ความจริงช่วงนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไรจะถามนะ แต่ก็อยากจะระบายอะไรบ้างเล็กน้อย
คือมันคงจะเกิดจากเรามีเวลาว่าง มาอ่าน net มากไปแล้วก็ไม่มีใครมาควบคุม
งานน้อย ว่างมาก ความคิดฟุ้งซ่าน คิดอะไรเรื่อยเปื่อย ก็รู้ว่าไม่ดี
แล้วก็ยังรู้สึกผูกพันคุ้นเคยกับห้องนี้ (เหมือนคนโดนของ แต่ไม่ใช่หรอกต้องโทษกิเลสตัวเองมากกว่า)
เราไม่กล้าไปเล่าให้ใครฟังโดยตรงหรอกเพราะมันคงเป็นเรื่องตลก และแปลกมาก
แต่มันก็อึดอัด เลยขอโพสต์ ในห้องนี้
ขอบคุณนะที่เข้ามาอ่าน
สวัสดีค่ะ
ในห้อง 'ทุกข์และปัญหาชีวิต' ตั้งกระทู้โดย january2555, 9 มกราคม 2012.
หน้า 1 ของ 5
-
-
หมอจัดยาให้ นี่เลย
ความคิดฟุ้งซ่าน คิดไปมา ซ้ำไปซ้ำมาเช่นเดิม เกิดอาการเปนอารมณ์ฟุ้ง
คิดไปจบแล้วกลับมาคิดอีก คิดอยู่นั่นเอง เรียกว่าโรคฟุ้ง
ต้องแก้ด้วย ยาที่ชื่อ อานาปานสติ ค่ะ ให้ยาตอนนี้เลย
ลองกินดูนะคะ เมื่อไรฟุ้งกินได้เลย ไม่ขึ้นกับก่อนหรือหลังอาหาร
กินได้บ่อยเท่าที่ต้องการ หากไม่หายอีกให้เดินจงกรมในห้องก็ได้
พร้อมกินยาไปด้วย ทีนี้น่าจะหายขาด
ยานี้ หมอให้กินได้โดยไม่ต้องจ่ายเงิน จ่ายเปนแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ก็พอ
สาธุ สาธ สาธุ ต้องสาธุสามครั้งหลังกินยาแล้วด้วยนะ -
ถ้าคิดฟุ้งซ่านให้คิดช้าๆ ลากความคิดยาวๆ
-
อย่างตอนนี้เราอยู่หน้าคอมพ์ ก็ทำงานไปด้วยแต่เป็นงานไม่รีบด่วน แล้วเราก็ชอบแว๊ป มาเข้าเว็ปนี้ เรื่อยๆ น่ะ แล้วเราก็ดีใจนะที่คุณเข้ามาตอบทุกครั้ง
ก็แค่นี้แหละ ขอบคุณนะคะ ถ้ามีอะไรเราจะเข้ามาโพสต์ใหม่ -
ใช้ได้กับทุกเรื่องทั้งคนที่ติดคิดเยอะ คนติดเหล้า ติดบุหรี่ ติดรสชาติอาหาร ก็แค่
ทำอะไรให้ช้า อยู่กับมันนานๆ สิ่งเหล่านี้ต้องการการแสดงออกต้องให้สติตามทัน
มัน เหมือนกับคนที่คิดโกรธคนอื่นในหัวมากมายจนต้องพูดระบายออกมาเพราะ
สติมันตามความคิดไม่ทัน ความคิดมันเร็วเกิน แต่พอพูดออกมามันช้าสติเริ่มตาม
ทันมันก็เลยหาย หลักการง่ายๆ ก็คือให้สติตามให้ทัน -
คนที่ติดอะไรก็ตาม จะรู้สึกไม่มีอิสระ เหมือนโดนมัดโดนดึง ไปเพราะความคิดความยึดติด
พอเราลองคิดช้าๆ คิดยาวๆ มันเหมือนมีสติกลับมารู้ตัวรู้ปัจจุบันมากขึ้น แล้วก็หายใจยาวขึ้น เป็นคำแนะนำที่ดีมากค่ะ
ปกติเราไม่ค่อยพูด เอาแต่คิด ยิ่งคิดก็ยิ่งวน อ่านหนังสือก็ได้คำตอบบ้าง แต่มันก็ตรงเท่าไร ก็ชอบแนวคิดของคุณนะ มีประโยชน์ นำมาใช้ได้ผล เหมือนคุณได้ศึกษามามาก
แล้ว ก็สังเคราะห์ความคิดเป็นของตัวเอง ดูมีเหตุมีผลดี ขอบคุณนะคะ -
ครับความคิดมันเป็นเหมือนเครื่องมืออย่างหนึ่งเอาไว้ใช้ทำงาน คนเราสามารถ
เข้าใจได้ด้วยความคิดและสามารถใช้ใจเข้าใจได้ด้วย ถ้าเรียนรู้ที่จะเข้าใจอะไร
โดยใช้ใจจะพบรสชาติใหม่ของชีวิต เหมือนเราเข้าใจบทกวี เข้าใจดนตรี เข้าใจ
ท่วงทำนองและจังหวะชีวิต เมื่อเราทำงานเราใช้ความคิดแต่เมื่อเราไม่ต้องทำ
งานเราก็ไม่จำเป็นต้องแบกมันไว้ เมื่อเราวางความคิดจิตจะตกลงไปที่ใจ จะ
สามารถเข้าใจอะไรด้วยใจได้ และสิ่งที่เข้าใจด้วยใจก็เป็นอะไรที่มหาศาลเก็บไว้
คนเดียวไม่ได้ จะต้องแผ่ไปทั่วทุกทิศ ให้กับทุกสรรพสิ่ง -
อ่านแล้วซาบซึ้ง เดี๋ยวจะเอากลับไปทบทวนใหม่ค่ะ
-
เราอ่านดูแล้วก็คงต้องเข้าใจด้วยความคิดเดิมๆ ไปก่อน แต่ก็พอเข้าใจนะว่าถ้าทำอะไรด้วยใจคงจะทำแล้วมีความสุข เราพบว่าสิ่งที่ผ่านมา เราทำอะไรด้วยสมองตลอด ไม่ค่อยมีใจเท่าไร เช่นจะเรียนอะไรก็ไม่รู้ว่า ตัวเองชอบอะไร หรือสิ่งที่ชอบอาจจะเป็นสิ่งที่ไม่ใช่
แต่พี่เขาก็บอกว่า บางทีมันบอกยากนะว่าชอบอะไร หรือเรียนตามความชอบ เพราะเด็กก็อาจจะไม่รู้จริงว่าสิ่งที่ชอบ พอถึงเวลาทำงาน อาจจะไม่ตรงกันก็ได้ ก็อาจจะต้องเลือกเรียนตามคะแนนไปก่อน คุณเห็นด้วยมั้ย
เมื่อก่อนเราเคยเห็นคนคุยกันด้วยภาษามือบนรถเมล์ หัวเราะกัน ก็ไม่เข้าใจว่าเขาจะมีความสุขเหมือนคนทั่วไปอย่างไร แล้วก็เคยเจอคนตาบอดไปเทียวเมืองนอก มีคนถามเหมือนกันว่าตาเขาไม่เห็นอะไร ? แต่เขาบอกว่าเขาใช้จินตนาการ ซึ่งน่าจะสวยงามมากกว่าคนตาดีเห็นเสียอีก ตอนนี้เราก็เข้าใจและเห็นด้วย
สิ่งสำคัญมักมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่ต้องมองด้วยหัวใจ ก็คงต้องเรียนรู้ปรับปรุงพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ นอกจากเจริญสติ แล้วก็ต้องเจริญเมตตาให้มากๆ -
เรื่องการเรียนมันเป็นสิ่งที่เลือกลำบากเหมือนกันเพราะมันไปผิดทาง เด็กควร
จะรู้ก่อนว่าทุกอาชีพทำงานเกี่ยวกับอะไร มีอะไรที่เหมาะกับเขาและไม่เหมาะ
กับเขา เมื่อเขาเจออาชีพที่เขาชอบแล้วค่อยสนใจว่าจะต้องศึกษาเกี่ยวกับ
อะไร และศึกษาแต่ละวิชามีความสำคัญต่อการประกอบอาชีพอย่างไร ปัญหา
ตอนนี้ก็คือ ไม่มีใครรู้ว่าอาชีพไหนทำงานเกี่ยวกับอะไร เด็กไม่มีโอกาสสัมผัส
ว่าเขาเหมาะกับงานนั้นหรือเปล่าจนกระทั้งเขาเรียนในสิ่งที่เขาคิดว่าชอบและ
ได้ไปทำงานนั้นจริงๆ เด็กหลายๆ คนเลือกที่จะเข้าคณะตามคะแนนที่สามารถ
เลือกได้ มันจึงมีปัญหามากมาย น้อยคนที่รู้สึกลงตัวกับงานที่ทำ สิ่งที่จะช่วย
ได้มากก็คือถามตัวเองให้แน่ใจว่าอาชีพที่เราเลือกทำนั้นเหมาะกับเราจริงๆ
ส่วนการใช้ใจนั้นคือการเชื่อมทุกสิ่ง การใช้ความคิดคือการแบ่งแยกออกไป
เรื่อย มันมีประโยชน์ในส่วนของมัน เราสามารถเข้าใจอะไรหลายๆ อย่างได้
ด้วยการใช้ความคิดแต่เราไม่สามารถเข้าใจคนอื่นและโลกได้ด้วยการใช้ความ
คิด นั่นคือปัญหาของโลกในตอนนี้ -
จริงด้วยแต่ละคนก็คิดไม่เหมือนกัน แล้วก็ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรกันเพราะอะไร แต่เรื่องเรียนนี่บางคนก็บอกว่าถ้าไม่รู้แน่ชัดก็เรียนให้จบตรีไปก่อน พอทำงานแล้วถ้าไม่ชอบก็เลือกเรียนโทในสาขาที่ชอบ
อย่าง ดร นิเวศ ที่เป็นวิศวะ ตอนหลังเขาก็เปลี่ยนมาสนใจด้านการเงิน เรื่องหุ้น การลงทุน คนที่เป็นประธานหรืออะไรเกี่ยวกับสมาคมผู้ค้าทองก็เรียนหมอมาก่อน ถ้าเด็กๆ มีโอกาสทำกิจกรรม เช่น ไปฝึกงาน หรือดูงาน นอกสถานที่เขาก็อาจจะรู้เห็นอะไรมากขึ้น แต่ก็ไม่แน่อีก ถ้าไปเจอสังคมเจอเพื่อนแบบไหนก็อาจจะตามๆ กันไป บางที่ก็อยู่ที่โชคชะตา ฟ้าลิขิต แต่เราก็ไม่ได้สนใจเรื่องดวงมากนะ พึ่งตัวเองดีกว่า แล้วก็ทำใจอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด แต่ก็ต้องไม่ประมาท
อย่างเราก็นับว่าโชคดีอยู่หลายเรื่อง แต่จิตใจยังไม่มั่นคงพอ เช่น ชอบเปรียบเทียบเมื่อไปเห็นอะไรที่เหนือกว่า ก็รู้ว่า คิดแล้วเป็นทุกข์ แต่ก็เป็นอยู่ไม่นาน
ท่านพุทธทาสก็บอกว่าโลกจะสันติได้ก็ ด้วย ธรรมะ -
ครับคนทุกคนมีสิทธิเลือกเสมอแหละครับ ถ้าเราไม่ชอบอะไรเราก็สามารถที่จะ
เลือกใหม่ได้เรื่อยๆ นี่คือสิ่งที่ทำให้ทุกคนเท่าเทียมกัน เราสามารถเลือกที่จะเป็น
ได้ทุกอย่าง แม้จะเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งก็ได้ถ้าเราปรารถนา ไม่มีใครที่
สูงส่งกว่าใคร ไม่มีใครต่ำต้อยกว่าใคร ทุกคนล้วนมีอิสระที่จะเลือกอย่างเท่า
เทียม แต่การที่จะได้มาซึ่งสิ่งที่ปรารถนานั้นยากง่ายต่างกัน เพราะบางคนไม่เคย
ทำเหตุมาเลย แต่จะเอาผล บางคนทำเหตุเสียแต่จะเอาผล ก็ต้องทำเหตุให้มาก
ขึ้นไป พระพุทธองค์จึงให้เลือกทำเหตุที่มีอานิสงส์มากเพื่อให้ได้สมปรารถนา ดัง
นั้นก็ไม่จำเป็นต้องอิจฉาใครเพราะไม่ว่าเขาจะเป็นใครเราก็สามารถเป็นแบบเขา
หรือเป็นมากกว่าเขาถ้าเราปรารถนา แต่ถ้าเราพอแล้วไม่อยากทำเหตุแล้วก็ไม่
จำเป็นต้องเปรียบเทียบกับใครเพราะเลือกที่จะพอแทนที่จะทำเหตุให้เป็นแบบ
นั้น ส่วนเรื่องของการเข้าใจด้วยใจเป็นสิ่งที่คนเราขาดในตอนนี้ การเข้าใจด้วยใจ
คือการเข้าใจโดยรวมทั้งหมด อย่างเราไม่เข้าใจว่าความจริงแล้วสงครามมันเกิด
จากความรุนแรงในจิตใจมนุษย์ที่รวมกันสร้างขึ้นมา ไม่เข้าใจว่าโรคระบาดที่ฆ่า
มนุษย์มากมายเกิดจากความรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่าที่หลายๆ คนรวมกันสร้าง
ขึ้นมา การเลือกผู้นำที่คอรัปชั่นเกิดจากการชอบฟังเรื่องโกหกที่หลายๆ คนสร้าง
ขึ้นมา สภาพอากาศที่แปรปรวนเกิดจากการทำลายสมดุลของธรรมชาติที่หลายๆ
คนร่วมกันสร้าง ถ้าเราสามารถใช้ใจได้เราจะสามารถเข้าใจสิ่งต่างๆ ที่เป็นโดย
รวมทั้งหมด จะเข้าใจว่าสิ่งที่เราทำจะส่งผลต่อสิ่งโดยรวมทั้งหมดอย่างไร และ
จะใช้ชีวิตราวกับว่าเป็นชีวิตร่วมกันทั้งหมด ไม่มีการแบ่งแยก -
สาธุ........
ได้อ่านแล้ว ดีมากค่ะ
เดี๋ยวต้องทำงานก่อน :VO -
ภาพนี้ ดูแล้วรู้สึกสุขสงบ เราจะสามารถเรียบเรียงความคิดได้ดีขึ้นค่ะ -
-
วันนี้ เป็น วันเด็ก....
อ้างอิง
"ทุกคนมีสิทธิเลือกเสมอแหละครับ ถ้าเราไม่ชอบอะไรเราก็สามารถที่จะ
เลือกใหม่ได้เรื่อยๆ "
ทุกคนทีสิทธิเลือกเสมอ แต่การตัดสินใจในแต่ละครั้งก็มีปัจจัย อื่นๆเข้ามาเกี่ยวข้อง
อะไรที่เราเลือกแล้ว ก็คงจะเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดของเราแล้วในเวลานั้นๆ
และเราก็ควรจะรับผิดชอบกับสิ่งที่เลือกให้ถึงที่สุดก่อน แม้ภายหลังพบว่าชอบหรือไม่ชอบ
การเลือกใหม่ของเรา อันดับแรกคือเลือกที่จะเปลี่ยนมุมมองและทัศนคติของตัวเอง
ให้เหมาะสมกับสิ่งที่มีอยู่แล้ว
ถ้าเราไม่อดทนและพยายามมากพอ โดยการเลือกใหม่ไปเรื่อยๆ มันอาจจะวนและกลับมา
ที่เดิม
นี่พูดถึงบางกรณีที่พบเห็นมานะ เช่นเคยเจอคนสมัยก่อนบางคนเีรียนไปได้ปีเดียว
แล้วเอ็นใหม่ 2 -3 รอบ แล้วก็กลับมาได้คณะเดิมอีก แล้วก็ต้องเรียนจนจบ โดยใช้เวลา
มากกว่าเดิม (สมัยนั้นยังไม่มี มหาลัยมากเหมือนในปัจจุบัน)
แต่ในบางเรื่องเปลี่ยนแล้วดีขึ้นกว่าคนที่ไม่กล้าเปลี่ยนก็มี เช่น เปลี่ยนงาน
ย้ายบ้าน
การทำเหตุให้ดีให้มาก ตั้งแต่ต้น อายุยังน้อย ก็จะส่งผลดีในภายภาคหน้า
เมื่อเราอายุมาก หรือสุขภาพถดถอย
ส่วนที่บอกว่า "โรคระบาดที่ฆ่า
มนุษย์มากมายเกิดจากความรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่าที่หลายๆ คนรวมกันสร้าง" อันนี้ไม่เข้าใจ มันลึกซึ้งเกินไป
ที่บอกว่าทุกชีวิตมีส่วนเกี่ยวข้องและมีผลกระทบกันทั้งหมด อันนี้เห็นด้วย
เช่น เมืองหลวงก็เหมือนหัวใจ ของประเทศ ถ้าหัวใจหยุดเต้น ไม่มีเลือดหล่อเลี้ยงร่างกาย ทุกอย่างก็ตายหมด
ถนนหนทาง หรือตึกรามบ้านช่อง พืชผัก ข้าวปลาอาหาร ก็ต้องพึ่งพาอาศัย เพื่อนร่วมโลก ช่วยกัน มิฉะนั้นเราคงลำบากมาก
-
เรื่องดี-ไม่ดี ควร-ไม่ควร มันเป็นเรื่องของทางโลก ในทางธรรมมันไม่สิ่งพวกนี้
หรอกครับ อย่างเจ้าชายสิทธัตถะ ถ้าเลือกทำในสิ่งในควรคืออยู่กับพระนางยโส
ธราและพระราชกุมารที่เกิดเพียงวันเดียวก็อาจจะไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า อาจจะ
เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ไป ถึงได้เรียกว่ามันทวนกระแสโลกไงครับ การใช้ธรรมะใน
ทางโลกก็คือการที่เรารู้ว่าเราสามารถเลือกได้เสมอ และถ้าเราไม่ชอบอะไรเราก็
สามารถที่จะเลือกใหม่ได้ตลอด แต่ที่มันมักไม่เป็นอย่างนี้เพราะถ้าทุกคนเชื่อ
แบบนี้มันจะอันตรายเกินไป จะไม่มีใครสามารถที่จะควบคุมให้คนอื่นทำตามใจได้
จะไม่มีใครยอมผูกมัดตัวเองและปฏิบัติตามกฏระเบียบ เพราะเขารู้ว่ากฏระเบียบ
เป็นสิ่งที่คนที่อยากควบคุมเขาสร้างขึ้นมาเพื่อที่จะควบคุมเขา มันเป็นอะไรที่น่า
สนใจ แต่ความจริงโลกของเรายังไม่พร้อมกับมัน จนกว่าทุกคนจะเรียนรู้ที่จะใช้
ใจของตัวเองได้ และเข้าใจว่าสิ่งที่ตัวเราทำมันสามารถกระทบตนเอง กับคนรอบ
ข้างและระบบทั้งหมดอย่างไร นี่คือความรับผิดชอบเดียวที่ควรจะมีและเป็นความ
รับผิดชอบที่เป็นธรรมชาติมากๆ แต่เพราะมันยังไม่เกิดขึ้นเราเลยต้องสร้างความ
รับผิดชอบขึ้นมาจากความกลัวและความรู้สึกผิดซึ่งฝืนธรรมชาติมากๆ เช่นกัน
ดังนั้นอย่างแรกเราอาจจะให้เขาเรียนรู้การใช้ใจก่อน เพื่อที่เขาจะรู้จักความรับ
ผิดชอบที่เป็นธรรมชาติ แล้วค่อยให้เขารู้จักกับอิสรภาพ -
เท่าที่เคยอ่านมาบ้าง เจ้าชายสิทธัตถะ มองการณ์ไกล ในยุคนั้น ก็มีการรบรากันระหว่าง
ราชวงศ์ อะไรทำนองนั้น หรือเปล่า
เรื่องอื่นๆ ก็คงเป็นไปตามขั้นตอน ตามกรรมมั้ง
เดี๋ยวต้องใช่เวลาทำความเข้าใจก่อน -
คนในยุคเราน่าจะสามารถเข้าใจเรื่องกรรมได้มากกว่ายุคไหน เพราะเราเริ่มรู้จัก
กฏการดึงดูดและพลังงาน กรรมก็คือการคิด การพูด และการกระทำ ที่ประกอบ
ด้วยเจตนา และทั้งสามสิ่งนี้ก็ส่งพลังงานออกไปจากตัวเราไปสู่ทุกสรรพสิ่งใน
จักรวาล กระทบทุกคน และทุกที่ ไม่มีที่ไหนเลยที่พลังงานนี้จะไปไม่ถึง แต่พลัง
นี้จะหนาแน่นในบางที่ และเบาบางในบางที่ สิ่งที่ทำให้มันหนาแน่นก็คือกฏการ
ดึงดูด พลังงานที่เหมือนกันจะดึงดูดกัน ถ้ามีหลายๆ คนที่รู้สึกว่าตัวเองไม่สมควร
มีชีวิตอยู่ พลังงานนี้จะรวมกันและสร้างโรคระบาดที่จะทำลายคนทีละมากๆ ขึ้น
มาได้ เพราะพลังงานนั้นสามารถที่จะเปลี่ยนรูปไปได้ จะเป็นลบหรือบวกก็ได้ก็
คือพลังงานตัวเดียวกัน จะเป็นนรกหรือสวรรค์ก็ได้ก็คือพลังงานตัวเดียวกัน
อย่างเราได้รับพลังงานเคมีจากอาหารของโลก แล้วเราสามารถเลือกที่จะสร้าง
พลังงานบวก เช่น ความคิดสร้างสรรค์ ความสุข ความรัก คืนให้กับโลกและ
เปลี่ยนโลกใบนี้ให้เป็นสวรรค์ก็ได้ หรือเราจะเอาพลังงานจากอาหารของโลกมา
เปลี่ยนเป็นพลังงานลบ เช่น ความริษยา การทำลายล้าง และทำให้โลกของเรา
เป็นนรกไปเลยก็ได้ เพราะพลังงานที่ออกจากตัวเรากระทบทุกคน และทุกสิ่งอยู่
ตลอดเวลา นี่คือความหมายของ บุญ-บาป ถ้าเราทำบุญ พลังงานตัวนี้จะไปรวม
ตัวหนาแน่นอยู่ที่สวรรค์ตามกฏการดึงดูด และการแผ่เมตตาก็คือการที่เรากระ
จายพลังงานนี้ออกไปให้กับทุกสรรพสิ่ง คือการเปลี่ยนสิ่งที่ธรรมชาติให้มา
แล้วคืนกลับสู่ธรรมชาติ
-
คุณ bluebaby2
เราคิดว่าในแต่ละวัน มนุษย์ก็เลือกอยู่ตลอดแหละ แล้วการไม่เปลี่ยนใหม่ก็คือเลือกที่จะทำแบบเดิมไปก่อน จนเวลาที่ต้องเปลี่ยนก็เปลี่ยน
อย่างเช่นคนเรามักจะทำซ้าๆ ด้วยความเคยชิน พอวันหนึ่งคิดขึ้นมาได้ว่าทำไมน่าเบื่ออย่างนี้ ก็หยุดทำและเปลี่ยนใหม่
ในสถานการณ์เดียวกันคนเราก็เลือกที่จะตอบสนองต่างกัน เช่น รู้สึกชอบ
เฉยๆ หรือโกรธ โลกของใคร ก็โลกของคนนั้น เช่นเวลาเกิดวิกฤติบางคนก็รับไปเต็มๆ บางคนก็เปลี่ยนเป็นโอกาส
เราก็อยากหลุดพ้นจากตัวตนเหมือนกัน แต่ยังไม่มีเหตุปัจจัยที่เหมาะสม
คงยังไม่ถึงเวลา นะ
สงสัยเรื่องเรียนรู้การใช้ใจน่ะ
รู้แต่ ศีล สมาธิ ปัญญา มรรค8 การเจริญสติ แล้วก็อ่านในเว็ปต่างๆ นี่แหละ
หน้า 1 ของ 5