หลวงตาอ๋อยเทพฤทธิ์ย่ามแดง .... พยายมราชองค์ปัจจุบัน
ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย ยมราชาโณ, 9 ธันวาคม 2016.
หน้า 2 ของ 2
-
-
ช่วงนี้อยู่ระหว่างเดินทางทำงาน
เด่ว
ช่วงนี้อยู่ระหว่างเดินทางทำงานครับ
ที่วัดนี้นอกจากที่เล่ามา
ส่วนตัวได้รับคำแนะนำจาก
พระครูปลัดจิตไวท่านหนึ่ง
ที่ อ.จตุรัส ชื่อย่อ ส.
ที่เป็นมิตรกับหลวงตา ใครเคยไปพบ
พระครูท่านนี้ถ้ามองรูปที่พนังด้านขวา จะเห็นรูป
ลต.กับ ท่านอยู่ เมื่อซักปีครึ่งที่ผ่านมา
ให้มาต่อยอดวิชาบางอย่างที่วัดนี้ เรียน
ที่หน้า ลป.ดำ
เพื่อใช้ยึดเวลาบางคนที่ใกล้หมดอายุไขเพื่อที่จะ
อยู่บนโลกนี้ออกไปได้อีก
ตามวาระแห่งบุคคลนั้นๆ
ตามแต่เหตุและปัจจัยความเหมาะสมครับ
มีรูปถ่ายส่วนตัวมาให้ดูเล่นๆช่วงไปวัดดึกๆครับ -
หมอยา 3
ประจักษ์พยานถึงอัจฉริยภาพทางการแพทย์แผนไทยของท่านอันหนึ่งก็คือ การที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น ในโครงการความร่วมมือกับสถาบันการแพทย์แผนไทย กระทรวงสาธารณสุข ได้มอบประกาศนียบัตรให้แก่ท่าน ว่าเป็นบุคคลผู้มีความรู้ความสามารถทางด้านการแพทย์แผนไทย และมีคุณูปการ อุปการคุณต่อการศึกษาทางการแพทย์แผนไทยเป็นอย่างดียิ่ง เมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๔๓ ความรู้ทางการแพทย์หลากแขนงของหลวงตาอย่างที่เรียกว่า “แพทย์ปริญญา” นี้ คงไม่น่าทึ่งน่าฉงนเท่าสาขา “แพทย์อภิญญา” สงสัยว่าจะหาที่เรียนได้จากที่ไหนบ้างหนอ ทําให้ระลึกถึงเรื่องการรักษาด้วยอํานาจจิตที่สมเด็จพระมหาธีราจารย์ฯวัดชนะสงคราม เคยประทานเล่าให้ฟัง....
ความที่หลวงตาเคยถวายการรักษาแด่สมเด็จฯ จนมีความรักใคร่นับถือกัน ในวาระวันคล้ายวันเกิดของสมเด็จฯท่าน หากปีใดหลวงตาติดกิจสําคัญ ท่านจะมอบหมายให้ผู้เขียนกับคณะไปกราบสมเด็จฯแทนท่านทุกปีครั้งหนึ่งสมเด็จฯเคยประทานเล่าให้ฟังว่า
ตัวท่านเองนั้นเมื่อสมัยยังเป็นกุมารน้อยก็รู้จักญาติผู้ใหญ่ของท่านคนหนึ่ง มีความสามารถพิเศษคล้ายหลวงตา คือสามารถรักษาคนที่เป็นฝีในท้องให้หายโดยใช้อภิญญา จะใช้หยูกยาอย่างไรประกอบไม่แน่ชัด แต่เวลารักษานั้นจะอธิษฐานเอาโรคของคนไข้มาใส่ไว้ในตัวเอง แล้วก็มีอาการเจ็บป่วยด้วยโรคนั้นแทนด้วย เห็นเป็นที่น่าอัศจรรย์ แต่เสียดายที่ญาติผู้ใหญ่ที่ว่านั้นอายุไขไม่ยืนยาวนัก คงเพราะตรากตรําด้วยรับโรครับกรรมแทนผู้อื่นตลอด ที่สมเด็จฯ เมตตาเล่าให้ฟังนั้นเห็นจะเป็นจริง ผู้เขียนเองก็เป็นประจักษ์พยานในเหตุการณ์ที่หลวงตารักษาโรคให้ลูกศิษย์ลูกหานับครั้งไม่ถ้วน หลายรายที่สาหัสเจียนตายอยู่รอมร่อท่านก็ยังพลิกเอาฟื้นกลับเป็นปกติภายในข้ามคืนก็มี แต่ท่านก็ต้องครองอาการเจ็บป่วยสาหัสนั้นแทน ไม่ปรากฏว่าเคยได้ยินท่านปริปากบ่นแม้แต่น้อย ท่านคงต้องใช้ขันติข่มความเจ็บปวดอย่างมาก เมื่อพิจารณาจากกองเลือดที่ท่านขับถ่ายและอาเจียนออกมาจํานวนมาก ท่านว่าถ้าช่วยใครแล้วคุ้ม คือคนที่ท่านช่วยนั้นมีคุณธรรม มีคุณค่าต่อสังคมประเทศชาติและต่อพระศาสนา ท่านก็ยินดีเสียสละเอาบุญบารมีและชีวิตของท่านสงเคราะห์ให้เคยเรียนถามท่านว่า เห็นพระครูฯของท่านเคยแนะให้ใช้วิชา “เซียงเมี่ยง” ถ่ายเอาโรคลงหุ่นดินบ้าง ลงต้นกล้วยบ้าง ฯลฯ จะได้ไม่ต้องแบกเอาโรคไว้กับตัวเอง ! (เหมือนครั้งหนึ่งสมัยแรกๆเคยเห็นท่านดึงเอาสารพิษฝนเหลืองจากตัวคนไข้ที่รับมาจากสงครามเวียดนาม ครั้งนั้นพระครูออกอุบายให้ตบถ่ายโรคใส่ผนังกุฏิไว้ น่าประหลาดคือผนังที่ถูกตบถ่ายโรคไว้เปลี่ยนเป็นสีเหลืองให้เห็นเสียด้วย)
หลวงตาตอบด้วยเสียงราบเรียบว่า “อยากจะเป็นใหญ่ก็ต้องแลกเอา” เข้าใจว่าท่านหมายถึงต้องแลกด้วยชีวิตของตนเองจึงจะเป็นการสร้างบารมีใหญ่ ในความเห็นของผู้เขียน ลําพังเรื่องการรักษาผู้คนของท่าน ท่านก็ได้บําเพ็ญบารมีไม่ต่ำกว่า ๔ ทัศ ซึ่งมีทั้งหมด ๑๐ ทัศ ได้แก่
๑.ทานปารมีคือการสละเอาชีวิตของท่านเอง แลกกับโรคภัยไข้เจ็บของคนไข้
๒.เมตตาปารมีท่านมีความกรุณาสงเคราะห์คนป่วยทั้งหลาย เสมอกันไม่เลือกยากดีมีจนหรือชั้นวรรณะ
๓.ขันติปารมี ท่านต้องมีความข่ม ความอดทนในการแบกทุกขเวทนาแทนคนที่ท่านรักษาให้
๔.วิริยปารมี ท่านช่วยคนโดยสม่ำเสมอ แม้ในช่วงที่
สังขารท่านร่วงโรยไปมากแล้วก็ไม่เคยบ่ายเบี่ยงเกี่ยงงอน
เรื่องราวความสามารถและอัจฉริยภาพของหลวงตานั้น ลําพังจากมุมมองของบุคคลคนเดียวก็ยังมี
มากมาย ไม่สามารถจาระไนได้หมดครบถ้วนทุกเรื่องราวในที่นี้ มิฉะนั้น หนังสือที่ระลึก ในการ
สมโภชมหารัตนเจดีย์ฯฉบับนี้จะยืดยาวกลายป็นหนังสือที่ระลึกชาติไปเสีย -
หลวงตาม้าตอบปัญหาธรรมเกี่ยวกับหลวงตาอ๋อย
ถาม : อยากสอบถามเกี่ยวกับหลวงตาอ๋อยค่ะหลวงตา
หลวงตาม้า : หลวงตาอ๋อยท่านเป็นโพธิสัตว์นะ หลวงตาอ๋อยเจอกันมาหลายสิบปี เจอกันนานมาแล้ว ถ้าความเชื่อเรานะพูดถึงอ่ะ หลวงตาอ๋อยก็คือพญายมราชนั่นน่ะ ท่านรับตำแหน่งตั้งแต่ท่านยังไม่เสียชีวิตนะ ตำแหน่งในโลกของวิญญาณกับตำแหน่งในโลกของมนุษย์มันคล้ายๆกันนะฮะ เขาจะเปลี่ยนกันไปเรื่อยๆ โดยปกติแล้วจะเป็นโพธิสัตว์ซะส่วนใหญ่ จะเป็นตำแหน่งพระอินทร์หรือท่าวจตุโลกบาลอะไรเนี่ย หรือพระพรหมบางองค์ หรือพญายมราชอะไรเนี่ยเค้าจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ องค์ไหนไปสร้างบารมี อีกองค์ก็ไปแทน ทำหน้าที่แทน ลักษณะเดียวกัน เพราะฉะนั้นหลวงตาอ๋อยก็คือพญายมราชนั่นแหละ ในยุคปัจจุบันเนี่ยเปลี่ยนจาก ไปรับตำแหน่งจากลุงพุฒิอ่ะ องค์ก่อนนั่นน่ะ ท่านไปสร้างบารมี
ถาม : แล้วสมัยที่หลวงตาอ๋อยท่านมีชีวิตอย่างนี้ค่ะหลวงตา หลวงตาอ๋อยช่วยศาสนาหรือช่วยประเทศอย่างไรบ้าง
หลวงตาม้า : เขารักษาโรคนะ ตอนที่เจอเขาน่ะ ตอนที่เจอครั้งแรกน่ะ หลวงตาอ๋อยน่ะเป็นนักธุรกิจว่าจริงๆแล้ว นักธุรกิจไปต่างประเทศด้วย ไปศึกษาแพทย์ของรัสเซียด้วย พอตอนหลังเขามาภาวนาแล้วความสงบมันเกิด เพราะในอดีตเขามีอยู่แล้ว เขาเลยเข้าป่าไปหลายปีนะ ไปเพลิดเพลินกับสิ่งที่ตนเองฝึกหลายปี ค่อนข้างจะมีฤทธิ์นะ เพราะฉะนั้นตอนหลังเขาไปเรียนวิชารักษาโรคกับอาจารย์เขาที่ถ้ำ นี่พูดย่อๆนะ นี่เขาเล่าให้ฟังนะ ถ้ำแถวไหนนะแม่ชี ป่าละอู แถวเพชรบุรีนะ เขาไปเรียนเนี่ยอาจารย์เขาไม่เห็นหน้านะ เห็นครึ่งตัวแค่นั้นเอง เข้าไปอยูบนถ้ำข้างบนนะ บนถ้ำมันก็สูงสองเท่าของตรงนี้เนี่ย ตรงฐานหลวงปู่นี่แหละ ที่เขาเรียนนี่มันออกมาจากฝาผนัง หนังสือออกมาจะเรียนการรักษาโรค พวกยาพวกอะไรเนี่ย เขาจะหนีหลายครั้งฮะ แต่เขาออกไม่ได้ ออกจากถ้ำไม่ได้ เหมือนมีกระจก พอจะโดดก็เหมือนมีกระจกบัง จำเป็นต้องเรียนนะ เรียนประมาณกี่ปีนะที่เขาเล่า สองสามปีได้มั้งนะ พอเรียนจบแล้วโดนถีบลงจากถ้ำฮะ เขาก็ลงมาอยู่ที่แม่กลอง มารักษาโรค โรคที่โรงพยาบาลไม่รักษาไม่รับ ทีนี้ช่วงนั้นก็เลยไปมาหาสู่กันเลย ระหว่างหลวงตาอ๋อย ไปก็จะเล่าเรื่องให้ฟังนะ คุยสนุกฮะคุยสนุก เรื่องราวเยอะแยะ
ตอบปัญหาธรรม หลวงตาม้า -
"ที่ท่านตาอ๋อยลงไปดำรงตำแหน่งพญายมราชตอนนี้ เพราะโลกกำลังจะเปลี่ยน ลงไปเตรียมเช็คบิลนะ ท่านเป็นโพธิสัตว์ จะเป็นพระพุทธเจ้าในอีกไม่กี่องค์ข้างหน้า
ระวังนะ เราอย่าไปทำกรรมหนัก เจอแน่ ยักษ์ทั้งหลาย เป็นโพธิสัตว์นะ ท่านไม่อยู่ข้างล่างนานหรอก เกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ เก็บบัญชีเสร็จ เดี๋ยวท่านก็กลับมาเกิด เพราะอยู่ข้างล่างสร้างบารมีไม่ได้มากนะ ไม่เหมือนมนุษย์ สร้างบารมีได้ดีที่สุด"
หลวงตาม้า วัดถ้ำเมืองนะ -
-
อีกหนึ่งของดีที่หลวงตาอ๋อยเมตตามอบให้แก่ลูกหลาน -
นี่ละครับเมตตาของครูบาอาจารย์หาประมาณมิได้จริงๆสาธุครับ
-
28 เมษายน 2563
น้อมกราบขอขมาองค์หลวงตา
โอม..นะโมข้าขอตั้งจิต
โอม..ข้าขอนบหัตถ์อธิษฐาน
ถึงองค์ยมราชผู้บริบาล
คือพ่อท่านหลวงตาย่ามแดง
ได้โปรดอโหสิกรรมแก่ข้าฯบริวาร
หากได้ล่วงเกินแก่ท่าน
ด้วยอำนาจโมหะเขลาเบาปัญญา
หรือด้วยทุษษาอารมณ์นำไป
ล่วงเกินในไตรทวาร
มีกายะกัมมะ3 อีก4กัมมะวจี
ที่สุดด้วยมโนกัมมะตรี
ที่อาจมีเผลอพลั้งไป
โดยอาจเจตนาก็ดี
หรือไม่เจตนาตั้งไว้
กอปรล่วงไปแล้วก็ได้
กำลังกระทำอยู่ไซร้
ถึงกาลภายหน้าอนาคต
ขอพญายมราชผู้ทรงยศ
คือองค์เทพฤทธิ์ย่ามแดง
ได้มีจิตเมตต์มั่นไม่คลอนแคลน
อภัยทานแก่ปวงข้าฯ
ให้ทุกๆกรรมไม่เป็นโทษ
ในทุกๆโจทย์ไม่เป็นผล
อดในทุกโทษที่เคยทำ
อโหสิในทุกๆกรรมกล้ำกมล
อย่าเวียนวนเป็นเวรกรรมแก่กันสืบไป
โอม..ขอมหาอานิสงส์
ในความเพียรและพลีกรรมชอบ
ที่ปวงข้าฯได้กอปรกระทำแล้ว
จงเป็นดวงแก้วบุญญาพลาดิศัย
อุทิศแด่พญายมราชและบริวารเป็นมโนมัย
ทุกถ้วนทิศจิตวิญญาณ
เนื่องเป็นมหาบุญไม่มีสิ้น
นองเป็นมหาสินธุ์ไม่มีสุดประมาณ
เป็นศิริและประภา
สุดสุขในทุกบุญญกิริยา
สถาพรตราบนานเทอญ
สาธุ สาธุ สาธุ -
" จริงเหมือนไม่จริง
ไม่จริงเหมือนจริง
ใบไม้ย่อมเป็นใบไม้
ดูลมภาวนาจนลมหายใจหาย
กูดูกู มึงดูมึง "
หลวงตาย่ามแดง -
-
สถาปนามหารัตนเจดีย์ศรีไตรโลก
หลวงตาสงเคราะห์ผู้คนอยู่ระยะหนึ่งจวบจนราวปี พุทธศักราช ๒๕๓๕ ท่านพิจารณาแล้วเห็นว่าได้ โปรดผู้คนในต่างถิ่นเป็นเวลาสมควรแล้ว ก็ตัดสินใจ กลับมาโปรดลูกหลานตนเองในบ้านเกิดของท่านที่ จังหวัดขอนแก่น ประมาณปี๒๕๔๒ ท่านระลึกขึ้นได้ว่าท่านยังมีที่ดินเก่าแก่อยู่แปลงหนึ่งพื้นที่ราว ๕ ไร่ ตั้งอยู่ที่ ต.พระลับ ในเขตอำเภอเมือง จึงได้ว่าจ้างรถแบคโฮมาปรับที่ดินเพื่อเตรียมพื้นที่ไว้ทำเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมส่วนตัวของท่านเอง รถแบคโฮนั้นขุดปรับแต่ง ดินอยู่พักหนึ่งก็มีเรื่องอัศจรรย์คือไปขุดเจอเอาพระขรรค์โบราณเข้า (เท่าที่ผู้เขียนเคยเห็นจำได้ว่าเป็น พระขรรค์สำริดเก่าคร่ำยาวราวฟุตกว่า) ทำให้ท่านเกิดฉุกใจขึ้นมาว่าที่ดินของท่านแปลงนี้คง ”ไม่ ธรรมดา” เมื่อกำหนดจิตดูจึงรู้ด้วยญาณวิถีในทันทีว่าผืนแผ่นดินที่ว่านี้เป็นแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ ท่านเรียกว่าเป็น “แผ่นดินสามโลกธาตุ” มหารัตนเจดีย์ศรีไตรโลกธาตุ เป็นจุดบรรจบกันของสามโลก คือแดนมนุษย์ สวรรค์และบาดาล (นาคพิภพและนิรยภูมิ) เป็นช่องทางสำคัญอันเหล่าเทวดาทั้งเบื้องบนและเบื้องล่างสัญจรติดต่อถึงกัน ท่านจึงดำริให้สร้างวัดขึ้น โดยร่วมกับลูกหลาน ศิษยานุศิษย์จัดซื้อที่ดินเพิ่มเติมให้เพียงพอเหมาะสมแก่การตั้งวัด จนในปัจจุบันมีที่ดินรวมกว่า๗๓ไร่ โดยที่ตรงจุดสำคัญสามโลกธาตุนั้นท่านก็กำหนดให้ สร้างพระมหาเจดีย์ครอบไว้ ท่านเคยกล่าวให้ลูกหลานฟังว่า “สร้างมหาเจดีย์ ไม่ใช่เพื่อตัวเราเอง แต่จะสงเคราะห์ลูกหลานให้ลูกหลานได้มีโอกาสสร้างบุญใหญกัน...ต่อไปจะได้สบาย” แต่เป็นที่รู้กันในหมู่ลูกหลานใกล้ชิดว่า หลวงตาไม่ได้เพียงแต่จะสร้างพระมหาเจดีย์เพื่อสงเคราะห์ลูกหลานเท่านั้น ท่านยังแฝงความมุ่งหมายอื่นไว้ คือ ให้มหาบุญมหากุศลจากการสร้างพระมหาเจดีย์แห่ง นี้ค้ำจุนไปถึงประเทศชาติและพระราชวงศ์จักรี ท่านมักกล่าวอยู่เนืองๆว่า “สร้างถวายในหลวง” ความรักและเทิดทูนในองค์พระเจ้าอยู่หัวของท่านนั้นเป็นที่ประจักษ์กันดี การทำบุญในวาระสำคัญๆ จึงมักจบลงด้วยการร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีเป็นประจำ นับว่าเป็นขนบที่แปลกออกไปจากวัด อื่นๆ “เณรๆ เณรร้องเพลงไม่ได้นะครับ...” เสียงคุณโยมที่คอยร้องเตือนพวกเณรตัวน้อยที่มักเผลอ ”มีอารมณ์ร่วม” ร้องตามไปด้วย เป็นช่วงเวลาที่นำรอยยิ้มมาสู่พวกเราเสมอ “ขอพระองค์ทรงพระเจริญ...”
จากหนังสือที่ระลึกสมโภชน์มหารัตนเจดีย์ศรีไตรโลกธาตุไฟล์ที่แนบมา:
-
-
หลวงตา อ๋อย ถ้าท่านยังอยู่
เรื่อง ใช้กำลังจิตรักษาโรค
จะเรียกว่าเป็นมือ ๑ เลยก็ว่าได้
(พระครูปลัดจิตไวท่านหนึ่งกล่าวไว้)
คงเคยได้ยินที่ท่านใช้มีดหมอ
ผ่าตัดให้คนมาแล้วนะครับ
(ผ่าแบบใช้กำลังจิต ไม่ได้เฉือนเนื้อ)
วันที่ ทำพิธีฝั่งลูกนิมิตร พระมหาเจดีย์ฯ
ส่วนตัวได้ไปที่วัดด้วยครับ
เพื่อนชวนไป เป็นครั้งแรกเลยที่ไปวัดนี้
และที่น่าแปลกคือ ส่วนตัวมองท่าน
(ครั้งแรกที่เจอ)
ตอนที่นั่งแจกวัตถุมงคล(ส่วนตัวไหวก็เฉยๆแต่ไม่ได้รับนะครับ) ไม่ได้เห็นท่าน
ในบุคคลิกแบบนี้นะครับ เอาว่าดูดีหน้าใส
อวบอิ่มมาก ผิวตึงผ่องมาแต่ไกลแล้วกัน
ไม่ได้ผอมแบบรูปที่เอามาลงด้วย
ปล ปีก่อนที่วัด เงินบริจาค ๓ เดือนในตู้วัด
อันตทาลหายไป เห็นทาง รปภ.วัดกล่าวว่า
หายไป ๖ ล้านบาทครับ(สมัยก่อนไม่มี รปภ.)
ช่างกล้าจริงๆ
อย่างว่าแหละครับ เรื่องของความโลภ
ทำให้คนหลงผิดได้ -
-
ส่วนตัวจะทราบเฉพาะในส่วนบางช่วงที่ท่านฝึก
เช่นฝึกอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่งและออกมาไม่ได้
พอฝึกสำเร็จระดับหนึ่ง ท่านก็โดนถีบออกมาและ
ความสามารถเด่นๆของท่าน
ที่เป็นที่ยอมรับในวงการด้านนั้นๆครับ... -
-
-
ใน Google ลองไปอ่านดูได้ ส่วนที่ใน Google
ไม่มีหลังจากอ่านแล้ว ให้ลองมาถามอีกรอบเพื่อว่าจะเล่าให้ฟังได้ครับ
หรือแบบมีอะไรตรงๆที่พิเศษแล้วเจอกับตัวเอง
แต่ไม่เข้าใจว่าคืออะไรก็สามารถถามได้ครับ
ปล. ส่วนตัวใครความเคารพท่านและ ลป.ดำที่วัดเช่นกัน เพราะได้วิชาพิเศษมาวิชาหนึ่งจากหน้า ลป. ดำเมื่อหลายปีก่อน จริงๆก็พึ่งทราบว่าท่านเป็นเกลอกับพระเกจิที่เคารพนับถืออีกท่าน พึ่วมารู้ตอนสังเกตุภาพที่กุฏิ แค่ตอนนั้นงงว่า ทำไมพระเกจิท่านนี้บอกให้ไปฝึกที่วัดนั้น และทุกวันนี้ก็ยังมีโอกาสได้ใช้อยู่แต่นานๆที ตอนไปช่วยคนแบบพิเศษประมานเกือบร้อยคนที่วัดท่านตอนกลางคืนสมัยที่ ยังไม่มีเรื่องเงินบริจาคหายครับ -
หน้า 2 ของ 2