สู่แสงธรรมตอนที่12 หลวงพ่อพระราชพรหมยานช่วยงานศพหลวงปู่สี

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 5 มีนาคม 2008.

  1. joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    หลวงพ่อช่วยงานศพหลวงปู่สี

    เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2520 ข้าพเจ้าได้เข้าเรียนเสนาธิการทหารอากาศ แต่ในวันหยุดก็ได้เดินทางกลับบ้านที่กองบิน 4 ตาคลี นครสวรรค์ ทุกครั้งและก็ได้ไปแวะเยี่ยมหลวงปู่สี ที่กำลังอาพาธหนักอยู่เสมอๆ ในบางครั้งที่เจอ คุณหมอโอ๊ด ซึ่งเป็นนายแพทย์ของกองบิน 4 (ชื่อจริงข้าพเจ้าต้องขอภัยที่จำไม่ได้เพราะเรียกกันแต่หมอโอ๊ดจนติดปาก) มาคอยให้การเยียวยารักษาอยู่ และด้วยเหตุนี้จึงได้รู้และเห็นกับตาว่า คราวใดก็ตามหากหลวงปู่สีไม่ยอมให้หมดฉีดยาแต่หมอจะฉีดให้ได้ เข็มฉีดยาก็จะต้องหักทุกครั้งไปเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง หมดโอ๊ดเองก็หนักใจเพราะไม่สามารถรักษาได้ตามกระบวนการแพทย์ และครั้นเมื่อหลวงปู่สีมีอาการหนักมาก ท่านเจ้าอาวาสก็คลานเข้าไปสอบถามว่า“หากหลวงปู่สีมรณภาพ จะให้ทางวัดจัดพิธีศพของหลวงปู่สีอย่างไร”ซึ่งหลวงปู่สีก็ได้ตอบให้ทุกคนในที่นั้นได้ยินกันอย่างทั่วถึงว่า “หากข้ามรณภาพเมื่อใด ท่านฤาษีลิงดำจะมาเป็นผู้จัดการศพของข้าเอง ขอทุกคนอย่าได้เป็นห่วง”
    ต่อจากนั้นมาอีกไม่กี่วัน ข้าพเจ้าก็ได้รับทราบจาก พ.อ.อ.สัมฤทธิ์ กลั่นดี ว่าหลวงปู่สีได้มรณภาพ เมื่อเวลาประมาณตีสามและหลวงพ่อก็ได้มาถึงวัดเมื่อเวลาประมาณตีห้า โดยมิได้รับการติดต่อจากผู้ใดทั้งสิ้น(ข้าพเจ้าต้องขอภัยอีกครั้ง ที่จำวันมรณภาพของหลวงปู่สีไม่ได้) และเมื่อหลวงพ่อมาถึงวัด ก็ได้สั่งการและอำนวยการให้เก็บศพหลวงปู่สีไว้ในโลงแก้ว ในสภาพเสมือนหนึ่งหลวงปู่สีนอนหลับสนิทมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ และที่น่าอัศจรรย์ยิ่งคือรางของหลวงปู่สีไม่เน่าเปื่อย อีกทั้งเล็บมือเล็บเท้าและผมก็งอกยาวออกมาเช่นบุคคลธรรมดาที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งทางวัดก็จะต้องเปิดโลงแก้วทุกๆ 15 วันเพื่อปลงผมและตัดเล็บมือเล็บเท้าให้หลวงปู่สีตลอดมา
    หลวงปู่สีได้มรณภาพเมื่ออายุ 126 ปี บัดนี้ศพของท่านบรรจุอยู่ในโลงแก้ว วัดถ้ำเขาบุญนาค อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ หากท่านผู้ใดสนใจที่จะไปนมัสการกราบไหว้ก็ไปได้ตลอดเวลา
    เรื่องที่ข้าพเจ้าเล่ามานี้จะเห็นได้ว่าทั้งหลวงปู่สี และหลวงพ่อจะต้องได้ญาณ และติดต่อกันได้ทางจิตมาโดยตลอด ซึ่งในทันทีที่หลวงปู่สีสิ้นลม หลวงพ่อก็รับทราบและเดินทางมาจัดการได้ในทันที
    ยังมีเรื่องราวอีกมากมาย ที่ข้าพเจ้ามิได้หยิบยกมาเล่าไว้ ณ ที่นี้ แต่อาจจะสรุปตามที่ข้าพเจ้ามั่นใจเป็นส่วนตัวได้ว่า หลวงพ่อเป็นพระยอริยะระดับสูงสุด ที่ทรงฌานและได้ญาณทั้ง 8 คือ ทิพจักขุญาณจุตูปปาตญาณ เจโตปริยญาณ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ อตีตังสญาณ อนาคตังศญาณ ปัจจุปปันนุงสญาณ และยถากัมมุตาญาณ อีกทั้งเป็นผู้มีฤทธิ์ได้ทั้งวิชชสามและทรงอภิญญา 6 ด้วย และเมื่อข้าพเจ้าได้ศึกษาค้นคว้าเฝ้าติดตามหลวงพ่อมาโดยตลอด ก็แน่ใจว่าหลวงพ่อเป็นพระปฏิบัติคล่องในพระกรรมฐานทั้ง 40 ทัศ พระปีติทั้ง 5 และพระวิปัสสนาญาณทั้ง 9 โดยแน่แท้ ทั้งนี้เพราะหลวงพ่อได้เคยปรารถนาพุทธภูมิมาจึงต้องปฏิบัติให้ได้ทั้งหมด เพื่อช่วยเหลือชี้แนะแนวทางให้แก่ลูกหลานทั้งหลาย ที่มีจริตแตกต่างกันไปได้ (นักปฏิบัติธรรมดาเช่นพวกเราหากจับกรรมฐานกองดกองหนึ่งได้ ก็ย่อมเกิดปีติได้ และปีติที่เกิดแม้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ย่อมทำให้การปฏิบัติสมถกรรมฐานรุดหน้า สามารถนำไปใช้เจริญวิปัสสนาญาณอย่างใดอย่างหนึ่งได้ ซึ่งก็นับว่าเป็นการดีที่สุด) ดังนั้นจึงย่อมเป็นการง่ายดายสำหรับหลวงพ่อ ซึ่งได้วิชชาสาม ทรงอภิญญา 6 และได้ญาณทั้ง 8 อยู่แล้ว จะได้นำเอาสิ่งที่ได้มาพิจารณาวิปัสสนญาณเพื่อละสังโยชน์ 10 จนบรรลุเป็นพระอริยเจ้าชั้นสูงสุดคือพระอรหันต์ได้ และด้วยความมั่นใจส่วนตัวของข้าพเจ้ามาโดยตลอดก็คือหลวงพ่อมิใช่เป็นพระอรหันต์แบบสุกขวิปัสสโก เตวิชชโช หรือฉฬภิญโญ แต่ต้องเป็นพระอรหันต์ประเภท ปฏิสัมภิทาญาณ อีกด้วยเพราะหลวงพ่อทรงปฏิสัมภิทา 4 คือ
    1. อัตถปฏิสัมภิทา มีปัญญาแตกฉานในอรรถคือ ฉลาดในการอธิบายถ้อยคำที่ท่านอธิบายมาแล้วได้อย่างพิสดารถอดเนื้อความที่พิสดารนั้น ให้ย่อสั้นลงมาได้ชัดเจนไม่เสียความ
    2. ธัมมปฏิสัมภิทา ฉลาดในการอธิบายหัวข้อธรรม ที่ท่านกล่าวมาแต่หัวข้อให้พิสดารเข้าใจ
    3. นิรุตติปฏิสัมภิทา มีความฉลาดในภาษา รู้และเข้าใจภาษาทุกภาษาได้อย่างอัศจรรย์(ไม่ว่าจะเป็นภาษาของพรหม เทพ มนุษย์ สัตว์ หรืออสุรกาย)
    4. ปฏิภาณปฏิสัมภิทา มีปฏิภาณเฉลียวฉลาดสามารถแก้อรรถปัญหาต่างๆ ได้อย่างอัศจรรย์
    ด้วยความศรัทธา และเชื่อมั่นในองค์หลวงพ่อดังกล่าว จึงทำให้ข้าพเจ้ายึดเอาหลวงพ่อเป็นที่พึ่งอย่างแท้จริงจัง โดยเริ่มต้นสอบถามปัญหาธรรมะต่างๆที่ข้าพเจ้ายังเคลือบแคลงสงสัยอยู่ ซึ่งข้าพเจ้าก็ได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อ ช่วยตอบให้อย่างกระจ่างชัดเจนในทุกปัญหาจนทำให้ข้าพเจ้าซึ่งเคยเต็มไปด้วยมิจฉาทิฐิ หมดความเคลือบแคลงสงสัยใดใดอีกต่อไป และเมื่อความเคลือบแคลงสงสัยหมดไป ข้าพเจ้าก็มุ่งปฏิบัติธรรมตามคำสอนของหลวงพ่อไปตามขั้นตอนเรื่อยมา จิตก็เริ่มเกิดปัญญาและเมื่อปัญญาเกิดความประพฤติของข้าพเจ้าแต่ดั้งเดิมที่เคยดื่มสุราเป็นอาจิณก็ดี การใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่บนสโมสรก็ดี ก็หมดไป เกิดความเบื่อหน่าย รักสันโดษ มองเห็นโทษของการผิดศีล อีกทั้งเกิดความสุขในการปฏิบัติธรรมและสนทนาธรรมเป็นอันมากอีกด้วย
    ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าจำได้ว่า มีนายทหารนักบินรุ่นหนุ่มๆ จำนวน 4 ท่านได้ไปหาข้าพเจ้าที่บ้านพักในกองบิน 4 เพื่อสนทนาธรรมด้วยและเมื่อข้าพเจ้าได้ช่วยตอบปัญหาข้อข้องใจต่างๆ ของท่านเหล่านั้นไปแล้ว (ปัญหาต่างๆ ที่ถามกันมาซ้ำๆกับปัญหาที่ข้าพเจ้าเคยถามหลวงพ่อมาแล้วทั้งสิ้น) ก็พากันพออกพอใจหมดความเคลือบแคลงสงสัยโดยสิ้นเชิงและได้พากันลาออกจากราชการไปขอบวชกับหลวงพ่อที่วัดท่าซุงทั้ง 4 ท่าน (จำได้ว่ามี พระสมศักดิ์ พระทรงฤทธิ์ พระไตรรงค์ และพระชโลทัย)ซึ่งยังความปลาบปลื้มปิติยินดีให้แก่ข้าพเจ้าเป็นอย่างยิ่ง และเรื่องนี้เป็นที่ฮือฮากันมากในกองบิน 4 ตาคลีและทั่วทั้งกองทัพอากาศทีเดียว
    นอกจากนั้นผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าพเจ้าหลายคนที่ในอดีตเป็นนักเลงขั้นดาวร้าย และนักดื่มชนิดดื่มกันสามวันสามคืน อาทิเช่น พ.อ.อ.สาย ศิริรัตน์ พ.อ.อ.ชลอ ผาสุก พ.อ.อ.กริช บำรุงพงษ์ พ.อ.อ.เสรี เมฆจินดา และ พ.อ.อ.ประมวล ราชอินทร์ ซึ่งได้เคยติดตามข้าพเจ้าอยู่เสมอก็ได้เลิกเป็นนักเลงและนักดื่มกันหมด หลังจากที่ได้สนทนาธรรมกับข้าพเจ้าบ่อยๆ เข้าโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พ.อ.อ.สาย ศิริรัตน์ ได้รับอาสาไปอยู่ปรนนิบัติรับใช้หลวงพ่ออย่างใกล้ชิดตลอดมา จนกระทั่งถึงแก่กรรมและหลังจากนั้น พ.อ.อ.ประมวล ราชอินทร์ ก็รับอาสาไปปรนนิบัติหลวงพ่อแทน พ.อ.อ.สาย ศิริรัตน์จนถึงปัจจุบัน ส่วน พ.อ.อ.กริช บำรุงพงษ์นั้น ก็รับอาสาคอยบันทึกเทปที่หลวงพ่อมาเทศน์ออกอากาศที่สถานีวิทยุกระจายเสียง 04 อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ ที่ข้าพเจ้าเป็นหัวหน้าสถานีและเป็นผู้รับผิดชอบอยู่ทั้งในเรื่องประวัติหลวงพ่อปาน ไตรภูมิ มหาสติปัฏฐาน 4 และอื่นๆ โดยตลอด (ต่อมาพลอากาศโท ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์ ได้ขอไปถอดเทป จัดพิมพ์เป็นรูปเล่ม ดังที่ลูกศิษย์รุ่นหลังๆ ได้อ่านกันอยู่ทุกวันนี้) ส่วน พ.อ.อ.ชลอ ผาสุกและ พ.อ.อ.เสรี เมฆจินดา นั่นก็ได้ถึงแก่กรรมไปแล้วทั้งคู่ จึงไมมีโอกาสได้ช่วยเหลืองานของหลวงพ่อมากนัก
    ในปัจจุบัน แม้ข้าพเจ้าจะไม่ค่อยได้มีโอกาสรับใช้หรือพบหลวงพ่อมากนักก็ตาม แต่จิตของข้าพเจ้าก็จับอยู่ที่หลวงพ่อโดยตลอด และตั้งปณิธานไว้อย่างแน่ชัดว่า จะต้องถวายสังฆทานกับมือหลวงพ่ออย่างน้อยที่สุดเดือนละ 1 ครั้ง ซึ่งข้าพเจ้าก็ได้ปฏิบัติมาโดยตลอด อีกทั้งขอยึดเอาพระพุทธเจ้า พระธรรม และหลวงพ่อเป็นที่พึ่งที่ระลึก ตลอดกาลโดยไม่คิดจะแสวงหาที่พึ่งอื่นใดอีกต่อไปแล้ว ทั้งนี้ เพราะหลวงพ่อเป็นพระอริยเจ้าชั้นสูงสุดอยู่แล้ว อีกทั้งยังได้เมตตาสงเคราะห์ชี้แนะหนทางปฏิบัติจนข้าพเจ้าเกิดปัญญาและมีดวงตาเห็นธรรมได้ในที่สุด
    ที่มา http://www.geocities.com/magic_angelth/index13.htm
     

แชร์หน้านี้