หลงทาง

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย raming2555, 3 พฤษภาคม 2013.

  1. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    สติ แปลว่า ความระลึกได้
    สัมปชัญญะ แปลว่า ความรู้สึกตัว

    ผมก็เรียนมาท่องจำมาตั้งแต่ตอนประถมเหมือนทุกคน แต่เหตุที่ต้องมาหัดเดินทั้งที่เดินได้มาตั้งแต่ 2 ขวบแล้ว เพื่อค้นหาสติ ที่เคยคิดว่า ใครๆก็รู้... แต่ว่าเวลานั้นผมไม่รู้จริงๆ ผมเริ่มงงกับคำว่า สติ และ สัมปชัญญะ
    ผมเดินช้าก็ผิดครับ...หลวงพ่อบอกว่าไม่มีสติ
    ผมเดินเร็วก็ผิดครับ....หลวงพ่อก็ยังบอกว่าขาดสติ
    ผมเดินธรรมดาๆ ... หลวงพ่อก็ยังส่ายหน้า...
    สติคือความระลึกได้ นี่ผมก็ระลึกอยู่ได้ของผมเหมือนกัน ผมเดินผมก็รู้สิว่าผมเดิน เพราะคนมันเดิน มันก็ต้องไม่ได้นั่ง มันก็ต้องรู้...แต่หลวงพ่อบอกว่า รู้อย่างนั้นมันไม่ใช่สติ???

    พี่ชายผมบอกว่า เวลาทำอาหารอยู่ที่ โรงแรม ขณะหั่นมีด ก็มีจิตใจจดจ่อกับการหั่น ทำด้วยความระมัดระวัง ค่อยๆทำ...หลวงพ่อก็บอกว่า นั่นมันก็ยังไม่ใช่สติ...

    หลวงพ่อบอกว่า ผู้รู้นี้ก็คือสติ ให้เราอยู่กับผู้รู้อยู่เสมอๆ และอาศัยผู้รู้ตามดูจิต...ท่านยังกล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสสอนว่า "ผู้ใดเพียรตามดูจิต ผู้นั้นจะพ้นทุกข์"

    นี่ก็เลยทำให้ผมไม่รู้หนักเข้าไปอีก ทั้ง สติ ผู้รู้ และจิต...
    คนภายนอกมองดูมาที่ผม ก็ต้องเข้าใจว่าผมเป็นคนเก่ง คนฉลาด แต่ส่วนตัวผมเองที่มองตัวเองอยู่ภายใน ผมรู้สึกว่าตัวผมนี่มันยังโง่อยู่อีกมาก เรื่องมันก็ไม่น่ายาก ทำไมเราจึงไม่รู้ ไม่เข้าใจ ได้นะ...คนอื่นเขาจะสงสัยแบบเราหรือเปล่า...ที่เราว่าใช่แล้ว นี่แหละ ...หลวงพ่อกลับบอกว่า ไม่ใช่...

    "หลวงพ่อครับ ผมเดินอยู่อย่างนี้ ผมก็รู้นะครับว่าเดินอยู่ รู้อย่างนี้ เรียกว่า สติ หรือเปล่าครับ"
    " ไม่ใช่ ... นั่น เป็นการรู้จากสัญญา..."
    "แล้วรู้จากสัญญา คือความจำได้ รู้จากวิญญาณ มันต่างจากรู้ โดยสติ อย่างไรครับ"
    "ฝึกไป...คุณทำไปเรื่อยๆ...แล้วจะรู้เอง มีแต่การทำความเพียรเท่านั้นที่จะรู้ได้ อธิบายเท่าไรคุณก็ไม่เข้าใจอยู่ดี"

    เดินไปเรื่อยๆ ทั้งๆที่ไม่รู้ว่า สติคืออะไร... แล้วมันจะทำให้รู้ขึ้นมาได้ยังไง ว่าสติคืออะไร...
    แต่ผมก็ทำตามหลวงพ่อบอกนะครับ...คือ เวลานั้น สั่งอะไรผมทำตามหมด...อะไรที่ไม่รู้ ไม่เข้าใจก็ถามครับ ... ถามแล้วท่านก็ไม่ค่อยจะตอบหรอกครับ ยิ้มๆ แล้วก็บอกว่าให้ทำความเพียรไป...

    สัมปชัญญะ คือ ความรู้สึกตัว...
    หลวงพ่อให้ผมลองเอามือลูบหัว ลูบหน้า ลูบแขน ขา แล้วท่านก็ถามว่า รู้สึกตัวไหม...ก็เรียนท่านว่า รู้สึกครับ...ท่านก็ว่า เออ...นี่แหละ ความรู้สึกตัว....
    ผมก็ต้องกราบเรียน เถียงสิครับ...หลวงพ่อครับ ... รู้สึกตัวอย่างนี้มันต้องเป็นวิญญาณ จากผัสสะที่มากระทบเข้ากับร่างกาย มันจะเป็นสัมปชัญญะ ได้อย่างไรครับ...
    .................

    หลวงพ่อให้เดินจงกรมวันละ 11-13 ชั่วโมง...นั่งยกมือสร้างจังหวะ ตามแบบหลวงพ่อเทียน วันละ 6 ชั่วโมง...การทำแต่ละครั้งควรทำต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 2 ชั่วโมง ก่อนที่จะเปลี่ยนอริยาบท...การเปลี่ยนอริยาบทก็ต้องกำหนดสติเอาไว้ตลอด ไม่ใช่นึกจะเปลี่ยนก็เปลี่ยน...แต่ว่า ในเบื้องต้น ผมเองยังไม่รู้เลยว่า สติ คือ อะไรกันแน่? อะไรคือผู้รู้ ? อะไรคือจิต?

    เวลาผมก้าวเท้าเดิน ผมจะเริ่มจากการก้าวเท้าขวาก่อนเสมอ และยังมีคำบริกรรมว่า พุท-โธ โดยก้าวเท้าซ้ายผมว่า พุท ก้าวเท้าขวา ผมว่า โธ ดังนั้นเวลาก้าวเดิน ผมจึงเริ่มจากคำว่า โธ ก่อน....
    ทำไมน่ะเหรอครับ? ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน คือว่า ตั้งแต่เด็กๆแล้ว เวลาผมเดินไป ไหนมาไหน ที่มันเปลี่ยว เดินคนเดียว ผมกลัวผี ผมจับลมหายใจไม่ทัน ผมก็นับก้าว เป็น พุท-โธ มาอย่างนี้แหละครับ...ไม่ทราบว่าทำไมเหมือนกัน...

    ผมเดินจนพื้นดินเหนียวแห้งๆแข็งๆ ทรุดไปตามฝ่าเท้า...นึกในใจว่า ไอ้พวกหนักแผ่นดิน...
    เดินจนรอยเท้าเปียกๆชื้นๆ ไม่แน่ใจว่าเหงื่อ หรือว่า ยางที่ออกจากฝ่าเท้า...
    เดินไปจนรากต้นไทรที่พื้น ขนาดสักนิ้วก้อย ค่อยๆกร่อนจนขาด...
    เดินไปจนหนังกำพร้าหลุดไปตอนไหนไม่รู้ เหลือหนังแท้ แดงๆ มียางเหนียวๆออกมา...ยางตายล่ะมั๊งเอ็ง...ตอนนั้นคิดเล่นๆไปอย่างนั้น...ความจริงตอนเดินมันไม่ค่อยเห็นหรอกครับ เพราะขี้ดินมันปิดอยู่ แต่พออาบน้ำออกมาเท่านั้นแหละครับ...

    ผมเดินหาสติ...สติที่หาไม่เจอ...ที่เจอนั้น หลวงพ่อกลับบอกว่า นั่นไม่ใช่สติ...

    วันเวลาผ่านไป จิตใจก็เริ่มสงบลง เริ่มทำใจได้แล้วกระมัง ฝึกไปเถอะ...เราฝึกไปก็เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา...ไม่ได้หวังอะไรนอกจากนี้...หากเหตุที่ทำถึงพร้อมสมบูรณ์เพียงใด ผลย่อมเกิดขึ้นเองเมื่อเวลาอันเหมาะสมมาถึง...การไปคาดหวังถึงผลว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไร จะเกิดอะไรขึ้นได้บ้างนั้น ไม่มีประโยชน์ หน้าที่เราเพียงทำเหตุให้พร้อมบริบูรณ์เท่านั้น...
    เมื่อนั้นแล้วจิตใจก็สงบลง...เดินจงกรมมันไป...

    เช้าวันหนึ่ง ความสงบที่มีมามันไม่มีอีกต่อไป มันฟุ้งซ่านจนควบคุมไม่ได้ ไม่ว่าจะเดินจงกรม นั่งสมาธิ สร้างจังหวะ ทำอย่างไรๆ ก็ไม่สามารถสงบลงได้ มันเหมือนผึ้งแตกรัง...
    นึกในใจว่าเรามันคงทำบุญมาน้อย ด้อยวาสนา ไร้บารมี ก็คงทำได้แค่นี้เองแล้วล่ะนะ...
    กลับบ้านดีกว่านะ ไปตามประสาไอ้พวก ปทปรมะ...
    แต่...เอ...ถ้าชาติก่อนๆมันทำมาน้อย...แล้วชาตินี้ก็ไม่ทำให้มาก...ถ้าชาติหน้าเกิดมาอีก มันก็ต้องเป็นแบบนี้อีกน่ะสิ...มานั่งบ่นอีกว่าบุญน้อย ด้อยวาสนา ไร้บารมี...ก็ไหนๆ ชาตินี้เกิดมาเป็นลูกผู้ชาย ได้พบพระพุทธศาสนาทั้งที...ทำไมไม่ทำให้มันเต็มที่...เผื่อว่าชาติหน้าเกิดมามันจะได้ดีกว่านี้นะ...จะได้ไม่ต้องมานั่งบ่น นั่งน้อยเนื้อต่ำใจเหมือนชาตินี้อีก...

    หลวงพ่อท่านเอาหนังสือธรรมะเล่มบางๆของหลวงพ่อชา มาเปิดให้อ่าน แล้วบอกว่า คนเรามันติดสงบ พอมันสงบ มันก็มีความสุข พอไม่สงบ มันก็ทุกข์...ที่ให้มาฝึกนี่ ไม่ได้ให้มาฝึกเพื่อยึด ให้มาฝึกเพื่อที่จะรู้...สงบก็รู้ว่าสงบ...มันสักแต่ว่ารู้...ไม่สงบก็ให้รู้ว่าไม่สงบ...ก็ให้รู้...ไม่ได้ให้ไปยึด...ให้รู้ไว้ว่า ความสงบนี้มันก็ไม่เที่ยง สักประเดี๋ยวหนึ่งมันก็ไม่สงบ...พอมันไม่สงบก็จะได้ว่า...อ๋อ...นี่ไง..ข้าฯก็ว่าแล้วว่าเอ็งมันไม่เที่ยง มันก็กลับไปไม่สงบเสียแล้ว...แล้วนี่มันไม่สงบแล้วก็รู้ว่า มันก็ไม่เที่ยง สักประเดี๋ยวมันก็กลับไปสงบอีก...พอมันสงบแล้วก็อ้อ...นี่ไง .. ข้าฯก็ว่าแล้ว ความไม่สงบมันไม่เที่ยง มันก็ต้องกลับมาสงบอีก...ก็ให้ดูมันไปอย่างนี้เรื่อยๆ...
     
  2. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    [​IMG]

    สาธุค่ะพี่ระมิงค์
     
  3. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    84000 พระธรรมขันธ์ หากจะย่อลงแล้ว ก็เหลือเป็น ขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
    ขันธ์ 5 นี้ หากจะย่อลงแล้ว ก็เหลือเป็น 2 ส่วน คือ กาย กับ จิต
    กาย กับ จิต นี้ หากจะย่อลงแล้ว ก็เหลือ เพียงคำว่า "ทุกข์"
    "ทุกข์เท่านั้นที่เกิด นอกจากทุกข์แล้วไม่มีสิ่งใดเกิด
    ทุกข์เท่านั้นที่ดับ นอกจากทุกข์แล้วไม่มีสิ่งใดต้องดับ"

    พุทธศาสนานี้จึงเป็นศาสนาที่ให้ฝึกฝนที่จิต ถือจิตเป็นใหญ่ สำเร็จได้ที่จิต...
    ส่วนความคิดนั้น เป็นอาการที่จิตถูกปรุงแต่ง
    หลวงพ่อเทียน ท่านให้ตามดูความคิด เมื่อเห็นความคิดแล้ว ความคิดนั้นก็จะดับไปเอง
    เมื่อความคิดดับลงแล้ว จิตเดิมที่ยังไม่ถูกปรุงแต่งก็ปรากฎว่างอยู่เช่นนั้นเอง
    ผู้ที่เห็นความคิด จนความคิดดับไป เห็นว่าความคิดนั้นดับไปแล้ว เห็นสภาวะจิตที่ว่างอยู่เช่นนั้น เราเรียกผู้ที่เห็นนี้ว่า ผู้รู้ หรือก็คือ สติ
    ส่วนผู้รู้ ที่รู้สึกตัวทั่วพร้อมที่กายนี้ เราก็สมมติเรียกว่า สัมปชัญญะ
    ที่ต้องเรียกว่าสมมตินี้ ก็เนื่องจาก ผู้รู้ก็ดี สติก็ดี สัมปชัญญะ ก็ดี เป็นนามธรรม อันเป็นกริยา โดยปรมัตถสัจจะแล้ว ไม่สามารถเอ่ยถึงได้ เมื่อไม่สามารถเอ่ยถึงได้ ก็ไม่สามารถจะสื่อสารถ่ายทอดได้ ดังนั้นจึงต้องมีสมมติ เมื่อสมมติชื่อให้แล้ว จึงได้กล่าวถึงได้
    ดังนั้นการจะเข้าถึงปรมัตถ์ ก็ต้องอาศัย สมมตินี่เช่นกัน...

    เมื่อผมได้รับคำแนะนำมาตามนี้แล้ว ครั้นเวลาเดินจงกรม ก็ทำความรู้สึกตัวทั่วพร้อมในขณะที่ยืนอยู่ที่หัวทางเดินจงกรม พนมมือขึ้นเพื่อน้อมรำลึกถึงองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกะพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม และพระอริยะสงฆ์ทั้งหลาย ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบๆกันมา...ฯลฯ..
    ตั้งจิตอธิษฐานว่าการปฏิบัติธรรมในครั้งนี้ ข้าพระพุทธเจ้าทำเพื่อเป็นปฏิบัติบูชา ถวายแด่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทุกๆพระองค์ ธรรมใดอันองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทุกๆพระองค์และพระอริยะสาวกทั้งหลายได้ตรัสรู้แล้ว ขอข้าพเจ้าได้รู้ตาม โดยครบถ้วนทุกประการ ในชาติปัจจุบันนี้เทอญ...

    เมื่อก้าวเดินไปก็จับความรู้สึกตัวในขณะเดิน อาศัยผู้รู้ตามดูความคิด ทำไปเช่นนั้น ตามที่หลวงพ่อพิทักษ์สอนมา...

    คงจะด้วยความที่ปรารถนานรกภูมิมาหลายอสงไขยบำเพ็ญบารมีจนใกล้จะเต็มแล้ว ท่านเทวฑัตก็จองที่เผื่อไว้ให้แล้ว กวักมือเรียกหยอยๆ...
    ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่า หลวงพ่อสอนแบบนี้แล้วผมก็ยังฝึกผิดอยู่ดีครับ...ผมก็รู้ตัวดีว่าไม่ใช่คนฉลาดอะไรเพียงแต่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะโง่ได้ขนาดนี้...

    ท่านให้ตามรู้ตามดูความคิด ผมก็ไปดูเหมือนกัน แต่พยายามไปดู จนกลายเป็นไปเพ่งความคิด เมื่อเพ่งเข้าไปที่ความคิดแล้ว ความคิดมันก็ไม่เกิด นี่คืออาการหินทับหญ้า จะว่าไปก็คือเดินเข้าไปเป็นสมถะ ดังนั้นแทนที่จะรู้ ก็เลยไม่รู้อยู่อย่างนั้น เดินจงกรม ฝึกสติ ก็อย่าไปคิดว่าจะไม่ไปเข้าอารมณ์สมถะนะครับ เพราะผมนี่ทำมาแล้ว ใครว่าเจริญสติแล้วทำเป็นสมถะไม่ได้นี่ ส่วนมากก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพียงแต่ผมนี่เรื่องโง่ๆนี่ผมฉลาดมาก หาตัวจับยากเหมือนกัน

    อาการเพ่งนี้จะสังเกตว่าที่ขมับจะรู้สึกตึงๆ ก้านคอจะรู้สึกตึง ระบบประสาทจะรู้สึกว่ามันตึงๆ มีอาการมึนๆนิดๆ แต่อาศัยว่าเรามันอดทนได้ อดทนเก่งครับ เรื่องโง่ๆนี่อดทนได้ดีนัก

    หลวงพ่อเรียกไปตำหนิแล้วว่า ให้รู้เท่าทันความคิด ไม่ใช่ให้เพ่งความคิด...
    เพียงแต่ว่าเวลานั้น ผมไม่รู้ว่าจะเลิกเพ่งความคิดได้อย่างไร เพื่อให้เปลี่ยนเป็นการรู้เท่าทันความคิด พวกท่านอ่านมาถึงตรงนี้แล้วก็คงคิดว่ามันไม่เห็นยากอะไร แต่เวลาคนมันไม่รู้จะทำยังไง มันก็งมอยู่ตรงนั้นแหละครับ อดทนเข้าไปแบบโง่ๆ ไปจนกระทั่งหมดความอดทน พอมันหมดความอดทนในการเพ่ง มันก็เลิกเพ่ง...

    อาการเหมือนคิดถึงหญิงคนรัก คิดถึงมันอยู่อย่างนั้น รู้ว่าต้องเลิกคิดถึงเขาให้ได้ แต่มันก็เลิกไม่ได้ อยู่อย่างนั้น...นี่ไม่ใช่ไม่รู้ รู้แล้วว่าทำอะไรผิด รู้แล้วว่าต้องแก้อย่างไร มันยังแก้ไม่ได้ก็มีถมเถไป...

    ผมมันก็ฝึกไปเพราะความอยากแหละครับ ผมอยากพ้นทุกข์ เดินจงกรมไปก็รู้สึกถึงความเคลื่อนไหวไป หลวงพ่อบอกว่า สัมปชัญญะ คือให้รู้สึกตัวทั่วพร้อม...เชื่อหรือไม่ว่า ผมไม่เข้าใจ...ทั้งนี้เพราะว่าผมไปจับการเคลื่อนไหวของร่างกายในขณะเดิน ทำความรู้สึกในการเคลื่อนไหว...แต่ไอ้ส่วนที่ไม่ได้เคลื่อนไหวด้วยนี่ผมไม่ได้จับความรู้สึกครับ...แล้วมันจะเรียกว่า รู้สึกตัวทั่วพร้อมได้อย่างไร ท่านว่าไหม...

    เรื่องง่ายๆ บอกให้ทำความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ยังไม่เข้าใจเลย อันนี้หลวงพ่อต้องเป็นฝ่ายผิดบ้างดีไหม เพราะท่านอธิบายไม่ครบ ท่านต้องบอกผมว่า ทำความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ส่วนใดที่เคลื่อนไหวก็ให้รู้อยู่ว่าเคลื่อนไหว ส่วนใดที่ไม่เคลื่อนไหวก็ให้รู้อยู่ว่าไม่เคลื่อนไหว คือให้รู้สึกทั่วพร้อมกันไปทั้งหมด นี่ท่านต้องอธิบายแบบนี้ คนฉลาดอย่างผมถึงจะถึงบางอ้อ...แต่กว่าจะถึงบางอ้อ ก็ถึงบางพลัดซะก่อนแล้ว...

    ฝึกมามากก็อย่านึกว่ามันจะเอาดีได้นะครับ ผมนี่เอาดียังไม่ได้ หลวงพ่อท่านก็ไม่ว่า แต่ท่านขอให้เอาชั่วออกซะให้หมดก่อน เรื่องเอาดีไว้ทีหลัง หมดชั่วมันก็ดีเอง...เหมือนขันทองเหลือง มันเก่า มันหมอง เราก็ไม่ได้หาเอาความเงางามมาใส่ให้กับขันหรอกนะ แต่เราขัดสิ่งสกปรกที่ผิวมันออกเสีย พอสิ่งสกปรกมันออกจากผิวแล้ว ความเงางามมันก็ปรากฎขึ้นมาเอง หาได้เอาความเงางามมาใส่ให้กับขันไม่...

    ด้วยเหตุฉะนี้ผมจึงโดนตลอด เนื่องเพราะผมก็ผิดมันได้ตลอดเหมือนกัน สมัยนั้นเขาเรียกกันว่า ผิดทุกเม็ด หรือ ผิดได้ทุกช็อท อยากจะบ่นต่อเหมือนกัน แต่ว่านี่กระทู้หลงทาง ไม่ใช่กระทู้ขี้บ่น จึงบ่นมากไม่ได้

    ท่านที่อ่านแล้วก็อย่ามาทำผิดอย่างผมซ้ำอีก คำสอนใดที่ดีงามของครูบาอาจารย์ก็นำไปประพฤติปฎิบัติกัน ส่วนข้อผิดพลาด หลงผิด หลงทิศ หลงทาง ของผมก็เอาไว้เป็นอุทธาหรณ์

    นึกๆไปแล้วก็รู้สึกเหมือนตัวเองนี่ กำลังเล่นปาหี่ข้างถนนให้ชาวบ้านเขาขบขัน มันก็น่าละอายอยู่เหมือนกันนะ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มกราคม 2014
  4. ล้อเล่น

    ล้อเล่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    4,924
    ค่าพลัง:
    +18,649
    ท่านอาจารย์คุณป๋าขา อธิบายได้แจ่มแจ้งเลยค่ะ....ถ้ายิงปืนก็ตรงขั้วหัวใจเทียว ปัง...จอดสนิท......สาธุ อนุโมทนามิ _/|\_
     
  5. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ตาเห็นรูป หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นรับรส กายรับสัมผัส ใจรับธรรมารมณ์...
    ตาเห็นรูป ก็ให้สักแต่ว่าเห็น การเห็นรูปภายนอกนี้ ก็ขอให้เห็นรูปทุกอย่างที่อยู่ในขอบข่ายของสายตาที่มองเห็น...เสียงก็เช่นกัน นอกจากเสียงของหลวงพ่อแล้ว ยังมีเสียงลม เสียงนก เสียงใบไม้ ก็ขอให้รับรู้ทุกเสียงพร้อมๆกัน ให้รู้ แต่ก็ไม่ยึด ไม่ต้องคิดฟุ้งปรุงแต่งต่อ..จมูกได้กลิ่นทั้งหลายก็เช่นกัน ลิ้นรับรสนี้ แม้ขณะนี้ไม่มีรสเข้ามากระทบที่ลิ้น ก็ให้รู้อยู่ว่าขณะนี้ไม่มีรส กายรับสัมผัสนี้ก็ให้รู้สึกตัวทั่วพร้อม ส่วนใจรับรู้ธรรมารมณ์ ก็ให้สติตามรู้ไว้...

    ผมเชื่อว่าไม่มีทางทำได้พร้อมๆกันในเวลาเดียวกัน...
    หลวงพ่อท่านบอกสั้นๆเพียงว่า "ทำไป"
    ที่ดิน 10 ไร่ 100 ไร่ มันก็เริ่มขุดจากการลงจอบเพียงทีเดียวนี่แหละ แล้วมันก็ลงจอบไปทีละครั้ง ทีละครั้ง จนครบ 10 ไร่ 100 ไร่ มันก็ลงจอบเพียงทีเดียวนี่แหละ เหมือนกับจอบแรกที่เริ่มขุด
    ที่ดินจะ 10 ไร่ 100 ไร่ ก็สำเร็จลงด้วยการขุดเพียงจอบเดียว...
    หนทางหมื่นลี้ ก็สำเร็จด้วยการก้าวเท้าเพียงเก้าเดียว
    ความเพียรของเราก็เช่นเดียวกัน...
     
  6. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    กินข้าว...ก็อย่าให้ข้าวมันกินเรา...
    คุณรู้ไหมว่า พระที่ศรีลังกา จำนวนมาก ที่บรรลุธรรม ขณะนั่งฉันข้าวต้มร้อนๆ ตอนเช้า...
     
  7. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    อายตนะทั้ง 5 นี้ก็เหมือนประตู มีโจรผ่านเข้ามา สติจะเป็นผู้ควบคุม คอยทุบหัวโจร แต่เมื่อมีถึง 5 ประตู จะวิ่งไล่ทุบหัวโจร พร้อมๆกันก็ทำได้ยาก ดังนั้นจึงมายืนดักอยู่ที่ประตูเดียว คือประตูจิต เพราะทั้งหมดจะวิ่งมาที่จิต ดังนั้นจึงดักทุบหัวโจรเอาที่นี่ที่เดียว...
    พระท่านจึงกล่าวไว้ว่า ผู้ใดเพียรตามดูจิต ผู้นั้นจะพ้นทุกข์...
    ให้เอาสติ ตามดูจิตไว้....

    วันเวลาผ่านไป สติก็รู้แล้ว จิตก็รู้แล้ว ความคิดก็เห็นแล้ว เมื่อผู้รู้ รู้เท่าทันความคิด ความคิดนั้นก็ไม่เกิด หรือพอจะเกิดก็ดับลงเสียก่อน จึงปรากฎอยู่ซึ่งความว่าง โพลงๆอยู่ สัมปชัญญะ รู้สึกตัวทั่วพร้อม แม้จะยังไม่สามารถทำให้เกิดขึ้นต่อเนื่อง 24 ชม. ก็ตาม...ผมยังคงฝึกต่อไป ทั้งๆที่ยังมีส่วนผิด แต่ก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองผิดอย่างไร...จนกระทั่งหลวงพ่อเดินผ่านมาใกล้ๆ แล้วบอกเพียงสั้นๆว่า...

    "คนบางคนมันก็ไปคิดว่ามันไม่คิด ก็มี"

    เหมือนโดนเตะสลบคาทางเดินจงกรม... เนื่องเพราะเวลาเอาสติไปตามรู้ตามดูความคิด อาการจ้องจับผิด และความอยากที่จะไม่คิด มันจะก่อเกิดเป็นอาการคิดว่าเราจะไม่คิด เกิดขึ้น สติที่ยังมีกำลังไม่เพียงพอที่จะสอดส่องให้ทั่ว จึงมองไม่เห็น สำคัญผิดว่านี่เราไม่คิดแล้ว เมื่อต้องตั้งหลักใหม่ จับความรู้สึกร่างกายทั่วพร้อมดีแล้ว ไม่ต้องสนใจว่าจะมีความคิดหรือไม่มีความคิด ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ไปเพ่ง บังคับ กดข่ม จ้องจับผิด ให้เพียงแต่รักษาผู้รู้เอาไว้ให้ทรงตัว มิได้เอาผู้รู้ไปเพ่งจับผิดต่อความคิด...พูดมันก็ไม่ยากเท่าเวลาทำนะ...พูดเท่านี้ เวลาทำก็พยายามระมัดระวัง แต่ก็ยังพลาดบ่อยๆ อาศัยว่า เดินไม่หยุด สักวันนึง มันต้องถึงจุดหมายปลายทาง...โง่ก็ทำ ฉลาดก็ทำ เหนื่อยก็ทำ ขยันก็ทำ ขี้เกียจก็ทำ ร้อนก็ทำ หนาวก็ทำ ป่วยก็ทำ ไม่ป่วยก็ทำ...ถ้ายังมีลมหายใจเข้า หายใจออกได้ มันยังทำอยู่ อย่างไม่มีเงื่อนไข...

     
  8. *ธรรมดา*

    *ธรรมดา* เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +924
    ท่านป๋ามิงค์ ตอบทุกอาการของผมเลย........ มันเป็นเช่นนั้นแล และยังแก้มิได้ด้วย
     
  9. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    อีกสัก 3 โพส คงต้องขอปิดกระทู้หลงทาง แล้วนะครับ...
    การจะเล่าเรื่องราวการปฏิบัติธรรมทั้งหลายเหล่านี้นั้น...หากจะว่าไปแล้ว เวลามันล่วงเลยมากว่า 20 ปีแล้ว ที่ยังต้องงัดเอามาเล่าให้เสมือนว่าเหตุการณ์พึ่งเกิดขึ้นนี้ ก็ด้วยอาศัยบารมีองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเป็นประธาน หลวงพ่อท่านมาคุมกำลังใจเอาไว้อีกทีหนึ่ง ซึ่งก็สุดแท้แต่ว่าองค์ไหนท่านมาคุมในเวลาไหน สำนวน ลีลา ก็แตกต่างกันไป ซึ่งก็ไม่ใช่ลีลาของผมแต่อย่างใด...บางท่านอ่านบางช่วงบางตอนอาจรู้สึกว่าไม่ใช่ผมเป็นคนเล่าด้วยลักษณะการเล่าเรื่องแตกต่างไปมากพอสมควร...ก็ขออย่าได้สนใจในเรื่องลีลา ให้ดูเอาแต่เนื้อหาที่เป็นประโยชน์ต่อท่าน ส่วนใดไม่เกิดประโยชน์ก็ให้เว้นไปเสียก่อน...

    วัตถุประสงค์ที่ผมบันทึกเรื่องราวการปฏิบัติผิดๆพลาดๆนี้ไว้ ก็เพื่อหวังให้บุคคลผู้ฝักใฝ่ในธรรม ได้เห็นเป็นอุทธาหรณ์เครื่องเตือนใจ ไม่ให้ไปเสียเวลา พลาดท่าเข้า หรือว่าพลาดท่าเข้าแล้วก็จะได้รู้สึกตัวได้ไวและแก้ไขได้ทัน การเล่าเรื่องนี้ไม่ได้มีเจตนาจะอวดอ้างเอาคุณวิเศษของผมแต่อย่างใด เนื่องเพราะผมยังไม่มีคุณธรรมวิเศษใดๆ ปรากฎบังเกิดขึ้น ยังคงเป็นเพียงนักปฏิบัติ และสำเหนียกตัวเองไว้เสมอว่าเรายังเป็นผู้ใหม่อยู่ จึงยังต้องหมั่นเพียรฝึกฝนอยู่เสมอ ยังมีคติที่ไม่แน่นอน ยังไม่ได้บรรลุธรรมใดๆทั้งสิ้น ที่เล่ากันมาก็ขอให้ถือว่าคุยกันประสาพี่ๆน้องๆ อย่าได้ถือเอาเป็นเครื่องขัดแย้งต่อกัน
     
  10. THE SEVEN

    THE SEVEN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +870
    ไหลเรื่อยๆเลยท่าน raming เสริมกรรมฐานอื่นๆที่ช่วยเสริมสติปัฏฐานก็ดีครับ
    สอนเรื่องสติดีมากครับ ใช้ภาษาเข้าใจได้ง่ายแต่มีหัวใจสาระสำคัญมาก
    อ่านแล้วได้บรรยากาศนึกว่าตัวเองเป็นลูกศิษย์ที่กำลังเรียนกับหลวงพ่อพิทักษ์เสียเอง

    มีสติ รู้ปัจจุบัน กับการเพ่ง ผมคิดว่าน่าจะมีคนปฏิบัติิผิดมากอยู่นะ เพราะถ้าทำถูก
    พระไตรลักษณ์ วิปัสสนาย่อมเกิด

    รู้สึกตัวทั่วพร้อม คำนี้ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนการปฏิบัติเลย ตอนปฏิบัติก็มีสัมปชัญญะรู้เฉพาะบริเวณที่สนใจ หรือ เคลื่อนไหว แต่ปฏิบัติต่อเนื่องถึงจุดหนึ่งจะเกิดรู้ตัวทั่วพร้อมเอง

    เรื่องความคิดก็ไม่ได้สนใจ จดจ้องว่าจะมีหรือไม่มี หรือมันจะคิดอะไร
    ถ้ามีความคิดก็กำหนดรู้ คิดหนอ แค่นั้น
    ทางที่ท่านหลงจะเป็นทางลัดทางตรงให้ผู้อื่น
    อนุโมทนาครับ
     
  11. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    คุณ seven นี่เชื่อมั๊ย ก่อนหน้านี้ ผมหลงพิมพ์ชื่อคุณ Keyภาษาไทยลงไป
    แล้วแอบขำแบบฟลุคๆ...

    อนุโมทนา ในคุณความดี...
    อย่าถือเอาสาระกับคนบ้า toplus99
     
  12. THE SEVEN

    THE SEVEN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +870
    555 เพิ่งรู้ว่าผมมีอีกชื่อ ถ้าจะให้ดีต้องใช้บักนำหน้าแทนThe + ชื่อKeyภาษาไทย
     
  13. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    อีกสัก 3 โพส คงต้องขอปิดกระทู้หลงทาง แล้วนะครับ...
    การจะเล่าเรื่องราวการปฏิบัติธรรมทั้งหลายเหล่านี้นั้น...หากจะว่าไปแล้ว เวลามันล่วงเลยมากว่า 20 ปีแล้ว ที่ยังต้องงัดเอามาเล่าให้เสมือนว่าเหตุการณ์พึ่งเกิดขึ้นนี้ ก็ด้วยอาศัยบารมีองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเป็นประธาน หลวงพ่อท่านมาคุมกำลังใจเอาไว้อีกทีหนึ่ง ซึ่งก็สุดแท้แต่ว่าองค์ไหนท่านมาคุมในเวลาไหน สำนวน ลีลา ก็แตกต่างกันไป ซึ่งก็ไม่ใช่ลีลาของผมแต่อย่างใด...บางท่านอ่านบางช่วงบางตอนอาจรู้สึกว่าไม่ใช่ผมเป็นคนเล่าด้วยลักษณะการเล่าเรื่องแตกต่างไปมากพอสมควร...ก็ขออย่าได้สนใจในเรื่องลีลา ให้ดูเอาแต่เนื้อหาที่เป็นประโยชน์ต่อท่าน ส่วนใดไม่เกิดประโยชน์ก็ให้เว้นไปเสียก่อน...

    วัตถุประสงค์ที่ผมบันทึกเรื่องราวการปฏิบัติผิดๆพลาดๆนี้ไว้ ก็เพื่อหวังให้บุคคลผู้ฝักใฝ่ในธรรม ได้เห็นเป็นอุทธาหรณ์เครื่องเตือนใจ ไม่ให้ไปเสียเวลา พลาดท่าเข้า หรือว่าพลาดท่าเข้าแล้วก็จะได้รู้สึกตัวได้ไวและแก้ไขได้ทัน การเล่าเรื่องนี้ไม่ได้มีเจตนาจะอวดอ้างเอาคุณวิเศษของผมแต่อย่างใด เนื่องเพราะผมยังไม่มีคุณธรรมวิเศษใดๆ ปรากฎบังเกิดขึ้น ยังคงเป็นเพียงนักปฏิบัติ และสำเหนียกตัวเองไว้เสมอว่าเรายังเป็นผู้ใหม่อยู่ จึงยังต้องหมั่นเพียรฝึกฝนอยู่เสมอ ยังมีคติที่ไม่แน่นอน ยังไม่ได้บรรลุธรรมใดๆทั้งสิ้น ที่เล่ากันมาก็ขอให้ถือว่าคุยกันประสาพี่ๆน้องๆ อย่าได้ถือเอาเป็นเครื่องขัดแย้งต่อกัน
    [/QUOTE]

    ท่าน raming คะ อย่าเพิ่งปิดกระทู้นี้ได้ไหมคะ ถ้าปิดขอปิดเฉยๆนะคะ อย่าลบกระทู้
     
  14. ล้อเล่น

    ล้อเล่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    4,924
    ค่าพลัง:
    +18,649
    เป็นผู้สนับสนุนคนที่ 1 ค่ะ ก่อม๊อบ ห้ามปิด อาระยะขืนขัด
     
  15. คมสันต์usa

    คมสันต์usa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +11,861
    ปิดกระทู้หลงทางท่ามกลางหลง
    ลอยกระทงหลงทางกลางสายน้ำ
    สามโพสต์ปิดเพื่อนศิษย์คอยติดตาม
    รอทวงถามใส่กระทงที่หลงทาง


    มีทั้งกลอนมีทั้งครูคู่บานพับ
    มีมือจับยกประตูคู่หน้าต่าง
    มองกระทงลอยส่งที่หลงทาง
    ลอยไกลห่างเหมือนกระทู้ครูระมิงค์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC06288.JPG
      DSC06288.JPG
      ขนาดไฟล์:
      550.6 KB
      เปิดดู:
      64
  16. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    "กว่าจะรู้ ว่าไม่รู้"​


    สำหรับคนฉลาดแล้ว อธิบายเพียงเล็กน้อย ก็สามารถเข้าใจที่เหลือได้ทั้งหมด และนำไปวิเคราะห์ใคร่ครวญจนแตกฉานในเรื่องนั้นๆได้ คนจำพวกนี้สอนง่าย...
    สำหรับคนโง่แล้ว แม้จะสอนยาก แต่ก็ไม่เถียง ไม่สงสัย บอกให้ทำอะไรก็ทำตามนั้น แม้ว่าจะเสียเวลาสอนมากสักหน่อย อธิบายมาก ต้องคอยกำกับอยู่เนืองๆ แต่ก็ยังสอนให้เกิดผลสัมฤทธิ์ได้

    สำหรับคนที่โง่แล้วอวดฉลาด หรือที่ภาษาเหนือเรียกว่า ง่าวอวดร๊วก ซึ่งที่จริงแล้วผมอยากเรียกให้มันดูดีสักหน่อยว่า ฉลาดจนโง่...คนจำพวกนี้สอนได้ยากมาก เพราะรู้มาก แต่ว่ารู้ไม่จริง อ่านมาก ฟังมาก สงสัยมาก และที่สำคัญคือ คิดว่าตัวเองรู้ดีแล้ว...

    คนจำพวกสุดท้ายคือคนที่สมองกลวง พวกนี้คิดไม่เป็นเพราะไม่คิด อาศัยเชื่ออย่างเดียว ทำตามๆกันมา นิยมแต่เรื่องบันเทิงเริงรมย์ ไม่คิดถึงวันพรุ่งนี้ กล่าวคือไม่คิดถึงอะไรใดๆทั้งสิ้น คนจำพวกนี้สอนยากที่สุด...

    ผมอ่านพระเจ้าสิบชาติ พระเจ้าห้าร้อยชาติ จบตั้งแต่เรียนประถม พอมัธยมนี่ผมรู้เรื่องคำสอนในพระไตรปิฎก ทั้งบาลี แปลไทย อ่านมาหลายบท ทั้งปฏิปทาครูบาอาจารย์สายพระป่า พระบ้าน พระอภิญญา ทั้งกรรมฐาน 40 สติปัฎฐาน 4 วิปัสนาญาณ 9 เรื่องการพูดธรรมะเพื่อแสดงความรู้นี่ผมพูดเอามาข่มชาวบ้านได้เลยนะ คือรู้มาก รู้ทั้งปรัชญา และอภิปรัชญา รู้ว่าการเจริญกรรมฐาน สมถะเป็นยังไง วิปัสนาเป็นยังไง รู้ว่าการเจริญภาวนานี่ต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพันถึงจะเข้าถึงธรรม...ที่ผมรู้มากนี่ก็ด้วยว่าพี่ชายผมเป็นพหูสูตร จะคอยอ่านแล้วมาเล่าต่อให้ฟัง ต่างพากันวิเคราะห์เปรียบเทียบ ครูบาอาจารย์องค์ไหนสอนยังไงนี่ขุดมาถกกันหมด...นี่ผมเป็นอย่างนี้ตั้งแต่สมัยวัยรุ่นแล้วนะ...

    หลวงพ่อพิทักษ์ท่านก็คงเห็นสิ่งนี้ในตัวผมเช่นกัน ที่เรียกว่าฉลาดจนโง่ นี่หน้าตาเป็นยังไง ถ้านึกไม่ออกก็ขอให้จินตนาการถึง ควายที่ติดดาวเทียมไว้ที่หัว ยืนยิ้มที่มุมปาก อยู่กลางทุ่งนา สิครับ...มันภูมิใจมากเลยนะที่เป็น 4G บอดแบนเสียด้วย คือว่าจริงๆมันทั้งบอด ทั้งแบน...

    นี้เองที่ทำให้หลวงพ่อบอกว่าต้องเดินจงกรมวันละ 11-13 ชม. และการเดินแต่ละครั้งต้องต่อเนื่องกันสัก 3 ชั่วโมงจึงค่อยหยุดพัก หรือจะว่าไปแล้วควรจะเดินครั้งละ 4-6 ชั่วโมง จึงจะพอ เดินไปแบบควายติดจานดาวเทียมนี่มันเดินเอาแข็งแรงจริงๆครับ มันเดินไปไม่ได้รู้อะไรเลย แต่เที่ยวสอดส่ายระแวดระแวงว่า ตอนนี้เราไปถึงไหนแล้วนะ นี่อารมณ์อะไร อยู่ขั้นไหนแล้ว เรานี่ไปถึงไหนแล้วเนี่ย...

    หลวงพ่อให้ผมกินข้าววันละมื้อ มื้อนึงให้กินแค่พอหายหิว ซึ่งก็คือข้าวสวย3ช้อน ที่เหลือตักกับข้าว ขนม ผลไม้ ปนๆกันไป คลุกๆกันเข้า กินเอาแค่พอหายหิว ประกอบกับเดินทั้งวัน สลับนั่งบริกรรมภาวนาบ้างก็สัก 4-6 ชั่วโมง มีเวลานอน ไม่เกิน 4 ชั่วโมง ในไม่ช้าร่างกายก็หายไปครึ่งหนึ่ง ผมพยายามจะเดินจงกรมให้ถูกต้องแล้ว แต่เดินอย่างไรมันก็ไม่ถูก มันไม่พอดี...

    หลวงพ่อบอกว่า มันเหมือนมีร่องอยู่ที่ประตูอยู่ร่องเล็กๆร่องหนึ่ง คุณมองสูงไปมันก็ไม่เห็น คุณมองต่ำไปมันก็ไม่เห็น มันต้องพอดีๆ พอตรงร่องมันก็จะเห็นทะลุไปอีกฟากหนึ่งของประตูได้

    ไอ้ตรงพอดีนี่แหละที่ผมหาไม่เจอ ... เดินไปชั่วโมงหนึ่ง ผมก็ยังเดินเป็นควายอยู่ มันยังมีแรง พอ ผ่านชั่วโมงที่ 3 มันเริ่มหมดแรง พอเข้าชั่วโมงที่ 4 มันหมดแรงแล้ว มันเดินแบบคนหมดแรง เดินไปเรื่อยๆ หลวงพ่อเดินผ่านมาเห็นเข้า บอกว่า...อืม..เริ่มใช้ได้แล้ว...แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจว่ามันใช้ได้อย่างไร มันใช้ได้ตรงไหน ผมแค่หมดแรง แต่ยังเดินอยู่ คงอาจจะเพราะกลัวหลวงพ่อจะดุเอา เนื่องจากผมเดินหน้ากุฎิหลวงพ่อ กลัวว่าท่านออกมาไม่เห็นผมปฏิบัติ ท่านจะดุเอา...

    สำหรับคนที่โง่แล้วสำคัญตัวเองว่าฉลาด หรือว่า ฉลาดเสียจนโง่นี้ มันเหลือหนทางเดียวคือ มันต้องฝึกไปแบบผิดๆ...ผิดไปจนสุดทางโง่...จนมันได้เห็นว่า ที่จริงแล้ว เรามันยังไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องธรรมะ เรื่องการปฏิบัติ...เรามันก็แค่อ่านมา ฟังมา อาศัยสติปัญญาที่คิดว่าฉลาดแล้ว มาคิดวิเคราะห์ มันก็คล้ายๆกับ เห็นเสือในทีวี หรือในรูปภาพ มันน่ากลัวก็จริงอยู่ จะคิดว่าถ้าเราเจอมันเข้าจริงๆแล้ว เราจะยอมสู้จนตัวตาย เราจะไม่ยอมกลัวเสือ...แต่ว่าเวลาที่เจอกับเสือตัวเป็นๆ ยืนอยู่ตรงหน้า มันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับที่เคยเห็นในทีวี หรือในรูปภาพ อุปมาอุปไมยเป็นทำนองนี้....

    เมื่อผมทำความเพียรไปจนสุดตัวแล้ว จนเขาหัก คอตกแล้ว ผมจึงได้พบว่า ที่จริงแล้ว ผมยังไม่รู้อะไรเลย....เมื่อเข้าไปกราบเรียนหลวงพ่อ...ท่านได้แต่ยิ้มแล้วบอกว่า "เมื่อคุณรู้ว่า คุณยังไม่รู้อะไรเลย นี่ก็แสดงว่า คุณได้เริ่มต้นที่จะเรียนรู้แล้ว"....
    ผมจึงเห็นว่า จุดนี้ คงจะเป็นจุดที่หลายคนต้องผ่านมาเจอ...เมื่อเจอแล้ว และผ่านไปแล้ว นับแต่นั้นมา ผมไม่เคยเถียงใครเรื่องพระไตรปิฎก คัมภีร์ คำสอนของครูบาอาจารย์ ผมไม่ยกมาเถียงเพื่อเอาชนะคะคานกับใครอีกเลย...มันต้องฝึกไปจนคอตก น้ำลายฟูมปาก จนคัมภีร์หลุดออกจากปากที่คาบเอาไว้เสียนาน...เมื่อนั้นมันจึงจะเริ่มต้นการฝึกฝนเพื่อการเรียนรู้ต่อไป....

    ฝึกต่อไปจนกระทั่งถึงทางผ่านด่านความเป็นความตาย...ใครที่ยังไม่เคยต้องเผชิญกับความตายที่อยู่ตรงหน้าในระหว่างการเจริญกรรมฐาน ก็มักจะพูดได้อย่างไม่อายปากเหมือนผมในสมัยก่อนว่า "ข้าพเจ้ายอมมอบกายถวายชีวิต.....ฯลฯ" มันก็เหมือนคนที่ไม่เคยเจอเสือตัวเป็นๆมายืนตรงหน้า คงนึกว่าเสือก็เหมือนเสือในรูปภาพนั่นเอง...

    ครั้นเมื่ออาการที่จะต้องตายปรากฎอยู่ตรงหน้า...เวลานั้นใจมันร้องขึ้นมาคอยเตือนว่า...
    - การจะต้องมาฝึกจนตัวตายนี้ หามีประโยชน์ไม่ ด้วยเป็นการฝืนทรมานกาย จัดเป็นส่วนสุดหนึ่งในสองอย่างที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้เว้นเสีย...
    - เวลาในภายภาคหน้ายังมีอยู่ จึงยังควรรักษาชีวิตไว้เพื่อการปฏิบัติธรรมต่อไปในภายหน้ายังจะมีประโยชน์เสียกว่า...
    - การที่จะตายลงขณะนี้ เป็นที่น่าเสียดายนัก ด้วยเพราะไม่อาจบอกได้ว่าจะสามารถบรรลุธรรมได้จริงหรือไม่ หากต้องตายไปเสียโดยไม่ได้เห็นธรรมใดๆเล่า ชาตินี้ก็เหมือนเกิดมาเสียชาติเกิด

    ..........เหตุผลมากมายที่ถูกหยิบยกขึ้นมาในขณะนั้นอันสุดแท้แต่ปัญญาผู้ใดจะมีมากมายเพียงใด ภูมิรู้ทั้งหลายจะถูกยกขึ้นมากล่าวอ้างได้ทั้งหมด เสมือนมีนักปราชญ์มาปรากฎอยู่ตรงหน้า...แต่น่าเสียดายว่า วันที่ผมแบกกระเป๋าเข้ามาฝึกกับหลวงพ่อพิทักษ์ วันนั้นผมได้ตัดสินใจไปแล้วว่า ผมจะไม่มีชีวิตกลับออกไป...การปฎิบัติของผมจะขอเอาชีวิต ถวายเป็นพุทธบูชา ดังนั้นผมจะฝึกจนตัวตาย....

    อวิชชามักจะเดินนำหน้าผมไป 3 ก้าวเสมอ ในเมื่อผมไม่หวั่นไหวต่อความตายที่จะเกิดขึ้น สิ่งที่ปรากฎขึ้นทางกายให้รู้คือ การที่จะต้องพิการไปตลอดชีวิต เพราะการทำความเพียรอย่างไม่ถูกวิธีของผมเอง... มันเลวร้ายเสียกว่าต้องตายไปในขณะนั้น เพราะอยู่อย่างคนพิการมันเป็นภาระให้กับคนที่อยู่ภายหลังต้องคอยดูแล ด้วยวัยเพียง 20 ปี มันยังไม่สมควรเลย...แต่ว่าคนที่ฉลาดจนโง่ หรือโง่แล้วอวดฉลาดต้องทำคือ เดินมันไปให้สุดทางโง่ ผมจึงเลือกที่จะยอมพิการไปตลอดชีวิต ซึ่งเป็นวิธีที่คนโง่ๆยังไม่ทำกัน...

    เสียงกระดูกหัวเข่ามันแตกลั่นออกมา เส้นประสาททั้งตัวดีดออกจากกัน มันลั่นไปทั้งร่างกาย กระดูกสันหลังที่เอวได้รับการกระทบกระเทือนอย่างแรง... ก่อนที่จะล้มลงหน้าฟาดพื้นทางเดินจงกรม ผมกลับเดินได้อีกครั้งโดยไม่มีอาการบาดเจ็บใดๆอีก สามารถเดินติดต่อกันไป 6 ชั่วโมงก็ไม่เหน็ดเหนื่อย ไม่เจ็บไม่ปวดอีก...นับแต่นั้นมาผมก็เสียหัวเข่าไปทั้งสองข้าง ยามเจ็บปวดขึ้นมานั้นแสนทุกข์ทรมานจนน้ำตามันไหลออกมาเอง...ยามหมอนรองกระดูกที่ร้าว เกิดอาการเจ็บปวดขึ้นมาเหมือนช่วงหลายวันมานี้ มันเหมือนร่างกายถูกฉีกออกจากกันเป็นสองท่อน ปวดแทบขาดใจ เป็นอย่างไรนั้น ผมเข้าใจดีเลยนะ...

    ผมเคยได้ยินพระกรรมฐานหลายรูปที่เล่าให้ฟังถึงช่วงเวลาที่ผ่านความเป็นความตายมาได้ กว่าจะได้เห็นธรรม...ผมฟังแล้วประทับใจมาก ซึ้งใจมาก...วันที่ต้องเจอเข้ากับตัวเอง ผมจึงเข้าใจว่า ยังมีพระอีกหลายรูปที่มรณะภาพไปจริงๆในป่า ในถ้ำ ซึ่งท่านทั้งหลายเหล่านี้ไม่มีโอกาสออกมาเล่าให้ใครฟังว่า ยอมตัดเป็นตัดตายกับมันแล้ว แล้วมันตายจริงๆ ... ท่านไม่สามารถออกมาเล่าให้ฟังได้ ท่านเหล่านี้มีอยู่เป็นจำนวนมาก แน่นอนมากกว่าที่รอดพ้นออกมาได้ มาเล่าให้พวกเราฟัง...ถึงวันนั้น ถ้าต้องเจ็บจริง ตายจริง พิการจริง พวกเราจะยอมแลกไหมกับการจะได้รู้ธรรม เห็นธรรม ซึ่งไม่แน่ว่า จะได้รู้ได้เห็นหรือไม่ ด้วยซ้ำ...
     
  17. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    "ความเพียรเป็นกิจที่พึงทำในวันนี้ ใครจะรู้ความตายแม้พรุ่งนี้"

    หลวงพ่อพิทักษ์ ปริสุทโธ ท่านเน้นสอนไปที่ความไม่ประมาท ท่านไม่ได้บอกว่าห้ามไม่ให้ไม่ประมาท แต่ท่านบอกถึงวิธีการดำเนินชีวิตที่เป็นปฏิภาคกับความประมาท...

    เมื่อผ่านช่วงเวลาความเป็นความตายไปแล้ว ผ่านความพิการไปแล้ว มันคงไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว ทั้งความหวัง ความฝัน ความอยากได้ใคร่ดี มันคล้ายจะหวาดกลัวหดหายไปเอง...

    การเดินจงกรมจึงเดินเพื่อเดิน...ตาเห็นรูป หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นรับรส กายรับสัมผัส จิตใจรับธรรมารมณ์ มีสติตามดูจิตอยู่ ใน 4 อริยบทหลัก และ 5 อริยบทย่อย...

    "ผู้ใดเพียรตามดูจิตอยู่ ผู้นั้นจะพ้นทุกข์"

    เมื่อสติ คือผู้รู้ตามดูจิต สัมปชัญญะ คือผู้รู้ที่ตามรู้สึกตัวทั่วพร้อม สมาธิคือการตั้งใจมั่น ในการเจริญภาวนา มีอยู่ทั่วพร้อมในทุกอริยาบท ตลอดเวลา ส่วนใดเคลื่อนไหวก็รู้อยู่ว่าเคลื่อนไหว ส่วนใดไม่เคลื่อนไหวก็รู้อยู่ว่าไม่เคลื่อนไหว อายตนะทั้งหมดเปิดออกโดยพร้อมเพรียงกัน เพื่อรับผัสสะภายนอก ขณะที่สติตามดูจิตอยู่ภายใน ไม่ว่างเว้น...
    เวลานั้นอาการทางกายจะตึงตัวเหมือนมีแหมาพันรัดรอบตัวไว้ จะรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา จะอาบน้ำ ขับถ่าย การกินก็จะรู้สึกได้ถึงอาหารที่สัมผัสปาก อาการเคี้ยว รสชาดที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป อาการเวทนาทางกายอันเกิดจากความหิวดับไป เมื่ออาหารตกถึงกะเพาะ ..

    การนอนเป็นเหมือนอริยาบทนอนที่เพียงแต่หลับตา ภายในยังคงตื่นอยู่ตลอดเวลา แม้ใบไม้หล่นใบหนึ่งก็รู้สึกได้ แม้มีพระภิกษุนั่งคุยกันในที่ห่างไกลก็รับรู้ได้ อาการจึงเหมือนคนตื่นอยู่ตลอดเวลา...

    ครั้นแล้วหลวงพ่อก็เดินเข้ามาบอกว่า "ที่คุณทำนั้น ตึงเกินไป การปฏิบัตินี้ ก็เหมือนกับมีร่องอยู่ร่องหนึ่งที่ประตู ถ้าคุณมองสูงไป มันก็ไม่เห็น ถ้าคุณมองต่ำไป มันก็ไม่เห็น มันต้องมองถึงตรงที่มันพอดีๆ พอดีตรงนี้แหละคือ มัชฌิมาฯ ไม่ซ้ายไป ไม่ขวาไป ไม่สูงไป ไม่ต่ำไป"

    ผมเองก็รู้สึกเหมือนกันว่า ท่าจะตึงเกินไป จึงกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า แล้วจะผ่อนลงอย่างไร? หลวงพ่อท่านไม่ได้บอกอะไร คงต้องเนื่องด้วยอุบายของแต่ละคนจะพิจารณาเอง เวลานั้นผมก็คิดไม่ออกว่าจะผ่อนลงอย่างไร เพราะทุกอริยาบทมีการทรงตัวเช่นนี้ตลอดเวลา จะเดินช้า เดินเร็ว จะหยุดนั่ง จะหยุดยืน ต่างก็เสมอกันในทุกอริยาบท คือ มีสติ สัมปชัญญะ สมาธิ ทรงตัวอยู่ตลอดเวลา ดั่งมีใครเอาแหมาพันร่างไว้แล้วรัดจนแน่นตึง...

    ผมพิจารณาเอาว่าเมื่อครั้งเจ้าชายสิทธัตถะทรงทรมานพระวรกายเป็นเวลา 6 ปี เมื่อต่อมาบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณแล้วนั้น จึงทรงตรัสสอนเรื่องการเว้นส่วนสุด 2 อย่างเสีย เมื่อมาเปรียบเทียบกับสิ่งที่ผมทำนั้น ผมเห็นว่ายังไม่เห็นจะเข้าขั้น อัตตกิลมถานุโยค แต่อย่างใด ยังน่าจะอยู่ในขอบข่ายของผู้เกียจคร้านเสียมากกว่า แต่ในเมื่อหลวงพ่อทักมาว่า ตึงเกินไป ผมเองก็ไม่รู้วิธีผ่อน อาจจะเนื่องด้วยความที่ฉลาดจนโง่ก็เป็นได้ สิ่งที่ผมทำได้คือ ไปมันให้ถึงที่สุด เมื่อตึงถึงที่สุดมันก็ต้องขาด เวลาขาดมันเป็นอย่างไร นี่ผมเองไม่เคยรู้มาก่อน ในเมื่อไม่รู้ทางจะผ่อนผมก็จะทำมันต่อไป ถ้ามันจะขาด ก็ให้มันรู้กันไปว่าจะขาด อะไรจะขาด ขาดแล้วเป็นอย่างไร...

    ต้นทุนชีวิตผมมันต่ำ ผมเป็นคนธรรมดา ที่ไม่ได้มีอะไรติดตัวมาตั้งแต่เก่าก่อน ไม่ใช่ผู้ดีมีสกุล ไม่ใช่เป็นคนมีสติปัญญาดีเลิศ ดั่งหลายๆท่านที่กล่าวไว้ว่า "รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะ ร้อยครั้ง" คนอย่างผมไม่มีความสามารถเพียงนั้น ผมเองตั้งใจเพียงว่า ผมจะทำไปให้ถึงที่สุดแห่งการรบ จะรบสักกี่ร้อยล้านครั้ง ก็ตาม ผมขอชนะเพียงครั้งเดียวก็พอ เพียงครั้งเดียวที่ชนะ สงครามนี้จะต้องยุติ จะไม่มีการรบอีกต่อไป...

    ท่านทั้งหลายอาจจะคิดว่าทำไมผมจึงท้อแท้ทอดถอนถึงเพียงนี้ นั่นก็เพราะที่ผ่านๆมานับภพชาติไม่ถ้วน ผมสู้สุดใจมาทุกชาติ ผมไม่เคยชนะเลยแม้แต่ครั้งเดียว และผมตั้งใจว่าหากผมชนะเพียงสักครั้ง ผมจะกวาดล้างกิเลสมาร ทั้งหลายให้สูญสิ้น ไม่มีโอกาสมาสำแดงฤทธิ์เดชได้อีกเลยแม้สักครั้งเดียว...ผมจึงทุ่มเททุกอย่าง เพียงเพื่อจะชนะสักครั้งหนึ่ง...

    เมื่อตัดสินใจลงไปแล้วว่าจะยอมตึงไปจนกว่ามันจะขาด การเดินจงกรมก็ดี นั่งสมาธิก็ดี จึงทำไปอย่างสม่ำเสมอ คือมีอาการทั้งหมดเสมอกัน แม้กระพริบตา หรือกรอกตา หรือแม้แต่เลือดที่ไหลเวียนในกายนี้ก็รู้สึกได้หมด ทั้งอวัยวะภายในที่มีการเคลื่อนไหวก็รู้สึกไปได้ด้วย..

    เวลาผ่านไปนานเท่าไรจำไม่ได้ จนกระทั่งวันหนึ่ง มรรคทั้งแปดประการ ได้มาประชุมลงพร้อมกันในกายในจิตนี้ มีอาการเสมอกัน ไม่มากไป ไม่น้อยไป ไม่ได้ด้วยเจตนา ไม่มีความหวังใดๆ อาการทางใจก็เกิดเห็นว่า กุฎิ ไม่ใช่กุฎิ ต้นไม้ไม่ใช่ต้นไม้ ตัวเราไม่ใช่ตัวเรา ในเวลานั้น ภาษาที่ใช้ในการสมมติเกิดหายไป สักครู่หนึ่ง สรรพสิ่งรอบกายทั้งหมดก็ได้ถล่มลงไป ราบเป็นหน้ากลอง ไม่มีสิ่งใดเหลือ แม้แต่ร่างกายเราเองก็ไม่มีเหลือ มีเพียงตัวรู้ที่ยังรู้อยู่ แม้เดินจงกรมอยู่ ก็มีอาการว่าร่างกายและสรรพสิ่งถล่มราบหายไป ภาษาและสมมติใดๆ ไม่ปรากฎ...

    สภาวะธรรมจึงปรากฎแก่จิต เป็นธรรมอันไม่มีภาษา ไม่อาจแทนได้ด้วยภาษาใดๆได้ เป็นการเห็นในสภาวะของความเป็นจริง ไม่ได้ด้วยการรู้ ไม่มีที่มา ไม่มีที่ไป ไม่มีเหตุปัจจัยเกื้อหนุน ไม่อยู่ในการควบคุมใดๆ เป็นการปรากฎโพลงขึ้นที่จิต

    หากเปรียบไปก็เหมือนกับคนที่หลับตามาตั้งแต่เกิด ไม่เคยเห็นแสงสว่าง เคยแต่ได้ยินคนพูดกันถึงแสงสว่าง ต่อเมื่อตนเองได้ลืมตาขึ้นเห็น ประจักษ์อยู่เบื้องหน้า ย่อมกระจ่างแจ้งแก่ใจ ไม่ต้องมีใครมายืนยัน ไม่ต้องการคำอธิบายใดๆอีกต่อไป ความรู้ใดๆที่เคยรู้มาแต่ก่อนเก่า กลับถูกทำลายลงสิ้นในเวลานั้น ด้วยการเห็น ฑิฐิความเชื่อทั้งหลายก็ถูกทำลายสิ้นไป ณ เวลานั้น ...

    ธรรม อันอัศจรรย์นี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถรู้เห็นได้ โดยมนุษย์ปุุถุชนได้เลย ด้วยเป็นธรรมที่ประเสริฐกว่าคำว่าประเสริฐ เป็นธรรมที่ปัญญาของผู้คนไม่อาจเข้าถึงได้ด้วยการคิดวิเคราะห์ เป็นความอัศจรรย์ที่ดับความเชื่อความเห็นทั้งปวงในเก่าก่อนไปจนสิ้น เวลานั้น จึงเห็นความสั่นสะเทือนของโลกธาตุ ซึ่งหาใช่เป็น เทวโลก พรหมโลก ที่สั่นสะเทือนก็หาไม่ หากแต่เป็น ฑิฐิ ความเชื่อทั้งหลาย ที่เคยเรียนรู้มาทั้งหมด มันสั่นสะเทือนจนถล่มทลายลงเสียสิ้น

    ธรรมที่ปรากฎนี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับการได้อ่าน ได้ฟังมา แม้เนื้อหาจะเหมือนกัน แต่การได้เห็นสภาวะธรรมนี้ยังคงต่างกันอย่างไม่สามารถเปรียบเทียบได้...
    ปรมัตถธรรมนี้ จึงเป็นธรรมที่ไม่ควรกล่าวถึง....
    เนื่องเพราะหากสามารถกล่าวถึงได้ ธรรมนี้ย่อมกลายเป็นสมมติ ไม่อาจเป็นปรมัตถสัจจะอีกต่อไป...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กุมภาพันธ์ 2014
  18. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    "ธรรม ที่ไม่ควรกล่าวถึง"

    เหตุที่ธรรมนี้ไม่ควรกล่าวถึง เนื่องมาจาก
    - ไม่อาจอาศัยภาษาใดๆในโลกนี้ อธิบายได้อย่างถูกต้องถึงสภาวะธรรมนี้ได้เลย
    - เมื่อจะอธิบายโดยเทียบเคียงพอให้ได้รู้ตามนั้น จะทำให้ผู้ที่ปฏิบัติอยู่ เมื่อได้รับรู้แล้ว เกิดความกังวล ในระหว่างปฏิบัติ ส่วนผู้ที่ไม่ได้ปฏิบัติอยู่ ย่อมนำคำกล่าวนี้ไปเอ่ยอ้าง เพื่อยกตนข่มท่าน เป็นการอาศัยวาทะกรรมไปสร้างความเคารพน่าเลื่อมใสให้กับตนเอง

    เมื่อเป็นเช่นนี้ ครูบาอาจารย์ท่านจึงไม่ยอมเล่าให้ฟัง เพราะเล่าไปแล้วไม่เกิดประโยชน์ และไม่ทำให้นักปฏิบัติทั้งหลายเห็นธรรมนั้นได้ ท่านจึงสอนแต่แนวทางปฏิบัติ ส่วนปฏิเวธนั้น เมื่อทำไปจนถึงที่สุดแล้ว ย่อมปรากฎขึ้นเอง เมื่อนั้นย่อมสิ้นสงสัยได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องมีใครมาอธิบาย

    ในเมื่อผมยังเป็นผู้หลงทางอยู่นั้น การจะเล่าเรื่องผลของการปฏิบัติอย่างผิดๆพลาดๆบ้าๆบอๆนี้แล้ว ก็ขอให้ท่านทั้งหลายอ่านเอาเพียงพอจะเป็นอุทธาหรณ์เท่านั้น อย่าได้ไปสำคัญมั่นหมายในความรู้ความเห็นของกระผมเลย คงเพียงให้ดูไว้เป็นเยี่ยง แต่อย่างเดียวก็พอ...

    ธรรมที่ปรากฎในเบื้องต้นนี้ จะแสดงให้เห็นถึงกายนี้ว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในกายนี้ ร่างกายนี้ไม่มีในเรา หากแต่เป็นการแสดงถึงสภาวะการเห็น โดยไม่ได้ระบุเป็นภาษาใดๆในการพิจารณาเลย เป็นการเห็นแจ้งว่า ร่างกายนี้มันไม่ใช่เรามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว มันเป็นเช่นนั้นของมันอยู่เอง...เมื่อเห็นดังนี้แล้วจึงเป็นที่น่าเอน็จอนาถใจนัก ที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ต้องทรงตรัสสอนไว้ถึง 84000 พระธรรมขันธ์ เพียงเพื่อให้พวกเราทั้งหลาย ได้เห็นว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา จริงๆ...แต่ก็ไม่มีใครเข้าใจ คือเข้าไม่ถึงใจจริงๆ ไม่เห็นสภาวะธรรมของการไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตนเลยจริงๆ...

    เมื่อเห็นกายว่าไม่ใช่ของเราแล้ว เวทนาก็เห็นว่าไม่ใช่ของเรา
    เมื่อเห็นเวทนาว่าไม่ใช่ของเราแล้ว ก็ไปเห็นสัญญาว่าไม่ใช่ของเรา
    เมื่อเห็นสัญญาว่าไม่ใช่ของเราแล้ว ก็ไปเห็นว่าสังขารไม่ใช่ของเรา
    เมื่อเห็นสังขารว่าไม่ใช่ของเราแล้ว ก็ไปเห็นว่าวิญญาณไม่ใช่ของเรา
    เมื่อไปเห็นวิญญาณว่าไม่ใช่ของเราแล้ว ก็ไปเห็นว่าอุปทานไม่ใช่ของเรา
    เมื่อไปเห็นว่าอุปทานไม่ใช่ของเราแล้ว ก็ไปเห็นว่า ชาติ ชรา สุข ทุกข์ เกิด ดับ นรก สวรรค์ ความยินดี ความยินร้าย ทั้งหลาย ไม่ใช่ของเรา...

    เมื่อนั้นจึงเห็นว่า ภพชาติทั้งหลายนี้ไม่ใช่ของเรา และได้ดับลงแล้ว ณ เวลานี้ เป็นการสิ้นไปแล้ว ไม่กลับคืนได้อีก ฑิฐิทั้งหลาย ความยึดมั่นถือมั่นทั้งหลาย ได้ถล่มทลายลงไปแล้วพร้อมๆกับสภาวะธรรมที่ปรากฎขึ้น เสมือนแสงอาทิตย์ได้ทำลายความมืดลงไปเสียแล้วเช่นนั้น...จึงเห็นว่า พรหมจรรย์เราได้ถึงที่สุดแล้ว การเกิดจะไม่มีสำหรับเราอีกต่อไป...

    เมื่อนั้นเอง ผู้รู้ได้ทำหน้าที่ของตนอีกครั้ง โดยเห็นว่า ธรรมอันประเสริฐ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิงนี้ ไม่เคยปรากฎมีแก่เรามาก่อน ครั้งนี้ได้ปรากฎแก่เราแล้ว สิ่งใดขึ้นชื่อว่ามีการเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นไม่ดับไปย่อมไม่มี...จึงปรากฎเป็นคำว่า สัพเพธัมมา อนัตตา...ติ...เมื่อเห็นดังนี้แล้วจึงถ่ายถอนจากสภาวะธรรมนั้นลง ผมเห็นว่านี้เอง ควรเรียกว่า "ธรรม ใน ธรรม" คือการเห็นว่า สภาวะธรรมนี้ ก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ย่อมตกอยู่ในไตรลักษณ์ ของธรรมนั้นเอง...

    เมื่อนั้นผู้รู้จึงเห็นจิตอีกครั้ง จึงเห็นว่า จิตนี้ก็ไม่เที่ยง เมื่อใดเสวยอารมณ์ก็เกิดความไม่ว่างขึ้น เมื่อใดไม่เสวยอารมณ์ก็เกิดความว่าง...สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์ ควรหรือจะยึดว่าเป็นเรา ว่าตัวว่าตนของเรา เมื่อนั้นเองจึงวางจิตของตนลง เมื่อปลงจิตของตนวางลงเสียแล้ว จึงเกิดสภาวะหนึ่งขึ้นมา ต่อจากจิต เป็นสภาวะที่ว่างและทรงตัวอยู่อย่างนั้น ไม่มีสิ่งใดหรืออารมณ์ใดๆ จะเข้าถึงได้ ไม่สะเทือนด้วย ไม่หวั่นไหวด้วย เป็นเอกเทศ อยู่อย่างนั้น (ซึ่งกาลต่อมาได้ทราบจากคำสอนของหลวงปู่เทสน์ ท่านเรียก สิ่งนี้ว่า "ใจ" หรือจะเป็นสิ่งที่ท่านเว่ยหลาง เรียกว่า จิตเดิมแท้) ลักษณาการเช่นนี้ ผมเห็นว่าน่าจะเรียกว่า "เห็นจิตในจิต"

    เมื่อเห็นดังนี้แล้ว จึงเห็นผู้รู้ว่า ก่อนหน้านี้เราเองไม่เคยรู้จักผู้รู้คือสติมาก่อน ครั้งเมื่อมาฝึกฝนจนเกิดสติ หรือ ผู้รู้นี้ขึ้นแล้วในภายหลัง สิ่งใดเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ย่อมมีการดับไปเป็นธรรมดา ขึ้นชื่อว่าไม่ดับไปเป็นไม่มี เมื่อนั้นแล้ว ผู้รู้ คือ สติ จึงดับลงไป คงปรากฎเป็นการรู้อีกอย่างหนึ่ง เป็นสภาวะรู้ โดยรู้ในผู้รู้ คือสติ อีกทีหนึ่ง ซึ่งในความเห็นผม ขอเรียกสิ่งนี้ว่า รู้ในรู้ ด้วยเป็นความรู้ที่เป็นสภาวะหนึ่งเดียวกับใจ ซึ่งไม่สั่นไหว ข้องแวะ กับสิ่งใดๆ ทั้งรูป ทั้งนาม และสรรพสิ่งทั้งหลาย....

    เมื่อนั้นแล้วจึงเห็นว่า พระขีณาสพ เมื่อบรรลุธรรมแล้ว ย่อมไม่ก่อกรรมขึ้นได้อีก แม้มีอยู่ ดำรงอยู่ ก็โดยกริยา เป็นผู้รู้ โดยไม่ข้องแวะด้วย เป็นผู้ไปพ้นแล้วจากกรรมทั้งปวง แม้บุคคลทั้งหลายจะคิดว่า ผลกรรมที่ท่านทำไว้ จะมาสนองคืนต่อท่าน อันเนื่องด้วยเจ้ากรรมนายเวรแล้วนั้น ก็เป็นการสนองต่อธาตุขันธ์ของท่าน หาได้กระทบไปถึงใจอันรู้แจ้งแล้วของท่านไม่ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้หมดกรรม... ด้วยเพราะเวรกรรมทั้งปวงไม่อาจกระทำถึงท่านได้เลย...

    บุคคลซึ่งหมดไปจากกรรมนี้แล้ว ย่อมไม่ยินดียินร้ายหรือใส่ใจต่อการดำรงธาตุขันธ์ว่าจะอยู่ได้เพียง 7 ราตรีหรือไม่ ช่างเป็นความสงสัยอันโง่เขลาของสัตว์ทั้งหลายที่ยังเวียนว่ายในวัฏฏะสงสารด้วยความหวาดกลัว แต่เพียงฝ่ายเดียว
    การเจริญสมถะก็ดี วิปัสนาก็ดี เวลานี้แม้เจริญไว้เยี่ยงเดิมย่อมไม่เหมือนเดิม เนื่องเพราะแต่เดิม การเจริญภาวนา ยังเป็นไปด้วยความอยาก ต้องการพ้นทุกข์ ต้องการบรรลุธรรม ต้องการเห็นธรรมอันยิ่ง ย่อมทำไปด้วยความอยาก ย่อมไม่บริสุทธิ์ ต่อเมื่อบุคคลผู้ปฏิบัติถึงตรงนี้แล้ว ย่อมภาวนาไปอย่างเดิม แต่ไม่มีอารมณ์อยากเจือแล้วอีกต่อไป เป็นการภาวนาโดยบริสุทธิ์ เป็นการบำเพ็ญธรรมเพื่อธรรม และยังคงภาวนาอยู่เป็นปกติ หาได้ย่อหย่อนลงกว่าเดิมไม่ มีแต่จะภาวนามากขึ้น ยิ่งขึ้น โดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เป็นผู้มุ่งไปข้างหน้าแล้ว ไม่หวนกลับอีกแล้ว...

    ธรรมอันบรรลุแล้วนี้ ย่อมทำลายฑิฐิให้สิ้นไปแล้ว ไม่สามารถกำเริบกลับไปได้อีก แม้ว่าผู้นั้นจะสูญสิ้นจากฌาณสมาบัติหรืออภิญญาทั้งหลายก็ตาม ความเห็นความรู้นี้จะเปลี่ยนกลับไปอีกไม่ได้อีกแล้ว เปรียบไปก็เหมือนกับผู้ที่ลืมตาเห็นแสงสว่างแล้ว แม้จะหลับตาอีกครั้ง ความสงสัยในแสงสว่างก็ไม่อาจคืนมาได้อีก เหมือนดังเมล็ดข้าวเปลือกที่กระเทาะเปลือกแล้วหุงจนสุก ไม่สามารถจะงอกออกมาเป็นต้นได้อีกต่อไปฉันนั้น....

    เวลานั้นผมได้พิจารณาอยู่ ณ ทางเดินจงกรมนั้นว่า เราได้บรรลุอรหัตผลแล้วหรือยัง ก็รู้ได้ด้วยตัวเองว่า เรารู้ได้ เห็นได้ แต่เข้าถึงความเป็นอรหัตผลไม่ได้...
    จึงลดลงมาพิจารณาต่อไปว่า บัดนี้เราได้บรรลุโสดาบันแล้วหรือยัง ก็รู้ขึ้นมาได้ด้วยตัวเองว่า เรายังไม่ได้บรรลุโสดาบันแต่อย่างใด...
    จึงลดลงมาพิจารณาว่า สักกายะฑิฐิ เรายังมีหลงเหลืออยู่อีกหรือไม่ ก็รู้ว่าสักกายะฑิฐินี้สิ้นไปแล้ว ไม่อาจกลับคืนย้อนกลับมาได้อีกแล้ว...
    จึงพิจารณาถึงวิจิกิจฉา ว่า เรายังมีความสงสัยในพระธรรมอยู่อีกหรือไม่ ก็รู้ว่าวิจิกิจฉาเราได้สิ้นไปแล้ว ไม่อาจคืนย้อนกลับได้ เราสามารถเป็นพยานในพระพุทธศาสนาได้ ว่าพระธรรมขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าที่ทรงตรัสรู้แล้วนั้น มีอยู่จริง ผู้ใดมีความจริงใจในการปฏิบัติย่อมเข้าถึงได้ทุกคนไป...

    จึงพิจารณาถึง ศีลพตปรามาสว่า เราได้สิ้นไปแล้วในศีลพตปรามาสหรือไม่ เวลานั้นก็พบว่า เรายังไม่สิ้นไปจากศีลพตปรามาส ด้วยเหตุที่ยังคงมีความอยาก ในแง่ที่ว่า ต้องการให้พรรคพวก พวกพ้องทั้งหลาย ที่เคยดีต่อกันมา ได้มีโอกาสเห็นธรรม อันประเสริฐนี้เสียก่อน เพื่อให้หมู่คณะทั้งหลายที่เคยดีต่อกันมา ได้พ้นไปจากวัฏฏะสงสารเสียด้วยกัน...ติดอยู่ด้วยเพียงเท่านี้ จึงไม่อาจไปถึงที่สุดได้...(นี่ก็เป็นความโง่บัดซบของผมเอง...ไม่โทษใคร)

    เมื่อพิจารณาถึง พระรัตนตรัย ว่าเรานี้ได้เข้าถึงไตรสรณคมณ์แล้วหรือไม่ เวลานั้นก็พบว่า เรานี้เห็นคุณแห่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าชัดเจนแล้ว ด้วยทรงมีปัญญาธิคุณที่ทรงเห็นธรรมอันประเสริฐหมดจดนี้ อันเป็นเหตุให้พระองค์ทรงมีพระบริสุทธิคุณอย่างถึงที่สุด และทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอันหาประมาณมิได้ ที่มิได้ทรงทอดทิ้งเวไนยสัตว์ทั้งหลายผู้มืดบอด ทั้งที่เวไนยสัตว์เหล่านี้ ยากต่อการจะได้รู้เห็นธรรมอันอัศจรรย์นี้ ก็ไม่ทรงละความเพียรในการสั่งสอน แม้จะยากเหลือจะประมาณก็ทรงเมตตาอบรม อธิบาย มากมายจนนับ หมื่นๆ พระธรรมขันธ์....

    เมื่อจบการพิจารณาในขณะนั้นแล้ว ยังคงมีสิ่งหนึ่ง ที่ผมไม่เคยได้กราบเรียน หลวงพ่อพิทักษ์ ถึงผลที่เกิดขึ้นนี้เลย เนื่องด้วย ในส่วนของผู้ปฏิบัติธรรมในการเจริญมหาสติปัฎฐาน 4 นั้น เป็นผู้ปฏิเสธนิมิตทั้งหลาย และบ่อยครั้งที่กล่าวว่าเป็นอุปทานของจิต หรือการปรุงแต่งของจิต เวลานั้นจึงไม่ได้เรียนท่านได้ทราบ...แต่เห็นว่าบัดนี้ เวลาก็ผ่านมาเนิ่นนานแล้ว การเล่าไปในครั้งนี้ คงจะเป็นเพียงอุทธาหรณ์ให้นักปฏิบัติทั้งหลายได้เห็นข้อผิดพลาดของผมที่ผ่านมา จึงจะได้ขอบันทึกไว้พอเป็นหลักฐานหนึ่ง...กล่าวคือ

    เมื่อนั้น ปรากฎเห็นเป็นองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเครื่องพระนิพพานเสด็จมายังทิศเหนือเยื้องๆไปทางตะวันตกเล็กน้อย และเห็นตัวผมเองนั่งอยู่บนใจกลางดอกบัวขนาดใหญ่ ขนาดได้หลายสนามฟุตบอล หรือประมาณท้องสนามหลวงเห็นจะได้ เมื่อพระองค์เสด็จมาถึงจึงทรงประทับนั่งห้อยพระบาท เวลานั้นมีแท่นอาสนะปรากฎรับองค์ท่านไว้พอดี เบื้องหน้าปรากฎเหล่าพุทธบริษัทฯ ประมาณ 7-8 คน มีทั้งชายและหญิง ต่างพนมมือ กราบนมัสการองค์สมเด็จพระพิชิตมาร บรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้า...

    กาลเป็นไปอยู่สักครู่ใหญ่ๆ นิมิตนี้ก็หายไป ผมยังคงเดินจงกรมอยู่ และยังคงเดินจงกรมต่อไป เพื่อพิจารณาถึงเหตุอันเป็นไปในระหว่างที่ปฏิบัตินั้น เมื่อใคร่ครวญดีแล้ว จึงออกจากทางเดินจงกรม ไปกราบเรียนรายงานต่อ หลวงพ่อพิทักษ์ เพื่อขอคำแนะนำ ...
    หลวงพ่อท่านฟังแล้วก็นิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน...นานจากปกติ...จากนั้นท่านจึงบอกเพียงว่า "ดีแล้ว ดีแล้ว คุณก็ทำไป ทำอย่างเดิมไปนี่แหละ...ทำไป...ดีแล้วนะ"

    สุดท้ายนี้จึงต้องขอจบกระทู้หลงทาง ที่ดำเนินมาอย่างยาวนานลง ทั้งนี้ก็ขอให้ท่านผู้อ่านทั้งหลาย โปรดอย่าเข้าใจว่า ผมเป็นผู้บรรลุธรรมแล้ว หรือเป็นอริยะบุคคลแล้ว ผมขอยืนยันว่า ผมยังไม่ได้บรรลุอริยะบุคคลใดๆทั้งสิ้น ทั้งยังไม่มีคุณวิเศษใดๆจะปรากฎบังเกิด ทุกวันตั้งแต่วันนั้น จนวันนี้ ผมยังคงฝึกฝนอย่างที่ท่านทั้งหลายฝึกอยู่ ผมยังสำเหนียกตัวเองว่ายังเป็นผู้ใหม่อยู่เสมอ ยังต้องทำความเพียรอีกมาก ผมยังเป็นผู้ประมาทอยู่มาก และยังไม่มีความดีใดๆจะให้กล่าวชม ยกย่องแต่อย่างใด เป็นแต่เพียงนักปฏิบัติคนหนึ่ง ที่เคยหลงทางไปๆมาๆ นำเรื่องราวเมื่อยังคงหลงทางนั้นมาเล่าสู่กันฟัง ประสาเพื่อนพ้องน้องพี่ เพียงเท่านั้น ขอให้ทราบว่าผมยังเป็นปุถุชน คือ บุคคลที่ยังหนาแน่นไปด้วยกิเลศ นรกยังท่วมหัวอยู่ ยังไม่ใช่คนดีอะไร...

    หากจะมีคุณงามความดีใดๆปรากฎขึ้นบ้าง จากการบันทึกนี้ ก็ขอให้คิดว่าเป็นคุณงามความดีที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วได้ทรงแนะนำสั่งสอนมา และหลวงปู่หลวงพ่อครูบาอาจารย์ทั้งหลายได้ปฏิบัติดีแล้ว นำมาแนะนำสั่งสอน มิใช่ความดีของผมแต่อย่างใด...

    ในท้ายที่สุดนี้ ขออำนาจแห่งคุณพระศรีรัตนตรัยเป็นประธาน ดลบันดาลให้ธรรมใดที่ข้าพเจ้าได้รู้ได้เห็นแล้ว ขอท่านผู้อ่านทั้งหลาย ได้รู้ได้เห็นตาม โดยครบถ้วนทุกประการ ในชาติปัจจุบันนี้เทอญ...สาธุ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กุมภาพันธ์ 2014
  19. dogbert

    dogbert เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +125
    โมทนาด้วยครับ ผมติดตามอ่านมานานมาก แต่ไม่เคยเขียน เห็นกระทู้ๆ ท้ายสุด แล้วขนลุก ได้แต่ร่วมโมทนา ยินดีอย่างที่สุด
    ขอบคุณท่าน "raming2555" ที่ชี้ทางหลายๆ ทาง บางครั้งต้องหักดิบ แบบ อาจรย์หลายๆ ท่าน ที่ท่านแนะนำ
    โมทนาด้วยครับ ธรรมใดที่ท่านพบหรือประสบเจอมาแล้ว ก็ขอให้สมาชิกธรรม ที่เข้ามาอ่านกระทู้ของท่าน พบเจอด้วยเถิด
    สาธุ
     
  20. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    คนเราพอดังขึ้นมา ก็จะหนีไปซะล่ะ...!!!!
     

แชร์หน้านี้

Loading...