรู้สึกปลอดภัยมาก เพราะที่นี่มีเทวดารักษา มีพระภูมิเจ้าที่รักษา ตัวท่านเองก็ได้รับลำแสงสีเขียวที่พุ่งมาจากห้องพระชั้นบน (ไอ้เราก็หูผึ่งสิครับ เพราะชอบเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว) ลำแสงพุ่งมาครอบร่างของท่านไว้ จนทำให้ของ(ตะปู)ที่อยู่ในตัวของท่านมันนิ่งอยู่เฉยๆ ไม่เคลื่อนที่เหมือนกับที่เคย ท่านบอกผมว่า ลำแสงสีเขียวพุ่งออกมาจากพระพุทธรูปองค์นึง แต่ท่านบอกไม่ได้ชัดว่าเป็นองค์ไหน

    ท่านบอกว่าคืนที่ท่านกลับมาจำวัดที่บ้านผม ที่รั้วหน้าบ้านมีผีมายืนเกาะอยู่เต็มเลยแต่เข้าบ้านไม่ได้เพราะท่านพระภูมิเจ้าที่ท่านรักษาอยู่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤษภาคม 2017
  10. poon-pan

    poon-pan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,292
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,115
    เรื่องเล่า...ตอน 2 เกี่ยวกับพระอาจารย์ของผมโดนคุณไสย์

    ช่วงที่ผมตะเวนพาพระอาจารย์เข้าออกจากโรงพยาบาลสองสามแห่งทั้งกรุงเทพฯทั้งนนทบุรี นั้นผมก็ได้รับความช่วยเหลือจากพี่คนนึง แกเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ แกปฏิบัติธรรมเก่งมากและมีความรู้เรื่องการแก้ไขเรื่องการถูกมนต์ดำคุณไสย์ได้ในระดับหนึ่ง ขอยกตัวอย่างเรื่องญาณของพี่คนนี้ประกอบนิดนึงครับ คือแกสามารถดูได้ว่าญาติพี่น้องของคนที่เดือดร้อนว่า ตายแล้วไปอยู่ที่ไหน และจะต้องทำบุญอะไรก่อนตายเพื่อจะส่งดวงวิญญาณให้ไปสู่ภพสุคติ

    ผมก็คอยโทรถามพี่คนนี้ พี่เค้ากำชับกับผมว่าห้ามบอกใครว่าพี่เขาเป็นใครเป็นอันขาดเพื่อความปลอดภัย พี่เค้าจะคอยบอกผมว่าต้องทำอะไรบ้างในแต่ละวันช่วงสั้นที่พระอาจารย์มาพักอยู่บ้านผม ผมก็ทำตามคำแนะนำ อาการที่เจ็บปวดทรามานของพระอาจารย์ก็บรรเทาลงได้บ้าง

    ผมได้เกร็ดความรู้เรื่องการแก้ไขบรรเทามนต์ดำคุณไสย์มาจากพี่ก็สองสามอย่างที่สามารถนำไปใช้ได้ด้วยตัวเอง เป็นแบบง่ายๆแต่ก็ได้ผลจริง พี่เค้าเล่าให้ผมฟังว่า พี่เขาไปช่วยคณะพลังจักรวาลช่วยรักษาคนไข้ที่โรงพยาบางรักษาไม่หาย แกเล่าฟังว่าคนที่นั่นรู้วิธีการรักษาคนอื่น แต่ไม่รู้จักวิธีป้องกันตัวเอง ตอนหลังอาจารย์ที่นั่นมักจะเป็นโรคมะเร็งกันเกือบหมด พี่เค้าเคยแนะนำแล้วแต่ที่นี่มีอัตตาสูง ไม่ยอมฟัง พี่เค้าก็ต้องปล่อยเลยตามเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤษภาคม 2017
  11. poon-pan

    poon-pan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,292
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,115
    เรื่องเล่าเสริม....

    เกี่ยวกับเรื่องพระพุทธรูปที่อยู่ในห้องพระชั้นบน ที่มีลำแสงสีเขียวส่องออกมาครอบร่างพระอาจารย์ไว้ไม่ให้ของมันกำเริบ ช่วงนั้นพระอาจารย์ไม่สบายผมก็เลยเกรงใจเป็นห่วงท่าน เลยไม่ได้นำพระพุทธรูปมาให้ท่านดูว่าเป็นองค์ไหนที่มีลำแสงสีเขียว

    ต่อจากนั้นมา 4 ปี คือเมื่อปี 2559 น่าจะเป็นช่วงต้นถึงกลางปี ผมมีอาการบาดเจ็บที่ไหล่ข้างขวา ผมคิดว่าน่าจะมาจากการที่ผมเหวี่ยงแขนเพื่อเอาวัตถุขึ้นเหนือศรีษระอย่างแรงและเร็ว เพื่อให้ไปกระทบกับฝ้าเพดาน เพราะว่าต้องการไล่หนู มันวิ่งตะกุยเสียงดัง จนรู้สึกยอกไหล่ไปจนถึงด้านหลังมาก

    ช่วงเวลานั้นดันไปเหวี่ยงน้ำในถ้งออก เลยทำให้เจ็บหนักเพิ่มขึ้นไปอีก แต่ก็ไม่ได้คิดจะไปหาหมอเพราะคิดว่าเดี๋ยวก็คงจะหาย ปล่อยมาเป็นเดือนก็ยังไม่หาย ตอนที่เป็นหนัก ถึงขนาดที่ว่าถ้านอนตะแคงขวาแล้วเอามือยันเพื่อจะลุกขึ้นนี่ยกไม่ไหวเลยมันเจ็บระบมมาก

    ช่วงนึงต้องกลับบ้านแฟนที่นครนายก ที่บ้านพ่อตา ผมจัดห้องนอนข้างบนเป็นห้องพระ ผมนำพระที่บ้านบางบัวทองสามถึงสีองค์ไปไว้หลังจากน้ำท่วมตอนกลางปี 2555 ช่วงค่ำผมก็ไหว้พระเจริญพุทธมนต์นั่งสมาธิ และก็ได้หลับไปหน้าโต๊ะหมู่บูชา จนตื่นขึ้นมาในตอนเช้าหกโมง ตอนตื่นขึ้นมาก็มีเรื่องประหลาดใจมาก คืออาการเจ็บยอกที่หัวไหล่จนถึงหลังช่วงสะบัก มันหายไปแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีอาการเลย คือเหลืออาการเจ็บอยู่น้อยมาก ถ้าเทียบเป็บเปอร์เซนต์แล้วน่าจะเหลือประมาณแค่ 1 เปอร์เซนต์เท่านั้นเองครับ เรียกว่าเป็นเรื่องอัศจรรรย์มากๆ

    พอผมมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ด้วยตัวเองก็ทำให้ผมนึกถึง คำบอกของพระอาจารย์ที่ว่าไว้ ว่ามีลำแสงสีเขียวมาจากพระพุทธรูปมาครอบร่างของท่านไว้ สงสัยท่านคงจะมาช่วยรักษาอาการเจ็บให้ผมจริงๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นองค์ไหน ผมกำลังจะหาครูบาอาจารย์ให้ท่านช่วยดูให้ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤษภาคม 2017
  12. poon-pan

    poon-pan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,292
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,115
    ผมก็เพิ่งจะรู้เหมือนกันครับว่าท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ดูลย์ เมื่อวานซืนพี่คนที่อยู่บุรีรัมย์บอก ขนาดตอนที่ผมได้ร่วมถวายเครื่องไทยธรรมร่วมกับคณะคุณฐนกรและพี่หนู นอร์เวย์ (ถวายผ้าไตรจีวร)โดยถวายให้กับหลวงปู่และคณะสงฆ์วัดกระดึงทองไปตั้งแต่ 11 กุมภาพันธ์ ปี 2555 ตอนนั้นก็ยังไม่รู้เลยว่าท่านเป็นใคร




    ?temp_hash=f365671116f202d2cc97475aa6e901fe.jpg

    ประวัติ หลวงปู่เหลือง ฉนฺทาคโม

    วัดกระดึงทอง ต.บ้านด่าน อ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์

    พระดีที่ควรกราบไหว้รูปหนึ่งในเวลานี้คือ หลวงปู่เหลือง ฉนฺทาคโม หรือ พระราชปัญญาวิสารัท เจ้าอาวาสวัดกระดึงทอง ต.บ้านด่าน อ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์ ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดบุรีรัมย์ (ธรรมยุต)....

    พระดีที่ควรกราบไหว้รูปหนึ่งในเวลานี้คือ หลวงปู่เหลือง ฉนฺทาคโม หรือ พระราชปัญญาวิสารัท เจ้าอาวาสวัดกระดึงทอง ต.บ้านด่าน อ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์ เจ้าคณะจังหวัดบุรีรัมย์ (ธรรมยุต) ซึ่งพุทธศาสนิกชนรู้จักกันในนาม หลวงปู่เหลือง วัดกระดึงทอง

    ท่านเป็นศิษย์อาวุโสรูปหนึ่งของ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์ หลวงปู่ฝั้น อาจาโร วัดถ้ำขาม จ.สกลนคร และพระอริยเวที (เขียน ฐิตสีโล) วัดรังสีปาลิวัน จ.กาฬสินธุ์

    หลวงปู่เหลืองมีนามเดิมว่า เหลือง ทรงแก้ว ท่านเกิดในยามใกล้รุ่งของวันอังคารที่ 1 พ.ค. ปี พ.ศ. 2470 ที่บ้านนาตรัง หมู่ที่ 2 ต.เขวาสินรินทร์ อ.เมือง จ.สุรินทร์ เป็นบุตรคนที่ 6 ในครอบครัวของนายเที่ยง ทรงแก้ว และนางเบียน ทองเชิด
    หลังเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ขณะอายุได้ 15 ปี แล้วออกจาริกเดินตามหลังพระพี่ชายไปตอนอายุ 16 ปี หลังจากนั้นชีวิตของหลวงปู่เหลืองก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
    ด.ช.เหลือง ออกจากบ้านเดินตาม พระครูสมุห์ฉัตร ธมฺมปาโล และพระอาจารย์สมุห์เสร็จ ญาณวุฑโฒ 2 ภิกษุศิษย์หลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม ผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น “มือขวา” ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ไปใน พ.ศ. 2486 จากสุรินทร์ไปถึงนครราชสีมา ไปฉะเชิงเทรา ชลบุรี จันทบุรี ระยอง
    ด้วยอายุเพียงเท่านั้นแต่ท่านมีบุญได้พบครูบาอาจารย์แล้วหลายรูป อาทิ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล พระผู้สรุปอริยสัจ 4 จากการปฏิบัติไว้ชนิดคนสามัญขนานนามท่านว่า เจ้าแห่งจิต ท่านพ่อลี ธมฺมธโร แห่งวัดป่าคลองกุ้ง ฯลฯ รวมทั้งได้มอบกายถวายใจเป็นศิษย์ หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
    ท่านเล่าถึงวันคืนในอดีตครั้งไปกราบท่านพ่อลีที่วัดป่าคลองกุ้งว่า “ตอนนั้นวัดป่าคลองกุ้งยังเป็นป่าอยู่ ต้นไม้ใหญ่ๆ มีศาลทำบุญไม้หนึ่งหลังและกุฏิกรรมฐานเล็กๆ ตั้งอยู่ตามโคนต้นไม้ เงียบสงัด พระฉันแล้วก็เข้ากรรมฐานหมด ไม่เพ่นพ่านรุ่งเรืองเหมือนสมัยนี้ ไปพักอยู่กับท่าน 1 เดือน ...บอกกับท่านว่าจะขอธุดงค์ต่อไปทางบ่อไพลิน เข้าสู่แดนเขมร ท่านพ่อลีก็ห้าม ตอนนั้นปลายสงครามโลก เหตุการณ์ยังไม่ปกติ เกรงจะเป็นอันตราย แต่พระอาจารย์ฉัตรพี่ชายก็จะขอไปให้ได้ก็ต้องยอมผ่อนผันให้ไป ท่านพ่อลีเมตตาอาตมามากเพราะยังเป็นเด็ก กลัวจะลำบาก ท่านเลยบอกว่า จะให้คาถากันตัว สั่งให้ท่องไว้ตลอดเวลา ไม่ต้องกลัวเสือช้างอะไรทั้งสิ้น
    คาถาของท่านยังจำได้จนถึงบัดนี้ว่า นะบัง โมบัง พุทโธบังหน้า ธัมโมบังหลัง”
    สภาพบ้านเมืองในเวลานั้นช่างต่างจากเวลานี้นัก
    ท่านว่าใช้เวลาเดิน 3 คืนบุกป่าฝ่าดงจากจันทบุรีถึงทะลุถึงบ่อไพลิน ตามรายทางนั้น “เห็นพลอยเกลื่อนกลาด แต่ไม่ได้เก็บเพราะอาจารย์ฉัตรท่านว่า เรามาธุดงค์แสวงบุญไม่ได้มาหาเพชรพลอย”
    การธุดงค์จบลงด้วยการย้อนกลับมาที่ วัดป่าศรัทธารวม จ.นครราชสีมา
    ณ พ.ศ.นั้น หลวงปู่ฝั้น อาจาโร กำลังเป็นสดมภ์หลักในการบุกเบิกขยายวงพระกรรมฐานโดยใช้ จ.นครราชสีมา เป็นฐาน โดยท่านเองรับเป็นเจ้าอาวาสวัดแห่งนี้อยู่ถึง 12 ปีคือ ตั้งแต่ พ.ศ. 2475-2487 ช่วงเวลานั้น วัดป่าศรัทธารวมซึ่งเป็นป่าช้าเก่าเป็นศูนย์รวมของพระกรรมฐานจำนวนมากไม่ว่า พระมหาปิ่น ปัญญาพโล หลวงปู่เทกส์ เทสรังสี หลวงปู่ภุมมี ฐิตธัมโม หลวงปู่หลุย จันทสาโร หลวงปู่กงมา จิรปุญโญ ฯลฯ หลวงปู่เหลืองเข้าไปฝากตัวเป็นศิษย์หลวงปู่ฝั้น ขณะอายุ 17 ปี หรือราวช่วง พ.ศ. 2486-2487 โดยบรรพชาเป็นสามเณรที่ วัดสุทธจินดา จ.นครราชสีมา มีพระโพธิวงศาจารย์ (สังข์ทอง นาควโร) หรือเจ้าคุณโพธิฯ เป็นพระอุปัชฌาย์
    ลุถึง พ.ศ. 2490 จึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ มีสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (พิมพ์ ธมฺมธโร) เป็นพระอุปัชฌาย์ ณ วัดป่าศรัทธารวมนั่นเอง
    “ไทยดำ” ผู้เคยเขียนประวัติหลวงปู่เหลืองลงในนิตยสารโลกทิพย์ ฉบับเดือน ธ.ค. 2530 เคยเรียนถามท่านว่า ระหว่างอยู่กับหลวงปู่ฝั้นนั้นหลวงปู่ฝั้นสอนอย่างไรบ้าง หลวงปู่เหลืองตอบทีเดียวเป็นความ 4 ประโยค แต่ครอบคลุมพระไตรปิฎกหมด 90 เล่ม ความนั้นมีว่า
    ท่านสอนง่ายๆ ว่า “ประสูติ หมายถึง ลมเข้า
    พระวินัย หมายถึง ลมออก
    ปรมัตถ์ หมายถึง ผู้รู้ลมเข้าลมออก
    เป็นอันจบพระไตรปิฎก นอกนั้นเป็นแต่กิ่งก้าน”
    การได้อยู่ที่ จ.นครราชสีมา ณ พ.ศ.นั้นเป็นโอกาสอันดีที่ทำให้ได้พบและศึกษากับพ่อแม่ครูอาจารย์จำนวนมาก ซึ่งท่านเหล่านั้นกระจายกันอยู่หลายแห่ง อาทิ วัดป่าสาลวัน วัดสุทธจินดา วัดสว่างอารมณ์ ฯลฯ แต่รูปที่อัธยาศัยต้องกันมากที่สุดและจะมีผลต่อชีวิตของท่านในกาลข้างหน้าคือ พระอริยเวที (เขียน ฐิตสีโล)
    เวลานั้น พระอริยเวที (เขียน ฐิตสีโล) รับภาระการบริหารคณะสงฆ์เป็นเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา ฝ่ายธรรมยุต ท่าน|ทุ่มเททั้งกำลังกาย กำลังสติปัญญาจนทำให้การของคณะสงฆ์เป็นปึกแผ่น แต่ยศถาบรรดาศักดิ์ใดๆ ก็เหนี่ยวรั้งท่านให้ห่างหายจากการปฏิบัติได้ไม่ กลับเตือนตนอยู่ตลอดเวลาว่า “การคลุกคลีกับหมู่คณะมากเกินไปทำให้เป็นผู้ประมาท...”
    เพราะตระหนักเช่นนั้นจึงมักจะปลีกตัวออกวิเวกเป็นครั้งคราวอยู่เสมอ ก่อนจะตัดสินใจทิ้งพัดยศออกปฏิบัติอย่างเดียวใน พ.ศ. 2498 นั้น ครั้งหนึ่งท่านชวนหลวงปู่เหลือง ซึ่งยังเป็นพระหนุ่มอยู่ในขณะนั้นออกไปปฏิบัติอยู่ในป่า จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งเป็นถิ่นกำเนิดของท่าน
    ท่านทั้งสองอยู่ด้วยกันสองคนหนึ่งพรรษา จากนั้นพระอริยเวที (เขียน ฐิตสีโล) ก็ต้องกลับมารรับภาระทางการคณะสงฆ์ต่อ ขณะที่หลวงปู่เหลืองได้พำนักและภาวนาอยู่ในสำนักสงฆ์กลางป่า อ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์ ต่อเนื่องไปอีกถึง 7 ปี ต่อมาป่าแห่งนั้นได้รับการพัฒนากลายเป็น วัดป่ารังสีปาลิวัน ซึ่งเป็นถิ่นพำนักของพระอริยเวที (เขียน ฐิตสีโล) จนท่านละสังขาร เมื่อ พ.ศ. 2543
    ตลอดเวลาที่อยู่นั้น พระอริยเวที (เขียน ฐิตสีโล) ก็จะแวะเวียนมาภาวนาอยู่ ณ สำนักสงฆ์แห่งนั้นและช่วยพัฒนาความเป็นอยู่ให้ชาวบ้านได้อาศัยแหล่งน้ำ ฯลฯ มาตลอด โดยมีหลวงปู่เหลืองเป็นผู้ช่วย แม้แต่เมื่อตัดสินใจออกจาริกอีกครั้งหลังอยู่ที่นั่นมาแล้ว 7 ปีก็เป็นการออกจาริกโดยมีพระอริยเวที (เขียน ฐิตสีโล) เป็นผู้นำ
    ท่านทั้งสองจาริกในถิ่นต่างๆ มีประสบการณ์ในภาวนาอันพิสดารหลายอย่างด้วยกัน โดยเฉพาะที่ถ้ำขันตี ซึ่งอยู่ในเทือกเขาภูพาน ท่านว่า การภาวนา ณ สถานที่แห่งนั้นทำให้มีความก้าวหน้าอย่างมาก ขณะเดียวกันท่านทั้งสองก็ผ่านเป็นผ่านตายมาพร้อมกันด้วย กล่าวคือ พระอริยเวที (เขียน ฐิตสีโล) เป็นไข้ป่าเกือบจะเสียชีวิต ก็ได้หลวงปู่เหลืองดูแล พอหลวงปู่เหลืองเองล้มเจ็บเพราะไข้ป่าก็ได้ “เจ้าคุณอาจารย์” เป็นคนรักษา
    ท่านกล่าวถึงความทุกข์ยากในเวลานั้นว่า
    “แต่ก่อนที่อาตมาจะเป็นไข้นั้น ท่านเจ้าคุณเป็นมาก่อน เมื่อสองอาทิตย์ก่อน เรียกว่าเป็นมากทีเดียว จนเพ้อ ยาก็ไม่มีรักษา ท่านมีสติสั่งว่า ถ้าท่านตายก็ให้เผาที่นี่ แล้วกวาดขี้เถ้าทิ้งลงเขาไป อย่าเอาไปลำบากเพราะไม่ใช่ตัวตนอะไรของเรา อีกอย่างหนึ่งแม้ท่านจะลาออกจากตำแหน่งแล้วแต่พัดยศอยู่ที่กุฏิ ยังไม่ได้ส่งคืน ขอให้จัดการเอาไปคืนด้วยซึ่งทำให้ประทับใจในตัวท่านมาก ท่านไม่เคยแสดงความพรั่นพรึงต่อการมรณะเลย เพราะรู้อยู่แล้วว่ามันต้องตาย...ถึงตาอาตมาบ้าง...ท่านเจ้าคุณก็ดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี เราฝากผีฝากไข้กันมาอย่างนี้”
    เพราะฝากผีฝากไข้ ผ่านเป็นผ่านตายร่วมกันมา จึงไม่แปลกที่ต่อมาเมื่อ พระอริยเวที (เขียน ฐิตสีโล) อาพาธ เนื่องจาก|เส้นเลือดฝอยในสมองแตกในปี 2527 ทำให้อวัยวะเบื้องขวาเป็นอัมพาต ใครนิมนต์ไปปฏิบัติอุปัฏฐากที่ไหนท่านก็ไม่ไป แต่เมื่อหลวงปู่เหลืองนิมนต์ ท่านรับ
    ทุกวันนี้หลวงปู่เหลือง รับภาระการบริหารคณะสงฆ์เป็นเจ้าเข้าคณะจังหวัดบุรีรัมย์ (ธรรมยุต) ภาระนี้เกิดมาต่อเนื่องตั้งแต่กึ่งศตวรรษก่อนโน้นเพราะปี พ.ศ. 2499 ท่านเป็นเป็นพระครูสมุห์ ฐานานุกรมของท่านเจ้าคุณพระอริยเวที พร้อมกับเจ้าอาวาสวัดรังสีปาลิวัน
    ปี พ.ศ. 2515 เป็นเจ้าอาวาสวัดกระดึงทอง และเป็นเจ้าคณะตำบล วัดแห่งนี้เดิมเป็นวัดที่พระอาจารย์สมุห์เสร็จ พี่ชายเป็นคนบุกเบิกสร้างไว้ เมื่อท่านออกวิเวกเสียชีวิตเพราะไข้ป่า พระสมุห์ฉัตร พี่ชายคนรองก็เป็นคนมาดูแลแทน
    ปี พ.ศ. 2519 ได้รับตราตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ และเป็นเจ้าคณะอำเภอเมือง พ.ศ. 2523 เป็นเจ้าคณะจังหวัดบุรีรัมย์ (ธรรมยุต)
    หลวงปู่เหลืองกล่าวว่า พระพุทธองค์มิได้สอนให้เชื่อพระองค์เพียงอย่างเดียว หากแต่ให้ชื่อว่า “จิต คือ พุทธะ” ถ้าเราดำเนินตามที่พระองค์ทรงสอน จิตของเราก็เป็นพุทธะอย่างพระพุทธองค์ได้ ถ้าจะให้ถึงซึ่งพุทธะก็เหมือนกับเอาแก่ของต้นไม้ใหญ่ ถ้าจะเอาแก่นต้องใช้ขวานถากเปลือก ถากกระพี้ออก จิตคนเรานั้นเป็นพุทธะอยู่แล้ว หากแต่เราปล่อยให้กิเลสตัณหาห่อหุ้มจนจิตไม่ประภัสสร
    “จิตประภัสสรก็หมายถึงจิตเดิม ซึ่งเปรียบเสมือนเพชร ลักษณะแวววาวสุกใสอยู่แล้วตามธรรมชาติ แต่ที่มันเศร้าหมองจนเรามองไม่เห็นความประภัสสรของมัน เพราะมีสิ่งอื่นมาห่อหุ้ม ทำให้รัศมีเปล่งออกมาไม่ได้ อย่างไฟฉายของเรา พอเปิดสวิตช์ขึ้น มันก็สว่างเป็นลำพุ่งออกไปพอปิดสวิตช์มันก็มืด ไม่เห็นดวงไฟ ทั้งที่ความจริงจิตมันประภัสสรอยู่แล้วแต่คนเราทุกวันนี้ ก็เอากิเลส ความโกรธ ความหลงที่เปรียบเหมือนดินทรายเขม่าไฟต่างๆ ไปห่อหุ้มปิดบังมันเสียเอง มันเลยมืดบอดอยู่อย่างนั้น...เราอยากจะเห็นตามพระองค์บ้างก็ต้องลงทุนลงแรงเอาสิ่งที่หุ้มห่อออก แล้วจึงจัดสีให้มันเปล่งแสงประภัสสรขึ้น เอาอะไรมาขัดสีล่ะ ก็เอาสมาธินั่นแหละมาขัดสี...”
    “สิ่งต่างๆ ในโลกนี้มันก็อยู่ที่จิตนี้เอง ความรู้สึกของเราอยู่ที่ไหน จิตใจก็อยู่ที่นั้น หลวงปู่มั่นท่านก็เคยพูดว่า อยู่ที่ใจของเจ้า โลกนี้ไม่มีใจก็ไม่มีความหมาย โลกกับธรรมมันอิงกันอยู่ ก็อยู่อย่างไม่ขัดโลกขัดธรรมเขา รูปนาม ถ้าแยกออกก็เป็นอภิธรรมทั้งหมด
    รูปกับนามเป็นจุดแรกของปัญหา เรื่องราวต่างๆ ที่เราไม่รู้ก็เพราะไม่ได้ค้นคว้ากำหนด ท่านว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันเป็นวัฏฏะ หมุนเวียนตั้งแต่จุดเล็กไปถึงจุดใหญ่ เหมือนกับความมืดกับความแจ้ง มันต้องอยู่ที่เดียวกัน แต่คนละช่วง มันเกิดพร้อมกันไม่ได้
    ความจริงรูปนามมันมีอยู่แล้ว ถ้าปลงความเชื่อว่า คำสอนต่างๆ ล้วนมีอยู่แล้ว ถ้าไม่มี ท่านก็ไม่มีอะไรจะพูด เมื่อไม่มีอะไรจะพูดมันก็หยุดเป็นวิมุตติไป ถ้าเอามาพูดถึงมันก็เป็นสมมติไป ธรรมะจริงๆ จะพูดหรือไม่พูดมันมีอยู่แล้ว...”
    หลวงปู่เหลือง
    เป็นพระมหาเถระที่ควรแก่การอัญชลี ท่านเจริญรอยตามครูบาอาจารย์ของท่านคือ แน่วแน่กับการปฏิบัติภาวนาไม่เสื่อมคลาย อยู่อย่างสมถะ เรียบง่าย แทบไม่มีใครจำสมณศักดิ์ของท่านได้เรียกกันแต่ว่า หลวงปู่เหลือง วัดกระดึงทอง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤษภาคม 2017
  13. poon-pan

    poon-pan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,292
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,115
    ทำบุญทำทานโดยไม่ได้หวังผลตอบแทนแต่ได้อานิสงส์จริง...

    ตอนที่1


    อ้างถึงโพส # 5

    เรื่องที่ผมเป็นโรคหูน้ำหนวก จนเยื่อแก้วหูอักเสบจนขาดเป็นรูทะลุ มันส่งผลทำให้ผมต้องเป็นโรคเจ็บหูประมาณปีละ 1-2ครั้ง จะเจ็บปวดหูอยู่ข้างใน ต้องไปหาหมอ พอได้ยากิน และยาหยอดมาก็หาย เป็นอย่างนี้อยู่ทุกปี จนตอนหลังไปตรวจกับคุณหมอที่ศิริราช ได้อธิบายให้ฟังว่า แก้วหูเหมือนกับประตูบ้าน ถ้าไม่มีประตูแล้วก็จะมีพวกขโมยเข้าบ้านได้สะดวก เหมือนกับแก้วหูก็เป็นประตูไว้ป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเข้ามา เลยถึงบางอ้อว่า มิน่า พอถึงแต่ละปีเป็นอันต้องเจ็บหูมาตลอด

    เหตุการณ์บุญนี้เกิดขึ้นเมื่อตอนที่เข้าทำงานแล้วน่าจะประมาณปี 2537-2538 ผมได้ไปตัดผมที่ร้านแห่งหนึ่งในหมู่บ้าน ตอนที่ตัดผมอยู่นั้นก็มี แม่อุ้มลูกอายุประมาณ 4-5 ขวบเข้ามาในร้าน มาให้ช่างตัดผมช่วยส่องดูหูของเด็กว่า มีอะไรอยู่ในหูหรือไม่ เพราะว่าเด็กมีอาการเจ็บปวดในหู ช่างตัดผมเขาก็ส่องดูให้แต่ไม่เห็นว่ามีอะไรอยู่ในหูเด็ก เลยบอกให้แม่พาลูกไปหาหมอดูดีกว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤษภาคม 2017
  14. poon-pan

    poon-pan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,292
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,115
    ทำบุญทำทานโดยไม่ได้หวังผลตอบแทนแต่ได้อานิสงส์จริง...

    ตอนที่ 2


    ตอนที่ผมเห็นว่าแม่เด็กพาเด็กเข้ามาในร้าน เพื่อให้ช่างตัดผมช่วยส่องไฟดูเพราะว่าเด็กมีอาการเจ็บปวดอยู่ในหู ทำให้ผมนึกถึงตัวเองว่าเราก็เป็นโรคนี้อยู่เป็นประจำ เลยนึกสงสารและอยากจะช่วยเหลือเด็กให้หาย เลยได้แต่นึกอยู่ในใจ แต่ติดที่ว่ากำลังตัดผมอยู่ยังไม่เสร็จ

    พอตัดผมเสร็จออกมาจากร้านก็ยังนึกถึงเด็กคนนี้อยู่ว่า ไม่รู้ว่าแม่พาลูกไปร้านตัดผมถึงไหนแล้ว ผมก็เดินออกจากร้านตัดผมเพื่อกลับบ้านที่อยู่ซอยถัดไปไม่ไกลมากนัก เหลือเชื่อมากตอนเดินกลับบ้าน มันจะมีศาลาเล็กๆไว้นั่งคอยรอรถอยู่หน้าปากซอย ผมมองไปก็เห็นแม่กับเด็กกำลังนั่งรอรถอยู่พอดี

    เลยรีบเดินเข้าไปหาแล้วบอกกับแม่เด็กไปว่า ผมอยากจะช่วยน้องเขา ผมจะพาไปหาหมอหู ตรวจดูว่าน้องเขาเป็นอะไร ผมบอกกับแม่เขาไปว่า ให้นั่งรออยู่ที่ศาลาก่อนนะเดี๋ยวจะเข้าไปเอารถก่อน
    ผมก็รีบไปเอารถขับออกมาจากบ้าน มารับแม่และเด็กที่ยังนั่งคอยอยู่ที่ศาลา ตอนที่เอารถออกมาจากบ้านก็ยังนึกอยู่เลยว่า แม่ลูกอย่าเพิ่งไปไหนกันนะ ให้อยู่คอยก่อน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤษภาคม 2017
  15. poon-pan

    poon-pan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,292
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,115
    ทำบุญทำทานโดยไม่ได้หวังผลตอบแทนแต่ได้อานิสงส์จริง...

    ตอนที่ 3


    พอขับมาถึงศาลาแม่ลูกยังอยู่ ผมดีใจมากเลยพาให้แม่อุ้มลูกขึ้นรถมา ตอนนั้นเด็กรู้สึกว่านอนนิ่ง
    ผมก็พาแม่และเด็กไป โรงพยายาบาล หู ตา คอ จมูก แถวขนส่งสายใต้ตรงปิ่นเกล้า ตอนนั้นบ้านผมอยู่แถว มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต คลองประปา บางเขน ช่วงนั้นเป็นเวลาค่ำประมาณ ทุ่มกว่าๆ ผมก็ขับไปเรื่อยๆ แต่ตอนนั้นรู้สึกว่าทำไมขับนานจังขับยังไงก็ยังไม่ถึงสักที พอหันไปมองแม่เด็ก เขาเริ่มทำท่าจะตื่นกลัวส่วนเด็กก็เริ่มร้องโยเยเพราะคงปวดหู ทำให้เราใจคอไม่ดีไปด้วยที

    ผมก็เลยต้องปลอบไปว่า เดี๋ยวถึงแล้วไม่ต้องกลัวแต่แม่เด็กก็ยังกลัวอยู่ดี...555 และแล้วก็ถึงโรงพยาบาล...เฮ้อ ตอนนั้นรู้สีกดีใจมากที่ถึง ไม่งั้นแม่เด็กคงจะเครียดมากไปกว่านี้ ส่วนผมเองก็จะพลอยประสาทเสื่อมตามไปด้วย

    พอผมจอดรถเสร็จก็พาแม่เด็กไปทำบัตร และเข้าตรวจกับคุณหมอ ผมก็เข้าไปดูด้วย คุณหมอบอกว่าข้างในหูอักเสบแดง เพราะว่าเป็นหวัดลงหู อ๋อ ! มิน่าล่ะ เด็กถึงมีอาการปวดข้างในหู
    คุณหมอก็จ่ายยา และให้ออกไปรับยาได้ ตรวจเสร็จภายในไม่ถึง 10 นาที แต่กว่าจะมาถึงโรงพยาบาลขับรถมาเกือบชั่วโมง

    ผมก็ชำระเงินพร้อมนั่งรอรับยากัน พอคุณพยาบาลเอามาให้ ก็ถามว่าจะให้ป้อนยาให้เด็กเลยไหม เราก็บอกป้อนเลยครับ กว่าเด็กจะกินยาได้ ดิ้นน่าดู ไม่ยอมกินยาที่คุณพยาบาลป้อน เอามือปัด คุณพยาบาลเลยเอามือบีบจมูกเด็ก สุดท้ายก็กลืนยาลงไปได้เสร็จเรื่องยากันซะที
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤษภาคม 2017
  16. poon-pan

    poon-pan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,292
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,115
    ทำบุญทำทานโดยไม่ได้หวังผลตอบแทนแต่ได้อานิสงส์จริง...

    ตอนที่ 4


    ได้เวลาขับรถกลับบ้านกันแล้ว ตอนขากลับค่อยยังชั่วหน่อยเพราะว่า แม่เด็กไม่มีอาการตื่นตะหนกเหมือนขามาแล้ว ส่วนเด็กพอได้ยาที่คุณพยาบาลป้อน ยาก็เริ่มออกฤทธิ์ ทำให้เด็กนอนหลับปุ๋ยมาตลอดทาง ส่วนผมก็ขับรถแบบสบายใจไม่เครียดอีกแล้ว จนขับรถไปส่งแม่ลูกคู่นี้ถึงหน้าที่พัก ผมก็เหลือบมองดูว่าเขาพักที่ไหนกัน เห็นเป็นอาคารตึกแถวที่กำลังมีการก่อสร้างอยู่ ก่อนจะลงแม่เด็กก็ไหว้ขอบคุณผม ผมดูหน้าแม่เด็กก็เห็นว่าเขาไม่มีความหวาดระแวงผมอีกแล้ว ส่วนผมก็ขับรถกลับมาถึงบ้านที่อยู่ไม่ไกลจากที่พักของแม่ลูกมากนัก จำได้ว่ามาถึงบ้านตอนเกือบจะสามทุ่ม

    หลังจากเหตุการณ์นี้ผ่านไป ในระหว่างนั้นผมก็ยังมีเจ็บหูเพราะมีเชื้อโรคเข้าอยู่อย่างน้อยปีละ 1 ครั้งอยู่ ผมก็ไปหาหมอ แต่เป็นหมอที่หน่วยงานเป็นหมอหูเพิ่งจบเฉพาะทางมา ผมไปตรวจกับคุณหมอ คุณหมอมีเครื่องมือที่ใช้มือจับส่อง แล้วก็จ่ายยาให้ผมมากิน คุณหมอเขาไม่เคยรู้ว่าผมเป็นโรคแก้วหูทะลุ เลยวินิจฉัยโรคผมไม่ถูก ผมก็เล่าให้พี่คนนึงที่เป็นเภสัชกรฟังว่า ที่จริงผมเป็นโรคแก้วหูทะลุ แต่คุณหมอไม่ทราบ พี่เภสัชฯ เขาบอกว่า ไม่ได้หรอกต้องบอกคุณหมอให้รู้ไว้ จะได้ไม่ผิดพลาดในเคสต่อไป

    และหลังจากนั้นพี่คนนี้ก็แนะนำให้ผมไปรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช เพราะพี่มีคนรู้จักเป็นพยาบาลหัวหน้าตึกอะไรสักอย่าง ตอนแรกผมก็ไม่อยากไป เพราะว่าเกรงใจ เรื่องการใช้เส้นสาย ไม่ค่อยอยากรบกวนใครให้ลำบากใจ แต่พี่เภสัชแกก็คะยั้นคะยอให้ผมไปจนได้ ผมได้ไปตรวจกับอาจารย์หมอ นัดกันเป็นระยะระยะ อาจารย์หมอจะต้องนัดทำการผ่าตัดแปะแก้วหูให้ผม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤษภาคม 2017
  17. poon-pan

    poon-pan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,292
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,115
    ทำบุญทำทานโดยไม่ได้หวังผลตอบแทนแต่ได้อานิสงส์จริง...

    ตอนที่ 5 จบแล้วครับ


    ในระหว่างนั้นผมก็ต้องไปตรวจเพื่อทำการนัด นัดครั้งละเดือนเพื่อจะนัดผ่า ไปทีไรก็นัดไม่สำเร็จสักที ถ้าจำไม่ผิดผมไปตรวจอยู่ สามเดือนก็ยังนัดไม่ได้เลย เพราะว่าหมอว่าง ห้องไม่ว่าง พอห้องว่าง หมอไม่ว่างสลับกันอยู่อย่างนี้จนผมไม่ไปตรวจอีกแล้วเพราะว่ารู้สึกเบื่อมาก พอเจอกับพี่เภสัช ก็บอกพี่เขาไปว่าผมไม่ไปแล้วนะ เพราะว่าคงไม่มีทางนัดแล้ว สุดท้ายแกก็เลยจัดการให้เสร็จสับ ว่านัดให้ได้แล้ว ทุกอย่างว่างหมด ทั้งหมอทั้งห้อง

    ผมเลยได้เข้ารับการผ่าตัดปะแก้วหูสำเร็จ หลังจากนั้นผมไม่เคยมีอาการหูติดเชื้ออีกเลยครับ ตอนนั้นก็ยังไม่ได้คิดอะไรมากนักเกี่ยวกับบุญ แต่ตอนหลังมานั่งปะติดปะต่อเรื่องราว ทำให้ผมมีความเชื่อมั่นว่า ผลบุญจากการที่เราช่วยเหลือคนโดยที่เราไม่ได้หวังผลตอบแทนอะไรจากเขา สุดท้ายบุญที่เราทำไปนั้นมันก็กลับมาหาเราจนได้ ยิ่งทำให้เราเชื่อมั่นและมีความศรัทธาต่อการทำความดีมากยิ่งขึ้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤษภาคม 2017
  18. poon-pan

    poon-pan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,292
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,115
    เดี๋ยวผมจะคัดลอกเรื่องราวที่ผมได้พาพระอาจารย์ไปถอนตะปูผีตายโหงเมื่อประมาณ มกราคม 2556 มารวบรวมไว้ในกระทู้นี้ครับ

    เรื่องพระอาจาย์โดนตะปูผีตายโหง

    ตอนที่ 1

    ตอนเริ่มต้นของเรื่อง มันเป็นอย่างนี้ครับ

    พระอาจารย์ท่านเริ่มมีอาการเจ็บปวดตามร่างกายหลายแห่ง ตั้งแต่ตอนเริ่มเข้าพรรษาเมื่อปี 2555 เป็นหนักจนถึงกับเดินไม่ได้เลย ต้องให้ญาติโยมนำไปส่ง โรงพยาบาลประจำจังหวัด นอนอยู่เป็นอาทิตย์ หมอก็สรุปว่าเป็นโรคนั้นโรคนี้ ให้ยามากิน ตอนแรกมันก็ดูเหมือนว่าโอเค ดูเหมือนว่ามีอาการดีขึ้น

    แต่พอกลับมาที่สำนักสงฆ์ ก็เป็นอย่างเดิมอีกแล้ว ต้องพาเข้าโรงพยาบาลเป็นรอบที่สอง คราวนี้อยู่นานเป็นสิบวัน แล้วก็เริ่มดีขึ้นอีก พอกลับมาที่สำนักสงฆ์ได้ ในช่วงเข้าพรรษาก็เป็น ๆ หาย ๆ ท่านก็ทนจนออกพรรษา พอออกพรรษาท่านก็มาทำธุระที่ปทุมธานี อาการมันก็กำเริบกระทันหัน ต้องส่งโรงพยาบาลจังหวัดปทุมธานี วันนั้นผมจึงต้องขับรถจากที่ทำงานไปรับท่านกลับมาพักที่บ้านผม เพราะคิดว่าน่าจะสะดวกดีกว่าอยู่โรงพยาบาล (เพราะเข้ากันมาหลายรอบ สองสามโรงพยาบาลแล้วก็เหมือนเดิม )

    ตอนที่ท่านพักอยู่ที่บ้านผมนั้น ผมเองก็ได้แค่ถวายอาหารกับยาบรรเทาอาการเจ็บปวด (พวกยาแก้ปวด) ท่านก็พักอยู่ประมาณ ๑อาทิตย์ ก็ดูเหมือนทำท่าว่าดีขึ้น ท่านจึงเดินทางไปเข้าปริวาสแถวกำแพงเพชร เข้าปริวาสได้แค่ไม่กี่วัน คราวนี้ก็ต้องโดนหามส่ง โรงพยาบาลกำแพงเพชรอย่างกระทันหัน คราวนี้หนักกว่าทุกครั้ง ท่านเล่าให้ฟังว่าขามันล็อคทั้งสองข้าง แถมเป็นลมหน้ามืออีกต่างหาก จวนเจียนจะถึงแก่ชีวิตอยู่แล้ว ตอนที่อยู่โรงพยาบาลหมอจับตรวจร่างกายทุกอย่าง ตรวจอย่างละเอียดที่สุดเท่าที่เคยตรวจมา แต่ก็ไม่เจอสาเหตุอะไรสักอย่าง จนหมอได้แต่บ่นว่า ไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อนเลย...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤษภาคม 2017
  19. poon-pan

    poon-pan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,292
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,115
    เรื่องพระอาจาย์โดนตะปูผีตายโหง

    ตอนที่ 2

    ท่านเล่าให้ผมฟังว่า ช่วงที่มีอาการหนักๆอยู่นั้น บังเอิญมีพระเพื่อนของท่าน โทรมาชวนไปเข้าปริวาส ท่านก็เล่าเรื่องอาการเจ็บป่วยให้ฟัง พระเพื่อนรูปนั้นคงมีประสบการมาบ้างเลยเอ่ะใจว่าคงไม่ใช่อาการป่วยธรรมดาเสียแล้ว

    พระเพื่อนนั้นท่านจำวัดอยู่ที่นครนายก ท่านมีญาติเป็นพระหลวงพ่ออยู่ที่ พิษณุโลก เลยรีบโทรไปปรึกษากัน หลวงพ่อที่พิษณุโลกท่านก็บอกมาทางโทรศัพท์ว่า ให้รีบพาตัวพระอาจารย์มาหาท่านด่วนเลย พระที่นครนายกก็เหมารถมาจากนครนายก มารับหลวงน้าที่กำแพงเพชรแบบด่วนจี๋เลย พาอุ้มกันขึ้นรถไปหาหลวงพ่อที่พิษณุโลก พอไปถึง ท่านก็บอกว่า โดนของใส่ให้รีบไปแก้ก่อน ท่านก็แก้ให้ไม่ได้ แต่ให้ไปหาอาจารย์ปู่ที่อยู่สุโขทัย ที่นั่นมีอาจารย์ที่เป็นพ่อลูกอยู่สองคนที่จะช่วยได้

    ก็ตีรถขึ้นไปทันที ดีที่ได้พระอีกสองสามรูปมาช่วยกันอุ้มรถไปหาหมอถอนของกัน ( เหตุการณ์นี้เป็นการถอนตะปูตัวแรกครับ ส่วนรูปที่ผมเอามาลงนั้นเป็นเหตุการณ์ไปถอนตะปูตัวที่สองครับ ต้องบอกก่อนเดี๋ยวจะงงกัน)

    พอไปถึงบ้านหมอแต่เป็นหมอลูกชายของอาจารย์ปู่ แต่อยู่บ้านกันคนละหลัง ซึ่งหมอลูกชายก็ได้รับถ่ายทอดวิชามาจากอาจารย์ปู่ นั่นเอง ขั้นตอนการเอาของออกนั้นก็คล้ายๆกัน ตะปูตัวแรกที่ถอนออกมา นั้นมันอยู่ซีกขวาของร่างกายพระอาจารย์ มันออกมาที่ตะโพก อันนี้พระอาจารย์ท่านเป็นคนเล่าให้ผมฟัง ผมไม่ได่อยู่ในเหตุการณ์

    ผมยังจำได้ว่า ตอนที่ท่านเล่าให้ฟังว่าตะปูมันออกมาทางสะโพกขวา ตัวผมเองก็ยังเฉย ๆ คือฟังเอาไว้ แต่ยังไม่ได้ปักใจเชื่อมากนัก เพราะอย่างว่าเราไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์นั้น แต่เราก็ไม่ได้อวดฉลาดอะไรกับพระอาจารย์ เพราะคิดว่าท่านเป็นพระคงไม่มุสาแต่งเรื่องแบบนี้มาหลอกเราหรอกมั๊ง ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤษภาคม 2017
  20. poon-pan

    poon-pan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,292
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,115
    เรื่องพระอาจาย์โดนตะปูผีตายโหง

    ตอนที่ 3

    หลังจากที่หมอลูกชายเอาตะปูออกให้แล้ว หนึ่งตัว ตอนนั้นพระอาจารย์บอกว่า น่าจะยังมีเหลืออยู่เพราะท่านรู้สึกได้ แต่ก็ไม่สามารถเอาของออกได้อีกภายในวันเดียวกัน เพราะหมอลูกชายบอกว่าทำได้แค่วันละครั้ง (ตอนนั้นยังไม่เจออาจารย์ปู่) ก็พากันกลับมาที่วัดหลวงพ่อที่พิษณุโลก ต้องอาบน้ำมนต์กับหลวงพ่ออีกสามวัน ท่านจึงดูให้ว่า หลวงน้ายังมีของอยู่ในตัวอีก น่าจะเป็นตะปูหรืออะไรที่มันแหลมๆ ให้รีบกลับไปแก้ ถ้าไปแก้ช้า มันจะวิ่งเข้าหัวใจ คราวนี้ ซี้มะก่องด้องแน่นอน

    ไอ้ตะปูตัวที่สองที่ยังเหลืออยู่ในร่างกายพระอาจารย์ เลยต้องตกมาเป็นหน้าที่ของผม เพราะท่านลงมาหาผมที่กรุงเทพฯ มาขอให้ผมช่วยเหลือเรื่องปัจจัยค่าพานครูหมอถอนของ พอท่านมาถึงที่กรุงเทพฯ ผมก็ไปรับที่รังสิตฟิวเจอร์ปาร์ค มาพักที่บ้านผมเหมือนเดิม พอท่านพักได้แค่วันสองวันมันก็เริ่มแล้วไอ้ตะปูตัวที่สองมันก็ออกฤทธิ์อีก ทำให้ท่านต้องพักที่บ้านผมต่ออีกสองสามวัน จึงจะกลับขึ้นไปที่สุโขทัย

    ตอนแรกผมก็เห็นท่านพอจะเดินได้เลยกะว่า เดี๋ยวให้ท่านไปเองก็แล้วกัน ผมแค่ไปส่งที่หมอชิตก็พอ แต่อาการที่มันกำเริบ เห็นแล้วก็ใจคอไม่ดีเลย ก็คิดว่า สงสัยพระอาจารย์คงไปเองจะลำบาก ถ้าเกิดพระอาจารย์ไปตายระหว่างเดินทางผมคงต้องรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต ผมเลยตัดสินใจเหมารถแท็กซี่ และชวนพี่ผู้หญิงที่สนิทกันกับตัวผมกับทั้งพระอาจารย์ มุ่งหน้าไปที่สุโขทัย จนได้รูปที่เอามาลงในกระทู้นี้ ครับ

    ขอแถมนิดนึง เป็นเรื่อง ขำๆ ระหว่างเดินทางไปที่สุโขทัย พระอาจารย์ท่านรู้สึกเจ็บปวดไปตลอดทาง ไอ้เราก็ใจคอไม่ดี กลัวท่านจะตายกลางทาง ท่านมีอาการเจ็บเป็นช่วงๆ พอท่านร้องครางด้วยความเจ็บปวด พี่โชเฟอร์ก็เร่งเครื่องเร็วจี๋ พอท่านคลายเจ็บไม่ได้ส่งเสียงร้องอะไรออกมา พี่โชเฟอร์ก็เบาคันเร่ง พอท่านร้องอีก พี่โชเฟอร์ก็เร่งคันเร่งอีก ส่วนตัวผมกับพี่ผู้หญิงที่ไปด้วยกันก็นั่งเอาแต่สวดมนต์ภาวนา ก็ให้ถึงที่บ้านหมอเร็ว ๆ เถิดเพี้ยง เครียดกันจะตายอยู่แล้ว
    พอหลังจากที่ถอนตะปูออก ก็พากันกลับไปหาหลวงพ่อที่พิษณุโลก เราก็คุยกันแบบสบายใจแซวกันเล่นว่า พอพระอาจารย์ร้องโอยที พี่ก็เร่งเครื่องที เป็นอย่างนี้ตลอดทาง ต่างคนก็ต่างหัวเราะกันทั้งรถ ...ขอจบเพียงเท่านนี้ครับ

    ต้องขอขอบคุณกระทู้นี้ที่ทำให้ผมได้มีโอกาสมานั่งพิมพ์เรื่องราวอันนี้ เผื่อมันพอจะเป็นประโยชน์ให้กับเพื่อนๆสมาชิกได้บ้างไม่มากก็น้อย ในกรณีที่ต้องไปผจญกับเรื่องราวแบบนี้ และถ้าผมไม่ได้มานั่งพิมพ์เรื่องราวนี้ อีกไม่นานผมก็คงลืมไม่สามารถจะมาเล่ารายละเอียดได้เหมือนอย่างนี้อีก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤษภาคม 2017

แชร์หน้านี้

Loading...