หน้าที่และสิ่งสำคัญของมนุษย์ชาติ ณ ตอนนี้

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย ศรัทธานนท์, 21 เมษายน 2010.

  1. ศรัทธานนท์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2010
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +114
    บททั่วไปffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>

    สิ่งที่ตัวผู้เขียนจะเขียนต่อจากนี้เป็นสิ่งที่เกิดจากภายในใจของผู้เขียนตลอดมานั่นคือความห่วงใยของมนุษย์ชาติด้วยกันเอง ผู้เขียนรู้สึกกังวลและสังเวชในใจยิ่งนักต่อมนุษย์ด้วยกันกับการได้รับรู้จากข่าวสารจากภายนอกและจากตัวของผู้เขียนโดยตรง การรับรู้ข่าวสารในทางที่ไม่ดีรวมถึงภัยทั้งหลายที่เกิดขึ้นนั้นล้วนแล้วเกิดจากมนุษย์ทั้งนั้น มนุษย์เป็นสัตว์ประเภทเดียวที่สามารถทำให้ธรรมชาติปรับตัวเข้าหาตนเองได้เพราะมนุษย์เป็นสัตว์ที่มีปัญญาธรรมชาติจะดีจะร้ายนั้นก็ขึ้นอยู่กับมนุษย์ แล้วขณะนี้คุณคิดว่าธรรมชาติที่อยู่รอบกายเราดีหรือเลว ธรรมชาติในความหมายของผู้เขียนนี้หมายถึงทุกอย่างรวมถึงตัวของมนุษย์ด้วย ข่าวภัยพิบัติต่างๆไม่ว่าจะเป็นข่าวเรื่องการชุมนุมการจราจล การปล้นจี้ การฆ่า อาชญากรรมต่างๆ การทดลองขีปนาวุธของชาติต่างๆ น้ำท่วม แผ่นดินไหว สึนามิ พายุ โรคใหม่ๆเช่น ไข้หวัดหมู(S1N1)และอีกมากมาย ณ ขณะนี้ภัยเหล่านี้เกิดขึ้นเป็นรายวันไม่มีวันหยุดและการตายปัจจุบันนี้เป็นการตายที่แปลกและน่ากลัวคือชอบตายเป็นหมู่คณะล่าสุดในเมืองไทยกรณีของซานติการ์ผับและเป็นที่สังเกตว่าสมัยปัจจุบันนี้มีร่างทรงเกิดมากมายทั้งๆที่เมื่อ50-100ปีก่อนนี้ข่าวเรื่องร่างทรงน้อยมากหรือน้อยมากที่จะพบนั่นเป็นเพราะเหตุใด ในขณะที่เขียนหนังสือเล่มนี้ได้นึกถึงคำของศาสดาที่เป็นศาสนาแห่งจักรวาลว่า “ สิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นและดับไปนั้นทั้งหมดล้วนมาจากเหตุเป็นปัจจัย หากไม่ต้องการให้เกิดก็ต้องไปดับที่เหตุ หากใครสามารถดับที่เหตุโดยสิ้นเชิงได้บุคคลนั้นก็สามารถนำจิตไปดำรงอยู่ในมาตุธรรมชาติอันเป็นเอกธรรมอีกครั้งได้” ถ้าหากจะพูดตามภาษาของผู้เขียนเท่าที่ปัญญาสะสมมาได้ความว่า ทุกก้าวย่างของสิ่งมีชีวิตนั้นไม่ได้เป็นไปด้วยความบังเอิญอย่าคิดเอาเองว่า สิ่งที่มีอยู่ สิ่งที่ได้มา สิ่งที่เปลี่ยนไปนั้นเกิดจากความบังเอิญ ทุกอย่างเกิดจากเหตุ เหตุก็คือกรรม กรรมก็คือการกระทำ การกระทำเกิดจากอุปทาน อุปทานคือการคิดเองเออเองว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้อันมีสักกายทิฏฐิเป็นบรรทัดฐาน สักกายทิฏฐิคือการเข้าใจตัวเองว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้มีตัวตนจริงๆเมื่อเข้าใจว่าตนเองมีตัวตนจริงจึงเกิดการรักตนถนอมตนพูดง่ายๆว่าเห็นแก่ตัวดีๆนั่นเองแท้จริงแล้วสิ่งที่สามารถดำรงอยู่ตลอดกาลคือ จิตอันเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งเรียกว่า นามธรรมชาติหรือนามธรรม<O:p></O:p>
    มนุษย์และคนแตกต่างกันอย่างไร คนคือสัตว์โลกประเภทหนึ่งที่นักเชี่ยวชาญทางด้านสมมุติทั้งหลาย(นักวิทยาศาสตร์)บัญญัติว่าเป็นสัตว์ที่จัดอยู่ในอาณาจักรสัตว์(Kingdom)อยู่ในไฟลัมคอร์ดาตาเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและมีกระดูกสันหลัง ส่วนมนุษย์คือ คนที่มีปัญญา ปัญญาคือ ความรู้ทั่วเป็นความรู้ทั่วถึงเหตุและผลรู้อย่างชัดเจนปัญญาเป็นธรรมอย่างหนึ่งที่คอยกำกับศรัทธาเพื่อให้เชื่อประกอบด้วยเหตุและผลอันปัญญานั้นเกิดขึ้นได้3วิธี 1.ปัญญาเกิดจากการฟังการศึกษาเล่าเรียน 2.ปัญญาเกิดจากการคิดค้น การตรึกตรอง 3.ปํญญาเกิดจากการอบรมจิต การภาวนา ซึ่งแน่นอนผู้อ่านคงจะทราบแล้วว่าคนกับมนุษย์แตกต่างกันที่ตรงไหน<O:p></O:p>
    ท่านผู้อ่านทั้งหลายเชื่อด้วยหรือว่าคนหรือมนุษย์เกิดจากการวิวัฒนาการมาจากลิง อะไรคือบทพิสูจน์นักวิทยาศาสตร์ใช่หรือเปล่า?แล้วคุณมั่นใจและเชื่อใจนักวิทยาศาสตร์เหล่านั้นเหรอ บางครั้งนักวิทยาศาสตร์บางคนยังสับสนกับผลการทดลองของตนเองและเมื่อสับสนผลการทดลองของตนดังนั้นการทดลองจึงไม่มีที่สิ้นสุดจึงมีการทดลองจากรุ่นสู่รุ่นบางครั้งได้ผลสรุปแต่อีกไม่นานก็มีนักวิทยาศาสตร์ท่านอื่นมาล้างทฤษฎีหมุนเวียนอย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด มีคำกล่าวอ้างของนักวิทยาศาสตร์ท่านหนึ่งซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะตลอดกาลนั่นคือ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ กล่าวว่า “ข้าพเจ้ามีความเสียดายเป็นอย่างมากที่ได้มารู้จักศาสนาแห่งจักรวาลช้าเกินไปเพราะข้าพเจ้ามีความชอบหลักของศาสนาแห่งจักรวาลคือไม่หลงงมงายกับความเชื่อว่าพระเจ้า สร้างทุกสิ่งทุกอย่าง โดยมีเชื่อบนความมีเหตุผลและปัญญา ข้าพเจ้าคิดว่าในอนาคตศาสนาแห่งจักรวาลจะเป็นศาสนาที่สามารถดำรงอยู่ได้โดยไม่สั่นคลอนและเป็นศาสนาแห่งมนุษยชาติอย่างแท้จริง” อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ไม่มีศาสนาคือไม่นับถือศาสนาใดเลยในช่วงบั้นปลายชีวิตต้องระเหเร่ร่อนเพราะความเห็นแก่ตัวของชาติมหาอำนาจและท่านได้สนใจศาสนาแห่งจักวาลเป็นอย่างมาก ในช่วงบั้นปลายชีวิตท่านได้สนใจในเรื่องที่เกี่ยวกับความเชื่อเป็นอย่างมากสาเหตุเกิดจากมีคนนำน้ำแก้วหนึ่งมาให้ท่านดื่มทันใดนั้นท่านก็เกิดคำถามกับคนที่เอามาให้ว่า น้ำที่ดื่มนั้นเอามาจากไหน?คนที่นำน้ำมาให้ไม่สามารถตอบคำถามได้อย่างแจ่มแจ้งได้<O:p></O:p>
    ในศาสนาแห่งจักรวาลระบุความเชื่อไว้4อย่าง1ในนั้นคือตถาคตโพธิสัทธา(เชื่อในการตรัสรู้ แห่งพระองค์ มั่นใจแห่งพระตถาคต)พระพุทธเจ้าท่านเคยทรงตรัสว่า “แท้จริงแล้วมนุษย์นั้นเป็นสิ่งสว่างประภัสสรเพียงแต่มีความอยากและกิเลสเข้ามาบดบัง เปรียบเสมือนเมฆดำบดบังพระจันทร์ไว้”ถ้าหากท่านผู้อ่านพิจารณาพุทธดำรัสแล้วคิดด้วยหลักการท่านคิดว่าอย่างไร ผู้เขียนมีความคิดว่าถ้าหากมนุษย์ทุกคนเป็นสิ่งสว่างและประภัสสรนั่นก็แปลว่ามนุษย์เดิมนั้นมีแต่นามธรรมไม่มีตัวตนและที่ที่เราอยู่ ณ ขณะนี้ซึ่งก็คือโลกไม่ใช่ดินแดนของเราอย่างแท้จริงและที่ที่เราอยู่นั้นจะต้องสูงส่งมากซึ่งนั่นก็แปลว่ากำเนิดมนุษย์มาจากความว่างเและความว่างตรงนั้นมีสภาวะดำรงอยู่ได้ แล้วความว่างตรงนั้นมันคืออะไร อยู่ที่ไหน?เป็นเรื่องยากที่ผู้เขียนจะให้ท่านผู้อ่านมีความเห็นคล้อยตามด้วยเพราะเรื่องของนามธรรมไม่สามารถพิสูจน์ได้แม้แต่วงการวิทยาศาสตร์ ถ้านำบทพิสูจน์จากวิทยาศาสตร์ที่ระบุว่าคนเรานั้นวิวัฒนาการมาจากลิงโดยอ้างหลักของพฤติกรรมศาสตร์และสันฐานวิทยารวมถึงหลักการอื่นมาเปรียบเทียบกับพุทธดำรัสมันคงจะแตกต่างคนละขั้วเลยติดอยู่กับท่านผู้อ่านแล้วว่าจะเชื่อใคร?นักวิทยาศาสตร์ที่บอกว่าเก่งๆไม่สามารถพิสูจน์หรือทดลองเรื่องที่เกี่ยวข้องทางจิตหรือนามธรรมได้ หรือว่านักวิทยาศาสตร์เหมารวมเอาว่าจิตและปัญญาเป็นส่วนหนึ่งของสมอง ผู้เขียนมองว่ายิ่งโลกเราเจริญมากเท่าไหร่นักวิทยาศาสตร์เหล่านี้ต้องเป็นบุคคลกลุ่มแรกที่จะเป็นคนวิกลจริตหรือที่เรียกว่าบ้าอย่างแน่นอนเพราะทุกอย่างที่ท่านเหล่านี้ทดลองตั้งแต่ส่วนเล็กๆที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาจนถึงส่วนที่มีขนาดใหญ่นั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เปลี่ยนไปได้ทุกรูปแบบ ไม่คงที่และเมื่อมันสามารถเปลี่ยนแปลงได้นักวิทยาศาสตร์เหล่านั้นก็ต้องศึกษาเพิ่มมากขึ้นเพื่อให้ได้ผลสรุปอย่างแน่นอน ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือเหมือนกับเราวิ่งตามอะไรสักอย่างโดยไม่เคยหยุดพักผลก็คือคนที่วิ่งนั้นก็เหนื่อยเพราะตามไม่ทันนั่นเอง<O:p></O:p>
    ทำไมประเทศตะวันตกจึงมีความเจริญทางวัตถุมากกว่าประเทศตะวันออก<O:p></O:p>
    เพราะประเทศตะวันตกมีนักคิด ชอบสังเกต ชอบทดลองและชอบประดิษฐ์แต่ไม่ใช่ว่าประเทศตะวันออกนั้นไม่มีนักคิด ในความคิดของผู้เขียนประเทศทางตะวันออกนั้นมีนักคิดมากกว่าทางตะวันตกซะอีกทั้งสองฟากฝั่งล้วนแล้วแต่มีนักคิดทั้งนั้น คิดมาตลอดตั้งแต่ได้กำเนิดมาชั่วทุกยุคทุกสมัย แต่ทั้งสองฝั่งมีความคิดและปัญญาที่อยากจะพ้นทุกข์ต่างกัน การคิดของชาวตะวันตกเป็นการคิดที่อยู่ไกลตัวมากเป็นความคิดที่เกี่ยวกับกายภาพมากเกินไปเมื่อคิดเกี่ยวกับกายภาพมากเกินไปนั้นก็เกิดเห็นทุกข์ที่เกี่ยวกับกายภาพเพียงเท่านั้นการพ้นทุกข์นั้นก็เป็นการพ้นทุกข์แบบกายภาพซึ่งไม่สามารถพ้นไปได้อย่างถาวร ในอดีตชาวตะวันตกได้สังเกตพฤติกรรมของธรรมชาติและความต้องการของมนุษย์และได้คิดค้นเครื่องมือต่างๆเพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์มาเรื่อยๆการตอบสนองความต้องการของมนุษย์นั้นแหละคือความสุขของชาวตะวันตกเหมือนดังกับสองพี่น้องตระกูลไรต์เห็นนกบินได้ก็เกิดความอยากและปรารถนาที่อยากจะบินได้เหมือนนกแล้วถ้าหากบินได้การติดต่อสื่อสารและการคมนาคมของมนุษย์ก็จะง่ายขึ้นและแล้วสองพี่น้องก็คิดค้นได้สำเร็จทำให้มนุษย์เกิดความสะดวกสบายเมื่อคิดได้ พิสูจน์ได้ ทดลองได้และประดิษฐ์ได้สำเร็จแล้วนักคิดเหล่านั้นจึงประกาศให้โลกรู้ซึ่งเรียกว่าทฤษฎีเอาไว้ให้มนุษย์อย่างเราๆได้ศึกษาต่อไปดังนั้นนักคิดเหล่านี้จึงไม่มีวันว่างจากการคิดหรือจะเรียกว่าหมกมุ่นก็ได้เพราะความต้องการของมนุษย์นั้นไม่มีที่สิ้นสุดจึงทำให้ปัญญาของชาวตะวันตกนั้นแคบ รู้ได้ไม่ทั่วถึงดังนั้นจึงไม่แปลกที่ชาวตะวันตกนั้นมีนักคิดนักวิทยาศาสตร์มากมายเรื่อยมาทุกยุคทุกสมัยเอาไว้รองรับความต้องการของมนุษย์และประดิษฐ์เครื่องมือต่างๆให้แก่ตัวเองและคนทั่วไปจนเกิดเป็นความเคยชินและยึดติดกับสิ่งนั้นว่าเป็นความสุขด้วยวิธีการคิดเหล่านี้ทำให้ส่งผลต่อการดำรงชีวิตมาทุกยุคทุกสมัย ปัจจุบันนี้ชาวตะวันตกได้นำเอาผลการทดลองต่างๆมาประดับและสร้างความโอ่อ่าให้แก่โลกและประกาศความยิ่งใหญ่ของตนเองให้โลกรู้ว่าสภาพที่เรียกว่าความเจริญ ณ ปัจจุบันนี้ตนเองสามารถให้และควบคุมได้ สุดท้ายแล้วประเทศที่เรียกตัวเองว่าเก่งนักหนานั้นก็ไม่สามารถควบคุมภัยธรรมชาติได้ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินไหว พายุ น้ำท่วมและอีกมากมายผู้เขียนคิดแล้วสงสารและสังเวช ส่วนนักคิดทางประเทศตะวันออกสำรับนักคิดชาวตะวันออกก็มีการคิดการสังเกตมาหลายชั่วคนหลายยุคหลายสมัยแต่ความคิดของชาวตะวันออกเป็นความคิดที่เหลือวิสัยมากกว่าชาวตะวันตกจนชาวตะวันตกนั้นคาดไม่ถึง การคิดแบบชาวตะวันออกนั้นเป็นความคิดที่ใกล้ตัวเองคือเอาตัวเองเป็นหลักเอาตัวเองเป็นสิ่งทดลองโดยสังเกตจากพฤติกรรมจากธรรมชาติแล้วก็กลับมาดูตัวเองว่าตัวเองนั้นมีความสัมพันธ์อย่างไรกับธรรมชาติตัวเองเป็นส่วนไหนของธรรมชาติและเกิดขึ้นได้อย่างไรเมื่อมีคำถามความอยากรู้ก็เกิดขึ้นจึงมีการทดลองการพิสูจน์เช่นเดียวกับชาวตะวันตกแต่แตกต่างกันที่ปัญญาดังนั้นการคิดแบบใกล้ตัวจึงมองเห็นทุกข์ได้ใกล้ตัวหรือเฉพาะตัวในบางครั้งคิดชนิดที่เรียกว่าหมกมุ่นจนไม่สนใจกายภาพภายนอกเลยและการไม่สนใจกายภาพภายนอกนั้นแหละเป็นเหตุให้ชาวตะวันออกมีความเจริญทางวัตถุด้อยกว่าชาวตะวันตกแต่สิ่งที่ชาวตะวันออกมีเหนือกว่าคือปัญญาผู้เขียนขอทำความเข้าใจก่อนว่าปัญญากับสมองนั้นไม่ใช่สิ่งเดียวกันแน่นอน ขอยกตัวอย่างนักคิดชาวตะวันออกมาเด่นๆสักหนึ่งคนนั่นคือ เอกอัครบุคคลพิเศษแห่งโลกเจ้าชายสิทธัตถะ เมื่อประมาณปีพ.ศ.2552ก่อนนี้นักคิดหรือนักวิทยาศาสตร์(ทางจิต)ท่านนี้ได้สังเกตสภาพและพฤติกรรมการ เกิด แก่หรือชรา เจ็บ ตาย และการสละตัวปลีกวิเวกของมนุษย์แล้วจึงคำถามแก่ตนเองขึ้นว่า สภาพและพฤติกรรมเหล่านี้มีความสัมพันธ์กันหมุนเวียนเป็นวัฎจักรอันตัวท่านก็คงหนีไม่พ้นสภาพแบบนี้อย่างแน่นอน ภายหลังท่านก็เกิดความกลัวและไม่อยากที่จะเป็นสภาพดังที่เห็นและท่านคิดว่าน่าจะมีหนทางที่จะหนีพ้นจากสิ่งเหล่านี้ได้สุดท้ายท่านก็ออกทดลองหาหนทางหลุดพ้นโดยการปลีกวิเวกท่านใช้เวลาการทดลองอยู่ประมาณ6ปีในที่สุดการทดลองก็สำเร็จผลการทดลองเป็นที่น่าพอใจเป็นอย่างมาก ในการทดลองของท่านนั้นไม่ได้ใช้อุปกรณ์อะไรเลยท่านใช้แค่ตัวท่านและสิ่งที่อยู่ภายในตัวท่านหลักๆก็คือ 1.ความมั่นคงและหนักแน่นจากสภาพปรกติของท่าน(ศีล)2.ภาวะความตั้งมั่นและแน่วแน่ต่อสิ่งหรือสภาพที่ท่านกำหนด( สมาธิ)3.การพิจารณาจากสภาพที่ท่านเห็นว่าเพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้ไม่มีสิ่ง สิ่งนี้จึงไม่มี ตามหลักสภาพของความเป็นจริง(ปัญญา)ผลก็คือท่านได้รู้ว่าท่านมีความสัมพันธ์อย่างไรกับธรรมชาติ ท่านเป็นส่วนไหนของธรรมชาติ และท่านกำเนิดหรือเกิดขึ้นได้อย่างไรสิ่งเหล่าท่านได้ประกาศให้โลกรู้ว่าเป็น “สัจธรรมชาติทฤษฎี”เป็นอมตะทฤษฎีที่ไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนไหนสามารถลบล้างได้ตลอดกาลอีกทั้งยังเป็นทฤษฎีสากลของโลกอีกด้วย เมื่อชาวตะวันออกได้เห็นตัวอย่างจากเจ้าชายสิทธัตถะว่าสิ่งที่ท่านทดลองและมีผลการทดลองมาแล้วว่าสิ่งนี้สามารถพ้นทุกข์ได้จริงจึงได้ยึดติดรูปแบบจากท่านโดยมองว่าตัวเองนั้นมีสภาพที่เรียกว่าทุกข์ ในอดีตก่อนที่เจ้าชายสิทธัตถะจะค้นพบความจริงอันยิ่งใหญ่ของธรรมชาตินั้นก็มีชาวตะวันออกบางกลุ่มได้ออกทดลองในลักษณะเดียวกันนี้เป็นรุ่นๆและด้วยเหตุนี้การคิดของชาวตะวันออกจึงมีผลต่อการดำรงชีวิตทำให้ชาวตะวันออกไม่สนใจต่อกายภาพภายนอกเท่าไรนัก ผู้เขียนจึงสรุปได้ว่า เหตุที่ชาวตะวันตกมีความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการกายภาพมากกว่าชาวตะวันออกเนื่องจากชาวตะวันตกมิได้พิจารณาถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับธรรมชาติว่าเป็นอย่างไร สนใจแค่ตัวของธรรมชาติที่อยู่รอบกายเพียงเท่านั้นดังนั้นผลของการคิดการพิจารณาของชาวตะวันตกจึงออกมาเป็นการแปรรูปจากธรรมชาติตามความต้องการของตัวเอง การแปรรูปทางธรรมชาติก็คือตัววัตถุหรือกายภาพที่ถูกสร้างขึ้นมาจากธรรมชาตินั่นเอง <O:p></O:p>
    เวลาของมนุษยชาติได้หมดลงแล้ว<O:p></O:p>
    นับตั้งแต่ศาสดาแห่งศาสนาจักรวาลได้ละสังขารแล้วเมื่อ2,552ปีก่อน ก่อนละสังขารท่านได้เปิดโอกาสให้อุบาสก อาสิกา ภิกษุ ภิกษุณี และเหล่าเทวดาภูตผีปีศาจทั้งหลายทูลขอกับพระองค์ ในครั้งนั้นพระอานนท์เถระได้ทูลขอว่า “ข้าพเจ้าขอให้อุบาสก อุบาสิกา ภิกษุ ภิกษุณีเป็นผู้ดูแลพระศาสนาเป็นเวลา2,500ปีนับตั้งแต่พระองค์ละสังขารแล้ว”เมื่อพระอานนท์ทูลขอเสร็จแล้วพระองค์ก็ทรงอนุญาต พระศาสดาตรัสต่อไปว่า “ใครจะขออะไรอีก” เหล่าเทพเทวา อินทร์ พรหม นาค ได้ทูลขอว่า “เหล่าข้าพุทธเจ้าจะขอดูแลพระศาสนาต่อเป็นเวลากึ่งหนึ่งของพระอานนท์นั่นคือ1,250ปี”เมื่อเทพเทวาทูลขอเสร็จแล้วพระองค์ก็ทรงอนุญาต พระศาสดาตรัสต่อไปว่า “ใครจะขออะไรอีก”เมื่อนั้นเหล่าภูตผีปีศาจและมารทั้งหลายได้ทูลขอว่า “เหล่าข้าพระพุทธเจ้าจะขอดูแลพระศาสนาต่อจากเหล่าเทพเป็นเวลา1,250ปีจนกว่าศาสนาพุทธครบ5,000ปี”เมื่อทูลขอเสร็จพระองค์ก็ทรงอนุญาต ขณะนี้เป็นเวลา2,552ปีแล้วนั่นก็แปลว่าเวลาของมนุษย์ชาติที่ได้ดูแลพระศาสนาได้หมดลงแล้วเหตุก็เนื่องจากจิตใจของมนุษย์ได้เปลี่ยนแปลงไม่มั่นคงต่อพระศาสนาเหมือนเดิมอีกแล้วสังเกตได้จากเหล่ามนุษย์มีการกระทำให้ศาสนามัวหมองเช่น นำพระพุทธศาสนามาอ้างมาเรี่ยรายเงินไปใช้ตามความต้องการของตัวเอง บางคนถึงกับนำผ้าเหลืองมาห่มเพื่อหนีความผิดและอีกมากมายจนทำให้พุทธศาสนิกชนเกิดความไม่ศรัทธาเบื่อหน่ายและระแวง ด้วยเหตุนี้การอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาของมนุษย์จึงลดน้อยลงจนถึงขั้นไม่สนใจพระศาสนาเลย ช่วงนี้เป็นการผลัดเปลี่ยนผู้ดูแลศาสนาเหตุการณ์ต่างๆที่ไม่คาดฝันสำหรับมนุษย์นั้นก็ย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมชาติตามกาลเวลาเพราะผู้ที่มารับช่วงนั้นไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นกายทิพย์มีอำนาจมีฤทธิ์ทำได้ทุกอย่าง มนุษย์อย่างเราไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้ท่านสามารถให้คุณและโทษแก่บุคคลที่ปฏิบัติต่อพระศาสนาในทางที่ดีและไม่ดีได้ ดังนั้นนับตั้งแต่ พ.ศ.2500 เป็นต้นไปจึงมีร่างทรงเกิดขึ้นมากมายเพื่อเป็นตัวแทนมนุษย์บอกบุญแก่ผู้มีจิตศรัทธาต่อพระศาสนาอันนี้ผู้เขียนขอบอกไว้เลยว่าไม่เชื่ออย่าลบหลู่เจอมาเองกับตัวเลย ที่ผู้เขียนบอกว่ามีร่างทรงมากมายเกิดขึ้นในสมัยนี้เพราะเทพเทวาท่านเป็นกายทิพย์ไม่สามารถสร้างบารมีด้วยตนเองได้ดังนั้นจึงต้องอาศัยร่างของมนุษย์ในการสร้างบารมีและดูแลศาสนา ตอนนี้เบื้องบนได้พากันลงมามากมายเพราะตระหนักในหน้าที่ของตนท่านผู้อ่านทราบหรือไม่ว่าสุดยอดปรารถนาของสุคติภูมของเทวดาคืออะไรนั่นก็คือการจุติมาเป็นมนุษย์เพราะโลกของมนุษย์นั้นเป็นโลกแห่งความเป็นจริงเป็นโลกแห่งการเลือกสรรให้กับตัวเองและเป็นโลกแห่งการสร้างได้ด้วยตนเองผู้เขียนจึงให้ชื่อโลกมนุษย์อีกชื่อหนึ่งว่า มัชฌิมโลก คือโลกที่เป็นอยู่อย่างปานกลาง มีทั้งสุขทั้งทุกปะปนกันไป ส่วนโลกอื่นนั้นเป็นโลกที่รองรับผลแห่งการกระทำเท่านั้นเช่น นรกเป็นโลกที่มีแต่ความทุกข์สำหรับรองรับคนไม่ดี สวรรค์เป็นโลกที่มีแต่ความสุขสำหรับรองรับคนที่ทำดีและเนื่องจากสมัยนี้อยู่ในช่วงกึ่งพุทธกาลตามพุทธประเพณีแล้วในช่วงกึ่งพุทธกาลของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์จะมีพระมหาโพธิสัตว์บังเกิดเพื่อจรรโลงพระศาสนาให้อยู่ได้สืบต่อไปถือเป็นการการันตีว่าศาสนาจะฟื้นฟูอีกครั้ง<O:p></O:p>
    องค์แห่งธรรมชาติ<O:p></O:p>
    จากการที่ผู้เขียนได้ศึกษาเรื่องราวของธรรมชาติและการกำเนิดโลกเหล่านักดาราศาสตร์ทั้งหลายสันนิษฐานว่า โลกของเราและเพื่อน ๆ ดาวเคราะห์อีก 8 ดวง เกิดจากการรวมตัวของกลุ่มฝุ่นและแก๊สขนาดใหญ่ที่หมุนวนรอบกันเองอยู่ในอวกาศ ที่เรียกว่า เนบิวลา ด้วยแรงดึงดูดระหว่างมวลสารด้วยกัน จึงทำให้ส่วนใหญ่ถูกดึงเข้าสู่ศูนย์กลาง คล้ายการหมุนหรือกวนน้ำในอ่าง นานเข้าจะทำให้ฝุ่นละอองมารวมกันตรงกลาง และจุดตรงกลางนั้นจะกลายเป็นดวงอาทิตย์ ฝุ่นละอองแก๊สที่เหลือจะแยกเป็นดาวเคราะห์ทั้ง 9 ดวง รวมทั้งโลกมนุษย์เอง มันรวมตัวกันด้วยแรงดึงดูดอันมหาศาล เมื่อประมาณ 4,600 ล้านปีมาแล้ว และทั้งหมดยังหมุนเวียนกันอยู่เป็นวงโคจรอยู่เหมือนเดิมเป็นระบบสุริยะจักรวาลในปัจจุบันทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนเกิดจากธรรมชาติทั้งนั้นและคงไม่มีใครปฏิเสธทุกอย่างต้องมีที่มาที่ไปและมีต้นกำเนิดของมันแม้แต่มนุษย์ก็มีเหมือนกัน ธรรมชาติคืออะไร ธรรมชาติก็คือธรรมะ ในขณะที่เขียนก็คือธรรมะและถ้าไม่เขียนก็คือธรรมะเช่นเดียว ในขณะที่พูดหรือไม่พูดนั้นก็คือธรรมะ สรุปธรรมคือทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดและดับ สิ่งที่อยู่นอกกายของเราที่สามารถจับต้องได้และมองเห็นได้เรียกว่าธรรมชาติ สิ่งที่อยู่ภายในตัวเราและสิ่งที่เรามองไม่เห็นมีสภาพรู้เรียกว่าธรรมญาณ ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติทั้งหมดและธรรมญาณทั้งหมดล้วนเป็นส่วนประกอบของธรรมะมาจากที่เดียวกันจุดเดียวกันนั่นคือ องค์แห่งธรรมชาติหรือองค์ธรรม องค์ธรรมชาติคืออะไร องค์ธรรมชาติคือจุดศูนย์รวมพลังและอานุภาพทั้งหลายมีสภาวะว่างดำรงอยู่ได้ไม่มีวันสลายสามารถให้กำเนิดและควบคุมไปตามสิ่งที่ควรจะเป็นเพื่อรักษาดุลยภาพของธรรมทั้งปวงจุดศูนย์รวมอันนี้เป็นอิสระจากแสง มิติ และเวลาเร้นลับไม่สามารถวัดหรือบรรยายได้เป็นคำพูด มนุษย์ทุกคนที่เกิดมาบนโลกนี้ล้วนมาจากที่เดียวกันนั่นรวมถึงเจ้าลัทธิและศาสดาทั้งหลายด้วย เมื่อสองพันห้าร้อยปีก่อนนี้พระพุทธเจ้าท่านเคยทรงตรัสว่า “แท้จริงแล้วมนุษย์นั้นเป็นสิ่งสว่างประภัสสรเพียงแต่มีความอยากและกิเลสเข้ามาบดบัง เปรียบเสมือนเมฆดำบดบังพระจันทร์ไว้”เมื่อพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองท่านก็ทราบว่าเดิมตัวท่านเองเกิดมาจากสิ่งใดและมนุษย์ทุกคนนั้นก็มาจากที่เดียวกันกับพระองค์เพียงแต่พระองค์รู้ได้ด้วยปัญญาญาณที่บำเพ็ญมาข้ามภพข้ามชาตินานแสนนานเมื่อพระองค์ละสังขารแล้วจิตของพระองค์ได้กลับเข้าไปรวมกับองค์ธรรมชาติอีกครั้งเหตุที่พระองค์นำจิตหรือญาณของพระองค์สามารถเข้าไปรวมกับองค์ธรรมชาติได้เนื่องจากสภาวะจิตของพระองค์มีคุณสมบัติเดียวกันกับองค์ธรรมชาติคือสภาวะว่างเพราะจิตแห่งพระองค์นั้นไม่ยึดติดไม่เกี่ยวพันกับสิ่งใดเลยแม้แต่เวลาเฉกเช่นเดียวกันกับมนุษย์ทุกคนหากต้องการที่นำจิตตนเข้าไปอยู่ในองค์ธรรมชาติอีกครั้งก็ต้องหมั่นฝึกฝนจิตให้รู้จักละวาง การบำเพ็ญไม่ว่าจะเป็น ทาน ศีล ภาวนา ต้องบำเพ็ญเพื่อละวางให้สิ่งที่เคยยึดติดนั้นค่อยสละออกไปไม่ใช่บำเพ็ญเพื่อหวังผลตอบแทนสนองความต้องการของตนทั้งนี้การฝึกฝนและการบำเพ็ญนั้นอาจจะใช้เวลานานเป็นภพเป็นชาติหรือข้ามภพข้ามชาติเหมือนดังพระพุทธเจ้าของเราเหตุที่กล่าวเช่นนี้ก็เพราะจิตมนุษย์เคยชินกับภาวะการยึดติดมานานในการจะละวางนั้นไม่ใช่ของง่ายต้องใช้เวลาคำว่าว่างในที่นี้คือต้องว่างร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าจะกล่าวไปแล้วมันก็สมเหตุสมผลเหมือนกันว่าทำไมต้องมีภพชาติเหตุก็เพราะจิตเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งที่ไม่มีวันสูญสลายเมื่อไม่สลายกายแตกดับจิตก็ต้องหาที่ดำรงอยู่และหากจะเข้าไปรวมอยู่กับองค์ธรรมชาติ(ที่อยู่ดั้งเดิมของจิต)ก็ไม่สามารถทำได้เพราะสภาพจิตไม่มีสภาวะว่างเมื่อไม่สามารถดำรงอยู่ได้จึงเกิดภพภูมิเพื่อมารองรับจิตเพื่อให้ดำรงอยู่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาวะจิตจะว่างน้อย ปานกลางจนถึงมากดังนั้นมนุษย์คนใดมีความยึดมั่นมากจนไม่รู้เหตุรู้ผลภูมิที่มารองรับจิตนั้นก็คืออบายภูมิทั้งสี่ นรก เปรต อสุรกายและเดรัจฉานหากจิตมนุษย์คนใดมีความยึดมั่นน้อยจนไม่มีเลยภูมิที่มารองรับจิตนั้นก็คือ สวรรค์ทั้งหก รูปพรหมสิบหก อรูปพรหมสี่และสุดท้ายหากจิตมนุษย์คนใดไม่มีความยึดมั่นเลยจิตนั้นก็จะสามารถเข้าไปดำรงอยู่ในองค์ธรรมชาติอีกครั้งโดยไม่มีวันหวนกลับมา ถ้าจะกล่าวโดยสรุปแล้วองค์ธรรมชาติคือต้นกำเนิดของธรรมชาติและธรรมญาณทั้งปวง ธรรมชาติมีลักษณะเป็นกายภาพที่สุดของธรรมชาติคือการแตกดับและสลาย ธรรมญาณมีลักษณะเป็นนามธรรมมีสภาพรู้ที่สุดของธรรมญาณคือการกลับเข้าไปสู่องค์ธรรมชาติอีกครั้ง ธรรมญานไม่มีวันดับสลายและการที่จะนำธรรมญาณกลับสู่องค์ธรรมชาติได้ต้องอาศัยกายธรรมชาติที่เรียกว่ากายมนุษย์เพื่อฝึกฝนและปรับให้ธรรมญาณมีสภาวะเดียวกันกับองค์ธรรมชาตินั่นก็คือ สภาวะว่าง ดังนั้นการเกิดเป็นมนุษย์นั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากขอให้ผู้อ่านพิจารณาด้วยปัญญาให้ดี<O:p></O:p>
     
  2. ชัยวิทย์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +26
    บุญอันยิ่งใหญ่ที่เกิดจากการให้ธรรมเป็นทาน และเตือนสตินี้ ข้าพเจ้าขออนุโมทนาด้วยจิตที่เคารพอย่างสูง สาธุๆๆ
     
  3. ศรัทธานนท์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2010
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +114
    พุทธธัง อาราธนานัง ธรรมมังอาราธนานัง สังฆัง อาราธนานัง
    บุญกุศลทั้งหลายที่ข้าพเจ้ากระทำไว้ดีแล้วในอดีต ปัจจุบัน แล อนาคตที่จะถึง ข้าพเจ้า
    ขออุทิศกุศลปัตตาทาน ให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย ทุกภพทุกภูมิ ทุกรูปทุกนาม ทั่วทั้งอนันตเอกภพ จนหมดสิ้นเทอญ เหตุที่ให้ก็เพราะตัวขาพเจ้านั้นมีทุกข์ เมื่อตัวข้าพเจ้ามีทุกข์สัตว์อื่นๆก็มีทุกข์เช่นเดียวกัน เพราะสัตว์ทั้งหลายทั้งมวลนั้นล้วนแต่มีศักดิ์แห่งธรรมเดียวกันคือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย แล สิ่งที่มากระทบกระเทือนใจอยู่แล้ว สาธุ ขอท่านทั้งหลายจงเห็นดวงตาธรรมแห่งพระพุทธเจ้า บังเกิดสัมมาทิฎฐิเถิด
     
  4. apichai53 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    630
    ค่าพลัง:
    +2,261
    เป็นบทความของใครครับ อ่านแล้วให้แง่คิดทางธรรม ดีมาก
    อนูโมทนาครับ
     

แชร์หน้านี้