พุทธาภิเษกที่วัดธรรมมงคลเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2520 มีหลวงปู่ดุลย์ อตุโล เป็นประธานในพิธี ประกอบด้วยครูบาอาจารย์ในสายกรรมฐานหลายท่านอาทิ พระอาจารย์วัน อุตโม, พระอาจารย์จวน กุลเชฎโฐ, พระอาจารย์วิริยัง สิรินธโร, หลวงปู่หลอด ปโมทิโต, หลวงปู่ท่อน และ หลวงปู่บุญหนา เป็นต้น มวลสารสำคัญนอกเหนือจากผงพุทธคุณอันศักดิ์สิทธิ์ที่ได้นับการอธิษฐานจิตจากครูบาอาจารย์แล้ว ยังมีผงที่บดจากข้าวก้นบาตรของ หลวงปู่ฝั้น อาจาโร, หลวงปู่ขาว อนาลโย และ หลวงปู่เทศน์ เทศรังสี รวมอยู่ด้วย
พระสมเด็จหลวงพ่อวิริยังค์วัดธรรมมงคลศิษย์สายหลวงปู่มั่นร่วมปลุกเสกอธิฐานจิต ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่ง 30 บาทครับ(ปิดรายการ)
สายพระป่ากรรมฐานลป.บุญจันทร์ อุดรธานี ลป.บุญหนัก หนองคาย
ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 17 สิงหาคม 2022.
หน้า 49 ของ 106
-
-
-
-
-
-
พระปิดตาผงดำรุ่นนี้ เป็นรุ่นแรกและรุ่นเดียวของหลวงพ่อ สร้างโดยวิธีลบถมผงทางโภคทรัพย์ของตำหรับมอญ ด้านหลังประทับตราดอกจัน ซึ่งทางมอญถือว่าเป็นสัญลักษณ์ด้านโภคทรัพย์ พระปิดตานี้ แม้เป็นพระเล็ก แต่ก็แรงด้านพุทธคุณ เป็นอย่างมาก ไปไหน มาไหนไม่อดอยาก เป็นเมตตา มหานิยม และโชคลาภ ค้าขาย เมื่อก่อน หลวงพ่อแจก หรือให้เช่าที่วัด ไม่มีกล่องและพระมีมาก เวลาท่านให้ใคร ท่านจะบอกว่า เอาไปเถอะ ดี เมื่อมาทำกล่องจึงเรียกว่า พระปิดตารุ่นตั้งตัว และพระปิดตาพญาเศรษฐี ในเวลาต่อมา ปัจจุบันแม้ราคายังไม่แพงมากนัก แต่ก็หาของไม่ได้ง่าย ๆ เหมือนแต่ก่อนแล้ว พระปิดตาลืมตาอ้าปาก หลวงชำนาญ วัดกุฎีทอง ทำด้วยผงที่มีพุทธทางโชคลาภ มากมายหลากหลาย ชนิด มีมากเกินกว่า 108 ชนิด หลวงพ่อได้ตั้งใจทำเป็น พิเศษ ใช้เวลาปลุกเสก 5 ปีเต็มครับ
พระปิดตาผงดำรุ่นนี้ เป็นรุ่นแรกและรุ่นเดียวของหลวงพ่อ
สร้างโดยวิธีลบถมผงทางโภคทรัพย์ของตำหรับมอญ
และผงที่มีพุทธทางโชคลาภ มากกว่า 108 ชนิด
ด้านหลังประทับตราดอกจัน
ซึ่งทางมอญถือว่าเป็นสัญลักษณ์ด้านโภคทรัพย์
หลวงพ่อตั้งใจทำเป็นพิเศษ ใช้เวลาปลุกเสกนานกว่า 5 ปี
แล้วจึงนำมาแช่น้ำมนต์เสกอีก 108 วัน
พุทธคุณสุดยอดเมตตา มหานิยม และโชคลาภ ค้าขาย
ตอนออกจากวัด 500 บาทให้ทำบุญ เคยเล่าหากัน ไปราคาถึง8-900 บาท
ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
องค์นี้ สภาพสวยเดิมๆครับ พร้อมกล่อง
ให้บูชา 320 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)
องค์ที่ ๓
-
พระสมเด็จวัดธรรมมงคลหลวงพ่อวิริยังค์รุ่นผสมผงไม้เท้าหลวงปู่มั่น ปี๒๕๔๑
ให้บูชา 250 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
-
-
-
..ก่อนหน้านี้ผมพอทราบเลาๆ ว่า พระคุณเจ้าเป็นพระสงฆ์ที่สำรวมอย่างยิ่ง ท่าทางติ๋มๆหนิมๆ แต่ไม่ทราบว่าท่านดีกว่านั้นอย่างไร ก่อนที่ผมจะได้ไปพบ มีลูกศิษย์หลวงพ่อฯมาเล่าให้หลวงพ่อฯฟังว่าไปนมัสการท่าน แล้วมีคนถามท่านว่า เขารู้ว่าท่านทรงอภิญญาและจะไม่ต้องเกิดแล้ว (หมายถึงเป็นพระอรหันต์แล้ว) แต่ท่านไม่ยอมพูดด้วย
.........หลวงพ่อฯ ของเราจึงยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า ท่านวัดพระบาทตากผ้าทรงคุณธรรมอย่างนั้นจริงๆ ต่อมาเมื่อหลวงพ่อฯ ของพวกเราพาพวกเราไปนมัสการ ก็ได้มีการถามไถ่ไล่เลียงกันอย่างมีชั้นมีเชิง ใครอยากรู้ว่าท่านถามไถ่กันอย่างไรให้ไปหาอ่านเอาจากหนังสือ “ฤาษีทัศนาจร หรือ ล่าพระอาจารย์”
.........เพราะการถามนั้น จะต้องระมัดระวังหน่อย ด้วยเคยมีเรื่องเล่าต่อๆ กันมาว่า ครั้งหนึ่งท่าน พล.ต.ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ไปเรียนถาม ท่านนรรัตน์ภิกขุ (ท่านเจ้าคุณนรฯ) ดื้อๆ ว่า ได้ข่าวว่าพระเดชพระคุณสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว และท่านได้ตอบมาสั้นๆ ว่า “บ้า”
แต่สำหรับงานนี้ก็สรุปได้ว่าหลวงพ่อฯ ของเราก็ไม่ได้ถามตรงๆ แต่ถามอย่างมีชั้นเชิงว่างั้นเถิด ท่านก็ตอบโครมๆ ผู้ที่เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อฯ ของเราในวันนั้น ที่ได้ยินได้ฟังอยู่บ้างก็เข้าใจบ้างก็ไม่รู้เรื่องว่า ท่านทั้งสองโต้กันว่าอย่างไร แต่หลวงพ่อฯ ของเราสิครับ ถึงจะเรียกได้ว่าแน่จริง ถามประโยคหนึ่ง แล้วก็หันมาอธิบายขยายความให้ลูกศิษย์ทุกคนได้เข้าใจในทันทีทันใดนั้นเอง
แล้วยังหันกลับไปถามท่านพระบาทตากผ้าอีกว่า จริงไหมขอรับ ถูกต้องไหมขอรับ ที่กระผมได้อรรถาธิบายให้ลูกศิษย์ของกระผมได้เข้าใจ ท่านพระบาทฯ ท่านก็คิดแล้วเอียงคอตอบว่าถูกๆ พอรับปากว่าถูกๆไปเรื่อยๆ (จนกระทั่งเรียกว่าถลำเข้ามาจนสุดตัวแล้วนั่นแหละครับจะเห็นภาพที่ชัดเจนดีกว่า) หลวงพ่อของเราก็หันขวั๊บ..กลับไปประจันหน้าทันที ถามว่า “เอ๊ะ! พระคุณก็ยอมรับสิขอรับว่า พระคุณเจ้านั้นเป็นพระอรหันต์แล้ว”
คราวนี้สิขอรับ..ญาติโยมทั้งหลายเงียบกริ๊บ..! ตาจ้องมองไปที่ท่านพระบาทตากผ้าไม่กระพริบ ส่วนหูก็คอยเงี่ยฟังคำตอบ และในส่วนของท่านพระบาทตากผ้าฯปรากฎว่า มือไม้ของท่านไม่ได้หยุดอยู่นิ่งแล้ว จับโน่นจัดนี่ให้วุ่นวายไปทีเดียวเชียวขอรับ มองคนนั้นทีคนโน้นสองที ค้อนหลวงพ่อฯของเราอีกห้าที มองฟ้ามองดินอีกยี่สิบทีกว่าจะแสร้งทำเป็นครางพึมพำว่า “อือๆฮือๆ”
แท้จริงก็เป็นการยอมรับยอมแพ้นั่นเอง แต่ต้องสงวนท่าทีเอาไว้ ของสวยของงามของมีสกุลมีศักดิ์ศรีจู่ๆจะมายอมกันง่ายๆได้ก็เสียเชิงพระสุปฏิปันโนหมด หลวงพ่อฯของเราสำทับไปอีกสองครั้ง ท่านก็ยังวางมาดร้อง “อือๆ” อยู่ในลำคออีกทั้งสองครั้ง หลวงพ่อฯของเราจึงกล่าวขอขมาว่า
“ลูกศิษย์ของกระผมนั้นยังมีความสงสัยข้องใจว่าในยุคนี้ยังจะมีพระอรหันต์หลงเหลืออยู่อีกหรือ กระผมจึงจำเป็นที่จะต้องแสดงความจริงให้ปรากฎ”
คราวนี้ก็ฮา..กันทั้งวงน่ะสิ ขอรับ ว่ากันงอหาย ชื่นอกชื่นใจกันไปทั้งหมด และเมื่อยอมเปิดแล้วดูท่านพระบาทตากผ้าสบายอกสบายใจเป็นอันมากสรวลเสเฮฮา เออออห่อหมกดีไปหมด หายเคร่งคลายเครียด กระผมเองนั้นก็บอกแล้วว่าเพิ่งจะภาวนาพุทโธเป็น แต่ก็รู้สึกสนุกสนานเป็นที่ยิ่งนัก ยิ่งได้เห็นพระคุณเจ้าทั้งสองกอดไม้กอดมือกันสนิทสนมกัน ผมงี้น้ำตาแทบร่วง ไอ้เรานึกว่าเรานี้เป็นคนใจอ่อนแล้ว หันกลับมาดูพี่ ป้า น้า อา โอ้โฮ.....ร้องไห้กันกระจองอแง อะไรกันหนักกันหนา เอาเถิด นี่มันเป็นปีติน่ะ
หันกลับมาอีกที อ้าว! ท่านพระบาทตากผ้าเทศน์เสียแล้ว คราวนี้ว่าตั้งแต่ “พระโยคาวจร พระโสดาปฏิมรรค-ผล พระสกิทาคามีมรรค-ผล พระอนาคามีมรรค-ผล พระอรหัตตมรรค-ผล” พอจบแล้วยถาสัพพีทันที (มาทราบภายหลังจากท่านผู้รู้บางท่านได้ให้อรรถาธิบายว่าที่ท่านพระบาทตากผ้าท่านแสร้งทำเป็นจัดผ้าจัดผ่อนนั้นเป็นวิสัยประจำองค์ท่านอย่างหนึ่ง และก็เพื่อเป็นการลอบใช้เจโตปริยญาณตรวจสอบดูว่า สมควรหรือไม่ประการใดที่จะตอบ จะรับอะไรอย่างใดกับใครหรือกับกลุ่มบุคคลไหน ซึ่งใช้เวลาตรวจอย่างรวดเร็วเพียงแค่เอามือดึงสังฆาฏิให้เรียบร้อย ท่านก็ตรวจเสร็จแล้วและพร้อมที่จะตอบ)
คราวนี้ก็จะขอเก็บเกร็ดจากการซักการถามบ้างเท่าที่จะพอจำได้และเห็นสำคัญนะครับ ท่านบิดาของท่านพระบาทตากผ้าท่านชื่อ “ครูบาพ่อเป็ง โพธิโก (พิมสาร)” ซึ่งได้บวชเมื่ออายุมากแล้ว ท่านแม่ชื่อ “บัวถา” ได้นุ่งขาวห่มขาวรักษาอุโบสถศีลทุกวันพระตลอดอายุท่าน มีพี่ชายบวชเป็นพระ ๑ องค์ชื่อท่าน “วัดบ่อน้ำหลวง” หรือ “ครูบาอินทรจักรรักษา” ต่อมาได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นที่ “พระสุธรรมยานเถระ”
ซึ่งเมื่อท่านได้มรณภาพไปแล้ว หลวงพ่อฯของพวกเราก็ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์นี้ต่อมา และท่านมีน้องชายบวชเป็นพระอีกหนึ่งองค์ ชื่อ “ครูบาคัมภีระ” หรือ “พระครูสุนทรคัมภีรญาณ” วัดพระธาตุดอยน้อย อำเภอจอมทอง (ปัจจุบันอยู่ในเขต อ.ดอยหล่อ) จังหวัดเชียงใหม่ และเล่ากันว่าองค์นี้ท่านเคยครองวัดมหาวันฯมาก่อนหน้านั้น (ก็วัดที่มี "พระรอดลำพูน" อันเลื่องลือไปทั้งแผ่นดินไทยนี่แหละครับ) เรียกได้ว่าครอบครัวของท่านพระบาทตากผ้าเป็นครอบครัวของท่านผู้ทรงศีลทั้งครอบครัวทีเดียว
ต่อมาท่านวัดพระบาทตากผ้าได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น “พระสุพรหมยานเถระ” และท่านได้มรณภาพเมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๒๗ ซึ่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯของเราได้ปรารภถึงท่านเอาไว้ในหนังสืออนุสรณ์เนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพของท่าน ดังนี้........
ปรารภถึงท่านผู้มีความดี
เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๓๐ อาจารย์ปฐม มาแจ้งให้ทราบว่า เธอมีหน้าที่จัดทำหนังสือเนื่องในงานถวายเพลิงศพหลวงพ่อวัดพระบาทตากผ้า (ขอเรียกท่านอย่างนี้เป็นปกติ) วันนั้นเป็นวันเป่ายันต์เกราะเพชร และอาตมาเองก็กำลังป่วยหนัก แต่เมื่อถึงวาระทำงานเพื่อท่านพุทธศาสนิกชนก็ทำด้วยความเต็มใจมันจะเป็นจะตายเรื่องของร่างกาย เมื่ออาจารย์ปฐมเธอมาขอให้เขียนคำปรารภ ก็ไม่รู้ว่าจะเขียนเรื่องอะไรดี แต่ก็ขอเขียนตามความรู้สึกตามที่ได้พบกับท่านมาเมื่อ พ.ศ.๒๕๐๔ หรืออาจจะไม่ตรงนักเพราะนานมาแล้ว เวลานี้กำลังป่วยไม่แน่ใจเรื่อง พ.ศ. ที่จะพูดถึงในปีนั้น
(หมายเหตุ อาจารย์ปฐม เรียมเมฆ คือ อดีตเจ้าของนิตยสาร "คนพ้นโลก")
คุณแม้นเทพ ศุภนคร มาเป็นสรรพากรจังหวัดลำพูน อาตมามีโอกาสมาเยี่ยมเธอ ต่อมาวันรุ่งขึ้นได้ถามเธอว่าที่จังหวัดนี้มีพระที่ปฏิบัติธรรมชั้นดีพอมีไหม ขณะนั้นอาตมาเองยังเป็นเด็กที่เพิ่งจะลืมตาเห็นโลกได้ในระยะใกล้ มองไกลไม่เห็นเพราะยังต้วมเตี้ยมในธรรมปฏิบัติ จึงสนใจพระที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเพื่อขอความรู้คำแนะนำจากท่าน คุณแม้นเทพ ศุภนคร ก็บอกว่าเห็นจะมีวัดพระบาทตากผ้า
ตามความรู้สึกว่าท่านปฏิบัติดีมาก ก็บอกเธอว่าอยากไปนมัสการท่าน ภรรยาของคุณแม้นเทพได้ยินเข้าเธอก็ค้านว่าไม่ไหวแล้ว ท่านดีแต่ท่านไม่พูด เคยเอาผ้าป่าไปถวายตั้งหมื่นบาท ท่านออกมานั่งเฉย เราพูดคำท่านก็ตอบคำไม่พูดต่อไป อาตมาก็คะนองปากพูดล้อเธอว่า ถ้าไม่พูดก็เอาไม้ทิ่มปากเสียก็แล้วกัน จะได้พูดเป็น เป็นอันว่าตกลงกันว่าวันรุ่งขึ้นไปวัดพระบาทตากผ้า
เมื่อไปถึงแล้ว คณะที่ไปด้วยก็เข้าไปหาท่าน อาตมาก็ชมสถานที่ดูการก่อสร้างที่มีอยู่แล้ว ซึ่งคนนำทางบอกว่า ส่วนนี้ท่านครูบาศรีวิชัยท่านสร้างไว้ บ้างดูรอยเท้าที่ผู้แนะนำบอกว่าเป็นรอยพิเศษที่ท่านผู้มีฤทธิ์แสดงรอยไว้ เป็นเวลาพอดีที่คุณแม้นเทพฯ ออกมาจากที่รับแขก บอกว่ามาบอกว่านิมนต์เข้าไปได้แล้วครับ หลวงพ่อท่านออกมาแล้วครับ
วันนี้ดีกว่าวันก่อน เพราะวันก่อนที่ผมมาผมพูดคำท่านก็ตอบคำ วันนี้ดีกว่าวันนั้นมากเพราะออกมาแล้วนั่งหลับตาปี๋เลยไม่พูดไม่จากับใครทั้งหมด อาตมาฟังแล้วก็มีความรู้สึกว่าวันนี้คงพบละครโรงใหญ่แสดงบทพิเศษแน่ ด้วยพระขนาดนั้นไม่รู้อะไรเลยไม่มี เว้นไว้แต่จะพูดหรือไม่พูดเท่านั้น
เมื่อคุณแม้นเทพเตือนก็เดินเข้าไปและนมัสการท่านด้วยความเคารพ ด้วยความจริงใจ ไม่ใช่กายเคารพแต่ใจต่อต้าน เมื่อนมัสการท่านแล้วท่านก็ทักทายปราศรัย คราวนี้พูดเก่งมาก พูดกับคนโน้นคนนี้ไม่หยุดปากเลย ขณะที่ท่านพูดอยู่ อาตมาก็คิดในใจว่า ท่านบรรลุขั้นไหน ที่คิดอย่างนี้ไม่ใช่อวดวิเศษ คิดด้วยความชื่นชอบในปฏิปทาของท่าน เมื่อคิดอย่างนั้นแล้วอารมณ์ใจที่ใช้เป็นปกติก็อยากรู้กำลังใจ
แต่ท่านผู้อ่านที่รักทุกท่านเป็นเรื่องจริงที่หาได้ยากนั่นก็คือ มองใจท่านไม่เห็น มืดตื๋อไปหมด ที่เป็นอย่างนี้ไม่ใช่ท่านมืด แต่เป็นเพราะอาตมาพบของจริงเข้า นั่นคือเด็กไม่สามารถเสมอผู้ใหญ่ได้ หรือคนตามัวไม่สามารถเห็นอณูเล็กๆได้ นั่นก็คืออาตมามีอารมณ์ใจเลวกว่าท่านมากจึงไม่สามารถเห็นอารมณ์ใจของท่านได้ ทันทีที่ต้องการรู้อารมณ์ใจของท่านท่านก็หันมาพูดทันทีว่า คนเรานี่แปลกนะ เห็นคนอื่นเขาได้ก็คิดว่าตนเองจะได้บ้าง ท่านพูดตรงกับอารมณ์ที่นึกอยู่พอดี จึงแน่ใจว่าท่านองค์นี้เป็นพระที่ควรบูชาอย่างยิ่งองค์หนึ่ง
เมื่อลาท่านออกมาแล้ว ทุกคนต่างพูดถึงท่านด้วยความแปลกใจว่า ไม่ว่าเราจะคิดอะไรท่านจะหันมาพูดเรื่องนั้นตามที่เราคิดทันที เป็นอันว่าวันนี้ทุกคนพบของแข็ง แต่ของแข็งนี้เป็นความแข็งของเพชรน้ำหนึ่งในพระพุทธศาสนา
คุยกันตามลำพัง
เมื่อถึงเวลาพอสมควร ทุกคนก็อำลาท่านเพื่อกลับ ก่อนกลับก็ชมสถานที่ก่อน ตอนนั้นอาตมาขออนุญาตคุยกับท่านตามลำพัง เมื่อปลอดคนก็เรียนถามท่านว่า “ท่านปรารถนาพุทธภูมิ หรือตัดตรงไปเลย” ท่านตอบว่า “ตัดตรงไปเลยดีกว่า”
เป็นอันทราบว่าท่านมุ่งอะไร จึงถามท่านต่อไปว่า (คำถามตอนนี้ฟังดูแล้วเหมือนถาม แต่พระที่ท่านปฏิบัติได้แล้วท่านจะทราบว่าไม่ได้ถามเพื่อต้องการศึกษา เป็นการถามถึงผลที่ได้แล้ว) ได้เรียนถามท่านถึงสังโยชน์สิบ บอกท่านว่าต้องการศึกษา ท่านยิ้มแล้วท่านก็อธิบายย่อสังโยชน์ถึงข้อห้าแล้วกลับต้นใหม่รวม ๓ รอบ ท่านบอกว่า “ผมเข้าใจจริงๆเท่านี้เองครับ”
ฟังแล้วเมื่อเทียบกับตำราที่เคยรับทราบมา ถ้าตำราไม่โกหกก็ต้องยอมรับว่าท่านบรรลุพระอนาคามี เมื่อคิดว่าเวลานี้ท่านทรงอนาคามีและกำลังอยู่ในอรหัตมรรค (มองหน้าท่านไม่ได้พูดด้วยวาจา) ท่านมองหน้าแล้วท่านก็ยิ้ม ท่านพูดออกมาโดยที่ไม่ได้ถามว่า “ใช่แล้ว”
เมื่อหมดความข้องใจแล้วก็คุยวิธีการปฏิบัติ ด้วยเวลานั้นอาตมาก็มีความรู้แค่งูไม่ถึงปลา ทั้งนี้หมายถึงความรู้ในด้านปฏิบัติธรรม มีความรู้กระจุ๋มกระจิ๋มจริงๆ แล้วขณะนั้นก็ไปอยู่ในสำนักของปาดที่อยู่ในถ้วยน้ำพริกครอบ จึงก้าวหน้าได้อย่างเชื่องช้าเพราะเพื่อนช่วยกันต้านทานทุกวิถีทาง แต่ก็ไปได้เรื่อยๆ เมื่อขอศึกษากับท่าน ท่านก็แนะนำสังโยชน์สิบ อธิบายสั้นแต่หมดข้อข้องใจ แล้วท่านก็บอกว่า
“ไม่เป็นไรนะ จากนี้ไปไม่กี่ปี อาจไม่เกินสี่ปีก็เข้าใจหมดทุกอย่าง พยายามท่องจำไว้ก็แล้วกัน”
เมื่อหมดภารกิจก็ลาท่านกลับ ก่อนจะกลับท่านจับมือสองมือไปกำแน่นแล้วท่านก็บอกว่า
“ดีใจมากนะที่เราได้พบกันและเข้าใจในกัน อย่าลืมนะไม่เกินสี่ปีท่องจำให้ดีจะเข้าใจในสังโยชน์ทั้งสิบ” ในที่สุดก็ลาท่านกลับ
เมื่อพบพระดี ดีทั้งปริยัติและดีทั้งปฏิบัติ ท่านมีวิริยะและอุตสาหะเป็นพิเศษ ท่านบอกว่าตั้งแต่บวชท่านธุดงค์ตลอดมา เมื่อถึงเวลาเข้าพรรษาอยู่ใกล้วัดไหนก็อาศัยวัดนั้นจำพรรษา ออกพรรษาก็อำลาจากวัดนั้นอยู่ป่าอยู่เขาธุดงค์ต่อไป ต่อเมื่ออายุ ๕๕ ปี ญาติโยมอาราธนาให้เป็นเจ้าอาวาสวัดพระบาทตากผ้า ท่านก็สงเคราะห์พุทธศาสนิกชนตลอด
เวลานี้ท่านมรณะแล้ว คือกายดับประสาทดับ การท่องเที่ยวคงดับด้วย ข้อนี้ช่วยกันดูด้วยนะ ท่านดับการท่องเที่ยวด้วยหรือไม่ อาตมาไม่ทราบตามที่พูดกับท่าน แต่ตามความรู้สึกทางใจคิดว่าท่านยอมแก่ด้วยประการทั้งปวงแล้ว ท่านคงขี้เกียจเที่ยวต่อไป
อาตมาขออนุโมทนาที่ท่านทั้งหลายพบพระดี แต่ละท่านก็เก็บความดีของท่านมาใช้มากบ้างน้อยบ้างตามกำลังใจที่จะพึงรับได้ ก็ต้องถือว่าทุกคนมีโชคดี ที่พบพระสุปฏิปันโนแท้ๆ ไม่ใช่ยัดไส้หรือไม่มีอะไร ปลอมไว้ภายใน เมื่อท่านพบพระดี ได้ของดีไว้ใช้ จะมากน้อยเพียงใดนั้นไม่แปลก ต้องถือว่าทุกคนมีดี จงพยายามรักษาความดีนั้นไว้อย่าให้สลายตัว สำหรับอาตมาเอง ต้องถือว่าท่านเป็นพระอาจารย์ที่ชี้ทางตรงให้และก็ตั้งใจเคารพท่านตลอดเวลา
ขอท่านพุทธศาสนิกชนโดยถ้วนหน้าจงบูชาความดีของท่านด้วยการปฏิบัติตาม ทุกท่านจะไม่พลาดจากผลของความดี คือความสุขตลอดกาล..
(พระสุธรรมยานเถระ)
ขอเพิ่มเติมจากหนังสือ "ล่าพระอาจารย์"
โดย..ป่อง โกษา (พลอากาศโท ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์)
"...ออกมาจาก หลวงปู่แหวน เวลามีน้อยเลยต้องลัดผ่าน หลวงปู่คำแสน ไปวัดพระบาทตากผ้าเลย พระครูองค์นี้ ท่าทางเหมือนผู้หญิง มีท่าอาย ๆ เรียบร้อย แต่อย่าเชียวนา รู้ใจคนเก่งนัก รายละเอียดเรื่องรู้ใจคนนี้ หลวงพ่อฤาษีเล่าไว้ในหนังสือ “เรื่องจริงอิงนิทาน”
ในสมัยนั้น (ประมาณ พ.ศ.๒๕๐๔) หลวงพ่อเล่าว่าท่านเทศน์ไปถึงสังโยชน์ ๕ แล้วก็เทศน์ย้อนต้นไปถึงสังโยชน์ ๕ เป็นการแสดงว่าท่านรู้ถึงแค่นั้น (อย่าลืมนะครับ ท่านที่ตัดได้ถึงสังโยชน์ ๕ คือ พระอนาคามี) จากความจริงข้อนี้ เราอาจอนุมานได้ว่า ถ้าองค์ใดเทศน์ถึงนิพพาน องค์นั้นก็ต้องถึงนิพพานแล้ว เช่นนี้น่ากลัวจะไม่ผิด
เราจับเอาตอนสำคัญของการสนทนากันเลยทีเดียว ไม่ต้องพูดพล่ามทำเพลง หลวงพ่อฤาษี (ฤ) เอางี้ก็แล้วกัน เวลาเช้านี่อย่ากวนหลวงพ่อมากนัก ไม่ดีขอโอวาทก็แล้วกันสักเล็กน้อยครับ ดูเหมือนว่า ท่านจะไม่คาดว่าจะถูกไม้นี้ ท่านอึ้งไปครู่หนึ่งแล้วก็ค่อย ๆ จัดแจงแต่งตัว จัดโน่นจัดนี่ให้เรียบร้อยซึ่งหลวงพ่ออธิบายในตอนหลังว่า ท่านนึกอาราธนาพระพุทธเจ้า พรหม เทวดา ซึ่งเป็นการปฏิบัติธรรมดาของพระที่ชั้นสูง ๆ แล้ว
ท่านพระครูพรหมฯ (พ) : ขอเจริญพร แด่ท่านคณะญาติโยมทั้งหลาย ในวันที่ได้มาประชุมกัน ณ ธรรมศาลาที่นี้ทุก ๆ ท่าน วันนี้นับว่าเป็นวันดี เป็นศิริมงคลอันสูงส่งโดยที่ท่านทั้งหลายได้สละเวลาอันมีค่าพากันเดินทางมา ได้มาถึงวัดพระพุทธบาทตากผ้า ที่นี้มีจุดประสงค์มุ่งหมายที่จะมานมัสการพระพุทธบาทและชมสถานที่ พร้อมทั้งมาขอรับโอวาทคำสอนของอาตมา อาตมารู้สึกอนุโมทนา ปีติ จึงขอต้อนรับ และขอบคุณท่านทั้งหลายไว้ ณ โอกาสนี้เป็นอย่างสูง
อันดับต่อไป อาตมาขอปราศรัยเป็นสัมโมทนียกถา และให้เป็นคำสอน ที่เรียกกันว่าเป็นโอวาทของครูบาอาจารย์ เพื่อเป็นการต้อนรับ และถ่ายเทความรู้ความจำให้แก่ท่านทั้งหลาย ขอให้ท่านทั้งหลายจงตั้งใจสดับ และกำหนดจดจำไว้ให้ดี แล้วนำไปปฏิบัติให้เกิดประโยชน์โสตถิผลแก่ตนเอง และคนอื่นตามสมควร
โอวาทคำสอนที่อาตมาจะได้กล่าวในวันนี้ก็คือเป็นโอวาทคำสอนของพระพุทธเจ้าซึ่งเราทั้งหลายที่เป็นนักศึกษา คงจะได้ศึกษา และสดับตรับฟังมาเป็นส่วนมากแล้ว
โอวาทคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น ท่านแสดงไว้มีอยู่ ๓ ประการ คือ
๑. ท่านสอนให้เว้นจากทุจริต คือ การทำผิดด้วยกาย วาจา และใจ
๒. ท่านสอนให้ประกอบสุจริต คือ การทำดี ทำชอบด้วยกาย วาจา และใจ
๓. ท่านสอนให้ทำใจให้บริสุทธิ์ หลุดพ้นจากความโลภ ความโกรธ ความหลง ดังนี้
เป็นธรรมดา เป็นปกติที่จิตของเรา ชาวมนุษย์ทั้งหลายทุกคนย่อมเกลียดทุกข์ และชอบความสุขความเจริญ เมื่อเป็นเช่นนี้ เราทั้งหลายจะต้องสร้างเหตุที่จะให้ห่างไกลจากความทุกข์ ความเสื่อม ความเสียหาย เราทั้งหลายควรสร้างเหตุแห่งความเจริญให้เกิดขึ้นในจิตในใจเสียก่อน เราทั้งหลายจึงจะมีความสุขความเจริญ
เหตุแห่งความทุกข์หรือความเสื่อมที่พระพุทธองค์ได้แสดงไว้หรือชี้ช่องบอกทางไว้ก็มีหลายประการต่าง ๆ เหตุแห่งความทุกข์ที่จะเกิดทุกข์นั้น ก็คือความอยาก เรียกตามภาษาบาลีว่า "ตัณหา" คือ ความอยาก
ความอยากนี้ ถ้าเป็นประจำธรรมดาสามัญชนทั้งหลายก็ค่อยยังชั่วหน่อย คือความเป็นอยาก อยากที่จะสร้างตน สร้างตัวให้เป็นคนมีหลักฐาน อยากจะทำคุณงามความดีตามวิสัยของคนประพฤติชอบ ก็ไม่เป็นความอยากที่รุนแรง ไม่ค่อยจะนำความทุกข์โทษมาให้สักเท่าไรนัก ถ้ามันรุนแรงเกินไป เข้าทำนองที่ว่า กามตัณหา ความอยากชนิดที่รุนแรงในกามคุณทั้งห้า นี่เป็นอาทิ เป็นเหตุให้เกิดทุกข์
ตัณหา คือ ความอยากนี้ พุทธองค์ทรงแสดงแล้วว่าเป็นตัวเหตุให้เกิดทุกข์ นอกจากนี้ก็มีอบายมุข คือ การดื่มสุรายาเมา การเล่นพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านทำงาน ซึ่งเป็นทางหรือปากทางแห่งความเสื่อม ความฉิบหาย พุทธองค์ได้ตรัสเหตุแห่งความเสื่อมไว้เป็นใจความย่อ ๆ มีดังนี้
ทุกคนปรารถนาความสุข เหตุแห่งความสุขท่านก็แสดงไว้ ความสุขก็ดี ความเจริญก็ดี จะมีได้ก็ต้องอาศัยด้วยต้นเหตุ เพราะธรรมทั้งหลายมีเหตุเป็นแดนเกิดถ้ามีเหตุก็มีผล ถ้าเหตุดับ ผลก็ดับ เป็นอย่างนี้ เหตุแห่งความสุขความเจริญนั้น พระพุทธองค์ก็ได้ทรงตรัสเทศนาไว้มีหลายระยะด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือ ประโยชน์ในปัจจุบัน ประโยชน์ในสัมปรายภพ และประโยชน์อย่างยิ่ง คือ พระนิพพาน
ประโยชน์ในปัจจุบัน พุทธองค์ทรงสอนไว้ ให้ทุกคน ถ้าต้องการความสุขความเจริญในปัจจุบันทันด่วนแล้ว ก็ให้มีความขยัน ปลุกใจของตัวให้เป็นคนตื่นขึ้นทำงานตามหน้าที่ จะเป็นการศึกษาหรือประกอบกิจการงานในหน้าที่ใด ๆ ก็ตาม จงมีความขยันขันแข็ง โลกของมนุษย์ในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ท่านต้องการคนขยันขันแข็งทั้งนั้น คนเกียจคร้านท่านไม่ต้องการ
เมื่อมีคนขยัน เอาใจใส่ต่อการงาน พร้อมไปในตัวทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ความสุขก็จะเกิดมีขึ้น โดยที่จะเห็นผลแห่งการหนักที่เราประกอบนั้น เช่น เราเป็นคนทำไร่ ทำนา ทำสวน เราขยันทำจริง ๆ ถึงเวลามันมีดอกออกผลมา หรือถึงเวลาเก็บเกี่ยว เราก็จะเห็นผลของงานที่เราทำไว้ ทุกสิ่งทุกอย่าง ขึ้นชื่อว่าเป็นงาน ท่านทั้งหลายจงทำด้วยความขยัน ความขันแข็ง อย่าอ่อนแอ อย่าท้อถอย
จากนั้นก็ให้รักษาการงานที่เราทำไว้ อย่าให้อากูลตกค้าง อย่าให้เสียการงาน อย่าท้อถอยอย่ารวบรัด ตลอดจนทรัพย์สมบัติที่บังเกิดจากผลงานของเรา ก็จงรักษาไว้ เพื่อใช้เป็นประโยชน์ในอนาคตในโอกาสต่อไป
ข้ออื่นอีก ก็ขอให้ท่านทั้งหลายจงคบแต่มิตรที่ดี อย่าคบคนชั่วเป็นมิตร การคบคนดีสำคัญ เพราะมนุษย์เราเหมือนกัน นิสัยใจคออะไรทุกอย่างมันละม้ายคล้ายคลึงกัน ถ้าคบกันเข้าแล้วไม่กี่วันมันจะเป็นอย่างมิตรของเรานั้น คือคบคนดี เราก็จะเป็นคนดี คบคนชั่วก็จะเป็นคนชั่ว ไม่เฉพาะแต่มนุษย์เราทั้งหลาย แม้สัตว์เดียรัจฉาน ถ้าคบกับสัตว์ชนิดไหน มันก็เป็นไปอย่างนั้น ตลอดถึงต้นไม้เครือเถา ถ้ามันผูกพันติดต่อกับสิ่งใดก็มักจะกลายเป็นอย่างนั้นไป เป็นอย่างนี้ไป ฉะนั้น เราควรคบแต่คนดี หนีจากคนชั่ว
ข้อต่อไปซึ่งเป็นข้อสุดท้าย ท่านทั้งหลายจงรู้จักประมาณในการใช้จ่าย ให้มีการประหยัด ใช้จ่ายเฉพาะแต่ที่จำเป็น ถ้าไม่จำเป็นแล้วก็ต้องเว้นขาด เพื่อเป็นการประหยัดทรัพย์สมบัติของเรา จะได้นำไปใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ตนเอง และคนอื่น ตลอดจนถึงประเทศ ชาติ ศาสนา นี่คือเหตุแห่งความสุขในปัจจุบัน ท่านกล่าวว่านี่เป็นทิฐธรรมิกถประโยชน์ คือ ประโยชน์ในปัจจุบันทันด่วน
อันดับต่อไป ท่านทั้งหลายในฐานะที่เป็นชาวพุทธนับถือพระพุทธศาสนา มีความเชื่อ ความเข้าใจฝังแน่นอยู่ในจิตในใจแล้ว ว่า พระพุทธศาสนามีคติ เวรกรรม ถือกรรมเป็นสิ่งสำคัญ ว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว คนเราเกิดมามีความตายเป็นที่สุด ถึงเมื่อเราตาย ถ้าเรายังไม่หมดกิเลส เราก็จะต้องเกิดอีก ทุกคนก็ย่อมปรารถนาไปเกิดที่ดี เรียกกันว่า "สวรรค์" หรือสุคติ ซึ่งเป็นโลกหน้า
เมื่อเป็นเช่นนี้ เราทั้งหลายก็ควรทำประโยชน์ ควรทำซึ่งคุณงามความดี ที่จะเป็นประโยชน์ในปรโลก คือโลกหน้า การที่จะทำประโยชน์ไว้เพื่อโลกหน้านั้น พระพุทธองค์ก็ได้ตรัสเทศนาไว้
http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=463
http://www.dhammathai.org/monk/sangha02.php
ลองหาอ่านประวัติท่านดูก่อนครับ ครูบาอาจารย์หลายท่านยกย่องหลวงปู่คือพระทองคำ ลป.บุดดา ก็เคารพนับถือท่านมาก
ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
เหรียญหลวงปู่ครูบาพรหมาวัดพระพุทธบาทตากผ้า ปี๒๕๒๗ สภาพสวยเดิมไปครับให้บูชา ปิดรายการบาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
-
ขออนุญาติคับ..เรื่องเล่า.หลวงพ่อพา.วัดโพธิ์ทอง.ต.บ้านยาง.อ.เมือง.จ.บุรีรัมย์คับ..ตามคำบอกเล่าของตาเหลงคับ.ศิษย์ฆราวาสผู้ใกล้ชิดหลวงพ่อพาท่านคับ.บ้านตาเหลงเเกอยู๋ทางไปบ้านโคกวัดในเมืองบุรึรัมย์คับ......เรื่องนี้เกืดขึ้นประมาณปี2516-2520คับ..ในสมัยนั้นคับ.ตาเหลงเเกได้มาขอตะกรุดจากหลวงพ่อพาท่านคับ.เพื่อเอาไปให้พี่ชายของเเกอยู่ที่จ.เลยคับ.พี่ชายเเกทำธุระกิจอยู่จ.เลยคับ.หลวงพ่อพ่อพาท่านก็ได้มอบตะกรุดโทน.เนื้อ3กษัตริย์ให้เเกไปคับ..เเกก็เอาตะกรุดดอกนี้ไปให้พี่ชายเเกห้อยคับ.(พี่ชายเเกเหมือนจะรู้ตัวว่าโดนเก็บคับ.ตามคำบอกเล่าของตาเหลงคับ)...เเล้วอีกไม่นานคับ.พี่ชายเเกก็โดนยิงคับ...ตาเหลงเเกเล่าให้ฟังคับว่า..ตอนที่พี่ชายเเกถูกยิงคับ..ลูกกระสุนเข้าไม่ลึกคับ..พี่ชายเเกถูกยิงช่วงน่องขาคับ...เเละเเกก็ได้พาพี่ชายของเเกไปหาหมอเพื่อเอาลููกกระสุนออกคับ...เเต่ทว่าลูกกระสุนที่พี่ชายเเกถูกยิงนั้นคับ..ไม่ได้เข้าลึกมากคับ..หมอก็เเค่ใช้คีมคีบลูกกระสุนออกมาคับ...ตาเหลงเเกเล่าให้ฟังคับ.ว่าลูกกระสุนที่พี่ชายเเกถูกยิงลูกนี้นั้นคับ..เป็นลูกกระสุนที่มีเศษผ้าถุงเเล้วห้วกระสุนนั้นไม่ได้เป็นเม็ดคับ.เป็นเหมือนเเผ่นตะกั่วเป็นทรงเเผ่นบางๆเล็กๆเหมือนเเผ่นที่ใข้ม้วนทำตะกรุดคับ...เเละหลังจากนั้นไม่นานคับ.ตาเหลงเเกก็พาพี่ชายของเเกมากราบหลวงพ่อพา.เเละเล่าเรื่องราวที่พี่ชายเเกถูกยิงให้หลวงพ่อพาท่านฟังคับ.อยู่ที่วัดท่านคับ.พี่ชายเเกก็เล่าให้ตาเหลงเเกฟังเเละหลวงพ่อพาท่านฟังคับว่า...พี่ชายเเกได้ยินเสียงเหมือนปืนดัง..เเชะ..เเชะ...เเชะ...ทุกวัน..4-5วันเเล้วคับ.เเต่พี่ชายเเกก็ไม่ได้เเอะใจหรือผิดสังเกตุอะไรคับ..(บริเวณเขตสวนบ้านพี่ชายเเก.เป็นพื้นที่ป่ารกทึบคับ.จนมาวันพฤหัสบดีคับ.เป็นวันที่ถูกยิงออกคับ..สาธุคับ..ตามความเชื่อโบราณคับ.คนที่ปืนยิงไม่ออกนั้นคับ.ใน1อาทิตย์.จะมี1วัน.ที่คนเขาหาของเเก้เคล็ดนั้นคับ.เพื่อเอามาเเก้เคล็ดคับเกี่ยวกับเรื่องยิงไม่ออกคับ.ประมาณนี้คับ.)...เเล้วตาเหลงเเกก็เอาตะกรุด3กษัตริย์ที่หลวงพ่อพาท่านให้เเก.เอาไปให้พี่ชายเเก.ดอกนี้นั้นคับ...มายื่นให้กับหลวงพ่อพาท่านคับ..หลวงพ่อพาท่านก็กำตะกรุดดอกนี้ไว้ในมือของท่านเเน่นมากคับ.เเล้วท่านก็เขย่ามือท่านคับ..เเล้วหลวงพ่อพา.ท่านก็พูดบอกตาเหลงกับพี่ชายตาเหลงไปคับว่า....มันยิงเข้าได้ยังไง..ช่างเหลง......เเล้ว.ตาเหลงเเกก็เอาลูกกระสุนที่ลงอาคมลูกนี้ลูกที่พี่ชายเเกถูกยิงคับ..ยื่นให้หลวงพ่อพาท่านดูคับ..เป็นลูกกระสุนลงอาคมมีเศษผ้าถุงเเละหัวกะสุนก็ไม่ได้เป็นเม็ดคับ.เป็นเศษเเผ่นตะกั่วเหมือนเเผ่นตะกรุดคับ...สาธุคับ....ผมจำได้เเค่นี้คับ..ขอบคุณคับ...(ตาเหลงเเกมีอาชีพเป็นช่างซ่อมรถยนต์คับ.ที่เเกได้รู้จักกับหลวงพ่อพาครั้งเเรกก็เพราะว่าหลวงพ่อพาท่านมาตาม.หาช่างซ่อมเครื่องปั่นไฟให้ท่านที่วัดโพธิ์ทองในสมัยนั้นคับ.ประมาณปี2509-2512คับ)...
ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
เหรียญรุ่น สิบล้อหลวงพ่อพาวัดโบสถ์โพธิ์ทองบุรีรัมย์รุ่นประสบการณ์คนแขวนโดนรถสิบล้อเหยียบไม่ตาย ที่มาของชื่อรุ่นครับ
ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
-
ประวัติท่านพระครูอุทุมพราศัย (ชม กัสโป)
วัดวรนายกรังสรรค์เจติบรรพตาราม (วัดเขาดิน)
ต.เขาดิน อ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา
หลวงพ่อชม กัสโป เดิมชื่อ ชม เป็นบุตรคนสุดท้องในจำนวน ๕ คน ของโยมบิดา นิ่ม และ โยมมารดา เชย ไม่ทราบด้วยเหตุใดจึงทำให้ในตระกูลของท่านไม่ปรากฏนามสกุล (ณ ตอนนั้น) ท่านเกิดเมื่อวันจันทร์ เดือน ๔ ปีมะเส็ง พ.ศ. ๒๔๖๐
แม้ท่านจะเป็นคนบางเดื่อ คือเกิดที่บ้านบางเดื่อ ต.บางเดื่อ อ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา แต่ท่านก็อยู่ไม่ไกลจาก วัดสะแก ต.ธนู อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อยังเล็กท่านจึงได้มาเรียนหนังสือที่วัดสะแกจนจบ ป.๔ ซึ่งในสมัยนั้นถือว่ามีวิทยฐานะดีแล้ว จึงได้ออกมาช่วยบิดามารดาประกอบอาชีพ
ต่อมาเมื่ออายุได้ ๑๖ ปี ท่านจึงได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดสะแกนั่นเอง และนี่คือการบวชครั้งแรกในชีวิต ซึ่งท่านไม่อาจหยั่งรู้ได้เลยในขณะนั้นว่าท่านจะไม่ได้สึกอีกตลอดไป
ขณะเป็นสามเณรอยู่ที่วัดสะแก ช่วงนั้นเป็นยุครุ่งเรืองของปรมาจารย์ทางไสยเวทย์ที่หาตัวจับยากในอยุธยาคนหนึ่ง คือ ท่านอาจารย์เฮง ไพรวัลย์ ตอนที่เด็กชายชมเป็นสามเณรก็ให้บังเอิญที่อาจารย์เฮงกำลังบวชพระอยู่พอดี ท่านจึงได้เห็น ได้รู้ ถึงความขลังความศักดิ์สิทธิ์ของพระภิกษุเฮงตลอดมา
วันทั้งวันจะมีคนเข้านอกออกในมากราบพระอาจารย์เฮงตลอด ตั้งแต่เจ้าขุนมูลนายทั้งในบางกอกและโดยรอบปริมณฑลล้วนเดินทางมาหาพระอาจารย์เฮงเพื่อมุ่งหาของดี สามเณรชมได้เห็นอภินิหารที่พระอาจารย์เฮงแสดงอยู่บ่อย ๆ อาทิ ให้ศิษย์ชักยันต์ชาตรีแล้วเอาหินขนาดสองคนยก ทุ่มลงไปบนหัวจนหน้าคะมำดิน เมื่อเงยขึ้นมาก็ไม่เจ็บ ไม่แตก ไม่ตาย ท่านรู้สึกอัศจรรย์ใจในวิชาของพระอาจารย์เฮงเป็นยิ่งนัก ทำให้อยากเรียนด้วยเป็นกำลัง แต่ท่านก็กลัวพระอาจารย์เฮงจนไม่อาจเข้าไปขอถวายตัวเป็นศิษย์ได้ ท่านเล่าว่าพระอาจารย์เฮงนั้นอารมณ์ไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอย เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เวลาดีก็ดีใจหาย เวลาจะดุขึ้นมาก็ราวกับเสือมาอยู่ต่อหน้า ทำให้ท่านประหวั่นเกรงจนไม่กล้าเข้าไปหาทั้ง ๆ ที่อยากเรียนด้วยใจแทบขาด
ต่อมาก็ได้สังเกตเห็นการทดลองคงกระพันชาตรี โดยการที่บรรดาศิษย์หามีดดาบที่แหลมคมมาฟัน มาทิ่มแทงกัน แต่ก็ไม่เคยมีบาดแผลหรือมีเลือดออกให้เห็นแม้สักแมลงวันกินอิ่ม
เหล่านี้ล้วนเป็นเหตุให้ท่านเกิดความมุมานะหมั่นเพียรแอบศึกษาค้นคว้าจากตำรับตำราโบราณในวัดสะแกมาแต่ครั้งยังเป็นสามเณร
จวบจนอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ท่านก็ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ อุโบสถวัดแก โดยมี ท่านพระครูอุทัยคณารักษ์ (แด่) วัดสะแก เป็นพระอุปัชฌาย์ พระโบราณคณิสสร (ใหญ่ ติณณสุวัณโณ) วัดสะแก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ พระอาจารย์วัดไผ่ ฯ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ หลังจากบวชพระแล้วท่านก็อยู่จำพรรษาที่วัดสะแกดังเดิม
วัดสะแกยุคนั้นแม้จะเลื่องชื่อลือชาในกิตติคุณของพระอาจารย์เฮง แต่ก็ใช่ว่าจะกลบกลิ่นหอมของคนดีไปเสียจนหมดสิ้น นามหนึ่งที่ใครหลายคนรู้จักดีก็คือ พระอาจารย์สี พินทสุวัณโณ ซึ่งเป็นสัทธิวิหาริกในหลวงพ่อพระอุปัชฌาย์กลั่น วัดพระญาติการาม เหมือนกัน และท่านพระอาจารย์สีนี้ก็ยังเป็นศิษย์น้องและศิษย์จริงของพระอาจารย์เฮงอีกด้วย
เมื่อเป็นดังนี้ พระภิกษุนวกะอย่างพระชม จึงคิดเข้าหาพระอาจารย์สีมากกว่า เหตุหนึ่งเพราะท่านพระอาจารย์สีนี้ใจดีกว่า ดุน้อยกว่าพระอาจารย์เฮง
ครั้งพระชมเข้าไปนมัสการพระอาจารย์สีขอถวายตัวเป็นศิษย์ องค์อาจารย์ก็เมตตารับโดยไม่รังเกียจ และเริ่มปฐมบทแห่งขลังด้วยการสอนให้พระใหม่ฝึกนั่งสมาธิภาวนา แรกนั่งท่านก็รู้สึกอึดอัดเบื่อหน่าย ด้วยใจท่านคิดว่าเรามาขอศึกษาวิทยาคุณกับหลวงพ่อท่าน แต่เหตุไฉนท่านจึงให้มานั่งหลับหูหลับตาอยู่อย่างนี้ไม่เห็นจะได้อะไร คาถาสักตัวก็ยังไม่ได้ น่าเบื่อเหลือเกิน
ก็ไม่ทราบหลวงพ่อสีทราบได้อย่างไร จึงสอนท่านว่า “ท่านชม วิชาไสยศาสตร์ใด ๆ ก็ดีล้วนมีพื้นฐานอยู่ที่สมาธิทั้งสิ้น วิชาที่จะทำแล้วมีความขลังก็ต้องอาศัยสมาธิจึงจะทำได้ผล”
ด้วยคำแนะนำเชิงปลอบประโลมเช่นนี้ จึงทำให้พระภิกษุชมเกิดความตั้งอกตั้งใจในการบำเพ็ญกัมมัฏฐานยิ่ง ๆ ขึ้น ต่อมาเมื่อหลวงพ่อสีเล็งเห็นว่าพระชมมีสมาธิดีในระดับหนึ่งแล้ว ท่านจึงเริ่มสอนเวทย์มนต์คาถาต่าง ๆ ให้เป็นลำดับ ๆ ไป และเมื่อการนั่งภาวนาของท่านมีผลแปลก ๆ บังเกิดขึ้น ถ้าไม่ถามเอาจากหลวงพ่อสี พระชมก็จะไปกราบเรียนถาม หลวงพ่อดู่ พรหมปัญโญ แทน เพราะท่านได้ขึ้นกัมมัฏฐานกับหลวงพ่อดู่ไว้ด้วย
ภายหลังท่านพระอาจารย์เฮงก็ลาสิกขาบทออกมามีภรรยาและลอยเรืออยู่ที่หน้าวัดสะแก อันเรือประทุนลำนี้อาจารย์เฮงห้ามขาดมิให้ผู้หนึ่งผู้ใดลงไปได้เลย เหตุเพราะอาจารย์เฮงมีภรรยาที่สาวและสวยมาก ๆ ท่านจึงไม่ต้องการให้ใครได้พบเห็น คงอนุญาตอยู่เพียงผู้เดียวให้ลงไปกินเหล้ากับท่านในเรือได้อย่างเป็นกันเองที่สุด นั่นก็คือ อาจารย์ก้าน บำรุงกิจ น้องชายแท้ ๆ ของหลวงปู่สี พินทสุวัณโณ ซึ่งอาจารย์ก้านนี้สมัยบวชเป็นภิกษุก็มีพระอุปัชฌาย์เดียวกันกับอาจารย์เฮง คือ หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ ฯ และต่อมาอาจารย์ก้านก็ได้เป็นศิษย์ของอาจารย์เฮงอีกด้วย
อันความขลังในเรื่องเมตตามหานิยมของอาจารย์เฮงนั้นบรรดาหนุ่ม ๆ ยุคกระนั้นล้วนทราบดี ต่างอยากได้ของดีในทางมหานิยมมาใช้กับสาวที่ตนรัก วิชาหนึ่งที่ขึ้นชื่อคือการหุงสีผึ้ง แต่อาจารย์เฮงก็ยังไม่ได้ถ่ายทอดให้ใครนอกจากหลวงปู่สี เมื่อพระชมต้องการเรียนวิทยาคุณ อย่างแรกที่ท่านขอศึกษาจากหลวงปู่สีคือการเสกสีผึ้ง
หลวงปู่สีก็เมตตาถ่ายทอดวิชาและเคล็ดลับต่าง ๆ ให้พระชมโดยไม่ปิดบัง และยังบอกอีกว่าหากทำทุกอย่างได้สำเร็จครบตามตำรา ขณะทำการเสกอยู่นั้นจะได้ยินสีผึ้งระเบิดแตกดัง เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ชื่อว่าบรรลุผลใช้ได้ทันที
พระภิกษุชมเพียรเสกสีผึ้งด้วยพระเวทย์ศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกอบรมมาอย่างยาวนานถึง ๑๐๘ คาบ สีผึ้งก็ไม่เกิดอะไรขึ้น ๑๐๘ คาบที่สองก็ไม่มีปฏิกิริยา ท่านจึงรำพึงในใจว่า ชะรอยคงจะไม่สำเร็จ ดูแล้วน่าจะเสียเวลาเปล่า แต่แล้วท่านก็ฉุกใจคิดขึ้นมาได้ว่า ตลอดเวลาที่ทำการเสกจิตท่านคอยพะวงอยู่ว่าเมื่อไรสีผึ้งจะแตกให้ได้ยินเสียที เหล่านี้คงเป็นตัวการที่ทำให้จิตไม่สงบโดยแท้จริง จึงยังไม่ปรากฏผลใด ๆ ขึ้นมา
ครั้งที่สามของการเสกนี้ พระชมจึงไม่สนใจกับตัวสีผึ้งเลย หากกำหนดจิตให้แน่วแน่อยู่กับตัวพระคาถา กดใจนิ่งบริกรรมภาวนากระทั่งจิตรวม ไม่นานท่านก็ได้ยินเสียงสีผึ้งระเบิดติดต่อกันถึง ๓ ครั้ง ทำให้ท่านมั่นใจว่าสำเร็จแล้ว เพราะหลวงปู่สีสั่งไว้ว่าถ้าได้ยินเสียงสีผึ้งแตกก็เพียงนับว่าพอใช้ได้ แต่ถ้าได้ยินติดต่อกันถึง ๓ ครั้งนั้นหมายถึงว่าสีผึ้งตรงหน้าบรรลุผลเต็มอัตรา เป็นของมหาวิเศษ มหานิยม อย่างยิ่งทีเดียว
ต่อมาพระอาจารย์ชมก็ยินชื่อเสียงของ ปู่สอน หรือ อาจารย์สอน ซึ่งเป็นฆราวาสชาวอำเภออุทัย นามปู่สอนกระเดื่องไปก้องทุ่งด้วยเรื่องที่วัยเข้าขั้นปู่แต่มีภรรยาคราวลูกที่สวยสะคราญถึง ๗ นางด้วยกัน และทุกคนอยู่กินในเรือนเดียวกันอย่างมีความสุขไม่เคยทะเลาะตบตีกันแต่อย่างใด
และเมื่อพระอาจารย์ชมได้พบปู่สอน ก็ปรากฏว่าปู่สอนรู้สึกถูกอัธยาศัยกับพระอาจารย์ชมเป็นอย่างยิ่ง จึงปรารภว่าที่ได้เมียสาวและสวยนี้เพราะวิชาอาคมที่ร่ำเรียนมาจากอาจารย์ ถ้าอยากเรียนก็ยินดีจะถ่ายทอดให้ เป็นวิชาทางมหานิยม มหาเสน่ห์อย่างเยี่ยมยอด นั่นคือการ “เสกแป้งแปลงหน้า” โดยเมื่อปลุกเสกแป้งนี้แล้วครบถ้วนตามตำรา ครั้นนำมาผัดหน้าทากาย จะเดินไปสารทิศใดคนที่เห็นเราก็จะรู้สึกว่ามีรูปงามตาน่าชม อยากพูดจาพาทีด้วยเสียทั้งนั้น แม้รูปชั่วตัวดำหากใช้แป้งเสกนี้แล้วก็เป็นอันว่ามีเสน่ห์ต้องใจคนทั้งหลายได้ทันที จึงได้ชื่อว่า “วิชาเสกแป้งแปลงหน้า”
และพระอาจารย์ชมก็ตกลงใจที่จะครอบครูเรียนวิชานี้ เมื่อท่านเรียนจบแล้วก็สามารถเสกแป้งให้ศิษย์วัดไปทดลองใช้ได้ผลเป็นที่น่าอัศจรรย์ จึงทำให้ท่านมีวิชาเด็ดอยู่ในมือแล้ว ๒ วิชา
พระอาจารย์ชมจำพรรษาอยู่ที่วัดสะแกยาวนานถึง ๑๐ พรรษาเศษ ๆ ท่านก็ถูกคณะสงฆ์แต่งตั้งให้ไปเป็นเจ้าอาวาสวัดบางเดื่อ ต.บางเดื่อ อ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา
ที่วัดบางเดื่อนี้เอง ท่านได้พบคัมภีร์เก่าโบราณอายุราว ๒๐๐ ปี ซึ่งเป็นสมบัติเก่าของวัดประดู่โรงธรรม สำนักตักศิลาใหญ่ทางศาสตร์วิชาต่าง ๆ มากมายเกินพรรณนา โดยเฉพาะวิชาทางไสยเวทย์ถือได้ว่าเป็นหอสมุดขลังซึ่งใหญ่ที่สุดในโลก หากไม่เพราะพม่าเข้ามาเผาทำลายไปจำนวนมาก ลูกหลานไทยคงได้พบเห็นอะไรดี ๆ อีกเยอะ
ครั้นหลวงพ่อชมได้ครอบครองคัมภีร์สำคัญ ท่านก็เฝ้าศึกษาค้นคว้าอย่างละเอียด พบว่าในตำรานั้นบันทึกวิชาการสร้างและเสก ตะกรุดโทน เบี้ยแก้ เชือกคาด เชือกแขน แหวนพิรอด การทำยาสมุนไพรและผงว่านต่าง ๆ มีทั้งการแก้และกันคุณไสยนานาประการ ยิ่งท่านศึกษาก็รู้สึกว่าตำรานี้มีความลึกซึ้งมาก แยบคายมาก ตอนใดที่อ่านแล้วไม่เข้าใจ ท่านก็จะนำความเข้าไปกราบเรียนถามกับ พระครูศีลกิตติคุณ (อั้น คันธาโร) วัดพระญาติการาม บ้าง ปรึกษากับ หลวงปู่สี พินทสุวัณโณ บ้าง ปรึกษากับ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ บ้าง ทำให้ท่านมีความก้าวหน้าเป็นอย่างยิ่งในการศึกษาพระคัมภีร์นี้
วิชาหนึ่งในนั้นที่ท่านให้ความสนใจเป็นพิเศษก็คือ การสร้างตะกรุดโทน ซึ่งเป็นวิชายุ่งยากมากที่สุด มีขั้นตอนในการทำสลับซับซ้อนมากที่สุด ท่านจึงให้ความสนใจมาก และในที่สุดท่านก็ตกลงใจที่จะสร้างขึ้นเป็นครั้งแรกด้วย “ตะกั่วดำ”
โดยท่านกำหนดวันซึ่งตรงกับ เพ็ญ เดือน ๑๒ ชำระฤกษ์ยามที่เป็นมงคลให้ถูกถ้วนดีแล้ว ก็ตั้งหัวหมู บายศรี ดำน้ำลงไปจารตะกรุดใต้น้ำและม้วนให้เสร็จภายในอึดใจเดียวโดยไม่ขึ้นมาก่อน ทุกดอกต้องได้รับการทำอย่างนี้เหมือนกันหมดตะกรุดชุดแรกมีจำนวนทั้งสิ้นราว ๒๐ ดอก
เมื่อท่านปลุกเสกจนครบถ้วนตามตำราแล้ว ก็ได้มอบให้ศิษย์บางคนไปใช้คุ้มครองตัว ปรากฏมีศิษย์จอมซนสามคนซึ่งได้ตะกรุดไปคนละดอก ทดลองนำตะกรุดไปผูกกับไก่บ้านจำนวน ๓ ตัว แล้วยิงด้วยปืน .๓๘ ตัวละนัด ตัวละนัด เรียงเรื่อยมาจนครบทุกตัว
ไม่ดังสักนัด
ต่อเมื่อกระดกปากกระบอกขึ้นฟ้าแล้วเหนี่ยวไก เสียงปืนก็คำรามก้องทุ่ง เป็นเหตุให้สามหนุ่มหัวใจพองโตเกิดปีติอย่างยิ่งว่าได้ครอบครองของดีอย่างสุดยอดจากครูบาอาจารย์แล้ว จึงก้มกราบขอขมาแล้วอีกไม่นานก็มาเล่าถวายให้ท่านฟัง
โดนเทศน์ไปหลายกัณฑ์
เหตุนี้หลวงพ่อชมจึงเลิกทำตะกรุดโทนดอกใหญ่แต่หันมาทำตะกรุดดอกเล็ก ๆ แทน และเรียกว่า
“ตะกรุดบริวาร”
ตำราระบุว่าเมื่อจาร-ม้วนแล้วเสร็จ ต้องทำการเสกให้ถึงไตรมาสหนึ่งจึงใช้ได้ แต่เมื่อท่านเสกครบถ้วนตามตำรา ก็ยังมิได้แจกจ่ายออกไปเพราะยังไม่มีเหตุให้ต้องแจก กระทั่งคืนหนึ่งขณะที่ท่านกำลังนั่งภาวนาอยู่ในกุฏิ ท่านก็นิมิตเห็นชายชรารูปร่างสูงใหญ่ ใส่กางเกงจีนสีดำ ไม่สวมเสื้อแต่มีผ้าขาวม้าพาดบ่าเดินตรงเข้ามาหา มาถึงตัวหลวงพ่อแล้วก็ลงนั่งถามขึ้นว่า
“ตะกรุดที่สร้างนั่นทำถูกต้องแล้ว และก็เสกจนใช้ได้แล้วทำไมยังไม่แจกจ่ายออกไปอีก”
หลวงพ่อชมตอบว่า
“อยากจะปลุกเสกต่อไปเรื่อย ๆ ก่อน”
ชายชราลึกลับนิ่งไปครู่หนึ่ง ก็พูดขึ้นว่า
“ใช้ได้แล้ว ไม่ต้องปลุกเสกอีกแล้ว วันนี้จะช่วยเสกซ้ำให้”
จากนั้นชายร่างใหญ่ก็นั่งขัดสมาธิ ลงมือบริกรรมภาวนาพระคาถาที่ใช้เสกตะกรุด ไม่นานนัก หลวงพ่อก็เริ่มรู้สึกว่ากุฏิของท่านมีการสั่นเทือน.....และแรงขึ้น....แรงขึ้นทุกที ความสั่นไหวนั้นเกิดตามคำบริกรรมภาวนาของชายชราร่างใหญ่ ยิ่งร่างนั้นเร่งรัวคำบริกรรมมากขึ้นเท่าใด ความสั่นสะเทือนก็รุนแรงขึ้นเท่านั้น
ครั้นหลวงพ่อกำหนดจิตดูที่ถาดใส่ตะกรุดตรงหน้าซึ่งคั่นอยู่ระหว่างท่านกับชายลึกลับ ก็เห็นถนัดตาว่าตะกรุดหลายร้อยดอกมีอาการสั่นไหวจนกระโดดเต้นไปมาอยู่ภายในถาดราวกับมีชีวิต เหตุการณ์นี้ทำให้ท่านรู้สึกตื่นเต้นระคนยินดีเป็นอย่างมาก ปรากฏการณ์ประหลาดนี้ดำเนินอยู่เป็นครู่ใหญ่ก็ค่อย ๆ สงบลง เมื่อท่านละความสนใจจากตะกรุดตรงหน้ามากำหนดดูที่ชายชรานิรนาม ก็ปรากฏว่าแกหายไปเสียแล้ว หลวงพ่อจึงค่อย ๆ ถอนจิตออกจากสมาธิ
ครั้นลืมตาดูถาดตะกรุดตรงหน้าด้วยตาเนื้อ ท่านก็ต้องตกตะลึงเป็นยิ่งนัก เพราะตะกรุดในถาดที่เคยวางรวมกันเป็นหมวดหมู่ บัดนี้มีหลายสิบดอกที่ปาฏิหาริย์หล่นออกมากระจัดกระจายอยู่เต็มพื้นกุฏิ แสดงให้เป็นเด่นชัดว่า “นิมิต” ที่ปรากฏในจิตท่านเมื่อครู่มิใช่นิมิตลวง ชายชร
…คนเฒ่าคนแก่แถวๆวัดบางเดื่อเล่าปาฏิหาริย์ของหลวงพ่อชมให้ฟัง ผู้เขียนจึงนำมาเล่าต่อ ดังนี้…
…มีทหารกลุ่มหนึ่งเดินทางมาหาหลวงพ่อชมที่วัดบางเดื่อ(แต่งเครื่องแบบ) แต่ไม่เคยพบหลวงพ่อมาก่อน จึงไม่รู้ว่าท่านเป็นใครอยู่กุฏิไหน
…ทหารพากันเดินดุ่ยๆเข้าไปในวัด แล้วก็พบเข้ากับพระภิกษุรูปหนึ่งกำลังกวาดลานวัดอยู่ ทหารบอกกับพระรูปนั้นไปว่าจะมาหา“หลวงพ่อชม” พระรูปนั้นตอบว่า“ข้านี่แหละ หลวงพ่อชม” ทหารที่มากัน๔-๕คนจึงยกมือขึ้นไหว้
…ทหารคนที่ท่าทางเหมือนหัวหน้าพูดกับหลวงพ่อว่า“หลวงพ่อครับ พวกเรามีของมาถวาย” พูดเสร็จก็ส่งของให้หลวงพ่อทันที!…
…ถึงตอนนี้“หลวงพ่อชม”ท่านรู้แล้วว่า “โดนเจ้าพวกทหารวัยคะนองลองของเข้าให้ เพราะของที่ว่าเป็นลูกระเบิดสังหาร รุ่นM-26”(ทหารเอาระเบิดมาหยอกหลวงพ่อ โดยไม่ได้ดึงสลักออกแต่อย่างใด คือแบบว่าหากเอาลูกระเบิดนี้ปาลงพื้น หรือขว้างใส่กำแพง ก็ไม่สามารถระเบิดได้ นี่เป็นการเล่นแบบพิเรนทร์ๆของพวกทหาร)…
…กลับมาที่ฝ่ายทหารกันบ้าง พวกทหารอยากจะดูว่า“พระอาจารย์ที่เขาลือกันว่าเก่งนักหนา พอตกอยู่ในสถานการณ์คับขันแบบนี้ ท่านจะทำอย่างไร”(ตั้งใจมาลองของหลวงพ่อ)
…ทหารบางนายคิดอย่างขำๆเลยเถิดไปว่า“หลวงพ่อคงตกใจจนขวัญหนีดีฟ่อ แล้วโยนระเบิดทิ้งไป ก่อนวิ่งหนีป่าราบ” บ้างก็คิดว่า“หลวงพ่อคงเขวี้ยงระเบิดไปไกลๆด้วยความหวาดกลัว” คือแบบว่าคิดกันไปต่างๆนาๆอย่างสนุกสนาน แต่ทหารกลุ่มนี้คิดผิด!…
…พอ“หลวงพ่อชม”รับลูกระเบิดมาแล้ว ท่านก็ยิ้มให้แล้วพูดกับทหารกลุ่มนั้นว่า “รับแล้วนะ ทีนี้ข้าจะให้ของพวกเอ็งบ้าง” ว่าเสร็จท่านก็ปา“ระเบิด”ลงพื้นกลางวงทหาร และทั้งๆที่รู้ว่า”ระเบิดยังไม่ได้ถอดสลักออก อย่างไรก็ไม่ระเบิดแน่ๆ แต่ด้วยสัญชาตญาณทำให้ทหารกลุ่มนั้นแตกกระเจิงไปคนละทิศละทาง ทหารบางนายรีบวิ่งแล้วนอนราบเอามือกุมหัว ส่วนบางนายกระโดดพุ่งหลาวไปกับพื้นลูกรังข้างหน้าแล้วนอนทำตัวแบนราบให้ตกเป็นเป้าสะเก็ดระเบิดน้อยที่สุด สรุปว่าทหารทุกนายทำตามยุทธวิธีที่เล่าเรียนมา”(การณ์กลับตาลปัตร ทหารว่าจะมาลองดีกับหลวงพ่อ แต่กลับโดนหลวงพ่อย้อนศรเข้าให้)
…“พอลูกระเบิดกระทบพื้น ระเบิดก็ทำงานทันที แต่แทนที่ระเบิดจะส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหว แล้วแตกออกเป็นเสี่ยงๆ(ส่งสะเก็ดระเบิดออกมา) ระเบิดกลับมีเสียงดัง“ฟู้ด” แล้วก็มีฝุ่นขี้เถ้าแตกกระจายกลายเป็นผุยผง ฟุ้งกระจายไปถ้วนทั่ว”(ระเบิดไม่ได้แตก เพียงแต่ดินระเบิดเกิดฟู่ขึ้นมาเฉยๆ) และโดยที่ไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ พอทหารเห็นปาฏิหาริย์ของหลวงพ่อชมกันแบบจะจะคาตาเช่นนั้น ต่างก็พากันคลานเข่าเข้ามาหาหลวงพ่อแล้วหมอบกราบแทบเท้าน้ำหูน้ำตาไหล จากนั้นได้กราบขมาลาโทษและเอ่ยปากขอน้อมกายถวายตัวเป็นลูกศิษย์ท่าน หลวงพ่อชมพูดอย่างเมตตาว่า“ไม่เป็นไร พวกเจ้าอยากเห็นก็เลยแสดงให้ดู” นับจากนั้นเป็นต้นมาทหารกลุ่มนี้ได้กลายเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญที่คอยช่วยเหลืองานหลวงพ่ออย่างเต็มกำลังความสามารถ
…ว่ากันว่า“ทหารเหล่านี้เป็นทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์” เรื่องก็เป็นเช่นนี้แล…
Cr.น้าเอก.
ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มารูปภาพเวปไซท์นิตยสารอย่างสูงครับ
ลองอ่านประวัติท่านดุก่อนครับ ศิษย์สายวัดพระญาติ วัดสะแก อีกท่าน เหรียญยุคเก่า สวยเดิมๆ จะ50 ปีแล้ว
เหรียญหลวงพ่อชมวัดบางเดื่อปี 2517 กะไหล่เงินหูตันให้บูชา 350 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
-
พระปิดตาพระอาจารย์เปลี่ยน ตะกรุดเงิน ประกอบด้วยพระปิดตาจัมโบ้ ฝังตะกรุดเงิน และ พระปิดตาปลดหนี้ ฝังตะกรุดเงิน พร้อมกล่องเดิม พระสวยปลุกเสก 1 ไตรมาส มวลสารศักดิ์สิทธิ์มากมายที่ใช้นำมาจัดสร้างพระปิดตารุ่นนี้ โดยใช้พิมพ์พระปิดตาปลดหนี้และปิดตาจัมโบ้ของหลวงปู่โต๊ะมาเป็นพิมพ์ หาพระบูชาเองต้องหาพระที่เสกนาน เสกโดยพระป่าสายกรรมฐานจะดีมากๆครับ พุทธคุณเด่นในเรื่องโชคลาภค้าขาย อาราธนาบูชาดีมาก เป็นพระดีน่าใช้ที่ราคายังไม่แพงมาก เหมาะสำหรับเศรษฐกิจฝืดเคืองแบบนี้ครับ
พระปิดตาพระอาจารย์เปลี่ยนมีกล่องเดิมทั้งสององค์ เป็นพระปิดตารุ่นแรกของพระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป เจ้าอาวาสวัดอรัญญวิเวก (บ้านปง) ต.อินทขิล อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ที่สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๔๑ พระปิดตาที่สร้างในวาระนี้ มี ๓ พิมพ์ คือ พระปิดตามหาอุตม์ยันต์ยุ่งเนื้อโลหะ พระปิดตาจัมโบ้สอง พระปิดตาปลดหนี้ พระปิดตาชุดนี้ สร้างด้วยเนื้อผงเกสรผสมเกศา
พระปิดตาปลดหนี้หลวงปู่เปลี่ยนรุ่นแรกให้บูชา 900 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
-
แจ้งการโอนเงินครับ... โอนวันนี้เมื่อเวลา 10:58 am. ครับ อ้างอิงจากในโพสต์ #970 นี้ครับ รายละเอียดผม PM ส่งไปในกล่องข้อความแล้วครับ (^_^)
-
โอนแล้วครับ 30/12/66 จำนวน 330 บ.เวลา 16.26 น.จัดส่งที่เดิมครับ
-
พระผงรูปเหมือนหลวงปู่ทิม วัดพระขาว สร้างมณฑป ทันหลวงปู่เสกนะครับ สร้างก่อนมรณภาพ 2-3ปีออกวัดทำบุญกฐินองค์ละ199 สมัยนั้น มีพิธีพุทธาภิเษก วันพฤหัสบดี ที่ ๒๕ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๐ เวลา ๑๕.๐๙ น.ด้านหลังยันต์ประจำตัวหลวงปู่ที่อยู่ในวัตภุมงคลราคาสูงๆของท่าน และ๑๒ราศรีเสริมดวงพระราหูด้วย ในยุคนั้น ที่นิยมองค์เทพจตุคามรามเทพ
ให้บูชายกชุด3องค์ 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
จะแยกองค์ก็ได้ครับ บูชาองค์ละ100 บาท ค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
๑
๒ (ปิดรายการ)
๓
-
ประวัติย่อ
หลวงปู่สังวาลย์ ธมฺมสาโร
หลวงปู่สังวาลย์ ธมฺมสาโร ตอนนี้ หลวงปู่จำวัดอยู่ที่ วัดป่าเขามโนราห์ ชายป่าห้วยขาแข้ง จังหวัดอุทัยธานี ซึ่งเป็นวัดร้าง ลักษณะเหมือนบ้านของชาวบ้านธรรมดา เป็นเรือนไม้สองชั้น ไม่มีน้ำ ไม่มีไฟฟ้า ช่วงนี้ท่านก็สลับออกธุดงค์เข้าไปในป่าลึก เข้าธุดงค์ประมาณ1-2 เดือน เพื่อฝึกพระใหม่ที่ตามมาธุดงค์ เป็นการฝึก ซึ่งมีผู้กล่าวว่า ปู่สามารถฝึกพระบางองค์ได้ถึงขั้นอริสงฆ์ก็มีหลายรูปแล้ว ตอนนี้มีพระทั้งหมด 11 รูป
หลวงปู่สังวาลย์ ท่านอายุ 73 ปี เกิดปี พ.ศ.2477 ท่านเป็นหลานแท้ๆ ของหลวงปู่ขาว อนาลโย เคยธุดงค์กับพระเกจิสุปฏิปันโนมากมาย อาทิ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่ขาว หลวงปู่ชา หลวงปู่เกษม(สุสานไตรลักษณ์) หลวงปู่บุดดา หลวงปู่ดุลย์ หลวงปู่เทศ หลวงปู่มหาบัว ฯลฯ เป็นต้น โดยธุดงค์ในป่าลึก ทั้งเหนือ อีสาน ฯ บางครั้งท่านก็เดินธุดงค์องค์เดียวเป็นเวลาหลายปี ยกเว้นตอนเข้าพรรษาเท่านั้น ที่จำเป็นต้องอยู่จำพรรษาที่วัด ก็จะเป็นวัดล้างในป่า เสียส่วนมาก ท่านกรุณาเล่าประวัติให้ฟังพอสังเขป จำได้ไม่หมด ทั้งนี้เพราะทราบมาว่าปกติท่านไม่เคยเล่าให้ใครฟัง พระที่ตามธุดงค์กับท่านก็จะไม่ทราบเรื่องราวของท่านมากนัก ท่านไม่เคยให้สัมภาษณ์หนังสือใดๆ เพราะ ท่านไม่ติดยึดกับชื่อเสียงทางโลก หรือแม้กระทั่งการถ่ายรูป ตอนที่ท่านเข้าธุดงค์ในป่าลึกห้วยขาแข้ง เจ้าหน้าที่ป่าไม้ได้แอบถ่ายสถานที่ในวัดหลายรูป หัวหน้าเขตป่าไม้ชื่อคุณ.ทวี.เล่าให้คณะเราฟังในภายหลังว่าเคยแ อบถ่ายรูปโดยไม่ขออนุญาต ปรากฎว่ากล้องระเบิดเสียหายไป 3 ตัวเลย
ดังนั้น ขอสรุปเรื่องราวของหลวงปู่สังวาลย์ โดยสังเขปดังนี้
ท่านเป็นลูกศิษย์ ที่ร่วมคณะเดินธุดงค์กับท่านหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
และพระสุปฎิปันโนที่เอ่ยนามแล้วทุกคนรู้จักเป็นที่เคารพของคนไท ยและท่านเป็นสหายธรรมกับหลวงตามหาบัว สมัยอยู่กับหลวงปู่เทส เทสรังสี หลวงปู่สังวาลย์ เล่าว่า ปู่เคยไปธุดงค์ที่ทุ้งแสลงหลวง(ตอนนั้นอายุ53ปี) และมีเณร(อายุ 15ปี) ตามไปด้วยหนึ่งองค์ ระหว่างทางปู่ได้ไปเยียบกับระเบิดเข้า เณรได้เข้ามากอดขาหลวงปู่ แต่ปู่บอกให้เณรออกไป เดี๋ยวตายทั้งคู่ ถ้าปู่เป็นอะไร เณรจะได้ไปบอกคนมาช่วย ขณะจะถอนเท้าออกจากกับระเบิดท่านบอกให้เณรหนีไปไกลๆก่อน
เมื่อท่านยกเท้าขึ้นก็เกิดระเบิดตูมสนั่น ตัวท่านลอยไปตกในหลุมหลาวที่ทำจากไม้ไผ่หลาวปลายแหลม(ไม้เสียบแ หลมๆของพวกผู้ก่อการร้าย) แต่หลาวไม่สามารถแถงทะลุเข้าท่านได้ ท่านก็นอนค้างอยู่นั้น แต่ท่านก็ขาหักแขนหัก และมีบาดแผลใหญ่ถูกกระเบิดเป็นรูใหญ่ ตรงช่วงต้นขาซ้าย หลังจากนั้นเณรก็เขามาช่วยปู่เอาจีวรพันขาปู่ เพราะเลือดไหลไม่หยุด จึงเอายาฉุนยัดไว้ที่รูแผล รูขนาดลูกปิงปองเลย ปู่เปิดให้ดูรอยบาดแผลใหญ่มาก ท่านบอกให้เณรเดินไปตามลำธารน้ำแล้วจะไม่หลงป่า เมื่อพบชาวบ้านให้แจ้งคนมาช่วย ส่วนตัวท่านก็นอนอยู่ที่นั้นขยับกายไปไหนไม่ได้ นอนอยู่ 3วัน แมลงวันมาเกาะขณะที่ท่านสลบไป รู้สำตัวขึ้นมาก็เห็นหนอนไชแผลเต็มไปหมด เลือดไหลจนซีดหมดทั้งตัว ปู่บอกจะตายก็ตาย ชีวิตนี้ไม่เอา ไม่ยึดติดอะไรแล้ว กว่าเณรจะเดินตามลำธาร ไปพบชาวบ้านใช้เวลา ถึง 3วัน 2คืน แล้วทหารเสนารักษ์ก็มาช่วยรักษาพาท่านไปโรงพยาบาลในที่สุด
-2-
ต่อมา จากแรงระเบิดจึงทำให้ร่างกายของปู่บอบช้ำมาก โดยเฉพาะการทำงานของหัวใจไม่ดี ปู่พูดตามภาษาปู่ว่า “ หัวใจมันร้าว ” คือ หลังจากนั้นประมาณ 2-3 เดือน หลวงปู่เป็นลมและหัวใจของปู่ก็หยุดเต้นไป อาการดังกล่าวเป็นด้วยกัน 3 ครั้ง ครั้งแรก 3 วัน 5วัน ห่างกัน
3 เดือน ครั้งสุดท้าย 6 วัน จนคณะแพทย์ศิริราชลงความเห็นว่าท่านไม่ฟื้นแล้วทางวัดได้จัดทำพิธีศพ ซึ่งได้พระราชทานเพลิงศพ วันที่ 7 จะทำชาปณกิจ ม.ร.ว. คึกฤทธ์ ปราโมทย์ เป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้มาเป็นองค์ประทาน มีคนมาร่วมงานหลายพันคน มีรถมาจอดมากกว่า 400 คันในสมัยนั้น แต่ปรากฏว่า ท่านกลับฟื้นขึ้นมา อาจารย์ไมตรี ถามท่านว่าทำไมเขาไม่ฉีดฟอร์มารีน ปู่บอกหลวงปู่เทส เทสรังสี สั่งไม่ให้ฉีดศพของหลวงปู่สังวาลย์ ท่านว่า เพราะร่างเขาไม่เน่าหรอก
อนึ่ง ท่านใดที่สนใจรายละเอียดถ้าได้มีโอกาสไปกราบท่านก็ให้เรียนถามห ลวงปู่ด้วยตนเองว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงที่ท่านหยุดหายใจ ไปสามครั้ง 3-6 วันนั้น
ปฏิปทาท่านชอบธุดงค์ และอยู่ในป่าเสมอตั้งแต่ออกบวช พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เคยเสด็จพระราชดำเนินเยือนภาคอีสานและเข้านมัสการหลวงปู่สังวาล ย์ ธมฺมสาโร และกล่าวชื่นชมหลวงปู่ ได้ให้สมญานามปู่สังวาลย์ว่า “ ช้างเผือก ” เพราะท่านชอบอยู่ในป่า หลวงตามหาบัวท่านชื่นชมหลวงปู่สังวาลย์ ก็ชอบเรียกหลวงปู่ว่า “เสือป่า” เพราะมีอัธยาศัยชอบธุดงค์อยู่ในป่าลึก ปู่บอกว่า บางครั้งช่วงอยู่ป่าเป็นเวลาหลายปี ปู่ฉันท์ผัก ใบไม้ สมุนไพรต้ม ไม่ได้ฉันท์ข้าวเลย (ยกเว้นตอนเข้าพรรษาเท่านั้น) หมายถึงปู่จะอยู่ในป่าลึกตลอด ไม่ได้ออกมาพบชาวบ้าน จึงไม่ได้บิณฑบาตกับใคร ท่านไม่ยึดติดในลาภยศสรรเสริญ ไม่ยึดติดวัตถุ ไม่หลงติดความสุข ความสะดวกสบาย อาจารย์ ไมตรีทองประวัติ และ พระอาจารย์ สงคราม ลูกศิษย์หลวงพ่อกล้วยที่
วัดป่าธรรมอุทธยาน จ.ขอนแก่น ท่านทั้งสองกรุณาแนะนำให้ได้ไปกราบหลวงปู่ในป่าห้วยขาแข้ง จังหวัดอุทัยธานี
เมื่อปี 2549 ท่านอาจารย์ ดร.วรภัทธ์ เคยนำคณะ 50 คนนั่งรถบัสเข้าป่าห้วยขาแข้งไปกราบหลวงปู่ สังวาลย์ แต่รถใหญ่เกินไปไม่สามารถผ่านเข้าไปถึงในป่าวัดมโนราห์ แต่ก็น่าแปลกใจ หลวงปู่และพระจำนวนหนึ่งได้ติดรถชาวบ้านออกมาพร้อมเสื่อ มาพบคณะระหว่างทางกลางป่าโดยมิได้นัดหมาย ทางคณะจึงขออนุญาตนำเสื่อที่ท่านนำติดรถมาปู เพื่อกราบนมัสการและฟังธรรม
(ในห้วยขาแข้ง โทรศัพท์มือถือไม่มีสัญญาณอยู่แล้ว ยกเว้นบางที่แต่ต้องเป็นบนยอดเขาที่เหมาะสมเท่านั้น)
ครั้งแรก แฟร์ได้เดินทางไปกราบหลวงปู่ในป่าคิดว่าต้องลำบากมากแน่ๆ แต่ใจสู้เพราะจะได้พบพระป่าที่มีภูมิธรรมสูงจริยาวัติ น่าเลื่อมใส ได้พบท่านครั้งแรกไม่คิดว่าท่านอายุ 73 ปี คิดว่า 55 ปีเพราะดูหนุ่มและแข็งแรงมาก ทรายภายหลังว่า เวลาเดินธุดงค์ขึ้นเขาปู่เดินนำและเร็วมาก อีกทั้งในป่านอกจากจะมีเสือที่ปู่บอกว่ามันดัดเสียงเลียนแบบเสี ยงเยื่อที่มันตามล่าได้ถึง 7 เสียงแล้ว ยัง มี ช้าง กระทิง หมูป่า งู และสัตว์อื่นที่น่ากลัวอีกมากมายและที่ดูจะไม่น่ากลัวแต่กลับน่ ากลัวที่สุดคือ “เห็บ” ของสัตว์ที่มีมากมายและมันจะเกาะติดอยู่ตามใบไม้ใบหญ้า เมื่อคนเดินผ่านมันก็จะกระโดดเข้ามา เกาะติดและดูดเลือดและฝังตัวอยู่ในเนื้อ ทั้งเจ็บ ทั้งคันและเป็นแผลดำเลย กว่าจะบีบตัวมันออกและเอายาทากว่าจะหายก็เป็นแผลเป็นเลย นี่ยังไม่พูดถึงเรื่องไข้ป่าที่ชุกชุมอีกต่างหาก
-3-
แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดมาก่อนได้เกิดขึ้นเมื่อไปถึงและกราบนมัสการ ท่านแล้วยังไม่ทันที่จะถวายสังฆทานอาหารแห้งที่เตรียมมา หลวงปู่ท่านก็เมตตาสอนธรรมที่ติดข้องอยู่ในใจและชี้ให้เห็นคุณแ ละโทษของความไม่รู้ที่เราเคยปฏิบัติผิดๆมาตลอด ชี้ให้เห็นกิเลสในจิตที่มีอยู่และจะแก้ไข อย่างไรจนหมดสิ้นคำถาม โดยที่ยังไม่ทันได้เอ่ยถามเลยแม้แต่น้อย รู้สึกอัศจรรย์ใจมาก เกิดความรู้สึกสงบอิ่มในธรรมที่เราดิ้นรนแสวงหามาตลอด เราเคยเพียรพยายามแก้ความสงสัย โดยหาหนังสือธรรมอ่าน แต่ก็ยังไม่สามารถตอบคำถามที่ค้างคาใจทุกข้อที่เคยสงสัยหลายๆเร ื่องได้ ท่านบอกว่า “ ท่านไม่ใส่ใจใครจะมาหาหรือไม่มาท่านไม่มีอะไรติดใจ ใครมาอยู่ป่าแล้วบอกว่าลำบากอยู่ไม่ได้ เพราะยังติดสุขอยู่ ท่านก็ว่าดีแล้วไม่ต้องมาหาท่าน ”
ท่านเมตตาสอนให้รู้จักปัญหาของโลกโดยเฉพาะผู้หญิง ที่เข้าวัด มักจะเจอปัญหาคำครหา 3 ข้อ เรื่องเข้าวัดเพราะ หนึ่ง มาชอบพระในวัด สอง เข้าวัดเพราะผิดหวังอกหัก สาม เข้าวัดเพราะมีปัญหาเรื่องไม่มีปัญญาทำมาหากินเลยมาอาศัยวัดอยู ่ ปู่ท่านบอกว่าไม่ต้องไปสนใจ
ถ้าเรามีจิตใจมั่นคงหนักแน่น และผ่านเรื่องคำครหาต่างๆนี้ไปได้ เราก็ปฏิบัติธรรมได้สะดวก
ได้กราบเรียนท่านว่าที่เดินทางเข้าวัดมานี้เพราะไม่อยากเกิดอีก แล้ว ท่านก็บอกว่าหลวงปู่ก็ไม่อยากเกิดอีกเช่นกัน แต่ตราบใดที่จิตใจยังมี ความอยาก มีความรัก ความโกรธ ความชอบไม่ชอบ ก็ต้องเพียรพยายามฝึกฝนต่อไป เปรียบเสมือนควั่นอ้อย เมื่อฟันไปได้เปราะหนึ่งแล้ว ก็ต้องถากถางมันต่อไป เพียรพยายามให้มันหมดจรดจากความยินดียินร้ายในจิตใจ ตราบใดที่จิตใจยังมีความยินดียินร้ายอยู่ไม่ควรไปสอนใครเขาเพรา ะจะเป็นกรรม ต่อเมื่อถึงที่สุดแล้วหมดจรดแล้ว ใครถามก็ให้ตอบว่า เราเคยปฏิบัติมาแบบนี้ เคยทำมาแบบนี้ เท่านั้น.
หลวงปู่ไม่ให้ติดในนิมิต ไม่ให้ยึดติดอดีต และ ไม่ให้คิดถึงอนาคต เห็นอะไรให้ทิ้งไปอย่าไปสนใจเอามาเป็นอารมณ์เสียเวลา ท่านเล่าว่าหลวงปู่บุดดา ก็มีหูทิพย์ ตาทิพย์ รู้เห็นอะไรมากมาย หลวงปู่บุดดา ท่านก็บอกไม่เอาเนอ หลวงปู่สังวาลย์ก็เหมือนกัน แต่ปู่บอก พยายามตัด ไม่อยากดัง ยิ่งตอนหลวงปู่ฟื้นมาใหม่ๆคนก็เข้าพบมากมาย ก็เป็นการพิสูจน์ว่า ปู่ไม่ติดยึดจริงๆ
เพราะถ้ารู้แล้วเห็นแล้ว ก็จะมีเรื่องอีกมากมายตามมาเสียเวลา อิริยาบถ 4 หลวงปู่สอนว่ามี เดิน ยืน นั่ง และ อิริยาบถขณะทำการงานต่างๆเท่านั้น ไม่มีอิริยาบถนอนสมาธิ ขณะทำกิจการงานต่างๆ เพียรระลึกอยู่เสมอได้ รู้ลมหายใจ กำหนดพุทธโธ ใช้สติเป็นตัวรู้ รู้อิริยาบถเคลื่อนไหวต่างๆได้ตลอด(มหาสติปัฏฐาน4) เรื่องที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยคือ การนั่งสมาธิที่ถูกต้องของผู้หญิง คือท่านั้งกราบพระ ท่าที่นั่งทับเท้าทั้งสองข้าง และท่านั่งพับเพียบ เท่านั้น ไม่ใช่นั่งขัดสมาธิเหมือนผู้ชาย
และแม่อึ่งที่อุปัฏฐากทำอาหารถวายพระเล่าว่า มีพระ 3 รูปยืนฉี่และสรงน้ำแล้วไม่นุ่งผ้าอาบน้ำฝนท่านก็รู้และว่ากล่าวตักเตือน แม้กระทั้งญาติโยมเวลาอาบน้ำในห้องน้ำก็ต้องนุ่งผ้าถุงอาบ จะเปลือยไม่ได้ เพราะมีเทวดาภพภูมิมากมายในวัดกลางคืนก็ให้ปักกรด เพียรเดินจงกรม นั่งสมาธิ เพราะวิเวกไม่มีสิ่งต่างๆมารบกวน ถึงจะมี ก็จงปฏิบัติจนไม่ได้ยิน ไม่ได้เห็นอะไร ที่ในป่าห้วยขาแข้งอากาศกลางคืนเย็นตลอดปี เดือนเมษายนกลางคืนก็ยังหนาวต้องห่มผ้านวม หลวงปู่บอก นอนหลับไม่ต้องเปิดแอร์ เหมือนกรุงเทพ
ฝึกปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่สังวาลย์ ทำให้เข้าใจธรรมชาติ และวิถีชีวิตอยู่อย่างพอเพียง อยู่แบบไม่ติดสุข ละความสะดวกสบาย แบบสมถะ สถานที่วัดป่าเขามโนรรห์ อยู่ติดกับลำธาร เราสามารถเดินขึ้นตามโขดหิน ลำธารไปได้ ภูเขาป่าไม้สวยงาม แต่หลวงปู่บอก
ในโลกนี้ไม่มีอะไรสวยไม่มีอะไรดี มีแต่ความเสื่อมไป ตัวเราก็ต้องแตกสลายเสื่อมไป กลับสู่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ทับถมไม่มีที่สิ้นสุด อย่ามัวแต่ยึดติดสิ่งจอมปลอม ในสิ่งที่มันหลอกลวงเราอยู่เลย
- 4 -
ตัวเรา มิตรของเรา ศัตรูของเรา สัตว์ร่วมเกิดกับเรา ก็ต้องแตกสลายเสื่อมไปทุกผู้ทุกนาม แล้วเราจะไปยึดเอาอะไร หลวงปู่สอนอื่นๆ อีกมาก บางเรื่องแก้ไขเฉพาะบุคคล
เพื่อนๆท่านใดที่สนใจจะไปปฏิบัติธรรม กับหลวงปู่สังวาลย์ ก็ขออนุโมทนาสาธุด้วยนะค่ะ ติดต่อกับอาจารย์ ไมตรี หรือ แฟร์ ได้ค่ะ เดินทางไปห้วยขาแข้ง ใกล้อ่างเก็บน้ำอ่างแก้ว และ น้ำตกอีซะ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3-4 ชั่วโมงเท่านั้นค่ะ
อนึ่ง นับเป็นมหากุศลของชาวพุทธที่จะได้รับคำสั่งสอนของพระอริยะสงฆ์เ จ้า ที่ยากจะพบหลวงปู่ได้บ่อยนัก เพราะท่านอยู่ในป่ามาตลอด
ปีปัจจุบันหลวงปู่อายุ๙๔พรรษาครับ
ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
พระสมเด็จหลวงปู่สังวาลย์วัดเขามโนราห์เนื้อผง ผสมเกษา ให้บูชา 250 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
-
ทองนพเก้า สายหลวงปู่ทอง วัดราชโยธา, อีกหนึ่งสายวิชาที่แทบจะสูญหายไป
กระทู้โดย : potigo
เห็นคุงเขาได้เล่าเรื่องสายหลวงปู่ทอง วัดราชโยธาในสวนขลังผมเห็นว่าเป็นสายของหลวงปู่ทองที่ควรจะเพยแพร่เลยขออนุญาตคุงและwebmasterนะครับ
หลวงปู่ทอง อายะนะ วัดราชโยธา (หรือวัดลาดบัวขาวในปัจจุบัน) ท่านที่เป็นนักเล่นพระ หรือ ถวิลหาความขลัง ย่อมเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี ทั้งการสร้างพระเครื่อง วิชาอาคม สักยันต์ และอื่นๆอีกมากมาย ท่านเป็นศิษย์ร่วมสำนักวัดมณีชลขัณธ์ร่วมกับ "มหาโต" หรือสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดระฆังโฆษิตาราม และยังเป็นพระเกจิที่เป็นครูบาอาจารย์ของบรรพชิตและฆราวาส อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น หลวงปู่เผือก วัดกิ่งแก้ว หลวงพ่อสด วัดปากน้ำภาษีเจริญ หลวงพ่อเหลือ วัดสาวชะโงก ทางฆราวาสก็มี อาจารย์แก้ว คำวิบูลย์ ท่านพ่อเที่ยง น่วมมานา อาจารย์สักชื่อดังแห่งบางกอกน้อย อาจารย์เจ๊ก สามแยกไฟฉาย เป็นต้น
แต่ลูกศิษย์หลวงปู่ท่านที่ผมจะกล่าวถึงอีกรูปหนึ่งคือ
หลวงพ่อพระครูพิชัยณรงฤทธิ์ วัดสิตาราม หรือ วัดคอกหมู กรุงเทพ ผู้รับการถ่ายทอดวิชาการลงทองนพเก้า จากหลวงปู่เพียงรูปเดียว (เนื่องจากได้สืบเสาะดูแล้ว ไม่พบศิษย์หลวงปู่รูปใดหรือท่านใด ได้สืบต่อวิชานี้เลย)
หากท่านอายุ 60 ปีขึ้นไป น่าจะเคยได้ยินชื่อหลวงพ่อพิชัยฯ เพราะท่านลงข่าวหน้าหนังสือพิมพ์บางกอกไทมส์ ในการลงทองแล้วใช้มีด( ด้ามใหญ่) ฟันหลังทันทีหลังจากลงทองเสร็จ
หลวงพ่อพระครูพิชัยณรงฤทธิ์ ท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ทองตั้งแต่ยังเยาว์วัย เนื่องจากสมัยเด็กท่านเป็นศิษย์วัด วัดสามปลื้ม ซึ่งเป็นวัดที่หลวงปู่ทองได้เดินทางไปมาหาสู่เป็นประจำ หลวงพ่อท่านจึงรู้จักมักคุ้นจนได้ครอบครองตะกรุดใต้น้ำที่หลวงปู่ท่านจาร และไปศึกษาเล่าเรียนกับหลวงปู่เป็นเวลาถึง 3 ปี
วิชาการที่หลวงปู่ถ่ายทอดให้หลวงพ่อมีมากมาย ทั้งทำตะกรุด รดน้ำมนต์ ถอดถอนคุณไสย แต่ที่สำคัญคือการลงทองนพเก้านั่นเอง
การลงทองนพเก้านั้น จะเป็นการลงทอง 9 แผ่น ไว้บริเวณต่างๆของร่างกาย คือ หน้า หน้าอก และหลัง ซึ่งหากจะลงให้สมบูรณ์ต้องลง 3 ครั้ง จะคุ้มครองตลอดชีวิต หากลง 1 ครั้ง คุ้มครอง 3 เดือน 2 ครั้ง คุ้มครอง 3 ปี ถ้าจะให้ติดตัวตลอดไปต้อง 3 ครั้ง
การลงทองนพเก้านี้มิใช่เพื่อทางเมตตามหานิยมดั่งลงนะหน้าทองเพียงอย่างเดียว แต่ครอบคลุมไปถึง คงกระพัน แคล้วคลาด เมตตา มหานิยม อำนาจ อีกทั้งยังป้องกันคุณและของที่เขากระทำมาอีกด้วย ดังคำที่อาจารย์ท่านให้ลูกศิษย์พูดกำกับเวลาลงทองทุกครั้งว่า "อยู่ คง เหนียว สวย งาม มีอำนาจ"
สมัยที่หลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่นั้นเมื่อลงเสร็จก็จะฟันหลังทันที มีดที่ฟันนั้นผมเห็นมาแล้ว ไม่ใช่มีดแบบปัจจุบัน แต่เป็นดาบแบบโบราณที่มีความหนักและคมอยู่ในตัวเอง ซึ่งการลงดาบที่หลังนั้นนักวิทยาศาสตร์หลายคนออกมาพูดว่า เป็นเพราะหนังตึงจึงมีความยืดหยุ่นให้ไม่เข้า แต่เมื่อผมคุยกับวงสนทนารุ่นน้องที่เป็นเด็กช่าง ผ่านชีวิตนักบู๊โชกโชน มันก็ได้แต่บอกว่า "พี่ลองให้พวกที่ออกมาพูดว่าฟันแล้วหนังตึงเลยไม่เข้ามาหาผมสิ เดี๋ยวผมฟันให้ดูว่ามันเข้าไม่เข้า" หลักการทางวิทยาศาสตร์บางอย่างที่หาเหตุผลมาหักล้างเรื่องขลัง เราก็ควรฟังไว้แบบ ฟังหูไว้หูเหมือนกัน เพราะไสยศาสตร์เป็นสิ่งที่นอกเหนือธรรมชาติอันวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้
การลงทองนพเก้านั้นเหนียวหรือไม่ ผมไม่อาจทำให้ผู้อื่นเชื่อตามความเห็นของผมได้ แต่เพราะความห่ามของผม เมื่อลงครบสามครั้งไม่รู้เกิดร้อนวิชาอะไรขึ้นมา ผมหยิบที่เปิดกระป๋องซึ่งข้างบนเป็นปลายแหลม (สำหรับเจาะกระป๋องนม) มาดู นึกถึงครูบาอาจารย์ที่ลงให้อันมีหลวงปู่ทองเป็นที่สุด แล้วเอาคมแหลมนั้นกรีดเข้าไปที่หนังตึงๆของผม แบบไม่คณามือ
ผลออกมามีแค่รอยแดงปรากฎ ไม่มีแม้กระทั่งยางบอน ทั้งที่กรีดลงไปไม่ยั้งเหมือนกัน
นี่เป็นแค่ประสบการณ์ที่ผมเจอะเจอมา แต่สำหรับลูกศิษย์หลวงพ่อพระครูพิชัยแล้ว หากจะให้เล่าประสบการณ์ก็คงไม่หมดแน่นอน
นี่เป็นเพียงบางส่วนที่ผมได้สัมผัสกับสายวิชาของหลวงพ่อพระครูพิชัยฯ แม้จะไม่ทันท่านแต่ก็ยังโชคดีที่ได้รับรู้และรับสิ่งที่ดีจากศาสตร์วิชาสายนี้ จึงได้เขียนลงในสวนขลังที่นี้นี่เอง
ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
เหรียญหลวงปู่ทองวัดราชโยธาหลังอาจารย์พิชัยณรงค์ฤทธิ์วัดคอกหมู
ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
-
บัญชีธนาคาร กรุงไทย 125-00-89-239
Supachai thu
โอนแล้วแจ้งบอก ทางข้อความ พร้อมที่อยู่จัดส่ง ป้อง กัน การเอาข้อมูลจากมิจฉาชีพครับ ทุกข้อมูลที่ท่านให้ มา ผมปิดไม่เปิดเผยต่อสาธารณชน ทุกวันนี้ มิจฉาชีพหลากหลายรูปแบบ ออนไลน์
จะส่งด้วย ไปรษณีย์ems หลังปีใหม่ จะจัดส่งให้ทุกท่าน ครับ -
พิธีจักรพรรดิ์ 20 มกราคม พ.ศ.2515 จัดขึ้น ณ วิหารพระพุทธชินราช วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วรมหาวิหาร (วัดใหญ่) จังหวัดพิษณุโลก (pra.kruchamp.com)
เจ้าพิธี พระอาจารย์ผ่อง จินดา วัดจักรวรรดิราชาวาส กรุงเทพมหานคร และ อาจารย์เทพย์ สาริกบุตร
ประธานฝ่ายสงฆ์ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (พิมพ์ ธมฺมธโร) ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ปุ่น ปุณฺณสิริมหาเถร) เป็นประธานจุดเทียนชัย
ประธานฝ่ายฆราวาส ศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ นายกพุทธสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นประธานในพิธีจุดเทียนบูชาพระรัตนตรัย
ประธานฝ่ายสงฆ์ดับเทียนชัย พระพิษณุบุราจารย์ เจ้าอาวาสวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วรมหาวิหาร พิษณุโลก
ประธานบริกรรมปลุกเสก พระครูศรีพรหมโสภิต (หลวงพ่อแพ) วัดพิกุลทอง จ.สิงห์บุรี
พิธีจักรพรรดิ์ ปี 2515
พระคณาจารย์นั่งปรกปลุกเสก 109 รูป ดังรายนามด้านล่างนี้
พระครูวิริยะโสภิต (หลวงพ่อทอง) วัดพระปรางค์ จ.สิงห์บุรี
พระราชธรรมมาภรณ์ (หลวงพ่อเงิน) วัดดอนยายหอม จ.นครปฐม
พระครูจันทรโสภณ (หลวงพ่อนาค) วัดทัศนารุณสุนทริการาม กรุงเทพ
พระครูญาณวิลาศ (หลวงพ่อแดง) วัดเขาบันไดอิฐ จ.เพชรบุรี
พระครูภาวนาณุโยค (หลวงพ่อหอม) วัดชากหมาก จ.ระยอง
หลวงพ่อสุข วัดโพธิ์ทรายทอง จ.บุรีรัมย์
พระครูวิจิตนชัยการ (หลวงพ่อสด) วัดหางน้ำสาคร จ.ชัยนาท
พระครูนนทกิจวิมล (หลวงพ่อชื่น) วัดตำหนักเหนือ จ.นนทบุรี
พระครูประดิษฐ์นวการ (หลวงพ่อบุญ) วัดวังมะนาว จ.ราชบุรี
พระครูสุตาธิการี (หลวงพ่ออยู่) วัดใหม่หนองพะองค์ จ.สมุทรสาคร
พระครูธรรมสาคร (หลวงพ่อกรับ) วัดโกรกกราก จ.สมุทรสาคร
พระครูปัญญาโชติ (หลวงพ่อเจริญ) วัดทองนพคุณ จ.เพชรบุรี
พระครูประสาทวรคุณ (หลวงพ่อพริ้ง) วัดโบสถ์โก่งธนู จ.ลพบุรี
หลวงพ่อชื่น วัดคุ้งท่าเลา จ.ลพบุรี
พระครูสนิทวิทยการ วัดท่าโขลง จ.ลพบุรี
พระครูปิยธรรมภูสิต (หลวงพ่อคำ) วัดบำรุงธรรม จ.สระบุรี
พระครูกิตพิจารณ์ (หลวงพ่อผัน) วัดราษฎร์เจริญ จ.สระบุรี
พระครูพุทธฉายาภิบาล วัดพระพุทธฉาย จ.สระบุรี
พระครูสุวรรณวุฒาจารย์ (หลวงพ่อมุ่ย) วัดดอนไร่ จ.สุพรรณบุรี
พระวินัยรักขิตาวันมุนี (หลวงพ่อถิร) วัดป่าเลไลย์ จ.สุพรรณบุรี
พระวิบูลเมธาจารย์ (หลวงพ่อเก็บ) วัดดอนเจดีย์ จ.สุพรรณบุรี
พระครูอภัยภาดาทร (หลวงพ่อขอม) วัดไผ่โรงวัว จ.สุพรรณบุรี
พระครูกิตตินนทคุณ (หลวงพ่อกี๋) วัดหูช้าง จ.นนทบุรี
พระอาจารย์สมภพ เตชปุญโญ วัดสาลีโข จ.นนทบุรี
พระครูประกาศสมาธิคุณ (หลวงพ่อสังเวียน) วัดมหาธาตุฯ กรุงเทพ
พระเทพเจติยาจารย์ (อาจารย์วิริยัง) วัดธรรมมงคล กรุงเทพ
พระเทพโสภณ (สมเด็จพระมหาธีราจารย์) (นิยม) วัดชนะสงคราม กรุงเทพ
หลวงพ่อเต๋ คงทอง วัดสามง่าม จ.นครปฐม
พระครูสาธุกิจวิมล (หลวงพ่อเล็ก) วัดหนองดินแดง จ.นครปฐม
พระวิสุทธิรังษี (หลวงพ่อเปลี่ยน) วัดชัยชุมพลฯ (วัดใต้) จ.กาญจนบุรี
พระครูอุดมสิทธาจารย์ (หลวงพ่ออุตตมะ) วัดวังก์วิเวการาม จ.กาญจนบุรี
พระครูจันทสโรภาส (หลวงพ่อเที่ยง) วัดม่วงชุม จ.กาญจนบุรี
พระครูโกวิทสมุทรคุณ (หลวงพ่อเนื่อง) วัดจุฬามณี จ.สมุทรสงคราม
พระครูศรีพรหมโสภิต (หลวงพ่อแพ) วัดพิกุลทอง จ.สิงห์บุรี
พระอาจารย์ผ่อง (จินดา) วัดจักรวรรดิราชาวาส กรุงเทพ
พระครูศรีปริยัตยานุรักษ์ (ครูบาใฝ) วัดพันอ้น จ.เชียงใหม่
พระครูวิรุฬห์ธรรมโกวิทย์ (ครูบาสิงห์คำ) วัดเจดีย์สถาน จ.เชียงใหม่
พระครูมงคลคุณาธร วัดหม้อคำตวง จ.เชียงใหม่
หลวงพ่อบุญมี วัดท่าสต๋อย จ.เชียงใหม่
หลวงพ่อแสน วัดท่าแหน จ.ลำปาง
หลวงพ่อเมือง วัดท่าแหน จ.ลำปาง
พระครูสุเวทกิตติคุณ (หลวงพ่อบุญชุบ) วัดเกาะวาลุการาม จ.ลำปาง
หลวงพ่อเกษม สุสานไตรลักษณ์ จ.ลำปาง
หลวงพ่อบุญสม วัดหัวข่วง จ.ลำปาง
พระวิบูลวชิรธรรม (เจริญ) วัดท่าพุทรา (วัดคฤหบดีสงฆ์) จ.กำแพงเพชร
หลวงพ่อจ้อย วัดศรีอุทุมพร จ.นครสวรรค์
หลวงพ่อพรหม ถาวโร วัดช่องแค จ.นครสวรรค์
พระครูนิสัยจริยคุณ (หลวงพ่อโอด) วัดจันเสน จ.นครสวรรค์
พระครูไพโรจน์อรัญญคุณ (หลวงพ่อคัด) วัดท่าโบสถ์ จ.ชัยนาท
หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร วัดโฆษิตาราม จ.ชัยนาท
พระครูสุจิตตานุรักษ์ (หลวงพ่อจวน) วัดหนองสุ่ม จ.สิงห์บุรี
พระครูสุวรรณสุตาคม (หลวงพ่อดวง) วัดทอง จ.สิงห์บุรี
พระครูอาทรสิกขการ (หลวงพ่อโต๊ะ) วัดสระเกศไชโย จ.อ่างทอง
พระครูสันทัศธรรมคุณ (หลวงพ่อออด) วัดบ้านช้าง จ.อยุธยา
พระครูประภาสธรรมคุณ (หลวงพ่อแจ่ม) วัดวังแดงเหนือ จ.อยุธยา
พระครูประสาทวิทยาคม (หลวงพ่อนอ) วัดกลางท่าเรือ จ.อยุธยา
พระครูพิพิธวิหารการ (หลวงพ่อเทียม) วัดกษัตราธิราช จ.อยุธยา
พระครูสาธรพัฒนกิจ (หลวงพ่อลมูล) วัดเสด็จ จ.ปทุมธานี
พระครูวิเศษมงคลกิจ (หลวงพ่อมิ่ง) วัดกก กรุงเทพ
พระครูอนุกูลวิทยา (หลวงพ่อเส็ง) วัดน้อยนางหงส์ กรุงเทพ
พระครูพิริยกิจติ (หลวงปู่โต๊ะ) วัดประดู่ฉิมพลี กรุงเทพ
พระครูภาวณาภิรมย์ วัดปากน้ำภาษีเจริญ กรุงเทพ
พระครูโสภณกัลป์ยานุวัฒน์ (หลวงพ่อเส่ง) วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร กรุงเทพ
พระครูพินิจสมาจารย์ (หลวงพ่อโด่) วัดนามะตูม จ.ชลบุรี
พระครูภาวนาภิรัต (หลวงปู่ทิม อิสริโก) วัดละหารไร่ จ.ระยอง
พระครูวชิรรังสี วัดมฤคทายวัน จ.ประจวบคีรีขันธ์
พระครูวชิรคุณาญาณ วัดในกลาง จ.ประจวบคีรีขันธ์
พระครูสุทธาจารคุณ (หลวงพ่ออ่ำ อินฺทโชโต) วัดเกาะหลัก จ.ประจวบคีรีขันธ์
พระครูอุดมศีลจารย์ (พ่อท่านเย็น) วัดโคกสะท้อน จ.พัทลุง
พระครูพิศาลพัฒนกิจ (พ่อท่านพระครูปลัดบุญรอด) วัดประดู่พัฒนาราม จ.นครศรีธรรมราช
พระอาจารย์นำ แก้วจันทร์ วัดดอนศาลา จ.พัทลุง
พระครูพิพัฒน์สิริธร (หลวงพ่อคง สิริมโต) วัดบ้านสวน จ.พัทลุง
หลวงพ่อสงฆ์ วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย จ.ชุมพร
หลวงพ่อผาง วัดอุดมคงคาคีรีเขต จ.ขอนแก่น
หลวงปู่จันทร์ วัดสำราญ จ.อุบลราชธานี
หลวงพ่ออ่อน วัดประชานิยม จ.กาฬสินธุ์
หลวงพ่อครูบาวัง พรหมเสโน วัดบ้านเด่น จ.ตาก
พระครูนันทิยคุณ (ครูบาตัน นนฺทิโย) วัดเชียงทอง จ.ตาก
หลวงพ่อเกตุ สุวรรโณ วัดศรีเมือง จ.สุโขทัย
พระครูสุวิชานวรวุฒิ (หลวงพ่อปี้) วัดบ้านด่านลานหอย จ.สุโขทัย
พระครูคีรีมาสธรรมคุณ วัดวาลุการาม จ.สุโขทัย
พระครูพิลาศธรรมคุณ (หลวงปู่โถม) วัดธรรมปัญญาราม จ.สุโขทัย
พระครูไกรลาศสมานคุณ (หลวงพ่อย่น) วัดกงไกรลาศ จ.สุโขทัย
พระอาจารย์พวง วัดสว่างอารมณ์วรวิหาร จ.สุโขทัย
พระอาจารย์ฉลอง วัดสว่างอารมณ์วรวิหาร จ.สุโขทัย
พระครูพินิจธรรมภาณ (สมจิตร) วัดวังแดง จ.พิจิตร
พระครูพิมลธรรมานุศิษฐ์ (หลวงพ่อขวัญ) วัดบ้านไร่ จ.พิจิตร
พระอาจารย์ชัย วัดกลาง จ.อุตรดิตถ์
หลวงพ่อบุญ อุตตโม วัดน้ำใส จ.อุตรดิตถ์
พระครูนวการโฆษิต (หลวงพ่อจันทร์) วัดหาดสองแคว จ.อุตรดิตถ์
พระพิษณุบุราจารย์ (แพ พากุโล) วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จ.พิษณุโลก
พระสมุห์ละมัย (พระวรญาณมุนี วัดอรัญญิก) หลวงตาละมัย วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จ.พิษณุโลก
พระครูศีลสารสัมบัน (สำรวย สมฺปนฺโน) วัดสระแก้วปทุมทอง จ.พิษณุโลก
พระครูอภัยจริยาภิรมณ์ วัดใหม่อภัยยาราม จ.พิษณุโลก
พระครูวินัยธรสุเทพ วัดแสงดาว จ.พิษณุโลก
พระอาจารย์ถนอม วัดนางพญา จ.พิษณุโลก
พระครูประภาสธรรมมาภรณ์ (หลวงปู่แขก) วัดสุนทรประดิษฐ์ จ.พิษณุโลก
พระครูศรีรัตนาภรณ์ (หลวงพ่อไช่) วัดศรีรัตนาราม จ.พิษณุโลก
หลวงพ่อเปรื่อง วัดคูหาสวรรค์ จ.พิษณุโลก
พระอาจารย์พิมพ์ วัดคูหาสวรรค์ จ.พิษณุโลก
หลวงพ่อเฉลิม วัดโพธิญาณ จ.พิษณุโลก
หลวงพ่อเปรื้อง วัดโพธิญาณ จ.พิษณุโลก
พระอาจารย์ชุ่ม วัดกรมธรรม์ จ.พิษณุโลก
พระอาจารย์โต วัดสมอแข จ.พิษณุโลก
พระครูประพันธ์ (หลวงพ่อพัน) วัดบางสะพาน จ.พิษณุโลก
พระครูวิจารณ์ศุภกิจ (อาจารย์ทองม้วน) วัดวังทอง จ.พิษณุโลก
พระอาจารย์นวล วัดนิมิตธรรมาราม จ.พิษณุโลก
พระอาจารย์ธงชัย วัดวชิรธรรมราชา จ.พิษณุโลก
พระราชมุนี (โฮม) วัดสระปทุม กรุงเทพ
พิธีจักรพรรดิ์ ปี 2515
ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มารูปภาพอย่างสูงครับ
หลวงพ่อกวยเสกพิธียิ่งใหญ่เป็นทางการ อีกพิธี
พระนางพญาพิธีจักรพรรดิ์พิษณุโลกแบบนี้นำมาแจกข้าราชการทำบุญในยุคหลังมีการแก้ไขวันที่ในกระดาษ ที่อยู่ในซอง ซึ่ง ปีที่แก้ไขไม่ทีการทำพิธีพุทธาภิเษก เสกพระในปีนั้น แบบนี้ซองพลาสติกใสติดโบว์เจ้าของเก่า อดีต ข้าราชการกรมทาง
ให้บูชา 800 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)
หน้า 49 ของ 106