สวัสดีครับทุกท่าน ผมเป็นคนหนึ่งที่นับถือศาสนาพุทธเเละเน้นไปในทางมหายานคือบำเพ็ญบารมีด้านปัญญาบารมีเเละมีความตั้งใจที่จะละกิเลสเเละศึกษาทั้งปัญญาทางโลกเเละทางธรรมให้เจนจบ ตัวผมเองสำเร็จการศึกษาทางด้านจิตวิทยาเเละเป็นคนที่สนใจในพระพุทธศาสนามาตั้งเเต่เรียนประถม ตอนเด็กๆพ่อกับเเม่มักสอนให้ไหว้พระก่อนนอนเเละสวดมนต์เวลาว่างก็ไปใส่บาตรไหว้พระสมัยเรียนที่โรงเรียนคริสต์ก็มีกิจกรรม ไปเข้าค่ายที่วัดนอนในวัดพุทธ ผมจำได้ว่าพอกลับมารู้สึกเลื่อมใสเเละศรัทธาอย่างมาก ต่อมาได้ไปเข้าค่ายที่วัดธรรมมงคล ได้ฝึกสมาธิเเละสติเเละปกติจะสวดมนต์เกือบทุกวันก่อนนอนบางวันถ้าไม่ไหวก็อาจเเค่ยกมือไหว้หรือเว้นไป พอมีโอกาสได้ฟังคลิปธรรมะของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ในด้านของการทำทาน ศีล ภาวนา เเละท่านได้มาเล่าถึงนรก สวรรค์ เเละนิพพานไม่ศูนย์ รู้สึกเข้าใจพระพุทธศาสนาง่ายขึ้นมากอีกทั้งท่านสอนด้านการละสังโยชน์ เป็นพระโสดาบัน ทำให้ตั้งใจปฏิบัติอย่างค่อยเป็นค่อยไป จนได้มีโอกาสได้ไปซื้อหนังสือตายเเล้วไม่ศูนย์เเล้วไปไหนที่บ้านสายลม ได้อ่านรับรู้ถึงบุคคลมากมายที่ตายไปเเล้วไปเกิดเป็นเทวดาในสวรรค์ชั้นต่างๆเป็นพรหม หรือนิพพานก็มี ทำให้ยิ่งละวิจิกจฉาเเละเชื่ออย่างเต็มเปี่ยมว่านรก สวรรค์ พรหม นิพพานมีจริงๆ ทำให้เร่งทำทานศีลภาวนา อีกทั้งได้ซื้อหนังสือประวัติหลวงพ่อปานมาอ่านเเล้วเกิดศรัทธาอย่างมาก จนทุกวันนี้พยายามเดินตามทางอริยสัจ4 ปฏิจสมุปบาทละสังโยชน์ค่อนเป็นค่อยไปเเละทางมหายานไปพร้อมกัน ผมปกติจะสวดมนต์เเทบทุกวันที่หน้าโต๊ะหมู่บูชามีความรู้สึกว่าถ้าไม่สวดเหมือนขาดอะไรไปบางอย่างจนมาช่วงหลัง ผมได้มีโอกาอ่านประสบการณ์คนที่ได้มโนมยิทธิเเล้วได้มีโอกาสเข้าเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใจผมจึงเกิดความปิติว่าถ้าตนเองได้กราบพระบาทสักครั้งจะเป็นมงคลยิ่งหนัก ผมเคยลองฝึกเองที่บ้าน โดยการท่องนะมะพะธะ ในใจ เเล้วเพ่งรูปพระพุทธรูป ซึ่งพระพุทธรูปที่เป็นพระประธานผมคือพระพุทธชินราชหน้าตัก9นิ้วเช่ามาจากวัดพระศรีมหาธาตุ ที่พิษณุโลกพอเพ่งเเล้วท่องจะเกิดเป็นเหมือนฝ้าสีขาว ภาพจากที่ชัดจะมัวเเต่จะชัดที่พระพักตร์พอหลับตาก็จะเห็นเเค่เงาดำที่เป็นลักษณะซุ้มเรือนเเก้วสักพักเงานั้นก็หายไป ตอนหลังมาเวลาผมสวดมนต์ซึ่งผมก็จะสวดบูชา นมัสการ ไตรสรณคม อิติปิโส เเละแผ่เมตตาบางทีสวดจ้องไปที่องค์พระก็จะเกิดฝ้ามัวพระพักตร์บางทีก็เหมือนใหญ่เล็ก พอหลับตาก็เหมือนเดิม ลองภาวนาก็เป็นฝ้าขาวเหมือนเดิม ผมไม่ทราบว่าเกิดจากอะไร ผมพยายามเเละสนใจในการฝึกมโนมยิทธิเเต่ไม่ได้ผลเลยมาโพสถามท่านผู้รู้เเละสามารถฝึกมโนมยิทธิเเละสามารถท่องนรก สวรรค์นิพพานได้ อยากจะให้ช่วยเเนะนำสอนวิธีการฝึกมโนมยิทธิเเบบที่สามารถฝึกเองที่ผ่านได้ จักขอบคุณอย่างยิ่งครับ ถ้ามีโอกาสตั้งใจอยากกราบพระบาทองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสักครั้งครับ
สอบถามเรื่องการฝึกมโนมยิทธิ
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย PKRKCU, 3 เมษายน 2020.
-
-
คนนี้ (ยศวดี) เขาเก่งเรื่องมโนมยิทธิ..
มีมโนมยิทธิ เต็มกำลัง.. -
อยู่ดีไม่ว่าดี
ไปถาม ครูที่เรียนมานะคะ
เรียนที่ใหนถามที่โน้นเลยค๊าาาา -
" ดูก่อนวักลิ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา "
ถ้า จขกท. เห็นธรรม ก็ได้กราบพระบาทพระพุทธเจ้าแล้วครับ
วิธีของการเห็นธรรม ไม่แบ่งแยก ว่า หินยาน หรือมหายาน ย่อมเห็นทางเดียวกัน ครับ
สติปัฏฐาน เอกายโมมัคโค ว่าย่อๆ ก็ มรรค มีองค์ 8
ส่วนการจะฝึก อาศัย พระพุทธรูป เป็นเครื่องน้อมไปในความสงบ ก็ฝึกได้
น้อมไปให้เห็น ถึง คุณธรรม เป็น ปลายทาง ก็จะได้กราบพระบาท สมกับคำกล่าวที่ว่า
" ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา "
หากจะฝึกแบบพระจูฬปันถก ผุ้เป็นเลิศ ด้านมโนมยิทธิ
ให้เอาผ้าขาวบางสะอาด มาลูป แล้วก็ ภาวนา ระโชหะระนัง ระชังหะระติ ๆๆๆๆ -
อันนี้ก็เป็นการฝึกมโนมยิทธิ อีก วิธีนึงครับ
...............
หลังจากสวดมนต์ไหว้พระแผ่เมตตา
และเมื่อบริกรรมภาวนา จนจิตเริ่มสงบ
ให้นึกคิดเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เช่น
นึกให้เห็น ร่างกายตัวเองนอนตายอยู่ตรงหน้า
นึกให้เห็นแม้ช่วงแรกๆจะไม่ค่อยชัด
นึกให้เห็นแล้วก็ทำการคิดนึกไปว่า พรรณนาตามความคิดว่า
ตั้งแต่เราตายไปร่างกายหน้าตาก็ดูซีดลง
จากเคยมีเลือดเนื้อมาหล่อเลี้ยงแต่มาตอนนี้
กลับดูซีดเซียว ค่อยๆ หม่นหมองลง ไปตามวันเวลาที่เริ่มผ่านไปเรื่อยๆ
จากตายไปได้ 1วัน 3 วัน 5วัน
หน้าตาก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปเริ่มหมองคล้ำเขียว
มีความบวมเปล่ง ด้วยน้ำหนอง น้ำเหลือง
ซึมออกมาตามเสื้อผ้าที่สวมใส่ ไหลเยิ้มออกมาทาง ตา หู จมูก ปาก
บวมปริ่มด้วยความสกปรก นึกคิดอยู่อย่างนี้ไปพร้อมกับนึกภาพให้เห็นต่อหน้าตามที่เรานึกคิดนี้
แล้วทำการนึกคิดต่อไปว่า
เมื่อเราตายไปได้ 10 วัน 15 วัน 20วัน
น้ำหนอกน้ำเหลือง ก็บวมปริออกมาอย่างชัดเจน มองไปที่หน้าก็บวมปริ มีแต่น้ำเหลืองน้ำหนองเต็มไปหมด ดวงตาที่เคยสวยงามสดใส บัดนี้ มีแต่ความบวมเปล่ง ของน้ำเหลืองไหลออกมา
ใบหน้าที่เคยสวยงามก็มีแต่น้ำเหลืองน้ำหนองคละออกมาเต็มไปหมด
ทรวดทรงที่เคยสวยงามก็เต็มไปด้วยน้ำเหลืองน้ำหนองปริ่มออกมาซับตามเสื้อผ้า ทั้งแขน ขา มือเท้า นิ้วมือนิ้วเท้า ก็บวมเปล่งด้วยน้ำเหลืองน้ำหนอง
จากที่เคยเป็นของเราสวยงามแต่บัดนี้ มีแต่น้ำเหลืองเต็มไปหมด
แล้วก็ทำการนึกคิดต่อไปว่า เมื่อเวลาผ่านไปได้ 1เดือน 2เดือน 3เดือน
ร่างกายที่นอนตายอยู่ข้างหน้าเรานี้ มีแต่ความเน่าเหม็น ของเลือดเนื้อ มีความเน่าเฟะ ดวงตาที่เคยสวยงามตอนนี้เน่าเฟะไปด้วยน้ำหนอง มีแมงวันตอม มีหนอนมาชอนไช เต็มเบ้าตา เต็มหน้าเต็มปาก เต็มไปด้วยหมู่หนอนมาชอนไช
มองลงมาที่คอ ก็มีแต่หนอนมาชอนไช ตามอก ตามแขน ตามขา นิ้วมือ นิ้วเท้าก็มีแต่หนอนมาชอนไชเต็มไปหมด ร่างกายที่เคยสวยงามบัดนี้ มีเป็นแต่เพียงอาหารของหมู่หนอน แมลงวันที่มาชอนไชเต็มไปหมด
เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็เปื่อยยุ่ย ปริออกด้วยตัวหนอน ตามท้องใส้ก็ทะลักด้วยน้ำเหลือง น้ำหนอง พร้อมหมู่หนอน ที่ชอนไชตามไส้พุง ตับม้ามไต ปอด มีแต่หมู่หนอนและน้ำเหลืองน้ำหนอง ส่งกลิ่นเหม็นไปหมด ร่างกายที่เคยสวยงามบัดนี้กลับเป็นสภาพเช่นนี้แล้ว
แล้วก็ทำการนึกคิดต่อไปว่า เมื่อเวลาผ่านไปได้ 7 เดือน 9 เดือน 11เดือน
ร่างกายนี้ก็ถูกหมู่หนอนแทะกินจากใบหน้าก็เริ่มมีแต่โครงกระดูก มีแต่หัวกระโหลกอยู่กับหมู่หนอน เบ้าตาที่เคยสวยงามบัดนี้เป็นแต่เพียงเบ้าของโครงกระโหลก ตามจมูกปาก มีแต่โครงกระดูก คละไปด้วยหมู่หนอนที่ชอนไช
มองลงมาที่คอ ก็มีแต่โครงกระดูกต่อเป็นข้อๆ ลงมาที่อกก็มีแต่ซี่โครงคละไปด้วยความเปื่อยยุ่ยของเสื้อผ้าที่สวมใส่ มองลงมาที่ท้องก็มีแต่โครงกระดูกลงมาก็เห็นกระดูกเชิงกรานมองมาที่ขาหัวเข่าก็เป็นแต่โครงกระดูก คละกับหมู่หนอนที่ชอนไชเลือกเนื้อ ที่เคยเห็นว่าสสวยงาม บัดนี้มีแต่โครงกระดูก จะมองไปที่แขน มือ เท้า นิ้วมือนิ้วเข้า ก็เห็นแต่โครงกระดูก คละด้วยหมู่หนอน
ร่างกายที่เคยเป็นของเรานี้ ยัดนี้มีแต่หมู่หนอน กับกลองกระดูกที่เห็นอยู่ต่อหน้านี้
จากนั้นก็ทำการนึกคิดต่อไปว่า เมื่อเวลาผ่านไป ได้ 1ปี 2ปี 3ปี
จากร่างกายที่เคยเป็นของเรานี้ บัดนี้เหลือแต่เพียงโครงกระดูก
มองดูตั้งแต่ใบหน้าที่เคยสวยงาม บัดนี้เหลือแต่เพียงโครงกระดูก
มองดูตามร่างกายลงมา บัดนี้ก็มีแต่เพียงโครงกระดูกที่กองอยู่ตรงหน้า
จากร่างกายที่เคยเป็นของเรา บัดนี้เป็นแต่เพียงโครงกระดูกที่กองอยู่ตรงหน้าเราเท่านั้น หาความสวยงามที่ไหนก็ไม่มี เป็นแต่เพียงกองกระดูกที่ปรักหักพังทรุดลงพื้นดิน จนสลายหายไปเป็นธุลี
จากนั้นก็ให้ทำการนึกคิดต่อไปว่า
ร่างกายที่เคยสวยงามที่เคยเป็นของเรานี้ จากเคยสวยงามแต่ตอนนี้กลับเปลี่ยนเป็นความสกปรกไม่ใช่ของเราอีกต่อไป สุดท้ายเป็นแต่เพียงโครงกระดูกแล้วก็ย่อยสลายไปในธุลี
หลังจากนั้นก็ให้สูดลมหายใจลึกๆ ยาวๆ ปล่อยลมหาใจออกยาวๆซัก 4-5ครั้ง
แล้วค่อยๆลืมตา แล้วก็กล่าวบทกรวดน้ำ
จากนั้นก็ให้ตั้งใหม่ ตั้งแต่เริ่มต้น ทำแบบนี้ ให้ได้อย่างน้อยครั้งละ 3 รอบ
ต่อการนั่งสมาธิในรูปแบบ 1ครั้ง
การทำแบบนี้ควรทำต่อเนื่อง อย่างน้อย 7วันตั้ง
สมมุติว่า จะทำ 7วัน ต้องเรียงต่อเนื่อง ให้ได้ตลอด 7วัน
แต่หากว่า ทำไปได้ 5วัน วันที่ 6หยุดหรือขาดการทำ ก็ให้ นับ 1ถึง7ใหม่
โชคดีครับ ^^ -
จิตยังไม่เป็นสมาธินะครับ
พอมีสมาธิเรียนอะไรกะง่ายครับ -
เอาเรื่องฝึกครั้งแรกดีกว่านะ
กลับมายัง กงก๋ง อยู่เลย
เหมือนกันแหละ
กลับไปเอา หลายรอบ ฟังหลายๆเที่ยว
ก็ยังงไม่เก็ต
ไปอีก รอบนี้เริ่มฉลาด
ต้องเอากลับมาทำที่บ้าน
ขยันไปเรื่อยๆ
ครึ่งกำลัง เต็มกำลัง ไปทุกปี
เข้าห้องญาน๘วันใหน มีคนเขียน วิญญานนี้ไหน ไม่เอาเพราะกลัว หนีเลย
555555+
ฝึกไปเรื่อยๆ เปลี่ยนครูไป จากโยม เป็นพระ
นิสัยชชอบผ้าเลือง ยังงัยก็..ขอผ้าเหลืองไว้ก่อน
เพราะ ศิลท่านนำมาละ
ชอบด้วย
แต่ละอาจารย จะมีทริคเฉพาะตัว ฟังแล้วสนุกมาก
ก็ทำไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พักสั้น พักยาว
แล้วแต่การดำเนินชีวิต
จนที่ครูบอก อย่างโน้น อย่างนี้ ก็ เฮ้ยใช่ๆจริงๆ
เถียงไม่ได้
คำใหน คำนั้น ตามอย่างเดียว
ยิ่งตอนฝึกเต็มกำลังนะ
โฮ้โฮ้ คบไฟอันเบ่อเริ่ม ตามดวงไฟนั้นนำไป ดวงไฟวูบไป. วูบมา โอ้โฮ้
สนุก.....
5555+ -
ตามหลักจริงๆ
อยากให้
ไปฝึกกับครูโดยตรงปลอดภัยที่สุดคะ
ครูว่าใง ต้องตามนั้นคะ
เขาไม่เก่งจริงเขาไม่ได้รับมอบใหมายมาเป็นครู
ซึ้งคำสั่งก็มาจากพระแน่นอนที่สุดคะ
ยิ่งที่วัดท่าซุงนี้ ใช่ที่สุด และถูกต้อง ตรงที่สุดแล้วคะ -
อันนี้ เล่าให้ฟัง ว่ารู้จัก หลวงพ่อ แค่หนังสือพ่อสอนลูกเล่มเดียว จาก ...หมอดูที่เป็นลูกศิษย์วัด
55555+
แล้วก็มาค้นหาในอินเตอเน็ต
เจอคำสอนท่านที่..เว็บพลังจิต
แล้วร้องให้แทบขาดใจว่าท่านสิ้นแล้ว
และไปนอนวัดคืนแรก ก็เห็นท่านเลย
และก็ไปไม่เคยขาด พี่น้องในวัดพาไปใหน สายท่านไปหมด
555555+
จากริมสุดอีสาน ไปอยู่วัดเดียว พ่อแม่พี่น้องคัดค้าน
ก็ทน
จนมาถามท่านเจ้าอาวาส องค์ก่อนหน้า..ว่าทำไม
ท่านบอกว่า
หลวงพ่อท่านว่าไว้ ถ้ามีความเกี่ยวเนื่องกันมามาที่นี้แล้วไม่ไปใหน
ถ้าไม่ใช่ มาครั้งเดียว..ไม่มาอีกเลย
ความรู้นะคะ -
ป้อแป้ -