นั่งนอนยืนเดิน 4 อิริยาบท มีสติชำเลืองมอง
ความว่างในใจบ่อยๆ ใจก็โปร่งเบาได้
ยิ่งบ่อยยิ่งเพิ่มพูนสัมปชัญญะ
ภาวนาแบบนี่ ใครทำแล้วเกิดปัญญา
บ้างฮับ
หยุดขบคิดหยุดไตร่ตรองด้วยการชำเลืองมองหาใจว่าง
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมแท้ว่าง, 12 มกราคม 2019.
-
-
เท่าที่สดับมาบ่อยครั้ง
นี่ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ใหม่นะฮับ
ดั้งเดิมจากพระไตรปิฎกเช่นกัน
สามารถลดตัวตน
ทำลายตัวตนผู้กำหนดรู้ และสิ่งที่ถูกรู้
ด้วยการมีสติชำเลืองความว่าง
ของใจเป็นระยะๆ
ดุจโคแม่ลูกอ่อนเล็มหญ้าไปชำเลืองดู
ลูกอ่อนไป
เล็มหญ้าคือทำหน้าที่การงาน
ชำเลืองดูลูกโคคือ ใจที่ว่างจากการขบคิด
และไตร่ตรองทั้งปวงฮับ -
ใช้คำว่า ชำเลืองพอได้ครับ
ชำเลืองจากตัวสติถ้ามีถือว่าดี
แต่การชำเลืองแบบนี้
ไม่ใช่ชำเลืองความว่างนะครับ
เป็นการเฝ้าระวังครับ..
เปรียบกับ เรื่องลูกโคก็ได้ครับ
ถ้าแม่โคยังชำเลืองดูลูกโค แสดงว่า
ยังห่วง คอยเฝ้าระวังเกรงว่าจะเกิดภัยกับ
ลูกโคใช่ไหมครับ?
แล้วมันจะว่างตอนไหน ว่างตอนแม่โคกำลังทานหญ้า?
หรือว่างตอนที่กำลังชำเลือง ?
เมื่อตาคอยชำเลืองดูอยู่ จิตมันก็ห่วงลูกโคจริงไหมครับ ?
กิริยาที่จิตจะว่าง จนเป็นเหตุให้ใจเบาสบายได้นั้น....
มันต้องไม่ใช่อยู่ภายใต้การคอยเฝ้าระวัง
เพราะมันยังมีตัวไปกระทำอยู่ มีการเกิดของใจอยู่
คือความเป็นห่วงลูกโคนั่นหละครับ.....
เปรียบเรื่อง ลูกโค ถ้าจิตจะว่างจนใจเบาสบายได้นั้น
หมายความว่า แม่โคนั้น ต้องไม่คอยชำเลืองลูกโค
และ ต้องไม่ห่วงลูกโคตัวนั้นเลย
ไม่ว่า ลูกโคจะอยู่ ณ สถานที่ หรือเป็นอย่างไรก็ตามครับ
ใจของแม่โคต้องไม่มีห่วงลูกโคตรงนี้
จน มาทำให้ใจแม่โคเกิดได้เลย
จนเป็นเหตุต้องไปคอยชำเลืองดู
กรณีที่ยังคอยชำเลืองลูกโคอยู่เสมอๆนั้น
เป็นลักษณะของสติที่ต่อเนื่องอยู่
จะเรียกว่า เป็นสติสัมปะชัญญะก็ได้......
แต่เมื่อคอยเฝ้าระวังดูลูกโคอยู่ต่อเนื่องแบบนี้
แล้วปัญญามันจะเกิดได้อย่างไรหละครับ...
เพราะปัญญามันจะเกิดได้ต่อเมื่อ
ได้รู้เห็นตามความเป็นจริงด้วยใจที่เป็นกลาง
ณ เวลานั้น..บ้างก็เรียกว่า เกิดจากจากการ
ฟัง แล้วพิจารณา แต่ต้องพิจารณาด้วยใจที่เป็นกลางเช่นกัน
ปัญญามันถึงจะเกิดได้......
ยกเว้น ว่าแม่โค จะมองแล้วลูกโค แล้วโน้มมาพิจารณาว่า
วันหนึ่งลูกโคก็ต้องโต มีครอบครัว ถูกขายไป
ต้องจากเราไป หรือไม่ก็ต้องถูก
นำไปทำเป็นอาหารแก่มนุษย์
หรือแม่โคคิดได้ว่า เราไม่สามารถ
ที่จะรักษา คอยป้องกันเฝ้าระวังลูกโคตัวนี้ได้ตลอดเวลา
หรือที่จะคอยบอกให้ลูกโค
ต้องคอยทำตามที่เราบอก
เพื่อให้เราคอยดูแลใกล้ชิดได้ง่าย
ได้ทุกครั้งที่บอก เพื่อมีภัยจะได้ช่วยป้องกันได้
อะไรประมาณนี้ถึงจะพอเกิดเป็นปัญญาได้ครับ......
พอเห็นอะไรไหมครับ -
หยุดขบคิด
หยุดไตร่ตรอง
แล้วหายใจลึกๆ ครั้ง2 ครั้งแล้วชำเลืองไป
ที่ใจจะเห็นมันว่างๆแว๊บๆฮับ
เพียงเริ่มต้นก็โล่งๆที่ใจ นิดๆ คับ -
ได้สติระลึกได้ไม่ต้องขบไม่ต้องคิด
ชำเลืองอีก ไม่กำหนด ไม่จดไม่จ้อง มองเบา ๆ ฮับ
ยิ่งได้สติบ่อย ยิ่งเห็นว่างบ่อย
สัมปชัญญะจะเกิดด้วยฮับ
ทำได้ทุกอิริยาบทที่มีสติ -
How to มีเท่านี้ฮับ
ที่เหลือต้องทำเอง ได้เองเงียบๆฮับ
ไม่มีเถียงไม่มีโต้แย้ง ไม่มีหือคับ
ห้ามหือฮับ
ชำเลืองอย่างเดีบว
หือเมื่ิอไรตัวตนมาทันทีฮับ -
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๔
มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์
๘. โกสัมพิยสูตร
//www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=12&A=9992&Z=10133
[๕๔๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า บุคคลผู้ถึง
พร้อมด้วยทิฏฐิ ประกอบด้วยธรรมดาเช่นใด ถึงเราก็ประกอบด้วยธรรมดาเช่นนั้น. ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ก็บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ประกอบด้วยธรรมดาอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดา
นี้ของบุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ คือ อริยสาวกถึงความขวนขวายในกิจใหญ่น้อยที่ควรทำอย่างไร
ของเพื่อนสพรหมจารีโดยแท้ ถึงอย่างนั้น ความเพ่งเล็งกล้าในอธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา และ
อธิปัญญาสิกขา ของอริยสาวกนั้นก็มีอยู่ เปรียบเหมือนแม่โคลูกอ่อน ย่อมเล็มหญ้ากินด้วย
ชำเลืองดูลูกด้วยฉะนั้น. อริยสาวกนั้น ย่อมรู้ชัดอยู่อย่างนี้ว่า บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ประกอบ
ด้วยธรรมดาเช่นใด ถึงเราก็ประกอบด้วยธรรมดาเช่นนั้น. นี้ญาณที่ ๕ เป็นอริยะ เป็นโลกุตระ
ไม่ทั่วไปกับพวกปุถุชน อันอริยสาวกนั้นบรรลุแล้ว.
Cr. นมสิการ -
+++ ส่วนไอ้ตัวที่ "ชำเลือง" ตัวนั้นแหละ "ตัวดู"
+++ ไอ้ "ตัวดู" นี่แหละ ดูที่ไหน "จิตส่งออก" ที่นั่น
+++ ไอ้ตัวนี้แหละ "สมุทัย" ตัวจริง
+++ ให้ "รู้ อาการชำเลือง" จนกว่า "อาการชำเลือง" ถูกรู้ แล้ว แยกออก
+++ หาก "แยก" อาการชำเลือง ให้ "พ้นออกไป" ได้เมื่อไร
+++ นั่นแล... "วิวัฒนาการทางจิต" จะก้าวขึ้นสู่ อีกระดับหนึ่ง ทันที
+++ ใช้หลัก รู้ "เหลือบซ้าย แลขวา" ใน กายคตาสติ นะครับ -
-
อย่างที่ท่านธรรมชาติกับท่านนพกาญจน์
กล่าว
นี่มันยากจริงๆ เพราะมันดูเหมือนว่า
ต้องมีปัญญามาก่อน
ไม่งั้นไปไม่รอดฮับ -
จากหยาบให้ละเอียด เหมาะสำหรับการเริ่มต้นนั่ง
สมาธิครับ....
คำว่าใจว่าง หรือ จิตว่าง. กิริยาทางนามธรรมคือ
ไม่มีการเกิดของตัวจิตเลย....ไม่ว่าอะไรก็ตาม
มาทำให้จิตเกิดได้ ไม่ว่า สติ ความคิด ปัญญา
กำลังสมาธิ ตบะ ญาน ญานอะไร ทั้งนั้นครับ
พูดง่ายๆว่า มันต้องว่างของมันเองตามธรรมชาติ
หรืออัตโนมัติของมันเอง. ถ้าเริ่มจากสติ ปัญญา
สมาธิ ตบะ ความชำนาญใดๆในการเข้า
มันไม่ใช่การว่างที่แท้จริง มันเป็นการว่างแบบ
มีตัวกระทำอยู่ครับ....แต่ว่า จะเริ่มต้นกันแบบนี้
ทุกคนไม่ใช่เรื่องแปลกหรือไม่ดีนะครับ....
ยกเว้นว่า ลุงแมว จะรู้สึกว่า กายเบา หน้าอกเบาสบาย
โล่งๆ คล้ายๆตอนที่ทำบุญเสร็จ
อาจจะใช่ แต่การสื่อความหมายยังไม่ชัดเจน...
แต่มันก็ยังไม่ใช่ ว่างจริงๆ เพราะมีบุญ มีสติมากระทำ
ให้มันว่างอยู่ครับ....
นัยยะ. ที่ไม่ว่าว่าง และ ไม่ว่าง นั่นหละว่างครับ....
และมันต้องเป็นไปเองตามธรรมชาติของมันเอง
โดยไม่มีอะไรมากระทำก่อนหน้าให้ว่าง
คือมันมีตัวกระทำให้ว่าง ส่วนสติ กับ สัปชัญญะเกิดด้วย
ถ้าทำอย่างนี้ นะใช่ครับ แต่ถ้า มาพิจารณาได้
ก่อนนอนและก่อนตื่นว่า ระหว่างวันทำอะไรมาบ้าง
พลาดตรงไหนบ้าง จะกลายเป็น สติสัมโภษชงค์
ส่วน ถ้า ลุงแมว สังเกตุระยะเวลาในช่วง
ที่ มีการตัดเรื่องราวใดๆที่เข้ามากระทบได้ทันบ่อยๆ
มันจะพัฒนาเป็น มหาสติได้ครับ
มี ๒ แนวทางลองพิจารณาดูครับ
ไม่มีใครเกิดมาแล้วจะวิ่งได้เลยหรอกครับ.....
ส่วนใครจะมีสติมาก่อน ปัญญามาก่อน
ใครจะสมาธินำ ปัญญานำ มันแล้วแต่เหตุ
และปัจจัยของบุคคลนั้นๆครับ....
ตรงนี้ เราคงไม่สามารถสรุปได้ว่า
อะไรมาก่อนมาหลังครับ....
พอเข้าใจนะครับ -
กุ้ม! ว่างกันจัง พุ้งปิ๊ด
-
สวัสดีปีใหม่ 62 ฮับพุ่งปี๊ด ปี๊ดด -
เทดหน่อยฮับบิ๊กตู่
FC รอฟังอยู่ -
นึกถึงความเลวร้าย ความทุกข์ของโลกมากๆ ให้กลัวจนตัวสั่นบ่อยๆนั้นแหล่ะ ถึงจะเรียกทำกิจในทุกขสัจ จะได้ตั้งใจเลิกพุ่งปิ๊ดๆๆ จะเป็น อาจารย์คน อย่างน้อยก็ให้ตั้งใจเลิกถ้ายังเลิกไม่ได้ก็ตาม จะได้เป็นผู้รู้ทางจริง ถ้างั้นมันมั่ว
-
ท่านลุงแมวคึกคัก
ได้อีกแระ ขอบคุณฮับ555 -
ไป ลุ แก่......
จนกลัวความผิด ตัวสั่น มาหรอ....
ขั้นต่อไป จะทำร้ายคนนะ...
แล้วก้ ปิดปาก...
เปนไปตาม ปัจจัย .....เพราะ ไปใช้วิธี กดข่ม
จึงเกิด อนุเสติ ที่บาลี แปลว่า "ตามนอน"
พอปัจจัยมันมี มันจะ "ทะลุ"
ตามด้วย ตัวสั่น....ถ้าถูก จับได้ .... จะเริ่ม
ทำร้าย......ปิดปาก......ยกครัวนี่ พึงมีข่าว -
ถ้า พูดโชวพาว อันไม่มีเหตให้กล่าว ก้นะ....