สัมมาทิฐิ-รู้เห็นตามความเป็นจริง จะรู้ตามจริงได้อย่างไรถ้าไม่มีสัมมาสมาธิ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 9 มิถุนายน 2009.

  1. ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    จากกระทู้ http://palungjit.org/threads/ไม่ใช่...ลบภัย-วิปัสสนาเหมือนการผจญภัย”.189364/page-55


    ก็คงต้องมาทำความเข้าใจกันซักหน่อยหละครับว่า
    สัมมาทิฐิ-การรู้เห็นตามความเป็นจริง
    จะรู้เห็นตามความเป็นจริงได้อย่างไร ถ้าไม่ปฏิบัติสัมมาสมาธิ

    ;aa24
     
  2. ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ก็คงต้องมาทำความเข้าใจกันซักหน่อยหละครับว่า
    สัมมาทิฐิ-การรู้เห็นตามความเป็นจริง
    จะรู้เห็นตามความเป็นจริงได้อย่างไร ถ้าไม่ปฏิบัติสัมมาสมาธิ

    ท่านจินฯที่รัก ผมจำได้ว่าเคยถกธรรมข้อนี้กับท่าน มาไม่น้อย
    ท่านก็ยังคงแบกใบลานเปล่าเดินท่องเที่ยวไปท่องเที่ยวมาในบอร์ด
    ด้วยทิฐิอะไร?ก็ไม่อาจรู้ได้
    ที่ชอบกดไม่เห็นด้วย กับคนที่มีความเห็นไม่ตรงกับจริตของท่าน?
    แม้มีพุทธพจน์มาวางโดยที่ไม่ต้องตีความยังแอบเหน็บแนมว่าผู้อื่นหลง มืดบอด

    ผมขอถามหน่อยเถอะว่าใครหลงและมืดบอดกันแน่?
    ท่านที่มีสัมมาทิฐิแล้วมีนิสัยเช่นนี้เองเหรอ?

    ท่านจินฯที่รัก ท่านอย่าหลงคลำทางอีกต่อไปเลย
    เมื่อมีพุทธพจน์เป็นแผนที่นำทางเพื่อเดินทางที่ถูกที่ควร

    ในครั้งแรกนั้น เราเพียงศรัทธา คิดว่าถูกทางเท่านั้น
    เรายังสรุปไม่ได้หรอกครับว่าเป็นทางที่ชอบ

    นอกจากต้องเดินตามรอยพระพุทธบาทที่คิดว่าถูกนั้น
    จนเห็นผลเกิดขึ้นนั่นแหละ จึงพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าเป็นทางที่ชอบ
    ในอริยมรรคมีองค์๘ ที่จอมศาสดาทรงเทศนาสั่งสอนในปฐมเทศนานั้น
    ก็บอกชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็นทางเดินอันเอก
    เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์หมดจดของสัตว์ทั้งหลาย

    เราสามารถแบ่งอริยมรรคมีองค์๘ ออกเป็นดังนี้
    สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ…ปัญญา
    สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ….ศีล
    สัมมาสติ สัมมาวายามะ สัมมาสมาธิ ...สมาธิ

    ท่านก็เห็นแล้วใช่มั้ยครับว่า ศีล-สมาธิ-ปัญญา
    เมื่อแบ่งออกมาแล้วเรื่องของปัญญาอยู่ส่วนปลายสุด
    เรื่องของสมาธินั้นอยู่ท่ามกลาง เริ่มต้นกันที่ศีล

    ดังมีที่มาในพระพุทธประวัติที่ทรงให้พระภิกษุสงฆ์
    ที่เป็นเอหิภิกขุอุปสัมปทา จำนวน๖๐รูป
    ให้ออกไปเผยแผ่พระศาสนาในครั้งแรก

    ท่านทรงเน้นย้ำให้ภิกษุทั้งหลายให้ไปทิศละรูป
    อย่าไปทิศเดียวกันสองรูป รวมทั้งพระองค์ด้วย
    ให้ออกไปสอนเรื่อง
    ศีล .......อันเป็นธรรมที่งามในเบื้องต้น
    สมาธิ ....อันเป็นธรรมที่งามในท่ามกลาง
    ปัญญา... อันเป็นธรรมที่งามในที่สุด

    ;aa24
     
  3. ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    แต่ปัจจุบันนี้มีพุทธบุตรที่ขานนาค
    เพื่อเข้ามาสืบทอดพระศาสนาสืบต่อจากพระองค์นั้น
    กลับเก่งเกินพระองค์ สอนไม่ให้เชื่อถือในพระสูตรและพระวินัย
    เพียงเพราะเห็นว่า พระศาสนานั้นสืบทอดมานาน ทำให้ไม่น่าเชื่อถือ

    ทั้งที่พระองค์ท่านเคยกล่าวไว้มหาปรินิพพานสูตรโดยกล่าวไว้ว่าดังนี้

    โยโว อานนฺท ธมฺโม จ เทสิโต วินโย จ ปญฺญตฺโต โส มม อจฺจเยน สตฺถา
    แปลว่า
    ดูก่อนอานนท์ ธรรมและวินัยใด ที่เราได้แสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่เธอทั้งหลาย
    ธรรมและวินัยนั้น จักเป็นศาสดาแทนเรา ปกครองท่านแทนเมื่อเราล่วงลับไปแล้ว”

    แต่กลับสั่งสอนสาวก ผู้หลงเชื่อแบบงม “งาย”
    เพียงเพราะศรัทธาและเชื่อตามๆกันมาว่าได้ซึ่งสัมมาทิฐิแล้ว

    แท้จริงแล้วไม่ใช่สัมมาทิฐิเลย เป็นเพียงศรัทธาความเชื่อถือเท่านั้น

    โดยเอาสัมมาทิฐิซึ่งเป็นองค์แห่งปัญญามาเน้นสอนว่า
    เป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญมากที่ชาวพุทธต้องเรียนรู้ก่อนมรรคองค์อื่น
    ทั้งที่ขัดแย้งกับพระสูตรในมหาจัตตารีสักกสูตร ซึ่งกล่าวไว้ชัดเจนว่า

    พระองค์ท่านทรงเชิดเอาสัมมาสมาธิ เป็นใหญ่เป็นประธาน
    โดยแวดล้อมด้วยอริยมรรคอีก ๗ องค์
    ใน ๗องค์ที่แวดล้อมสัมมาสมาธิมีสัมมาทิฐิเป็นประธาน

    ด้วยความที่พระองค์ทรงเป็นพระสัพพัญญู
    จึงเล็งเห็นว่า เรื่องของศีลนั้นเป็นเรื่องของกาย วาจา
    ส่วนเรื่องของสมาธินั้นเป็นเรื่องของจิตโดยเฉพาะ

    ซึ่งเราชาวพุทธย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่า จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว
    เมื่อนายดี บ่าวย่อมดีแน่นอนครับ
    เมื่อนายดีก็เป็นการชี้ให้เห็นถึงนายเป็นผู้มีปัญญา
    ดั่งมีพระพุทธพจน์รับรองไว้ดังนี้

    สมาธึ ภิกฺขเว ภาเวถ, สมาหิโต ยถาภูตํ ปชานาติ
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จงยังสมาธิให้เกิดขึ้นเถิด
    ผู้ที่มีจิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้เห็นตามความเป็นจริง ดังนี้

    ท่านที่มีจิตใจเป็นกลางนั้น ไม่ดูจิตคิดกบฏล้มล้างพระพุทธพจน์แล้ว
    ย่อมเห็นได้ชัดเจนว่า
    ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์นั้นทรงสอนเรื่องจิตกับอารมณ์เท่านั้น

    ทรงเน้นย้ำเรื่องปฏิบัติสัมมาสมาธิเป็นบาทฐาน
    ไม่เคยทรงแยกเป็นสมถะและวิปัสสนาเลย

    สมถะ-วิปัสสนา เป็นคำที่เกิดขึ้นในครั้งหลังพุทธกาล
    อันทำให้ชาวพุทธยุคใหม่ โดยเฉพาะยุคไซเบอร์แก่งแย่งกัน
    โชว์ความเป็นอริยะเพียงปลายนิ้วมือเท่านั้น
    โดยอ้างว่าทำวิปัสสนาอย่างเดียวก็พอแล้ว
    ส่วนสมถะนั้นเป็นเรื่องที่ไม่มีความจำเป็น

    เป็นการคิดล้มล้างพุทธพจน์และอรรถกถาจารย์ที่กล่าวไว้ว่า
    ทั้งสมถะและวิปัสสนานั้น เป็นสิ่งที่ต้องทำควบคู่กันไปแยกออกจากกันไม่ได้

    แต่ยังมีพวกมืดบอดที่พยายามอย่างยิ่งยวด
    ซึ่งหลงคิดเองเออเองว่าตัวเองนั้นเป็นอริยะไซเบอร์ตราตั้ง
    มาแสดงความเก่งกาจให้ประจักษ์ว่า
    พระพุทธพจน์นั้นเป็นของตกสมัยไปแล้ว
    จึงปฏิเสธการทำสมาธิ เอาเพียงวิปัสสนาอย่างเดียว ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

    ทั้งๆที่ผู้มีเมตตาทั้งหลายในบอร์ด
    พยายามชี้ทางเดินเพื่อให้อย่าเดินหลงทาง
    กลับถูกพวกมาก(ดูจิตลิซึม)ลากกันไป
    โดยไม่สนใจความถูกต้องตรงต่อพระจอมศาสดาอีกแล้วครับท่าน

    ;aa24
     
  4. เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ถามหน่อยครับว่า

    ศาสนาพราหมณ์ ศาสนาเชน นิครณฑ์ มีการฝึกสมาธิ ฌาณ 1 2 3 4 5 6 7 8 ไหม

    หากมี ทำไมพวกเขาไม่ใช่ สัมมาสมาธิ มีอะไรเป็นตัวบ่งชี้บ้าง
     
  5. ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านอาจานนิฯ ท่านถามได้ดีครับ เพราะมีผู้ปฏิบัติที่ยังสังสัยกันอยู่มากครับ

    เราท่านทั้งหลายย่อมรู่มาก่อนว่า รูปฌาน อรูปฌานนั้น เป็นสมาธิที่มีมาก่อน
    ที่พระจอมศาสดาของพวกเราทรงอุบัติในโลก ในยุคนั้นพวกพราหมณ์เข้าใจว่า
    ฌานชั้นสูงของพราหมณ์เหล่านั้นเป็นนิพพาน เพราะเข้าใจผิดๆในสมัยนั้น

    เมื่อผู้ที่ได้อรูปฌานเหล่านั้นละกายสังขารไปอยู่ที่อรูปภพนั้นมียาวนาน
    จนทั่งกระทั่งเข้าใจผิดว่าไม่ต้องกลับมาเกิดอีก แต่ความจริงไม่ใช่
    เมื่อถึงคราวที่จะต้องเสื่อมจากอารมณ์ฌานเหล่านั้น
    ต้องกลับมาสู่ในภพกามาพจรอีก เพื่อสร้างบารมีใหม่

    ส่วนฌานในสัมมาสมาธินั้นเป็นฌานที่ถูกอบรมฝึกฝนให้ปล่อยวางอารมณ์
    จึงจะเข้าสู่ฌานได้ ดูตัวอย่างง่ายๆ แค่ปฐมฌานเท่านั้น
    ยังต้องสงัดจาก(ปล่อยวาง)กามารณ์ทั้งหลาย
    และอกุศลกรรมทั้งหลาย จึงผ่านเข้าสู่ปฐมฌานได้

    มีพุทธอุทานไว้ว่า
    "เมื่อพราหมณ์ผู้มุนี มาพบตนหรือรู้จักตนเข้า พราหมณ์นั้น
    ย่อมพ้นจาก รูป(รูปฌาน) อรูป(อรูปฌาน) สุขและทุกข์ดังนี้"

    พอแยกออกมาได้ดังนี้ ฌาน๘นั้น
    เป็นฌานที่ยังต้องเกาะเกี่ยวอารมณ์อันละเอียดเข้าสู่ฌาน
    เป็นผู้มีกิเลสเบาบาง แต่ยังละอารมณ์อันละเอียดนั้นไม่เป็น

    ส่วนฌานในสัมมาสมาธินั้น บอกไว้ชัดเจนอยู่แล้ว
    ต้องปล่อยวางอารมณ์ออกไปจากจิตเท่านั้น
    จึงจะเข้าสู่ฌานอันยิ่งๆละเอียดยิ่งๆขึ้นได้ อุเบกขา สติปริสุทธิง

    ;aa24
     
  6. nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    ขอตอบคุณเอกวีร์นะคะ ศาสนาอื่น อย่างศาสนาคริสต์ เขาไม่มีฌานหรอกค่ะ
    แต่เปรียบเทียบก็คงจะเป็นประมาณ อานาปานเท่านั้น เอาสติให้เหมาะกับงาน
    คือนานาไม่แน่ใจว่าสัมมาสมาธิ ความหมายจะกว้างขนาดไหน แต่เขาจะวัดผลจากกำลังใจ และผลที่สำเร็จของงานนั้นว่าว่าประมาณไหน หากสมาธิดี เราจะนับ123 ก่อนทำงานทุกครั้ง เพื่อเรียกกำลังใจ คนที่สมาธิดี เขาจะมีเหตุผลและสามารถอธิบายรายละเอียดคนคนอื่นรู้ตามได้ จากยากไปเป็นง่าย ถูกต้อง ถูกทาง และถูกธรรม ธรรมในที่นี้คือ ธรรมชาติของจิต แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องตระหนักคือ
    ไม่ทำให้คนอื่นมีทุกข์ และตัวเรามีทุกข์ อธิบายตามความเข้าใจนะคะผิดถูกมันมีส่วนต่างในตัว แต่ศาสนาอื่นนอกจากนี้ไม่รู้ค่ะ
     
  7. jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    เวลาคุณกับพี่ภูต ผมก็มักบอกล่วงหน้าอยู่เสมอ ว่าอย่า ... เห็นแบบนี้นะ... แต่แล้วเวลาที่ท่านโต้แย้งมา... ก็เป็นอย่างที่ผมบอกไว้

    เช่น เราไม่เป็นอะไร จิตคือใคร มีรู้ไหม ใครรู้ กล่าวคือ ยึดมั่นถือมันว่าจิตเป็นตนอยู่ร่ำไป และก็เรื่องสัมมาสมาธิ ก็บอกไปก่อนแล้วว่า สัมมาสมาธิเป็นทางของอริยะ ซึ่งมันจะต้องเกิดจากสัมมาทิฐิไล่มา แล้วยังบอกอีกว่า ถ้าอยากรู้ว่าสัมมาสมาธิมีไหม ก็ให้ดูว่ามีสัมมาญาณ สัมมาวิมุตติเกิดตามมาไหม แถมก็ยังบอกอีกว่า เรื่องที่สมาธิอยู่ตรงกลาง หรือเป็นใหญ่ แล้วตัวอื่นล้อมรอบเหมือนเป็นอนุ ก็บอกว่าอย่าไปสรุปเช่นนั้น

    แต่พี่ภูตก็ยังทำตามที่ผมกล่าวไว้ก่อน ผมก็บอกอยู่ว่าไปเห็นเช่นนั้นมันเนิ่นช้า

    ก็ไม่รู้จะเถียงทำไม เชิญตามสบายครับ สำหรับกระทู้นี้ ผมจะโพสครั้งเดียว ครั้งแรก และครั้งสุดท้าย

    และขอกล่าวหาว่าพี่น่ะ "อ่านตำราผิดเล่ม" ไปล่ะ ช่วยตัวเองนะ ทิฐิ พี่พี่ก็ต้องจัดการเอง^-^
     
  8. เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    คืออะไรครับ ปล่อยวางอารมณ์ อย่าพูดสักแต่ว่าพูดนะครับ คนที่ทำฌาณเขาจะงง

    ใครๆ เขาก็ทราบกันว่า การทำฌาณก็คือต้องแนบอารมณ์ให้เป็นหนึ่ง การแนบอารมณ์
    เป็นหนึ่งได้ อารมณ์นั้นหากเป็นรูป ก็ได้รูปฌาณ หากเป็นนาม(อากาศ จิต วิญญาณ
    สัญญา)ก็ได้อรูปฌาณ ไม่มีฌาณตัวไหนที่เข้าไปได้ด้วยการปล่อยอารมณ์บัญญัติ

    ตกลงคำว่าปล่อยวาง คืออะไร
    1.คือการปล่อยวางอารมณ์องค์ฌาณในขณะทำ
    2.หรือว่า ปล่อยวางความยินดี ยินร้าย หลังการออกจากฌาณใดๆ

    หากตอบข้อแรก ก็คง จะสับสน ไม่น่าตอบข้อนี้ แต่ถ้าตอบ ก็แปลว่า แค่
    ต้องการอธิบายการเลื่อนระดับการทำฌาณไปเรื่อยๆ และถ้าหมายถึงการ
    ปล่อยวางไปเรื่อยๆ จนสุดไม่มีอะไรจะปล่อย แล้วสรุปว่าตรงนั้นคือสัมมาสมาธิ
    ตรงนี้คุณก็คิดผิดแล้วครับ ไม่เกี่ยวกันเลยกับการปล่อยวางแบบพุทธศาสนา
    เพราะนั้นคือ อเนญชา หรือ พวกเห็นว่านิพพานสูญ

    หากตอบข้อสอง ก็อันนี้แหละครับที่หลวงพ่อปราโมทย์สอนให้ ปล่อยวาง
    และสอนยิ่งกว่าการปล่อยอารมณ์ฌาณลงมานั่งแช่แป้ง เพราะท่านสอน
    ให้ดูจิต สภาพธรรมจิตยินดี จิตยินร้าย ที่จะต้องปรากฏ ห้ามไม่ให้เกิดไม่ได้
    ทุกข์สัจจเกิดขึ้น โดยจิตไปยึดอารมณ์ว่างนั้นเป็นความสุขสงบ เกิดภพพรหมขึ้น

    การระลึกสภาพธรรมจิตยินดี จิตยินร้าย นี่คือการ ดูตัณหาละเอียดปราณีตที่เกิด
    ยังไงก็ต้องเกิดขึ้น เพื่อดูความเป็นจริงของจิตที่ติดข้องหิวอารมณ์แม้นภพละเอียด
    ซึ่งน่ากลัว ไม่สิ้นภพชาติ

    * * * *

    ไม่ใช่ลำพังแต่ดูว่าทำฌาณได้หรือไม่ได้ ทำเป็นหรือไม่เป็น เคยทำ
    หรือไม่เคยทำ ถ้าเคยทำเป็นอันว่ามีสัมมาทิฏฐิ

    หรือ ทำแบบว่าปล่อยไปจนสุด จนไม่เหลืออะไรให้จับ สุดอารมณ์บัญญัติ
    ที่จิตจะจับได้ แล้วบอกว่า นั่นคือการเข้าถึงสัมมาทิฏฐิ

    ทั้งสองนั้น ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการถอดถอนตัณหาชนิดปราณีตแต่อย่างใด
    เป็นเพียงความเขลาของวัวที่เคยย่ำ หรือ อยากจะย่ำเท้าไปในโคลนตมที่ไม่
    อาจมองเห็นเท่านั้น...ย่ำไปแล้ว ก็คงมีประโยชน์ที่จะมาตักเตือนโคตัวอื่น
    ว่าอย่าย่ำมาทางตน
     
  9. เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    นิพพาน คือ สภาวะสิ้นตัณหานะครับ

    ไม่ใช่การไปรู้ สิ้นสิ่งที่จะเอามาเป็นอารมณ์บัญญัติในองค์ฌาณ

    แบบนั้น ผมว่าคงรู้ไปถึง BigBang ธาตุนู้นกระมัง หากไปรู้ได้
    สงสัย นู้แหละครับ ไม่ใช่แค่อสงไขย มหากัปป แต่ยิ่งกว่านั้นอีก
    พระพุทธเจ้าอุบัตินับแสนโกฏิคุณก็ยังไม่กลับมาเกิดเลย เป็นพรหม
    ชนิดพิเศษ คงเป็นหมู่พรหมที่ไม่ใช่แค่สร้างโลก สงสัยจะเป็นหมู่
    พรหมที่สร้าง BigBang .....
     
  10. ปัทมินทร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    467
    ค่าพลัง:
    +1,393
    อะไรจะมา อะไรจะไป ก็เป็นเรื่องของอะไร

    มีสติ รู้ว่าอะไรเกิด อะไรดับ

    หมั่นให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา กันนะครับ

    อารมณ์ใดเกิด สติตามรู้ทัน อารมณ์นั้นดับ

    ขอให้เจริญในธรรมกันทุกท่านนะครับ
     
  11. nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    เวลาเดินไม่เคยนับก้าวเพราะไม่ค่อยไปกำหนด รู้แต่ว่า ขวา และซ้ายสลับกัน กับการแลกเปลี่ยนพลังงาน การแลกเปลี่ยนพลังงานบัญยัติอย่างไรก็ไม่รู้เหมือนกันรู้แต่ว่าก้าวไปเรื่อย ๆ แม้มองไม่เห็นจุดหมายก็ตาม แต่รู้อย่างหนึ่งทางที่ก้าวเดินนั้นมันเป็นถนน บ้างป่าบ้างแต่ก็มีรอยเท้าแฮะ รอยเท้าคุ้น ๆ นะ ทำให้เข้าใจว่ามีคนนำทางมาแล้วเอ่อแผนที่ไม่ต้องดูตลอดเวลาก็ได้แล้วซิ มีแต่เราที่ต้องเพียรก้าวไปเรื่อย ๆ ไม่เร่งไม่รีบไม่พัก อย่างงี้แล้วเป้าหมายก็ต้องถึงซิ มั่นใจ มั่นใจ อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึงคงไม่ต้องพูดอีก
     
  12. เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    เดินไปเลย เพราะเสียงอะไรที่มากล่าวต่อว่าข้างทางนั้น

    เมื่อเราฟังถ้วนดีแล้วก็รู้อยู่ว่า มีการเข้าใจผิดในทางที่เราเดิน

    เมื่อมีการกล่าวลักษณะทางเดินผิดไปจากทางที่เราเองรู้อยู่
    เห็นอยู่ และรู้ชัดว่า ไม่ใช่สิ่งเดียวกับที่เขากล่าวมา เราก็
    เดินของเราต่อ

    ปล่อยให้ ความเข้าใจผิดนั้น เป็นเพียงคลื่นกระทบฝั่งไป เดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง
     
  13. nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    จ้า พิจารณาอย่างนั้นแล้ว เอ่อแปลก ๆ แฮะ จะเลี้ยวไปไหนนั่น ทางตรง ๆ ทำไมไม่เดินกัน
    นะ ก็เดินต่อไป เรา(สมมุติ)มีเสบียงเรา(สมมุติ)นี่นา เจริญสติเกียร์ 5 ผสมลูกบ้าเล็กน้อย
    พร้อมตำราเล่มน้อย ๆ ก็เดินทางต่อไป(สายกลางไม่สุดโต่งพระเจ้าค่ะ.)..มั่นใจ มั่นใจ
     
  14. nanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +155
    อีกอย่างนึง การปล่อยวาง นั้นจริง ๆ นั้น ไม่ได้ปล่อยวางให้ว่าง
    แต่จะมีองค์ภาวนาต่อเนื่องไปเป็นวิปัสสนาและวิปัสสนาแทน จะเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ
    แต่จะมีช่องว่างของการดับอยู่ และต่อเนื่องไป อย่างไร ยังไม่รู้ต่อ
     
  15. ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านจินฯที่รัก ผมยังระลึกได้อยู่ถึงประเด็นเหล่านี้ เพราะถกกันมาก่อน
    แล้วคำถามต่างๆของผมที่เคยถามไป หายจ้อยไม่ตอบ กลับออกลูกแถเหมือนเดิม


    ใครกันแน่ครับที่อ่าน “ตำราผิดเล่ม”???
    ผมเตือนด้วยเมตตา แต่ท่านกลับบอกทำให้เนิ่นช้า
    ใครกันแน่ครับที่เนิ่นช้า


    เมื่อผมเดินตามทางอริยมรรคโดยมีพุทธพจน์เป็นเครื่องนำทาง
    แต่ท่านเองกลับเดินตามความเชื่อของสาวกที่มีตราตั้งว่าเป็นอริยะ
    อันไหนที่เนิ่นช้ากว่ากัน
    ในเมื่อจอมศาสดายังอยู่กับเรา เราต้องเชื่อท่านไว้ก่อน (อริยมรรคมีองค์ ๘)


    ท่านจินฯที่รัก ท่านกล่าวหาว่าผมสรุปเองนั้น
    ท่านเองต่างหากที่ชอบสรุปเองเออเอง
    ผมอ้างอิงพุทธพจน์มารองรับ แล้วท่านหละเอาเพียงลมปากเท่านั้น


    ยิ่งเรื่องสัมมาญาณและสัมมาวิมุตติ
    ถ้าไม่รู้จริงก็อย่าคิดเองเออเองเลยครับ
    ถ้ายังไม่ชำนาญเจโตวิมุตติแล้ว
    สัมมาญาณ และสัมมาวิมุตติ อย่าเพิ่งนำมาพูดเลย ยังอีกไกล


    ฝากคาถาธรรมบท

    ปริโยท เปยฺย อตฺตานํ, จิตฺตกิเลเสหิ ปณฺฑิโต
    บัณฑิตพึงชำระตนคือจิต ให้บริสุทธิ์ ปราศจากกิเลส


    อตฺตานํ = ตน จิตฺตกิเลเสหิ = จิตปราศจากกิเลส

    ;aa24
     
  16. ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านอาจานนิฯ บอกตั้งกี่ครั้งกี่หนแล้วว่า ถ้าไม่รู้ไม่พูดไม่มีใครว่าอะไร
    แต่ไม่รู้พยายามโชว์ว่ารู้ ดูทีเดียวก็รู้ว่าไม่รู้
    เอาอานาปานสติเป็นอารมณ์ แนบกับลมจนลมดับแล้ว
    จิตยืนตัวรู้ยังต้องอาศัยอารมณ์อะไรอีก

    เลิกเสียเถอะสันดานชอบเอาชนะหนะ
    ไหนเคยคุยว่าได้อานาปานสติตั้งแต่อายุ๑๒ปี เรื่องนี้ยังไม่รู้หรือแกล้งไม่รู้

    ถ้าไม่มีฌานที่ปล่อยวางอารมณ์ได้จริง จอมศาสดาจะประกาศตนหรือว่า
    “ธรรมอันเราตรัสรู้นี้ ไม่เคยได้ยินได้ฟังจากที่ไหนมาก่อน”

    ท่านกำลังสบประมาทจอมศาสดาอยู่นะครับ

    ;aa24
     
  17. ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ไม่ใช่ทั้งคู่ ก็แสดงให้รู้ว่าไม่เคยปฏิบัติมาเลย แต่คุยอวดนักอวดหนาว่ารู้ดี

    ถ้าปล่อยวางอารมณ์ “ของ”องค์ฌานนะใช่
    จากปฐมฌาน(ฌาน๑) ปล่อยวางวิตก วิจารณ์ เหลือ ปิติ สุข เข้าสู่ทุติยฌาน(ฌาน๒)


    เพราะดูแต่อาการของจิตก็คิดได้แค่นี้
    กลับไปเรียบเรียงคำถามที่ ๒ เสียใหม่แล้วจะตอบให้


    ;aa24
     
  18. ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านอาจานนิฯเลิกมั่วคิดเองเออเองได้แล้วครับ
    ท่านกำลังหมิ่นเหม่ต่อการลบหลู่จอมศาสดานะครับ


    ในมหาปรินิพพานสูตร ก็มีกล่าวไว้ว่าจิตของพระองค์ทรงตั้งคงที่ไม่หวั่นไหว

    มีพุทธพจน์กล่าวไว้ว่า นิพพานังปรมัง สูญญัง คือ นิพพานสูญอย่างยิ่ง
    (สูญจากราคะ โทสะ โมหะ)


    เพียงเพื่อเอาชนะคะค้านเท่านั้น
    ทำยังไงก็ได้โดยไม่คำนึงถึงว่าพุทธพจน์จะเสียหาย
    กลายเป็นดูจิตคิดกบฏต่อจอมศาสดา


    ;aa24
     
  19. ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านฯครับ ท่านพูดแบบนี้เท่ากับ
    ท่านเอาท่านอาจารย์ปราโมทย์มาประจานกับปากตัวเองเลยนะ


    คนอะไรเพื่อเอาชนะกระทั่งครูบาอาจารย์ตัวเองยังลบหลู่ได้ลงคอ
    อาจารย์ปราโมทย์สอนยังไงพอจำได้มั้ย


    สติเกิดเมื่อจิตรู้อารมณ์(เหตุใกล้)
    เมื่อสติเกิดอารมณ์ก็ย่อมดับ
    ไหนละที่บังคับไม่ได้
    ถ้าบังคับไม่ได้ จิตยินร้ายคิดฆ่าคน แล้วอะไรจะเกิดขึ้น
    ติดคุกหัวโตสิ ไม่เป็นไรโอเลี้ยง ข้าวผัดหาง่าย

    ท่านเก้อ-ยากจริงๆผมก็บอกไปแล้วว่า ที่พูดหนะเป็นอรูปฌาน๗
    ส่วนฌานในสัมมาสมาธิหนะ ว่างจากอารมณ์ต่างหาก จิตตั้งมั่นด้วยลำพังตนเอง


    ;aa24
     
  20. ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านอวดเก่งยิ่งกว่าจอมศาสดาจริงๆ
    ไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมไม่ให้อ่านพระสูตร
    เพราะจะได้พูดมั่วๆเดาสวดไปเรื่อย


    พระองค์ทรงสอนให้ชำระจิตให้บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว เพื่ออะไร
    เพื่อให้จิตเลิกหิวกระหายต่ออารมณ์ที่เป็นแขกมาเยือน


    ;aa24
     

แชร์หน้านี้