หลวงตาพระมหาบัวกล่าวถึงพ่อแม่ครูอาจารย์

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 22 มิถุนายน 2013.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]


    หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่


    [​IMG]


    คราวหนึ่งท่านมีโอกาสเดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่ จึงได้เข้ากราบหลวงปู่แหวน ซึ่งเป็นศิษย์รุ่นใหญ่อีกองค์หนึ่งของหลวงปู่มั่นเช่นกัน จากการสนทนาในครั้งนั้นทำให้ท่านกล่าวถึงหลวงปู่แหวนด้วยความเคารพบูชาว่า

    “...ท่านอาจารย์แหวนองค์หนึ่ง สามารถแก้ได้ตลอดทั่วถึงทางด้านจิตใจ เดี๋ยวนี้ท่านก็ไม่เอาเรื่องกับใครแล้ว ประการหนึ่งก็ไม่มีใครไปเล่าให้ท่านฟัง ท่านขี้เกียจยุ่งกับเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้ง ท่านก็อยู่สบายๆ

    ลองมีผู้มีภูมิจิตภูมิธรรม มีความรู้ความเห็นต่างๆ ทางด้านปฏิบัติไปเล่าให้ท่านฟังดูซิ ไม่ต้องสงสัยว่าเสียงท่านจะไม่ขึ้นปึ๋งปั๋งๆ เพราะท่านอยู่กับธรรมเท่านั้น ถึงไม่ติดธรรม ท่านก็อยู่กับธรรม เป็นเครื่องรื่นเริงระหว่างขันธ์กับจิตที่ครองตัวอยู่ ..
    พอเข้าไปมีพระอุปัฏฐากท่านอยู่องค์เดียว เราเข้าถึงปุ๊บในห้องท่านเลยละ พวกนั้นให้เขารออยู่ข้างนอกเต็ม ไปก็เอาเลย ไม่รอ เพราะจะเข้าหาท่านทีไรจะพูดธรรมะโดยเฉพาะไม่มีเวลา คนรุมๆ คราวนี้เลยได้อุบายใหม่มาก็ตกลงกับเขาเรียบร้อย ให้อาตมาเข้าไปหาท่านเสียก่อนนะ เข้าไปคุยกับท่านพอสมควรแล้วจะออกมาแล้วให้สัญญาณ ได้เข้าเฝ้าท่านแหละวันนี้ พอใจ พอว่าเขาก็แตกฮือกลับเลย เราก็เข้า เข้าก็ฟัดกันเลย เราลืมเมื่อไร ก็มันเตรียมพร้อมใส่กันอยู่แล้ว

    ขึ้นเบื้องต้นปัญหาปุ๊บเข้าไปเลยทีเดียว ปัญหานี้ถ้าไม่รู้ถามไม่ได้ ถ้าไม่รู้ตอบไม่ได้ เพราะเป็นปัญหาภาคปฏิบัติภายในจิตใจโดยเฉพาะ ค้นหาคัมภีร์ไหนก็ค้นเถอะน่ะ คัมภีร์ใหญ่คือหัวใจเท่านั้นที่จะได้ธรรมเหล่านี้ออกมา พอเข้าไปหาท่านใส่ปั๊บทีเดียวละ เอาแต่ปัญหาจุดสำคัญๆ นะ คือนี้จะบอกในตัว ท่านตอบนี้แล้วก็แสดงว่าท่านรู้ไว้แล้ว ท่านก็จะรู้ทันทีว่ารู้แล้ว ไม่รู้จะถามปัญหาอย่างนี้ไม่ได้ มันบอกในตัวเสร็จเลย เบื้องต้นปั๊บเข้าไป ๑๐ นาที ท่านก็ผางออกมา ๑๐ นาที เข้าใจหมด

    พอท่านหยุดหายใจใส่เข้าอีกปั๊บ เพราะเราหายสงสัยแล้วนี่ คราวนี้เอาใหญ่เลย ถึงรากใหญ่ของวัฏจักร คราวนี้ ๔๕ นาที เหมือนว่าท่านไม่ได้หายใจเลยนะ ธรรมถึงใจท่าน เรียกว่าถ้าเป็นน้ำก็น้ำถังใหญ่ๆ ที่สะอาดสุดยอด ไม่ควรจะนำไปใช้สอยชะล้างสิ่งใดเลย น้ำถังใหญ่ท่าน พอเข้าไป เรามันพระขี้ดื้อ ไปก็ไขก๊อกเลยเปิดก๊อกไว้เลย น้ำก็พังออกมา ซัดกันใหญ่ ประโยคที่สองนี่ ๔๕ นาที ประโยคแรก ๑๐ นาที โอ้ ตัวแดงหมดนะ ไม่เคยมีใครจะเปิดหรือไขก๊อกนี้เลย หมายถึงว่าน้ำอรรถน้ำธรรมที่สะอาดสุดยอดของท่าน เก็บไว้อย่างนั้นตลอด ใครไปก็เหรียญหลวงปู่ เหรียญเราสู้หลวงปู่ ขอท่านก็เอาๆ ถังใหญ่ไม่มีใครไปแตะ เราไปใส่ปั๊วะเลยเชียว ปั๊วะท่านก็ผางออกมาเลย ครั้งแรก ๑๐ นาที เราเข้าใจแล้ว พอท่านหยุดหายใจเราก็ปั๊บเข้าอีกเลย คราวนี้โอ๋ยไปใหญ่เลย ตัวแดง
    ท่านไม่เคยมีใครไปถามอย่างนั้น เปรี้ยงๆๆ ออกเต็มเหนี่ยวเลย พอใจ ท่านพอใจเต็มที่ เราก็พอใจเต็มที่ พอเสร็จแล้ว ท่านใส่อย่างท้าทายเลย ‘เอ้า! ที่พูดมาทั้งหมดนี่น่ะ ถ้าเห็นว่าไม่ถูกต้องตรงไหน เอา ท่านมหาค้านมา’
    ‘กระผมไม่ค้าน กระผมหาธรรมะประเภทนี้แหละ’

    ฟังเสียงหัวเราะฮ่า ๆ ๆ ‘เออ ท่านองค์นั้นล่ะ ได้คุยกันแล้วยัง อาจารย์องค์นั้นล่ะๆ ระบุชื่อๆ เลยนะ ธรรมะประเภทนี้น่ะ ได้คุยกับอาจารย์องค์นั้นๆ แล้วยัง’
    ความหมายว่าอย่างนั้น คือธรรมประเภทนี้น่ะ ความหมายว่าอย่างนั้น เราก็กราบเรียนท่านพอประมาณๆ ให้พอเหมาะพอดี ท่านตัวแดงหมดเลยละ คือไม่มีใครไปถามธรรมะประเภทนี้ ท่านก็เก็บไว้ในถังใหญ่อย่างนั้นละ ใครไปก็ขอเหรียญเราสู้ เหรียญอะไรต่ออะไร

    ที่ถามที่ตอบกันนี้มีแต่แก่นธรรมออกจากภาคปฏิบัติ เราจะไปหาในคัมภีร์ไม่เจอ ต้องหาในคัมภีร์ใหญ่ พระพุทธเจ้าเป็นเจ้าของคัมภีร์ใหญ่ พระสาวกอรหันต์เป็นเจ้าของคัมภีร์ใหญ่ ปั๊บลงตรงนั้นละได้ความออกมา เอากันวันนั้นก็เอากันอย่างนั้นละ นั่น แหละที่ว่าเพชรน้ำหนึ่ง เมื่อเข้าถึงกันลงถึงขีดเรียกว่าร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว ท่านอาจารย์องค์นี้ได้ลงถึงขีดร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว ใครจะไปหาเรื่องหาราวว่าท่านเป็นสังฆาปาราชิกเฉยไม่สนใจ หลักใหญ่เข้าถึงกันแล้ว…”
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หลวงปู่แหวนกับธนบัตร ๕๐๐ บาท

    [​IMG]


    “...พูดถึงเรื่องเงินก็ระลึกถึงหลวงปู่แหวน อย่างนั้นละบทเวลาท่านจะทำ ท่านก็รู้ก็ปฏิบัติตามสมมุติอยู่ตลอดมาไม่เคยเปลี่ยนแปลงอะไร ท่านเคารพนับถือ ฝ่ายสมมุติท่านก็เคารพว่าเงินว่าทองไม่ให้จับท่านก็ไม่จับเหมือนพระทั้งหลาย บทเวลาท่านจะพลิกล็อกนะ

    อยู่ๆ ก็ฟาดไปเอาธนบัตรใบละห้าร้อยมามวนบุหรี่ มวนใหญ่ๆ เข้าใจไหมล่ะ ท่านสูบบุหรี่มวนใหญ่หลวงปู่แหวน นั่นละบทเวลาท่านจะพลิกล็อก มาเอาธนบัตรใบละห้าร้อยมวนบุหรี่สูบปุ๊บๆๆ พวกพระเณรก็ตกตะลึงกัน

    ‘อุ๊ย หลวงปู่ นี่มันธนบัตรใบละห้าร้อย เอามามวนบุหรี่สูบอะไร’

    ‘หือ’ ท่านว่างั้นนะ

    ท่านทำท่าอย่างนั้นละ คือจิตของท่านผ่านไปหมดเรื่องสังฆาปาราชิกนี้ไม่มีในหัวใจพูดตรงๆ แต่ กิริยาก็มีเป็นธรรมดาเพราะฉะนั้นท่านถึงเคารพกิริยา ต้องอาบัตินั้นอาบัตินี้ท่านเคารพ เวลาท่านพลิกปั๊บอย่างที่หลวงปู่แหวน เอาธนบัตรใบละ ๕๐๐ มามวนบุหรี่ ท่านมวนบุหรี่ตัวใหญ่ๆ นะ มวนบุหรี่ใส่ปุ๊บๆๆ

    ‘โอ๊ย หลวงปู่ทำไมเอาธนบัตรใบละ ๕๐๐ มามวนบุหรี่สูบอย่างนี้ล่ะ’

    ท่านก็ว่า ‘หือ’ ทำท่าเหมือนไม่รู้นะ บทเวลาตอบ ‘ประสากระดาษ’ เท่านั้นละ
    ‘ประสากระดาษ’

    ท่านก็สูบเฉยจากนั้นก็ทิ้ง จากนั้นไม่เคยทำอีกนะ ทำทีเดียวพอให้โลกได้รู้บ้าง คือจิตท่านบริสุทธิ์แล้วหมดนะ นี่เราใช้ตามกิริยาของสมมุติ พระเหล่านี้เป็นสมมุติ โลกมีสมมุติพระเราก็เป็นสมมุติ รักษาสิกขาบทวินัยตามสภาพของสมมุติ เพราะฉะนั้นท่านจึงรักษาธรรมวินัยเช่นเดียวกันหมด แต่จิตใจท่านผ่านไปหมดแล้ว

    คำว่าสังฆาปาราชิกอะไรนี้ไม่มีในจิต แต่มีในกิริยาที่จะต้องปฏิบัติให้เหมาะสมต่อสังคมที่อยู่ร่วมกัน นั่นท่านก็แยกอย่างนั้น แต่พ่อแม่ครูจารย์มั่นไม่เคยเห็นนะ เวลาท่านพูดท่านพูดเฉยๆ ท่านไม่ทำ ท่านพูดไปเหมือนกัน พูดแถวนี้แหละ แต่ท่านจะไม่ทำ หากพูด พูดใกล้เคียงกันกับที่ว่าเอาธนบัตรใบละ ๕๐๐ มามวนสูบ มวนบุหรี่สูบเหมือนอย่างหลวงปู่แหวน เป็นแต่เพียงว่าท่านไม่ทำอย่างนั้น กิริยาท่านพูดน่ะมี มีอย่างนั้น

    ‘คือจิตที่พ้นไปหมด แล้ว มันหมดแล้วเรื่องสมมุติ ไม่มีอะไรเข้าถึงจิตดวงนั้น เพราะทั้งหลายไม่ว่าอาบัติอาจีอะไรนี้มันเป็นสมมุติทั้งหมด ส่วนจิตนั้นผ่านหมดแล้ว เข้าไม่ถึง แต่ทีนี้เมื่อมีสมมุติอยู่ โลกทั้งหลายเขามีสมมุติ ปฏิบัติต่อกันให้เป็นความเหมาะสม ท่านจึงปฏิบัติตามสมมุติอย่างนั้น’

    อย่างพ่อแม่ครูจารย์มั่นท่านไม่เคยข้ามเกินพระธรรมวินัยข้อใด ทั้งๆ ที่เวลาพูดท่านก็พูด ท่านพูดเกี่ยวกับใจเสีย ท่านแยกออกมาสมมุติท่านก็บอกเราต้องปฏิบัติอย่างโลกเขาปฏิบัติกัน เพราะสมมุติต่อสมมุติขัดกันไม่เหมาะ แน่ะ ว่างั้นนะ สมมุติ กับสมมุติก็เคารพกัน นั่นท่านว่างั้น อย่างหลวงปู่แหวนที่ท่านว่า ท่านพลิกล็อกนะนั่น พลิกล็อกเป็นจิตล้วนๆ แล้วไม่มีอะไรเข้าถึง ท่านแสดงออกมาทางกิริยาแย็บเดียว จากนั้นท่านก็ไม่เคยทำอีก ท่านทำให้เป็นข้อคิดเฉยๆ ไม่ใช่ท่านดื้อด้าน ท่านทำเป็นข้อคิด…”
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู

    [​IMG]


    หลวงปู่ขาวเป็นลูกศิษย์องค์สำคัญของหลวงปู่มั่นองค์หนึ่ง ในสมัยหนุ่มท่านมีนิสัยอาจหาญทรหดอดทนและจริงจังในการบำเพ็ญเพียรมาก ท่านเที่ยวธุดงค์ไปทั้งทางภาคอีสานและเหนือ กระทั่งได้กำลังครั้งสำคัญที่จังหวัดเชียงใหม่ องค์หลวงตาเป็นผู้เรียบเรียงประวัติของหลวงปู่ขาวขึ้น เพราะมีโอกาสได้ซักถามพูดคุยข้ออรรถธรรมที่ลึกซึ้งกับท่าน คราวหนึ่งของการเทศน์อบรมพระภายในวัด ท่านพูดถึงการสนทนากันในครั้งนั้นว่า

    “…ครูบาอาจารย์แต่ก่อนอย่างหลวงปู่ขาว พระเณรก็ไปเต็มอยู่นั่น หลวงปู่ฝั้น เต็มอยู่นั่น หลวงปู่อ่อน เหล่านี้เต็มทั้งนั้นละ พอองค์นั้นล่วงไปองค์นี้ล่วงไปไหลเข้ามาๆ พอพูดอย่างนี้เราก็ระลึกถึงหลวงปู่ขาว ท่านเจ้าคุณอุปัชฌาย์ท่านฉลาด ไปในงานอำเภอหนองบัวลำภู ท่านสั่งเลยว่าให้เราไปงานนี้ แล้วหลวงปู่ขาวก็ไปในงานนี้ คือท่านจะให้เราสององค์พบกัน พอไปท่านก็มาบอกเลยว่าวันนี้ไม่ต้องลงไปงาน ให้อยู่สบายๆ ท่านสั่งไว้หมด กระต๊อบหลวงปู่ขาวอยู่นั้น เป็นร้านอยู่นั้น ร้านเราอยู่ที่นี่ติดกัน

    พอถึงเวลาแล้วเขาก็ลงไปงาน เราไม่ไป ท่านอนุญาตให้เป็นพิเศษเลย มหาบัวกับท่านขาวไม่ต้องไปจะได้พูดได้คุยธรรมะกัน เพราะท่านทราบอยู่แล้วว่าสององค์นี้เตรียมพร้อมที่จะคุยธรรมะกัน ไปก็เอาจริงๆ เพราะเป็นโอกาสอันดีที่สุดว่างั้นเถอะ .. นี่เคยพูดกันตั้งแต่นู้น นี่ก็ไม่เคยพูดกันอีกนะ ตั้งแต่ไปอำเภอหนองบัวลำภู คุยกันสนุกสองต่อสอง .. พอสองทุ่มไปในงานเราก็เข้าไปหาท่านอาจารย์ขาวคุยธรรมะกับท่าน ไล่แต่ ก.ไก่ ก.กา ตลอดเลยการภาวนาของเรา จนกระทั่งสุดขีด .. ๒ ทุ่มเริ่มจนกระทั่ง ๖ ทุ่ม… ท่านให้เราพูด เราก็พูดให้ฟัง ท่านเป็นผู้ฟังนี่นะ เริ่มแต่ ก.ไก่ ก.กา เรื่อย ทุกกิทุกกีเป็นยังไงๆ ว่าไปโดยลำดับๆ จนกระทั่งหมดความสามารถของเราแล้ว .. เราเล่าคนเดียวตั้ง ๓ ชั่วโมง ลำดับลำดาของจิตเล่าถวายท่านหมด .. เราก็มอบถวายท่านเลย บอกว่า

    ‘ท่านอาจารย์อย่าผูกเป็นความเกรงใจกระผม ถ้าติดหรือขัดข้องตรงไหน มันไม่ถูกตรงไหน ขอให้ท่านอาจารย์บอกกันอย่างตรงๆ เอา ฟาดให้เต็มที่เลย
    ผมหมดความสามารถเท่านี้แหละ ถ้าติดก็ติดอย่างตายใจเลยแบบไม่สนใจจะแก้เลย ขนาดนั้นแหละ หลงก็หลงขนาดนั้นแหละ’

    แต่ท่านก็ไม่พูดมากนะ เราก็ไม่ลืม นี่สรุปเอาเลยนะนี่นะ คุยกันมาตั้งแต่ ๒ ทุ่มจนกระทั่งถึง ๖ ทุ่ม เราเดินมาถึง ๕ ทุ่ม เรื่องของเรา เรื่องของท่านมีเพียงชั่วโมงเดียว ไม่ถึงชั่วโมง

    พอพูดของเราเสร็จลงแล้ว มอบลงแล้ว ไม่ให้ท่านผูกเป็นความเกรงอกเกรงใจไว้ว่าผมเป็นมหาเปรียญ หรือได้เคยปฏิบัติกับครูบาอาจารย์มาเป็นยังไง ไม่เป็นปัญหาที่จะมากีดกันท่านอาจารย์ไม่ให้พูดด้วยความสะดวกไม่ได้ ไม่ต้องเอาเป็นอุปสรรค ท่านอาจารย์ก็พูดขึ้นเลยว่า

    ‘ยอมรับทุกอย่างล่ะ สิ่งที่มันสุดวิสัยผม แล้วไปแล้ว’

    ‘ผมก็พูดกราบเรียนได้เพียงเท่านี้ แค่นี้ล่ะ ถ้าหากว่าติดก็ติดแบบเจ้าของ ไม่มีความสนใจจะแก้ ไม่รู้ขนาดนั้นล่ะ ไม่รู้จนกระทั่งมันไปถึงไหนนั่นแหละ ติด ติดอยู่ตรงไหนนั่นแหละ ไม่รู้เลย ถ้าว่านอนตาย ก็นอนซะเลยเหตุเลยผลโน่นแหละ’

    จากนั้นท่านก็พูดมา ท่านพูดเอาเฉพาะเคล็ดนะ

    ‘เออ การปฏิบัติทางจิตนี้ มันก็มี ๒ เคล็ดที่สำคัญ กามราคะ ๑ อวิชชา ๑ ท่านมหาก็ผ่านไปหมดแล้วโดยชอบธรรม ท่านมหาก็พูดมาหมดแล้ว ไม่มีที่ข้องใจสงสัย เป็นอันว่าถูกต้องเข้ากันได้ทุกอย่าง’

    ท่านก็เลยรวบเอาเลย ‘ผมก็เป็นอย่างนั้นแหละ ท่านมหา ไม่มีอะไรเป็นข้อขัดแย้งกัน อุบายวิธีพิจารณากว้างแคบนั้น มันเป็นแต่อุบายของแต่ละคนๆ แต่ว่าสำคัญที่จิตที่รวมมันเหมือนกัน’ ท่านสรุปเอาอย่างงั้นเลย

    พอดีแม่ชีมันไปนั่งอยู่ข้างนอกซิ แม่ชียุวดี จันทบุรี เราไม่รู้นึกว่ามีสองคนกับท่าน มีฝากั้นอยู่ แล้วก็มีตั่งที่นั่งอยู่ข้างล่างข้างนอก มันก็นั่งอยู่ที่ตั่งนั่นละ เราอยู่ในฝามันอยู่นอกฝา คุยอะไรมันก็รู้หมด พอเล่าเสร็จเรียบร้อยแล้วเบนคำพูดไปทางอื่น ‘มันใครนี่น่ะ’ ‘ดิฉัน’

    ‘ชื่อว่ายังไง’ ‘ยุวดี’

    ‘มาตั้งแต่เมื่อไร’ ‘มาแต่สองทุ่ม’

    โอย หมดตับเลย แล้วก็ไปโม้ข้างนอก ‘อู๊ย ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยได้ยินครูบาอาจารย์เปิดเผยธรรมะต่อกัน ท่านอาจารย์มหาบัวขึ้นก่อนสองสามชั่วโมง จากนั้นท่านอาจารย์ขาวก็ขึ้นจนกระทั่งจบ เบนคำพูดไปทางอื่นทางไหนแล้ว เห็นว่าเต็มอิ่มแล้วก็เลยกระแอม ท่านอาจารย์มหาบัวคงจะโมโหใหญ่’

    ‘ใครๆ’ ‘ยุวดี’ ‘มาจากไหน’ ‘มาในงานนี้แหละ’ ‘มาแต่เมื่อไรมาที่นี่’ ‘มาแต่สองทุ่ม’ ‘หมดตับ’ เราก็ว่างี้

    มันฟังหมดเลย คือไขต่อกันเต็มที่เลย ลงใจสุดขีดร้อยเปอร์เซ็นต์ด้วยกัน ไปในงานนี้ละ ขบขันดี เขาแอบนั่งฟังอยู่ข้างนอก เราก็ว่าเราถนัดใจซัดกันสองต่อสอง ที่ไหนได้เขาไปกินอิ่มอยู่ข้างนอก

    พูดถึงเรื่องหลวงปู่ขาว ท่านเป็นอยู่ที่โรงขอด ท่านเล่าให้ฟัง ที่อำเภอแม่แตงหรืออะไรเชียงใหม่ ท่านบอกว่า ‘ไปเป็นอยู่ที่โรงขอด’ เราก็บอกตรงๆ เลยเราเป็นอยู่ที่วัดดอยธรรมเจดีย์ ไม่มีอะไรค้านกัน รื่นเริงบันเทิงกัน เพราะธรรมะทางภาคปฏิบัติผิดที่ไหนจะรู้กันทันทีๆ เลย เราก็เล่าถวายท่านสุดขีดของเราเลย เราเป็นฝ่ายเล่าถวายท่านก่อน เสร็จอะไรก็มอบถวายท่านเลย จะขัดข้องอะไรก็ให้ครูบาอาจารย์ ไม่ต้องเกรงใจ ให้บอกมาเลย เวลานี้สุดแล้ว ถ้าว่ากำลังก็สุดจนกระทั่งไม่แสวงหาอะไรอีกแล้ว ถ้าหากว่าหลงก็หลงเต็มที่เราก็ว่างั้น

    ท่านก็ตอบรับด้วยความเป็นมงคล เออ ตายใจแหละท่านว่า ท่านก็เล่าของท่านย่อๆ นิดหน่อย เพราะ อะไรๆ ท่านมหาก็เล่าไปหมดแล้ว ท่านเลยเล่าย่อๆ ให้ฟังนิดหน่อย ท่านไปเป็นที่โรงขอดท่านว่า โรงขอดนี้อยู่ที่อำเภอแม่แตง เวลามันจะเป็นท่านออกไปอาบน้ำไปเห็นข้าวเขาเป็นรวงแก่แล้ว ท่านก็เอาข้าวมาพิจารณา ปัญญาขั้นนี้เป็นปัญญาหมุนตัวเองนะ คือเจออะไรมันจะเป็นสติปัญญาขึ้นมาเพื่อแก้ตัวเองๆ ท่านเอาข้าวมาพิจารณา เกิดเป็นข้าวแล้วก็หมุนไปหมุนมา เป็นข้าวแล้วเอาไปหว่านเป็นกล้าๆ ก็เป็นต้นข้าวแล้วเป็นข้าวแก่ ท่านก็หมุนไป วัฏวนของจิตก็เป็นอย่างนี้ๆ ท่านพิจารณา เลยบรรลุธรรมในเวลานั้น ในคืนวันนั้น ท่านเล่าให้ฟังว่า ‘โรงขอด’ เราก็เล่าถวายท่านว่า ‘ที่วัดดอยธรรมเจดีย์’

    เวลาท่านจะจากที่นั่นไป มันแปลกนะท่านมหา ผมจึงระลึกได้ทันทีเลย อย่างต้นโพธิ์เป็นต้นไม้ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เพราะฉะนั้นท่านถึงยกต้นโพธิ์เป็นคู่เคียงกันกับพุทธศาสนา ท่านเห็นบุญเห็นคุณของต้นไม้นั้น เราก็เหมือนกันเห็นบุญเห็นคุณของกุฏิกระต๊อบหลังเล็กๆ เวลาจำเป็นที่จะจากไป ไปแล้วยังหันหน้ากลับมาดูอีก เป็นความอาลัยอาวรณ์ท่านว่า เพราะกุฏินี้เป็นสถานให้บุญให้คุณแก่เรา มันก็เข้ากันได้เลยกับต้นโพธิ์เป็นคู่เคียงของพระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม อย่างที่ท่านอาจารย์ขาวบอกว่า กระต๊อบที่โรงขอดเป็นที่ตรัสรู้ธรรมเหมือนกัน…”
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หลวงปู่ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร อำเภอพรรณนานิคม จังหวัดสกลนคร

    [​IMG]


    หลวงปู่ฝั้นเป็นศิษย์องค์สำคัญของหลวงปู่มั่นที่องค์หลวงตาได้มีโอกาสเข้ากราบเยี่ยมและสนทนาธรรมดังนี้

    “...หลวงปู่ฝั้นท่านเตรียมพร้อมมาแล้วตั้งแต่หลังจากถวายเพลิงหลวงปู่มั่น เพราะท่านเป็นหัวหน้าใหญ่อยู่นั่น คอยดูการงานทุกอย่าง ทุกข์ลำบากขนาดไหนก็ทนเอา ทนเพื่อครูบาอาจารย์จริงๆ พองานเสร็จแล้ว เราก็สลบไสล เราก็รีบมา

    ท่านก็เล่าให้ฟังต่อหน้าต่อตาเลยนะ พยายามจะเข้าหาท่าน โดยเฉพาะจะพูดอรรถพูดธรรม ให้ถึงเหตุถึงผลต่อกันโดยเฉพาะ ไม่มีเวลา เพราะท่านมีลูกศิษย์ลูกหาไม่มากก็พระเณรอยู่นั่น เราจะพูดเฉพาะกับท่านในธุระอันสำคัญ ๆไม่มีเวลาจะพูด แล้วพอดีท่านพูดให้ฟังเอง ที่มันชัดเจนนะท่านเล่าให้ฟัง

    ท่านจะสสบไสลมาจากวัดสุทธาวาสพยายามอุตส่าห์ตะเกียกตะกายงานของหลวงปู่มั่นให้เสร็จ เจ้าของเป็นยังไงก็ทนเอา พองานเสร็จปั๊บท่านก็ออกเลย พอมานี้จิตมันเพียบเต็มที่แล้ว ทั้งอยากพักผ่อน ร่างกายก็เพียบเต็มที่ มาก็เข้าที่เลย ท่านเล่าให้ฟัง เวลานั้นมีพระอยู่สององค์ เวลาเราจะพูดกันแบบถึงพริกถึงขิง เหมือนกับว่าการตบการต่อยการหาความจริงเข้าใจมั้ย เราก็ไม่อยากให้พระทั้งหลายได้ฟัง เพราะระหว่างลูกศิษย์กับอาจารย์ พูดกันเฉพาะสองต่อสอง ถ้าควรตำหนิก็เอากันตรงนั้น ควรชมกันตรงไหนก็เอากันตรงนั้น

    ทีนี้ก็มีพระอยู่นั่นสององค์สามองค์จะคุยอะไรกับท่านโดยเฉพาะ ถามท่านโดยเฉพาะก็ไม่มีเวลา ท่านก็มาเล่าให้ฟังเสียเอง เหตุที่จำเงื่อนได้ ท่านมาเล่าขั้นที่มาถึงวัดแล้ว

    ‘มันจะสลบไสล จิตเข้าของมันเลย มันจะไป มันจะไม่อยู่ พอจิตรวมเข้ามาผึง เหลือแต่ความสว่างไสวจ้าอยู่ภายใน’

    ท่านก็พูดตามเรื่องของท่าน แต่เราก็นั่งฟังอยู่นี่ เพราะตั้งตาอยู่แล้วที่จะต่อยกัน แต่นี่ไม่มีโอกาส ระหว่างลูกศิษย์กับอาจารย์ ท่านอาจารย์ฝั้นเป็นอาจารย์เราก็เป็นลูกศิษย์ ลูกศิษย์กับครูต่อยกันฝึกซ้อมกัน เป็นอะไรไป ตั้งแต่นักมวยเขายังฝึกซ้อมกันใช่มั้ย นี่ลูกศิษย์กับครูเวลาจะเอากันถึงพริกถึงขิงก็ต้องเอากันอย่างนั้น

    พอท่านเล่าถึงนี่ให้ฟัง ถึงขั้นที่จิตมันจะไป จิตมันหดเข้ามาหมด ยังเหลือความสว่างไสวภายในใจจ้าอยู่นี้ สว่างจ้ามันจับได้แล้ว ทันทีทีเดียวไม่ต้องพูดมาก จะไปถึงจุดที่เราต้องการอยู่แล้วที่จะกราบเรียนถามให้ท่านเล่าเรื่องธรรมเหล่านั้นให้ฟัง

    พอดีท่านก็บอกว่า ‘จิตมันรวมเข้าไปแล้ว มันมาอยู่นี้ผ่องใสแจ๋วอยู่ในนี้ แสงใสแจ๋วนี่ก็จ้าออกจากความผ่องใสจิตสว่างไสว’

    ทางนี้มันก็ขึ้นทันที เห็นมั้ยล่ะนี่ล่ะธรรม ไม่ได้พูดว่าเคารพหรือไม่เคารพ ธรรมเหนือกว่าความเคารพเป็นไหน ๆ พอท่านพูดทางนั้นทางนี้ก็ขึ้นรับทันที

    พอท่านพูดว่าถึงจุดนี้เป็นความสง่าผ่องใสจ้าอยู่นี้เลย ทางนี้แทนที่จะชม ไม่ได้ชม ‘ยังตายอยู่นี่เหรอ นึกว่าผ่านไปถึงไหนแล้ว’ มันตอบกันภายในใจ

    เราเสียดาย เราอยากจะพูดกับท่านสักคำ พอพูดอีกสักคำ ถวายธรรมะท่านจะขึ้นทันทีไม่นาน แต่มันก็เสียดายที่พระไปยุ่ง ไม่ได้พูดถึงพริกถึงขิง แต่ยังไงก็ตาม เราก็ถือเอาความแน่นอนว่า จิตนี่เข้าถึงขั้นนี้แล้วยังไงก็ไม่อยู่จะพุ่งเลย เป็นแต่เพียงช้ากับเร็ว แต่ที่เรื่องที่จะถอยไม่มี มีแต่เพื่อความหลุดพ้นโดยถ่ายเดียว ถ้ามีผู้แนะปั๊บจะเร็วนะผึงเลยทันที ถ้าไม่มีผู้แนะก็ไปไปตามลำพังเอง นี่ก็ไปแต่จะช้า

    นี่ถึงจุดนี้ที่ท่านว่าใสแจ๋ว สว่างจ้า แทนที่จะชมไม่ได้ชม ยังนอนตายอยู่นี่เหรอ ฟังสิ มันขึ้นรับกัน เสียดายไม่ได้ถวาย เดี๋ยวนั้น พระก็อยู่ที่นั่น ทำยังไงน่ะ เวลาพูดกับสมาคมก็ต้องมีสูงมีต่ำธรรมดาอย่างพระจิตคุปนั้นน่ะ .. นี่ล่ะผู้ที่บอกตามหลักความจริงจะไม่ช้า ท่านเป็นพระอรหันต์ในขณะนั้น หลังจากที่พระจิตคุปได้ฟังอุบายจากลูกศิษย์ซึ่งเป็นพระอรหันต์แนะเท่านั้น ท่านก็เข้าใจแล้ว ทางจะก้าวเดิน เห็นมั้ยนี่ล่ะธรรมะ ถ้าผู้ไม่รู้เปิดไม่ได้นะ

    เราไม่ได้ยกตนข่มท่าน ครูบาอาจารย์เช่น หลวงปู่ฝั้นนี่เราเคารพเทิดทูนท่านมากที่สุด ทั้งรักทั้งเคารพท่าน แต่เรายังเสียดายยังมาพูดอย่างนี้ให้เราฟัง ‘จิตมันรวมเข้ามานี่มันสว่างจ้าอยู่จุดผ่องใสแจ๋ว’ เท่านั้นจับได้แล้ว เพราะฉะนั้นมันต้องพุ่งออกมาทางนี้ มันไม่ได้ว่าธรรมดานะ การที่จะจมอยู่ในกองทุกข์ ที่จะดึงขึ้นมีคุณค่าขนาดไหน ทำไมจึงมาตายอยู่กับสิ่งเหล่านี้ นี่เราแน่นอน หลังจากนั้นมาอีก ตั้งแต่ ๒๔๙๒–๒๕๒๐

    ปี ๒๔๙๓ เผาศพหลวงปู่มั่น หลวงปู่ฝั้นมาเล่าให้ฟังตอน ๒๕๐๖ วันที่ท่านเล่ากับเรา เป็นวันที่เราไปเผาศพท่านอาจารย์กงมา เราจึงถือโอกาสจะไปเรียนถามธรรมะท่านโดยเฉพาะ .. จาก ๒๕๐๖ มาถึงปี ๒๕๒๐ ปีที่หลวงปู่ฝั้นมรณภาพ เป็น ๑๔ ปี ผ่านได้ เพราะอันนี้จะออก นี้จะพุ่งเลย ให้ไปทางอื่นไม่มี มีแต่จะพุ่งเลยถ่ายเดียว เป็นแต่ว่าชักช้าขาดผู้นำ คือผู้แนะ

    ถ้าผู้แนะมีความรู้เหนือกว่าแล้ว แนะแล้วพุ่งเลย ยังไงก็พ้นแน่เราจึงเชื่อเลยว่าจากนั้นมา ๑๔ ปีท่านต้องผ่านได้แล้ว ทีนี้เขามาเล่า อัฐิท่านกลายเป็นพระธาตุแล้ว เราเชื่อทันทีเลยก็เป็นเวลา ๑๔ ปี เราพูดด้วยความเทิดทูน...”
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    พระจิตคุป

    [​IMG]


    “...อย่างพระจิตคุปนั้นน่ะ ไปเล่าถวายถามธรรมะท่าน เทวดาทั้งหลายมีความรักท่านมากที่สุด ท่านจะไปที่ไหนไม่ยอมให้ไปง่าย ๆ พวกเทวดาอยู่ในถ้ำนั้นน่ะ เขารักษาท่านอย่างเข้มงวดกวดขันธ์ เวลาท่านอยู่นาน ๆ ใครนิมนต์ไปไหน ๆ ท่านก็ไม่ยอมไป แม้ที่สุดพระมหากษัตริย์นิมนต์ท่านให้ไปพระราชวัง ท่านก็ไม่ยอมไป ถึงขนาดพระมหากษัตริย์ทรงออกอุบายทีเดียว ต้องขออภัยต้องเอาผ้าไปพันนมแม่ลูกอ่อน ไม่ให้กินนม แล้ว พระราชารับสั่งให้นำผ้าไปพันนม แล้วให้รีบไปนิมนต์พระจิตคุปมาพระราชวัง ไปนิมนต์ก็กราบเรียนท่านตามความจริง เวลานี้พระราชาท่านเอาผ้าพันนมแม่ลูกอ่อน ไม่ให้ลูกอ่อนกินนม จนกว่าท่านอาจารย์นี่จะลงไปเยี่ยมพระราชาเมื่อไหร่ ท่านจึงจะประกาศเปิดผ้ากินนมแม่ลูกอ่อนไว้ ลูกถึงจะได้กินนม พอทำอย่างงั้น

    พระจิตคุปว่า ‘ตาย! ถ้าอย่างนี้เด็กก็ตายหมดล่ะซิ’ คึกคักลงเดี๋ยวนั้นเลย
    ทีนี้เขาร่ำรือว่าท่านเป็นพระอรหันต์ ลูกศิษย์ท่านเป็นพระอรหันต์ ไปก็ไปเรียนถามท่าน ไหนเวลานี้ประชาชนทั่วเขตแดนว่า ‘ท่านเป็นพระอรหันต์ แล้วเวลานี้ท่านอาจารย์เป็นรึยัง’

    ‘โอ้ย! ยังนะ’ ‘ยังเป็นยังไงเล่าให้ฟังสิ’ อาจารย์นี่ถึงจะสูงกว่าลูกศิษย์ก็สูงในฐานะเป็นอาจารย์ ลูกศิษย์เป็นพระอรหันต์

    พอว่างั้น ‘ท่านอาจารย์ติดข้องตรงไหน ว่ามา’

    พอถวายธรรมะปึ๋งเข้าไปเท่านั้น ‘เอาล่ะทีนี้รู้ช่องทางแล้วเออ! เข้าใจแล้ว เอาล่ะทีนี้รู้ช่องทางแล้ว’

    ท่านกำลังป่วยนะเวลานั้น ลูกศิษย์ไปเยี่ยม ทีนี้เวลาถามถึงถูมิธรรมท่านตามที่คนเขาร่ำรือว่าท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว เวลาลูกศิษย์ที่เป็นพระอรหันต์ไปถาม ท่านบอกว่าท่านยัง ถ้ายัง ท่านขัดข้อง ว่ามา ท่านก็อธิบายออกมาให้ฟัง ลูกศิษย์ก็ถวายธรรมปึ๋งเข้าไป ให้พิจารณาอย่างงั้น ๆ

    ‘เออ! เข้าใจแล้ว ทางเดินเข้าใจแล้ว ออกไปได้’ คือให้ลูกศิษย์ออกไปจากที่ท่านนอนเป็นไข้ พอลูกศิษย์ออกไปยังไม่ถึงไหน ยังไม่พ้น พอออกไป ‘เออ! เข้าใจแล้ว’…”
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หลวงปู่คำดี ปภาโส วัดถ้ำผาปู่ อ.เมือง จ.เลย

    [​IMG]


    หลวงปู่คำดีเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นอีกองค์หนึ่งที่น่าเคารพบูชากราบไหว้อย่างสูงสุด ในสมัยบำเพ็ญเพียรท่านก็เป็นพระที่มีความกล้าหาญในการต่อสู้กับกิเลส สมัยต่อมาเมื่อท่านเป็นครูบาอาจารย์แล้ว ท่านก็เป็นพระที่มีเมตตาสูง ไม่ถือเนื้อถือตัว ด้วยท่านเคารพบูชาในอรรถธรรมสูงส่งยิ่งกว่าสิ่งใด

    ท่านมีอายุพรรษามากกว่าองค์หลวงตาหลายปี พระเณรลูกศิษย์ลูกหาของท่านมักจะได้ยินท่านพูดปรารภถึงองค์หลวงตาอยู่เสมอๆ ถึงแม้ว่าหลวงปู่คำดีจะไม่ดุศิษย์คนใด แต่ท่านมักยืมองค์หลวงตามาพูดขู่ขนาบพระเณรในวัดของท่านเองเสมอๆ ท่านเคยบอกกับองค์หลวงตาว่า “ผมไม่ดุใครนะ ถ้าว่าผมจะดุผมก็ยืมท่านมหามาดุ”

    และเวลาที่ท่านพูดก็จะพูดขู่พระเณรในวัดว่า “พระวัดนี้นะ ถ้ากับท่านมหาบัว พวกนี้แตกกระเจิงหมดเลยนะ อยู่กับท่านไม่ได้นะ” หรือ “อยู่อย่างนี้อยากให้ไปอยู่กับท่านมหาบัว อย่างมากไม่เลย ๓ วัน ถูกขนาบออกจากวัดหมดเลย ไอ้เพ่น ๆ พ่าน ๆ อยู่นี้น่ะ” เป็นต้น นอกจากนี้ท่านพูดถึงเสมอเวลาเทศน์สอนพระ วันไหนประชุมถ้าไม่ขึ้นต้นท่านก็เอาตอนปลายมักจะยกเอาองค์หลวงตามาพูดเรื่อย

    ด้วยเหตุนี้เองลูกหลานพระเณรศิษย์หลวงปู่คำดีจึงมีความรู้สึกเคารพสนิทสนมและผูกพันกับองค์หลวงตาเสมือนหนึ่งครอบครัวเดียวกันโดยปริยาย และแม้สำหรับองค์หลวงตาเอง ท่านก็ให้ความเมตตาต่อลูกหลานพระเณรที่วัดถ้ำผาปู่นี้ด้วยเช่นกัน เมื่อโอกาสอำนวยคราวใด ท่านไม่เคยลืมที่จะแวะไปเยี่ยมเยียน พร้อมขนเครื่องจตุปัจจัยไทยทานข้าวสารอาหารต่างๆ ไปให้ และเทศนาสั่งสอนพระเณรเพื่อเป็นกำลังใจในการประพฤติปฏิบัติธรรมอยู่เสมอๆ เป็นระยะๆ ไป

    ที่น่าแปลกใจคือ หลวงปู่คำดีท่านจะกล่าวถึงองค์หลวงตาไม่เพียงเฉพาะกับพระเณรเท่านั้น ศิษย์ฆราวาสผู้หลักผู้ใหญ่กระทั่งอย่าง ฯพณฯดร.เชาวน์ ณ ศีลวันต์ องคมนตรี หลวงปู่ก็ยังเคยปรารภฝากความระลึกถึงกับท่านดร.เชาวน์ไปถึงองค์หลวงตาด้วยว่า

    “ฝากความระลึกไปถึงท่านมหาบัวด้วยนะ ท่านอาจารย์มหาบัวเป็นอาจารย์ของอาตมานะ”

    มีเทศนาอบรมพระขององค์หลวงตาบางตอนที่ท่านกล่าวพูดยกย่องถึงคุณธรรมและความกล้าหาญของหลวงปู่คำดีในสมัยปฏิบัติ คราวหนึ่งของการแสดงธรรมพูดถึงเหตุการณ์ในระยะก่อนๆ นั้น ได้เคยพบกับหลวงปู่คำดีอยู่เรื่อยๆ ในที่ต่างๆ ที่นั่นบ้างที่นี้บ้าง จากนั้นหลวงปู่คำดีได้กล่าวชมเชยท่านในการแสดงธรรมเรื่องการแจงขันธ์ ๕ ดังนี้

    “การพบกับท่าน (หลวงปู่คำดี) เคยพบกันอยู่เรื่อยๆ ท่านมาอยู่วัดหนองแซง นี่ก็เคยพบกันอยู่เรื่อย ท่านเลยพูดถึงเรื่องว่าการแจงขันธ์ ๕ นี้ ไม่มีใครแจงได้ละเอียดลออมากยิ่งกว่าท่านมหา ท่านอ่านหนังสือ แว่นดวงใจ จบหมดเลย”
    เหตุการณ์สำคัญอีกครั้งหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อองค์หลวงตาเดินทางไปวัดถ้ำผาปู่ซึ่งบังเอิญพอดีกับที่หลวงปู่คำดีได้จุดธูปนิมนต์ขอให้องค์หลวงตาเดินทางมา ท่านเล่าเหตุการณ์ในครั้งนั้นไว้ดังนี้

    “…มันแปลกอยู่นะ คือท่าน (หลวงปู่คำดี)เดินจงกรมอยู่ ท่านอยู่กุฏิท่าน ๒ ชั้น พอตี ๔ ท่านลงมาเดินจงกรมอยู่ข้างใต้.. ทีนี้เวลาเดินจงกรมอยู่ ติดปัญหาละซิ โอ๋ย.มันเหมือนกับหอกกับหลาวทิ่มลงไปเลย ปัญหามันขวางใจท่าน ‘เอ! ทำยังไงก็แก้ไม่ตกๆ มองหาใครไม่เห็น’ ..

    นี่ละท่านพูดอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ท่านพูดอย่างภาคภูมิใจท่านเสียด้วยนะเวลาได้พบกันแล้ว ไม่มองเห็นใครเลยท่านว่าอย่างนี้ เพราะเคยคุยธรรมะกันแล้ว ก่อนหน้านี้ก็เคยคุยธรรมะกับท่านมาโดยลำดับลำดาแล้ว แต่พอมาถึงจุดนี้ละซิ ท่านไปติดปัญหาขึ้นทางใจของท่าน กำหนดหาครูบาอาจารย์องค์ใด พระองค์ใดไม่สัมผัสใจเลย จิตมันดิ่งหาแต่ท่านมหาองค์เดียว จิตมันดิ่งมาหาเรานี้องค์เดียว นอกนั้นไม่ไปไหน ดิ่งมาองค์เดียว แล้วท่านก็ปุ๊บปั๊บออกจากทางจงกรมเลย .. มาจุดธูป มีแท่นพระอยู่ชั้นล่าง ข้างบนเราไม่ได้ขึ้นไป ท่านมาจุดธูปเทียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว พอจุดธูปจุดเทียนไหว้พระเสร็จแล้ว .. ก็กล่าวว่า

    ‘ขออาราธนาท่านมหาบัวมาโปรดโดยด่วน’

    เราว่า ‘โอ๊ย. ทำไมครูจารย์พูดอย่างนี้’ ท่านว่าขอให้ผมพูดเต็มหัวใจผมเถอะ ว่าอย่างนั้น…”

    เรื่องนี้ภายหลังทราบจากคนรถที่คอยอุปัฏฐากรับใช้องค์หลวงตาว่า เหตุการณ์ครั้งนั้น แกได้รับคำสั่งด่วนจากองค์หลวงตาให้รีบเข้าไปที่วัดป่าบ้านตาดในเวลา ๑๑ โมงวันนี้ องค์หลวงตาเล่าถึงเหตุการณ์ในวันนั้นว่า

    “...พอดีตอนสายมามันบันดลบันดาลอะไรก็ไม่รู้นะ พอเช้าวันนั้นขึ้นมาตอน ๑๑ โมง มันบันดลบันดาลอะไรก็ไม่รู้นะ เราก็สั่งให้ไปในตลาดเลย ร้านชวลิต ให้นายบุญขับรถมาหาเราเดี๋ยวนี้ ‘เราจะไปถ้ำผาปู่ ไปเดี๋ยวนี้นะ’

    เขาก็บึ่งรถมาเลย มาก็ไปแบบรีบด่วน แต่ไปแบบรีบบ้าเราต่างหาก ตามประสาเรานะ พอไปก็ยังมีเวลาอีกนิดหนึ่ง ยังเป็นห่วงเพราะท่านอาจารย์ชอบคุ้นเคยกัน เลยไปแวะวัดท่านอาจารย์ชอบเสียคืนหนึ่ง ออกจากนี้ก็ไปค้างที่อาจารย์ชอบคืนหนึ่ง เช้าวันหลังจึงไปหาท่าน … พอถึงวัดถ้ำผาปู่ พอทราบว่าท่าน(หลวงปู่คำดี)พักแล้ว เราบอกพระว่า

    ‘อย่าไปกวนท่านนะ วันนี้ผมจะพัก ไม่กลับ ผมจะค้างกับท่าน อย่าไปกวนท่านนะ ผมจะไปหาที่พักก่อน พอได้เวลาแล้วจะมาหาท่าน เวลานี้ท่านยังพักอยู่’
    เขาปิดประตูเงียบ พอเรามานี่ พระองค์นั้นแอบไปทางด้านหลัง ไปบอกหลวงปู่คำดี พอทราบท่านจึงรีบออกมาโดยเปิดประตูเหล็กเลื่อน เรียก
    ‘ท่านมหา ท่านมหาอยู่นี่เหรอ?’

    โบกมือเรียก เราเลยดุพระว่า ‘ไปรบกวนครูบาอาจารย์ทำไม? ท่านองค์นี้นี่น่ะ ก็จะคุยอยู่แล้วนี่นะ’ พอไปถึงแล้ว ท่านพูดว่า ‘โฮ้ มาเร็วดีนะ’

    ‘เร็วอะไร? แล้วท่านอาจารย์จะมีเรื่องคุยอะไรกัน?’

    ‘เดี๋ยวมันจะได้พูดกันแหละ’

    บทเวลาได้คุยกันแล้ว ท่านถึงพูดถึงเรื่อง ขออาราธนาท่านมหาบัวมาโปรดโดยด่วน คือว่ามาโดยด่วน พอผมนิมนต์เมื่อวาน วันนี้ท่านก็มา วัดนี้ท่านไม่เคยมาเลยท่านมาจะให้แน่นอนขนาดไหน ท่านว่าอย่างนั้น

    เราก็ไม่เคยไปจริง ๆ นะ ไม่เคย ก็ไปวันนั้นเป็นครั้งแรกเลยแหละ แต่ค้างที่วัดอาจารย์ชอบคืนหนึ่ง วันหลังท่านก็ยังบอกว่าเร็วอยู่ นั้นละที่นี่

    ท่านปิดประตูหมดเลยนะ ๖ โมงเย็น เราเข้าหาท่าน ๒ ต่อ ๒ เลย คุยธรรมะกัน ท่านปิดประตูหมดไม่ให้ใครเข้าไป คุยกันตั้งแต่ ๖ โมงเย็นถึง ๒ ทุ่ม ท่านเล่าวิถีจิตของท่านละเอียด เพราะเรากราบเรียนท่านว่า

    ‘ยังไงท่านอาจารย์ให้พูดเต็มเม็ดเต็มหน่วยไปเลยนะ กระผมจะฟังตามทุกระยะ เราบอก ขัดข้องตรงไหน ๆ จะได้คุยกันสะดวกๆ’

    เพราะฉะนั้นท่านถึงเปิดของท่านออกเรื่อย ๆ เราก็ฟังไป พอไปถึงจุดนั้นละที่นี่ จุดที่ว่ามันเหมือนหอกเหมือนหลาวทิ่มแทงท่าน ท่านโดดขึ้นมาจุดธูปอาราธนาเรา พอมาถึงจุดนี้มันเป็นอย่างนี้ ๆ ๆ นี้ละจุดสำคัญมาก อกผมจะแตกท่านว่าอย่างนั้น ท่านเล่าไป เล่าละเอียด พอท่านเล่าจบลงแล้วเราก็ถวายธรรมท่าน พอถวายปั๊บนี้ ขึ้นดัง โอ้ก เลยทันทีนะ.. เมื่อถึงจุดสำคัญ .. เหมือนกับหอกกับหลาวทิ่มนะ เหมือนกับว่า...ถอดหลาวออก ทีนี้ก็พุ่งเลย รู้ช่อง
    ‘เออๆ ๆ มันต้องอย่างนี้ซิ ...’

    มันสะดุดใจท่านมาก ‘เออ เอาละทีนี้ รู้ช่องแล้ว’ ทีนี้เปิดโล่งแล้วยังแต่จะเข้าเท่านั้น ท่านว่านะ มันต้องอย่างนี้ ๆ ขึ้นเลย ๒ ต่อ ๒ นะ เสียงลั่น เพราะอุทาน ท่านดีใจมาก พอท่านเล่าให้ฟังเราก็รู้นี่นะ พอเล่าไปถึงจุดนั้นปั๊บเราก็ถวายธรรมท่านข้อนั้นปั๊บ ท่านก็เปิดโล่ง ท่านก็บอก เออ ทีนี้เปิดแล้ว ๆ ยังแต่จะก้าวเท่านั้นแหละ ทีนี้เปิดโล่งแล้วจะก้าวเท่านั้นแหละ มันต้องอย่างนี้ ๆ อุ๊ย.เสียงลั่นเลยนะ ๒ ต่อ ๒ เท่านั้นนะ บทเวลาท่านขึ้นนี้เสียงลั่นเลย นั่นละ ขั้นนั้นแล้วมันก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะท่านก็พูดเข้ากันได้แล้วกับปัญหาที่เราถวายท่าน เปิดแล้วว่างั้นเถอะ ท่านก็เข้าใจแล้วหมายถึงว่า เปิดโล่งแล้วยังเหลือแต่จะก้าวเข้าเท่านั้นแหละ ท่านบอก เปิดโล่งแล้ว หมายความว่าท่านเข้าใจแล้ว ถ้าก้าวปุ๊บนี่เข้าเลยความหมายก็ว่างั้น

    จากนั้นท่านจึงเล่าให้ฟังว่า ท่านจุดธูปมานิมนต์เรา เราเลยตอบท่านว่า

    ‘ผมก็มาสะเปะสะปะมาประสาบ้าของผมล่ะ’

    ’เอาละ ประสาอะไรช่างเถอะนะ สดๆ ร้อนๆ นี้เอาละ’ ...

    ทีนี้พอคราวหลังนี้ไปเยี่ยมท่านอีก ก็มีคนมีญาติโยมติดตามไปด้วยอีก เราเลยต้องเขียนจดหมายย่อ ๆ เอา เขียนจดหมายย่อ คือพูดง่าย ๆ ว่า ปัญหาที่ถามนี้ถ้าไม่รู้ถามไม่ได้ แล้วปัญหาที่จะตอบนี้ถ้าไม่รู้ก็ตอบไม่ได้ ต้องเป็นภาคปฏิบัติเท่านั้น ปริยัติเอามาพูดไม่ได้เลย

    เราก็ถามท่านย่อๆ ข้อที่ ๑ ว่าอย่างนั้นๆ ข้อที่ ๒ ว่าอย่างนั้น ๆ เราก็ยื่นถวายท่าน พอท่านจับได้ท่านอ่านด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส อ่านยิ้มเรื่อยๆ ยกขึ้นแล้วยื่นมาให้เรา ท่านเขียนเสียก่อนนะ เขียนตอบเรียบร้อย แล้วยื่นมาหาเรา เราก็อ่าน พออ่านแล้วเราก็เขียนแล้วยื่นไปอีก ข้อที่ ๒ ท่านก็รับแบบเดิมนั่นละ แล้วท่านก็ยิ้มเลยเทียวนะ พอตอบข้อที่ ๒ เป็นอันว่าลงจุดแล้วหมดปัญหาเรียบร้อยแล้ว

    ตั้งแต่นั้นมาก็เลยไม่ได้คุยกันอีก เพราะตอนนั้นท่านหูหนวกแล้ว พูดกระซิบ ท่านกระซิบกับเราเราได้ยินตอนนั้นหูเราไม่หนวก แต่เราจะไปกระซิบกับท่าน ท่านได้ยินยังไง ตกลงต้องเขียนยื่นให้ท่านตอบมา ตั้งแต่นั้นท่านบอกเป็นอันว่าหายสงสัยแล้ว มันก็เข้ากันได้แล้วกับปัญหาที่เราถามไป ถามว่ายังไงๆ ท่านตอบตรงนั้นแล้ว ถึงท่านไม่บอกว่าหายสงสัยมันก็เข้าใจแล้วเข้าใจไหมละ
    ไม่นานนะท่านก็มรณภาพ ก็เรียกว่าเป็นอยู่กุฏิท่านนั่นแหละ ไม่เป็นที่ไหนเพราะตอนนั้นท่านไปไหนไม่ค่อยได้แล้วแหละ ท่านอยู่กุฏิท่านเท่านั้นเอง ส่วนที่นั่นที่นี่เราไม่อยากพูด เราแน่ใจที่กุฏิท่าน เพราะธรรมะนี่เป็นธรรมะที่จ่อเข้าแล้วเปิดโล่งแล้ว ยังเหลือแต่จะก้าวเข้าเท่านั้นเอง”
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    องค์หลวงตากราบเยี่ยมหลวงปู่ชอบ

    [​IMG]


    องค์หลวงตาได้ไปกราบเยี่ยมหลวงปู่ชอบ ฐานสโม วัดโคกมน จังหวัดเลย ในโอกาสเดียวกันกับที่ได้เข้าสนทนาแก้ปัญหาธรรมกับหลวงปู่คำดี วัดถ้ำผาปู่ จังหวัดเลย ดังนี้

    “...พอเที่ยงเราก็ออกจาก(วัดป่าบ้านตาด)นี้ .. ออกจากนี้ไปแล้วก็ไปพักที่วัด(โคกมน จังหวัดเลย) ของท่านอาจารย์ชอบ เพราะมีโอกาสอยู่พอสมควรก็เลยพัก ตื่นเช้าวันหลังฉันเสร็จแล้วก็จะไปหาท่านอาจารย์คำดี .. ทีนี้ไปบิณฑบาต .. เดินไปด้วยกันสององค์ พระไปก่อนแล้ว เรากับท่านเดินตามๆ ไปคุยกันไป เพราะมีโอกาส ..

    เราไปค้างที่วัดโคกมนคืนหนึ่ง แต่ก่อนเป็นศาลาหลังเก่า ไปคราวนี้ไม่ได้ดู ยังอยู่หรือเปล่าไม่รู้ศาลากรรมฐานแต่ก่อน ตอนไปบิณฑบาตท่านถือไม้เท้าไป ไม้เท้าก็พวกไม้เปาะ(ไม้ไผ่ชนิดหนึ่ง) นี่แหละ แป๊กๆ ไปเดินไปคุยกันไป แล้วหันหน้าปั๊บ ‘ฮ่วย ท่านมหาขอเงินสัก ๓ พันหน่อยน่ะ’

    หันหน้าปั๊บเข้ามา ท่านว่างั้น ‘แล้วจะเอาไปทำอะไร’

    ‘จะไปทำอันนั้นๆ’ ‘เอ้อ ให้’ ว่างั้นเลย พอกลับมาเราก็จัดไปให้ท่านเลย นั่นเวลาจะพูดเป็นอย่างนั้น

    หลวงปู่ชอบกับเราสนิทกันมากนะ สนิทกันมาเป็นเวลานานแต่สมัยหลวงปู่มั่นอยู่หนองผือท่านก็ไป หลวงปู่ขาวก็ไปพักที่นั่นด้วยกัน หลวงปู่ชอบก็ไป แต่นั้นมาสนิทกันมาเรื่อย โคกมนเราก็เคยไปเสมอแต่ก่อน ตอนสังขารร่างกายท่านปรกติ เราเคยไปพักกับท่านก็เคยไป โคกมน ..

    นิสัยท่านกับสัตว์ป่ามีเสือ เป็นต้น รู้สึกว่าท่านสนิทกับเสือมาก เสือมาหาท่านบ่อยๆ เราพูดอย่างนี้ใครเชื่อได้ เขาไม่เชื่อใช่ไหม ก็เขาไม่เป็น ท่านเป็น ครูอาจารย์แต่ละองค์ๆ จะเด่นไปคนละทิศละทาง หลวงปู่ขาวนี่เกี่ยวกับช้าง ช้างป่า ช้างบ้าน คุ้นทั้งนั้น หลวงปู่ชอบนี่พวกเทวดาด้วย เสือนี่สำคัญมาหาบ่อย แปลกอยู่นะ พูดขึ้นว่าเสือเรายังไม่เจอก็ยังน่าหวาดเสียว ท่านไปพักประเทศพม่า ท่านอยู่บนเขาบนถ้ำ ไปพักอยู่ในถ้ำ มีแคร่เล็กๆ อยู่ๆ ๕ โมงเย็นกว่าๆ แล้ว เสือก็ขึ้นไปนั้น ทางจงกรมท่านอยู่นี้สุดนี้ แคร่ท่านอยู่นั้น

    อยู่ๆ เสือโคร่งก็โผล่ขึ้นมา ท่านมองไปเห็น มาอะไร แน่ะฟังซิ มันมองมาดูคน มองดูที่มันจะโดดขึ้น หัวจงกรม มันโดดขึ้นไปนอนอยู่นี้ มันเป็นหินเป็นลานๆ อยู่หน่อยหนึ่ง มันโผล่ขึ้นมาแล้วก็มองดูคน แล้วมองดูนี้สักเดี๋ยวปุ๊บขึ้นเลย นอนเลียแข้งเลียขาอยู่นั้นเฉย แน่ะเห็นไหมล่ะ ท่านก็อยู่ มันน่าเชื่อไหมล่ะพวกตาบอดหูหนวกพวกเรามันไม่เชื่อง่ายๆ แหละ ความจริงขนาดไหนมันก็ไม่ยอมเชื่อ ‘มึงขึ้นมาอะไร’ ท่านว่าอย่างนั้นนะ แต่ท่านไม่ได้พูดอะไรกับมันแหละ ขึ้นมาก็มานอนเหมือนหมานอน เลียแข้งเลียขาเลียเล็บมัน ดูคนนิดเดียวๆ ท่านยังนึกว่ามันมาชั่วคราวแล้วจะลงหนีไปเที่ยว จนกระทั่งค่ำเข้าๆ ก็ยังอยู่ที่นั่น ทีนี้ท่านจะเดินจงกรมไปนั้นมันก็นอนอยู่ข้างบน ท่านเดินจงกรมนี้มันรู้สึกเสียวๆ ท่านว่า มีขยาดๆ นิดๆ จะกลัวก็ไม่เห็นกลัว ท่านจะเดินจงกรมเข้าไปนั้นรู้สึกเสียวๆ นิดๆ เพราะมันนอนอยู่นี้

    วันนั้นต้องสละ กลางคืนเลยไม่กล้าเดินจงกรม นั่งสวดมนต์ภาวนาแล้วก็นอนเลย ตื่นขึ้นจุดไฟขึ้นมามันยังนอนอยู่นั้น นอนเงียบนะ ท่านก็ไม่กล้าเดิน ท่านว่าอย่างนั้น จนกระทั่งเช้าขึ้นมา ทีนี้นอนไม่กระดุกกระดิกเลย เหมือนหมานอน ถึงเวลาจะลงไปบิณฑบาตมันยังอยู่จะทำไง ทางบิณฑบาตก็ไปหัวจงกรมนี้ ตรงไปนี้ เสือก็นอนอยู่นี้ ทีนี้เลยไปที่นั่นละ ท่านเรียบร้อยแล้ว ครองผ้าแล้วไป
    พอท่านเดินไปนั้นก็ว่า ‘นี่เราจะไปบิณฑบาต พระหิวข้าวนะ’ พูดหยอกเล่นกันกับมัน มันเฉยแต่มองดูเราอยู่ นี่พระหิวข้าว พูดกับมัน ‘จะบิณฑบาตมาฉัน อยากไปที่ไหนก็ไป อยากอยู่ที่นี่ก็แล้วแต่ หรืออยากไปที่ไหนก็ไป’ เท่านั้น ท่านก็เดิน เขาก็นอนเฉยๆ ท่านก็ลงไป แต่ท่านไม่กล้าพูดให้ใครฟังกลัวเขาจะมาทำลายมัน ไม่พูดเลยท่านว่า กลัวเขาจะมาทำลายมัน

    บิณฑบาตฉันในบ้านนะ มีแคร่ออกมาข้างนอกมาฉัน เพราะมันไกล ท่านว่า พวกญาติโยมเขาเคยปฏิบัติอยู่แล้วอย่างนั้น พอบิณฑบาตออกมาก็มีที่พักฉันที่นั่น ฉันเสร็จแล้วล้างบาตรล้างอะไรเสร็จท่านก็สะพายบาตรขึ้นเขา มาสายเลยหายเงียบเลย เขาลงไปเมื่อไรไม่รู้ ตั้งแต่บัดนั้นก็ไม่เห็นขึ้นมาอีก แต่เสียงมันร้องอยู่ตามข้างๆ โอ๋ย มันร้องของมันประจำ ท่านว่า แต่ไม่เคยขึ้นมาอีก อย่างนั้นละ บ่อยนะ ท่านว่า กับเสือ เสือมาหานี่บ่อย ไม่เห็นมีทำอะไรนะ บางทีท่านไล่มันไปมันยังนั่งดูเราอยู่เฉย ท่านเลยเอาผ้าโบก ไปนะ โดดโก้ก มันตื่น ลงไปนั้นก็ไปเฉย พอ มันลงไปแล้วไปบิณฑบาต หรือมันจะเล่นไม่ซื่อกับเราน้า ท่านนึกในใจ ไปนี้ก็ต้องชำเลืองดู หรือมันจะไปหมอบอยู่ข้างทางมันลงไปแล้ว เสือโคร่ง ท่านก็ลงไปบิณฑบาต ตามข้างทางไม่มีเลย ไปไหนไม่รู้ บ่อยละกับเสือ ครูจารย์ชอบ เรื่องเสือนี้เด่นกว่าเพื่อน ได้คุยกันสนุกสนาน เรื่องอรรถเรื่องธรรมก็สับปนกันไปนั้น

    ท่านไปอยู่ประเทศพม่าตั้ง ๕ ปี ท่านพูดภาษาพม่าได้คล่อง คงจะไปอยู่กับพวกพม่าเลยหรือยังไงก็ไม่รู้ หรือพวกไทยใหญ่ เพราะประเทศพม่าก็มีหลายแห่ง เราก็ไม่ได้ถามท่าน มีแต่ว่าพม่าเท่านั้น เลยเข้าใจว่าประเทศพม่าเลย แต่ท่านพูดภาษาพม่าได้คล่องนะ แสดงว่าไปอยู่กับพวกพม่าจริงๆ มันเป็นเรื่องแปลกเรื่องอัศจรรย์อย่างนั้นละ เวลาแสดงขึ้นมาใครจะไปคาดได้ยังไง คาดไม่ได้

    ตอนนั้นสงครามอังกฤษ มาป้วนเปี้ยนอยู่แถวนั้นพวกอังกฤษ ท่านไปอยู่ที่นั่นเขาเลยมาเห็นท่านว่าเป็นพระไทย ยิ่งถือเป็นข้าศึกใหญ่โต บอกเขา ชี้แจงให้ทราบ ‘ท่านมานี้ท่านมานานแล้ว ก่อนสงครามท่านมาอยู่ที่นี่’

    เขาฟังแต่เขานิ่งๆ นะ ท่านไม่มีอะไรกับใคร กับโลกกับบ้านเมืองอะไร ไม่มี ท่านมาภาวนาของท่านอยู่อย่างนี้ พูดแล้วเขาก็ไป แล้ววันหลังมาอีก มาก็มาไล่เบี้ยอีกแหละ ก็ชี้แจงให้ฟัง จนกระทั่งเขายืนยันรับรอง ‘ถ้าจะทำลายท่าน ให้ทำลายคนทั้งบ้านนี้เสีย’

    เขาก็ว่าอย่างนั้น เขาเชื่อเขารับรองเลยว่าไม่มีอะไร ดูลักษณะเขายังไม่ไว้ใจอยู่นะ เห็นท่าไม่ได้การ นั่นละเหตุที่จะได้กลับเมืองไทย เขาก็เลยมาพูดกับท่าน อย่างนี้ไม่ไว้ใจละดูท่า มันมาอยู่เรื่อย เขาก็เลยพาท่านไปส่งทาง ทางมันทางป่า พวกคนป่าเขาเที่ยวหากัน ส่วนมากก็พวกยาฝิ่นยาอะไร แล้วเขาก็บอกทาง ให้จับทางนี้ไว้ให้ดี ไปข้างหน้าจะมีทางพวกโขลงช้างพวกอะไรผ่านไปผ่านมา ให้จับทางนี้ไว้ให้ดี อย่าปล่อยทางนี้ ทางนี้จะถึงเมืองไทยเลยเขาบอก ไม่มีบ้านผู้บ้านคน มาในป่าไม่ได้ฉันจังหัน มากลางคืนด้วย พักที่ไหนก็พัก โอ๊ย สัตว์เสือเต็มป่าเต็มดง แต่ก็ไม่มีอะไรละ ท่านก็มาของท่าน

    ทีนี้เป็นวันที่สองหรือที่สามไม่ทราบนะ เพราะท่านเดินทางอยู่เรื่อยๆ ท่านเพลีย เพลียเอามาก จะเดินต่อไปไม่ได้แล้ว ‘เอ๊ ทำไงนี่ ยิ่งอ่อนยิ่งเพลียลงทุกวัน หิวข้าวก็หิว’ เพลียกับความหิวก็อันเดียวกันนั่นแหละ ท่านเลยนึกวิตกขึ้น อย่างนั้นนะ

    ‘ตั้งแต่เรายังดีๆ อยู่ อยู่ที่ไหนเทวดาก็มาหาเราอยู่เสมอ เวลาเราจนตรอกจนมุมนี้เทวดาไปไหนหมดไม่เห็นมีสักตนสองตน หรือจะปล่อยให้พระตาย มาหวังเอาผลประโยชน์ของตัวเองเท่านั้นหรือ ไม่ได้คิดถึงอรรถถึงธรรมที่กว้างขวางครอบโลกเหรอ’

    ท่านนึกเฉยๆ นะ ท่านนั่งรำพึงเพราะเหนื่อยมาก จากนั้นท่านก็เดินทางต่อไป ไม่นานนะ ห่างจากนี้ไปก็ประมาณสัก ๓๐ นาที ท่านว่า พอไปมีผู้ชายคนหนึ่งเดินมาแล้วมานั่งจบอาหาร กำลังนั่งจบอยู่ อ้าว ดงนี้ก็เป็นดงป่าแท้ๆ ไม่มีผู้มีคน ผู้ชายคนนี้มาจากไหนน้า ผิดสังเกตเอาเหลือเกิน ท่านก็เดินไปตามด่านนั้นแหละ เขานั่งจบอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ว่า ‘นิมนต์พระคุณเจ้าพักฉันจังหันที่นี่เสียก่อนแล้วค่อยเดินทางต่อไป เขาก็บอกเลยว่าจะถึงเมืองไทยในวันนี้แหละ’

    เขาพูดบอกเลยนะ นี่โยมมาจากไหน มาจากโน้น ชี้ขึ้นฟ้านู่น ไม่บอกว่ามาจากบ้านใดเมืองใด มาจากนู้น ท่านก็สังเกตดูลักษณะท่าที ก็เหมือนคนเรานี่แหละไม่ได้ผิดกันเลย อะไรก็เหมือนกันหมด การแต่งเนื้อแต่งตัวก็เหมือนกันหมด ทีนี้เวลาเขาเอาของมาใส่บาตร ท่านก็ปลดบาตร ปลดอะไร ของอยู่ในบาตรท่านก็ปลดออก แล้วก็รับบาตรเขา พอรับบาตรเสร็จแล้วท่านก็ให้พรเขา

    คนเดียวเท่านั้นละ ผู้ชาย พอให้พรเสร็จแล้ว ถ้าคนอื่นพูดก็เป็นอย่างหนึ่ง นี่ท่านพูดเอง เป็นเรื่องแปลกประหลาดเรื่องอัศจรรย์ ท่านว่า พอให้พรเขาเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็บอกว่า ‘จะลาละครับ’

    เขาก็เดินไป มันมีต้นไม้ต้นหนึ่งอยู่ข้างนั้น เขาก็เดินไปข้างๆ พอไปบังต้นไม้นั้นแล้วหายเงียบไปเลย ท่านคอยมองดูจะเดินไปที่ไหนอีกก็ไม่เห็น ก็ต้นไม้ใหญ่ๆ มันโล่งข้างล่าง มองไปมันก็เห็นหมด ท่านว่า ไปลับต้นไม้ต้นเดียวแล้วหายเงียบเลย เอ๊ ไปยังไงน้า มองที่ไหนก็ไม่เห็น ท่านเลยเดินตามไปดู ไปก็เห็นแต่ต้นไม้เปล่าๆ คนนั้นก็หายเงียบเลย ท่านเลยกลับมาฉันจังหัน

    แต่อาหารนี่มันแปลก ท่านว่า กลิ่นมันไม่ได้กลิ่นเหมือนอาหารธรรมดาเรา พูดไม่ถูก ท่านว่างั้น ฉันก็พอดีเลย พอดีเราอิ่ม อันนั้นก็พอดีหมด ทำไมมันจึงช่างเหมาะกันเหลือเกิน ท่านฉันแล้วก็มีกำลัง พักสักหน่อยท่านก็เดินทางต่อไป ได้รำพึงถึงเทวดาตนนั้นยิ่งกว่าที่เขามาหาเราตอนกลางค่ำกลางคืน เพราะท่านเคยติดต่อเทศนาว่าการสอนเขาเป็นประจำ เพราะฉะนั้นถึงว่าซิ เวลาพระจะเป็นจะตายเทวดาไม่เห็นมามอง มามากต่อมาก นี่มาก็มาคนเดียว แล้วท่านก็มาถึงเมืองไทยในวันนั้นแหละ แปลกอย่างนั้นละฟังซิ บ้านคนไม่มี แต่อาหารมันแปลก กลิ่นไม่เหมือนอาหารเรา

    ทีนี้อาหารก็เป็นอาหารคนเราธรรมดานะ ไม่ใช่เช่นอย่างอาหารเจแจอะไร ไม่มี ก็อาหารพวกเนื้อพวกปลาธรรมดา มันก็แปลกอยู่ ท่านว่า จึงได้คิด เอ๊อ ความคิดความคาดนี่มันคิดไม่ได้นะคาดไม่ได้นะ อย่างนี้จะเป็นอะไร จะให้เป็นคนธรรมดาเป็นไปไม่ได้ ท่านว่างั้น เพราะไม่ใช่บ้านผู้บ้านคน อาหารก็เหมือนกัน กลิ่นอาหาร โอชารสรู้สึกว่าซึ้งทุกอย่าง ฉันลงไปก็พอดีหมดพอดีอิ่ม นี่อันหนึ่ง ท่านเล่าให้ฟัง

    ไปอยู่โน้น ๕ ปี ท่านภาวนามาตั้งแต่ต้นๆ นั่นแหละ มาหลังๆ นี้คนยุ่งท่าน ตลอดพระเณรก็โกโรโกโส ทำให้เสียไปหมดนั่นแหละ พระแบบเปรตแบบผีแทรกอรรถแทรกธรรมนั่นซีมันมีอยู่ อยู่ด้วยกันคุยสนุกแหละกับท่านอาจารย์ชอบ เพราะคุ้นกันมาก...”
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หลวงพ่อบัว สิริปุณโณ วัดป่าหนองแซง อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี

    [​IMG]


    หลวงพ่อบัวเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นองค์หนึ่ง มีอายุพรรษาน้อยกว่าองค์หลวงตา สถานที่ของการสนทนาธรรมในครั้งนี้ คือวัดบ้านชุมพล อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร ในปีนั้นหลวงปู่ขาว อนาลโย ได้พักจำพรรษาอยู่บ้านนี้ด้วย การสนทนาในครั้งนี้ทำให้ปัญหาธรรมของหลวงพ่อบัวผ่านพ้นไปได้ด้วยอุบายคำแนะนำขององค์หลวงตา

    เหตุที่ท่านทั้งสองจะได้พบกันนั้นมีเหตุมาจากฆราวาสท่านหนึ่งชื่อโยมกล่อมซึ่งเป็นโยมพ่อของท่านพระอาจารย์ปรีดา ฉันทกโร(หลวงพ่อทุย) ครั้งนั้นโยมกล่อมตั้งใจมานิมนต์องค์หลวงตาไปทำบุญอายุหลวงปู่ขาว อนาลโย องค์หลวงตาถามโยมกล่อมทันทีว่า

    “ไปนิมนต์หลวงพ่อบัวหรือเปล่าล่ะ?”

    แกตอบว่า “นิมนต์ครับกระผม”

    องค์หลวงตาท่านว่า “ถ้าหลวงพ่อบัวไป เราจะไป เรายังมีอะไรๆ ยิบๆ ยิบๆ อยู่กับหลวงพ่อบัว พูดอะไรมันมีอะไรอยู่ ข้องๆ ใจ เอานิมนต์ให้ได้นะ บอกด้วยว่าเราก็จะไปนะ”

    จากนั้นโยมกล่อมก็ไปนิมนต์หลวงพ่อบัวถึงที่วัดของท่านเหมือนกัน ปรากฏว่าหลวงพ่อบัวก็ถามโยมกล่อมด้วยคำถามเดียวกันว่า “ได้นิมนต์อาจารย์มหาบัวหรือเปล่า? ถ้าไม่นิมนต์อาจารย์มหาบัวไปอาตมาก็ไม่ไป ถ้าอาจารย์มหาบัวไม่ไปอาตมาก็ไม่ไป อาตมาจะไปเพราะอาจารย์องค์เดียวนี้เท่านั้น”

    แกตอบว่า “ผมนิมนต์ท่านมานี้แล้ว ท่านก็ถามถึงเหมือนกันว่า หลวงพ่อบัวจะไปหรือเปล่า?”

    หลวงพ่อบัวกล่าวขึ้นทันทีว่า “โอ๋ย ถ้าท่านอาจารย์มหาไป เราไป ไป ไป ไป”

    ว่าดังนั้นแล้วท่านก็ไปในงานนี้ทันที ในครั้งนั้นหลวงพ่อบัวท่านเป็นคนสั่งจัดกุฏิเองเลยทีเดียว โดยท่านพักอยู่หลังหนึ่ง และให้องค์หลวงตาพักอีกหลังหนึ่งซึ่งอยู่ติดกับรั้วและอยู่ใกล้ๆ กัน เพราะศาลาอยู่ลึกๆ ตรงกลางวัด กุฏิในวัดที่ติดเขตรั้วก็มีเพียงกุฏิ ๒ หลังนี้เท่านั้น

    เมื่อครูบาอาจารย์ทั้งสองท่านเสร็จธุระส่วนตัวแล้ว องค์หลวงตาจึงเริ่มซักไซ้ไล่เลียงหาเหตุผลเพื่อแก้ปัญหาข้อขัดข้องภายในของหลวงพ่อบัวดังนี้

    องค์หลวงตาเริ่มพูดก่อนว่า “ผมมามุ่งหลวงพ่อนะนี่ ผมไม่ได้มางานใดๆ นะ”
    หลวงพ่อบัวตอบว่า “ผมก็มามุ่งครูจารย์เหมือนกันแล้ว” องค์หลวงตาว่า “เอ้า เล่าเป็นยังไง? เอ้า เล่ามาตั้งแต่เริ่มปฏิบัติทีแรก ภาวนาตั้งแต่เป็นตาปะขาวมาบวชทีแรกเล่า จนกระทั่งปัจจุบันเป็นยังไง อย่าปิดบัง เล่ามาโดยลำดับ เอ้า ผมจะฟังให้ตลอดวันนี้ ผมไม่ได้สนิทใจนักกับหลวงพ่อนะ ผมพูดตรงๆ นะ”
    จากนั้นหลวงพ่อบัวท่านก็เล่ามาโดยลำดับๆ ๆ จนถึงจุดปัจจุบัน พอถึงจุดนี้องค์หลวงตาบอกทันทีว่า

    “เอ้า เล่าไปซี” ตอบว่า “พอ” องค์หลวงตาบอกอีก “เล่าไปซี” ตอบว่า
    “หมดเท่านี้” องค์หลวงตาเลยถามว่า “แล้วความเข้าใจว่ายังไง?” ตอบ “หมดเท่านี้”

    ท่านถามอีกว่า “แล้วความเข้าใจว่ายังไงละ? เอ้า ว่าซิ”

    “เข้าใจว่าสิ้นแล้ว” ท่านถามต่อว่า

    “แล้วเป็นอย่างนี้มานานเท่าไรแล้ว?”

    “เป็นมาได้ ๑๐ กว่าปีแล้ว”

    เมื่อทราบความตามนั้นแล้วองค์หลวงตาท่านก็ยังไม่ได้ตอบไปในเวลานั้นว่าหลวงพ่อบัวสิ้นหรือยังไม่สิ้น แต่ท่านแนะทางเดินโดยเริ่มอธิบายในจุดที่ละเอียดให้ฟัง

    “เอ้า ทีนี้ให้พิจารณาอย่างนั้นๆ นั้นนะ เอาเลย ต่อจากนั้นให้เลย จับให้ดีนะ... อธิบายให้ฟัง เต็มที่ แล้ววันนี้ไม่ต้องไปสวดมนต์ ไม่ต้องไปในงานนู้น ให้ภาวนา เอาให้มันได้วันนี้ รู้วันนี้ละ มันเข้าวงแคบแล้วนี่น่า”

    พอพูดกันจบเรียบร้อยแล้วท่าน กล่าวต่อว่า “ไป ลงไป เริ่มภาวนาตั้งแต่บัดนี้ไปนะ ทำยังงั้นล่ะ”

    การอธิบายกันในคราวนั้นท่านว่าใช้เวลานานพอสมควร เมื่อจบการอธิบายแล้วจากนั้นหลวงพ่อบัวท่านก็กลับไปภาวนาที่กุฏิ ส่วนองค์หลวงตาไปสวดมนต์ที่ศาลา ครั้นถึงตอนเช้าขณะที่องค์หลวงตากำลังนั่งภาวนาอยู่ ยังไม่ทันออกจากที่ภาวนาเลย ก็มีเสียงกุ๊บกั๊บๆ ดังขึ้นในเวลาใกล้สว่างของวันใหม่ องค์หลวงตาจึงถามขึ้นว่า“ใครนี่?”

    หลวงพ่อบัวตอบ “ผมครับ” “หลวงพ่อบัวเหรอ?”

    ตอบ “ใช่ครับ” องค์หลวงตาบอก “เออ ขึ้นมาๆ”

    จากนั้นหลวงพ่อบัวท่านก็เล่าถึงการภาวนาในคืนนั้นให้องค์หลวงตาฟังดังนี้
    “...จับอุบายท่านอาจารย์ เข้าปุ๊บเลย... เพราะแต่ก่อนมันไม่รู้เนี่ย ได้แต่เฝ้ากันอยู่นั้นเสีย แสดงว่าสำเร็จเสร็จสิ้นก็อยู่งั้นเสีย พอมาถึงที่นั่นแล้วก็เอาอุบายท่านอาจารย์เข้าใส่ ปุ๊บๆ โห ไม่นานเลย ปรากฏ เหมือนกับ...คานกุฏิขาดยุบลงทันที เหมือนกับว่าก้นกระแทกดิน แต่ไม่เจ็บ เหมือน กับคานกุฏิขาดลง ตูมลงพื้นเลย

    ฮึบ ทีเดียวเลย แต่จิตมันก็ไม่กังวลนะ เพราะมันไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรนี่ ในขณะนั้น พอพึบลงไปนั่น ทีเดียวเท่านั้น นิ่ง...พอมัน หายจากขณะนั้นแล้ว จิตก็รู้ตัว ออกมา ข้างนอก มาก็มารู้ว่า

    ‘ฮื๊อ ว่าคานกุฏิ ถ้าขาดแล้วมันก็ลงกันทั้งพื้นนี้ ลงไปถึงดินนั่น ทำไมมันถึงดีๆ อยู่นี่’ มันก็รู้กันทันทีนะว่า ‘โห นี่มันคานอวิชชาขาด’

    โอ้โห เวลานั้นมัน มันพูดไม่ถูกเลย...พอขณะนั้น ทำงานกันไปเสร็จสิ้นไปแล้ว ทีนี้มันเหมือนกับว่า เป็นคนละโลกเลยเชียว ผมเลยไม่นอนทั้งคืน เมื่อคืนนี้…”
    หลวงพ่อบัวกล่าวกับองค์หลวงตาอย่างซาบซึ้งจับจิตจับใจว่า

    “...ผมกราบท่านอาจารย์ทั้งคืนเลย มันไม่ทราบเป็นยังไง มันกราบพระพุทธเจ้า กราบพระธรรม กราบพระสงฆ์ กราบท่านอาจารย์ตลอดคืนเลย ผมไม่นอนจนกระทั่งเดี๋ยวนี้นะ โฮ้ มันอะไร เหมือนกับ ถ้าพูดภาษาพระพุทธเจ้าว่า เสวยวิมุตติสุข มันอะไรพูดไม่ถูก

    อัศจรรย์ครูบาอาจารย์ พระธรรม เห็นคุณของท่านอาจารย์ ฮู้ย เห็นจริงๆ เด่นจริงๆ ถ้าไม่ใช่ท่านเราจมไปแล้ว ไม่ไปถึงไหนแล้ว เดชะจริงๆ กราบ...กราบอยู่อย่างนั้น...”

    องค์หลวงตาท่านปรารภถึงเรื่องนี้ว่า นับแต่นั้นมาก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกับหลวงพ่อบัว วัดหนองแซงอีกเลย จนกระทั่งหลวงพ่อบัวท่านมรณภาพไป ท่านบอกว่าถึงจุดนี้แล้วไม่จำเป็นต้องมีอะไรเพิ่มเติมให้เป็นประโยชน์อีกแล้ว เพราะมันพออยู่ในตัวแล้ว หมดปัญหาแล้ว ไม่จำเป็นต้องเอาอะไรมาพูดอีกแล้ว
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    พระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร วัดป่าแก้วชุมพล อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร

    [​IMG]


    พระอาจารย์สิงห์ทองเป็นพระกรรมฐานอีกรูปหนึ่งที่อยู่ทันสมัยหลวงปู่มั่นและได้ติดตามองค์หลวงตาไปตลอดตั้งแต่อยู่บ้านห้วยทราย จันทบุรี กระทั่งก่อตั้งวัดป่าบ้านตาด จึงมีความคุ้นเคยสนิทสนมกับองค์หลวงตามาก ครั้งหนึ่งท่านได้สนทนาธรรมในขั้นละเอียดสุดดังนี้

    “...ท่านสิงห์ทองมาถามเราเลยในฐานะลูกศิษย์กับอาจารย์ เพราะเป็นลูกศิษย์เรามาดั้งเดิม พูดตรงไปตรงมา ท่านบอกว่า

    ‘เรื่องจิตของท่านเวลานี้ในจิตมันไม่มีอะไรสงสัยแล้ว หายหมดไม่มีอะไร แต่ไม่บอกขณะ ไม่บอกขณะที่สิ้นสุด ไม่มีอะไรเหลือในจิต ไม่มีเลย จิตไม่มีปรากฏกิเลสเลย หมดๆๆ ไปเลย หายเงียบไป ในจิตนี้หายสงสัย แต่เรื่องขณะใดที่จะให้ทราบว่าสิ้นสุดขณะนั้นขณะนี้ไม่มี พิจารณาไปๆ หมดไปๆ หมดเอาเลย เลยไม่ทราบขณะว่าอย่างนั้น

    นี่มันขัดข้องตรงนี้ แต่ไม่ได้ขัดข้องว่าเจ้าของมีกิเลสนะ มันขัดข้องครูบาอาจารย์และสาวกทั้งหลายท่านบรรลุธรรมอยู่ในอิริยาบถยืนเดินนั่งนอนอันนี้ท่านเหล่านั้นรู้หมด แต่ผมไม่รู้ แต่มันหายสงสัยแล้ว เรื่องกิเลสนี้ไม่มี หายเงียบไปเลย’
    จากนั้นเราแย็บให้ฟังว่า

    ‘เออ.. ที่ท่านเล่าให้ฟังนั้นน่ะผมไม่มีที่ค้าน จะมีก็มีแต่เงาเฉยๆ เงาเช่นว่าเป็นขณะนั้นขณะนี้ องค์ไหนท่านเป็นท่านก็เล่าออกมา องค์ไหนไม่เป็นจำเป็นอะไรจะต้องเล่า กิเลสหมดก็หมดเท่านั้นเอง นี่อรหันต์มี ๔ ประเภท ให้ท่านเทียบก็แล้วกันนะ สุกขวิปัสสโก ผู้รู้อย่างเรียบไปเลยก็มี อย่างท่านไม่รู้เลย แต่ว่ากิเลสมีในใจไม่มี .. หมด แต่ไม่ได้บอกขณะใด เรียกว่าเรียบไปเลย ท่านอาจจะอยู่ในสุกขวิปัสสโก

    เตวิชโช ฉฬภิญโญ จตุปฏิสัมภิทัปปัตโต พระอรหันต์มีหลายประเภท องค์หนึ่งแสดงฤทธิ์อย่างนั้น องค์หนึ่งแสดงอย่างนี้ องค์หนึ่งเงียบไปเลยอย่างท่านสิงห์ทองท่านว่าเงียบไปเลย ความสงสัยว่าเจ้าของมีกิเลสก็ไม่สงสัยหายสงสัย แต่อันนี้ไม่บอกขณะ ส่วนเตวิชโช ฉฬภิญโญ จตุปฏิสัมภิทัปปัตโต มีขณะบอกๆๆ
    ที่พูดมาแล้วไม่สงสัยในความรู้ของท่านที่เป็นแล้ว ผลของความรู้นั้นออกมาไม่มีที่ค้าน อย่างไรมันก็รู้อยู่กับจิตซึ่งเป็นนักรู้นั่นละ มันสิ้นหรือไม่สิ้นก็รู้’

    ท่านกล่าวสรุปให้ฟังว่าเรื่องขณะมันเป็นเงาต่างหาก ความจริงมันอยู่กับจิตที่เป็นนักรู้ด้วยกัน มันต้องรู้ของจริงด้วยกันและแจ้งออกมาจากนั้นเลย ภายหลังเมื่อท่านพระอาจารย์สิงห์ทองมรณภาพลงไปแล้วอัฐิของท่านก็แปรสภาพเป็นพระธาตุในเวลาต่อมา


    คัดลอกมาจาก หนังสือ เสาหลักพระกรรมฐานกึ่งพุทธกาล
    Luangta.Com -
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หลวงตามหาบัว : “หลวงปู่ฝั้น อาจาโร”

    [​IMG]

    [​IMG]


    นิสัยนุ่มนวลไม่มีใครเกินท่านอาจารย์ฝั้น

    นิสัยนุ่มนวลไม่มีใครเกินท่านอาจารย์ฝั้นนะ นิสัยท่านอาจารย์ฝั้นนุ่มนวลมากทีเดียว ไม่ว่าชั้นไหนนิสัยท่าน ท่านเดินนี่เหมือนช้างเดินผ่านทุ่งนา เดินสวยงามมากท่านอาจารย์ฝั้นนะ กิริยาท่าทางทุกอย่างนิ่มไปหมด เราไปเห็นท่านเราก็ชอบนะ เห็นนิสัยกิริยาท่าทางของท่านที่แสดงออกนี่สวยงามมาก เราก็ชอบ แต่ลิงเรามันอยู่นี่อยู่บนคอ เข้าใจไหมลิงอยู่บนคอ พอออกจากท่านไปลิงเราก็ออกลวดลาย มันไม่ได้เป็นแบบท่าน แบบท่านสวยงามตลอด แบบเรานี้ออกจากท่านไปลิงกอดคออยู่นี้ มันก็เป็นแบบลิงไป เป็นนิสัย เรียกว่านิสัย มองเห็นท่านก็สวยงามแต่ยึดไม่ได้นะ มันสู้ลิงไม่ได้ คือลิงหมายถึงว่านิสัยของตัวเอง ใครมีนิสัยอย่างไรมันก็แสดงออกตามนั้นๆ ละ


    ส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนาหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    เมื่อวันที่ ๒๒ เดือนมิถุนายน ปีพุทธศักราช ๒๕๔๙
    เทศน์อบรม ณ สวนแสงธรรม ถ.พุทธมณฑลสาย ๓ กรุงเทพฯ

    Luangta.Com -
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ฤทธิ์ของท่านอาจารย์ฝั้น

    สำหรับท่านอาจารย์ฝั้นรู้สึกท่านเมตตามากนะกับเรา เมตตาจริงๆ เราพูดถึงเรื่อง ที่มันแสดงปาฏิหาริย์เต็มที่นะ วันนั้นจนถึงเราออกปากพูดดังโก้กเลยทีเดียว วันนี้จะมีเหตุการณ์อะไรแน่นอน เพราะพิลึกพิลั่นเหลือเกิน สะเทือนใจมาสามหนนี้แล้ว วันนี้จะมีเหตุการณ์อะไรแน่นอน เอาคอยฟังไปนะ นี่กระเทือนถึงสามหนนี้แล้ว คือตอนกลางคืน หกโมงห้าสิบนาทีเป็นเวลาที่ท่านอาจารย์ฝั้นล่วงเสียชีวิตสิ้นลมหายใจ หกโมงกับห้าสิบนาที ดูเหมือนเป็นวันที่ ๒๐ หรืออะไร นั่นละตั้งแต่นั้นละเริ่มแสดงนะกับเรา

    พอตื่นเช้ามาเราจะออกเดินทาง เพราะสั่งแล้วรถเขาจะมาตามนั้นละ รถมารับเราแล้วเราไปถึงอุดรแล้ว วันหลังเราจะเอาของไปบังสุกุลทอดผ้าป่า มีจักรเป็นต้น ที่วัดหนองกอง กลางคืนนี้ฝนกระหน่ำ น้ำท่วมหมดเลยนะ ผิดสายหูสายตา เพราะเดือนยี่ไม่น่าฝนจะตกขนาดนั้น ท่วมหมดเลยกลางทุ่งนา รถจะไปไม่ได้แล้ว ก็เลยสั่งท่านทุยไปเอง เป็นผู้จัดการทำหน้าที่เพื่อเรา ท่านไปบอกโยมอุปัฏฐากท่านที่วัดบ้านนาขาม จะมารับท่านอาจารย์นี้เป็นรถเก๋ง มันจะข้ามทุ่งนานี้ไปไม่ได้ ให้เอารถของเราอยู่ในบ้านนี้มีสองคันไปรับท่านมา ตอนฉันเสร็จแล้วให้ไปรับท่านมา แล้วมาขึ้นรถเก๋งคันนี้

    รถเก๋งคันนี้ให้บอกเขาว่าให้เขารออยู่ที่บ้านหลังนี้ ไม่ให้ข้ามทุ่งนาไป มันไปไม่ได้ ว่าอย่างนั้นนะ ท่านมาสั่งเสียเรียบร้อย เป็นท่านทุยเองสั่ง ครั้นเวลามารถเก๋งมาก็ให้อยู่ที่นั่น แต่ว่าท่านอาจารย์จะเดินทางมาเอง ฟังซิน่ะ ก็ทางนี้บอกว่าให้เอารถที่บ้านของเรานี้ไปรับท่านมาขึ้นรถเก๋งคันนี้กลับอุดร นี่ท่านทุยสั่ง แต่พวกนี้ไม่ได้เป็นอย่างนั้น พอรถเก๋งมาบอกให้รถเก๋งที่นี่ ท่านอาจารย์จะเดินทางมาเอง มาขึ้นรถที่นี่ แทนที่จะเอารถไปรับเรามาขึ้นรถคันนี้ต่อกลับไม่ทำ เสียเวลานาน ห้าโมงเช้าแล้วคนขับรถเดินดูทางไป เอ๊ นี่พอจะมาได้ ทำไมจึงมาไม่ได้ พอเข้าไปก็ถามเขา รู้เรื่องว่ารถทางนั้นเขาไม่มารับตามที่ท่านทุยสั่งให้มารับเราไปขึ้นรถเก๋ง เขาไม่มา นี่กลับตาลปัตรแล้วนี่ ท่านทุยก็บึ่งเลยเชียว มาบ้านนาขาม มาที่นั่น

    เราเลยจำได้หมดนะ ในบ้านนั้นมีรถ ๗ คัน หายหมดไม่มีรถเหลืออยู่ในบ้านสักคันเดียวเลย ออกไปตลาดปากคาดหมดเลย ท่านทุยไปรออยู่ตั้งสองชั่วโมง ถึงได้เห็นรถสองแถวคันหนึ่ง แค้กๆ ๆ เข้ามา ท่านก็เอารถคันนี้ไป ไปหาเรา ทำให้เสียเวลาเรื่อยๆ นะ นี่คือท่านอาจารย์ฝั้น ไม่ใช่อะไรนะ ท่านเอียนไปจากกรุงเทพฯ นี้แล้ว ไปพักฉันจังหันที่บ้านตังล้ง ก็ได้ทราบข่าวท่านอาจารย์ฝั้นเสียเมื่อคืนนี้ตามเวลานั้น จากบ้านตังล้ง ตังล้งเขาบอก ท่านเอียนฉันแล้วก็ไปดงศรีชมพู จึงนำเรื่องนี้ไปหาเรา เรื่องราวเป็นอย่างนั้น

    ทีนี้พอไปถึงวัดแล้ว รถสองแถวไปติดเครื่องอย่างไรมันก็ไม่ติด นี่เห็นไหมฤทธิ์ของท่านอาจารย์ฝั้นเป็นอย่างนั้นนะ ถามรถดีๆ อยู่เหรอ รถดีๆ อยู่นี่แหละ แล้วทำไมเป็นอย่างนี้ ก็ไม่ทราบ แล้วติดปึดๆๆ ดับปุ๊บหายเงียบๆ มันกระเทือนใจเรื่อย เราก็พูดออกมาทันที นี่มันจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นมาคอยฟัง เกิดแน่นอนเราบอก สามหนแล้วกระเทือนใจ ก็พอดีรถท่านเอียนนี่ไปจากอุดร นั่งรถไปเข้าไปวัดดงศรีชมพู พอลงรถปั๊บท่านเอียนวิ่งเข้ามาหาเรา เรากำลังนั่งรถ เครื่องมันไม่ติด เราก็นั่งรออยู่ มากระซิบว่านี่ท่านอาจารย์ฝั้นเสียแล้วเมื่อคืนนี้ตอนหกโมงห้าสิบนาที เอาละทีนี้ได้ความ

    นี่ละเหตุการณ์ได้ความแล้วทีนี้ เอาติดเครื่อง ปืดๆ ไปเลย ไม่อยากอะไร ออกจากนี้ปั๊บเราก็ตรงไปนู้นเลย ไปวัดอุดมสมพร ไปถึงนู่นแล้วมืด ไปวัดอุดมสมพร นี่ละเรื่องท่านอาจารย์ฝั้น ท่านบังคับไม่ให้ติดเครื่อง เครื่องก็ไม่ติด เราทราบข่าวว่าท่านเสียเท่านั้นนะ ติดเดี๋ยวนั้นเลย ไปเลย เราก็ต้องไปวัดท่านอาจารย์ฝั้น นี่เรื่องราวเป็นอย่างนั้น นี่ท่านน่าตั้งหน้าปฏิบัติต่อเรา คืออย่างไรต้องให้เราไปก่อน งานศพนี้ความหมายว่าอย่างนั้น นี่เป็นเรื่องราวสำคัญอันหนึ่ง


    ส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนาหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    เมื่อวันที่ ๒๒ เดือนมิถุนายน ปีพุทธศักราช ๒๕๔๙ (ค่ำ)
    เทศน์อบรม ณ สวนแสงธรรม ถ.พุทธมณฑลสาย ๓ กรุงเทพฯ

    Luangta.Com -
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ท่านอาจารย์ฝั้นกับแมว

    ท่านอาจารย์ฝั้นกับแมวนี้ถูกกันมากนะ แมวก็มีแต่แมวใหญ่เสียด้วยนะ ท่านไปอยู่ถ้ำขาม เขาเอาแมวใหญ่มาจากไหนไม่รู้ไปปล่อยที่ถ้ำขาม ก็ไปอยู่กับท่าน ป่วนเปี้ยนอยู่กับท่าน ติดกับท่านนะ ไม่ติดองค์ไหน ติดกับท่านอาจารย์ฝั้น ท่านไปไหนมันตามไปเรื่อย พอไปข้างหน้าปั๊บล้มแผละ หงายท้องขึ้นฟ้า มันทำความเคารพท่าน ท่านบอกนี่มันเคารพ ท่านว่าอย่างนั้นนะ เขากราบไม่เป็น นี่ละวิธีแมวกราบ กราบอย่างนี้ ท่านว่าอย่างนั้นนะ คือเขานอนแผ่สองสลึง แผ่อย่างนี้เลยนะ ท่านไปแล้วเขาไปล้มแผละอยู่ข้างหน้าและก็หงายท้อง นี่เขากราบ ท่านว่าอย่างนั้น เขาเคารพเรา แมวเคารพ เคารพอย่างนี้หรือ เคารพอย่างนี้แหละท่านว่า ขบขันดีนะ

    สักเดี๋ยวไปกับท่านนั่นละ ทีนี้ตอนจังหันนะ มันสำคัญอยู่ แปลกที่ตอนจังหัน เอ๊มันรู้ภาษาคนจริงๆ นะ ทีนี้พอฉันจังหัน จัดไว้มันมีแมวอยู่สามตัว ตัวใหญ่ที่สุดคือตัวหัวหน้า ท่านจัดจานข้าว จัดอย่างนี้ใส่ไว้สามจาน ท่านนั่งอยู่นี้ก็จานข้าวแมวๆๆ สามตัว จัดไว้ให้ ทุกวันเราก็ไม่ได้สังเกตุนะ วันนั้นท่านพูดขึ้น เราจึงได้สังเกตุ บทเวลาท่านจะพูด เขากินแล้วนะนั่น พอเขากินแล้วท่านนั่งกำลังพิจารณา ท่านว่านี่มันอย่างไรนี่ แมวสามตัวนี่มันไม่มีปฏิสังขาเหรอ ท่านว่าอย่างนั้นนะ ฟาดแล้ว ท่านพูดอย่างนี้ละ ฟาดแล้วพระยังไม่ได้ฉัน ทำไมฟาดแล้ว เขาหยุดนะ เขาหยุดแล้วมองดูหน้าท่าน

    นี่ที่น่าคิดนะ เขากำลังกินอยู่นะ สามตัว ตัวใหญ่ พอท่านว่าอย่างนั้นเขาเลยหยุด พอหยุดแล้วก็มองดูหน้าท่าน นี่อย่างไรกันนี่พระท่านยังไม่ฉัน ทำไมเราฟาดก่อนแล้ว ไม่มีปฏิสังขาหรือนี่น่ะ เขาก็มองดูท่าน ท่านก็เริ่มฉัน ฉันแล้วเขายังมองดูท่านอยู่นะ เขาไม่กล้ากิน พอหลังจากนั้นแล้วเห็นเขานั่งมองดูท่านอยู่ตลอด เขาไม่กินอีกนะ พอท่านฉันไปๆ เอากินซิทีนี้ พระท่านฉันแล้วนั่นน่ะ เห็นกินก่อนพระก็ว่าให้บ้างละ พระเป็นอาจารย์ของเรา ไม่ถึงไหนเราฟาดแล้ว ท่านพูดหยอกสัตว์น่ารักด้วยนะ คำพูดท่านก็ดี พระท่านยังไม่ฉันเราฟาดแล้ว ท่านว่าอย่างนั้น จากนั้นเอากินทีนี้ พอว่าอย่างนั้นเขาก็หันมากิน

    วันหลังอีก พอจัดอาหารเสร็จแล้วเขาไม่กล้ากินนะ จัดอาหารสามจานเสร็จ นั่งต่างคนต่างหมอบ เฝ้าอยู่นี่ ที่น่ารักมากก็คือเขาเฝ้าแล้วเขาดูจานข้าวแล้วเขาดูปากพระ มันน่าขบขันดีนะ เขาดูปากพระแล้วเขาก็ดูจานข้าว พระท่านยังไม่ฉันเขาก็ดูอยู่นั่นละ จนกระทั่งพระท่านเริ่มลงมือฉัน เขาเห็นพระท่านฉันเขาก็กลับมากินของเขา ตั้งแต่วันนั้นเขาจะรอ จนกระทั่งพระท่านฉันเสร็จแล้ว เขาถึงจะกิน ก่อนที่เขาจะกินเขาต้องดูปากพระเสียก่อน ถ้าปากพระท่านยังไม่กินเขาก็ยังไม่กิน มันรู้ภาษาคนหรือไงน้า แมวสามตัว ตัวใหญ่นี่ละ มันรู้ภาษาดี เพราะท่านว่าตัวใหญ่นี้ตัวใหญ่ก็หยุด

    นี่ก็วัดอาจารย์ฝั้น วัดอุดมสมพร นี่ก็มีแมวใหญ่ตัวหนึ่งอีกละ อู๊ยใหญ่ ท่านอยู่ที่ไหนมีแต่แมวใหญ่ๆ อยู่วัดอรุณนครก็มีแมวใหญ่ตัวหนึ่งอยู่นั้น ท่านเลี้ยงเอาไว้นั่นละ แล้วอยู่ถ้ำขามก็มีแมวใหญ่ คนละตัวนะหากใหญ่เหมือนกัน ทีนี้พอมาวัดอุดมสมพรก็พอดีได้จังหวะ พระศาลาเก่าหลังนั้น เดี๋ยวนี้ก็ยังอยู่ศาลาหลังนั้นะ พระท่านฉันอยู่นั้นละ แมวตัวนั้นเลี้ยงเอาไว้ มันอยู่หน้าศาลา มันหมอบของมันตามภาษาของมัน เงียบ เพราะสัตว์อันนี้เป็นสัตว์เชื่อง สัตว์สงบ ไม่ค่อยคึกคะนอง เขาก็หมอบของเขาเฉย พอดีพวกเขาขายน้ำย้อมน้ำสีกระป๋องๆ เข้ามาในวัด เขามีลิงตัวหนึ่ง ขึ้นขี่คอเขามา

    เขาก็ปล่อยลิง ลิงก็โดดลงจากคอ แล้วไปมองเห็นแมว นี่มันขบขันดี ทีแรกก็มีท่าที ไอ้ลิงตัวนั้นน่ะ ไปเห็นแมวแล้วมองดูท่าทีของแมว แล้วก็เดินฉากนู้นฉากนี้มา มาดูแมว แมวเขาก็เฉยอยู่ เขาไม่สนใจอะไรละ ทีนี้ดูใกล้เข้ามาๆ มาข้างหลัง มาจับหางเสียก่อน จับเบาๆ เขาเป็นขั้นทดลองเขา เขามาจับหางแมว แมวก็เฉยเลย ทีนี้ก็ใกล้เข้ามา เห็นท่าว่าได้การ คงว่าอย่างนั้นนะ คงว่าได้การ จับหางแมว แมวก็เฉย แล้วก็ไปข้างหน้า ไปจับนั้นจับนี้เฉย แล้วไปจับข้างหน้าซี มันก็ “แม้ว” ทีเดียว มันฟาดเอาหน้าผาก มันเอาทีเดียวเท่านั้นละ พอ “แม้ว” เสร็จมันตบเลย ตบหน้าผาก ฟังเสียงลิงร้องกี้ๆๆ โดดขึ้นต้นไม้

    แมวตัวนี้พอมันตบแล้วมันก็วิ่งหนีไปอยู่ทางนู้น มันตบ “แม้ว” ทีเดียวเท่านั้น มันใส่เอาหน้าผากลิง ลิงตัวนี้ก็เจ็บ เพราะมันตบแรงนี่นะ โดดไปขึ้นต้นไม้ ขึ้นไปแล้วก็ร้องจี๊กๆ อยู่ข้างบน คงเจ็บลิงตัวนั้น ทีนี้มองไปมองมาแล้วไปเห็นแมวตัวนั้นไปหมอบอยู่ทางนู้น ตัวนี้เขามองไปเห็นเขาก็ลง นี่เขาแก้ลำกันนะ พอลงแล้วเขาก็ไปข้างหลัง ด้อมไป เขาจะไปแก้ลำกัน ไปก็ค่อยแอบไป ไม่ไปข้างหน้า แอบไปข้างหลัง จับหางแมวกระตุก แมวก็ “แม้ว” แมวก็วิ่ง เขาก็วิ่งขึ้นต้นไม้ เสียงกอกๆ แสดงว่ากูแก้ลำได้แล้ว
    แมวมันก็หนี มันไม่สนใจอะไร มันไม่เหมือนลิง ลิงตัวนั้นมันเจ็บหน้ามัน ถูกตบหน้า ตบอย่างแรงเสียด้วย มันจึงตามไปแก้ลำกัน พอไปคราวหลังไปจับหางกระตุก แมวก็ “แม้ว” มันก็วิ่งหนีเลย ทางนี้ก็โดดขึ้นต้นไม้ เสียงกอกๆ แสดงว่าแก้ลำได้แล้ว ความหมายว่าอย่างนั้น แล้วเป็นอย่างไรพวกเรา ไอ้กิเลสมันเหมือนลิงได้แก้ลำมันบ้างไหม เวลาไหนก็มีแต่มันฟัดเอาๆ หรือ ก็ต้อง “แม้ว” บ้างซิ ฟาดให้กิเลสมันหงายบ้าง นี่ไม่มีกิเลสตัวไหนหงาย มีแต่คนน่ะหงาย เข้าใจไหมละ ลงมาหากิเลสมันเร็วเหมือนลิง ปั๊บๆ มันเอาเลย

    นี่พูดถึงเรื่องแมวท่านอาจารย์ฝั้น ท่านกับแมวถูกกันดี นิสัยท่านกับแมวไปไหนล้มแผละเลย แผ่สองสลึง แล้วมันทำไมอย่างนี้ละ นี่มันเคารพพระ ทำไมเคารพอย่างนี้ นี่ละเขากราบ ท่านพูดท่านสอนเราด้วยนะ นี่เขากราบเขากราบอย่างนี้ แมวกราบครูบาอาจารย์กราบพระกราบอย่างนี้เอง กราบอย่างนี้แหละ สั่งสอนเราด้วย เราก็เหมือนลิงตัวหนึ่ง เวลาเห็นท่านวิ่งไปข้างหน้า ล้มนอนแผ่สองสลึง พอท่านไปแล้วเขาก็ลุกตามท่านไปนะ แมวใหญ่ จบแล้วละแมว เท่านั้นพอ พูดอะไรนักหนา

    มันไปเกี่ยวโยงกันเรื่องท่านอาจารย์ฝั้นกับแมวถูกกันมาก เมตตา ถูกกันมาก รู้ภาษา ทีนี้อาหารที่ว่าจัดไว้สามจาน เขาจะดูอาหารแล้วเขาดูปากพระ ถ้าพระยังไม่ฉันเขาจะดูเขายังไม่กิน จนกระทั่งพระลงมือกินแล้วทีนี้เขาเริ่มลงมือกินอย่างนี้เป็นประจำ ถ้าพระยังไม่ฉันเขาจะดูจานข้าวเขาแล้วดูปากพระ จนกระทั่งพระลงมือฉันแล้วเขาถึงจะกิน เขารู้ภาษาคนหรือไงน่า ทีแรกเขาใส่เลยละ ท่านบอกนี่มันไม่มีปฏิสังขาหรือนี่น่ะ พระยังไม่ได้ฉันมันฟาดแล้ว ตั้งแต่วันนั้นมาต้องดูจานข้าวและดูปากพระ จนกระทั่งพระเริ่มฉันแล้วเขาก็มากินของเขาเป็นประจำนะ เขาไม่กินก่อนตั้งแต่วันนั้นแล้ว ก็ท่านอาจารย์ฝั้นละสอนเขา ท่านอาจารย์ฝั้นกับแมวนี่ถูกกันมาก


    ส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนาหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    เมื่อวันที่ ๒๒ เดือนมิถุนายน ปีพุทธศักราช ๒๕๔๙
    เทศน์อบรม ณ สวนแสงธรรม ถ.พุทธมณฑลสาย ๓ กรุงเทพฯ

    Luangta.Com -
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หอมอะไรนา

    อย่างหลวงปู่ฝั้นพลังจิตเก่งมาก ยกให้เลยสมัยปัจจุบัน แล้วยังมีรู้ด้วยสิ่งต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น วันนั้นจวนจะเข้าพรรษา ท่านจะพาลูกศิษย์ลูกหาไปกราบพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นที่หนองผือ เรามันเป็นอย่างนั้นละ ถ้ามีครูบาอาจารย์องค์ใดมาเราจะเข้าถึงก่อนแล้ว เข้าถึงดูทุกสิ่งทุกอย่างก่อนๆๆๆ เรื่อยเลย พอวันนั้นไปท่านขึ้นไป เราก็นั่งอยู่นั้นแล้ว คอย ครูบาอาจารย์ลูกศิษย์ของท่านชั้นผู้ใหญ่มาแต่ละองค์ๆ ท่านปฏ...ิบัติปฏิสันถารต้อนรับภายในภายนอกเรื่องศีลเรื่องธรรมอย่างไรบ้างๆ ท่านจะไม่ปฏิบัติเหมือนกันนะ พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นนี้ องค์นี้ขึ้นมามีกิริยามารยาทอรรถธรรมเป็นอย่างนั้น องค์นี้ขึ้นมามีกิริยามารยาทอรรถธรรมเป็นอย่างนั้น ไม่ได้ซ้ำกันนะ

    พอดีวันนั้นท่านขึ้นมากราบ พอกราบลงไปท่านยิ้ม เพราะนิสัยท่านอาจารย์ฝั้นนี่ท่านยิ้ม ยิ้มสวยงามมากนะ ไม่เหมือนหลวงตาบัวยิ้ม ถ้าหลวงตาบัวยิ้มนี้ศาลาแตกฮือเลยเข้าใจไหม ท่านอาจารย์ฝั้นยิ้มสวยงามมากนะ พอกราบลงๆ ท่านมอง “เออวันนี้มันหอมอะไรนา แต่ไม่ใช่หอมธูป” ทางนั้น“เอ๊ วันนี้หอมอะไรนา แต่ไม่ใช่หอมธูปหอมเทียน” เท่านั้นพอ พอท่านกราบลงไปเสร็จแล้ว ท่านยิ้มๆ “เอ๊ วันนี้หอมอะไรนา แต่ไม่ใช่หอมธูปหอมเทียน” ทางนั้นท่านตอบรับ “เออใช่แล้ว” เท่านั้นพอ

    พอท่านกราบลงไปเสร็จแล้วท่านยิ้มๆ “เอ๊ วันนี้หอมอะไรนา แต่ไม่ใช่หอมธูปหอมเทียน” ทางนั้นท่านตอบรับ เออใช่แล้ว เวลานั้นท่านไม่มีโอกาสที่จะถามท่านได้ “จากนั้นแล้วขึ้นไปหาท่านโดยเฉพาะ แล้วเป็นอย่างไรเวลาท่านอาจารย์ฝั้นมากราบพ่อแม่ครูอาจารย์มีลักษณะยิ้มๆ แล้วว่า วันนี้มันหอมอะไรนา แต่ไม่ใช่หอมธูปมันหมายความว่าอย่างไร หมายความว่ารุกขเทพเต็มหมด ท่านบอกเออใช่แล้ว รุกขเทพมาเคารพบูชาครูบาอาจารย์เต็มไปหมด ท่านว่าอย่างนั้นนะ ท่านตอบปึ๋งเลยนะพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น แต่เวลาจะพูดได้ขนาดนั้นก็เออใช่แล้ว เรางงเป็นบ้าอยู่ เป็นบ้าอยู่นาน พอได้โอกาส ท่านออกทันทีเลย พวกเทวดาเต็มมาคอยฟังเทศน์ท่าน นานๆ จะมีทีหนึ่ง เวลาพ่อแม่ครูอาจารย์ตอบนะนี่นะ ท่านบอกว่าเออใช่แล้วเท่านั้นละไม่มาก เวลาเราไปถามธรรมท่านตอบออกมาอย่างนั้นจึงชัดเจนมาก


    ส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนาหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    เมื่อวันที่ ๗ เดือนกรกฎาคม ปีพุทธศักราช ๒๕๕๑ (เวลา ๑๓.๓๐ น.)
    เทศน์อบรม ณ สวนแสงธรรม ถ.พุทธมณฑลสาย ๓ กรุงเทพฯ

    Luangta.Com -
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    เป็นไปตามนิสัยวาสนา

    หลวงปู่ฝั้นนี่ก็แน่ว่าจะเป็น ตอนสนทนาธรรมะนั่น ท่านเข้าช่องแล้ว พูดตรงๆ อย่างนี้นะ เราพูดตรงๆ อย่างนี้ นี่แหละภาษาธรรม เวลาท่านพูดของท่าน เราก็ฟัง ว่าจะคุยกับท่านโดยเฉพาะ ยังไม่ค่อยมีเวลา ท่านไม่ค่อยอยู่คนเดียวนะ ไม่เหมือนเรา เรานี่ใครมาศอกงัดๆ ถ้าว่าจะอยู่คนเดียว ใครมายุ่งไม่ได้นะ ท่านไม่มีอย่างนั้น มีแต่อาๆ เรื่อย จะคุยธรรมะเฉพาะไม่ได้สักที แต่มาจับเอาแย็บที่ท่านพูดออกมา ท่านเล่าเรื่องจิตของท่านให้ฟังๆ นั่น เข้าช่องแล้ว ตอนนั้นปี ๒๕๐๖ พอจำได้ ที่พอจะไปเผาศพท่านอาจารย์กงมา แล้วก็ไปแวะที่วัดภูธรพิทักษ์

    ท่านพักอยู่นั้น หมอเขาห้ามไม่ให้รับแขก ท่านไม่รับแขกแต่ท่านรับพระนั่นซี เวลาเราเข้าไป เราจะคุยธรรมะโดยเฉพาะ พระก็อยู่กับท่านเสีย เราเลยไม่ได้คุย จับได้แง่หนึ่ง จับได้จุดนี้เข้าช่องแล้วแน่ เข้าช่องต้องพุ่ง ให้ถอยไม่มี นับวันจะพุ่งอย่างเดียว ถ้าลงได้เข้านี้แล้วปั๊บ ชี้เลยต้องเข้าเรื่อยๆๆ เป็นอย่างนั้น นี่แหละพระอนาคามี ท่านเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นขั้นพระอนาคามี จึงเป็นขั้นที่แน่นอน ที่จะหลุดพ้นโดยถ่ายเดียวในไม่ช้า นี่ท่านเข้าช่องตรงนั้นแล้วจะพุ่งแหละ เราจึงแน่ใจว่า ถึงยังไม่เป็นก็จะเป็น อาจจะเป็นช้าก็ได้

    คืออัฐิกลายเป็นพระธาตุนี่ มีอยู่หลายประเภท หนึ่ง พอผู้สำเร็จแล้วไม่นานนิพพานไปเสีย นี่ก็อัฐิจะนานหน่อยกลายเป็นพระธาตุ ทีนี้อีกข้อหนึ่งที่มารับกันนี้ก็คือว่า ผู้ที่สำเร็จแล้วไม่นานนิพพานไปเสีย ท่านอาจอบรมมาเป็นลำดับลำดาเป็นเวลานานแล้ว พอสำเร็จแล้วนิพพานไปเสีย อัฐิก็กลายเป็นพระธาตุได้ง่ายเหมือนกัน เพราะหนุนกันมาอยู่แล้ว ต่างกันอย่างนี้ ถ้าผู้ที่อยู่นานๆ สำเร็จแล้วอยู่นานๆ อยู่ในธาตุขันธ์นี้ จิตที่บริสุทธิ์นี้ซักฟอกธาตุขันธ์โดยอัตโนมัติของมัน คือจิตที่บริสุทธิ์ครองขันธ์นี้ ขันธ์จะกลายเป็นขันธ์ละเอียดเข้าไปๆ เพราะฉะนั้นเวลาท่านมรณภาพไปแล้ว อัฐิจึงกลายเป็นพระธาตุ คือขันธ์ก็สะอาดเต็มที่ของขันธ์ ในส่วนสมมุติไปอย่างนี้แหละ มีหลายขั้นที่จะสำเร็จไปนี้


    ส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนาหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    เมื่อวันที่ ๒๙ เดือนกันยายน ปีพุทธศักราช ๒๕๔๓
    เทศน์อบรม ณ วัดป่าบ้านตาด ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี

    Luangta.Com -
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    เด่นคนละทาง

    ครูบาอาจารย์บางองค์เด่นคนละทางๆ ครูบาอาจารย์ทั้งหลายในสมัยปัจจุบันนี้ที่ท่านเพิ่งล่วงลับไป อย่างท่านอาจารย์ชอบกับเสือกับงูเด่นมาก เหมือนว่าเป็นเพื่อนสหายเดียวกัน หลวงปู่ผาง อันนี้พวกงูพวกนาค หลวงปู่ขาวนี่ช้าง เด่นคนละทางๆ หลวงปู่ฝั้นมีแปลกๆ

    ท่านอาจารยฝั้นนี่พวกเสือพวกอะไร พวกสัตว์ลึกลับที่มองไม่เห็นด้วยตา ท่านเด่นมากอยู่นะท่านอาจารย์ฝั้น ท่านเล่าให้ฟังเองท่านมาอยู่ปากช่อง ท่านอยู่ในย่านกลางดงไม่มีบ้านคนแต่ก่อน มีสองสามหลังคาเรือนพอบิณฑบาตได้ เขาก็นิมนต์ให้ท่านไปพักด้วย ท่านก็ไปพัก อยู่กลางดง หินดาน โล่ง ท่านไปพักอยู่นู้นแล้วออกมาบิณฑบาตกับทับเขา เขาอยู่ปลูกเป็นทับเป็นอะไรอย่างนั้นละ เขาไปทำอะไรอยู่ที่นั่น เวลาออกมาเสือยังไม่มา พอรับบิณฑบาตพอสมควรแล้วก็กลับมา ก็มาเห็นมันนอนอยู่บนหินดานหินลาดอะไรนี่ กลางแจ้ง มองไปอะไรเหลืองๆ ท่านว่าอย่างนั้นนะ มองไป เขานอนสบาย มองไปเห็นแต่เหลืองๆ ไม่มองเห็นลาย ส่วนใหญ่มองไปจะเห็นเหลืองมากกว่า ดำเลยไม่ปรากฏ เอ๊ นี่มันอะไร ท่านก็เดินไปเรื่อย พอไปใกล้ๆ ถึงรู้ว่าเสือ มันนอนตากแดดผิงแดด เสือโคร่งนะ ท่านเดินไปแล้วก็ว่า มึงมาอะไรที่นี่ มันร้องโฮกแล้วเปิดเลย วิ่งเข้าป่าเลย อย่างนั้นแหละ มึงมานอนอะไรที่นี่ไอ้นี่น่ะ

    แปลกๆ อันหนึ่งก็คือ ท่านไปพักอยู่ที่ ทางภาคอีสานเขาเรียกว่าผีกองกอย มันร้องกลางคืน เขาว่าถ้าผีชนิดนี้มาเยี่ยมบ่อยๆ คนมักตายบ่อยๆ มันกินคนอย่างลึกลับ เขาเรียกผีกองกอย ท่านก็ไปพักอยู่ที่นั่น คนที่มาพักเขาก็บอกว่า ที่แถวนี้มีผีกองกอย เขาเล่าให้ท่านฟัง ตอนนั้นดูว่าท่านมีพระไปด้วย เป็นสององค์กับท่าน แล้วก็มีตาปะขาวคนหนึ่งรวมเป็นสามไปพักอยู่นั้น พอสามทุ่มล่วงไปแล้ว คืออยู่ในป่ามันเหมือนดึกนะ เขาบอกว่าแถวนี้มีผีกองกอย ถ้าผีกองกอยเที่ยวไปแถวไหนแล้วคนมักจะเป็นไข้ป่วยแล้วตาย เขาว่าผีพวกนี้มันกินตับคน เขาเล่ากันไปอย่างนั้นแหละท่านก็ฟังไป จึงได้เห็นผีนี้ชัดเจน นั่นเห็นไหมล่ะ

    พอมันร้อง ตาปะขาวอยู่ที่นั่น ตรงนั้นละ สามทุ่มกว่าๆ ท่านกำลังนั่งภาวนาอยู่ เสียงกองกอยๆ มา ได้ยินชัดเจนเงียบๆ กลางคืน ที่เขาว่าเสียงกองกอยๆ มันเสียงอย่างนั้นจริงๆ เขาเรียกผีกองกอย พอมาถึงตาปะขาว ท่านก็วิตกถึงตาปะขาว กลัวมันจะมาทำไมตาปะขาวเพราะมันเป็นสัตว์ลึกลับ มองด้วยตาไม่เห็น พอมันมาได้จังหวะแล้วท่านก็กำหนดจิตดู ท่านพูดเองนะ โอ๋ย มันตัวเหมือนลิงท่านว่า มันเหมือนลิง พอจิตท่านส่งไป โอ๋ย มันกลัวมากที่สุดเลย พอตามันรับกับใจของท่าน เหมือนว่าตามันรับกับตาเราว่างั้นเถอะ แต่ตาเราเป็นตาใจ พอมองเห็นปั๊บวิ่งปรู๊ดเลย กลัวมากที่สุดเลย กลัวอย่างมากทีเดียว

    เราเห็นมัน จ้องดูอยู่นี่ พอมันแพล็บเข้ามามองเห็นเรานี้ปรู๊ดวิ่งเลย ตั้งแต่วันนั้นเงียบเลย โอ๋ ได้เห็นแล้วมันเหมือนลิง ท่านว่างั้น สัตว์ตัวนี้เหมือนลิง คือมันไม่ได้เป็นรูปวัตถุนะ รูปเป็นนามธรรมแต่เหมือนลิง ท่านว่างั้น ท่านอาจารย์ฝั้นท่านเล่าให้ฟัง ท่านรู้สึกพิสดารเกี่ยวกับพวกเปรตพวกผี พวกเทวบุตรเทวดา ท่านอาจารย์ฝั้นเด่นอยู่องค์หนึ่ง นั่นละเด่นไปคนละทางๆ บรรดาพระเจ้าพระสงฆ์ที่เป็นนักภาวนาด้วยกัน มีนิสัยวาสนาเด่นทางไหนก็เป็นไปทางนั้นๆ จะเป็นขึ้นมาเองรู้เอง

    ครูบาอาจารย์ที่เป็นนักภาวนา ท่านรู้ของท่านธรรมดาๆ แต่เรื่องของโลกมันกีดมันขวาง ท่านจึงไม่นำออกมาใช้ ไม่พูด พูดก็มีแต่การแนะนำสั่งสอนไปธรรมดาที่อยู่ในฐานะซึ่งควรจะสอนได้ แต่เรื่องภายในแล้วท่านไม่พูด เฉย นอกจากพวกเดียวกัน ถ้าพวกเดียวกันท่านพูดเสมอ ไปอยู่ที่นั่นมีอย่างนั้นๆ เช่นอย่างในถ้ำ มีผีมีเทวดารักษา ท่านรู้ แต่ท่านพูดในวงของท่านเองพวกนักภาวนากรรมฐานด้วยกัน คือใจนี้เป็นนักรู้ เมื่อเปิดออกๆ นิสัยวาสนาของใครจะเด่นทางไหนๆ มันจะรู้ของมันเห็นของมันไปตามนั้น จะไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับนิสัยวาสนา ไปคนละทิศละทาง


    ส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนาหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    เมื่อวันที่ ๒๐ เดือนธันวาคม ปีพุทธศักราช ๒๕๔๗
    เทศน์อบรม ณ สวนแสงธรรม ถ.พุทธมณฑลสาย ๓ กรุงเทพฯ

    Luangta.Com -
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    อัฐิของท่านอาจารย์ฝั้นเป็นพระธาตุ

    หลวงปู่ฝั้นเราพูดให้ฟังชัดๆ ที่เราแน่ใจต่อท่านว่าต้องเป็นพระธาตุนี่นะ คือท่านจะเข้าจุดแล้ว เวลาไปคุยธรรมะกัน พยายามหาเวลาจะเข้าไปคุยกับท่านโดยเฉพาะ เข้าไปคุยทีไรๆ มันก็หากมีอยู่นั้นละ เพราะนิสัยวาสนาต่างกัน หมอเขาไม่ให้รับแขก ท่านไม่รับแขกแต่ท่านรับพระ มันเลยไม่มีเวลา เราเข้าไปหาท่าน ท่านก็เลยเล่าให้ฟัง ไปเผาศพหลวงปู่มั่นมาแล้วท่านว่าท่านจะเป็นจะตายจริงๆ ท่านก็มากำหนดภาวนา ทีนี้มันจะไปท่านว่าอย่างนั้น พิจารณาปั๊บเข้าไปตรงนี้ ท่านว่าอย่างนั้น เราก็จับปุ๊บ นี่เห็นไหมมันมีสูงมีต่ำเมื่อไร มันนึกถึงครูบาอาจารย์นะ พอเข้าไปถึงจุดนั้นปั๊บ ทางนี้ขึ้นเลยทันที เหอ.ยังนอนตายอยู่นี้เหรอ นู่นนะฟังซิมันว่านะ ธรรมว่าให้ธรรมเป็นอะไรไป

    เราไม่ได้ว่าให้ครูบาอาจารย์ใช่ไหมล่ะ เราว่าให้ธรรมอยู่ในหัวใจครูบาอาจารย์ ท่านไปอยู่ตรงนั้น ทางนี้ดูอยู่ตลอดพิจารณาตลอด พอไปถึงนั้นท่านก็หยุดของท่าน เรียกว่าภูมิของท่านในระยะนั้นอยู่ตรงนั้น ทางนี้มันก็ออกรับกันซิ ยังนอนตายอยู่นี้เหรอ นี่มันเป็นในจิตนะ ถ้าหากว่าไม่มีใครเลยนี้จะเอากันตอนนั้นเลย ผางทันทีเลย นี่ละธรรมเป็นอย่างนั้น ครูบาอาจารย์ที่เป็นภูมินั้นเป็นสมมุติอันหนึ่ง หลักธรรมชาตินี้เป็นธรรมไม่มีสูงมีต่ำ เช่นท่านพูดออกวันนั้นทางนี้ยังขึ้น ก็เลยพูดให้ลูกศิษย์ลูกหาฟัง พอท่านพูดถึงจุดนั้นท่านไปอยู่ตรงนั้นเสีย ยังนอนตายอยู่นี้เหรอ นู้นนะ นึกว่าไปถึงไหนแล้ว เราว่าอย่างนั้นนะความหมาย

    แต่จากนั้นเป็นที่แน่ไปแล้ว เพราะฉะนั้นหลังจากนั้นมาตั้ง ๒๐ ปี ท่านก็มรณภาพ คือ พ.ศ. ๒๕๒๐ ปีท่านมรณภาพ ปี พ.ศ.๒๕๐๖ เราไปเผาศพท่านอาจารย์กงมา นั่นละเข้าไปแวะท่านปี พ.ศ. ๒๕๐๖ ท่านก็เล่าเรื่องภูมิธรรมภูมิจิตให้เราฟัง เพราะเราพยายามจะเข้าหาท่านทีไร ท่านไม่รับแขกแต่ท่านรับพระอยู่ตลอด มันไม่มีเวลาละซิ ท่านเลยเล่าเรื่องของท่านออกมาๆ เราก็จับเอาจนได้ ยังเสียใจอยู่ ถ้าได้แย็บออกสักนิดหนึ่งก็จะได้ประโยชน์มากมาย พอไปถึงที่นั่น มันกระเทือนใจมาก ความหมายว่าอย่างนั้นนะ พอท่านไปพูดถึงนั้นท่านตายใจแล้วนี่ ทางนี้ก็ขึ้นรับ ฮึ ยังนอนตายอยู่นี้เหรอนึกว่าไปถึงไหนแล้ว แต่จากนั้นไปแล้วภูมิจิตของท่านจะดิ่งแล้วเราก็รู้แล้วนี่นะ ทีนี้ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๖ มาถึง ๒๕๒๐ ก็หลายปี

    เพราะฉะนั้นเราถึงแน่ใจ แต่ก็มีพยานแล้วนะ พอท่านมรณภาพไปนาน อัฐิของท่านเราเป็นประธานกรรมการที่จะเก็บรักษาจ่ายไปที่ไหนๆ เราเป็นคนไปตรวจไปดู เสร็จแล้วเราก็หาอุบายวิธีการเพราะเป็นประธานนี่ว่าไง อันนี้เอาไว้บรรจุนั้นๆ อันนี้ไม่เอา เราทำท่าไม่เอา อันนี้จำเป็นมากกว่า คือความหมายว่าจะแจกลูกศิษย์ เราก็บอกพระ อันนี้ไม่เอาแหละ โอ๋ย รุมเลย นี่ละที่เขาเอาไปแล้วกลายเป็นพระธาตุอยู่ในบ้านของเขา เขาก็มาเล่าให้ฟัง ว่าอัฐิของท่านอาจารย์ฝั้นเป็นพระธาตุแล้ว เรายอมรับทันที นี่ละเรื่องราวเป็นอย่างนั้น จึงหาอุบายให้ลูกศิษย์ ก็เราเป็นประธานกรรมการนี่วะ อันไหนสมควรๆ เราก็แยกออก อันนี้ไม่จำเป็นแล้ว พอว่าไม่จำเป็นแล้วลูกศิษย์รุมเลยหมดเลย เขาได้อันนี้ละ ที่เอามาอวดเราว่าเป็นพระธาตุเรียบร้อยแล้ว เป็นมากต่อมากนี่ก็อย่างนั้นแหละ ถ้าเข้าตรงนั้นแล้วไม่เป็นอื่น ช้ากับเร็วเท่านั้นเอง นี่ละองค์หนึ่ง


    ส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนาหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    เมื่อวันที่ ๑๖ เดือนกุมภาพันธ์ ปีพุทธศักราช ๒๕๔๕
    เทศน์อบรม ณ วัดป่าบ้านตาด ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี

    Luangta.Com -
     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    เจดีย์ท่านอาจารย์ฝั้น

    ท่านอาจารย์ฝั้นนี้ชุ่มเย็นมาก ท่านอาจารย์ฝั้นเป็นพระที่ชุ่มเย็นมากทีเดียว เป็นฝ่ายเรานะโจมตีท่าน ท่านไม่ว่าอะไรเราแหละ เห็นเรามานี้ ท่านกำลังแจกเหรียญอะไรให้เขาอยู่ พอเห็นเราไป หยุด จะพูดธรรมะ ปิดทันทีเลย ไม่ให้เราเห็นนะ จะถูกโจมตีใช่ไหมล่ะ แจกของขลังน่ะ ขลังตั้งแต่ภายนอกภายในไม่ได้ขลัง นั่น จะเอากันตรงนั้น ท่านเห็นเรา มีแต่เราละเป็นฝ่ายโจมตี ไปหาครูบาอาจารย์องค์ไหนก็เหมือนกัน เพราะเรามันนิสัยอย่างนี้ ว่ากล้าก็กล้าจริงๆ กล้าโดยอรรถโดยธรรม กลัวโดยอรรถโดยธรรมละเรา

    บรรดาครูบาอาจารย์ทั้งหลายก็มีแต่เราละเป็นฝ่ายโจมตี ค้านไม่ได้นะ เพราะฉะนั้นท่านอาจารย์ฝั้นท่านกำลังแจกของขลังเหรียญอะไรๆ พอเห็นเราโผล่เข้ามานี้ หยุดๆ จะพูดธรรมะ หยุดทันทีเลย ปิดปุ๊บเลยทันที ไม่งั้นเอาจริงๆ นะนั่น นี่หรือของขลัง จะซัดกันเลยนะนั่น เห็นท่านเราก็ไม่ว่า แต่ท่านเป็นฝ่ายระวังเรา เราเป็นฝ่ายโจมตีท่าน กับเรานี้สนิทกันมากนะ ท่านอาจารย์ฝั้น ท่านกลัวเราก็จริงแต่กลัวเป็นธรรมนะ เพราะเราเอาจริงนี่ กำลังแจกของขลังอยู่ เหรียญนั้นเหรียญนี้ แจกนั้นแจกนี้ พอเห็นเราโผล่เข้าไป หยุดๆ จะพูดธรรมะ หยุดทันทีเลย ไม่ให้ออกเลย ไม่งั้นจะถูกโจมตี เราก็ไม่ว่าอะไร รู้แล้วว่าท่านระวัง ท่านอาจารย์ฝั้น

    แต่กับเรานี่เป็นยังไงไม่รู้นะ เจดีย์ของท่านก็เรานั่นละสร้างให้ ๑๒ ล้านนะ เจดีย์ของท่านอาจารย์ฝั้น เราละเป็นคนสร้างให้ พอท่านมรณภาพก็ประกาศลั่นกันขึ้นเลยว่าจะสร้างเจดีย์ เราก็ประกาศทันทีเลยว่าสร้างก็สร้าง แต่อย่าให้เราเข้าไปเกี่ยวข้องนะ เราทำมีแต่ทำให้หลวงปู่มั่นเรียบร้อยแล้ว นี่เราแก่แล้ว เราไม่เป็นประธานละ เขามาให้เราไปเกี่ยวข้องก็คือเป็นประธาน เป็นประธานมันหนักมาก ไม่ใช่เล่นๆ ทีนี้ทำไงมันก็ไม่ขึ้นน่ะซี ฟาดเสีย ๓ ปี นู่นน่ะเห็นไหมล่ะ ประชุมกันแล้วประชุมกันเล่า ปีที่สามนี้มาประชุมกันมีคณะกรรมการมา ๕ คน หมดหวังละ

    ก็ท่านสุวัจน์กับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้กำกับการตำรวจสกลนครมาเลย กับพวกญาติโยมผู้มีเกียรติแห่กันมาเลย ไปกุฏิเรา เพราะเราปัดแล้วตั้งแต่ต้น เราไม่เอา มาก็มาพูดเรื่องสุดๆ สิ้นๆ ให้ฟัง แล้วเราเคารพท่านอาจารย์ฝั้น เคารพมากนะ ทั้งรักทั้งเคารพ แต่โจมตีเป็นฝ่ายเรา รักและเคารพ ท่านก็ระวัง แต่ท่านก็เมตตาเรามากนะ ท่านอาจารย์ฝั้นน่ะ ท่านเมตตาเรามากอยู่ ทีนี้ถึงวาระนั้นสุดท้าย ๓ ปียังไม่ขึ้น มีคณะกรรมการมาประชุมเพียง ๕ คน เป็นอันว่าล้มเหลว ท่านสุวัจน์นั่นละเป็นหัวหน้า ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้กำกับการตำรวจพากันมา พวกประชาชนญาติโยมผู้มีเกียรติละมา แห่กันมา ก็มาพูดเรื่องความสุดๆ สิ้นๆ เรื่องเจดีย์ท่านอาจารย์ฝั้นให้ฟัง แล้วก็ไม่มีที่ไหน ก็มองเห็นแต่ท่านอาจารย์เท่านั้นละ ถ้าท่านอาจารย์หยุดเสียเลยอย่างเดียวแล้วก็เป็นอันว่าล้มไปเลย

    ทีนี้ความเคารพท่านก็เต็มหัวใจเรา ท่านอาจารย์ฝั้นเราเคารพมากนะ แต่โจมตีเป็นฝ่ายเราโจมตีท่าน แล้วท่านก็เมตตาเรามากอยู่นะ แปลกอยู่ มาเล่าให้ฟังสุดสิ้นแล้ว ไม่มีทางแล้ว ตกลงเราก็เลยรับเป็นประธานให้ พอเรารับเท่านั้น ออกไปก็ไปประกาศกันลั่นเลย ขึ้นทันทีเลย เจดีย์ ๑๒ ล้านนะ เราหาเงินให้ทั้งหมดเลย เจดีย์ท่านอาจารย์ฝั้น ๑๒ ล้าน เราเป็นประธาน แล้วก็หาเงินให้ด้วย ๑๒ ล้าน พอเสร็จเรียบร้อยแล้ว เงิน ๑๒ ล้านเศษไปแปดแสน ยังเหลือแปดแสน แปดแสนนี่ก็มอบให้วัดอุดมสมพร วัดอุดมสมพรนี่รับเป็นรับตายอยู่นี้หมดละ บรรดาเรื่องของท่านอาจารย์ฝั้นจะอยู่ที่วัดอุดมสมพร อันนี้เงินมันเหลืออยู่สร้างเจดีย์แปดแสน มอบให้วัดอุดมสมพรเลย คณะกรรมการว่าไง พวกคณะกรรมการก็ยอมรับตามเรา ก็มอบเงินแปดแสนให้วัดอุดมสมพร ๑๒ ล้านเป็นเจดีย์ทั้งหมด แล้วก็เรียบร้อยมาเลยอย่างงั้นแหละ

    ทีนี้เวลาท่านมรณภาพ ท่านเกี่ยวกับเราตั้งแต่วันท่านมรณภาพนะ ท่านอาจารย์ฝั้น รู้สึกเมตตามาเกี่ยวข้องกับเรา เราไปอยู่ที่วัดดงศรีชมภู คือเราจะออกเดินทาง อย่างพรุ่งนี้ละ กลางคืนนี่ท่านเสียแล้ว พอท่านเสียก็ฝนตกทั้งคืนละวันนั้น เราจะออกเดินทางไป ขัดข้องทั้งหมดเลย นี่อำนาจเมตตาธรรมของท่านมาเกี่ยวโยงกับเรา ให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราจะออกเดินทางขัดไปหมดเลย จนกระทั่งเราได้ออกพูดเสียงลั่นโก้กขึ้นมาเลย วันนี้จะมีเหตุการณ์อะไรแน่นอนนะคอยดู สะเทือนใจมา ๓ หน นี้หนที่สาม ทีนี้พูดได้ละคอยดูก็แล้วกัน อะไรมันขัดไปหมดเลย เรื่องของเราที่จะกลับวัดอุดมสมพร

    เริ่มแรกตั้งแต่ไปรถเขา มันพลิกตาลปัตรไปเลย จะว่าเป็นธรรมไม่เป็นธรรมก็ตาม แต่ความดลบันดาลจิตใจของท่านมาเกี่ยวกับเรา เราจะมาวันนั้นก็รถติดขัดไปหมดเลย รถที่จะไปรับเราไปไม่ได้ น้ำท่วมหมดตามทุ่งนา ตกลงเขาก็ต้องเดินทางไปเองไปหาเรา เดินทางไปจากบ้านนาขามไปวัด เดินทางไปเอง คือรถไปไม่ได้

    นั่นก็ท่านทุยเป็นผู้จัดการให้เราทุกอย่าง ขัดไปหมดเลย มันแปลกอยู่นะ รถที่จะมารับท่านพลิกตาลปัตร ท่านทุยไปสั่งว่า รถที่จะมารับท่านอาจารย์วันนี้เป็นรถเก๋งนะ มานี้จะเข้าไม่ได้รถเก๋ง ข้ามทุ่งนาไม่ได้ ให้เอารถที่บ้านเราว่างั้นนะ ท่านไปบอกเองท่านทุย ที่บ้านเราคือบ้านโยมอุปัฏฐากท่าน มีรถอยู่สองคัน ให้เอารถที่บ้านเราไปรับท่านอาจารย์มาขึ้นรถเก๋งคันนี้กลับอุดรว่างั้นนะ ท่านทุยสั่งเรียบร้อยแล้ว พอรถมาก็พลิกตาลปัตร บอกว่ารถมานี้ให้รออยู่นี้ รถเก๋งมาก็ให้รออยู่นี้ ท่านจะเดินทางมาเอง ดูซิน่ะ

    บ้านที่ท่านทุยไปสั่ง เขามีรถอยู่สองคัน ให้เอารถที่บ้านไปรับท่านอาจารย์มา เพราะรถนี่มันบุกน้ำได้ว่างั้นเถอะ ครั้นมานี้ก็บอกรถคันนี้ว่าท่านอาจารย์จะเดินทางมาเอง ดูซิน่ะเดินทางมาเอง แน่ะมันขัดขนาดไหน ตกลงก็เลยไม่ได้ จนสายคนขับรถเก๋งเขาก็เดินทางไปหาเรา เขาดูทางไป พอเล่าให้ฟังอย่างนั้นแล้ว อ้าว ทำไมเป็นอย่างนี้ ก็เราสั่งอย่างนั้นๆ ทำไมเป็นอย่างนี้ ก็ไม่ทราบเหมือนกันมันหากเป็นอย่างนี้ ตายๆ ท่านทุยก็เดินจีวรปลิวมาเลยละ จะมาเอารถที่ท่านสั่งไว้เรียบร้อยแล้ว มันไม่ได้อย่างนั้นซิ

    ครั้นมาบ้านนี่แล้วรถในบ้านไม่มีสักคันเดียว จนกระทั่งบ่ายสองโมงรถจึงไปจากปากคาด รถสองแถวคันหนึ่ง มาก็ลากเอารถสองแถวไปรับเรา นี่ก็คิดดูซิ ตั้งบ่ายสองโมงแล้ว เราจะมาอุดรมาไม่ได้รถติดขัด ครั้นไม่ได้รถนี่แล้วท่านกลับไปอีก พอมาถึงบ้านนาขาม รอรถอีกตั้งบ่ายสองโมงไม่มีรถคันไหนเข้ามาเลย รถที่ว่าเหลวไปหมดเลยจะทำไง พอบ่ายสองโมงมีรถสองแถวคันหนึ่งเข้าไป แต่เข้าไปแล้วติดเครื่องยังไงก็ไม่ติด นั่นเห็นไหมล่ะ เห็นชัดเจนมาก เราเป็นคนนั่งรถอยู่ ติดเครื่องยังไงมันก็ไม่ติด ดับปุ๊บๆ อยู่อย่างนั้น มันสะเทือนใจเรื่อย ถึงหนที่สามเลยพูดป้างออกมา วันนี้จะมีเหตุการณ์นะ มีแน่ๆ กระเทือนใจถึงสามหนแล้ว คอยฟังก็แล้วกันนะวันนี้จะมีเหตุละ

    รถนี่มันไปไม่ได้อย่างนี้ ขึ้นนั่งรถแล้วติดเครื่องไม่ติด พอดีท่านเอียนก็ไปจากอุดร ไปฉันจังหันบ้านตังล้ง ได้ทราบข่าวท่านอาจารย์ฝั้นมรณภาพจากนั้นท่านเอียนก็ไปหาเรา นี่ละรอข่าวท่านเอียนเอาข่าวท่านอาจารย์ฝั้นไปหาเรา เห็นไหมติดขัดตลอด พอเราพูดอย่างนั้นแล้วมันจะมีเหตุอะไรแน่นอนวันนี้คอยดูก็แล้วกัน พอท่านเอียนได้ข่าวนี้เรียบร้อยแล้วก็ไป เอาข่าวนี้ไปหาเรา เราต้องรอข่าวนี้ตลอด นั่นน่ะอำนาจท่านอาจารย์ฝั้นนะเกี่ยวกับเรา พูดง่ายๆ ว่าเกี่ยวกับเรา จะไม่ให้เรากลับอุดร จะให้ไปอุดมสมพรก่อนท่า

    พอท่านเอียนไปจากอุดร ท่านลงรถปั๊บวิ่งมาหาเรา รถกำลังจะไปติดเครื่องไม่ได้อยู่นั่นละ พอท่านเอียนวิ่งมาปั๊บก็มากระซิบว่า ท่านอาจารย์ฝั้นเสียแล้วตั้งแต่เมื่อวาน ดูว่า ๖ โมง ๕๐ นาที ท่านเสียแล้วเมื่อวานนี้ นี่ละเรื่องราว พอว่างั้น เออ เอาละเข้าใจ เอาไม่ต้องติดเครื่องก็ได้ที่นี่เราว่างั้นเลย เหยียบคันเร่งเลยเราบอก ก็มันมีเรื่องอันเดียวนี่เข้าใจไหม บอกว่าไม่ต้องติดเครื่องรถนี่น่ะ เหยียบคันเร่งไปเลย พอติดเครื่องปุ๊บผึงไปเลยจริงๆ ออกไปนี้ นู่นฟาดไปวัดอุดมสมพร แทนที่จะมาอุดรไม่มานะ ไปวัดอุดมสมพร ทางนู้นก็รอเราอยู่แล้วเอาอีกแหละ นั่นละเรื่องราวท่านอาจารย์ฝั้น พลิกตาลปัตรกับเรานะ เราเลยต้องไปวัดอุดมสมพร ทางโน้นก็รอเราอยู่แล้ว

    ไปเราก็สั่งเสียเรื่องนั้นเรื่องนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว เราถึงได้มาจากวัดอุดมสมพรตรงมาอุดรทีเดียว เราไปวัดหนองกอง จะไปทอดผ้าป่าไปไม่ได้ ท่านอาจารย์ฝั้นขวางตลอดเลย เราเลยว่าจะเกิดเหตุอะไรวันนี้คอยดูก็แล้วกัน เป็นจริงๆ พอทราบว่าท่านอาจารย์ฝั้นเสียแล้วเมื่อวานเวลาเท่านั้น เออ ไปได้ รถนี้ไม่ต้องติดเครื่อง เหยียบคันเร่งเลยคราวนี้ ไปได้เลย ติดเครื่องปึ๊งก็ไปเลย ก็เลยถาม รถนั้นมันเป็นยังไงแต่ก่อน ก็ดีๆ ธรรมดา แต่วันนี้เป็นอย่างนี้ นั่นละเรื่องราวท่านอาจารย์ฝั้นน่ะ

    จึงได้ไปโน้นกลับมาจึงได้ไปหนองกอง จากนั้นแล้วก็เป็นภาระของเราทั้งหมดเลย สุดท้ายสร้างเจดีย์ขึ้นมาก็เป็นเราหาเงินให้ด้วย ๑๒ ล้าน เจดีย์ก็เราเป็นประธาน หาที่ไหนไม่ได้ๆ สุดท้ายมีผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้กำกับการตำรวจและประชาชนชาวสกลนครแห่ไปหาเรา ไปพูดถึงเรื่องจะล้มเหลวเรื่องการสร้างเจดีย์ เราเคารพท่านมาก ตกลงเราก็เลยรับให้ พอรับให้ปั๊บก็ขึ้นเลยทันที เป็นอย่างนั้นละ เรื่องท่านอาจารย์ฝั้นเกี่ยวข้องกับเรานี้เกี่ยวจริงๆ เกี่ยวอย่างเห็นได้ชัดเลย

    รถติดเครื่องจะติดไม่ติด อะไรมันก็ไม่ติด จนร้องโก้กขึ้นเลยมันจะมีเรื่องวันนี้คอยดู พอทราบข่าวท่านอาจารย์ฝั้น ท่านเอียนไปเล่าให้ฟังเท่านั้น เอ้า ทีนี้เหยียบคันเร่งเลยไม่ต้องติดเครื่อง ไปเลย เป็นอย่างนั้นนะ เรื่องธรรมใครคาดไม่ถึง อย่าไปคาดนะเรื่องธรรม ยกตัวอย่างท่านอาจารย์ฝั้นกับเรานี่แหละ คือท่านเกี่ยวข้องกับเรา ท่านเมตตาให้เราเป็นภาระ ความหมายว่างั้น พอทราบเรื่องของท่านแล้วก็เป็นเราทั้งหมด จนกระทั่งก่อเจดงเจดีย์ เราทำให้ท่านทั้งหมดเลย นี่พูดถึงเรื่องธรรมบันดาล ใครไปคาดไม่ได้นะคาดธรรม ยกตัวอย่างอย่างท่านอาจารย์ฝั้นเสียนี่ อำนาจธรรมของท่านอำนาจใจของท่านมาเกี่ยวข้องกับเรา บังคับไว้หมด ไปไม่ได้เลย

    พอทราบเรื่องของท่านเท่านั้น เอ้าที่นี่ไม่ต้องติดเครื่อง เหยียบคันเร่งเลย ปึ๋งเลยไปเลย ก็อย่างนั้นแหละ มันไปไม่ได้ ติดแล้วมันดับๆ อยู่งั้น มันไปไม่ได้ พอทราบท่านอาจารย์ฝั้นเท่านั้นปั๊บ เอ้า เหยียบคันเร่งเลยที่นี่ไม่ต้องติดเครื่อง เราว่างั้น มันมีอันเดียวนี้ละที่เป็นเหตุ ที่เราบอกว่าวันนี้จะมีเหตุอะไรแน่นอนคอยฟังนะ มีแล้วนี่น่ะ ทราบแล้วที่นี่ เอ้าเหยียบคันเร่งเลยไม่ต้องติดเครื่อง พอติดเครื่องปึ๊งก็ไปเลย อย่างนั้นแหละอำนาจธรรมของท่าน

    ท่านอาจารย์ฝั้นท่านมีนิสัยทางด้านจิตตานุภาพนะ อานุภาพของใจท่านเก่งมาก รถวิ่งไปนี้ให้หยุดหยุดเลย ไม่ให้ไปก็ไปไม่ได้แหละท่านอาจารย์ฝั้น


    ส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนาหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    เมื่อวันที่ ๒๖ เดือนพฤศจิกายน ปีพุทธศักราช ๒๕๕๐
    เทศน์อบรม ณ สวนแสงธรรม ถ.พุทธมณฑลสาย ๓ กรุงเทพฯ

    Luangta.Com -
     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    “ทิพยอำนาจ” แห่งพระอริยเถระ บันทึกโดย หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ

    [​IMG]
    หลวงปู่ฝั้น อาจาโร


    [​IMG]
    หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ


    มีเรื่องเกี่ยวกับ “หลวงปู่ฝั้น อาจาโร” วัดป่าอุดมสมพร จ.สกลนคร บันทึกโดย หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ เป็นเรื่องหนึ่งที่กล่าวขวัญกันมากในบรรดาศิษย์ขององค์ท่าน เรื่องมีอยู่ว่า

    ในระหว่างที่หลวงปู่ฝั้น อาจาโร พำนักอยู่ในถ้ำพระบนภูวัว ครั้งนั้นท่านได้ประสบอุบัติเหตุที่นับว่าร้ายแรงที่สุดในชีวิตของท่าน กล่าวคือ วันหนึ่งได้มีญาติโยมบ้านดอนเสียดและบ้านโสกก่ามพากันขึ้นไปนมัสการ หลวงปู่จึงได้ขอให้ญาติโยมพาชมภูมิประเทศบนภูวัว และเพื่อจะแสวงหาสมุนไพรบางชนิดด้วย เมื่อฉันจังหันเสร็จก็ออกเดินทาง มีโยมสองคนเดินนำหน้า หลวงปู่ฝั้นและพระภิกษุเดินตามหลัง ส่วนสามเณรนั้นท่านให้เฝ้าอยู่ที่พัก

    ทั้งหมดเดินขึ้นไปตามลำห้วยบางบาด พอถึงลานหินที่ลาดชันขึ้นไปข้างบน ระยะทางยาวประมาณสิบกว่าวา บนลานมีน้ำไหลรินและมีตะไคร่หินขึ้นอยู่ตามทางชันนั้นโดยตลอด โยมสองคนเดินนำหน้าไปก่อน หลวงปู่ท่านเดินตามขึ้นไปและตามด้วยพระภิกษุเดินรั้งท้าย โยมทั้งสองไต่ผ่านลานหินอันชันลื่นขึ้นไปได้แล้ว ส่วนหลวงปู่ก็ไต่จวนจะถึงข้างบนอยู่แล้ว กะว่าเหลือเพียงก้าวเดียวก็จะพ้นไปได้

    พอท่านก้าวข้ามร่องน้ำ พลันท่านก็ลื่นล้มทั้งยืน ศีรษะฟาดกับลานหินดังสนั่น เสียงเหมือนมะพร้าวถูกทุบ จากนั้นก็ลื่นไถลลงมาตามลานหิน เอาศีรษะลงมาก่อน

    พระลูกศิษย์ที่เดินรั้งท้ายตกใจตัวสั่น ยืนนิ่งอยู่กับที่ จะเข้าไปช่วยอะไรก็ไม่ได้ เพราะท่านเองก็ประคองตัวแทบไม่อยู่เหมือนกัน ได้แต่ยืนตัวสั่น มองดูพระอาจารย์ไถลผ่านหน้าไปด้วยความตกตะลึง

    ร่างของหลวงปู่ลื่นไถลไปได้ประมาณหกวา ก็ไปตกหลุมหินซึ่งเป็นแอ่งแห่งหนึ่ง แต่ด้วยความลื่นของตะไคร่ ท่านจึงไม่ได้หยุดอยู่เพียงเท่านั้น กลับหมุนตัวในลักษณะเอาศีรษะขึ้นแล้วลื่นไถลลงต่อไปอีก

    ข้างล่างมีช่องหินใหญ่ ครือๆ กับตัวคน น้ำที่ไหลลงมาจากหน้าผาไปรวมหล่นอยู่ในช่องนั้น กลายเป็นหลุมน้ำวน หากท่านไถลไปถึงช่องนั้น แล้วไหลพรวดลงในช่องหิน คงถึงแก่มรณภาพโดยมิต้องสงสัย

    เหลือเชื่อ คงเป็นด้วยอำนาจบุญ ก่อนร่างท่านจะถึงช่องหิน หลวงปู่กลับตั้งหลักลุกขึ้นได้

    แล้วท่านก็เดินขึ้นไปตามทางเดิมที่ร่างท่านร่วงหล่นลงมาด้วยท่าทางปรกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พระลูกศิษย์ร้องขอให้ท่านอ้อมไปขึ้นทางอื่น แต่ท่านไม่ยอมและบอกว่า เมื่อมันตกมาตรงนี้ ก็ต้องขึ้นไปตรงนี้ให้ได้

    หลวงปู่ฝั้นเดินขึ้นไปตามทางเดิมด้วยความง่ายดายอย่างเหลือเชื่อ น่าอัศจรรย์ก็ตรงที่ว่า ร่างกายของหลวงปู่มิได้ปรากฏบาดแผลให้เห็นแม้แต่เล็กน้อย ถึงจะมีรอยถลอกบนข้อศอกก็เพียงรอยเท่าหัวไม้ขีดไฟ ไม่น่าจะเรียกว่าบาดแผล

    ตกเย็น เมื่อกลับมาถึงที่พัก หลังจากสรงน้ำเสร็จแล้ว หลวงปู่ก็ออกเดินจงกรมตามปรกติ ตกค่ำ พระภิกษุได้เข้าไปถวายการปฏิบัติ แล้วถามอาการของท่านว่า ขณะที่ศีรษะท่านกระแทกหินดังสนั่นนั้น ท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง

    หลวงปู่ตอบว่า “อาการก็เหมือนสำลีตกลงบนหินนั่นแหละ”

    พระภิกษุรูปนั้น ขณะนี้ยังมีชีวิตอยู่ มีความเห็นว่า ในขณะที่ท่านกำลังลื่นล้ม ก่อนศีรษะฟาดลาดหินนั้น ท่านสามารถกำหนดจิตได้ในชั่วพริบตา ทำให้ตัวท่านเบาได้ดังสำลีโดยฉับพลัน

    เพราะท่านเคยเทศน์สั่งสอนเสมอว่า จิตของผู้ที่ฝึกดีแล้ว ย่อมมีสติพร้อมอยู่ทุกอิริยาบถ ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง หรือนอน ถึงแม้จะหลับอยู่ ก็หลับด้วยการพักผ่อนในสมาธิ

    http://www.dhammajak.net
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หลวงตามหาบัว : “พระธรรมเจดีย์”

    [​IMG]
    พระธรรมเจดีย์ (หลวงปู่จูม พนฺธุโล) วัดโพธิสมภรณ์ จ.อุดรธานี
    พระอุปัชฌาย์ของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน


    [​IMG]
    หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี



    เจ้าคุณอุปัชฌาย์

    ส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนาหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    เมื่อวันที่ ๘ เดือนสิงหาคม ปีพุทธศักราช ๒๕๔๗
    เทศน์อบรม ณ วัดป่าบ้านตาด ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี

    แต่ก่อนท่านเจ้าคุณอุปัชฌาย์ท่านยังมีชีวิตอยู่ที่วัดโพธิฯ เราต้องไปพักค้างที่วัดโพธิฯ บ่อยๆ เราไม่ไปท่านก็ให้พระมาตามเอาเราไปที่วัดโพธิฯ ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ตอนนั้นที่ท่านเสียอายุท่านก็ ๗๕ ท่านเป็นชั้นธรรม ธรรมเจดีย์ ตั้งแต่ท่านมีชีวิตอยู่นี้พระกรรมฐานมาพักวัดโพธิฯ เรื่อยๆ เพราะท่านเมตตาติดต่อเกี่ยวข้องกับกรรมฐานเรื่อยมา ท่านเองก็เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น สำคัญตรงนี้นะ วัดไหนๆ มาค้างที่นั่นแหละ อย่างท่านอาจารย์ฝั้นอย่างนี้ อยู่สกลนครก็เข้ามาค้าง ท่านอาจารย์ขาว ท่านอาจารย์อ่อน เราไปอยู่เรื่อย แล้วยิ่งมีงานในวัดโพธิฯ ด้วยแล้วกรรมฐานยิ่งมาหมดเลย ท่านเอามาจนหมด

    ท่านมีความเคารพเลื่อมใสและสนใจปฏิบัติด้านธรรมะกรรมฐานตลอดมา นั่งปั๊บลงนี้ไม่มีเรื่องโลกเลย ตั้งแต่ขณะนั่งจนกระทั่งลุกจากท่าน มีแต่เรื่องธรรมล้วนๆ ธรรมก็เป็นธรรมปฏิบัติด้วย เพราะท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น พูดตั้งแต่เรื่องอรรถเรื่องธรรม ท่านเป็นเจ้าคณะภาค แต่เวลาไปนั้นท่านไม่สนใจ พูดแต่เรื่องธรรมปฏิบัติล้วนๆ ท่านก็บอกตรงๆ เลยว่า ที่เป็นเจ้าคณะภาคอยู่นี้เป็นเพื่อให้ความร่มเย็นแก่วงกรรมฐาน ท่านพูดตรงๆ เลย ไม่ให้มีใครมารังแก ท่านว่าอย่างนี้ เมื่อท่านเป็นเจ้าคณะอยู่นี้ท่านเป็นผู้ใหญ่ครอบไปหมด ไม่มีใครมารังแกกรรมฐาน ท่านว่า แต่ธรรมดาก็ไม่มีใครรังแกแหละ แต่ท่านก็พูดของท่านอย่างนั้น

    นั่งปั๊บนี่พูดตั้งแต่เรื่องภาคปฏิบัติ เรื่องป่านั้นเขานี้ ท่านเคยไปเที่ยวมาพอแล้วนี่นะ ภาวนาดีไม่ดีพระกรรมฐานสู้ท่านไม่ได้ ไปบิณฑบาตปั๊บกลับมานี้ วางบาตรแล้วขึ้นไปไหว้พระแล้วนั่งภาวนาก่อน จนกระทั่งได้เวลาแล้วลงมาฉัน นี่ปรกติท่าน ฉันแล้วถ้าไม่มีแขกคนท่านก็ลงไปทำวัตรเช้า พอกลับมาท่านก็ภาวนาแล้วก็พักตอนกลางวัน พอตอนบ่ายท่านก็เดินจงกรมอยู่ชั้นบน รับแขกตอนประมาณบ่ายโมงท่านถึงจะลงมา นี้เป็นกิจวัตรของท่านประจำ พอตกกลางคืนก็เหมือนกัน ถ้าไม่มีธุระรับแขกรับคน ๒ ทุ่มท่านขึ้นแล้ว ขึ้นไปไหว้พระ นั่งภาวนา เดินจงกรม เราไปได้ยินเสียงกึ๊กๆ อยู่ข้างบน ท่านเดินจงกรม นี้เป็นประจำ

    ท่านบอกว่าท่านนอนน้อยมาก เวลานอกนั้นเป็นเวลาเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาทั้งนั้น ฟังซิน่ะ พระกรรมฐานยังสู้ท่านไม่ได้ ท่านสนใจจริงๆ ภาคปฏิบัติแต่ไหนแต่ไรมา เราก็ได้ไปดู เขาเอาศพของท่าน เปิดโกศออก ดูทุกสัดทุกส่วนขาวทีเดียว เขาบอกว่านี้เป็นองค์ที่สี่ที่ไม่มีกลิ่น คือเอาธูปเอาอะไรมา เวลาเปิดออกแล้วไม่มีกลิ่นเลย ธรรมดาๆ พวกมาจากสำนักพระราชวังเขามาจัดงานศพท่าน เขาบอกว่านี้เป็นองค์ที่สี่ ที่ตายแล้วไม่เน่าไม่เหม็น เป็นปรกติอยู่อย่างนี้ นี้เป็นองค์ที่สี่

    ท่านสนใจธรรมปฏิบัติตลอดเลยนะ เพราะท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นมาตั้งแต่อายุ ๑๒ ปี หลวงปู่มั่นแหละเล่าให้ฟังว่า เณรจูมนี่ต่อไปมันจะได้เป็นผู้ใหญ่นะ ดูหูมันกางๆ ต่อไปจะได้เป็นผู้ใหญ่ เอาไปเรียนหนังสือเสียก่อน เลยไปฝากที่วัดเทพศิรินทร์ สอบแล้วสอบเล่า ตกแล้วตกเล่า เรียกกันว่า มหาจูมหนังสือเน่า สอบเปรียญไม่ได้สักที จากนั้นก็มาเป็นพระครู แล้วมาเป็นเจ้าคณะภาคอยู่นี้ตลอดมา ท่านสนใจกับครูบาอาจารย์ หลวงปู่มั่นอยู่ที่ไหน แต่ก่อนไม่มีรถมีราท่านเดินเอานะ บ้านผือท่านก็ไป หลวงปู่มั่นอยู่ที่ไหนท่านจะไป หนองผือท่านไปปีละสองครั้ง ออกพรรษาแล้วหนึ่ง และเดือนพฤษภาหนึ่ง ท่านเดินเข้าไป ท่านสนใจมาก

    ไปนั่งปั๊บนี่ไม่มีเรื่องโลก เรื่องการปกครอง เรื่องปริยัติ ไม่มีเลย มีแต่ปฏิบัติ ภาคปฏิบัติล้วนๆ พูดเรื่องจิตตภาวนา ท่านหนักแน่นมากทีเดียวทางด้านธรรมปฏิบัติ หนักแน่นจนวาระสุดท้าย ว่าเป็นพระปริยัติก็มีแต่ชื่อเฉยๆ ท่านบอกว่าท่านเป็นเจ้าคณะภาคไว้นี้เพื่อให้ความร่มเย็นแก่วงกรรมฐานไม่ให้มารังแก ก็ไม่มีใครรังแกแหละ ท่านเป็นผู้ใหญ่ท่านดูแล มีเรื่องอะไรปั๊บท่านเข้าถึงเลย เป็นอย่างนั้น

    วัดโพธิฯ นี้กรรมฐานเข้าไปค้างบ่อยๆ แหละ ตั้งแต่ท่านมีชีวิตอยู่ จากนั้นแล้วก็ไม่ได้ไป เราเองก็ไม่ได้ไป ไปก็ไปชั่วคราวไม่ได้ค้าง แต่ก่อนพระกรรมฐานผู้ใหญ่ๆ เช่น หลวงปู่ขาว หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่อ่อน ใครต่อใครผู้ใหญ่ๆ แหละมา ยิ่งมีงานแล้วเอามาหมดกรรมฐาน มาท่านก็บอก นี่ใครจะกราบจะไหว้ก็มากราบมาไหว้เสีย พระเหล่านี้เป็นพระสำคัญทั้งนั้น นานๆ จะได้พบท่านทีหนึ่ง มีงานทีหนึ่งพระกรรมฐานท่านเอามาหมด แล้วประชาชนเขาก็ได้ทำบุญให้ทานกับท่าน ท่านบอกตรงๆ เลย เอ้า ให้พากันทำบุญให้ทานเสียนะ พบพระอย่างนี้มันพบยากนะ ท่านพูดอย่างนี้แหละเพราะท่านเป็นพระผู้ใหญ่ แล้วพระกรรมฐานมาค้างบ่อย ท่านไปเอามาจนได้ มีงานทีก็ไปเอามา อย่างเรานี้ไปเรื่อย บางทีท่านมาเอาเอง ท่านมาเองเลย

    คิดดูซิ ถ่ายรูปที่ต้นโพธิ์ทางทิศเหนือของวัด นั่นละนั่งเป็นวงกลมถ่ายรูปเจ็ดแปดองค์หรือไง เราผอมๆ นั่นก็เราป่วยนะ เรากำลังป่วยอยู่นี้ท่านมาเอาเอง เราบอกกำลังป่วยเป็นไข้ เออไม่เป็นไรแหละ ไปนู้นมันหายเอง แล้วเอาไปเลย เราจึงผอมๆ พระกรรมฐานมาอยู่ที่นั่นเรื่อยๆ แล้วชุ่มเย็นไปหมดนะ ทางภาคอีสานวงกรรมฐาน ท่านไปเที่ยวซอกแซกทุกแห่ง วัดไหนสำคัญๆ ท่านไปหมด ท่านชอบวงกรรมฐานมากที่สุด ท่านปฏิบัติกรรมฐานมาเป็นประจำเลย ไปนั่งปั๊บ นี่มีแต่เรื่องอรรถ เรื่องธรรม เรื่องภาคปฏิบัติ ไม่มีเรื่องการปกคงปกครองปริยัติอะไรไม่มีเลย เรื่องโลกเรื่องสงสารไม่มี มีแต่ภาคปฏิบัติล้วนๆ

    นั่งนี่สองสามชั่วโมงกว่าจะได้ลุก โธ้ เราเจ็บเอวเกือบตายนั่นละ ไปทีไร ฟังท่านนั่งคุยธรรมะ ท่านก็เพลินของท่านเราดูอาการก็รู้ ท่านเพลินในธรรมทั้งหลาย ท่านพูดด้วยความเพลินในธรรม เมื่อเห็นครูบาอาจารย์มาหาท่าน ฝ่ายกรรมฐานมามากๆ ท่านยิ่งรื่นเริงมากนะ ดูอาการของท่านยิ้มแย้มแจ่มใสทุกอย่าง ท่านพอใจกับวงกรรมฐานมากทีเดียว ท่านเอาแต่องค์สำคัญๆ แหละมา แต่ท่านเป็นนิสัยอันหนึ่งท่านพูดสนุกสบายธรรมดา ท่านเรียกอีตานั่นอีตานี่ ท่านไม่เรียกธรรมดา ท่านพูดสบายในฐานะลูกศิษย์กับอาจารย์

    ส่วนมากท่านเป็นอุปัชฌาย์ทั้งนั้นแหละ ว่าอีตานั่นอีตานี่ ท่านว่างั้น ท่านว่าสบายไปเลย เราผู้ฟังขบขันจะตาย แต่ท่านพูดแบบสบายไปเลย พูดในฐานะลูกศิษย์กับอาจารย์ที่สนิทสนมกัน ท่านพูดแบบสบายไปเลย อีตานั้นอีตานี้ ไม่ได้ยินท่านว่าอีตาตั้งแต่เราหนึ่ง กับท่านอาจารย์ฝั้น ท่านอาจารย์ขาว สามองค์เราคอยฟัง อีตานั่นอีตานี่ไม่เคยออก ท่านฝั้น ท่านขาว มหาบัว นอกนั้นอีตาทั้งนั้นแหละ ท่านเรียกอีตาติดปากท่านเป็นนิสัย พูดเหมือนเล่น หากไม่เป็นไรแหละท่านพูดของท่านเฉยๆ ไปอย่างนั้น เรียกแต่อีตานั่นอีตานี่

    พอมาพูดตอนนี้แล้ว ท่านขึ้นเทศน์ ตามธรรมดาดูเหมือนเราเทศน์แล้ว ท่านขึ้นไปเทศน์ที่สอง งานวัดโพธิฯ พอท่านเทศน์เราก็นั่งฟัง ท่านเทศน์ถึงนิพพานว่านิพพานเป็นอนัตตา สะดุดกึ๊กเลยใจเรา หือ ทำไมท่านเทศน์อย่างนี้ พอท่านลงจากธรรมาสน์แล้วไป วันนั้นเราจะติดตามเลยทันที พอว่านิพพานเป็นอนัตตา ตามธรรมดาท่านจะว่า ไปบัว วันนั้นเราคอยดู ถึงท่านไม่เรียกเราก็จะไป พอว่านิพพานเป็นอนัตตา ไปบัวไปกุฏิ (ท่าน) ไม่มีใครถ้ามีใครเราไม่พูดนะ ความเคารพ พอดีมีสองต่อสอง เราก็กราบเรียนท่าน ขอโอกาสท่าน เหตุใดพระเดชพระคุณจึงเทศน์ว่านิพพานเป็นอนัตตา เราถามว่างั้น เพราะบังคับไม่ได้ นิพพานไม่ใช่ผู้ต้องหานี่นะ นั่นตอบ ท่านนิ่งเลยนะ

    คืออะไรๆ ก็ตาม ถ้าพูดมีขัดตรงไหนเราจะเป็นผู้ค้านขึ้น ในระยะแรกท่านจะไม่ตอบว่าไง คราวหลังท่านตอบยอมรับๆ พอท่านพูดเรื่องนิพพานเป็นอนัตตาแล้วเราก็ตามไป ทำไมพระเดชพระคุณจึงเทศน์ว่านิพพานเป็นอนัตตา ท่านบอกว่าเพราะบังคับไม่ได้ นิพพานไม่ใช่ผู้ต้องหาพอจะมาบังคับกันนี่นะ ท่านนิ่งเลย นั่นเวลาจะตอบเอาปุ๊บเลยกับท่านเจ้าคุณ ท่านยอมรับนะ อย่างนั้นละท่านยอมรับ อนัตตาก็ดี อัตตาก็ดี ไตรลักษณ์นี้เป็นทางก้าวเดินเพื่อพระนิพพาน ไหนนิพพานจะกลับมาเป็นไตรลักษณ์เสียเอง คือเป็นอนัตตา มันเข้ากันไม่ได้นะ พอเราว่าปั๊บท่านก็ตอบว่า เพราะบังคับไม่ได้ ก็นิพพานไม่ใช่ผู้ต้องหานี่นะ เราว่างั้น ท่านนิ่งเลย


    Luangta.Com -
     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หลวงตามหาบัว : “พระธรรมเจดีย์”

    ส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนาหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    เมื่อวันที่ ๓ เดือนมกราคม ปีพุทธศักราช ๒๕๔๕
    เทศน์อบรม ณ วัดป่าบ้านตาด ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี


    การเทศนาว่าการต้องไปตามกาลสถานที่บุคคล จะให้เสมอกันหมดไม่ได้ หากเป็นอยู่ในตัวของมัน เครื่องรับเครื่องวัดกันมันมีอยู่ในนั้นไม่ต้องไปถามใคร รู้พอดิบพอดีตลอดเวลา พูดอย่างนี้ก็ยังไม่ลืมที่เจ้าคุณอุปัชฌาย์เรา ท่านไม่เคยได้ยินเราเทศน์อย่างนั้น เทศน์มามากต่อมาก ไปที่ไหนเอาแต่เราไปเทศน์นั่นแหละ ไปนครพนมนี้ ขึ้นเบื้องต้นขึ้นนครพนมก่อน อันนี้เทศน์ไปธรรมดาเรื่อยๆ เขามาฟังก็มีเมียผู้ใหญ่ เมียอธิบดีศาลมาฟังเทศน์เรา พอเทศน์จบลงแล้ว ปุ๊บปั๊บคลานเข้ามาหา คุณวรรณดี ที่เป็นนายกพุทธสมาคม นิมนต์เราไปเทศน์งานฉลองตั้งรากตั้งฐานพุทธสมาคมที่นครพนม พอค่ำคนมามาก พอเจ้าคุณไปคนก็มามาก เขานิมนต์เราขึ้นเทศน์ ก็ท่านเจ้าคุณนั่นแหละให้เทศน์ ไปไหนมีแต่ท่านแหละให้เราเทศน์ ท่านไม่เทศน์ ถ้าเราไปท่านไม่มีเทศน์เลย มีแต่เรานั่นแหละเทศน์ เขามานิมนต์เทศน์ พอเทศน์จบลงแล้ว ยังไม่ลืมนะเทศน์ ชั่วโมงกับหนึ่งนาที เทศน์นี้ไหลไปเลย ไม่เหมือนทุกวันนี้ธาตุขันธ์

    พอเทศน์จบลงแล้ว คุณนายอธิบดีศาลคลานเข้ามาหานายกสมาคม เอ๊ะ ท่านองค์นี้มาจากไหนๆ เทศน์ทำไมแปลกเหลือเกิน ฟังแล้วทำไมมันเพลินๆ ตลอด เราฟังเทศน์มหาเปรียญ ๘ ประโยค ๙ ประโยค เคยฟังมาก็ธรรมดาๆ แต่อาจารย์องค์นี้มาจากไหนๆ มากระซิบถาม ทำไมเทศน์ถึงแปลกเอาเหลือเกิน จบแล้วยังไม่อยากให้จบ นี่ท่านจบเสียก่อน วันพรุ่งนี้จะนิมนต์ท่านเทศน์อีกว่างั้นนะ ถามเป็นใคร อาจารย์มหาบัว อาจารย์มหาบัวอย่างนี้ แต่ก่อนได้ยินแต่ชื่อท่าน นี่ได้เห็นองค์แล้ว โอ๋ ท่านเทศน์อย่างนี้

    พอพรุ่งนี้เช้าฉันเสร็จนิมนต์อีก ไปขอท่านเจ้าคุณนิมนต์ท่านอาจารย์มหาบัวเทศน์อีก โอ๋ย ไม่ได้ๆ วันนี้จะเอามหาบัวไปเทศน์ที่ (อำเภอ) ท่าอุเทน ท่านว่าไม่ได้ๆ วันนี้จะเอามหาบัวไปเทศน์ท่าอุเทน ตกลงไม่ให้จริงๆ นะวันนั้นไม่ให้เลย นี่ละที่นี่ไปท่าอุเทน ท่านไม่เคยได้ยินเทศน์อย่างนั้นซี คนก็มาเต็ม ท่านก็อยู่อำเภอท่าอุเทน ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์นี่ ท่านเป็นคนท่าอุเทน มาบวชตั้งแต่อายุเท่าไร ๑๑-๑๒ ปีมั้ง เป็นเณร เขาก็นิมนต์ไปเทศน์ ตอนนั้นกำลังเป็นบ้าบัตรบ้าเบอร์กัน อู๊ย ไปที่ไหนบ้าบัตรบ้าเบอร์เต็มแผ่นดิน ไปวันนั้นมีแต่นักบัตรนักเบอร์เต็มนั้น คุณวรรณดี ตั้งตรงจิต นี่แหละที่เป็นนายกพุทธสมาคมเป็นคนขับรถให้ ไปถึงแล้วพอถึงเวลาเทศน์ คุณวรรณดีแกเคยฟังธรรมะขั้นสูงของเรานี่นะ เคยฟังมาพอแล้ว วันนั้นแกจ้อคอยจะฟังธรรมะขั้นสูง ทางนั้นก็ไปอยู่ตามป่าไม้เรี่ยราดอยู่นี้ไป เทศน์ให้คนหัวเราะเสียจนจะตาย ฟังเสียงหัวเราะแตกลั่นๆ อยู่ที่ศาลา เทศน์มีแบบตลกขบขัน มีข้อเปรียบเทียบมีอะไร หัวเราะกันลั่นๆ พวกนั้นเลยเพลินด้วยการหัวเราะ เทศน์ไปไหนก็ไม่ไป

    ท่านเจ้าคุณอุปัชฌาย์นี้ก็หัวเราะเป็นบ้าอยู่ข้างหลังเรา ท่านนั่งข้างหลัง เราเทศน์ข้างหน้า ทางโน้นก็หัวเราะ ท่านเจ้าคุณก็หัวเราะ หัวเราะจนจะเป็นจะตายจริงๆ น้ำตาไหลหัวเราะตลอดเลย เราไม่ลืมนะ ๔๕ นาที เราก็เริ่มจะลง เขาบอกว่าขอฟังเทศน์อีกอย่าด่วนลงอย่าด่วนจบ กำลังสนุกดี เราก็เริ่มลงของเรา พอจบลงแล้วลงมาพวกนั้นยังหัวเราะกันลั่น ตั้งแต่ต้นกระทั่งจบเทศน์มีแต่เรื่องตลกขบขันให้หัวเราะ คนหัวเราะกันลั่น พอลงมาแล้วมากราบพระประธานเสร็จแล้ว มองดูท่านเจ้าคุณยังหลับตาหัวเราะคิกแค็กๆ อยู่นั้น ยังไม่ลืมตา ยังหัวเราะลั่น พอจบแล้วก็มานั่ง พอลืมตาก็ เอ๊ มหาบัวเทศน์อย่างนี้ก็เป็น แล้วหัวเราะอยู่ตลอด มาในรถหัวเราะมาตามทางนะ มหาบัวเทศน์อย่างนี้ก็เป็น ท่านไม่เคยได้ยินเราเทศน์แบบนั้น ก็เทศน์ธรรมดาทั่วๆ ไป ในสถานที่นั่นเป็นยังไงๆ ท่านก็ไม่รู้เรื่องของเราอีกใช่ไหมล่ะ เวลาเทศน์มันก็ออกแบบนั้น

    ตั้งแต่นั้นพอเจอหน้าปั๊บนี่ มหาบัวเทศน์อย่างนี้ก็เป็น หัวเราะกิ๊กๆ จนกระทั่งจากกัน เจอหน้าเป็นต้องว่าละ เอ๊ มหาบัวเทศน์อย่างนี้ก็เป็นๆ อยู่อย่างนั้นจนกระทั่งท่านจากไป นี่เราพูดถึงเรื่องเทศน์มันเอาแน่ไม่ได้นะ หากเป็นของมันนั่นแหละ เอาแน่ไม่ได้ ท่านเจ้าคุณหัวเราะจนจะตาย จากนั้นมาเลยให้ชื่อเราว่า เอ๊ มหาบัวเทศน์อย่างนี้ก็เป็นๆ เรื่อย นั่นแหละมันเอาแน่ไม่ได้นะ


    Luangta.Com -
     

แชร์หน้านี้

Loading...