หมาขี้เรื้อน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย k_yutthasin, 16 มีนาคม 2010.

  1. k_yutthasin

    k_yutthasin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +117
    :cool:<TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width="85%" height="100%">ลองอ่านดูนะครับ ได้ประโยนช์ทีเดียว(พอดีอ่านเจอจากที่อื่นเลยนำมาให้อ่านครับ)


    *...ลูกชายนักธุรกิจใหญ่มีชื่อเสียงระดับประเทศคนหนึ่งเพิ่งสำเร็จการศึกษากลับมาจากเมืองนอก


    ยังไม่ทันทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก็ถูกผู้เป็นแม่ขอร้องให้บวชเรียนเสียก่อน


    เพื่อเห็นแก่แม่..บัณฑิตใหม่หมาดๆจากเมืองนอกจึงบวชอย่างเสียไม่ได้

    เมื่อบวชที่วัดใหญ่ในกรุงเทพฯแห่งหนึ่งเสร็จแล้ว


    ผู้เป็นแม่จึงพาไปฝากให้จำพรรษาอยู่กับพระวิปัสสนาจารย์รูปหนึ่งที่วัดป่าแถวภาคอีสาน


    พระหนุ่มการศึกษาสูงมาจากตระกูลผู้ดีมีแต่ความสุขสบาย


    เมื่อมาอยู่วัดป่ากว่าจะปรับตัวได้จึงใช้เวลานานเป็นแรมเดือน




    แต่ก็นั่นแหละกว่าจะนิ่งก็ทำเอาพระร่วมวัดหลายรูปพลอยอิดหนาระอาใจไปตามๆกัน


    ปัญหาที่ทำให้พระทั้งวัดเหนื่อยหน่ายจนนึกระอาก็เพราะพระใหม่มีนิสัยชอบจับผิด


    และชอบอวดรู้ยกหู ชูหางตัวเองอยู่เป็นประจำ


    วันแรกที่มาอยู่วัดป่าก็นึกเหยียดพระเจ้าถิ่นทั้งหลายว่าไม่ได้รับการศึกษาสูงเหมือนอย่างตน


    ออกบิณฑบาตได้อาหารท้องถิ่นมาก็ทำท่าว่าจะฉันไม่ลง


    เห็นที่วัดใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าดแทนไฟฟ้าก็วิพากษ์วิจารณ์เสียเป็นการใหญ่หาว่าล้าสมัย


    ไม่รู้จักใช้เทคโนโลยี่ ตอนหัวค่ำมีการทำวัตรสวดมนต์เย็นก็บ่นว่า


    ท่านรองเจ้าอาวาสทำวัตรนานเหลือเกินกว่าจะสิ้นสุดยุติได้ก็นั่งจนขาเป็นเหน็บชา




    ครั้นพอถึงเวรตัวเองล้างห้องน้ำเข้าบ้างก็ทำท่าจะล้างอย่างขอไปทีล้างไปบ่นไป


    ประเภทตูจบปริญญาโทมาจากเมืองนอกต้องมาเข้าเวรล้างห้องน้ำร่วมกับใครก็ไม่รู้


    โอ้ชีวิต! ความสำรวยหยิบโหย่งทำให้พระใหม่ไม่พอใจสิ่งนั้นสิ่งนี้ถือดี


    ว่าตัวเองมีชาติตระกูลสูง มีการศึกษาสูงกว่าใครในวัดนั้น


    ผิวพรรณก็ดูสะอาดสะอ้านชวนเจริญศรัทธากว่าพระรูปไหนทั้งหมด


    มองตัวเองเปรียบกับพระรูปอื่นแล้วช่างรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าทุกประตู



    นึกแล้วก็ยิ้มกระหยิ่มอยู่ในใจกลับเข้ากุฏิเมื่อไหร่ก็เอาปากกา
    มาขีดเครื่องหมายกากบาทบนปฏิทิน

    นับถอยหลังรอวันสึกด้วยใจจดจ่อ





    อยู่มาได้พักใหญ่พระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็สังเกตเห็นว่าท่านเจ้าอาวาสวัดป่าแห่งนี้
    ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา


    ซ้ำนานๆครั้งจะออกมาให้โอวาทกับลูกศิษย์เสียทีหนึ่ง


    วันๆไม่เห็นท่านทำอะไรเอาแต่กวาดใบไม้ เก็บขยะ


    ซักผ้าเอง (เณรน้อยก็มีไม่รู้จักใช้) สอนก็ไม่สอน


    การบริหารวัดก็มอบให้ท่านรองเจ้าอาวาสเป็นคน


    จัดการไปเสียทุกอย่าง เห็นแล้วเลยนึกร้อนวิชา


    เสนอให้ปรับโน่นลดนี่สารพัดที่ตัวเองเห็นว่าไม่เข้าท่าล้าสมัย



    รวมทั้งให้เสนอให้วัดใช้ไฟฟ้าแทนตะเกียงด้วยอีกข้อหนึ่ง
    เพราะตนเห็นว่ายุคสมัยก้าวไกลมามากแล้ว


    ไม่ควรจะทำตนเป็นคนหลังเขาให้คนอื่นเขาดูถูก


    อีกหนึ่งในข้อวิจารณ์จุดด้อยของวัดทั้งหลายเหล่านั้นพระใหม่เสนอให้


    หลวงพ่อเจ้าอาวาส


    มีปฏิสัมพันธ์กับพระลูกวัดให้มากขึ้นกว่านี้ สอนให้มากขึ้นเทศน์ให้มากขึ้น


    และแนะนำว่าคนระดับผู้บริหารไม่ควรจะทำงานอย่างการซักจีวรเองเป็นต้นด้วยตนเอง


    ควรจะกระจายอำนาจมอบงานให้คนอื่นทำดีกว่า




    เย็นวันนั้นเป็นวันพระสิบห้าค่ำ


    หลวงพ่อเจ้าอาวาสมานั่งทำวัตรที่โบสถ์ธรรมชาติกลางลานทรายด้วย


    ท่านไม่ลืมที่จะหยิบข้อเสนอแนะจากพระใหม่มาอ่านให้พระหนุ่มสามเณรน้อย


    ทั้งหลายฟังแต่ท่านไม่บอกว่าพระรูปไหนเป็นคนเขียน


    อ่านจบแล้วหลวงพ่อก็ยิ้มอย่างมีเมตตาพลางหยิบไมโครโฟนขึ้นมา


    แล้วชี้ให้ภิกษุหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลายดูหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่ง


    ที่นอนอยู่ใต้ม้าหินอ่อนตัวหนึ่งจากใต้ต้นอโศกที่อยู่ ใกล้ๆ




    เธอทั้งหลายเห็นหมาขี้เรือนตัวนั้นหรือไม่ เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันเป็นขี้เรื้อน


    คันไปทั้งตัว ฉันเห็นมันวิ่งวุ่น ไป มาทั้งวัน


    เดี๋ยวก็วิ่งไปนอนตรงนั้นเดี๋ยวก็ย้ายมานอนตรงนี้


    อยู่ที่ไหนก็อยู่ไม่ได้นานเพราะมันคัน แต่พวกเธอรู้ไหม


    เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันไปนอนที่ไหนมันก็นึกด่าสถานที่นั้นอยู่ในใจ


    หาว่าแต่ละที่ไม่ได้ดั่งใจตัวเองสักอย่าง นอนที่ไหนก็ไม่หายคัน


    สถานที่เหล่านั้นช่างสกปรกสิ้นดี




    คิดอย่างนี้แล้วมันจึงวิ่งหาที่ที่ตัวเองนอนแล้วจะไม่คัน


    แต่หาเท่าไหร่มันก็หาไม่พบสักที


    เลยต้องวิ่งไปทางนี้ทางโน้นอยู่ทั้งวัน เจ้าหมาโง่ตัวนั้นมันหารู้สักนิดไม่ว่า


    เจ้าสาเหตุแห่งอาการคันนั้นหาใช่เกิดจากสถานที่เหล่านั้นแต่อย่างใดไม่


    แต่สาเหตุแห่งอาการคันอยู่ที่โรคของตัวมันเองนั่นต่างหาก



    พูดจบแล้วหลวงพ่อก็วางไมโครโฟนลงเป็นสัญญาณให้รู้ว่า
    ได้เวลาภาวนาหลังการทำวัตร สวดมนต์เย็นแล้ว




    ขณะที่ทุกรูปนั่งหลับตาภาวนาอย่างสงบนั้น


    ในใจของพระใหม่กลับร้อนเร่าผิดปกติ นอกสงบ แต่ในวุ่นวาย


    นึกอย่างไรก็มองเห็นตัวเองไม่ต่างไปจากหมาขี้เรื้อนที่หลวงพ่อชี้ให้ดู


    ยิ่งนั่งสมาธินานๆ ยิ่งคันคะเยอในหัวใจ ทั้งอายทั้งสมเพชตัวเอง




    นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาพระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน


    จากคนพูดมากกลายเป็นคนพูดน้อย จากคนที่หยิ่งยโสกลายเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน


    จากคนที่ชอบจับผิดคนอื่นกลายเป็นคนที่หันมาจับผิดตัวเอง



    เมื่อออกพรรษาแล้วโยมแม่มาขอให้ลาสิกขาเพื่อกลับไปสืบต่อธุรกิจ
    จากครอบครัวท่านก็ยังไม่ยอมสึก




    "อาตมาเป็นหมาขี้เรื้อน



    ขออยู่รักษาโรคจนกว่าจะหายคันกับครูบาอาจารย์ที่นี่อีกสักหนึ่งพรรษา"
    โยมแม่ได้ฟังแล้วก็ได้แต่ยกมืออนุโมทนาสาธุการกราบลาพระลูกชาย


    แล้วก็เดินออกจากวัดไปขึ้นรถพลางนึกถามตัวเองอยู่ในใจว่าคำว่า


    หมาขี้เรื้อน ของพระลูกชายหมายความว่าอย่างไรกันแน่หนอ







    ถ้าเรายังเป็น โรคอยู่ในใจ ไม่พอใจอะไรซักอย่าง เงินเดือนน้อย หน้าที่การงานไม่พัฒนา ตำแหน่งไม่ไปไหน ไม่ว่าเราย้ายงาน ไปที่ไหน เราก็ไม่พอใจ สถานที่เหล่านั้นไม่ดี คนไม่ได้เรื่อง ทั้ง ๆ ที่เราไม่เคยได้ดูตัวเองเลยว่า เราพัฒนาการทำงานของเรามั้ย ขวนขวายหาความรู้หรือเปล่า ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับหมาขี้เรื้อนตัวนั้นเลย



    "การรู้ซึ้งคุณค่าของสิ่งที่เรามีอยู่ในวันนี้คือสิ่งที่สำคัญ
    ขอให้ความทุกข์ที่ผ่านมาแล้ว...เป็นบทเรียนอันมีค่าที่จะทำให้เราเติบโตอย่างคนที่รู้เท่าทันความทุกข์"



    </TD></TR><TR><TD class=smalltext vAlign=bottom width="85%"><TABLE style="TABLE-LAYOUT: fixed" width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=smalltext width="100%" colSpan=2></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  2. ไอ่

    ไอ่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +124
    ชอบจังบทความนี้ อ่านแล้วขำจริงๆ ถูกใจมากค่ะ ขออนุโมทนา
     
  3. daruma

    daruma เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    209
    ค่าพลัง:
    +533
    สา....ธุคับ บทความนี้เคยอ่านมาก่อนแล้ว ดีมากๆเลยคับ
    ยิ่งอ่านยิ่งทำให้รู้สึกว่า ต้องย้อนกลับมามองดูตัวเองตลอดเวลาเสมอ
    ขอบคุณที่นำบทความนี้มาเผยแพร่อีก
     
  4. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    ศึกษาน้อยใช่จะด้อยปัญญา
    ศึกษามาก โง่บรมมีถมไป
    มองเห็นผู้หลักผู้ใหญ่ รศ ผศ ดร มีมากมาย
    แต่เหตุไฉนมีแต่วุ่นวายใจ หาความสุขได้ยาก
    ธรรมะนี่ดีจริง
    เหมือนน้ำเย็นชะโลมใจ
    ไม่เสียดายที่เกิดมาแล้วได้สดับธรรม
    โชคดีเสียนี่กระไร
    ทำงานสบายใจ ไม่เดือดร้อน
    ยามว่างพักผ่อนศึกษาธรรม
    ยามค่ำปฏิบัติ ทำความเพียร
    นอนหลับสบาย ไม่ฝัน
    เช้ามาสดชื่น เจริญสติต่อไป
    ชีวิตคงไม่มีสาระอะไร
    หากไม่ได้พบเจอสัทธรรม...
     
  5. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,801
    ค่าพลัง:
    +7,939
    รบกวนอาจารย์มหาลัย อ่านธรรมะของ เจ้าของกระทู้ให้พินิจพิเคราะห์เพิ่มอีก
    นิด เอาให้ถึงแก่น เนื้อหาสาระ

    อย่าลำพังขุดอนุสัย ที่ยกตนข่ม ผู้บังคับบัญชา รศ. ดร. ผส. ในสายงาน
    แล้วเที่ยว "เหวี่ยง" อะไรเรี่ยราดไม่สำรวม อวดดื้อถือดีเพียงเพราะว่าอาศัย
    ภาพของผู้ปฏิบัติธรรม แสดงอาการของคนที่คันๆแล้วก็เอาแต่เกาคิดว่าแก้
    ปัญหาอยู่ ปลงอยู่

    มิเช่นนั้นแล้ว คุณจะกลายเป็นตัวละคร คือ พระใหม่(อาจารย์มหาลัยคนใหม่)
    ที่เข้าไปในวัด(มหาลัย) แล้วไปเถียงกับ เจ้าอาวาส( รศ. ดร. ผศ.)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มีนาคม 2010
  6. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    เห็นแบบนั้น ก็พูดไปแบบนั้น
    คุณติดใจอะไรผมหรือเปล่าครับ?
     
  7. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,801
    ค่าพลัง:
    +7,939
    เปล่านี่ ก็เห็นเป็นแค่ ตัวอย่างตามท้องเรื่อง
     
  8. piya9999

    piya9999 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +56
    เอาน่าๆๆๆๆ
    กระทู้ออกจะดี ไม่เห็นจะต้องมาทะเลาะกัน
     

แชร์หน้านี้

Loading...