สุดท้ายก็มีคนว่าเราบ้าอีกเหมือนเดิม

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย สันโดษ, 22 มิถุนายน 2009.

  1. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    [​IMG]



    จากกระทู้ล่าสุด เกี่ยวกับ ใครมีจิตสื่อกับจิตผู้ทำลายล้างได้บ้าง

    ได้มีข้อความหลายๆ ข้อความเป็นห่วง สันโดษกับวิธีการปฏิบัติของสันโดษมากเกินไป

    จนสันโดษ รู้สึกถึงความ ขัดเเย้ง สันโดษเลยตัดสินใจลบกระทู้ออกไป

    เพราะสันโดษไม่อยากให้ เกิดความคิดในเเง่ลบกับผู้อ่าน

    เเต่จุดที่สันโดษสังเกตุ คือ ความคิดที่เเปลกแยก เกิดจากความไม่เข้าใจ

    เเละ การมองเห็นสันโดษผิดปกติทางจิต (อีกครั้ง) เเต่ก็ไม่เเปลก เพราะสันโดษชินกับสิ่งเหล่านี้นานเเล้ว

    สันโดษเองก็ไม่คิดจะอธิบายอะไรอีกเเล้ว เพราะว่า สันโดษ

    ไม่สามารถทำให้คนทุกคนเข้าใจในสิ่งที่สันโดษเป็น

    สันโดษขอขอบคุณความเป็นห่วงของ เพื่อนๆในเว็บ เพียงอยากจะบอกว่า

    ไม่ต้องเป็นกังวลในกระทู้ ของคนๆเดียว เเละ ไม่ต้องคิดว่า เราผูกพันอะไรกัน

    สันโดษไม่ใช่ ญาติพี่น้องของคุณ เเต่สิ่งที่ได้เล่า เป็น สิ่งที่เรียกว่า ประสบการณ์เท่านั้น

    ที่สันโดษอยากเล่าให้คนทั่วไปเข้าใจจิตใจ ของคนที่เป็นเเบบสันโดษ

    เเละอยากให้คนที่เป็นเเบบสันโดษเข้าใจตัวเอง (ว่าคุณไม่ได้ผิดปกติเพียงเเค่เเตกต่าง)

    บางคนอ่านอาจจะเชื่อ หรือ ไม่เชื่อ เเต่นั้นไม่ใช่ประเด็น เพราะข้อมูลข่าวสารต่างๆในโลกมนุษย์

    ไม่ได้มีไว้เพื่อจดจำ เเต่มีไว้เพื่อนเรียนรู้ เเละ นำไปปรับใช้กับตนเอง หากได้ประโยชน์

    อันไหนที่ไม่ใช่ไม่ถูกประโยชน์ ก็หลีกเลี่ยงข้อมูลเหล่านั้น

    สำหรับบางคน เรื่อง ไสยศาสตร์ จิตลึกลับ และ พลังจิต เป็นเรื่องที่งมงาย

    เเละ อีกหลายคนก็งมงายกับสิ่งเหล่านี้มากเกินไป จนขาดสติ

    การเดินทางสายกลางเเละรับข้อมูล นั้นเป็น สิ่งที่เรียกว่า วิจารณญาณ

    ทุกอย่างมีเหตุผลเเละมีปัจจัยในการเกิด

    สันโดษไม่สนใจหรอกว่า ใครจะว่า สันโดษบ้า หรือ เสียสติ เพราะ นั้นก็ คือ ความเห็นนึง ของคน 1คน

    เเต่ตัวเราเองย่อมรู้ดีที่สุดว่าอะไร คือ อะไร

    ไม่มีใครรู้จักเราดีที่สุด เเละ ไม่มีใครเข้าใจเราที่สุด

    ถ้าคุณคิดว่า คุณทำดีที่สุดเเล้ว เเละ คุณเข้าใจที่สุดเเล้ว เเสดงว่า คุณได้เข้าถึงธรรมในใจ

    สันโดษไม่ได้มาแก้ตัวหรือ อยากจะมาเพื่อบอกว่า

    สันโดษไม่ได้บ้า สันโดษไม่ได้มีองค์ สันโดษ ติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวไม่ได้

    เพียงเเต่สันโดษอยากเขียนอะไรบางอย่าง เพื่อเป็นข้อคิดกับผู้ปฏิบัติว่า

    อย่าฟังคนอื่นมาก อย่าอ่านเพื่อจดจำ อย่าทำเพื่อคุณความดี

    เเต่จงเลือกทางที่ดีที่สุด ที่จะทำให้จิตของคุณสงบ

    ไม่ว่าคุณจะนับถือศาสนาอะไร หรือ ปฏิบัติรูปธรรมเเบบไหนก็ตามสิ่งใดก็ตามที่ทำให้จิตคุณสงบ

    เลิกเพ่งโทษผู้อื่น เลิกมองคนอื่น เลิกสั่งสอนคนอื่น เเละยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น

    เเสดงว่า จิตของคุณนั้นได้พัฒนามาถึงจุดสูงสุดที่เรียกว่า อุเบกขา

    หากคุณยังเที่ยวว่า เเละ เป็นห่วง สั่งสอนชาวบ้าน เเละ ไม่ปล่อยว่าง

    เเสดงว่า คุณยังไม่สามารถเข้าใจสัจธรรมของกฎแห่งกรรมอย่างเเท้จริง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มิถุนายน 2009
  2. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    [​IMG]



    สันโดษเบื่อมากเลย เเละ สงสาร คนที่เกิดมาเหมือนสันโดษ

    พวกเรามีสติ เเละ รับรู้สิ่งที่ เกิด-ดับ ของ จิตอยู่เสมอ

    อาจจะเพราะสิ่งที่เกิด เเตกต่าง จึงทำให้เราเห็นว่า จิตไม่ใช่เรา กายไม่ใช่เราจริงๆ

    การสื่อสารกับ จิตต่างๆเเละ สิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้น สันโดษ เก็บเงียบมานาน

    เเต่พอสันโดษอยุ่ในเว็บพลังจิต สันโดษได้อ่าน ข้อความมากมาย สันโดษถึงเข้าใจว่า

    ไม่ได้มีคนเเบบเราเเค่คนเดียว ยังมีคนที่คิดเเปลกๆ และ น่าสนใจมากมายเหลือเกิน

    สันโดษไม่เคยคิดว่าใครเเละไม่คิดจะสอนใครด้วย

    เเค่ เเลกเปลี่ยนความรู้เเละความคิดกับคนประหลาดๆเหล่านั้น

    สันโดษไม่เข้าใจ คนที่ชอบไปว่าเขาบ้ามั้ง เรียกเขาว่า เพี้ยนมั้ง สันโดษไม่เข้าใจพวกคุณเลย

    พวกเราก็มีความสุขของเราในเเบบเพี้ยนๆ เเต่พวกเราไม่เคยไปทำอะไรให้พวกคุณเดือดร้อน

    พวกเราไม่ว่าคุณ พวกเราเล่นของเราในเว็บนี้ เเละ เเสดงความคิดที่มันเกิดจาก จิตของพวกเรา

    เเล้วมันผิดตรงไหน? ไม่ใช่ว่าพวกเราควบคุมตัวเองไม่ได้ เเต่ห้องนี้ คือ ห้อง วิทยาศาสตร์ทางจิต-ลึกลับ

    พวกเราเลยออกมาเล่า มาเขียนให้คนอ่าน เเล้วมันผิดตรงไหน?

    เมื่อวาน มีคนเข้าไปด่าสันโดษในห้องเเชต ท้าให้สันโดษไป วัดเเขก (สีลม) เพื่ออะไร?

    ด่าสันโดษเสียๆหาย ทั้งๆที่สันโดษก็ อยู่ของสันโดษในห้องเเชตกับน้องๆ เพื่อนๆ

    พวกเรา ไม่ได้รู้สึกอะไรหรอก เเต่การที่ได้เจอคนเเบบพวกคุณ หรือ มนุษย์ปกติ

    ทำให้พวกเราไม่อยากออกมาเปิดเผยตัวเอง ไม่อยากสอน

    ไม่อยากเล่า เพราะว่ามนุษย์ปกติอย่างพวกคุณนั้นล่ะ

    สันโดษอึดอัด เเละรำคาญคนที่เข้ามาวุ่นวายกับสันโดษนะ

    ขอร้องได้ไหมว่าถ้า มันไม่ใช่สิ่งที่คุณสนใจให้อ่านเเล้ว เลยผ่านไป

    ไม่ต้องมาสั่งสอน สันโดษ ไม่ได้ขอให้ใครมาสอน เพราะสันโดษ มีครูบาอาจารย์เเล้ว

    ทุกวันสันโดษ สวดมนต์ฟังธรรม หลวงพ่อที่สันโดษ ชอบที่สุด คือ หลวงพ่อปราโมทย์

    ท่านสอนให้ดูจิต รู้จิต เเละ ตามรู้ ท่านไม่ได้สอนให้พวกเรา บังคับจิต หรือ กำหนดจิต

    เเต่สอนให้ระลึกรู้ เเละมีสติ สันโดษ ทำได้ บางครั้งเเม้ฝันสันโดษก็รู้ว่าฝันด้วยซ้ำไป

    จะมีสักกี่คนที่เป็นเหมือนพวกเรา? เเละ ปฏิบัติธรรมด้วยความสนุกตั้งเเต่ตื่นจนนอน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มิถุนายน 2009
  3. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    [​IMG]




    ยกตัวอย่างให้อ่านนะ เช่น

    เรื่อง ภัยพิบัติ พวกมนุษย์ปกติ ที่เข้ามาว่า สันโดษ

    พวกคุณ ก็ได้เเต่เเค่เตรียมตัว เเละ หวาดกลัว

    เเต่ พวกเรา รับทราบผ่านร่างในการทำลาย

    เเล้วพวกเราก็มาเช็คข่าวว่าทำลายอะไรไปมั้ง

    พวกเราไม่ต้องหนี อยู่ที่ไหนก็ได้

    เพราะไม่ว่าสันโดษเเละน้องๆ อยู่ที่ไหนพวกเราจะปลอดภัยเเละไม่รู้สึกถึงภัยพิบัติ

    พวกคุณนั่งดูทีวีทุกวัน เเต่ตอนนี้พวกเรานั่งฝึกพลังจักรวาล

    พวกคุณนั่งฟังเพลง พวกเรา นั่งฟังบทสวดมนต์ เป็นกิจวัตร

    พวกคุณไปหาหมอตาม โรงพยาบาล

    เเต่พวกเรารักษาตัวเองด้วย อายตนะวิปัสสานะกรรมฐาน

    เเล้วพวกเราก็นัดเจอกัน เพื่อฝึก สมาธิหมุน เเละ พลังปราณกัน

    อะไรที่เราได้เรียนรู้ใหม่ๆ พวกเราก็เอามาสร้างเป็นกระทู้เป็น ธรรมทาน

    พวกเราไม่ได้คิดเรื่องบุญ เเต่สิ่งเรานี้ คือ สิ่งที่พวกเราทำเเละมีความสุขมากๆเท่านั้นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มิถุนายน 2009
  4. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    กำจัดขยะความคิด! 'สร้างพลังจิต' 'ทำได้' ไม่ใช่เรื่องลี้ลับเรื่องของ "พลังจิต" เป็นอีกเรื่องที่มีความพยายามศึกษาค้นคว้ากันอย่างแพร่หลาย ทั้งในเชิงวิชาการ และในแวดวงศาสนา มีทั้งในเชิงทฤษฎี และในเชิงปฏิบัติ ซึ่งก็ว่ากันว่า "พลังจิตคือพลังงานอย่างหนึ่ง" ที่มีผลไม่ทางใดก็ทางหนึ่งกับร่างกาย และความสามารถพิเศษบางประการ

    [​IMG]"พลังจิต" ในบางมุมอาจจะดูเป็นเรื่อง "เหลือเชื่อ"

    ขณะที่บางมุมก็เป็น "วิทยาศาสตร์" ที่อธิบายได้ !!!


    ทั้งนี้ ในเว็บไซต์
     
  5. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    <TABLE class=border_dot cellSpacing=8 cellPadding=0 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=bold_black>เรื่องของพลังจิต</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD height=8></TD></TR><TR><TD>
    เรื่องของพลังจิต
    พลังจิต ( Mind Power )

    หมายถึงคลื่นความถี่ของพลังงานความคิด (Pranic Energy) ซึ่งเป็นพลังงานไฟฟ้าบวก (Proton) ไฟฟ้าลบ (Electron) ที่เกิดจากต่อมไพเนียล (Pineal Body) ที่สมองตอนบน เมื่อบุคคลคิดต่อมนี้จะสร้างคลื่นความถี่ของความคิดขึ้น

    คลื่นนี้อาจจะมีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับขบวนการทางความคิด(Thinking Process) นั้น คลื่นนี้จะลอยอยู่รอบๆตัวผู้คิด เมื่อคิดถึงใคร
    คลื่นนั้นจะพุ่งตรงไปยังต่อมสร้างความคิดของผู้รับนั้น ถ้าผู้รับรับคลื่นความคิดนั้นได้ จะเกิดความคิดเช่นนั้นทันที เรียกว่าเกิดการรับรู้ความคิดของผู้อื่นได้

    บุคคลที่มีพลังจิตสูงคือ บุคคลที่มีสมาธิดี เช่น มีสมาธิอยู่ในขั้นกลางที่เรียกว่าอุปจารสมาธิ และสมาธิขั้นสูงที่เรียกว่าอัปปนาสมาธิ

    การทำงานของพลังจิต
    จิตจะทำงานได้จิตต้องมีเครื่องมือคือร่างกายที่เป็นอยู่ของจิต จิตจึงแสดงผลออกมาให้เห็นได้ ส่วนของมันสมองมีหน้าที่รับคำสั่งของจิตคือ ต่อมไพเนียล (Pinial Body) ซึ่งเป็นต่อมเล็กๆสีแดงอมเทา รูปกรวย เป็นส่วนประกอบของปลายประสาท ต่อมนี้อยู่ในส่วนกลางตอนบนของมันสมอง เมื่อต่อมไพเนียลรับคำสั่งของจิตต่อมนี้จะสร้างเป็นคลื่นความถี่ออกมา คลื่นความถี่จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความคิดนั้น และจะลอยอยู่รอบๆตัวผู้คิด และคลื่นความถี่นี้จะวิ่งไปตามประสาทต่างๆทั่งร่างกายเพื่อควบคุมการทำงานของอวัยวะนั้นๆ พลังงานไฟฟ้าที่ควบคุมอวัยวะต่างๆจะมีกระแสความถี่ต่างกันตามหน้าที่ของอวัยวะและคนนั้นๆอีกด้วย เช่น Electron และ Protron ที่ควบคุมการทำงานของเซลล์เนื้อเยื่อของอวัยวะต่างๆทำให้มีการสร้างและการทำลายของเซลล์ได้ตามปกติ เช่น ทำลายไป 10เซลล์ก็จะสร้างขึ้นมาทดแทนเช่นเดิม อวัยวะนั้นจะทำหน้าที่ได้ตามปกติ สร้างภูมิต้านทานของร่างกายให้สูงเป็นปกติ ร่างกายจะแข็งแรงสมบูรณ์

    การศึกษาพลังจิต
    ได้มีการค้นคว้าทางพลังจิตทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ประเทศไทยเรียกพลังนี้ว่าพลังอำนาจทิพย์ ในต่างประเทศ เช่น ชาวจีนโบราณเรียกว่าพลังแห่งชีวิต
    (Life Force Energy) ชาวยุโรป เช่น เยอรมันเรียกว่าพลังงานแม่เหล็กสัตว์ (Animal Magnetism) ชาวรัสเซียเรียกว่าพลังงานชีวภาพ
    (Bioplasmic Energy) นักวิทยาศาสตร์ในกลุ่มประเทศตะวันตกเรียกว่าพลังชีวภาพ (Bio Energy) หรือพลังแม่เหล็กไฟฟ้า
    (Electo Magnetic Force)
    บุคคลที่มีร่างกายแข็งแรงคือผู้ที่มีพลังจิตสมบูรณ์ควบคุมอยู่ทั่วทุกส่วนของร่างกายทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นแจ่มใสกระฉับกระเฉง พลังจิตจะเปล่งเป็นรัศมีออกโดยรอบร่างกาย ตรงกันข้ามคนป่วยจะมีพลังจิตควบคุมอยู่เพียงเล็กน้อย ภูมิต้านทานในร่างกายจะลดต่ำลง ร่างกายจะอ่อนแอ และจะมีร่างกายที่ปกติเหมือนเดิมได้เมื่อได้รับพลังจิตนั้นๆเพิ่มขึ้น
    ดังนั้นพลังจิตจึงเป็นพลังงานที่ควบคุมการทำงานของร่างกาย เช่น การหมุนเวียนของโลหิต การเจริญเติบโตของเซลล์ หากร่างกายส่วนใดขาดพลังจิตร่างกายส่วนนั้นจะไม่สามารถทำหน้าที่ใดๆได้ตามปกติ หรือร่างกายไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ พลังจิตที่ใช้กันทั่วไปมี 3 ลักษณะคือ
    1 Telepathy คือพลังงานแห่งเมตตา พลังนี้ติดต่อกันได้โดยทางจิต เป็นพลังงานที่ใช้เพื่อการสร้างสรรค์
    2.Telkynesys คือพลังงานที่ใช้บังคับวัตถุให้เคลื่อนที่ หรือใช้เพื่อทำลายวัตถุต่างๆ เป็นพลังงานที่ใช้เพื่อการบังคับหรือเพื่อการทำลาย 3.Teleportation คือพลังงานที่ใช้เพื่อการล่องหนหายตัว เมื่อใช้พลังงานนี้แล้ว สามารถเดินบนน้ำบนอากาศ หรือเพื่อผ่านเครื่องกีดขวางได้
    พลังจิตผิดปกติทำให้เจ็บป่วย

    จิตมีอำนาจเหนือร่างกาย ที่เรียกว่า จิตเป็นใหญ่ จิตเป็นประธาน สำเร็จแล้วด้วยจิต เมื่อจิตมีอำนาจของกรรมครอบงำอยู่ จิตนั้นจะสั่งกายซึ่งเป็นเครื่องมือของจิตตามอำนาจของกรรมนั้น เช่น จิตมีอำนาจของอกุศลกรรมมาก พลังงานไฟฟ้าที่ออกมาจะไม่มีความสมดุลย์ทางธรรมชาติ เช่น ทำให้พลังงานไฟฟ้าบวกสูงมาก พลังงานไฟฟ้าลบสูงมากบ้าง จะมีผลทำให้ระบบการสร้างการทำลายของร่างกายไม่คงที่ ดังนี้ พลังงานไฟฟ้าบวกสูงมาก จะทำให้การสร้างเซลล์มากกว่าการทำลายหรือเท่าเดิม แต่รูปร่างโตกว่าเดิม จะเป็นสาเหตุของโรคบวม เนื้องอก เช่น โรคหัวใจ โรคมดลูก เนื้องอกธรรมดา เนื้องอกมะเร็งเป็นต้น

    นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็งได้กล่าวถึง ทฤษฏีเกี่ยวกับมะเร็งที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดว่า เซลล์มะเร็งเกิดขึ้นในตัวคนเราตลอดเวลา แต่ถูกทำลายโดยเซลล์เม็ดเลือดขาว ก่อนที่มันจะโตจนก่อพิษภัยแก่ร่างกาย โรคมะเร็งเกิดขึ้นต่อเมื่อระบบภูมิคุ้มกันถูกกดดันการทำงานไว้ ทำให้ไม่สามารถขจัดเซลล์มะเร็งที่ก่อตัวขึ้น ดังนั้นถ้ามีอะไรก็ตามส่งผลกระทบต่อการทำงานของสมองที่จะควบคุมระบบภูมิคุ้มกัน มะเร็งย่อมเกิดขึ้นได้ พลังงานไฟฟ้าลบสูงมาก จะทำให้การสร้างเซลล์น้อยกว่าการทำลายหรือเท่าเดิม แต่รูปร่างเล็กกว่าเดิม จะเป็นสาเหตุของโรคลีบตีบต่างๆ เช่น หลอดเลือดตีบ ลิ้นหัวใจตีบ
    กล้ามเนื้อตาย มันสมองฝ่อ ภูมิต้านทานบกพร่อง ตับวาย ไตวาย กล้ามเนื้อหัวใจไม่ทำงาน เรียกว่า โรคไหลตาย เด็กเกิดมามีร่างกายไม่สมบูรณ์เป็นต้น

    พลังงานไฟฟ้าภายในร่างกายของแต่ละบุคคลอาจไม่เท่ากันก็เป็นได้ ผมเคยพบว่าการเพิ่มเลือด เกล็ดเลือดให้คนไข้ สภาพร่างกายคนไข้ไม่ยอมรับเลือดหรือเกล็ดเลือดนั้น เพราะเลือดใหม่และเลือดเก่าไม่สามารถเข้ากันได้ แม้ทางการแพทย์จะวิเคราะห์แล้วว่าเป็นเลือดกรุ๊ปเดียวกัน เมื่อพิจารณาในสมาธิพบว่าพลังงานไฟฟ้าที่ควบคุมเม็ดเลือดนั้นไม่เท่ากัน แสดงว่าพลังงานควบคุมเม็ดเลือดของแต่ละคนจะเท่ากันหรือไม่เท่ากันก็ได้ และพบอยู่มากกับกลุ่มผู้หลงผิดที่ไปรับเอาพลังงานอื่นมากดทับพลังจิตของตนเอง ทำให้การทำงานของพลังจิตของตนผิดไป

    จิตนั้นจึงสั่งมาที่สมองของตนผิด การแสดงออกของร่างกายจิตผิดไปด้วย เช่น กลุ่มของคนทรงเจ้าเข้าผี กลุ่มของคนเหล่านี้จะไปรับเอาเวทย์มนต์คาถา ของอิทธิฤทธิ์ ของอาถรรพ์ดวงวิญญาณเข้ามาสิง เช่น ดวงวิญญาณกุมารทอง นางกวัก ปลัดขิก เจ้าพ่อ เจ้าแม่ น้ำมันพรายหรือองค์เทพต่างๆมาอยู่กับตนที่เรียกว่า เดรัจฉานวิชา ไม่เป็นจิตดั้งเดิมของตนเอง อาการป่วยของบุคคลเหล่านี้ทางการแพทย์จะตรวจหาสาเหตุไม่พบ


    ข้อมูลจาก เรื่องของพลังจิต - PaLungJit.com
    หนังสือ ธรรมะในจิต โดย อาจารย์ พิศ เงาเกาะ


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  6. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    พลังจิต - พลังจักรวาล (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)<!-- google_ad_section_end -->
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->ธรรมะ-รักษา...................พลังจิต - พลังจักรวาล

    พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)
    แสดงธรรมที่กระทรวงศึกษาธิการ
    เมื่อวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๓๙<O>

    </O>




    บัดนี้ จะได้แสดงพระธรรมเทศนา พรรณนาศาสนธรรมคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าด้วยพลานุภาพของพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ที่นำเรื่องนี้มาแสดงก็เพราะเหตุว่า ในปัจจุบันนี้ ชาวพุทธของเรานี่กำลังพากันตื่นพลังใหม่ ซึ่งมีชาวต่างประเทศเขานำมาเผยแพร่ พลังที่เขานำมาเผยแพร่นั้นเรียกว่า พลังจักรวาล
    <O></O>
    ทีนี้อะไรเป็นพลังจักรวาล... ในจักรวาลนี้มีสิ่งที่เป็นวัตถุซึ่งมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน มีอยู่ ๔ อย่าง ๔ อย่างนี้ ทางภาษาศาสนาพุทธท่านบัญญัติว่าเป็นธาตุ ๔ ธาตุ ๔ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ในจักรวาลนี้มีธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ และในกายในใจของเรานี่ก็มีธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ เราอาศัยกายกับใจของเราเป็นหลัก แล้วมาปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ตามหลักคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราสามารถที่จะสร้างพลังซึ่งเกิดจากส่วนผสมของธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ให้เกิดมีพลังมหาศาลขึ้นมาได้ เรียกว่า พลังพุทธะ

    พลังพุทธะนี้ก็หมายถึง สภาวะจิตของเรามีสมรรถภาพ มีความเข้มแข็ง เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เมื่อท่านผู้ใดสามารถทำจิตของตนเองให้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน หมายถึง จิตสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ มีปีติ มีความสุข มีความเป็นหนึ่ง ผู้นั้นสามารถสร้างพลังขึ้นภายในจิตในใจของตนเองได้<O>

    </O>การสร้างพลังตามแนวทางของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ...เป็นอุบายวิธีสร้างสมรรถภาพทางจิตของตนเองให้มีพลังเหนือพลัง ที่ว่าจิตของเรามีพลังเหนือพลัง หมายถึงจิตที่บริสุทธิ์สะอาด ปราศจากกิเลสอาสวะทั้งหลายทั้งปวง บรรลุถึงพระนิพพานสำเร็จเป็นพระอรหันต์ สภาพจิตของพระอรหันต์เป็นสภาพจิตที่มีพลังเหนือพลัง ที่เรียกว่าเหนือพลังก็เพราะเหตุว่าไม่มีพลังแห่งธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ใด ๆ สามารถที่จะดึงดูดจิตของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ให้มาตกอยู่ในอำนาจของสิ่งนั้น ๆ ได้ จึงได้ชื่อว่าจิตของพระอรหันต์
    <O></O>
    พระพุทธเจ้าเป็นพลังเหนือพลัง เพราะฉะนั้น อุบายวิธีปฏิบัติของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เราศึกษาและปฏิบัติกันอยู่ในปัจจุบันนี้ พระองค์สอนให้เราสร้างจิตของเราเองให้มีพลังพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จนกระทั่งจิตของเรามีสภาวะสะอาด บริสุทธิ์ ปราศจากกิเลสอาสวะทั้งปวง แล้วจิตของเราจะกลายเป็นจิตที่มีพลังเหนือพลัง

    อุบายวิธีการที่เราจะสร้างจิตของเราให้มีพลังงาน ต้องมีจุดยืน คือ เราจะต้องมีศรัทธา เชื่อมั่นในคุณ<ST1>ของพระพุทธเจ้า พระธรรม </ST1>พระสงฆ์ ปัญหามีว่าคุณของพระพุทธเจ้าตามตำรับตำรา ได้แก่ บทสวดมนต์ที่เราใช้สวดกันอยู่ทุกวัน บางท่านอาจจะยังไม่เข้าใจหรือแปลไม่ออก<O></O>

    อิติปิ โส แม้เพราะเหตุนี้ ภะคะวา พระผู้มีพระภาคเจ้า อะระหัง เป็นพระอรหันต์ ไกลจากกิเลส ดับเพลิงกิเลสและเพลิงทุกข์สิ้นเชิง สัมมาสัมพุทโธตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง วิชชาจะระณะสัมปันโน สมบูรณ์ด้วยวิชชา และจรณะคือข้อวัตรปฏิบัติที่ถูกต้อง สุคะโต เสด็จไปดีแล้ว โลกะวิทู เป็นผู้รู้แจ้งโลก อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ เป็นผู้ฝึกบุรุษที่ยอดเยี่ยมไม่มีใครอื่นเสียยิ่งไปกว่า สัตถาเทวะมะนุสสานัง เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย พุทโธ เป็นผู้รู้แล้ว เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้ตื่นแล้ว ภะคะวา เป็นผู้จำแนกธรรมะคำสั่งสอนให้เป็นประโยชน์แก่ประชุมชนอันนี้คือคุณของพระพุทธเจ้าที่เราสวดอิติปิโสเป็นต้นนั้นเอง..<O>

    </O><?xml:namespace prefix = v /><v:shape id=_x0000_i1029 style="WIDTH: 80.25pt; HEIGHT: 60pt" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="4.files/image009.jpg" o:title="images6"></v:imagedata></v:shape>[​IMG]<O>

    </O>ทีนี้เราจะสร้างจิตของเราให้มีพลังงาน จะต้องมีความยึดมั่นในพระพุทธเจ้าเป็นหลัก ทีนี้พระพุทธเจ้านี่อยู่กันที่ตรงไหน ใคร ๆ เรียนพุทธประวัติแล้วก็ว่า พระพุทธเจ้าเกิดที่ประเทศอินเดีย เวลานี้พระองค์ก็ปรินิพพานไปนานแล้ว เราจะไปยึดเอาพระองค์ที่ไหนเป็นที่พึ่งที่ระลึก เราเคยกล่าวคำบูชาพระพุทธองค์ว่า ข้าพเจ้าขอบูชาคุณของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้ปรินิพพานนานแล้ว แต่ยังปรากฏอยู่โดยพระคุณ อาศัยเหตุผลดังกล่าวนี้ คุณความเป็นพุทธะไม่ได้หายสาบสูญไปจากโลก และเป็นคุณธรรมที่ทุกคนสามารถที่จะสร้างขึ้นให้มีในจิตในใจของตนเองได้ โดยที่เรามายึดมั่นในพระคุณของพระองค์ ดังที่กล่าวแล้ว อย่างน้อยเราก็มีศรัทธาตั้งมั่นในคุณของพระพุทธองค์อย่างมั่นคง มีความรักในพระพุทธองค์อย่างมั่นคงมีศรัทธาไม่คลอนแคลน<O>

    </O>ในเมื่อเรามีศรัทธาเชื่อมั่นและตั้งมั่นในสิ่งไหน จิตที่เชื่อมั่นนั้นย่อมเกิดมีพลัง พลังที่จะปรากฏเด่นชัดก็คือ วิริยะ ความแกล้วกล้าอาจหาญ กล้าเสียสละกายและใจของตนเอง เพื่อบูชาข้อวัตรปฏิบัติ เช่น การปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา เป็นต้น เมื่อเรามีวิริยะความพากความเพียร ความพยายาม สติที่จะระลึกรู้สิ่งที่ผิดชอบชั่วดีก็ย่อมมีปรากฏขึ้น เมื่อเป็นเช่นนั้น จิตใจมั่นคงเพราะอาศัยความมีศรัทธาตั้งมั่น จิตใจมั่นคงนั้นคือสมาธิ ทีนี้เมื่อมีสมาธิแล้วก็มีสติ ปัญญา เมื่อจิตสงบ ตั้งมั่น นิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน อย่างน้อยเราก็รู้ มีปัญญารู้ว่า จิตแท้ จิตดั้งเดิมของเรานี่มันเป็นอย่างไร เมื่อจิตสงบ นิ่ง ว่าง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน ขึ้นมาเมื่อไร เราสามารถรู้ความจริงของจิตแท้ จิตดั้งเดิมของเราเมื่อนั้น เราจะมีความรู้สึกว่านี่แหละคือจิตแท้ จิตดั้งเดิมของเรา<O>

    </O>เมื่อจิตสงบ นิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน นอกจากจะรู้ความจริงของจิตของตนเอง เราก็ยังจะได้รู้ว่าคุณธรรมที่ทำจิตให้เป็นพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ได้บังเกิดขึ้นในจิตของเราแล้ว เพราะฉะนั้น ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา ในเมื่อเรามาปฏิบัติให้ถึงพร้อม จิตสงบ นิ่ง มีสติ รู้ตัวอยู่ มีความมั่นคง เมื่อจิตมีความมั่นคง แม้ว่าเราจะเคลื่อนไหวไปมาทางใด เราก็มีสติสัมปชัญญะรู้พร้อมอยู่ทุกขณะ การทำ การพูด การคิด เรามีสติรู้ตัวอยู่ทุกขณะ ความมีสติรู้ตัวนั่นแหละคือธรรมะแท้แห่งพุทธะที่เกิดขึ้นที่จิตของเรา เราจะต้องสังเกตดูความเป็นไปของจิตของเราอย่างนี้<O>

    </O>ทีนี้ในเมื่อในขณะใดที่เราสามารถทำจิตให้นิ่ง ว่าง สว่าง รู้ตื่น เบิกบาน แล้วก็มีปีติ มีความสุข จิตของเราได้สัมผัสกับคุณธรรมที่ทำจิตให้เป็นพุทธะ เมื่อเราสามารถสร้างจิตให้เป็นพุทธะ ให้บังเกิดขึ้นพร้อมที่จิตของเราแล้ว ธรรมะก็ปรากฏขึ้น ธรรมะก็คือคุณธรรม ได้แก่ สภาวะจิต รู้ ตื่น เบิกบาน นั้นเอง เมื่อเป็นเช่นนั้น ธรรมชาติของความเป็นพระสงฆ์ก็ย่อมบังเกิดขึ้นพร้อมกัน เพราะธรรมชาติของผู้ที่มีสภาพจิตเป็นเช่นนั้น เขาจะต้องมีความรู้สึกสำนึกเสมอว่า เราจะต้องละความชั่ว ประพฤติความดี ทำจิตของตนเองให้บริสุทธิ์ สะอาด อันนี้เป็นจุดเริ่มของความมีพุทธะ เป็นจุดเริ่มของพลังจิต เป็นจุดเริ่มของพลังจักรวาล<O>

    </O>ในเมื่อท่านผู้ใดปฏิบัติได้อย่างนี้ แม้แต่เพียงเชื่อมั่นในคุณ<ST1>พระพุทธเจ้า พระธรรม </ST1>พระสงฆ์ อย่างมั่นคง อธิษฐานจิตของตนเองให้แน่วแน่ ขอบารมีของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจงขจัดปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บและอันตรายทั้งหลายทั้งปวงให้ไปปราศจากกาย วาจา และจิตของข้าพเจ้าโดยเด็ดขาด และปลูกความเชื่อมั่นลงในคุณ<ST1>พระพุทธเจ้า พระธรรม </ST1>พระสงฆ์ อย่างมั่นคง สามารถที่จะรักษาโรคภัยไข้เจ็บของตนเองและคนอื่นให้หายได้ แต่ความจริงการใช้พลังจิตรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ในเมืองไทยเรานี้มีมาแต่เก่าแก่โบราณสมัยที่โรงพยาบาลยังไม่มีในประเทศไทย เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย หมอชาวบ้านทั้งหลายเขาก็อาศัยอมยาพ่น ฝนยาทา ตามประสาจน ใช้เวทย์มนต์คาถาเสกเป่า กระดูกแตก กระดูกหัก ใช้มนต์เสกน้ำมนต์หรือน้ำ หรือน้ำมัน แล้วก็เอามาทา เป่า กระดูกมันก็สามารถต่อกันได้ อันนี้คือตัวอย่างที่คนโบราณรักษาโรคด้วยพลังจิต<O>

    </O><v:shape id=_x0000_i1030 style="WIDTH: 88.5pt; HEIGHT: 59.25pt" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="4.files/image010.jpg" o:title="CAK5AFKPสึนามิ2"></v:imagedata></v:shape>[​IMG]

    .>>>>>>...แม้ว่าในสมัยปัจจุบันนี้ ครูบาอาจารย์บางท่าน..เวลาท่านเจ็บป่วย ท่านไม่ได้คำนึงถึงมดหมอ หรือคิดจะไปโรงพยาบาล พอรู้สึกว่าไม่สบาย ท่านก็เข้าสมาธิ นั่งสมาธิภาวนาของท่าน ทำจิตให้สงบ นิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน บางทีสภาพจิตของท่านมีความรู้สึกสว่าง รู้ตื่น เบิกบาน ร่างกายตัวตนหาย ในเมื่อร่างกายตัวตนหาย โรคภัยไข้เจ็บมันก็ไม่มีปรากฏ เพราะมันไม่มีที่เกิด โรคภัยไข้เจ็บมันเกิดที่กาย แต่ที่ใจมันไม่มีโรคอะไรที่จะไปบังเบียดมันได้ นอกจากกิเลสเท่านั้นเอง ในเมื่อท่านปฏิบัติอย่างนี้ก็สามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้หายได้<O>

    </O>เพราะฉะนั้น ท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย จุดเริ่มที่ว่าสามารถสร้างพลังจิตพลังใจของเราให้เกิดมีเพื่อประโยชน์แก่ชีวิตของเราได้ หนึ่ง เราจะต้องมีศรัทธาตั้งมั่นในคุณ<ST1>พระพุทธเจ้า พระธรรม </ST1>พระสงฆ์ มีความรัก ตั้งมั่นในคุณ<ST1>พระพุทธเจ้า พระธรรม </ST1>พระสงฆ์ และมีความเชื่อมั่นว่าคุณ<ST1>พระพุทธเจ้า พระธรรม </ST1>พระสงฆ์ คือคุณธรรมที่อยู่ในจิตใจของเรา ...

    เมื่อเราทำสมาธิให้จิตใจสงบ นิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน ได้เมื่อไร เมื่อนั้นคุณของพระพุทธเจ้าก็ปรากฏแก่เราได้อย่างชัดเจน จิตของเราก็เป็นจิต ในเมื่อจิตของเราเป็นจิตพุทธะ นิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน ถ้าจิตของเราจะก้าวหน้าไปในทางปฏิบัติ ทางไปของจิตจะมีอยู่ ๓ ทาง ขอให้ท่านทั้งหลายพึงสังเกตเอาไว้<O>

    </O>ถ้าหากว่าในช่วงนั้นกระแสจิตส่งออกนอก จะเกิดมโนภาพได้แก่ภาพนิมิต ในเมื่อภาพนิมิตปรากฎ อย่าไปเอะใจ อย่าตกใจกำหนดสติ รู้จิตเฉยอยู่เท่านั้น เพราะนิมิตอันนั้นเป็นจิตของเราสร้างมโนภาพขึ้นมาเท่านั้น อย่าไปสำคัญมั่นหมายว่ามีสิ่งอื่นมาแสดงตัวให้เรารู้เราเห็น จิตของเราเองแท้ ๆ เป็นผู้แสดงขึ้นมา แต่ในช่วงที่เราภาวนาแล้วเกิดนิมิตเกิดมโนภาพขึ้นมา ถ้าหากมีใครมาชักจูงว่าเมื่อเห็นนิมิตแล้วให้น้อมเข้ามาในจิตในใจของเรา ให้ผู้วิเศษทั้งหลายเหล่านั้นมาช่วยพลังสมาธิ สติ ปัญญาให้แก่กล้า ถ้าน้อมมโนภาพนั้นเข้ามาถึงตัวได้เมื่อไร เมื่อนั้นจะกลายเป็นการทรงวิญญาณ..เพราะเมื่อนิมิตเข้ามาถึงตัวแล้ว สมาธิที่ปลอดโปร่ง สบาย เบา จะ รู้สักว่าอึดอัด หนักหน่วงไปทั้งตัว หัวใจเหมือนถูกบีบ จิตซึ่งเคยเป็นอิสระจะตกอยู่ในอำนาจของสิ่งที่เข้ามาแทรกสิง ในที่สุดกลายเป็นการทรงวิญญาณ นี่ ในจุดนี้นักปฏิบัติต้องระมัดระวังให้ดี.....<O>

    </O><v:shape id=_x0000_i1031 style="WIDTH: 87pt; HEIGHT: 60.75pt" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="4.files/image011.jpg" o:title="images สึนามื"></v:imagedata></v:shape>[​IMG]
    <O></O>

    ทีนี้ทางหนึ่ง ถ้าหากว่าจิตไม่ออกนอก วิ่งเข้ามาข้างใน มาสงบ นิ่ง สว่างอยู่ภายในของร่างกาย เมื่อจิตสงบ สว่างในท่ามกลางของร่างกาย ถ้าหากว่ามีครูบาอาจารย์มาแนะนำ ว่าให้รวมเอาความสว่างเป็นดวงแก้ว สร้างดวงกลมให้กลายเป็นพระพุทธรูป เพ่งให้ใสบริสุทธิ์สะอาด แล้วจะเห็นดวงธรรมปรากฏเด่นชัดขึ้นมา ถ้าหากมีใครแนะนำชักจูงให้เป็นไปอย่างนั้น ก็จะเป็นไปตามคำแนะนำชักจูงนั้น ๆ แต่ในทางปฏิบัติที่ถูกต้อง

    ในเมื่อมีปรากฏการณ์เช่นนั้นปรากฏขึ้น นักปฏิบัติต้องกำหนดรู้ เฉยอยู่เท่านั้น ไม่ต้องไปนึกปรุงแต่งให้ดวงหรือความสว่างนั้นเป็นอะไร ถือแต่เพียงว่าสิ่งนั้นเป็นอารมณ์สิ่งรู้ของจิต สิ่งระลึกของสติเท่านั้น

    <O></O>
    แล้วในขณะที่..จิตนิ่ง ...สว่างอยู่ในท่ามกลางของร่างกาย ความสว่างของจิตจะพุ่งออกมารอบ ๆ เราจะรู้สึกว่าเรานั่งอยู่ในท่ามกลางแห่งความสว่าง แต่ภายในดวงจิตนั้นสามารถมองเห็นอวัยวะต่าง ๆ ภายในทั่วหมด ในขณะจิตเดียว เรียกว่ารู้อาการ ๓๒ จนกระทั่งจิตสงบละเอียดยิ่งลงไป จนถึงขนาดร่างกายตัวตนหาย ยังเหลือจิตดวงเด่น นิ่ง สว่างไสวอยู่เท่านั้น ถ้าหากว่าจิตจะเดินไปในทางสมถะทางสายฌานสมาบัติ จิตก็มีจะแต่สงบ นิ่ง สว่าง ละเอียดยิ่งขึ้นไปตามลำดับขั้นของฌานสมาบัติ แต่

    ถ้าหากว่าจิตไม่ไปเช่นนั้น เมื่อร่างกายตัวตนหายไปแล้วจะย้อนกลับมามองร่างกายของตัวเอง จะปรากฏว่าร่างกายของตัวเองตาย ขึ้นอืด เน่าเปื่อยผุพัง สลายตัวไปไม่มีอะไรเหลือ เมื่อจิตถอนจากสมาธิ จะได้ความรู้ขึ้นมาว่า นี่แหละคือการตาย ตายแล้วก็ต้องเน่าเปื่อยผุพัง สลายตัวไป ไม่มีอะไรเหลืออยู่ เป็นแต่เพียงธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ไหนเล่าสัตว์ บุคคลตัวตนเราเขา มีที่ไหน ถ้ามองเห็นความตาย จิตก็รู้ว่านี่แหละคือความตาย มองเห็นความเน่าเปื่อยผุพัง นี่แหละ...

    อสุภกรรมฐาน.....มองเห็นร่างกายสลายตัวไปเป็นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ก็จะรู้ธาตุสมถะ รู้ว่ากายของเราสักแต่เป็นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ไหนเล่าสัตว์บุคคล ตัวตนเราเขา มีที่ไหน อันนั้น อนัตตานุปัสนาญาณ ความรู้ว่าร่างกาย ตัวตน ไม่มีอัตตาตัวตน เป็นอนัตตาเท่านั้น เราจะได้ความรู้ตามลำดับขั้นตอน อย่างนี้........<O></O>
    <v:shape id=_x0000_i1032 style="WIDTH: 90pt; HEIGHT: 61.5pt" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="4.files/image012.jpg" o:title="CALCMQOXสึนามิ6"></v:imagedata></v:shape>[​IMG]
    <O>

    </O>ในขณะที่จิตมองดูเห็นว่าร่างกายเน่าเปื่อยผุพัง สลายตัวไป ความรู้ความเห็นอันนั้นเป็น..สมาธิขั้นสมถกรรมฐาน.... แต่..เมื่อจิตถอนออกมาแล้ว สิ่งรู้เห็นทั้งหลายหายไป จิตมาสัมพันธ์กับร่างกายเมื่อไรเกิดความรู้ เป็นภาษาอธิบายซ้ำเติมสิ่งที่รู้นั้นอีกทีหนึ่ง ตอนนี้เรียกว่า.. เจริญวิปัสสนา เพราะฉะนั้น ในคำที่บางท่านกล่าวว่า ถ้าไม่มีสมาธิก็ไม่มีญาณ ไม่มีญาณก็ไม่มีวิปัสสนาคือปัญญา ไม่มีวิปัสสนาปัญญา ก็ไม่มีความรู้แจ้งเห็นจริง เมื่อไม่มีความรู้แจ้งเห็นจริง ก็ไม่มีวิมุติความหลุดพ้น ท่านผู้กล่าวอย่างนี้กล่าวถูก ...แต่ท่านผู้ที่กล่าวว่าสมาธิขั้นสมถะไม่เกิดภูมิรู้อะไรนั้น เป็นการกล่าวผิด ...

    เราจะบอกตรง ๆ ว่าท่านเหล่านั้นภาวนาไม่ถึงขั้น อันนี้ขอฝากท่านนักปฏิบัติผู้สนใจทั้งหลาย ลอง ๆ จดจำเอาไว้พิจารณา ตามที่อาตมากล่าวมานี้ อย่าเพิ่งเชื่อ ให้รับฟังเอาไว้ก่อน สิ่งใดที่เรายังไม่รู้ไม่เห็น ยังปฏิบัติไม่ถึง ให้รับฟังเอาไว้ก่อน อย่ารับรองแล้วก็อย่าปฏิเสธทันทีจนกว่าเราจะพิสูจน์ให้รู้ได้ด้วยตนเอง อันนี้คือทางไปของจิตเมื่อมีสมาธิตามธรรมชาติแล้ว<O></O>

    อีกทางหนึ่งจิตไม่ไปอย่างนั้น..... เมื่อจิตสงบแล้ว กระแสจิตไม่ส่งออกนอก แล้วไม่วิ่งเข้ามาภายในกาย แต่ไปกำหนดรู้อยู่ที่จิตเพียงอย่างเดียว ก็จะรู้เห็นอารมณ์ที่เกิดดับกับจิตอยู่ตลอดเวลา เมื่อผู้ปฏิบัติมีสติสัมปชัญญะกำหนดรู้อยู่ตลอดเวลา ในเมื่อความรู้มันเกิดขึ้น ผุดขึ้นมา ๆ อย่างกับน้ำพุ ผู้ปฏิบัติมีสติกำหนดรู้เองโดยอัตโนมัติ เมื่อไปถึงจุด ๆ หนึ่ง จิตจะหยุดนิ่ง สว่างไสว รู้ ตื่นเบิกบาน สภาวะทั้งหลายที่เป็นอารมณ์จะไปวนรอบจิตอยู่ตลอดเวลา แต่จิตหาได้หวั่นไหวต่อเหตุการณ์นั้นๆ ไม่ มีแต่ทรงอยู่ในความเที่ยงตรง รู้ ตื่น เบิกบาน เป็นจิตพุทธะแท้ ไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์

    ในจุดนี้ ท่านอาจารย์มั่น...ท่านบัญญัติศัพท์ของท่านเรียกว่า... ฐีติภูตัง... ฐีติ คือจิตสงบ นิ่ง เด่น สว่างไสว ภูตัง มีสภาวะที่เป็น
    ปรากฏการณ์ให้จิตรู้เห็นเกิดขึ้นแล้วดับไป เกิดขึ้นแล้วดับไปอยู่ตลอดเวลา อันนี้ทางหนึ่งที่จิตสมาธิธรรมชาติแล้วจะพึงเป็นไป
    <O></O>

    แต่สิ่งที่กล่าวทั้งหลายนี้ ในขณะที่จิตสงบเป็นสมาธิ นิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน ความรู้สึกที่จะน้อมจิตไปทางใดนั้นย่อมไม่มี จิตจะออกนอกไปเกิดนิมิต ก็จะเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ จะวิ่งเข้ามารู้ภายในกายก็เป็นไปเองโดยอัตโนมัติ จะไปรู้ที่จิตก็เป็นไปเองโดยอัตโนมัติ ถ้าหากว่าเราสามารถยังมีสัญญาเจตนา น้อมจิตให้เป็นไปอย่างไรนั้น จิตดวงนั้นยังไม่ใช่สมาธิตามธรรมชาติ... เป็นแต่เพียงความสงบที่เราตกแต่งเอาได้เท่านั้น ถ้าเป็นสมาธิตามธรรมชาติจริง ๆ สัญญาเจตนาที่จะไปควบคุมบังคับจิตใด ๆ นั้นย่อมไม่มี มีแต่ความเป็นเองตามธรรมชาติของสมาธิ

    <O></O>
    <v:shape id=_x0000_i1033 style="WIDTH: 57.75pt; HEIGHT: 87pt" type="#_x0000_t75"><v:imagedata src="4.files/image013.jpg" o:title="IMAGES7"></v:imagedata></v:shape>[​IMG]<O>

    </O>สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า....ของเราทรงตรัสรู้เรื่องอดีตคือ ปุพเพนิวาสนุสติญาณ รู้เรื่องปัจจุบันคือควรประพฤติอย่างไรจึงจะได้ถึงคุณ<ST1>งามความดี รู้อนาคต</ST1> ผู้ทำดี ทำชั่วแล้ว เมื่อตายแล้ว วิถีชีวิตของเขาจะเป็นไปอย่างไร จึงได้ชื่อว่า รู้อดีต รู้ปัจจุบัน รู้อนาคต<O>

    </O>ท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ความแตกต่างของลัทธิศาสนามีเฉพาะในภพภูมิของมนุษย์เท่านั้น ในเมื่อมนุษย์ทั้งหลายและสัตว์ทั้งหลายตายไปแล้ว ไปเกิดเป็นวิญญาณในโลกอื่น มีแต่กฎของกรรมอย่างเดียวเท่านั้นเป็นศาสนา ท่านผู้ใดได้รับการเสี้ยมสอนมาว่า ฆ่าสัตว์ไม่บาป เพราะสัตว์เกิดมาเป็นอาหารของมนุษย์ อันนี้ก็เป็นเพียงความเข้าใจของศาสดาของเขา มันไม่ใช่....กฎธรรมชาติของกรรม.... แต่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานี่ พระองค์ตรัสรู้เรื่องอดีตเป็นเรื่องสำคัญ พระองค์ระลึกชาติได้ พระองค์ไปเกิดแต่ละภพแต่ละชาตินั้น เพราะกรรมอะไร พระองค์รู้ละเอียดหมด ในเมื่อพระองค์รู้แล้ว จึงนำมาสอนพวกเราทั้งหลาย เพราะฉะนั้น...

    ความแตกต่างของศาสนามีเฉพาะในภพภูมิของมนุษย์ แต่เมื่อมนุษย์ทั้งหลายตายไปแล้ว มีแต่กฎของกรรมเท่านั้นเป็น

    ศาสนา ....ผู้ที่ถูกเสี้ยมสอนว่า ฆ่าสัตว์ไม่บาป เพราะสัตว์เกิดมาเป็นอาหารของมนุษย์ แต่เมื่อเขาตายปุ๊บลงไป เขาได้รับผลของกรรมเกิดจากการฆ่าสัตว์ เขาจะได้ความรู้สึกขึ้นมาทันทีว่า อ้อ ! พระสมณโคดมสอนถูกต้อง ศาสดาเราสอนผิด อันนี้เป็นเรื่องกฎของกรรม
    <O></O>

    วันนี้ขอบรรยายธรรมะพอเป็นเครื่องประดับสติปัญญาของท่านผู้ฟังพอสมควรแก่กาลเวลา ในท้ายที่สุดนี้ ขอบารมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจงดลบันดาลให้ท่านทั้งหลายมีจิตใจสงบตั้งมั่นยึดมั่นในคุณ<ST1>พระพุทธเจ้า พระธรรม </ST1>พระสงฆ์ เป็นจุดยืนตลอดไปแล้วก็ยึดมั่นในข้อวัตรปฏิบัติที่พระองค์สอนให้เราบำเพ็ญศีล สมาธิ ปัญญา เป็นอุบายสร้างความรัก ความเมตตาในสังคมของมนุษย์ เมื่อเรามีความรัก ความเมตตาปราณีต่อกัน เราจะได้ผนึกกำลังกันช่วยกันสร้างสรรค์ประเทศชาติศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองตลอดไป


    -----------------------------------------------------------------
    ขอขอบคุณ
    http://www.indigothai.com/thai/Arada/4.htm<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มิถุนายน 2009
  7. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
  8. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870

    ลบไปเเล้ว เพราะ ไม่อยากให้เกิดการขัดเเย้งเกิดขึ้น

    ใครจะเชื่ออะไรก็เชื่อไป เเต่ กระทู้ที่สันโดษเขียน

    คือ ประสบการณ์ของตัวเอง

    สร้างกระทู้ ใหม่ง่ายกว่า แก้ไขสิ่งที่ผิดพลาด

    บอกเเล้วไง ลบกระทู้ได้เรื่อยๆ เขียนได้ใหม่อยู่เเล้ว

    ปัญญามีอยู่ที่ตัว ประสบการณ์อยู่ที่ใจ

    ไม่จำเป็น ต้องเล่าเรื่องเก่าๆ เพราะ .....

    พระพุทธองค์สอนให้อยู่กับปัจจุบัน
     
  9. กุญแจไขปริศนา

    กุญแจไขปริศนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2009
    โพสต์:
    903
    ค่าพลัง:
    +979
    บางคนเค้าก็มีพลังจิตสูง มีญาณหยั่งรู้สูงมากกว่าคุณด้วยซ้ำ แล้วทำไมเค้าเข้ากับคนอื่นได้ ไม่เคยคิดบ้างหรอ
    เพราะคุณมันเห็นตัวเองแตกแยกไปจากคนอื่นมากกว่าคุณถึงไปกลัดกลุ้มกังวลกับมัน
    จริงๆแล้วปัญหาพี่มันก็แค่เรื่องเล็กนิดเดียวเท่านั้นแหละ
     
  10. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    ใจจริงๆ สันโดษก็อยากสอนเพื่อนๆ ได้ทุกคนนะคะ

    เกี่ยวกับ พลังจักรวาล เเละ อายตนะวิปัสสนากรรมฐาน

    หรือ กรรมฐานเปิดโลก ที่ เหมือนคนองค์ลง (เพราะสนุกดีเเละถูกจริตตัวเองที่สุด)

    เเต่พอดีบ้านเล็กไปหน่อย เลย ชวนได้เเต่ เพื่อนผู้หญิงมาบ้าน

    เอาไว้ถ้า มีโอกาสมีสถานที่ก็อยากสอนเหมือนกัน ตอนนี้ สถานที่ไม่สะดวก

    เพราะอะไร ก็ต้องเสียเงิน ไม่อยากให้ใครต้องเรียนเเล้ว ต้องเสียเงิน

    อยากช่วยคนจริงๆ เเบบไม่ต้องไปคิดเงินเขา เห็นไปไหนมาไหนก็มีเเต่คนเรียกเก็บเงิน

    เป็นค่านู่น ค่านี้ อยากช่วยคนเเบบฟรีจริงๆ ไม่มีกิจกรรมเเอบเเฝง

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มิถุนายน 2009
  11. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    ถ้าพูดเรื่องเข้ากับคนอื่นได้

    ถามหน่อยเพื่อนพี่ในเว็บมีกี่คน ???????

    ปัญหา คือ ในขณะที่พี่อยู่ของพี่เฉยๆ

    ทำไมต้องเข้ามาเเย้ง เเละ คิดว่าสิ่งที่พี่เป็นผิด

    นั้นล่ะ คือ สิ่งที่เรียกว่า ขัดเเย้ง
     
  12. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    กรรมฐาน 40 กสิน 10 นี้ คือ ตัวอย่างของการฝึกพลังจิต

    เเต่สิ่งเหล่านี้ คือ สมถะ หรือ การให้จิตนิ่งเเละอยู่ใน เพื่อให้ จิต อยู่ในกาย

    เเต่เมื่อสันโดษ ฝึกจิต เเล้ว ก็ ดูจิต ตามเเบบหลวงพ่อปราโมทย์

    ต่อ คือ รู้ว่า คิด และ รู้สึกอะไร จึงรู้ว่า จิตไม่ใช่เรา หลังจากนั้น จึงปล่อยใจให้ว่าง

    เเละตามดูจิตของเราต่อไป นั้นไม่ใช่เรื่องเเปลก เเต่เป็นการ ฝึก วิปัสสนาญาณของตนเอง

    สันโดษ อ่านธรรมะทุกวัน เเละ เลือกในสิ่งที่ตนเองทำเเล้ว จิตสงบที่สุด

    สันโดษเลยไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องมาสอนผู้ที่สนใจ รู้วาระจิตของตนเองดีเเล้ว

    สันโดษจะบอกให้นะคะว่า สันโดษ ดูจิต เเละ จิตฝึกสันโดษ (ย้ำว่าจิตฝึกสันโดษ)

    ทุกวันตั้งเเต่ ตื่นจนนอน มีจิตผู้รู้ จิตผู้ทำลาย จิตหลอกลวง จิตมาร เกิดดับตลอดเวลา

    พวกคุณ มามองสันโดษ ก็ คือ จิตตัวเองส่งมามองผู้อื่น จนลืมกายตัวเอง (พวกคุณก็ไม่ทราบ)

    เเค่นี้คุณก็ปฏิบัติไม่ผ่านเเล้ว

    สันโดษถึงไม่เข้าใจว่า พวกที่ชอบว่าคนอื่น พวกเขาไม่รุ้เลยหรอ ว่าส่งจิตออกนอกอยู่

    ถ้าคุณไม่มองผู้อื่น คุณจะไม่ทุกข์ เพราะ ตาไม่ได้มอง จิตจึงไม่มีคิด

    เมื่อไม่มีคิด จึงไม่ทุกข์ เพราะ โทสะ โมหะ และ สร้างมโนกรรม เพราะคิดของคุณทำลายจิตตัวเอง

    เเต่ถ้าคุณอ่านเเล้ววางเฉยเเสดงว่า จิตคุณวางจริงเเละปล่อยว่างจริง

    คนเเบบนี้ คือ ผู้มีจิตบริสุทธิ์ ไม่สร้าง อกุศลจิต หรือ กุศลจิต บริสุทธิ์จริงๆ

    พระพุทธองค์สอน นิพพานให้ระลึกรู้ ณ ปัจจุบัน

    ไม่ได้สอนให้ จิตว่างเปล่าเเบบไม่คิดอะไรเลยนะคะ

    จิตมนุษย์มีไตรลักษณ์ให้เห็นธรรม เเละ รู้ว่า ทุกอย่างคือ ทุกข์

    เมื่อรู้ว่า อะไร คือ ทุกข์ นั้นเเสดงว่าเรารู้เเล้วว่า ทุกข์ ไม่ใช่เรา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มิถุนายน 2009
  13. wateee

    wateee Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    43
    ค่าพลัง:
    +59
    เป็นกรณีศึกษาที่ดี
     
  14. ganchot

    ganchot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +184
    ;k07

    ;k07 เท่ห์ไปเลยวะโบจ๋อย........
     
  15. amm.

    amm. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2008
    โพสต์:
    243
    ค่าพลัง:
    +613
    พี่เข้าใจสันโดษนะ...พี่มั่นใจว่าสันโดษมีสติ...ทุกอย่าง...สิ่งที่เข้ามาเราเอามาพิจารณาถูกต้องแล้ว...เราไม่ได้ยึดแต่มันเข้ามาเอง...เป็นวาระของมัน...เป็นวาระที่จิตเราต้องเรียนรู้เพิ่มเติมขึ้นไปอีก..เป็นวาระที่เราต้องแข็งแกร่งขึ้นไปอีก...สิ่งที่เรานำเสนอไปก็เป็นประสบการณ์อย่างหนึ่งของเราที่ผู้อื่นอาจไม่เคยพบเจอ...แน่ล่ะ...แต่ละคนจิตไม่เหมือนกัน...ย่อมพบเจออะไรต่างๆกันไป...แต่สำหรับคนที่พบเจอแบบเรา...ก็จะได้เป็นไกด์ไลน์นำทางให้เขาได้...จงอย่าเสียใจกับคำคนเพราะเขาสนใจเราเขาจึงมีปฏิกิริยาตอบโต้มา...เราต้องน้อมรับทั้งคำติคำชม...เพราะเราเปิดใจที่จะเผยแผ่แล้ว...จะอย่างไร...เราก็ต้องน้อมรับ...สิ่งดีเราก็รับมาเป็นกำลังใจให้เดินต่อไป...สิ่งไม่ดีเราก็เอามาพิจารณาแก้ไขต่อไป...เราต้องคิดว่าทำไมเขาไม่เข้าใจเรา...อย่างไร...เราต้องหาคำตอบอธิบายให้ได้...หากพิจารณาแล้วว่าเป็นเพราะคนอื่นเราก็แก้ไขไม่ได้...เราจะแก้ไขได้เฉพาะตัวเราเองเท่านั้น...ห้ามความคิดคนแสนยากนะ...
     
  16. yordnakorn

    yordnakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2008
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +653
    อนุโมทนาครับ...พบผู้รู้ ให้ทำลายผู้รู้.. และย่อมไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใด..ในโลกธรรม ทั้ง 8...หุหุ...ผมก็ไม่รู้ว่ามาจากไหน...แต่มีเป้าหมาย...ว่าจะไปไหน...หรือไม่มา..ไม่ไปก็ไม่รู้...แห่ะๆ...
     
  17. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870

    089-499-3028 (โทรมาได้ไม่พอใจเดี๋ยวปิดมือถือหนีเอง)

    เพราะว่า ช่วงนี้อยู่ในช่วง เเก้วิบากกรรมตัวเองอยู่

    จะช่วยคนที่ช่วยได้ เพราะ ตั้งใจรับใช้พระพุทธศาสนาตลอดชีวิต

    คุยเรื่อง การฝึกพลังจิต เท่านั้น (อย่างอื่นไม่คุย)

    เเก้กรรม ดูดวง ดูจิต อะไรพวกนี้ไปหาคนอื่น

    เพราะตอนนี้จิตผู้รู้ (ดวงใหม่ล่าสุด) ของสันโดษ

    เน้น ฝึกพลังจิต พลังจักรวาล พลังปราณเเล้วค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มิถุนายน 2009
  18. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    หลังจากฝึกสมาธิหมุน ของ พระมหาศรีไพร เพื่อรักษาอาการปวดหัว

    ตอนนี้อาการดีขึ้นมาก เเต่สิ่งที่ปรากฎกับการ ดูจิต ดูกาย สังเกตุการขยับกาย

    (โดยไม่ได้คุมจิตขณะนั่งสมาธิ เพ่งสมถะ) คือ ได้เกิดปรากฎการณ์ใหม่

    จิตผู้รู้ (ดวงใหม่ล่าสุด) ของสันโดษ ก็ได้ออกมาร่ายรำ

    เหมือนหนังจีนกำลังภายใน ส่วนสันโดษก็ตามรู้ ดูจิตเหมือนเดิม ไม่ได้ควบคุม

    ก็สนุกดีค่ะ เมื่อก่อนพูดคนเดียว ตอนนี้ไม่พูดคนเดียวเเล้ว

    ออกมารำ เเละ ทำท่าทาง เหมือนฝึกวิทยายุทธ

    ใจเราก็คิดว่า เท่ห์ดี เหมือน อรหันต์วัดเส้าหลิน เลย

    สันโดษเลยเข้าใจเเล้วว่า ทำไม เวลานั่งสมาธิของพระในวัดนิกาย มหายานจึงเก่งวิทยายุทธ

    เพราะการเดินลมปราณ ในการนั่งสมาธิ ทำให้ กาย ขยับอัตโนมัตินั้นเอง

    ตอนนี้เข้าใจฝามือ ยูไล ฝ่ามืออรหันต์ ดาบคัมภีร์เทวดาเเล้วค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มิถุนายน 2009
  19. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    การเดินลมปราณ ที่เเท้ก็ คือ การเจริญ อานาปาณสติ นั้นเอง

    ตามรู้ ตามดูลมหายใจ ตามดูกายขยับ เเต่ การปฏิบัติกรรมฐานส่วนมาก

    สอนเพียงเเค่นั้น โดยที่ไม่สามารถ เดินลมปราณเเบบ หลวงจีนได้

    ความจริงเเล้ว เมื่อเรา เจริญอานาปานสติ เเละตามรู้กาย ดูจิต

    เราจะเห็นว่า กายขยับต้องตามดู เคลื่อนไหว หมุนเหวี่ยง ขณะที่ได้ อุปจารสมาธิ

    ก็ตามดู โดยไม่บังคับ นั้น คือ การเดินลมปราณนั้นเอง

    ลมปราณ คือ พลังจิต รวม กับ ลมหายใจ เรามีหน้าที่ตามรู้ตามดู ด้วยสติ

    ถ้าเราไม่ควบคุม อายตนะ ของ ใจ หรือ วิญญาณธาตุจะเเสดงออกอย่างเห็นได้ชัด

    ด้วยการขยับ เเต่อาจารย์กรรมฐานส่วนมาก สอนให้เรานั่งนิ่งๆ

    อาการที่ได้ ก็ คือ จิตสงบ เพียงเท่านั้น เเต่ พลังจิต ไม่ได้เดินลมปราณ

    ผู้ปฏิบัติ จึงไม่สามารถ เข้าถึง จิต ใต้สำนึก หรือ อาสวะกิเลสได้

    เพราะ จิตสำนึก(ความคิด) คุม จิตใต้สำนึก อยู่ค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มิถุนายน 2009
  20. แกะดำ2

    แกะดำ2 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +14
    ผมก็เป็นคนหนึ่งที่กำลังฝึกดูจิตผมจะไม่ปล่อยให้นาทีทองนี้หลุดไปโดยไม่ได้ทำอะไรเลยเพราะเราต้องช่วยตัวเราเองครูบาอาจารย์แค่บอกทางให้เราเดินด้วยตัวเองสิ่งภายนอกคือสิ่งที่มากระทบและช่วยหนุนในการดูจิตของเราให้รู้สภาวะธรรมและให้จิตจำสภาวะธรรมได้และตอนนี้ผมจึงมองคนหรือสิ่งต่างๆที่มากระทบคือตัวช่วยให้เราเดินทางสายนี้ได้อย่างครูบาอาจารย์ท่านบอกใว้ครับผมเป็นผู้เพิ่งเริ่มต้นจึงขอแชร์ความรู้สึกอย่างงูๆๆ)ลาๆๆควรไม่ควรแล้วแต่ท่านผู้อ่านทั้งหลายจะพิจราณานะครับออลืมไปที่ผมชอบเข้ามาอ่านเพราะบันเทิงธรรมเพื่อให้จิตใจมีความอิ่มเอิบในการปฏิบัติครับ นานาจิตตังนะอย่าคิดมากกับข้อความของผม ขอให้ท่านทั้งหลายเจริญในธรรมนะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...