<TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 2 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 0 คน ) </TD><TD class=thead width="14%">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>โชแปง, ธรรมภูต </TD></TR></TBODY></TABLE>
เอาล่ะ แค่นี้นะ รู้ว่าจะตอบอะไร
สัมมาทิฎฐิเป็นไฉน( ไม่ธรรมดา )
ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ขันธ์, 5 มีนาคม 2009.
หน้า 138 ของ 140
-
<TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 4 คน ( เป็นสมาชิก 4 คน และ บุคคลทั่วไป 0 คน ) </TD><TD class=thead width="14%">
[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>นิวรณ์*, โชแปง, jinny95, ธรรมภูต </TD></TR></TBODY></TABLE> -
ก็ดีสิจะได้ไม่ทำบาป แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่อย่างที่ศรีฯพูดเลย
ปุถุชนคนหนาด้วยกิเลส ส่วนใหญ่แล้วหาเกรงกลัวต่อบาปไม่
ยิ่งปุถุชนคนทั่วไปแล้วยิ่งไปกันใหญ่ ไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ
มีแต่ความสงสัยในอริยมรรค เพราะไม่รู้เห็นตามความเป็นจริง
ในเมื่อพระอริยเจ้าจิตชองท่านสิ้นการปรุงแต่งแล้วก็จริง
แต่การแสดงกิริยาจิตออกมาทุกครั้ง ย่อมมีการปรุงเช่นกันทุกครั้ง
แต่ท่านทั้งหลายปรุงด้วยอะไร???และไมมีอะไร???
ศรีฯเอยคิดจะตอบทั้งที่ควรตอบให้กระจ่างหน่อย
ตอบแบบไม่เคยกระจ่างซักที จะให้รับได้อย่างไรจ๊ะ
คำว่า "จิตเป็นกลาง"หนะหมายถึงอกิริยาจิตจ้า หรือไม่ใช่???
ไปละ หมดเวลา เวลาหมด
;aa24 -
สิ่งที่เราจะสอน
พระอริยะบุคคลขั้นอรหันต์จะไม่มีใครตายถ้ายังไม่ถึงที่หรือหมดอายุไข
พระอริยะบุคคลขั้นอรหันต์ตลอดถึงจะอยู่แบบผู้ครองเรือน
มีลูกมีเมีย
ผ้าเหลืองก็เป็นแค่เครื่องนุ่งห่มปกปิดร่ายกายที่ไม่น่าดู ไม่ใช่ธงชัยของพระอรหันต์อย่างที่พากันเข้าใจแบบผิดๆ
ไม่ได้ถือเอาพระไตร์ปิฏกเป็นที่สุดแห่งทางปัญญา
ถ้ายังไม่ประสพด้วยตัวเอง
ที่พระสัพพัญญูไม่บอกความจริงข้อนี้ ก็ด้วยเรื่องของเงื้อนไขของกาลเวลายังไม่มาถึง จึงให้สาวกพระองค์บวชตายคาผ้าเหลืองแบบพระพุทธเจ้า
ประกอบกับธรรมมะยังไม่แพร่หลาย จึงอาศัยพระธรรมทูตเดินทางหว่าน
เมล็ดพุทธไว้ก่อนจนกว่าพระสัพพัญญูเจ้าองค์ใหม่จะมาแก้ให้สมบูรณ์ขึ้น
พระพุทธรูป ไม่ว่าองค์ไหน ๆ ก็ไม่ใช่แก่นแท้ของพระพุทธศาสนาหรือแม้แต่
องค์แทน ไม่ใช่แน่นอน
จะให้รู้ว่าผู้มีจิตอันหลุดพ้นเป็นองค์อรหันต์แล้วจะไม่ติดกับ 2 เงื้อนไขทางภาษา ภาษาสมมติ ก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น
ภาษาอันพ้นไปจากสมมติ ก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น
แต่ถ้าเป็นคนทุศีล เขาไม่ได้รู้ใจสัตว์อะไรเลย
เขาเพียงแต่เป็นคนพูด กลับไปกลับมา เป็นคนหลอกลวง เป็นคนลวงโลก
จากนรกเหมือนกันเคยไต่ถามผู้ที่ทรงภูมิตรวจดูดวงวิญญาณผู้เล่าก็พบว่ากำลังเวียนไหว้ใช้กรรมที่นรกภูมิอยู่แต่ไม่คุยกันเพราะแกเอาแต่ส่งเสียงร้องโหยหวน
เพราะเหตุนายนรกท่านจับกรอกน้ำทองแดงด้วยชอบตีหน้าเศร้าเล่าเรื่องเท็จแกก็พยายามร้องแก้ตัวกับนายนรกว่าแกไม่เกี่ยวฟังมาจากพระอีกที
นายนรกท่านก็ว่าก็เจ้าพระตัวนี้แหละมีเบื้องหลังลวงชาวบ้านไว้ไม่น้อยให้เชื่อว่าเป็นอรหันต์นี่ไงแกตัวพระเองยังต้องกินน้ำทองแดงข้างๆแกนี่แหละ
อย่ามาร้องขอให้ยากความที่แกเที่ยวใส่ร้ายเขาความชั่วนี้อย่าร้องขอจะได้จำไว้เวลาพบญาติวันปล่อยเปรตแกจะได้มาสอนลูกสอนหลานหรือโหลนๆๆๆเพราะอีกนานทีเดียวที่แกจะต้องใช้กรรมฐานหลอกลวงเรื่องราวต่อคนทั่วไป<!-- google_ad_section_end --> -
ก็ดีสิจะได้ไม่ทำบาป แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่อย่างที่ศรีฯพูดเลย
ปุถุชนคนหนาด้วยกิเลส ส่วนใหญ่แล้วหาเกรงกลัวต่อบาปไม่
แต่ในแบบฉบับอริยะ เราถือว่าเป็นความหลง
ยิ่งปุถุชนคนทั่วไปแล้วยิ่งไปกันใหญ่ ไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ
มีแต่ความสงสัยในอริยมรรค เพราะไม่รู้เห็นตามความเป็นจริง
ก็คนถ่ายทอดไม่ใช่ของจริง แล้วจะเอาของจริงที่ไหนมาสอนให้เข้าใจ
ในเมื่อพระอริยเจ้าจิตชองท่านสิ้นการปรุงแต่งแล้วก็จริง
แต่การแสดงกิริยาจิตออกมาทุกครั้ง ย่อมมีการปรุงเช่นกันทุกครั้ง
แต่ท่านทั้งหลายปรุงด้วยอะไร???และไมมีอะไร???
ปรุงเป็นสัมมาทิฏฐิ
ศรีฯเอยคิดจะตอบทั้งที่ควรตอบให้กระจ่างหน่อย
ตอบแบบไม่เคยกระจ่างซักที จะให้รับได้อย่างไรจ๊ะ
คำว่า "จิตเป็นกลาง"หนะหมายถึงอกิริยาจิตจ้า หรือไม่ใช่???
ไปละ หมดเวลา เวลาหมด
ที่ว่าเป็นกลางก็คือไม่เข้าไปใกล้ ความรัก กับความชัง
จนจิตเป็นอคติ -
เท่าที่ผมจำไม่ผิด ในสมัย ๑๔ ตุลา ๑๖นั้น
คุณไม่เคยเข้าป่าพร้อมผม จะเป็นสหายเก่าผมได้ยังไง???
ถ้าเป็นสหายเก่าผมจริง ย่อมต้องรู้ดีว่าโดยปกติแล้ว
ผมเป็นคนไม่ชอบที่จะอวดตนเองว่ามีธรรมเกินใคร
เพราะธรรมะมีเพียงแค่เรื่องควรหรือไม่ควรเท่านั้น
คุณเป็นได้แค่เพียงคนเคยคุยกันเท่านั้น ยังเป็นสหายไม่ได้
ผมเองก็ไม่เสี่ยงที่จะเป็นสหายด้วยหรอก
ขนาดคนที่คุณนับถือเป็นอาจารย์ ยังเล่นเสียงอมพระรามไปเลย
ส่วนเรื่องความพอดี คุณลองบอกผมสิว่า ขนาดไหนถึงเรียกว่าพอดี???
คุณลองไปถามคนชอบดื่มดูสิว่าวันละกี่ขวดจึงพอดี???
คนที่อ้วนดูทีสิว่าทำไมถึงอ้วน??? เค้าบอกก็ว่าทุกวันนี้เค้ากินน้อย
กินพอดีๆแต่มันอ้วนเองต่างหากใช่มั้ย???
คนที่ชอบความเร็วคุณไปถามเอาความพอดี
ในเรื่องความเร็วขนาดไหนจึงพอดี??? ๑๒๐กม/ชม.
ใครกันแน่ครับที่ชอบอวด “ตัวกู ของกู”
ตัวกู ขันธ์๕ พอเข้าใจ
ส่วน “ของกู”หนะของใคร???
ผมยังไม่ทันตอบคุณก็รู้เสียแล้วว่า ผมจะตอบอะไร???
ผมเคยอวดไว้ที่ไหนครับ??? ผมขอหลักฐาน
ส่วนที่คุณพูดไว้ก่อนหน้า คล้ายกับแสดงให้เห็นว่าคุณทำได้ รู้จักความพอดีแล้ว
และสามารถรักษาใจให้ปกติ แสดงว่าคุณบรรลุถึงความปกติแล้วใช่มั้ย???
“อยู่ท่ามกลางสิ่งยั่วยุ แต่วางเป็นมิประเสริฐกว่าการเดินหนีดอกหรือ”
คุณบอกเองใช่มั้ยว่าคุณวางเป็นแล้วใช่มั้ย??? ถึงได้ประเสริฐกว่า
แสดงว่าคุณทำได้แล้ว แต่ยังชอบเดินเข้าไปหาสิ่งยั่วยุเหล่านั้น
เพื่อวัดจิตวัดใจตนเอง ไม่ใช่เพราะพ่ายแพ้ต่อความอยากใช่มั้ย???
คุณโชฯ ในเมื่อคุณให้โจทย์ผมมา
ผมตอบให้เป็นที่เข้าใจ คุณตรวจคำตอบแล้วแจ้งมาด้วย...จุ๊บ..จุ๊บจ้า
;aa24 -
เช่นเดียวกับตัวเอง เพราะตัวเองยังหลงอยู่
แต่ไม่เคยชี้แจงว่าหลงอย่างไรใช่มั้ย???
แล้วจะเอาของจริงที่ไหนมาสอนให้เข้าใจ
แม้เรื่องของใช่กับของที่ไม่ใช่ยังไม่รู้จัก???
แล้วจะของจริงที่เที่ยงแท้ถาวรเป็นอมตะ
มาสอนให้คนรู้จักได้อย่างไร???
ไม่รู้จริงๆหรือว่าแกล้งตอบแบบผิดๆไปยังงั้นเอง
พระอริยเจ้าทั้งหลายล้วนแล้วแต่มีสัมมาทิฐิสมบูรณ์แล้วทุกท่านใช่มั้ย???
แล้วจะเอาสัมมาทิฐิมาปรุงอีกทำไมมิทราบ??? จำเอาไว้นะ
ศรีฯควรลงมือศึกษาปฏิบัติจริงจัง ไม่พักที่จะเพียรเพื่อให้เข้าถึงภายใน
การที่เรา(จิต)ยังต้องข้องอยู่กับโลกนั้น
ย่อมต้องอยู่ใกล้กับความรัก ความชัง เย็นร้อน อ่อน แข็งฯลฯ
เพียงแต่ท่านทั้งหลายเหล่านั้น ยึดมั่นถือมั่นหรือไม่ยึดมั่นถือมั่นเท่านั้นเอง
ส่วนจิตที่เป็นกลางนั้น คุณฮาก็เคยบอกแล้วไงว่า “ศุนย์สัมบูรณ์”
เป็นที่ๆสภาวะจิตอยู่ในสภาวะกับ “รู้อยู่ที่รู้”
ไม่ซ้าย ไม่ขวา ไม่หน้า ไม่หลัง ไม่บน ไม่ล่าง อยู่ที่ศูนย์สัมบูรณ์จ้า
;aa24 -
-
เช่นเดียวกับตัวเอง เพราะตัวเองยังหลงอยู่
แต่ไม่เคยชี้แจงว่าหลงอย่างไรใช่มั้ย???
ก็เราหลงมาเกิดชาตินี้ชาติสุดท้าย และต้องมาเจอกับ
บัวไต้โคลนตมอย่างคุณธรรมภูต เราจะต้องเหนื่อยอีก
สักเท่าไหร่ กับบุคที่คิดว่าตนดีแล้ว จะสอนแต่ให้เราทำในสิ่ง
ที่เราห่างไกลแล้ว
*ศรีฯเอยในเมื่อคุณยังไม่รู้จักของจริง
แล้วจะเอาของจริงที่ไหนมาสอนให้เข้าใจ
แม้เรื่องของใช่กับของที่ไม่ใช่ยังไม่รู้จัก???
แล้วจะของจริงที่เที่ยงแท้ถาวรเป็นอมตะ
มาสอนให้คนรู้จักได้อย่างไร???
เรานี่แหละของจริงและก็ไม่ได้นั่งนิ่งเป็นใบ้ให้คุณธรรม
โกหกคำโต ปั้นน้ำเป็นตัว โกหกนักปฏิบัติชั้นสูง
*ศรีเอยฯ ไหนโอ้อวดว่าได้แล้วซึ่งอะไรต่อมิอะไร
ไม่รู้จริงๆหรือว่าแกล้งตอบแบบผิดๆไปยังงั้นเอง
พระอริยเจ้าทั้งหลายล้วนแล้วแต่มีสัมมาทิฐิสมบูรณ์แล้วทุกท่านใช่มั้ย???
แล้วจะเอาสัมมาทิฐิมาปรุงอีกทำไมมิทราบ??? จำเอาไว้นะ
ก็เอาไว้สอนเวไนยสัตว์อย่างธรรมภูต สอนไม่ได้ก็ต้องฆ่าให้ตาย ให้ตายจากมรรคผลนิพพาน ประดุจตาลยอดด้วน
*ศรีฯเอย ถ้ายังไม่รู้จักเรื่องจิตที่แท้จริงแล้ว
ศรีฯควรลงมือศึกษาปฏิบัติจริงจัง ไม่พักที่จะเพียรเพื่อให้เข้าถึงภายใน
การที่เรา(จิต)ยังต้องข้องอยู่กับโลกนั้น
ย่อมต้องอยู่ใกล้กับความรัก ความชัง เย็นร้อน อ่อน แข็งฯลฯ
เพียงแต่ท่านทั้งหลายเหล่านั้น ยึดมั่นถือมั่นหรือไม่ยึดมั่นถือมั่นเท่านั้นเอง
ดูลมหายใจของเราไว้ให้ดี รักษาไว้ให้ดี ทำต้นให้พ้นทุกข์ก่อน
แล้วจะมาสอนเราก็ยังไม่สายไปเธอธรรมภูตผู้มีบาป
ส่วนจิตที่เป็นกลางนั้น คุณฮาก็เคยบอกแล้วไงว่า “ศุนย์สัมบูรณ์”
เป็นที่ๆสภาวะจิตอยู่ในสภาวะกับ “รู้อยู่ที่รู้”
ไม่ซ้าย ไม่ขวา ไม่หน้า ไม่หลัง ไม่บน ไม่ล่าง อยู่ที่ศูนย์สัมบูรณ์จ้า
เราไม่เอารู้ แต่เราเอาตรัสรู้ จิตของธรรมภูตยังหยาบ
สัมผัสกระแสธรรมะเราไม่ได้ เพราะเธอฟังเข้าหูซ้าย
ทะลุหูขาว ฟังแล้วไม่คิดตาม ไม่มีทางเอาภูมิปัญญาจากเราได้ธรรมภูต อย่างเก่งก็เป็นภูตผีไร้ศาล ลูกหลานเอือมระอา
และเราก็ไม่โมทนา
ระวังนะธรรมภูมิเพราะสร้างกรรมโดยการสอนกรรมฐานหลอกคนไปนรกสวรรค์ จนเขาหลง ไม่รู้จักดับรูปนามให้สลายไป เห็นเป็นอนัตตา เป็นไตรลักษ์
กรรมหนักจะมาตกที่ท่าน แผ่นดินก็ไม่สามารถรองรับน้ำหนักบาปกรรมไว้ได้ จิตเราได้ไปสัมผัสพ่อต้นสายสัญญาครูกรรมฐานชื่อดั่ง ไปเกิดอยู่ในที่กันดาร เลื้อผ้าแทบไม่มีจะใส่อาหารก็ไม่มีจะกิน อยู่แบบ อดๆ
มีแต่ผ้าขาวม้าเห็นเราวิ่งหนีหลบหน้าหลบตา ตอนมีชีวิตลูกศิษย์ลูกหาคนใหญ่คนโตสร้างสำหนักให้ เลยสำคัญตัวเป็นพระศรีอาริย์ แต่ไม่ใช่ของจริงไปเกิดเมืองผีจนแสนจน ลูกศิษย์สืบวิชาต่อมาก็ไม่รู้ว่าอาจารย์ตัวไปเกิดในที่ทุกข์คติ<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --> -
ใช่ชาตินี้ชาติสุดท้ายของความหลงมาเป็นมนุษย์ใช่มั้ย???
ต่อจากนี้ไปไม่แคล้วที่จะต้องลงไปในที่ๆควรไปเพราะความหลงหรอก<O:p
<O:p
ศรีฯเอยเลิกมั่วได้แล้ว ผมพูดที่ไหนว่าผมเป็นผู้มีตนดีแล้ว<O:p
ผมพูดตลอดเวลาว่าผมยังต้องสดับ ยังต้องกระทำให้ตื้นครับ
;aa24 -
ชอบใช้สันดานเดิมๆกล่าวร้ายโดยไม่มีหลักฐาน นี่หรือของจริง<O:p</O:p
ตรงไหนที่ผมโกหกคำโต ผมเห็นมีแต่ศรีฯเท่านั้น<O:p</O:p
ที่ชอบโกหกคำโตเป็นอาจิณใช่มั้ย???
;aa24 -
ผมแนะนำว่าเอาภูมิรู้ที่มีอยู่หนะไว้สอนเวไนยสัตว์อย่างศรีฯจะดีกว่านะ<O:p
เพราะถามอะไรไปคำตอบที่ได้ เหมือนคนที่ไม่มีภูมิธรรมขั้นพื้นฐานเลยจ้า<O:p
ศรีฯเอยไม่รู้จริงๆหรือแกล้ง...กันแน่ว่า “ประดุจตาลยอดด้วน”นั้นหมายถึงอะไร???<O:p
เห็นพูดเรื่อยเปื่อยแบบผิดๆถูกๆปนเปกันมั่วไปหมด รู้ตัวเองบ้างหรือเปล่าจ๊ะ
;aa24<O:p -
การดูลมหายใจนั้นมีไว้เพื่อดูให้เห็นพระไตรลักษณ์ ขณะปฏิบัติ<O:p</O:p
ที่ควรรักษาหนะ ไม่ใช่ลมหายใจ แต่ควรรักษาจิตรักษาใจ<O:p</O:p
ไม่ให้หวั่นไหวไปตามอารมณ์ต่างหาก ของแค่นี้ยังต้องให้ชี้แนะด้วยหรือ<O:p</O:p
<O:p
จำเป็นด้วยหรือที่ต้องพ้นทุกข์แล้วค่อยกลับมาสอนเธอ ศรีฯเอย<O:p</O:p
ถึงเวลานั้นก็สายเกินแก้แล้ว ไม่รู้ว่าจะต้องรอนานอีกกี่ภพชาติหล่ะ<O:p</O:p
คนที่เห็นทาง รู้จักทาง พอจำทางได้ ทำไมจะสอนไม่ได้เหอ???<O:p</O:p
;aa24<O:p</O:p -
ถึงได้ไม่รู้ว่าการ “ตรัสรู้” หมายถึงอะไร<O:p</O:p
ถ้าไม่ “รู้อยู่ที่รู้” จะตรัสว่ารู้(ตรัสรู้)ได้อย่างไรหละ???<O:p</O:p
<O:p
ศรีฯเอย มีกระแสธรรมอะไรให้สัมผัส
ยังไม่รู้ตัวเองอีกเหรอว่า มีแต่ภูมิรู้ที่ตกผลึกแล้วเท่านั้น<O:p
หาใช่ภูมิธรรมไม่ คนที่มีภูมิธรรมที่แท้จริง<O:p</O:p
ย่อมตอบคำถามขั้นพื้นฐาน ของผมได้ตรงประเด็น<O:p</O:p
ไม่ใช่แบบที่เธอตอบมาหรอกจ้า <O:p</O:p
<O:p
ผมจะเอาทำไมกับภูมิปัญญาแบบที่ต้องหลอกตัวเองอย่างศรีฯ เพื่ออะไร???<O:p</O:p
ผมเป็นธรรมภูตที่มีศาลที่แน่นอนแล้ว คือพระบรมครูจอมศาสดาเป็นที่พึ่ง เป็นสรณะ<O:p</O:p
ต่างจากเธอที่ชอบแอบอ้างคำสอนของคนอื่นว่าเป็นของตัวเอง<O:p</O:p
แล้วยึดถือตัวเอง เป็นที่พึ่งเป็นสรณะ ซึ่งมันไม่ใช่ซักหน่อย รู้ตัวหรือเปล่า???<O:p</O:p
<O:p</O:p
อย่างศรีฯเอย อย่าว่าแต่ลูกหลานเอือมระอา <O:p</O:p
แม้แต่ญาติมิตร คนที่ติดตามและคนทั่วไปยังเอือมแบบสุดๆ<O:p</O:p
ไม่เชื่อลองถามอาจานขันธ์ดูก็ได้ ที่เค้าไม่คุยด้วยเพราะอะไร???<O:p</O:p
<O:p</O:p
ส่วนผมนั้น ด้วยความเป็นพุทธบุตรที่ดี<O:p</O:p
เมื่อมีคนที่...งมงายหลงตัวเองชอบมาแอบอ้างว่า “ตรัสว่ารู้แล้ว” <O:p</O:p
เพื่อทำลายชื่อเสียงของพระบรมครูจอมศาสดานั้น ผมยอมไม่ได้หรอกครับ<O:p</O:p
<O:p</O:p
ศรีฯเอย เป็นสันดานที่แก้ไม่ได้จริงๆแล้วที่ชอบกล่าวหาคนอื่นไว้ก่อน<O:p</O:p
ผมไปพูดที่ไหนครับ ที่หลอกโดยการสอนกรรมฐานหลอกคนไปนรกสวรรค์ จนเขาหลง<O:p</O:p
ศรีฯเอยพูดเพ้อเจ้อเรื่อยเปื่อยโดยไม่เคยมีหลักฐาน <O:p</O:p
คนแบบนี้เหรอที่ไม่เคยประทุษร้ายใคร<O:p</O:p
ก็เห็นๆอยู่นี่ไง คุณกล่าวร้ายผมชัดๆ ไปหาให้เจอนะว่าผมพูดเรื่องนี้ไว้ที่ไหน<O:p</O:p
ถ้าไม่มีหลักฐานมาโชว์ ผมถือว่าคนอย่างศรีฯเป็นคนสับปลับ ไม่ใช่พุทธแท้<O:p</O:p
<O:p</O:p
ศรีฯเอยกรรมหนักจะมาตกที่ศรีฯ <O:p</O:p
แผ่นดินก็ไม่สามารถรองรับน้ำหนักบาปกรรมของศรีฯไว้ได้<O:p</O:p
ในเมื่อศาสนาของพระบรมศาสดาสัมมาสัมมาพุทธเจ้านั้น<O:p</O:p
ยังคงดำรงอยู่และมีผู้เข้าถึงได้อยู่ แม้จะน้อยนิดก็ตาม<O:p</O:p
ก็แสดงว่ายังไม่พ้นกาลสมัย <O:p</O:p
ใครที่ชอบแอบอ้างว่าเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใหม่<O:p</O:p
ของจริงไม่มีหรอก ล้วนแล้วแต่ของปลอมทั้งนั้น จ้า
;aa24<O:p</O:p -
นะ เอย
-
สัตว์ทั้งหลาย ผู้มีกิเลสดุจธุลีในจักษุน้อยมีอยู่ ย่อมจะ<WBR>เสื่อม เพราะไม่ได้ฟังธรรม สัตว์ทั้งหลายผู้รู้ทั่วถึงธรรมจักยังมีอยู่ -
ก๊อปมาให้ฝาก ขำขำ
ในกรณีสมมุติ
ถ้านาบปื๊ด เราขับรถมาทางตรง แล้วมีรถรออกจากซอย
แต่มีระยะห่างพอสมควร นายปื๊ดจะรีบเร่งเครื่อง ให้ผ่านไปโดยเร็ว
เพื่อไม่ให้ในซอยออกมา เพราะ "รถข้าทางตรงนะเฟ้ย"
แต่ถ้านายปื๊ด เป็นรถในซอย ก็จะต้องเลี้ยวออกมาทันที
เพราะ "เห็นใจ กันบ้างนะเฟ้ย ในซอย ขอออกมั่ง ถ้าเกิดชน
ก็จะด่าทางตรงว่า แล้งน้ำใจ
ดังนั้นไม่ว่า นายปื๊ด ขับรถทางเอก หรือ ทางโท ก็จะถุกเสมอ
โดยใช้หลักเช่นนี้ -
รอให้ความสำเร็จมาหา อาจต้องรอหลายชาติกว่าจะพบซักครั้ง
เดินไปหาความสำเร็จ จึงอาจมีโอกาสพบบ้างแม้เหนื่อยยาก
ปักหลักสร้างความสำเร็จ หากสร้างความสำเร็จแน่ๆ และเหนื่อยน้อยกว่า
-
ทางเอกนั้นมีอยู่ ตถาคตผู้ชี้ทางนั้นมีอยู่
หน้า 138 ของ 140