หลวงตามหาบัวเทศน์เรื่องการบรรลุธรรมของท่านเอง หลวงปู่ขาวและพระอาจารย์สิงห์ทอง

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย lepus, 15 กุมภาพันธ์ 2007.

  1. lepus

    lepus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    307
    ค่าพลัง:
    +1,881
    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
    เมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๕๐
    เราไม่ได้อวด<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    จากวัดเรานี้ไปห้วยทราย ๓ ชั่วโมงพอดี ไกลนะ ทางก็ดี พอไปนี่แวะกุมภวา ตัดศรีธาตุออกวังสามหมอ พุ่งออกสี่แยกสมเด็จ เลยสี่แยกสมเด็จไป ๘๐ กิโลพอดีแล้วแวะเข้าวัด ไกล เราไปอยู่ห้วยทรายถึง ๔ ปี ห้วยทรายสงัดดี อยู่ตีนเขา บ้านห้วยทรายอยู่ทางด้านตะวันออก ภูเขาอยู่ทางด้านตะวันตก วัดอยู่ทางทิศเหนือของภูเขา จำพรรษาปีแรกเราขึ้นไปจำพรรษาบนเขากับเณรภูบาล เดี๋ยวนี้เป็นมหาแล้ว พอถึงเวลาที่จะประชุมก็ลงจากภูเขาไปประชุมที่วัดตีนเขา ทางผ่านแต่ก่อนไม่มี ลงจากภูเขาก็เข้าวัดตีนเขา ไปอยู่นั้น ๔ ปี ๒๔๙๓ จำ(พรรษา)หนองผือ ๒๔๙๔-๒๔๙๗ จำห้วยทราย จากนั้นก็มาเอาโยมแม่บวชแล้วไปจันท์ ออกจากจันท์ก็มาสร้างวัดที่นี่ ๒๔๙๙ จำพรรษาที่นี่ ได้ ๕๐ ปีแล้วสร้างวัด
    ต้นไม้นี่ใหญ่โตแล้ว แต่ก่อนไม่มี ถูกเขาทำลายทำสวน ป่าราบไปหมด ๕๐ ปีได้ขนาดนี้ต้นไม้ เรียกว่าเป็นคนละโลกไปเลย มาอยู่ที่นี่ทีแรกเป็นป่าเบญจมาศป่าอะไร พอมาสร้างวัดต้นไม้ก็ขึ้นขนาดนี้ ๕๐ ปี ดงต่อกันนะ นานี่ไม่มี เป็นดงต่อไปเป็นดงใหญ่ พวกหมู กวาง เก้ง หมี เสือ สร้างวัดทีแรกมันผ่านเข้ามาในวัด มันเดินผ่านทางที่เข้าบ้านเสือโคร่งใหญ่ ก็ป่าเขานี่มันผ่านไปผ่านมา หายหมดนะเสือเหล่านี้ แรกๆ พวกหมี พวกเสือโคร่ง ผ่านไปผ่านมา
    ท่านแสวงดูว่าไปตายที่วัดเขาน้อยละมั้ง กลัวหมี ทีแรกมันออกมากุฏิเรา กุฏิเราเป็นกระต๊อบ พอมาเจอกุฏิเราเข้าตีสาม มันจะข้ามไปดง ข้ามไปข้ามมาหมีใหญ่ แล้วมันเลาะไปเจอกุฏิท่านแสวง โอ๊ย ตัวใหญ่ตัวดำๆ เดือนหงายๆ มันออกมาหาเราแต่ยังไม่ทันเห็นเรา เสียงมันดังโครมครามๆ มาเจอกุฏิเราแล้วก็เลาะไปเจอเอากุฏิพระแสวง กุฏิมีแต่กระต๊อบนะ พระแสวงยืนตัวสั่นอยู่ในกระต๊อบ มันออกมาเจอกระต๊อบมันก็หลบอีกมันไม่ผ่าน หลบไปทางนู้นหมีใหญ่ มีสองสามตัวรอยมันผ่านไปผ่านมา เดี๋ยวนี้หมดเสือไม่มี พวกสัตว์เนื้อหมด เขาตั้งอำเภอแถวนั้นแหละดงใหญ่
    วัดนี้สร้าง ๒๔๙๙ จำพรรษาที่นี่ เดี๋ยวนี้ ๒๕๕๐ ดูจะ ๕๒ ปีแล้วสร้างวัด สงัด แถวนี้ไม่มีต้นไม้ เป็นพุ่มหมดเลย ใหญ่ขนาดนี้ต้นไม้ มันเป็นดงเก่าเขามาทำไร่ทำสวน เตียนโล่งไปหมด พอเรามาสร้างวัดที่นี่มันขึ้นใหม่นะนี่ ต้นใหญ่ๆ ขึ้นใหม่หมดเลย ประมาณ ๕๐ ปี พระก็ดูเหมือน ๑๒ องค์ ปีแรกมาอยู่นี่ ๑๒ องค์ เรารับจำกัด ๑๘ องค์ แต่ก่อนพระเณรมีจำนวนมาก ครูบาอาจารย์มี ไปอยู่กับครูบาอาจารย์องค์นั้นองค์นี้ พอองค์นั้นล่วงไปองค์นี้ล่วงไปก็ไหลเข้ามาหาเรา จาก ๑๘ รับ ๒๐ จาก ๒๐ เตลิดเลยเป็น ๕๐ กว่าตลอดมา
    ครูบาอาจารย์แต่ก่อนอย่างหลวงปู่ขาว พระเณรก็ไปเต็มอยู่นั่น หลวงปู่ฝั้น เต็มอยู่นั่น หลวงปู่อ่อน เหล่านี้เต็มทั้งนั้นละ พอองค์นั้นล่วงไปองค์นี้ล่วงไปไหลเข้ามาๆ พอพูดอย่างนี้เราก็ระลึกถึงหลวงปู่ขาว ท่านเจ้าคุณอุปัชฌาย์ท่านฉลาด ไปในงานอำเภอหนองบัวลำภู ท่านสั่งเลยว่าให้เราไปงานนี้ แล้วหลวงปู่ขาวก็ไปในงานนี้ คือท่านจะให้เราสององค์พบกัน พอไปท่านก็มาบอกเลยว่าวันนี้ไม่ต้องลงไปงาน ให้อยู่สบายๆ ท่านส่งไว้หมด กระต๊อบหลวงปู่ขาวอยู่นั้น เป็นร้านอยู่นั้น ร้านเราอยู่ที่นี่ติดกัน
    พอถึงเวลาแล้วเขาก็ลงไปงาน เราไม่ไป ท่านอนุญาตให้เป็นพิเศษเลย มหาบัวกับท่านขาวไม่ต้องไปจะได้พูดได้คุยธรรมะกัน เพราะท่านทราบอยู่แล้วว่าสององค์นี้เตรียมพร้อมที่จะคุยธรรมะกัน ไปก็เอาจริงๆ เพราะเป็นโอกาสอันดีที่สุดว่างั้นเถอะ พอสองทุ่มไปในงานเราก็เข้าไปหาท่านอาจารย์ขาวคุยธรรมะกับท่าน ไล่แต่ ก.ไก่ ก.กา ตลอดเลยการภาวนาของเรา จนกระทั่งสุดขีด เราเล่าคนเดียวตั้ง ๓ ชั่วโมง ลำดับลำดาของจิตเล่าถวายท่านหมด เอ้า ถ้าติดหรือข้องตรงไหนที่เล่าถวายครูบาอาจารย์ให้ว่ามาเลย สุดขีดเท่านี้ความสามารถของผม ถ้าว่าติดก็ติดอย่างตายใจเลย ไม่หาอะไรอีกแล้ว สุดขีดเพียงเท่านี้ หมดที่จะหา พูดอย่างเต็มเหนี่ยวเลยเรา
    เราเล่าตั้งแต่ ก.ไก่ ก.กา เรื่อยๆ ไปจนกระทั่งถึงที่สุดความสามารถของเรามอบถวายท่าน ท่านก็เล่าให้ฟังไม่นาน ท่านตอบรับเรา มีอยู่สองจุดเท่านั้นท่านว่า ท่านมหาก็ผ่านไปหมดแล้วโดยชอบธรรม ผมก็เป็นอย่างนั้นแหละ พอดีแม่ชีมันไปนั่งอยู่ข้างนอกซิ แม่ชียุวดี จันทบุรี เราไม่รู้นึกว่ามีสองคนกับท่าน มีฝากั้นอยู่ แล้วก็มีตั่งที่นั่งอยู่ข้างล่างข้างนอก มันก็นั่งอยู่ที่ตั่งนั่นละ เราอยู่ในฝามันอยู่นอกฝา คุยอะไรมันก็รู้หมด พอเล่าเสร็จเรียบร้อยแล้วเบนคำพูดไปทางอื่น มันใครนี่น่ะ ดิฉัน ชื่อว่ายังไง ยุวดี มาตั้งแต่เมื่อไร มาแต่สองทุ่ม โอย หมดตับเลย
    แล้วก็ไปโม้ข้างนอก อู๊ย ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยได้ยินครูบาอาจารย์เปิดเผยธรรมะต่อกัน ท่านอาจารย์มหาบัวขึ้นก่อนสองสามชั่วโมง จากนั้นท่านอาจารย์ขาวก็ขึ้นจนกระทั่งจบ เบนคำพูดไปทางอื่นทางไหนแล้ว เห็นว่าเต็มอิ่มแล้วก็เลยกระแอม ท่านอาจารย์มหาบัวคงจะโมโหใหญ่ ใครๆ ยุวดี มาจากไหน มาในงานนี้แหละ มาแต่เมื่อไรมาที่นี่ มาแต่สองทุ่ม หมดตับเราก็ว่างี้ มันฟังหมดเลย คือไขต่อกันเต็มที่เลย ลงใจสุดขีดร้อยเปอร์เซ็นต์ด้วยกัน ไปในงานนี้ละ ขบขันดี เขาแอบนั่งฟังอยู่ข้างนอก เราก็ว่าเราถนัดใจซัดกันสองต่อสอง ที่ไหนได้เขาไปกินอิ่มอยู่ข้างนอก<o:p></o:p>
    พูดถึงเรื่องหลวงปู่ขาว ท่านเป็นอยู่ที่โรงขอด ท่านเล่าให้ฟัง ที่อำเภอแม่แตงหรืออะไรเชียงใหม่ ท่านบอกว่าไปเป็นอยู่ที่โรงขอด เราก็บอกตรงๆ เลยเราเป็นอยู่ที่วัดดอยธรรมเจดีย์ ไม่มีอะไรค้านกัน รื่นเริงบันเทิงกัน เพราะธรรมะทางภาคปฏิบัติผิดที่ไหนจะรู้กันทันทีๆ เลย เราก็เล่าถวายท่านสุดขีดของเราเลย เราเป็นฝ่ายเล่าถวายท่านก่อน เสร็จอะไรก็มอบถวายท่านเลย จะขัดข้องอะไรก็ให้ครูบาอาจารย์ ไม่ต้องเกรงใจ ให้บอกมาเลย เวลานี้สุดแล้ว ถ้าว่ากำลังก็สุดจนกระทั่งไม่แสวงหาอะไรอีกแล้ว ถ้าหากว่าหลงก็หลงเต็มที่เราก็ว่างั้น<o:p></o:p>
    ท่านก็ตอบรับด้วยความเป็นมงคล เออ ตายใจแหละท่านว่า ท่านก็เล่าของท่านย่อๆ นิดหน่อย เพราะอะไรๆ ท่านมหาก็เล่าไปหมดแล้ว ท่านเลยเล่าย่อๆ ให้ฟังนิดหน่อย ท่านไปเป็นที่โรงขอดท่านว่า โรงขอดนี้อยู่ที่อำเภอแม่แตง เวลามันจะเป็นท่านออกไปอาบน้ำไปเห็นข้าวเขาเป็นรวงแก่แล้ว ท่านก็เอาข้าวมาพิจารณา ปัญญาขั้นนี้เป็นปัญญาหมุนตัวเองนะ คือเจออะไรมันจะเป็นสติปัญญาขึ้นมาเพื่อแก้ตัวเองๆ ท่านเอาข้าวมาพิจารณา เกิดเป็นข้าวแล้วก็หมุนไปหมุนมา เป็นข้าวแล้วเอาไปหว่านเป็นกล้าๆ ก็เป็นต้นข้าวแล้วเป็นข้าวแก่ ท่านก็หมุนไป วัฏวนของจิตก็เป็นอย่างนี้ๆ ท่านพิจารณา เลยบรรลุธรรมในเวลานั้น ในคืนวันนั้น ท่านเล่าให้ฟังว่าโรงขอด เราก็เล่าถวายท่านว่าที่วัดดอยธรรมเจดีย์<o:p></o:p>
    เวลาท่านจะจากที่นั่นไป มันแปลกนะท่านมหา ผมจึงระลึกได้ทันทีเลย อย่างต้นโพธิ์เป็นต้นไม้ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เพราะฉะนั้นท่านถึงยกต้นโพธิ์เป็นคู่เคียงกันกับพุทธศาสนา ท่านเห็นบุญเห็นคุณของต้นไม้นั้น เราก็เหมือนกันเห็นบุญเห็นคุณของกุฏิกระต๊อบหลังเล็กๆ เวลาจำเป็นที่จะจากไป ไปแล้วยังหันหน้ากลับมาดูอีก เป็นความอาลัยอาวรณ์ท่านว่า เพราะกุฏินี้เป็นสถานให้บุญให้คุณแก่เรา มันก็เข้ากันได้เลยกับต้นโพธิ์เป็นคู่เคียงของพระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม อย่างที่ท่านอาจารย์ขาวบอกว่า กระต๊อบที่โรงขอดเป็นที่ตรัสรู้ธรรมเหมือนกัน<o:p></o:p>
    เราก็วัดดอยธรรมเจดีย์ ธรรมดาแต่ก่อนพอไปถึงปั๊บจะขึ้นกุฏิกระต๊อบหลังนั้นเลย เดี๋ยวนี้ขึ้นไม่ได้แล้ว กระเทือนใจตลอดไม่มีถอนนะวัดดอยธรรมเจดีย์ ของเราเป็นเวลา ๕ ทุ่มเป๋งพอดีเลย โห ฟ้าดินถล่มไม่ใช่เล่นนะ คือระหว่างจิตกับกิเลสพรากจากกัน ระหว่างจิตกับกายกระเทือนมากนะ ตัวนี้กระเด็นเลยเทียว พุ่งเลย นั่นละที่ว่าเป็นเหมือนฟ้าดินถล่ม ฟ้าดินเขาก็อยู่ธรรมดาเขานั่นแหละ แต่มันเป็นระหว่างกายกับจิต ระหว่างกิเลสกับจิตขาดสะบั้นจากกัน แล้วจิตกับกายมันกระเทือนกัน กระเทือนไปหมดเลย โถ ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย วัฏจักรวัฏจิตขาดจากกันนี้รุนแรงมากสำหรับเรา<o:p></o:p>
    องค์เหล่านั้นก็เป็นเรียบๆ อย่างท่านสิงห์ทอง องค์นี้เรียบ ท่านมาเล่าให้ฟัง เล่าจนกระทั่งถึงที่สุดของท่าน ที่สุดของท่านกับเราไม่มีอะไรค้านกัน เวลาปฏิบัติมันค่อยละเอียดเข้าไปๆ หมดไปๆ เลยหายเงียบเลยท่านว่า เลยไม่ทราบว่าสิ้นเมื่อไร แต่ผลที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้เรียกว่ามันหายสงสัยทุกอย่างแล้ว เราพิจารณาตามที่ท่านเล่าให้ฟังไม่ผิดเลย แต่การดำเนินเป็นไประยะๆ ของท่าน ท่านบอกว่าเรียบๆ อันนี้ถ้าจะเทียบตามตำราก็ว่า สุกขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ จตุปฏิสัมภิทัปปัตโต กิริยาความไหวของขันธ์ของจิตนี้จะต่างกัน ท่านจึงบอกไว้ถึง ๔ อย่าง อย่างท่านสิงห์ทองเรียบไปเลย จนเจ้าของก็ไม่รู้ว่ามันสิ้นเมื่อไร เรียบไปเลย เวลามาเล่าผลเราก็ยอมรับว่าผลนั้นเหมือนกันหาที่ค้านไม่ได้ เอาละกิริยานั้นก็ช่างมันเถอะ<o:p></o:p>
    ในพระอรหันต์ ๔ ท่านก็แสดงไว้แล้ว สุกขวิปัสสโก นี่จำพวกหนึ่ง เตวิชโช ได้วิชชา ๓ พวกหนึ่ง ฉฬภิญโญ ได้อภิญญาณ ๖ เป็นเครื่องประดับ นี้อันหนึ่ง แล้ว จตุปฏิสัมภิทัปปัตโต นี่เป็นอรหันต์ ๔ จำพวก อยู่ในจำพวกไหนก็แล้วแต่ เป็นจำพวกที่สิ้นกิเลสด้วยกันนั่นแหละ เราก็ไม่ได้ค้านท่าน ทีนี้เวลาท่านล่วงไปอัฐิของท่านก็กลายเป็นพระธาตุ ประกาศแล้วนั่น ถ้าลงอัฐิกลายเป็นพระธาตุแล้วหมดปัญหาโดยสิ้นเชิง เปิดเผยแล้วในความเป็นอรหันต์ เปิดเผยเต็มที่<o:p></o:p>
    สำหรับเรามันรู้สึกจะมีแปลกๆ ต่างๆ อยู่อะไรก็ดี เวลาเป็นนี้ก็เหมือนว่าฟ้าดินถล่มเลย เป็นอย่างนั้นนะ มันกระเทือนหมด แต่ฟ้าดินเขาก็อยู่ธรรมดา มันเป็นระหว่างจิตกับกาย มันไหวๆ อย่างแรง ระหว่างกิเลสกับจิตขาดสะบั้นจากกัน ระหว่างกายกับจิตทำงานต่อกันมันกระเทือนมากสำหรับเราเอง ตั้งแต่นั้นมาก็หมดปัญหาดังที่ว่า สนฺทิฏฺฐิโก ครั้งสุดท้ายไม่มีอะไรอีกเลยตั้งแต่นั้นมา เวลาเป็นขึ้นทีแรกก็หายสงสัยแล้วตัดสินขาดสะบั้นไปแล้ว ต่อมานี้มันจะมีอะไรมาแทรกอีกไม่มีเลย หมดโดยสิ้นเชิง<o:p></o:p>
    นี่ละการปฏิบัติธรรม ถ้ายังมีผู้ปฏิบัติอยู่มรรคผลนิพพานจะอยู่ที่ไหน ถ้าไม่อยู่กับโอวาทคำสอนของพระพุทธเจ้า อยู่กับพุทธศาสนา พุทธศาสนาคือตลาดแห่งมรรคผลนิพพานสดๆ ร้อนๆ ไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลาเข้ามาทำลายได้เลย ขอให้ปฏิบัติเถอะ ที่มันไม่ปฏิบัติมันเที่ยวหาให้คะแนนตัดคะแนนของผู้ปฏิบัติด้วยความหน้าด้านหน้ามืดของมันซิ มันน่าทุเรศนะเดี๋ยวนี้ อย่างที่เขาเล่าให้ฟัง มันระบุชื่อออกมาด้วย มันบอกว่ามันจะมาฟ้องเราว่าอวดอุตริมนุสสธรรม อวดตนว่าได้เป็นพระอรหันต์<o:p></o:p>
    เราก็ไม่ได้อวดใครเราก็พูดธรรมดากับลูกศิษย์ลูกหา ผู้มีเจตนาหวังอรรถหวังธรรม ดังพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายสอนโลก ท่านก็สอนอย่างนั้น อันนี้ก็สอนแบบเดียวกัน ใครอาจจะมาฟ้องเราว่าเป็นสังฆา ปาราชิก ทางนี้ก็รับกันเลยว่าให้ยกมาทั้งโคตร ถ้ามีโคตรให้ยกโคตรมาเลยมาฟ้องหลวงตาบัวว่าเป็นปาราชิก เพราะอวดอุตริมนุสสธรรม เราก็มีโคตรเหมือนกันเราก็บอก มันตลกไปด้วย ก็มันไม่มีอะไรกับโลก ถึงจะว่าอะไรก็ว่าเฉยๆ เมื่อมันสิ้นสมมุติแล้วจะเอาอะไรมามี คำว่าฟ้องสังฆา ปาราชิก มันก็ไม่มี เพราะอันนี้เป็นสมมุติ อันนั้นมันผ่านไปหมดแล้ว แต่นำมาเป็นสมมุติรับกัน ว่าให้ยกโคตรมามาฟ้องเรา ยกมาเฉยๆ ไม่มีอะไร ก็เป็นอย่างนั้น<o:p></o:p>
    ลงมันได้ถนัดกับจิตใจเรียกว่า สนฺทิฏฺฐิโก ขั้นสุดท้าย คือรู้ผลงานของตัวเองโดยสมบูรณ์แบบแล้วก็หมด พระพุทธเจ้าอรหันต์ท่านไม่ถามใคร พอตรัสรู้ขึ้นมาก็เป็นศาสดาขึ้นทันที สาวกตรัสรู้ขึ้นมาก็เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าทันทีๆ เหมือนกัน ธรรมะคงเส้นคงวาหนาแน่นไม่มีอะไรเคลื่อนคลาดเลย กิเลสก็เป็นกิเลสประเภทเก่า ธรรมะก็เป็นธรรมะประเภทเก่า ที่เคยแก้กิเลสให้ขาดสะบั้นมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาลจนกระทั่งบัดนี้ ไม่มีคำว่าครึว่าล้าสมัย นอกจากกิเลสมันหน้าด้านของมัน เพราะกิเลสเป็นตัวหน้าด้านมาแต่ไหนแต่ไร มันบอกว่าเวลานี้ศาสนาหมดเขตหมดสมัย ไม่มีบุญมีบาป ไปทำบุญทำบาปไม่ได้บุญได้บาปอะไร บาปนรกไม่มี สวรรค์ไม่มี อะไรไม่มี นี่พวกตาบอดที่สุดหนวกที่สุดหมดราค่ำราคา ยังเหลือแต่ลมหายใจฝอดๆ ตายแล้วจมเลย<o:p></o:p>
    จมที่ว่าไม่มีนั่นละ ลงไปตรงนั้นจะไปไหน ก็คนตาบอดมันจะไปที่ปลอดภัยอะไร มันก็ต้องไปหาอันตรายซิ ตกหลุมตกบ่อชนไม้ชนเสาไปละซิ นั่นคนตาบอด จิตประเภทจิตบอดก็เป็นอย่างนั้น จิตของท่านผู้รู้แจ้งเห็นจริงท่านจะไปติดอะไร ไม่มีอะไร สมมุติสามแดนโลกธาตุผ่านได้หมดแล้ว แล้วจะมาโดนกับสมมุติตัวใดเป็นภัยล่ะ ไม่มี<o:p></o:p>
    สดๆ ร้อนๆ พุทธศาสนาคือตลาดแห่งมรรคผลนิพพาน อยู่กับคำสอนพระพุทธเจ้า ให้ปฏิบัติตามนั้น สวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม สวดอยู่ทุกวัน ตรัสออกมาย่อๆ ก็ว่า สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว ไม่มีที่จะขัดจะแย้งหรือไม่มีที่จะเพิ่มเติมหรือส่งเสริมตรงไหนอีก เรียกว่าสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว ขอให้ปฏิบัติตามนี้เถิด มรรคผลนิพพานจะเป็นของผู้ปฏิบัติเสียเอง ไม่มีใครจะแบ่งสันปันส่วนหรือตัดหรือคัดค้านต้านทานได้เลย ให้ปฏิบัติตามนั้น มีตลอดไปถ้ามีผู้ปฏิบัติตาม ถ้าไม่มีจะกอดชายจีวรของพระพุทธเจ้าอยู่ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร<o:p></o:p>
    นี่เราก็จวนเข้ามาแล้ว ไปไหนมาไหนก็ลำบากลำบนแล้วเดี๋ยวนี้ ห่วงโลกก็ห่วงด้วยความเมตตา ไม่ได้อยู่ละวันหนึ่งไปๆ เพราะความเมตตา สำหรับเราเราหมดห่วงแล้ว เราไม่มีอะไร อย่างพาโลกดำเนินอยู่นี้เราก็ไม่หวังเอาอะไรทั้งนั้น เราไม่เอาจริงๆ ด้วย มีเท่าไรๆ เราโละหมดเพื่อโลกสงสาร อย่างทำบุญให้ทานเพื่อโลกทั้งนั้น เราไม่เอา เราพอ ไม่มีอะไรพออย่างเลิศเลอยิ่งกว่าหัวใจกับธรรมเข้าเป็นอันเดียวกันแล้วพอ พออย่างเลิศเลอ สิ่งเหล่านั้นมันเลิศเลอที่ไหน ถึงจะเอาเข้ามาเสริมมันก็ไม่เลิศเลอ แล้วจะเข้ากันได้ยังไง เพราะฉะนั้นนินทาสรรเสริญซึ่งเป็นของไม่เลิศเลอจะเข้ากับจิตดวงที่บริสุทธิ์เลิศเลอแล้วได้ยังไง เข้าไม่ได้ นั่น มันรู้อยู่ในหัวใจ<o:p></o:p>
    ศาสนาจะไม่มีเหลือเพราะไม่มีผู้ปฏิบัติ เหยียบไปย่ำมาอยู่งั้นละ ธรรมธาตุถูกกิเลสตัณหาเหยียบแหลก มรรคผลนิพพานไม่มีๆ ที่มีก็มีแต่ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมความดิ้นความดีดทะเยอทะยานนั่นละ ที่เหยียบธรรมอยู่ทุกวันนี้ หาความสุขไม่ได้นะพวกนี้พวกหาความสุขไม่ได้ ท่านที่ถูกกิเลสเหยียบท่านไม่มีอะไร ก็มีแต่พวกกิเลสมาเหยียบแล้วก็เหยียบหัวมันเอง ไม่ใช่เหยียบพระพุทธเจ้า เหยียบหัวมันเอง จะไปเหยียบท่านได้ยังไง ท่านพ้นแล้วนี่ พากันตั้งใจปฏิบัตินะนักปฏิบัติเรา อย่ามาเร่ๆ ร่อนๆ หัวใจฝึกให้ดีดีได้ ทำให้เลวเลวได้ ใจเป็นของฝึกได้มาจากพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ เป็นศาสดาได้เพราะการฝึกฝนอบรม สาวกได้เป็นเพราะการอบรมศึกษา ไม่อบรมตายทิ้งเปล่าๆ มีแต่ลมหายใจฝอดๆ แตกลงไปนี้ก็เป็นดิน น้ำ ลม ไฟ ใจก็ไปเสวยกรรมตัวเอง ซึ่งส่วนมากมักจะทำแต่ความชั่วจมลงๆ เท่านั้น หาความดีไม่มีติดตัวนะ เอาละวันนี้พูดเท่านี้ละพอ<o:p></o:p>
     
  2. Tawee gibb

    Tawee gibb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    1,175
    ค่าพลัง:
    +1,721
    เหตุและผลของการอวดอุตริมนุษยธรรม

    (ทำไมพระพุทธเจ้าจึงห้ามอวดอุตริมนุษยธรรม?)

    บทบัญญัติซึ่งแสดงถึงเจตนารมณ์ที่มุ่งเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ให้ความสำคัญแก่สงฆ์ ได้แก่ พุทธบัญญติไม่ให้ภิกษุอวดอุตริมนุษยธรรม คือ คุณวิเศษหรือการบรรลุธรรมอย่างสูงที่เกินปกติของมนุษย์สามัญ เช่น สมาธิ ฌาน สมาบัติ มรรคผล

    ถ้าอวดโดยที่ตนไม่มีคุณวิเศษนั้นจริง คือ หลอกเค้าย่อมต้องอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นภิกษุ
    แต่ถึงแม้ว่าจะได้บรรลุคุณวิเศษนั้นจริง ถ้าพูดอวดหรือบอกเล่าแก่ชาวบ้าน หรือผู้อื่นใดที่มิใช่ภิกษุ หรือภิกษุนี ก็ไม่พ้นเป็นความผิดเพียงแต่เบาลงมา เป็นอาบัติปาจิตตีย์


    ต้นเหตุที่จะให้มีพุทธบัญญัตินี้เกิดจากในคราวทุพภิกขภัย ภิกษุพวกนี้คิดหาอุบาย ให้พวกตนมีอาหารฉันโดยไม่ลำบาก กล่าวสรรเสริญกัน ให้ชาวบ้านฟังทั้งจริงและไม่จริงบ้าง ชาวบ้านเลื่อมใสพากันบำรุงเลี้ยงภิกษุกลุ่มนั้น

    พระพุทธเจ้าทรงทราบจึงทรงบัญญัติสิกขาบทขึ้นห้าม ติเตียนว่าไม่สมควรอวดอ้าง คุณความดีพิเศษกัน เพราะเห็นแก่ท้องและสำหรับผู้ที่อวดอ้างโดยไม่เป็นจริง ทรงติเตียนอย่างรุนแรงว่า เป็นมหาโจรที่เลวร้ายที่สุดในโลก เพราะบริโภคอาหารของชาวบ้านชาวเมือง โดยฐานบริโภค

    พุทธบัญญัติอีกข้อหนึ่ง ในจำพวก ห้ามอวดอุตริมนุษยธรรม คือ สิกขาบทที่มีให้ภิกษุแสดงอิทธิปาฏิหาริย์แก่ชาวบ้าน ภิกษุใดแสดงภิกษุนั้นมีความผิด ต้องอาบัติทุกกฎ

    ต้นเหตุเกิดจากเศรษฐีท่านเอาบาตรไม้จันทร์แขวนไว้ที่ปลายไม้ไผ่ แล้วประกาศท้าพิสูจน์ว่า ใครเป็นพระอรหันต์ มีฤทธิ์จริงก็ขอถวายบาตรนั้นแต่ให้เหาะไปเอาลงมาพระปิณโฑลภารัทวาชะได้ยินคำท้า ต้องการจะรักษาเกียรติของพระศาสนา จึงเหาะขึ้นไปเอาบาตรลงมา พระพุทธเจ้าทรงทราบจึงทรงบัญญัติสิกขาบทห้าม โดยตำหนิว่า ไม่สมควรแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ซึ่งเป็นธรรม ล้ำสามัญมนุษย์ เพราะเห็นแก่บาตรที่มีค่าต่ำ ทรงเปรียบการทำเช่นนั้นว่าเป็นเหมือนสตรี ที่เผยอวัยวะพึงสงวนให้เขาดูเพราะเห็นแก่เงินทองของต่ำทราม

    เจตนารมที่คำนึงถึงสงฆ์ เพื่อการดำรงพระศาสนา

    ตามหลักการของพระพุทธศาสนา การดำรงอยู่แห่งธรรมวินัย เพื่อประโยชน์สุขของชาวโลกนั้น ขึ้นอยู่กับสงฆ์เป็นส่วนรวม การที่จะสืบต่อพระศาสนา หรือรักษาธรรมวินัย จึงต้องทำให้สงฆ์คงอยู่ยั่งยืน
    การอวดคุณพิเศษของภิกษุ ย่อมทำให้ประชาชนรวมจุดความสนใจไปที่ภิกษุนั้นแล้วหันไปทุ่มเทความอุปถัมถ์ บำรุงให้ในเวลาเดียวกัน สงฆ์จะด้อยความสำคัญลงภิกษุ ส่วนใหญ่ไม่ได้รับความเอาใจใส่ และสงฆ์ส่วนรวมก็จะอ่อนกำลังลง
    การยืนยันความตรัสรู้ เป็นหน้าที่ของพระศาสดา

    การอวดหรือบอกกล่าวอุตริมนุษยธรรม คือ คุณวิเศษของตน แก่ชาวบ้าน แม้จะเป็นจริงก็มีผลเสียหาย ที่สำคัญแก่ส่วนรวม ดังนี้

    1. ทำให้ชาวบ้านตื่นเต้น ระดมความสนใจ มารวมที่บุคคลทั่วไป หรือกลุ่มเดียว แทนสนใจสงฆ์ดังได้กล่าวแล้ว และชาวบ้านผู้ไม่รู้ไม่เข้าใจก็จะคิดเปรียบคิดเทียบเกิดความรู้สึก ดูถูกดูแคลนท่านอื่น กลุ่มอื่น อย่างถูกต้องบ้าง

    2. เมื่อมีการอวดกันได้ ไม่เฉพาะท่านที่รู้จริงได้ จริงเท่านั้น ที่จะอวดท่านที่สำคัญตนผิด ก็จะอวดแต่ที่ร้ายแรงยิ่งก็คือ เป็นช่องให้ผู้ไม่ละอายทั้งหลาย พากันฉวยโอกาสกันวุ่นวาย ชาวบ้านซึ่งไม่ได้รู้ไม่ได้มีประสบการณ์เอง ก็แยกไม่ถูกว่าอย่างไหนจริงอย่างไหนเท็จ

    3. ชาวบ้านระดับโลกียปุถุชนทั้งหลายมีความพอใจนิยมชมชอบต่างๆกัน ตื่นเต้นในต่างสิ่งต่างระดับกัน และผู้ที่บรรลุธรรมวิเศษ ก็มีบุคลิกลักษณะ คุณสมบัติและความสามารถด้านอื่นๆต่างๆ กันไป มิใช่จะมีคุณสมบัติที่พร้อมจะเป็นผู้นำตามรอยบาทพระศาสดาได้เหมือนกัน

    4. เมื่อท่านที่บรรลุจริงสอนเก่ง อวดแล้วสอนบ้าง ท่านที่บรรลุจริงสอนไม่เป็น แต่พูดออกมาบ้างท่านที่ไม่รู้จริงสำคัญตนผิด คิดว่าบรรลุแล้วเที่ยวบอกเล่าไว้บ้าง ท่านที่ไม่บรรลุแต่ชอบหลอกพูดลวงเขาไปบ้างต่อไป หลักพระศาสนา ก็จะสับสนป่นเปฟั่นเฟือน ไม่รู้ว่าอันใดแท้อันใดเทียมเพราะหย่อนความรู้ทางปริยัติก็ทำให้หลักธรรมสับสนเสียเอกภาพแห่งคำสอนของพระศาสดา ความจริงนั้นความยืนยันความตรัสรู้ เป็นภารกิจของพระศาสดา ซึ่งเป็นผู้นำในเมื่อจะทำหน้าที่ตั้งพระศาสนา และปกป้องพระศาสนานั้น พร้อมทั้งหมู่สาวก

    ส่วนหมู่สาวกภายหลัง เมื่อสมัครเข้ามาก็คือยอมรับคำสอนของพระองค์ ความรับผิดชอบในการสอน ไม่อยู่ที่อ้างการบรรลุของตน แต่อยู่ที่สอนให้ตรงกับคำสอน ของพระศาสดา

    ชื่อหนังสือ เหตุและผลของการอวดอุตริมนุษย์ธรรม ( ทำไมพระพุทธเจ้า จึงห้ามอวดอุตริมนุษยธรรม)
    ......[​IMG]
     
  3. ดอกพุดซ้อน

    ดอกพุดซ้อน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +54
    อกาลิโก
    จริตนิสัยองค์หลวงตา เป็นผู้บรรลือสีหนาทในธรรม
    ลองศึกษาประวัติอนุพุทธทั้งหลายก่อนเถิด ค่อยมาลงพระวินัย
     
  4. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,820
    อวดโดยที่ตนไม่มีคุณวิเศษนั้นจริง

    อ่านดูดีๆครับ ^^

    ปรับปราชิกเฉพาะพระที่ไม่มี ครับ

    มีอยู่จริงไม่ต้องกลัว ปาราชิก ครับ.

    ทองแท้ไม่กลัวไฟ
    ^^ .
     
  5. Tawee gibb

    Tawee gibb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    1,175
    ค่าพลัง:
    +1,721
    พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ [๑. ปาราชิกกัณฑ์] ปาราชิกสิกขาบทที่ ๔
    เรื่องภิกษุชาวฝั่งแม่น้ำวัดคุมุทา

    ปาราชิกสิกขาบทที่ ๔
    ว่าด้วยการกล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรม
    เรื่องภิกษุชาวฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา

    [๑๙๓] สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลา
    ป่ามหาวัน เขตกรุงเวสาลี ครั้งนั้น ภิกษุจำนวนมาก เป็นเพื่อนเคยเห็นเคยคบกันมา
    จำพรรษาอยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา คราวนั้น วัชชีชนบทเกิดข้าวยากหมากแพง
    ประชาชนมีความเป็นอยู่แร้นแค้น ใช้สลากปันส่วนซื้ออาหาร ล้มตายกันกระดูกขาว
    เกลื่อน ยากที่พระอริยะจะบิณฑบาตยังชีพได้ ภิกษุเหล่านั้นได้มีความคิดว่า “บัดนี้
    วัชชีชนบทเกิดข้าวยากหมากแพง ประชาชนมีความเป็นอยู่แร้นแค้น ใช้สลากปัน
    ส่วนซื้ออาหาร ล้มตายกันกระดูกขาวเกลื่อน ยากที่พระอริยะจะบิณฑบาตยังชีพได้
    ทำอย่างไรหนอ พวกเราจึงจะพร้อมเพรียงกัน ร่วมใจกัน ไม่ทะเลาะกัน อยู่จำ
    พรรษาอย่างผาสุก และบิณฑบาตไม่ลำบาก”

    ภิกษุบางพวกเสนอว่า “ท่านทั้งหลาย ถ้าเช่นนั้น พวกเรามาช่วยกันทำงาน
    ของพวกคฤหัสถ์ เมื่อช่วยทำงาน พวกเขาก็คงจะพอใจถวายบิณฑบาตแก่พวกเรา
    โดยวิธีนี้แหละ พวกเราก็จะพร้อมเพรียงกัน ร่วมใจกัน ไม่ทะเลาะกันอยู่จำพรรษา
    อย่างผาสุก และบิณฑบาตไม่ลำบาก”

    ภิกษุอีกพวกเสนอว่า “อย่าเลย ท่านทั้งหลาย ทำไมพวกเราจะต้องไปช่วย
    กันทำงานของพวกคฤหัสถ์ ขอให้พวกเรามาช่วยกันทำหน้าที่ทูตนำข่าวสารให้พวก
    คฤหัสถ์จะดีกว่า เมื่อทำอย่างนี้ พวกคฤหัสถ์ก็คงจะพอใจถวายบิณฑบาตแก่พวกเรา
    โดยวิธีนี้แหละพวกเราก็จะพร้อมเพรียงกัน ร่วมใจกัน ไม่ทะเลาะกันอยู่จำพรรษา
    อย่างผาสุกและบิณฑบาตไม่ลำบาก”

    ภิกษุอีกพวกเสนอว่า “อย่าเลย ท่านทั้งหลาย ทำไมพวกเราจะต้องไปช่วย
    กันทำงานหรือทำหน้าที่ทูตนำข่าวสารให้พวกคฤหัสถ์ ทางที่ดีพวกเรามากล่าวอวด
    อุตตริมนุสสธรรมของกันและกันให้พวกคฤหัสถ์ฟังว่า ‘ภิกษุรูปโน้นได้ปฐมฌาน รูป
    โน้นได้ทุติยฌาน รูปโน้นได้ตติยฌาน รูปโน้นได้จตุตถฌาน รูปโน้นเป็นพระโสดาบัน
    รูปโน้นเป็นพระสกทาคามี รูปโน้นเป็นพระอนาคามี รูปโน้นเป็นพระอรหันต์ รูปโน้น
    ได้วิชชา ๓ รูปโน้นได้อภิญญา ๖’
    เมื่อพูดอย่างนี้ พวกคฤหัสถ์ก็คงจะพอใจถวาย
    บิณฑบาตแก่พวกเรา โดยวิธีนี้พวกเราจะพร้อมเพรียงกัน ร่วมใจกัน ไม่ทะเลาะกัน
    อยู่จำพรรษาอย่างผาสุกและบิณฑบาตไม่ลำบาก”

    ในที่สุด ภิกษุเหล่านั้นทั้งหมดตกลงกันว่า “ท่านทั้งหลาย วิธีที่พวกเราพากัน
    กล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรมของกันและกันให้พวกคฤหัสถ์ฟังเป็นวิธีที่ดีกว่าวิธีอื่น”

    [๑๙๔] ต่อมาภิกษุเหล่านั้นได้พากันกล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรมของกัน
    และกันให้พวกคฤหัสถ์ฟังว่า “ภิกษุรูปโน้นได้ปฐมฌาน ฯลฯ รูปโน้นได้จตุตถฌาน
    รูปโน้นเป็นพระโสดาบัน ฯลฯ รูปโน้นได้อภิญญา ๖ ”

    ครั้งนั้นแล ประชาชนก็พากันยินดีว่า “เป็นลาภของพวกเราหนอ พวกเราได้
    ดีแล้วหนอที่มีภิกษุทั้งหลายเช่นนี้มาอยู่จำพรรษา เพราะแต่ก่อนนี้พวกเราไม่มีภิกษุ
    ทั้งหลายที่มีคุณสมบัติ เหมือนอย่างภิกษุผู้มีศีลมีกัลยาณธรรมเหล่านี้มาอยู่จำ
    พรรษาเลย” โภชนะ (อาหาร) ... ขาทนียะ (ของขบเคี้ยว) ... สายนียะ (ของลิ้ม) ...
    ปานะ (เครื่องดื่ม) ชนิดที่พวกเขาจะถวายแก่ภิกษุเหล่านั้น พวกเขาไม่รับประทาน
    ไม่ขบเคี้ยว ไม่ลิ้ม ไม่ดื่มด้วยตนเอง ทั้งไม่ให้แก่มารดาบิดา บุตร ภรรยา คนรับใช้
    กรรมกร มิตร อมาตย์ ญาติสาโลหิต

    ภิกษุเหล่านั้น จึงเป็นผู้มีน้ำมีนวล มีอินทรีย์ผ่องใส มีใบหน้าเอิบอิ่ม มีผิว
    พรรณผุดผ่อง มีประเพณีอยู่ว่า เมื่อภิกษุทั้งหลายออกพรรษาแล้วจะไปเข้าเฝ้าพระผู้
    มีพระภาค ครั้นภิกษุเหล่านั้นจำพรรษาครบ ๓ เดือนแล้วจึงเก็บเสนาสนะ ถือบาตร
    และจีวรออกเดินทางมุ่งไปสู่กรุงเวสาลี จาริกไปโดยลำดับ ถึงกรุงเวสาลี ผ่านป่ามหา
    วัน ไปถึงกูฏาคารศาลา แล้วเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นถึงแล้วจึงถวาย
    บังคม แล้วนั่งลงอยู่ ณ ที่สมควร

    ภิกษุต่างทิศมาเข้าเฝ้า

    สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายที่จำพรรษาอยู่ในทิศต่างๆ ดูซูบผอม ซอมซ่อ มีผิว
    พรรณหมองคล้ำ ซีด เหลือง เส้นเอ็นขึ้นสะพรั่ง ส่วนภิกษุชาวฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทากลับมีน้ำมีนวล มีอินทรีย์ผ่องใส มีใบหน้าเอิบอิ่ม มีผิวพรรณผุดผ่อง อนึ่ง การที่พระผู้มี
    พระภาคพุทธเจ้าทั้งหลายทรงปราศรัยกับพระอาคันตุกะทั้งหลายนั่นก็เป็นพุทธประเพณี
    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสถามพวกภิกษุชาวฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทาว่า “ภิกษุ
    ทั้งหลาย เธอทั้งหลายยังสบายดีหรือ ยังพอเป็นอยู่ได้หรือ พวกเธอเป็นผู้พร้อม
    เพรียงกัน ร่วมใจกัน ไม่ทะเลาะกัน อยู่จำพรรษาเป็นผาสุกหรือ และบิณฑบาตไม่
    ลำบากหรือ”

    ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า “ยังสบายดีพระพุทธเจ้าข้า ยังพอเป็นอยู่ได้
    พระพุทธเจ้าข้า อนึ่ง พวกข้าพระพุทธเจ้าเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน ร่วมใจกัน ไม่ทะเลาะกัน
    อยู่จำพรรษาเป็นผาสุก และบิณฑบาตไม่ลำบาก พระพุทธเจ้าข้า”



    พระตถาคตเจ้าทั้งหลายทรงทราบเรื่อง ตรัสถามก็มี ไม่ตรัสถามก็มี ทรง
    ทราบกาลอันควรตรัสถามก็มี ไม่ตรัสถามก็มี ตรัสถามเรื่องที่เป็นประโยชน์ ไม่ตรัส
    ถามเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์ เพราะพระตถาคตเจ้าทั้งหลายทรงขจัดเรื่องที่ไม่เป็น
    ประโยชน์เสียด้วยอริยมรรคแล้ว

    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลาย สอบถามภิกษุทั้งหลายด้วยเหตุ ๒ ประการ
    คือ จะทรงแสดงธรรมอย่างหนึ่ง จะทรงบัญญัติสิกขาบทแก่พระสาวกอย่างหนึ่ง
    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสถามภิกษุชาวฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทาว่า “ทำ
    อย่างไร เธอทั้งหลายจึงพร้อมเพรียงกัน ร่วมใจกัน ไม่ทะเลาะกัน อยู่จำพรรษา
    ผาสุกและบิณฑบาตไม่ลำบาก”

    ลำดับนั้น ภิกษุเหล่านั้นจึงได้กราบทูลเรื่องนั้นให้พระผู้มีพระภาคทรงทราบ
    พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอมีคุณวิเศษนั่นจริงหรือ”
    ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า “ไม่มีจริง พระพุทธเจ้าข้า”

    ทรงตำหนิ

    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงตำหนิว่า

    “โมฆบุรุษทั้งหลาย การกระทำของ
    พวกเธอไม่สมควร ไม่คล้อยตาม ไม่เหมาะสม ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำไฉนพวกเธอจึงพากันกล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรมของกันและกันให้พวกคฤหัสถ์ฟัง
    เพราะเห็นแก่ปากแก่ท้องเล่า พวกเธอใช้มีดชำแหละโคอันคมคว้านท้องยังดีกว่า
    การกล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรมของกันและกันให้พวกคฤหัสถ์ฟัง เพราะอะไรเล่า
    เพราะผู้ใช้มีดชำแหละโคอันคมคว้านท้องก็จะพึงถึงความตายหรือทุกข์ปางตาย
    เพราะการกระทำนั้นเป็นเหตุ หลังจากตายแล้วก็ไม่ต้องไปบังเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต
    นรก ส่วนผู้กล่าวอวดอุตริมนุสสธรรมของกันและกันให้พวกคฤหัสถ์ฟัง หลังจากตาย
    แล้วก็จะต้องไปบังเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก โมฆบุรุษทั้งหลาย การทำอย่างนี้
    มิได้ทำคนที่ยังไม่เลื่อมใสให้เลื่อมใส หรือทำคนที่เลื่อมใสอยู่แล้วให้เลื่อมใสยิ่งขึ้นได้
    เลย ที่จริง กลับจะทำให้คนที่ไม่เลื่อมใสก็ไม่เลื่อมใสไปเลย คนที่เลื่อมใสอยู่แล้วบาง
    พวกก็จะกลายเป็นอื่นไป” ฯลฯ



    ครั้นทรงตำหนิแล้ว ได้ทรงกระทำธรรมีกถาตรัส
    เรียกภิกษุทั้งหลายมารับสั่งว่า

    มหาโจร ๕ จำพวก

    [๑๙๕] ภิกษุทั้งหลาย มหาโจร ๕ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก คือ
    ๑. มหาโจรบางคนในโลกนี้ ปรารถนาว่า เมื่อไรหนอ เราจึงจักมีบริวารเป็น
    ร้อยหรือเป็นพันห้อมล้อมแล้วท่องเที่ยวไปในคาม นิคม และราชธานี ทำการฆ่าเอง
    สั่งให้ผู้อื่นฆ่า ตัด(มือเท้าผู้อื่น)เอง สั่งให้ผู้อื่นตัด เผา(บ้าน)เอง สั่งให้ผู้อื่นเผา ต่อมา
    มหาโจรนั้น ก็ได้มีบริวารเป็นร้อยหรือเป็นพันห้อมล้อมแล้วท่องเที่ยวไปในคาม นิคม
    และราชธานี ทำการฆ่าเอง สั่งให้ผู้อื่นฆ่า ตัดเอง สั่งให้ผู้อื่นตัด เผาเอง สั่งให้ผู้อื่นเผา
    ฉันใด ภิกษุชั่วบางรูปในธรรมวินัยก็ฉันนั้นเหมือนกัน ปรารถนาว่า เมื่อไรหนอ เรา
    จักมีภิกษุบริวารเป็นร้อยหรือเป็นพันห้อมล้อมแล้วท่องเที่ยวไปในคาม นิคม และราชธานี
    อันคฤหัสถ์และบรรพชิตสักการะ เคารพ นับถือ บูชา นอบน้อม ได้จีวร บิณฑบาต
    เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัช ต่อมา ภิกษุนั้นก็ได้มีภิกษุบริวารเป็นร้อยหรือเป็น
    พันห้อมล้อมแล้วท่องเที่ยวไปในคาม นิคมและราชธานี อันคฤหัสถ์และบรรพชิตสัก
    การะ เคารพ นับถือ บูชา ยำเกรง ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัช
    บริขาร ภิกษุทั้งหลาย นี้คือมหาโจรจำพวกที่ ๑ ที่มีปรากฏอยู่ในโลก

    {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๑ หน้า :๑๘๐ }

    พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ [๑. ปาราชิกกัณฑ์] ปาราชิกสิกขาบทที่ ๔
    เรื่องภิกษุชาวฝั่งแม่น้ำวัดคุมุทา

    ๒. ภิกษุทั้งหลาย ยังมีภิกษุชั่วบางรูปในธรรมวินัยนี้ เล่าเรียนธรรมวินัยที่
    ตถาคตประกาศแล้ว อวดอ้างว่าเป็นของตน ภิกษุทั้งหลาย นี้คือมหาโจรจำพวกที่ ๒
    ที่มีปรากฏอยู่ในโลก
    ๓. ภิกษุทั้งหลาย ยังมีภิกษุชั่วบางรูปในธรรมวินัยนี้ โจทเพื่อนภิกษุผู้บริสุทธิ์
    ผู้ประพฤติพรหมจรรย์อันบริสุทธิ์ด้วยเรื่องที่ทำลายพรหมจรรย์อันไม่มีมูล ภิกษุ
    ทั้งหลาย นี้คือมหาโจรจำพวกที่ ๓
    ๔. ภิกษุทั้งหลาย ยังมีภิกษุชั่วบางรูปในธรรมวินัยนี้ สงเคราะห์ประจบ
    คฤหัสถ์ด้วยครุภัณฑ์ของสงฆ์คืออาราม พื้นที่อาราม วิหาร พื้นที่วิหาร เตียง ตั่ง ฟูก
    หมอน หม้อ โลหะ อ่างโลหะ กระถางโลหะ กระทะโลหะ มีด ขวาน ผึ่ง จอบ สว่าน
    เถาวัลย์ ไม้ไผ่ หญ้ามุงกระต่าย หญ้าแฝก หญ้าสามัญ ดินเหนียว เครื่องไม้ เครื่องดิน
    ภิกษุทั้งหลาย นี้คือมหาโจรจำพวกที่ ๔
    ๕. ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้กล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรมอันไม่มีอยู่ ไม่เป็นจริง
    จัดเป็นยอดมหาโจรในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้ง
    สมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะภิกษุนั้น ฉันอาหารของ
    ชาวบ้านด้วยไถยจิต


    ภิกษุผู้ประกาศตนซึ่งมีภาวะเป็นอย่างหนึ่งให้
    คนเข้าใจว่าเป็นอย่างอื่น ฉันอาหารด้วยไถยจิต
    เหมือนพรานนกลวงจับนกมากินฉะนั้น ภิกษุชั่ว
    จำนวนมากมีผ้ากาสายะพันที่คอ มีธรรมเลวทราม
    ไม่สำรวม พวกเธอย่อมตกนรก เพราะบาปกรรม
    ทั้งหลายที่เลวทราม ภิกษุทุศีลไม่สำรวม กินก้อน
    เหล็กที่ร้อนเหมือนเปลวไฟยังดีกว่า บริโภค
    อาหารของชาวบ้านไม่ดีเลย

    ทรงบัญญัติสิกขาบท

    ครั้นพระผู้มีพระภาคทรงตำหนิพวกภิกษุชาวฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทาโดยประการต่างๆ
    แล้ว ได้ตรัสโทษแห่งความเป็นคนเลี้ยงยากบำรุงยาก ฯลฯ แล้วจึงรับสั่งให้ภิกษุทั้ง
    หลายยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงดังนี้

    พระบัญญัติ

    [๑๙๖] ก็ ภิกษุใด ไม่รู้ยิ่ง กล่าวอวดอุตริมนุสสธรรมอันเป็นญาณทัสสนะ
    ที่ประเสริฐอันสามารถ ให้น้อมเข้ามาในตนว่า “ข้าพเจ้ารู้อย่างนี้ เห็นอย่างนี้”
    ครั้นสมัยต่อจากนั้น อันผู้ใดผู้หนึ่งโจทก็ตามไม่โจทก็ตาม เธอผู้ต้องอาบัติแล้ว
    หวังความบริสุทธิ์ พึงกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่รู้อย่างนั้น ได้
    กล่าวว่ารู้ ข้าพเจ้าไม่เห็นอย่างนั้น ได้กล่าวว่าเห็น ข้าพเจ้ากล่าวคำไร้ประโยชน์
    เป็นคำเท็จ” แม้ภิกษุนี้เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้
    สิกขาบทนี้ พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้แก่ภิกษุทั้งหลายอย่างนี้
    เรื่องภิกษุชาวฝั่งแม้น้ำวัคคุมุทา จบ

    เรื่องภิกษุสำคัญว่าได้บรรลุ

    [๑๙๗] สมัยนั้น ภิกษุจำนวนมาก เข้าใจมรรคผลที่ยังมิได้เห็นว่าได้เห็น
    มิได้ถึงว่าได้ถึง มิได้บรรลุว่าได้บรรลุ มิได้ทำให้แจ้งว่าได้ทำให้แจ้ง พากันพยากรณ์
    มรรคผลด้วยสำคัญว่าได้บรรลุ ครั้นต่อมา จิตของภิกษุเหล่านั้นเอนเอียงไปทางความ
    กำหนัดบ้าง ทางความขัดเคืองบ้าง ทางความหลงบ้าง เกิดความกังวลใจว่า พระผู้มี
    พระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว แต่พวกเราเข้าใจมรรคผลที่ยังมิได้เห็นว่าได้เห็น
    มิได้ถึงว่าได้ถึง มิได้บรรลุว่าได้บรรลุ มิได้ทำให้แจ้งว่าได้ทำให้แจ้ง จึงอวดอ้างมรรค
    ผลตามที่สำคัญว่าได้บรรลุ พวกเราต้องอาบัติปาราชิกหรือหนอ จึงแจ้งเรื่องนั้นให้
    พระอานนท์ทราบ พระอานนท์จึงกราบทูลเรื่องนั้นให้พระผู้มีพระภาคทรงทราบ
    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “มีอยู่เหมือนกัน อานนท์ ที่ภิกษุทั้งหลายเข้าใจ
    มรรคผลที่ยังมิได้เห็นว่าได้เห็น มิได้ถึงว่าได้ถึง มิได้บรรลุว่าได้บรรลุ มิได้ทำให้แจ้ง
    ว่าได้ทำให้แจ้ง จึงอวดอ้างมรรคผลตามที่สำคัญว่าได้บรรลุ แต่กรณีนี้ไม่ควรกล่าว
    ว่ามี”๑
    ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมีกถา เพราะเรื่องนี้เป็นต้นเหตุ แล้ว
    ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย ฯลฯ รับสั่งให้ภิกษุทั้งหลายยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงดังนี้

    พระอนุบัญญัติ

    อนึ่ง ภิกษุใดไม่รู้ยิ่ง กล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรมอันเป็นญาณทัสสนะที่
    ประเสริฐอันสามารถ ให้น้อมเข้ามาในตนว่า “ข้าพเจ้ารู้อย่างนี้ เห็นอย่างนี้”
    ครั้นสมัยต่อจากนั้น อันผู้ใดผู้หนึ่งโจทก็ตามไม่โจทก็ตาม เธอผู้ต้องอาบัติแล้ว
    หวังความบริสุทธิ์ พึงกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่รู้อย่างนั้น ได้
    กล่าวว่ารู้ ข้าพเจ้าไม่เห็นอย่างนั้น ได้กล่าวว่าเห็น ข้าพเจ้ากล่าวคำไร้ประโยชน์
    เป็นคำเท็จ” เว้นไว้แต่สำคัญว่าได้บรรลุ แม้ภิกษุนี้ก็เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้
    เรื่องภิกษุสำคัญว่าได้บรรลุ จบ
     
  6. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,820
    อ่านที่ตัวเองโพสต์ดีๆนะ ตัวแดงๆ คงจะเข้าใจตามความคิดตัวเองสินะ

    เพราะอวดอุตตริมนุสสธรรม ที่ไม่มีอยุ่จริง ปาราชิก ครับ ^^


    ผมว่า ก่อนจะโพสต์ ลองไปทำความเข้าใจก่อนนะว่า อุตตริมนุสสธรรม คืออะไร มีอะไรตั้งแต่อะไรขึ้นไปบ้างดีกว่านะครับ.
     
  7. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,820
    ละก็เตือนด้วยความหวังดี ถ้าคิดเพ่งโทษหากรรมเข้าตัวแบบนี้

    จะทำอะไรก็เรื่องของคุณ กรรมใครกรรมมัน ^^ ใจคิดอะไรทำอะไรตัวเองรู้ตัวเอง
     
  8. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    ควรจะให้เกียรติผู้ตายนะครับ
    ถึงตอนเขาอยู่จะชอบกวนๆ มีแนวคิดหลุดโลก
    แต่ที่เขาตาย ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ
    ก็ไม่เกี่ยวกับกรรมปรามาสหรือกรรมกล่าวตู่อะไรหรอกครับ
    ตายเพราะล้ม ก็เป็นเพราะอุบัติเหตุ เป็นเรื่องของสุขภาพ และความประมาท
    ไม่ควรจะหยิบยกเอาเรื่องของเขามาซ้ำเติมอีก
    อโหสิกรรม หมายความว่า จบ ไม่ระลึกถึง ไม่ติดใจเอาความ ไม่โจมตี ไม่อาฆาต ไม่ซ้ำเติม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 สิงหาคม 2014
  9. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,820
    ลิ้งที่ยกมานั้น เจ้าตัวก็เป็นคนโพสต์เอง พิมพ์เอง นั้นแค่ส่วนเสี้ยวนึง เรื่องอื่นๆยังมีอีกมากมาย ถ้าวางใจเป็นกลาง

    ใครที่ไหนจะไปซ้ำเติม คุณไม่เชื่อ ก็เรื่องของคุณครับ

    ลองไปสืบเอาเองครับ

    เจตนาในการโพสต์ตัวผม ผมรู้ตัวดีครับว่าคิดอะไรอยู่ แล้วก็ไม่ได้ซ้ำเติม ไม่ได้ก่อกรรมใดๆ หรือ ซ้ำเติมกับคนเสียชีวิต หรอกครับ คุณไม่ต้อง มโน ให้ผมหรอกนะ ^^

    แค่อยากจะเตือนบางคน อยู่ดีๆ อย่าไปสร้างกรรมหาเรื่องด้วยความไม่รู้ จะเดือดร้อนใจตัวเอง เผาตัวเองด้วยความไม่รู้ หรือ รู้แล้วยังทำ ก็คงต้องปล่อยวางครับ.
     
  10. TheVisionMind

    TheVisionMind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2014
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +2,226
    อยู่ที่นี่มีมาตั้งนาน .. ยังดัก--- อยู่กับที่ ชั่งแก่แต่ตัว!
    เป็นหนอนตัวหนังสือ ได้แต่ลูบคลำตัวหนังสือไปวันๆ
    (น่าสมเพศ)

    ตัวเองรู้ตัวหรือป่าวว่าเข้าเว็บนี้เพื่ออะไร?
    เผลอๆ มันยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำไป .. เอาตำรามาอ้างอวดเก่งไปวันๆ
    กรุละเพลียเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 สิงหาคม 2014
  11. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,820
    พระอาจารย์กล่าวถึงคำว่า อวดอุตริมนุสสธรรม ว่า " อวดอุตริมนุสสธรรม คนมักจะพูดไปเรื่อย โดยที่ไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริง

    อุตริมนุสสธรรม คือ ธรรมอันยิ่งเกินกว่ามนุษย์ทั่วไปจะทำได้ พระพุทธเจ้าท่านปรับอาบัติขาดความเป็นพระ ต่อเมื่อไม่มีแล้วบอกเขาว่ามี ไม่ใช่ว่ามีแล้วไปปรับ"


    ธรรมะคำสอนและรวม ถาม-ตอบปัญหาธรรม
    โดย หลวงพี่เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
     
  12. Tawee gibb

    Tawee gibb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    1,175
    ค่าพลัง:
    +1,721
    (เหล่าฮุปรารภในใจคนเดียวว่า...)
    ระหว่างพระพุทธเจ้าพูด กะ พระเฒ่าพูด พวกแมร่งแห่กันออกมาปกป้องพระเฒ่า ไฉนไม่ยักมีใครออกมาปกป้องพระพุทธเจ้า ทั้งเห็นชัดอยู่แท้ๆว่า2ข้อความขัดกัน อันหนึ่งห้ามอวด อีกอันอวดโอหัง นี่ไม่รู้ว่าหากพระพุทธเจ้ายังอยู่ พระเฒ่าจอมโวไม่รู้อีกเท่าไหร่จะแก้ตัวอย่างไร เฮ่อ!

    ดูพวกแมร่ง ! สมควรเสวนากะมันรึเป่าหว่า
    นี่ขนาดเหล่าฮุยังไม่ได้พูดอะไรแท้ๆ ยังโดนมันถล่มตุ๊บๆตั่บๆ
    ขืนพูดอะไรออกไป เละแน่กรู
    สาวกผู้โง่เขลา ศรัทธาจนตาบอด
    ตาเห็นก็ไม่ลู หูได้ยินก็ไม่ฟัง!

    อย่ากระนั้นเลย เอาตัวรอดดีก่า
    ศาสนาม่ายช่ายของตูผู้เลียว


    เหล่าฮุยังไม่ได้พูดอะไรนา
    ก็มะรู้ แค่เห็นทะแม่งๆเฉยๆเอง
    เห็นโอ้อวดว่าตัวเองเป็นอรหันต์เองนี่นา
    พระอรหันอะไรฟระ ร้องไห้เป็นเด็กๆ!
    แปล๊กแปลก!








    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 สิงหาคม 2014
  13. TheVisionMind

    TheVisionMind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2014
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +2,226
    ไอ้...ปญอ. ไอ้โง่เง้าเต่าตุ่น ..เอ็งเป็นพระอรหันหรืองัย ถึงรู้ดี?
    กรุติดตามอ่านคำเทศน์ท่านทุกวันตอนท่านขึ้นนำช่วยชาติ
    กรุรู้ว่ะว่าอะไรเป็นคุณประโยชน์อะไรมันยากอะไรมันง่าย

    เอ็งทำประโยชน์อะไรให้ประเทศบ้างว่ะ ..
    ขี้หน้าอย่างเอ็งยังไม่รู้อะไรเป็นคุณ..
    กรุว่า ปญอ. อย่างเอ็งหัดทำประโยชน์ของตัวเองในแต่ละวันให้ได้เฮอะว่ะ .. ว่ามั้ย?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 สิงหาคม 2014
  14. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    ที่ทำอยู่นั่นเรียกว่าซ้ำเติมครับ
    ผมเตือน ก็เพราะคุณทำไปโดยไม่คิด
    เพราะคุณไปยึดมั่นในสิ่งไม่ดีที่คุณพลศักดิ์ทำไว้
    ถ้าคุณปล่อยวาง และทำใจเป็นกลางได้จริงหรอกครับ
    หากทำได้ คุณไม่ไปจับเอาเขามาเป็นตัวอย่างหรอกครับ
    อาจจะไม่เข้ามาโต้เถียงกับผู้โพสต้นๆเรื่องหลวงตามหาบัวด้วยซ้ำ
    เบาๆลงบ้างนะครับ
    กรรมใดๆ แม้ขาดเจตนา แต่มันก็มีผลครับ
    คนหนึ่งตาย คุณก็โยงไปเรื่องปรามาส
    ยกเอาเรื่องของคนอื่น มาเสริมความเห็นของตนเองเฉยเลย
    หลักๆที่คุณวางไม่ได่ก็เรื่อง ปรามาส นี่แหละ
    กระทู้อะไรก็ตามเกือบทั้งหมดที่คุณไปตอบ จะต้องโยงไปที่ปรามาสเกือบหมด
    ยึดมากทุกข์มากนะครัย
    คุณบอกเรื่อยเลย ว่า ปล่อยวาง ปล่อยวาง
    ต้องทำให้ด้วยนะครับ ไม่ใช่ ทำไม่ได้ แต่คิดว่าทำได้ แล้วเฝ้าแต่พร่ำบอก
     
  15. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    แรงไปแหละนาย
    ถึงจะจริง ไม่จริง
    เราก๋ไม่ควรไปย่ำยีศรัทธาของผู้อื่นหรอกนะ
    ถ้าหลวงตาเขาปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เขาก็เป็นสุปฏิปันโน
    จะสำเร็จ ไม่สำเร็จ ไม่เห็นต้องสนใจเลย
    เอาสิ่งดีๆที่ท่านทำ ท่านปฏิบัติเป็นตัวอย่าง
    เรื่องอวด ไม่อวด ปารา ไม่ปารา ก็เป็นเรื่องที่รู้จริงเฉพาะหลวงตาท่าน
    เป็นเรื่องของท่าน ท่านทำดี ได้ดี ท่านทำไม่ดี ท่านก็ได้ไม่ดีเอง ท่านจะบรรลุก็บรรบุของท่าน
    เราสิ ไปสงสัย ไปคิดไม่ดี เราไม่ต้องลุ้นขึ้นเลย ลงตั้งแต่คิดแล้วครับ
     
  16. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    เหล่าฮู..!! เค้ามีธงการเมืองในใจ

    เมื่อมีธงในใจ ก็พลอยเอาการเมืองมาตีกับธรรม

    พอมาตีกับธรรม ก็เลยต้อง ตกนารก นายจายยย...

    ไม่ใช่ ตกกระไดพลอยโจร นะ แต่ ตกนารก ^^

    สิ่งทั้งหลายมาแต่เหตุ
     
  17. TheVisionMind

    TheVisionMind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2014
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +2,226
    ดูไอ้ ปญอ. มันคิด มันเอาเรื่องร้องไห้ของท่าน มาลบล้างเรื่องดีๆของท่านไปหมด ..

    แม่ง เอ็งเอาส้นตรีคิดแทนหัวหรืองัยว่ะ ..
    กรุว่าเอ็งก็ยังไม่รู้อีกว่าท่านร้องไห้เสียใจเรื่องอะไรด้วยซ้ำ

    กรุว่าเอ็ง อ่อน มากเลยว่ะ .. เด็กประถมบางคนยังเก่งกว่าเอ็งเลยว่ะ
    ขอย้ำนะเว่ย แล้วเอ็งดูพระสำเร็จธรรมออกหรือว่ะ ..
    ถ้าดูไม่ออก ก็อย่าเผยความโง่ออกมา .. เข้าใจ๋?
     
  18. TheVisionMind

    TheVisionMind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2014
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +2,226
    ถ้าเอ็งอยากได้การคิดแบบส้นตรี ..
    แน่จริงมึงเอารูปพ่อมึงแม่มึงมาสิ .. กรุจะวิจารณ์แบบมึงให้ดู
    กรุจะไม่เอาความดีที่พ่อแม่มึงเคยดีกะมึงมาพูดด้วย เอาดิ
     
  19. Tawee gibb

    Tawee gibb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    1,175
    ค่าพลัง:
    +1,721

    (เหล่าฮุปรารภในใจคนเดียวว่า...)

    55555555
    ดิ้นพราดๆๆ เหมือนกะลังถูกนรกกินกะบาน
    แขวะเราว่าเป็นอรหันต์ ถึงได้รู้ดี
    มันก็คงเป็นอรหันต์ซะเองแน่ๆ
    ถึงได้ดูพระเฒ่าออกเลยชัวร์ว่าอรหันต์ไม่ต้องสงสัย
    แมร่งบ้าอรหันต์ไม่ลืมหูลืมตา
    คงเพราะถูกกรอกใส่รูหูทุกวัน
    เลยเพ้อหาแต่อรหันต์ น่าโสงสาร

    ฮี่ๆๆๆ ปล่อยแมร่้งบ้าไปคนเดียวดีก่า



    แน๊ ! จู่ๆพูกเหมือนสอน
    มาทำเป็นกันเองเหมือนผู้ใหญ่สอนเด็กเลยเร๊อะ!

    อะไรแรงเร๊อะ เรื่องพระสูตรข้างบนน่ะเร๊อะ
    ศรัทธาของใครของมันเส่ เหล่าฮุป่าวว่าใครนา
    อ.บัวร้องห่มร้องไห้ ใครๆก็รู้ ใครๆก็เห็น
    อันนี้เป็นสากลนา
    อะไรจิน อะไรไม่จิน เหล่าฮูก็ยังมะได้พูกอะไรเลย
    แค่ไปยกเอาที่พระ3รูปพูก
    รูปนึงคือตาบัว
    รูปนึงไม่บอก
    อีกรูปคือพระพุทธเจ้า
    เอาคำพูกมาเปรียบเทียบ กงไปกงมา
    อยากรู้เหมือนกันว่าพุทธบริษัทจะฟังใครมากฝ่า
    แรงกงไหนหว่า!
    (แต่โสงสัยจะซรวยแล้ว มะเห็นมีใครเข้าข้างพระพุทธเจ้าว่ะ มีแต่เถียงแทนพระเฒ่า)

    อีจะอวด อีไม่อวด สำเร็จไม่สำเร็จ เรื่องของอี อั๊วะไม่เกี่ยว!
    เหล่าฮูเห็นเค้ามาแปะ ไม่มีสิทธิสงสัยเร๊อะไงฟระ
    เหล่าฮุเป็นชาวพุทธนา ไม่โง่บรัดซบจนใครพูกอะไรก็เชื่อเขาไปหมด
    ขืนเชื่อ ก็แปะยิ๊งเส่
    ไม่เชื่อไว้ก่อน ปลอดภัยไม่เข้าเนื้อ
    ไม่งั้นก็จะต้องดักดานไปยันลูกหลาน
    (เห็นตัวอย่างบ้างรึเป่าล่ะ แถวนี้ก็มีให้เห็นนา)

    อ้อ เรื่องคิดดี-คิดไม่ดี อย่าสนใจเลย
    เหล่าฮุสะกิดให้คนดูเฉยๆ
    เผื่อมีใครถูกหวยมองเห็นอะไรหอม-อะไรเหม็น
    (แมร่งแยกกันมะค่อยออกว่ะ)

    ใครมันคิอย่างไร ช่างอี เรื่องของอี
    เหล่าฮุเชื่ออย่างไร เรื่องของเหล่าฮู ตังค์ก็ตังค์ของเหล่าฮู
    (ขนาดพระพุทธเจ้าพูก อีกยังไม่ฟังเลย เหล่าฮุไหนเลยจะกล้าไปสั่งสอนพวกอี ปล่อยให้ธรรมชาติฆ่ามันเองดีก่า)

    ปล.
    อย่าพูกอะไรเป็นกลางๆเข้าว่าเส่
    ถูกก็คือถูก ผิดก็คือผิด
    จะมาดีๆชั่วๆ อวด-ไม่อวด บรรลุ-ไม่บรรลุ ก็แย่เส่
    เลือกสักอย่างเถอะ
    จะมาเอาขี้ปนกะข้าวแล้วผสมกันกิน ไม่ไหวนา

    ตาบัวหากใช่อรหันต์ เหล่าฮูคงซรวยแต่เพียงผู้เดียว
    แต่หาก ไม่ใช่ดังที่โม้ไว้ล่ะ
    เคยสำเหนียกไหมว่า มันหายนะมหาวินาศขนาดไหน
    ฮี่ๆๆๆๆๆๆๆ
    ป่านนี้คงหลายสิบล้านหน่วยแล้วล่ะ
    บอกห้าย

    แต่ถ้าเหล่าฮุคิดถูกนะ ก็รอดตัวสบายไป
    ไม่ต้องเวียนว่ายอยู่ในมหาสมุทรแห่งฟามงมงายไม่เห็นฝั่ง
    (ขอให้โชคดีเอาตัวรอดได้เน่อ!)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 สิงหาคม 2014
  20. Tawee gibb

    Tawee gibb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    1,175
    ค่าพลัง:
    +1,721
    อาสุลิง
    เหล่าฮุฟังท่านเพ้อมาหลายครั้งแล้ว
    ปรักปรำเหล่าฮุว่ามีธง
    พูกอย่างนี้เสียหายนา
    มาทำของโปรไฟล์เหล่าฮุคลาดเคลื่อน

    ว่าแต่ ลื่อเป็นพระช่ายบ๋อ
    หวังว่าจะไม่ใช่พระสุลิงที่สอนกัมมฐานอยู่นา
    ถ้าใช่ก็น่าจะสำเหนียกได้นาว่าเหล่าฮุเป็งคราย
    เดี๋ยวได้่ไปถวายฟามรู้ถึงกุฏิร๊อก

    จะไปฟ้องหลวงพ่อล่วย
    อาแร๊-าย แยกดี-ชั่วม่ายล่าย
    จะไปสอนลิงที่ไหนได้ฟระ!
     

แชร์หน้านี้

Loading...