-
<OBJECT id=sIFR_replacement_0 class=sIFR-flash classid=clsid:D27CDB6E-AE6D-11cf-96B8-444553540000 width=930 height=34>
</OBJECT>"หนูดี" เจ้าของความสุข 360 องศา
โด่งดังข้ามปีในฐานะ เจ้าของสโลแกนคุ้นหู “อัจฉริยะสร้างได้” สำหรับสาวเก่ง “หนูดี” วนิษา เรซ ที่นอกจากบุคลิกหน้าตาที่ชวนมองแล้ว เชื่อว่าหากใครได้มีโอกาสพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับเธอแล้ว คงต้องหลงใหลในเสน่ห์ของสาวผมยาว ตากลมคนนี้แน่ คอนเฟิร์ม!!!
และเพื่อลบภาพเด็กเนิร์สของอัจฉริยภาพของโลก อย่างอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ชายแก่ภายใต้แว่นตาหนาเตอะ ผมเผ้ายุ่งเหยิง ว่าแท้จริงแล้ว คนที่จะเป็นอัจฉริยะอาจจะเป็นคนหนึ่งที่มีลักษณะเหมือนคนทั่วไปก็ได้ เราจึงไม่พลาดมาหาคำจากสาวเก่งผู้นี้ พร้อมตอกย้ำแนวคิดอัจฉริยะสร้างได้ของสาวอัจฉริยะ ที่บอกว่าสร้างได้ง่ายๆ เพียงแค่รู้จักหาวิธีในการดูแลและพัฒนาตัวเองอย่างถูกต้อง
มาดูกันสิว่าสาวเก่งในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านอัจฉริยภาพจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดคนแรกของไทยจะมีไลฟ์สไตล์ และวิธีการดำเนินชีวิตให้มีความสุขกับชีวิตได้ในทุกๆ วัน โดยเฉพาะในสังคมที่เต็มไปด้วยความเครียดแบบนี้
วันนี้ "ไทยรัฐออนไลน์" นัดพบกับสาวเก่งที่โรงเรียนวนิษาของเธอ หนูดีปรากฏตัวในชุดสีส้ม สีสันบาดตา ขับกับผมยาวดำสลวยของเธอ ทำให้ในวันนี้หนูดีดูสวยมีเสน่ห์ สะท้อนออร่าออกมาเป็นประกายไม่แพ้มุมมองและทัศนะของเธอ ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่รอช้าที่จะไขความลับความดูดีแบบสมบูรณ์ของหนูดี
ดูแลตัวเองแบบ 3
มิติ
หนูดีมองว่า เราต้องดูแลทั้งร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ ไปควบคู่กัน เพราะร่างกาย เป็นที่อยู่ของจิตใจ ถ้าร่างกายอยู่ในสภาพที่ไม่พร้อม ก็ยากที่จะทำให้มีจิตใจที่ดี ขณะที่ต่อให้ร่างกายพร้อมแค่ไหน แต่จิตใจเราไม่โอเค ก็ไม่มีประโยชน์ การดูแลจิตใจในที่นี่ คือ การไม่พูดอะไรให้ใครเสียใจ ไม่ทำอะไรให้ตัวเองรู้สึกแย่ ส่วนอีกมิติหนึ่งที่สูงขึ้นไป คือ จิตวิญญาณ มันเหมือนเป็นอีกโลกหนึ่งที่เราสามารถเข้าไปเยือนมันได้เรื่อยๆ แต่การที่เราจะไปเยือนโลกตรงนั้น มันต้องมีคนที่ชี้เส้นทางให้เราเข้าไป เพราะบางครั้งให้เราเดินเองเราไม่รู้จะเดินเข้าไปยังไง เช่น บางทีเวลาที่เราโกรธมากๆ เราไม่รู้จะระงับความโกรธยังไง ถ้าผิดหวังมากๆจะจัดการยังไง
ทุกข์ใจ เศร้าใจ คืออันนี้เป็นความรู้สึกของมนุษย์อย่างเรา แต่จะไปนั่งเรียนในห้องเรียนจิตวิทยาบางทีมันบอกได้ไม่หมด แต่พอเข้ามาในโซนของศาสนา หรือการปฏิบัติธรรม มันเหมือนสิ่งที่ทุกคนที่เข้ามาต้องทำเป็นหน้าที่ มันก็เหมือนไปได้ทุกมิติแล้ว พอมิติหนึ่งล่ม เช่น ร่างกายป่วย ก็มีมิติจิตใจมาช่วย ซึ่งหนูดีรู้สึกว่ามันดีมาก แต่เราไม่จำเป็นต้องแบ่งเวลาว่าตอนนี้ต้องทำมิตินี้ ทำอันนี้ แต่พอมีเวลาว่างทำอันไหนได้ก็ทำ ออกกำลังกายช่วงนี้ได้ออก หรือถ้ามีเวลาไปปฏิบัติธรรมก็ไป
สร้างอัจฉริยะด้วย 2 มือ
หนูดีแบ่งวิธีในการพัฒนาสมองของคนเราเป็น 2 ส่วน คือ การกินอาหารดี ไม่ได้หมายถึงอาหารเสริม เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่ได้ทำให้เราฉลาดหรืออัจฉริยะ เพียงแต่ช่วยให้โครงสร้างทางร่างกายและโครงสร้างทางเคมีในสมองพร้อมที่จะเรียนรู้เท่านั้นเอง
บางคนบอกว่าความฉลาดคือการต้องเรียนรู้หรือฝึกฝนบ่อย หนูดียอมรับว่ามีส่วน แต่นั่นเป็นเพียงความฉลาดในเชิงทักษะ เช่น การจะทำงานหนึ่งให้ประสบความสำเร็จ มันต้องมีเป้าหมาย และทักษะที่จะไปถึงเป้าหมายนั้น แต่ปัญหาคือ บางคนเป็นแต่ตั้งเป้าหมาย แต่ไม่มีทักษะ เช่น เด็กสมัยนี้อยากเป็นดาราดัง อันนั้นคือเป้าหมายที่ชัดเจน แต่ทักษะที่จะไปถึงตรงนั้นล่ะ คนเป็นดาราต้องทำอะไร ต้องร้องเพลงได้ไหม ต้องกล้าอยู่ต่อหน้าที่ชุมชนไหม ต้องมีทักษะการแสดงไหม
นั่นคือเรื่องที่ต้องไปฝึก ซึ่งส่วนนั้นแหละคือทักษะที่ต้องไปฝึกฝนบ่อยๆ แต่ว่าในการที่จะไปฝึก ก็ต้องอยู่ในสภาพที่พร้อม เช่น สมองพร้อมไหม สมองต้องไม่อยู่ในภาวะขาดน้ำ ขาดอาหาร ร่างกายพร้อมไหม ไม่อยู่ในสภาพเจ็บป่วย คือทั้งหมดเป็นองค์ประกอบเอื้อกัน
อย่ามองอนาคตตัวเองเกิน 5 ปี
หนูดีมองว่า เราจะทำอะไรก็แล้วแต่ต้องเริ่มจากการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนก่อน แต่หนูดีไม่เห็นด้วยว่าเมื่อคนเรามีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว ต้องพยายามทำให้ได้ในทุกกรณี เพราะคนเราตั้งเป้าหมายอย่างหนึ่งด้วยความคิดอย่างหนึ่ง ด้วยวัยๆ หนึ่ง ที่สำคัญเป้าหมายใหญ่ๆ มักเกิดในอดีต ซึ่งถ้าอดีตมันทำให้เราไม่มีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับโอกาสใหม่ๆ ที่เข้ามาในปัจจุบันได้ ก็เหมือนเราทิ้งโอกาสไป สำหรับหนูดีมองว่า การตั้งเป้าหมายดีก็จริง แต่เราต้องพร้อมที่จะเปลี่ยนได้เสมอ ถ้ามีอะไรที่ดีกว่า ดร.การด์เนอร์ อาจารย์ของหนูดีเคยบอกว่า บอกว่าคนเราไม่ควรรู้อนาคตอีก 5 ปี เพราะถ้าเราวางแผนอนาคตในอีก 5 ปีข้างหน้า เท่ากับเรากำลังปฏิเสธโอกาสดีๆ ในอนาคตทั้งหมด เพราะไม่มีวันที่เราจะรู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีกบ้าง แต่ถ้าเราเป็นคนคิดเก่ง เราจะพัฒนาตัวเองทุกปี เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราคิดว่าเราทำได้ในปีนี้ อีก 3 ปีข้างหน้ามันอาจจะไม่ใช่ เราอาจจะเป็นคนที่เก่งมากขึ้น เมื่อเราเก่งมากขึ้น ประตูมันเปิดอีกเยอะ เหมือนวันที่หนูดีเดินเข้าไปเรียน ป.โท หรือวันที่เรียนจบ โอกาสมันต่างกันเยอะเลย เพราะปริญญาดีๆ ใบหนึ่งมันเปิดประตูให้เราได้อีกตั้งหลายบาน ทั้งที่ก่อนหน้าเราได้ปริญญามาเราไม่สามารถเดินเข้าไปบริษัทดีๆในอเมริกา หรือทั่วโลกได้
โอกาสที่เข้ามาเหมือนนำ้ที่ทะลักเข้าเขื่อน
โดยส่วนตัวหนูดีเป็นคนเลือกมาก เราผ่านช่วงชีวิตหนึ่งที่มีหลายคนเสนอโอกาสมาให้ วันหนึ่งอาจมีเป็นสิบๆ แต่คนที่เสนอโอกาสเข้ามาให้หนูดี ไม่มีใครที่รู้จักตัวหนูดีมากกว่าตัวหนูดีเอง เพราะฉะนั้นมันไม่ผิดที่เขาเสนออะไรที่ไม่เหมาะกับตัวหนูดี เพราะหนูดีต้องเป็นคนตัดสินใจว่าจะเลือกอะไร ไม่เลือกอะไร เหมือนกับน้ำที่ทะลักเข้ามาเขื่อนของเรา เราต้องเลือกที่จะตักเองว่าอันไหนเป็นน้ำดีเป็นน้ำเสีย แต่ทั้งนี้เวลาตักก็ตักแบบพอประมาณ ตามศักยภาพของตัวเรา ไม่ใช่หนูดีเงยหน้ามาอีกที แม่บอกว่าไม่ได้เห็นหน้าเรา น้องเรามีปัญหา หรือเพื่อนบอกเราไม่มีเวลาเลย แบบนั้นก็ไม่ได้ เพราะคนเหล่านี้มีผลต่อมิติทางจิตใจ ถ้าไม่มีคนเหล่านี้ สภาพจิตใจของหนูดีก็ไม่อยู่ในสภาพที่ปกติ
โดยส่วนตัวหนูดีไม่เห็นด้วยกับการคว้าทุกโอกาสที่ผ่านเข้ามาในชีวิต แต่เห็นด้วยว่าเราควรดูและพิจารณาทุกโอกาสอย่างใกล้ชิด แม่หนูดีเคยพูดว่าก่อนจะปฏิเสธอะไร ต้องดูว่าเรากำลังปฏิเสธอะไรอยู่ ไม่ใช่แค่ดูว่าไม่น่าจะเข้ากับเรา แล้วก็ปฏิเสธไปเลย
พอใจและประสบความสำเร็จในทุกๆ วัน
ประสบความสำเร็จเรื่อยๆ เพราะบางคนบอกว่าต้องตั้งเป้าใหญ่ โดยไม่มองความสำเร็จระหว่างทาง แต่สำหรับหนูดีจะมีเป้าเล็กๆในแต่ละวัน แต่ละเดือน แต่ละไตรมาส เพราะฉะนั้นเท่ากับว่าหนูดีสามารถประสบความสำเร็จทุกวัน แต่ละวันมีเป้าหมายต่างกัน ขึ้นอยู่กับงานในวันนั้นๆ
ทุกวันนี้หนูดีพอใจกับชีวิตมาก บางคนอาจคิดว่าเหมือนเราไม่ทะเยอทะยาน แต่หนูดีมองว่าเป็นคนละเรื่อง คือ แม้จะพอใจ แต่ก็ยังมีแรงผลักดันในตัวเอง ที่อยากพัฒนาตัวเองเรื่อยๆ ชีวิตคนเรามันจะไม่มีความสุขขนาดไหน ถ้าเราไม่พอใจในชีวิตตัวเอง ยกตัวอย่าง คนที่มองตัวเองในกระจกแล้วไม่ชอบตัวเอง ไม่ชอบหน้าตัวเอง ไม่ชอบสิ่งที่เห็นอะไรในตัวเองก็แล้วแต่ มันจะเป็นชีวิตที่มีความสุขไม่ได้ เพราะเราไม่ยอมรับ หรือไม่ชอบในสิ่งที่เราเป็นเจ้าของ เช่นเดียวกับที่เราไม่พอใจในชีวิต ตรงนู้นไม่พอใจ ตรงนี้ไม่พอใจ มันจะเป็นชีวิตที่มีความขัดแย้งอยู่สูงมาก แล้วทำให้เราต้องลุกขึ้นทำนู่นทำนี่เยอะมาก เพราะหนูดีคิดว่าการที่คนเราจะมีความสุข มันต้องเป็นความสามารถที่จะอยู่นิ่งกับตัวเองได้ แล้วบอกตัวเองว่าเราชอบตัวเรา และถ้าไม่มีอันนี้ต่อให้ทำอะไรทั้งโลก ก็ไม่สามารถมีความสุขอย่างแท้จริงได้ เพราะเป็นการวิ่งหนีตัวเอง
ขอบคุณทุกความล้มเหลว
หนูดีเจอเรื่องที่ล้มเหลวมาเยอะ ซึ่งหนูดีเลือกที่จะยอมรับและขอบคุณมัน แต่ที่พูดนี้ไม่ได้ทำกันง่ายๆนะ (หัวเราะ) อย่างตอนแรกๆ ที่เจอ ด้วยความเป็นเด็ก มันเหมือนเราตกลงไปในหลุมมืด ก็ร้องไห้ เสียใจ แต่พอโตขึ้น เจอปัญหามากขึ้น เราก็เริ่มหาที่ยึดเหนี่ยว หาไอดอลที่เขาเคยล้มเหลวมามากกว่าเรา มาเปรียบเทียบกับว่าเรื่องที่เราเจอมันเล็กมาก เหมือนเป็นการหาจิตวิทยาเชิงบวกมาปลอบใจตัวเอง ทำให้เราเข้มแข็งขึ้น จนเดี๋ยวนี้ กลายเป็นเรื่องง่ายที่เราจะบอกกับคนใกล้ตัวว่าเราล้มเหลวเรื่องนี้นะ ใจเรามันตกหลุมเหมือนแต่ก่อน แม้ภายนอกจะล้มเหลวแต่ใจเรายังเป็นอิสระ
เคล็ดลับความสำเร็จ
ก่อนนอนทุกวัน หนูดีจะวาดภาพวันพรุ่งนี้ไว้ในหัวก่อน ว่าพรุ่งนี้เราจะทำอะไร ทำแบบไหน ด้วยอารมณ์ไหน จะใส่ชุดไหน เตรียมงานไว้ประมาณไหน ที่สำคัญต้องจินตนาการไว้แบบประสบความสำเร็จด้วยนะ แล้วหนูดีเชื่อว่าวันนั้นของหนูดีจะจบลงแบบมีความสุข
หนูดีคิดว่าคนเราควรอยากตื่นขึ้นมาเจอกับทุกวัน อย่างตัวหนูดีเลือกทำในงานที่เราทำแล้วมีความสุข หนูดีคิดว่าการที่เราได้เห็นชีวิตตัวเองล่วงหน้า 3 เดือน หรืออย่างน้อย 1 วัน มันเหมือนเราได้มีชีวิต 2 ครั้ง ซึ่งหลักการนี้มีงานวิจัยรองรับเยอะมาก ส่วนใหญ่หนูดีจะใช้เวลาช่วงก่อนนอนในการจินตภาพเหตุการณ์ เพราะเป็นเวลาที่หนูดีคิดว่าวิเศษมาก เป็นเวลาที่เรารู้สึกเป็นส่วนตัวมาก และเป็นของเราอย่างแท้จริง
จบบทสนทนาของเราในวันนี้ นึกสงสัยก่อนจากโรงเรียนวนิษาว่า สงสัยอัจฉริยะจะสร้างได้จริงๆอย่างที่เธอบอก แต่ความเป็นอัจฉริยะของแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน แล้วแต่ใครจะเลือกตีความอย่างไร..."หนูดี" เจ้าของความสุข 360 องศา - ข่าวไทยรัฐออนไลน์