หลวงปู่ขาว อนาลโยตอบปัญญาธรรม

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 1 มกราคม 2010.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ถาม ในธรรมท่านสอนพระว่าให้ยินดีในความสันโดษ มักน้อย ดังในสัลเลขธรรม ๑๐ ประการ ฆราวาสถ้าปฏิบัติตามธรรมสันโดษและความมักน้อยจะครองชีพไปตลอดไหม บางครอบครัวมีลูกมาก ญาติ มิตรเพื่อนฝูงมาก ถ้าหาได้น้อยไม่พอกินพอใช้จะไม่เดือดร้อนแก่ครอบครัวเช่นนั้นหรือปู่ ส่วนครอบครัวที่มีลูกน้อยคน ผู้เกี่ยวข้องที่ควรเลี้ยงดูมีน้อยก็พอทำเนาไม่เดือดร้อน โปรดชี้แจงให้หายข้องใจด้วยเถิด

    ตอบ ธรรมท่านไม่ได้สอนให้คนขี้เกียจอ่อนแอท้อแท้เหลวไหลในการงาน เพื่อหารายได้มาเลี้ยงตนและครอบครัว แต่ท่านสอนให้มีความขยันหมั่นเพียรและอดทนไม่เลือกงานอันเป็นที่มาแห่งผล เพื่อรายได้เพียงพอกับความเป็นอยู่ใช้สอยไม่ฝืดเคือง ท่านสอนว่า

    จงเป็นบุคคลที่ถึงพร้อมด้วยความขยันหมั่นเพียร หนักเอาเบาสู้ ไม่จับๆ วางๆ เหยาะๆ แหยะๆ ในการทำงาน ๑

    ได้สมบัติมามากน้อยให้มีการเก็บรักษา ไม่จ่ายสุรุ่ยสุร่ายแบบหาขอบเขตเหตุผลไม่ได้ ๑

    การเลี้ยงชีพในครอบครัวให้พอเหมาะพอดีกับความจำเป็น ไม่ฟุ่มเฟือยจนเลยฐานะและความจำเป็น ๑

    ไม่คบเพื่อนฝูงที่เป็นพาล ผลาญทรัพย์ คอยแต่จะกัด จะแทะ จะเคี้ยว จะกลืนสมบัติและความประพฤติให้ลงเหวลงบ่อ ๑

    ธรรมที่ ท่านสอนไว้อย่างมั่นเหมาะทุกแง่ทุกมุม เราไม่คว้าเอากิเลสตัวอวดดีมาทำลายธรรมเหล่านี้ให้พินาศฉิบหายไป เราต้องตั้งตัวได้ด้วยความขยันหมั่นเพียร ด้วยการเก็บรักษาทรัพย์และจ่ายทรัพย์ตามความจำเป็น ด้วยการเลี้ยงชีพพอประมาณไม่ฝืดเคืองและฟุ่มเฟือย ด้วยความไม่สมัครรักชอบในคนพาลสันดานเลว ความประพฤติเหลวแหลกแหวกแนว เราต้องเป็นคนดีมีผลจากทรัพย์และศีลธรรมประจำตัว ไม่กลัวใครตำหนิและดูถูกเหยียดหยามโดยประการใดๆ

    ธรรมสันโดษ คือความยินดีในสมบัติมากน้อยที่มี และอยู่ในความครอบครองของตน นี่ก็เป็นความพอดีเหมาะสมอย่างยิ่งแล้วสำหรับมนุษย์ที่อยู่ร่วมโลกกัน คำว่าความยินดีในสมบัติที่มีอยู่ของตนนั้น แม้สมบัติจะมีมาก กองเท่าภูเขา ธรรมท่านก็ไม่ได้ห้ามว่าไม่ให้ยินดีเพราะมากเกินไป แต่ท่านห้ามไม่ให้ยินดีและเสาะแสวงสมบัติที่นอกไปจากของมีอยู่ของตัวต่างหาก เช่น ไร่นา ที่ดิน สมบัติพัสถานของตนมีเท่าไร ก็ให้ยินดีเท่าที่มีเท่านั้น ไม่ให้ไปเที่ยวยินดีในสมบัติของคนอื่น

    ยิ่งเป็นเมียเขาด้วยแล้ว ถ้าไม่อยากหัวแบะอย่าไปแหยมเป็นอันขาด แม้แต่ปู่เองยังจะเป็นเพชฌฆาตฆ่าคนได้โดยไม่คาดคิดมาก่อนจะว่ายังไง ยังเหลือเพียงเส้นยาแดงเท่านั้นจะฟันคอคนให้ขาดสะบั้น แล้วก็ตกนรกทั้งเป็นในตะราง ครั้งเขามาเป็นชู้กับเมียปู่น่ะ จงทราบว่าไม่มีอะไรจะเด็ดขาดและเฉียบขาดเท่าใจคน เมื่อถึงเหตุการณ์และเวลาอันเฉียบขาดแล้ว ปู่เคยประจักษ์กับตัวมาแล้ว

    ฉะนั้น จงเชื่อธรรมสันโดษ ยินดีเฉพาะเมียผัวของตัวเท่านั้น อย่าไปเยื่อใยใฝ่ใจกับเมียผัวของเขา ถ้าไม่อยากคอขาดและเป็นผีไม่มีเจ้าน่ะ ปู่จะบอกชัดๆ อย่างนี้ให้หลานๆ พากันจดจำ ธรรมสันโดษ กับ ความมักน้อยในหญิงชาย ไปรักษาตัวและปฏิบัติตัวอย่างเคร่งครัดด้วยธรรมสองข้อนี้ อย่าให้มันดิ้นได้เป็นอันขาด ยิ่ง อปฺปิจฺฉตา ความมักน้อยด้วยแล้วยิ่งเหมาะมากกับฆราวาสผู้โลเลในราคะตัณหา อิ่มไม่เป็น นำมาปฏิบัติ ธรรมนี้ท่านให้ยินดีเฉพาะคู่ครองคือผัว-เมียของตนโดยเฉพาะเท่านั้น ไม่ให้ยินดีให้ใจกับชายอื่นหญิงอื่นเป็นอันขาด ธรรมท่านช่วยรักษาหัว รักษาคอของเราให้คงทนไปด้วยกัน ไม่ให้หัวกับคอพลัดพรากจากกันด้วยคมมีดคมขวานเพราะความมักมาก อยากไม่มีวันอิ่มพอทำลาย

    ปกติมนุษย์หญิงชายในโลก มีหลายปาก หลายใจ ก็มีปากเดียว ใจดวงเดียวนั้นแล แต่มันกินไม่เลือกราวกับมีร้อยปาก พันปาก อะไรๆ ก็จะกิน ก็จะกิน อะไรๆ ก็จะเอา ก็จะเอา ไม่มีคำว่า ท้องเรามีท้องเดียว ปากชนิดตัณหาถือบังเหียนกระตุกเชือกนี้มันไม่คำนึงถึงท้องและเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น มีแต่จะกินให้สมอยาก ปากด่าให้สมกับความเคียดแค้นโมโหท่าเดียว ใจก็มีใจเดียวนั่นแหละ แต่ความคิดความอยาก มันผลักดันให้แตกแขนงออกไปเป็นหมื่นเป็นแสนใจ จนไม่สามารถคัดเลือกได้ว่าความคิดนี้เป็นดี ความคิดนี้เป็นชั่ว เพราะมันกลมกลืนกันจนมองหาตัวจริง ใจจริงไม่เจอโน่น จึงต้องนำธรรมสองข้อคือ ความสันโดษ ยินดีในสิ่งที่มีอยู่ของตน และความมักน้อยในอารมณ์แห่งราคะตัณหา มาปิดปาก ปิดใจ ไม่ให้มันดิ้นรนขนทุกข์มาเผาตนและครอบครัว เพราะไฟตัณหานี้ร้อนมากยิ่งกว่าไฟอื่นใด ร้อนเข้าถึงตับถึงปอดถึงขั้วหัวใจ เครื่องในพังทลายเพราะมันนี้ไม่อาจสงสัย

    หลานๆ จงจำไว้ให้ถึงใจ ปฏิบัติให้ถึงความจริงของธรรมสองข้อนี้ จะพากันอยู่ด้วยความสงบสุขเย็นใจทั้งครอบครัวผัว-เมีย ลูกเล็กเด็กแดง สถานที่อยู่ สมบัติ เงินทอง สิ่งของใช้สอย จะเย็นไปตามๆ พ่อบ้านแม่เรือนที่เป็นคนดีมีธรรมประดับใจ
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ถาม หลานๆ พอใจธรรมสองข้อนี้มาก ประทับใจจริงๆ อยากให้คนอื่นๆ เขาฟังบ้าง จะได้ธรรมนี้ไว้ป้องกันตัวในเวลาฉุกเฉิน เพราะเรื่องคนหลายปากหลายใจนี้นับวันมีมาก ถ้าไม่มีธรรมนี้เป็นยาประจำบ้านก็น่ากลัวจมูกพัง เพราะหวัด.....นี้ชุกชุมไม่มีฤดูกาลสถานที่เลยทุกวันนี้ ทั้งไม่เว้นชาติชั้นวรรณะ ฐานะมีหรือจนคนโง่หรือคนฉลาดตลอดเพศวัยเลย ต่างตั้งหน้าตั้งตาส่งเสริมหวัดประเภทหน้าด้านสันดานเลวนี้อย่างออกหน้าออกตา แถมยังว่าเป็นเกียรติอีกด้วย สิ่งเหล่านี้ระบาดทั่วดินแดนแทบไม่มีสถานที่กาลเวลาเหลืออยู่แล้วทุกวันนี้ น่าวิตกต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันจริง ๆ เฉพาะเด็กวัยรุ่นนั้นน่าวิตกและน่าสงสารมากที่จะกลายเป็นเด็กเกเรไปตามโรคพรรค์นี้กันเสียหมด จึงอดคิดไม่ได้เมื่อได้ฟังธรรมสองข้อนี้จากปู่แล้ว แล้วจะแก้ไขอย่างไรจึงจะมีผลดีต่อผู้ใหญ่และส่วนรวมตลอดเด็กๆ ที่ราวกับว่าเตรียมพร้อมเพื่อจะลงเหวลงบ่อลึกกันอยู่แล้วเวลานี้ ปู่โปรดด้วย

    ตอบ ใจที่หมดคุณค่าในธรรมที่มีคุณค่ามาก ย่อมทำได้ทุกอย่างบรรดาสิ่งต่ำทรามทั้งหลายโดยไม่สะทกสะท้าน เวลาผลของความต่ำทรามเกิดก็ไม่สะทกสะท้านเกิดได้กับบุคคลทุกชาติชั้นวรรณะและเพศวัย ไม่เลือกว่าเป็นบุคคลเช่นไร เกิดได้ทั้งนั้น ไม่ลำเอียง ขอแต่ทำลงไปเท่านั้น ผู้จะแก้โรคหมดคุณค่าเหล่านี้ก็คือคน ธรรมเครื่องแก้ที่ท่านสอนไว้ก็มีอยู่กับทุกคนที่จะนำมาแก้ ไม่มีอะไรผู้ใดได้เปรียบเสียเปรียบ ถ้าตัวผู้ทำไม่ยอมเสียเปรียบให้ตัวเองเพราะความไม่เอาไหน ความไม่สนใจแก้สิ่งต่ำทรามที่เกิดที่มีอยู่ภายในตนเสียเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีใครช่วยได้ แม้พระพุทธเจ้าก็ไม่ทรงช่วยได้ อย่าว่าแต่ปู่ที่พูดน้ำลายฟุ้ง ปากแฉะอยู่ขณะนี้เลย เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เมื่อช่วยใครไม่ได้ก็จงหันมามองตัวเอง ช่วยตัวเองอย่าให้เสียไปกับสิ่งไม่ดีทั้งหลายที่เขาเสียกัน
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ถาม ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น ปู่ ตกลงก็ไม่พ้นคำว่า “ตัวใคร ตัวเรา” อยู่โดยดีแหละ ซึ่งก็น่าจะขัดต่อธรรมที่สอนให้มีเมตตากรุณาต่อกัน หรือปู่มีความเห็นอย่างไรก็สุดแต่จะโปรด

    ตอบ เมื่อเขาไม่ยินดีกับการช่วยเหลือ ก็ยังจะหน้าด้านไปช่วยเขาอยู่หรือ มีธรรมหน้าด้าน ให้คนเมตตาหน้าด้านนำไปช่วยเขาไหมล่ะ ถ้าไม่มี อย่าหาญทำ กิเลสตัวหยาบๆ จะหัวเราะเอา จะว่าปู่ไม่บอก

    คนไข้เต็มโรงพยาบาล หมอช่วยไว้ให้ทุกคนไหม ยังมีรายเล็ดลอดตายไปต่อหน้าต่อตาหมอจนได้เรื่อยมามิใช่หรือ โรคที่ทำให้คนตายต่อหน้าหมอนั่น มันฟังเสียงหมอเสียงยาเมื่อไร แล้วเมตตาเราเก่งกว่าพระเมตตาของพระพุทธเจ้าเชียวหรือ จึงจะสามารถช่วยใครๆ ได้ทั่วโลกทั้งที่เขาไม่สนใจกับการช่วยเหลือใดๆ เลย นี่แหละหลาน ที่สัตว์ไม่ไปนิพพานกับพระพุทธเจ้าก็เพราะเหตุนี้ พิจารณาเองเถอะอย่าให้แจงไปมาก ปู่แก่แล้ว มีแต่ลมหายใจแขม่วๆ อยู่เท่านั้นเอง



    ถาม ขอบพระคุณปู่มาก ที่นี่หลานพอเข้าใจวิธีปฏิบัติต่อตัวเองและผู้อื่นได้พอประมาณ หลานยอมรับผิดที่ห่วงคนอื่น มากเกินเหตุผลอรรถธรรมที่ควรเป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้

    พูดมาถึงตอนนี้ก็ทำให้สงสารปู่ ตลอดครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ที่ท่านอุตส่าห์เมตตาแนะนำสั่งสอน ทั้งที่บางครั้งสุขภาพไม่ค่อยดี ยังอุตส่าห์ต้อนรับสั่งสอน แต่คนที่ไปหาท่านมีหลายประเภท หลายนิสัย หลายความต้องการดังที่ท่านว่า นานาจิตตัง นั่น แล

    ตอบ ใช่ บางพวกก็ตั้งหน้าตั้งตาไปหาศีลหาธรรมจริงๆ ที่น่าสงสาร แต่บางพวกก็พากันไปเที่ยวตากอากาศเปลี่ยนอารมณ์ในวัด แล้วก็เที่ยวจุ้นจ้าน พูดคุยกันไม่ออมปาก ปล่อยตามอารมณ์ ส่งเสียงอึกทึกครึกโครมทั่วบริเวณวัด จนลืมคิดว่าที่นั่นเป็นวัดและมีครูอาจารย์พระเณรบำเพ็ญธรรมอยู่ที่นั่น ท่านอาจรำคาญได้ คิดแต่ความสนุกสนานรื่นเริงไปตามลัทธินิสัยของตน บางพวกก็ไปด้วยเสียงเล่าลือว่าท่านเก่งทางนั้นทางนี้ แล้วก็ตื่นข่าว พากันไปเพื่อได้ของดีจากท่านมาอวดกัน เมื่อไปก็รบกวนขอนั้นขอนี่ท่าน เมื่อท่านบอกว่าไม่มี ก็ดื้อรั้นเถียงท่านว่า ท่านมี แล้วเซ้าซี้ขอจนน่ารำคาญ เมื่อไม่ได้ดังใจ บางรายก็พาลทะเลาะกับพระแล้วกลับไป ก่อนไปก็พูดทิ้งท้ายในลักษณะบาดหมางสาปแช่งต่างๆ ว่า ต่อไปจะไม่มาเหยียบวัดนี้อีกจนวันตาย พระอะไรอย่างนี้ ขออะไรๆ ก็ว่าไม่มีๆ จะหวงไว้กินสมบัติอะไรก็ไม่รู้

    ตามธรรมดาของพระผู้มีธรรมประจำใจอยู่แล้ว ท่านไม่เห็นอะไรยิ่งกว่าธรรม ตลอดอิริยาบถท่านคิดฝักใฝ่ใคร่ธรรมอยู่โดยสม่ำเสมอ ไม่สนใจและเผลอไผลคิดไปโน้นไปนี้ ว่าคนนั้นจะมาหา คนนี้จะมาเยี่ยม จะมาหรือไม่ก็เป็นเรื่องเป็นอัธยาศัยของแต่ละคน ท่านไม่กังวลกับอะไรมากกว่าการแสวงหาธรรมด้วยการปฏิบัติ มีเดินจงกรมบ้าง นั่งสมาธิภาวนาบ้าง ยืนรำพึงในธรรมทั้งหลายบ้าง ให้สติอยู่กับตัว ไม่ปล่อยใจให้เลื่อนลอยไปตามอารมณ์ ท่านมีความสำรวมระวังอยู่ทุกอิริยาบถนอกจากหลับเท่านั้น นอกนั่นเป็นท่าแห่งความเพียรเพื่อละกิเลสแลกองทุกข์ทั้งมวลโดยตลอด ท่านจึงไม่ต้องการสิ่งรบกวนต่างๆ

     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ถาม ที่เขามาหาปู่ มีหลายพวกดังปู่เล่าเรื่องของคนมาวัดทั่วๆ ไปหรือเปล่า

    ตอบ ทำไม่จะไม่มี มีดังที่เล่าให้ฟังนี่แหละอยากพูดว่าแทบทุกวันไป บางพวกก็มาขอบัตรขอเบอร์ เวลาพูดอรรถพูดธรรมะให้ฟังเขาไม่สนใจ คอยแต่จะจับเอาไปตีเป็นเบอร์กันเท่านั้น พวกนี้พวกแสวงความร่ำรวยในทางลัด อยากเป็นเศรษฐี มีเงินล้านด้วยการถูกบัตรถูกเบอร์ อรรถธรรม บุญ - บาปอะไรไม่สนใจ บางพวกก็แบกคัมภีร์มาเที่ยวไล่พระให้จน ถือว่าตนรู้หลักนักปราชญ์ฉลาดพอตัว แต่ส่วนมากมักไม่กลัวบาป เพราะความทะนงตัวว่าเรียนรู้มากรู้หมด หาได้รู้ไม่ว่าตนกำลังเป็นช้างใหญ่ที่ถูกกิเลสตัวเย่อหยิ่งจองหองคว้าคอมาเป็นเครื่องมือถือเป็นพาหนะนั่งบนตะพองหลัง มาอวดดีอวดเก่งกับพระ พระแม้แสนโง่ท่านก็รู้ได้ เพราะท่านดูกิเลสต่อสู้กับกิเลส ด้วยความเพียรอยู่ทุกเวลาไม่ลดละ มีสติปัญญาเป็นเครื่องมือสอดส่องและทำลายข้าศึกบนหัวใจ ไม่ก้มหัวลงให้มันขึ้นนั่งอย่างง่ายดาย เมื่อเห็นกิเลสนั่งบนหัว

    ใครก็ตามมาอวดดี อวดเด่น อวดมั่ง อวดมี อวดฉลาด หรืออวดอะไรก็ตามอันเป็นเรื่องของกิเลสพองตัว ท่านจึงอดสังเวชอยู่ภายในไม่ได้ ส่วนมากคนไปวัดมักจะไปดูและจับผิดพระ ไปคอยให้คะแนนพระและคอยตัดคะแนนพระด้วยวิธีการติพระ ชมพระ ว่าวัดนั้นเป็นอย่างนั้น องค์นั้นเป็นอย่างนั้น แต่ไม่สนใจคอยสอดส่องดูตัวเองว่าดีหรือชั่วประการใดบ้าง ไม่คอยติตัวเอง นอกจากหาเรื่องป่าๆ เถื่อนๆ มาชมตัวเอง ให้เขาว่าดีและนับถือกันไปลมๆ แล้งๆ คนเราถ้ามีการสังเกตสอดส่องความประพฤติชั่ว - ดีของตัวบ้าง ย่อมมีที่ดัดแปลงแก้ไขให้เป็นคนดี เป็นที่เคารพนับถือของผู้อื่นได้อย่างน่าชมและสนิทใจ บางพวกก็แฝงตัวฟิตปั๋งรัดกุมเต็มอัตราศึก มองเห็นหมดกระทั่งขน นั่งพับเพียบแบบชาวพุทธทั้งหลายไม่ได้ จะลดอัตราศึก คือ กางเกงแตกระเบิด เป็นอันตราย ดูไม่ได้ เพราะพิสดารเกินมนุษย์ เมื่อแต่งเต็มยศแห่งอัตราศึกแล้ว ดูลักษณะท่าทางราวกับจะเหาะบินทั้งที่ไม่มีปีก

    นี่แลหลาน กิเลสมันทำคนให้ผิดปกติและพิสดารเกินมนุษบ์มนาเทวดาทั้งหลายอย่างนี้ หลานๆ ลูกชาวพุทธจงพากันทำความเข้าใจกับมันไว้เสมออย่างลืมตัว ไม่งั้นเราต้องเป็นเครื่องมือให้มันขับขี่ราวกับยวดยานพาหนะหรือราวตุ๊กตาเคลื่อนที่โตยไม่อาจสงสัย

    ปู่นี้เกิดมานาน กิเลสขึ้นขี้รดบนหัวใจมานาน การต่อสู้กับมันมาก็นานและหนักมากแทบไม่มีอะไรเทียบเท่าเสมอได้ ในบางครั้ง จึงพอรู้เรื่องวิชากลลวงของมันได้บ้าง พอมาเล่าให้ลูกหลานฟังเพื่อเป็นคติและพยายามกำจัดมันบ้าง แม้ยังมีกิเลสเช่นเดียวกับคนทั่วไป แต่ความมีธรรมแทรกในใจอยู่บ้างก็ยังมีหิริ - โอตตัปปธรรม คนเราไม่ปล่อยตัวแบบลูกโป่งบนอากาศโดยถ่ายเดียว ไม่ทราบจะตกทิศทางใดไม่มีจุดมีหมาย นั่นมันเกินไปสำหรับมนุษย์ที่โลกถือว่ามีศักดิ์ศรีสูงกว่าสัตว์

    จงพากันพยายามระมัดระวังตัวสมกับเราเป็นผู้รับผิดชอบเรา สมัยนี้สิ่งที่จะทำให้เป็นคนมีมากจนพรรณนาไม่จบ ซึมซาบหลั่งไหลเข้ามาทุกทิศทุกทางจากทั่วโลก คนที่เขานำสิ่งทำลายมนุษย์ผู้โง่เขลามาแจกจ่าย เขาได้เงิน แม้ในเขาจะต่ำจะทราม แต่เขาก็ไม่เคยสนใจกับความต่ำความสูงยิ่งกว่าสิ่งที่เขาต้องการอยู่แล้ว ฉะนั้น คนโง่จึงเสียเปรียบและเป็นเหยื่อของคนฉลาดร่ำไป ไม่อาจมีอะไรมาแก้ให้ตกไปได้ นอกจากผู้มีธรรม คือ สติธรรม ปัญญาธรรม ซึ่งเหนือความฉลาดของโลกอยู่มาก จนเทียบกันไม่ได้เป็นเครื่องหลบหลีกผ่อนคลาย สิ่งทำลายจิตใจและสมบัติให้เสียนั้น สังเกตดูก็รู้ก็เห็นเพราะมีเต็มไปหมดแม้ในป่าในเขาอย่างว่าแต่ในบ้านในเมืองที่มีคนมากเล๊ย ขอแต่คนมีอยู่ที่ไหน สิ่งทำลายเหล่านี้ต้องมีอยู่กับคนจนได้ ทั้งนี้เพราะคนไปเสาะแสวงหามันมาเอง สิ่งเหล่านี้แสดงออกได้หลายทาง โดยคนโง่อย่างพวกเราไม่อาจทราบได้ นอกจากเพลิดเพลินและเคลิ้มหลับไปกับเพลงกล่อมของมัน เพราะมีมากต่อมากจนพรรณนาไม่จบ ลบล้างไม่ลงเนื่องจากความชอบและติดใจมีมาก

    สิ่งดังกล่าวนี้บางอย่างก็หยาบโลน และลดหลั่นกันลงมาจนถึงขั้นสุภาพละเอียดลออสามารถกล่อมได้ทั้งผู้ใหญ่แลเด็กๆ ทำให้เสียคนได้ตามส่วนของมันและวัยของผู้ถูกกล่อมมีอยูทั้งที่ลับและที่เปิดเผยธรรมดาทั่วๆ ไปโดยไม่อาจคิดว่ามันเป็นภัยหรือมีส่วนเป็นภัยต่อส่วนรวมไม่มีประมาณ ผู้นำสิ่งเหล่านี้เข้ามาส่วนมากมักมีแต่ผู้มีปัญญาหาเงินในทางนี้ตลอดผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่แทบทั้งนั้น ตาสีตาส ไม่มีปัญญาแสวงหามาได้แหละ

    ฉะนั้น ปู่จึงวิตกอนาคตของลูกหลานบ้านเมืองว่าจะเป็นไปอย่างไร เมื่อการฟื้นฟูกับการทำลายไม่สมดุลกันดังที่รู้ๆ เห็นๆ อยู่นี้ ส่วนมากมักมีแต่การทำลาย เพราะเป็นสิ่งที่ชอบและทำได้ง่าย ไม่ว่าสิ่งใดเมื่อชอบใจย่อมทำได้ง่ายแม้สิ่งนั้นจะทำยากเหมือนสิ่งดีงามทั่วๆ ไปก็ตาม ทั้งนี้มันขึ้นอยู่กับจิตใจเป็นสำคัญ ถ้าลงใจได้ชอบและติดพันในทางใด สิ่งใด หรือผู้ใดแล้ว การใกล้ชิดติดพันและการกระทำหากเป็นคู่เคียงคู่ควรกันไปเอง เอาละปู่เหนื่อย ขอพักผ่อนขันธ์ที่ชราเต็มแก่แล้ว
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ถาม วันนี้เพื่อนๆ พามาเยี่ยมปู่ ทราบกิตติศัพท์กิตติคุณของปู่ฟุ้งขจรมานานแล้ว เมื่อมีโอกาสได้มาหาทำงานทางนี้ เพื่อนเห็นว่าเป็นคนชอบธัมมะธัมโมเลยชวนมา จึงได้มีวาสนามากราบปู่

    ปู่ถาม มาหาทำงานอะไร

    ผู้ตอบ ตามแต่จะได้งานทำ ส่วนมากก็ชอบทำงานสูงบ้าง นั่นแหละปู่

    ปู่ งานอะไรที่สูงน่ะ งานราชการแผนกต่างๆ ที่นิยมกันก็งานที่กินเงินเดือนหลวง นับแต่เป็นคูรสอนนักเรียนขึ้นไปจนถึงนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นงานสูงส่งและมีเกียรติ์มาก นั่นแลที่นิยมกันว่าเป็นงานสูงและสูงส่งมากเพราะเป็นงานเด่นในแผ่นดิน

    ในหลักธรรมทางพุทธศาสนาที่ท่านนิยมกันมาประจำแผ่นดินว่าเป็นงานสูงส่ง งานมีเกียรติสูง ได้แก่งานที่ทำและการแสวงหาด้วยความสุจริตยุติธรรม ไม่ฉ้อไม่โกง ไม่ฉกลักปล้นจี้กดขี่รีดไถคดโกงใคร ไม่คอรัปชั่น ฉ้อราษฎร์เบียดบังหลวงเหล่านี้จัดว่าเป็นงานสะอาด เป็นงานสูงส่ง เป็นงานมีเกียรติเป็นคนมีเกียรติสูง แม้ตาสีตาสาทำไร่ทำนา ทำสวน คราดไถ ขุดดิน ฟันไม้ หาฟืน เผาถ่านมาขายก็เป็นงานสูงส่งเพราะทำด้วยมือสะอาด ทำด้วยความสุจริตยุติธรรม ไม่เบียดเบียนทำลายผู้ใด ใครๆ ไม่รังเกียจ ไม่เกลียดชัง นอกจากเห็นใจและสงสารไปตามๆ กัน

    หลานน่าจะคิดผิดไป เพราะไม่แยกแยะงานว่างานใดเป็นไปเพื่อถูกหรือเพื่อผิด งานใดเป็นไปเพื่อสุจริตยุติธรรม หรือเป็นไปเพื่อทุจริตผิดใจมนุษย์และทำลายชาติบ้านเมือง ควรแยกงานดังปู่พูดไว้เบื้องต้นนั้นก่อนซิหลาน งานคดโกง รีดไถ ฉ้อราษฎร์บังหลวง เป็นต้นนั้น คืองานต่ำ งานไม่สะอาด งานสกปรกรกเก้าอี้ งานเบียดเบียนทำลาย งานที่คนรังเกียจทั้งแผ่นดิน งานทำลายสมบัติและจิตใจมนุษย์ หนักไปกว่านั้นก็เป็นงานทำลายชาติให้ล่มจม มิใช่งานที่สูงส่งและน่าชมเชยสรรเสริญอะไรเลย ความจริงโลกเขาไม่นิยมหรอก หากแต่ผู้สกปรกเพราะมือและใจไม่สะอาดเขานิยมกันเองต่างหาก
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ถาม ทำไมโลกจึงนิยมรักชอบกันนักหนาว่า งานราชการเป็นงานสูงส่งเป็นงานมีเกียรติยศชื่อเสียงเล่าปู่

    ตอบ อันงานราชการตามหลักปกครองนั้นสูงส่งและมีเกียรติยศชื่อเสียงจริง แต่ผู้นำงานในวงราชการเป็นสำคัญเพราะมีทั้งคนดีคนชั่ว คนมือสะอาดและมือสกปรกสับสนกันอยู่ในวงราชการ นั่นซิหลาน ถ้าผู้นั้นทำไม่ถูกตามหลักปกครองแห่งกฎหมายบ้านเมือง ก็ไม่จัดว่าผู้นั้นสูงส่ง มีเกียรติยศชื่อเสียง ตรงข้ามประชาชนเรียกว่าเป็นผู้ไม่เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่ที่ประชาชนมอบความไว้วางใจใหั ยังกลับทำลายสมบัติและจิตใจประชาชนได้ลงคอ จะเรียกว่าสูงส่งได้อย่างไร นอกจากเขาจะเรียกคนประเภทนั้นว่า ยักษ์ทำลายชาติอยู่ในวงราชการที่มีเกียรติที่น่าเสียดายให้คนสะอาดมือดีครองเท่านั้น คนที่ทำงานสุจริตไม่คิดคดทรยศต่อหน้าที่ต่างหากเป็นผู้สูงส่งและมีเกียรติยศชื่อเสียงในวงราชการงานแผ่นดิน

    หลานต้องเข้าใจตามธรรมที่ปู่อธิบายนี้ แล้วที่ไหนงานใด ถ้ามีรายได้เลี้ยงตัวให้ทำเถิด อย่าเป็นคนเลือกงาน ผลรายได้จะฝืดเคืองไม่คล่องตัว จะเกิดความอดอยากขาดแคลนหากินไม่ทันกับปากกับท้องที่รบกวนอยู่แทบตลอดเวลา ควรรีบหางานที่บริสุทธิ์สะอาดทำ จะไม่เป็นคนว่างงาน ปากท้องจะว่างงานไปด้วย แล้วจะเป็นทุกข์แก่เรานั้นแล
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ถาม ปู่เวลาคนตายทำไมต้องนิมนต์พระมาสวด กุสลา มาติกา บังสุกุลให้ เมืองไทยเรามีทั่วประเทศ ไม่สวดไม่ได้หรือ หลานสงสัย ต้องขอประทานโทษถ้าเป็นความเข้าใจผิด แต่หลานมิได้ปักใจว่าที่ทำนั้นไม่ถูก เป็นแต่เพียงสงสัยจึงกราบเรียนถามปู่พอให้เข้าใจในเรื่องราวและหายสงสัยเท่านั้นเอง

    ตอบ ไม่สวดก็ได้ ใครจะทำโทษ คนที่เขาไม่นับถือศาสนาพุทธเราเขายังไม่เห็นสวด กุสลา มาติกา เวลาคนตาย


    ถาม สวดเพื่ออะไรปู่

    ตอบ สวดให้บุญคนตายยังไงเล่า เวลาคนนั้นมีชีวิตอยู่เขาขี้เกียจทำบุญเวลาเขาตายแล้วญาติๆ กลัวเขาตกนรก ก็ช่วยนิมนต์พระมาสวดส่งบุญให้เขา บางทีอาจพ้นนรกได้


    ถาม แน่ใจไหมล่ะปู่ ว่าเขาจะได้บุญจากญาติๆ ทำส่งให้ไม่ตกนรก

    ตอบ แน่หรือไม่แน่ก็เพราะความรักสงสารกัน จำต้องทำเพื่อไว้ดีกว่าปล่อยตามบุญตามกรรม


    ถาม ในครั้งพระพุทธเจ้า เวลาคนตายแล้วนิมนต์พระไปสวด กุสลา มาติกา ดังนี้ไหมปู่

    ตอบ มี แต่ท่านไปปลงกรรมฐาน พิจารณาซากศพที่ตายแล้วเป็นอสุภะ อสุภัง ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา เกิดมาแล้วต้องตาย ไม่จีรังยั่งยืน กลายเป็นซากเป็นศพ เปื่อยเน่าผุพังหาสาระแก่นสารไม่ได้ แล้วนึกน้อมเข้ามาสู่ตัวว่าจะต้องเป็นเช่นเดียวกันเพื่อได้สติปัญญาจากซากศพนั้น ไม่ประมาท บางรายได้สำเร็จมรรคผลเพราะการพิจารณาซากศพนั้นก็มี ท่านจึงสอนให้พระไปเที่ยวกรรมฐานตามป่าช้า ซึ่งถือเป็นธุดงควัตรเรื่อยมาจนปัจจุบันนี้ นี่มีในธุดงค์ ๑๓ ข้อ ค้นดูก็ยังได้
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ถาม ทุกวันนี้ไม่เห็นพระไปเยี่ยมป่าช้าดังครั้งพุทธกาลท่านทำกัน เห็นเฉพาะเวลาคนตายแล้วเขานิมนต์ท่านมาสวด กุสลา มาติกา เท่านั้น

    ตอบ ถึงไม่ปรากฏเห็นก็ยังมี พระธุดงคกรรมฐานท่านทำเป็นประจำมิได้ขาด แต่ท่านมิได้เที่ยวประกาศให้ใครๆ ทราบ เนื่องจากเป็นงานของท่านโดยเฉพาะมิใช่งานสวดกินข้าวต้มขนมตามที่เขานิมนต์เวลาคนตายนี่นา


    ถาม สมัยนี้ยังมีพระไปกรรมฐานป่าช้าอยู่หรือปู่ นึกว่าหมดสมัยไปแล้ว

    ตอบ สมัยบ้าอะไร เอาอะไรมาพูด ธรรมมีสมัยเมื่อไร นอกจากพวกบ้าสมัย ตื่นสมัยเท่านั้น จึงจะอุตริพูดว่าเที่ยวป่าช้าหมดสมัยไปแล้ว พระธุดงคกรรมฐานท่านมิใช่บ้าตื่นสมัย อย่ามาพูดในที่นี่ เดี๋ยวพระธุดงค์จะแตกวัดกันเสียหมดจะว่าไม่บอก โน่นไปพูดกับพวกบ้าตื่นสมัยด้วยกันโน่น


    ถาม โอ้โฮ ตายจริง หลานพูดผิดไป ต้องขอประทานโทษมากๆ ด้วยปู่ มันหลุดปากออกมายังไง อันสมัยๆ บ้าๆ นี่ มันชินปากชินใจจึงหลุดออกมาอย่างง่ายดายราวกับไม่ได้คิด คล่องปากจริงสิ่งที่ไม่ให้คล่องอย่างนี้ บทพานั่งภาวนา พุทโธ ไม่เห็นได้เรื่อง คอยแต่จะคิดไปร้อยแปด น่าโมโหจริงๆ ขอประทานโทษ ย้อนถามเรื่องสวด กุสลา มาติกา อีกเล็กน้อย นั่นมีความหมายว่าอย่างไร ปู่

    ตอบ มีความหมายได้หลายอย่าง การสวด กุสลา มาติกา ถือเป็นคติตัวอย่างมาจากพระพุทธองค์เสด็จโปรดพระมารดาชั้นดาวดึงส์สวรรค์ ฉะนั้น เวลาคนตายจึงนำธรรมะที่พระองค์เคยสวดโปรดพระมารดามาสวดให้แก่ผู้ตายในสมัยนี้จนเป็นธรรมเนียมเรื่อยมา


    ถาม เวลาตาย ไม่สวดธรรมนี้จะขัดข้องประเพณีของชาวพุทธเราไหม

    ตอบ น่าจะไม่ขัดข้อง ถ้าเจ้าของศพไม่ขัดข้องตัวเองว่าไม่ได้ทำดังชาวบ้านเขาทำกัน ส่วนผู้ตายไม่มาเกี่ยวข้องทั้งจะสวดหรือไม่สวดเพราะหมดหนทางจะมาแสดงตน


    ถาม เวลาพระท่านสวด กุสลา มาติกา ให้ ผู้ตายจะได้รับไหมปู่

    ตอบ ปู่ยังไม่เคยตายและยังไม่เคยมีใครมาสวด กุสลา มาติกา ให้ปู่ จะไปรู้อย่างไรว่าได้รับหรือไม่ได้รับ ถ้าถามเก่งๆ อย่างนี้ก็ไปถามผู้ที่เขาตายแล้วดูซิว่าเขาได้รับไหม แล้วค่อยมาบอกปู่


    ถาม อีกแล้วปู่นี่ รวดเร็วจริง หลานก็เซ่อจริงหาถามไม่เข้าเรื่อง ความจริงคิดจะถามว่า ในธรรมท่านบอกว่าผู้ตายได้รับไหมต่างหาก

    ตอบ ในธรรมท่านมิได้บอกไว้ว่า เวลาคนตายแล้วให้ไปสวด กุสลา มาติกา ให้ บอกแต่การทำบุญอุทิศส่วนกุศลถึงผู้ตาย ผู้ตายที่ควรได้รับกุศลทานของญาติที่อุทิศให้ก็มี ไม่อยู่ในฐานะจะรับได้ก็มี


    ถาม ที่รับผลบุญของชาติไม่ได้เพราะเหตุไรปู่

    ตอบ เพราะฐานะที่จะได้รับไม่อำนวย เช่นผู้ชายไปเกิดเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์เดียรัจฉาน เป็นเปรต ๑๑ จำพวก และไปสวรรค์ นิพพาน เสียก็ไม่ใช่ฐานะจะมารับ


    ถาม จำพวกไหนที่มารับได้ปู่

    ตอบ จำพวก ปรทัตตูปชีวีเปรต จำพวกเดียวที่อยู่ในฐานะมารับได้ นอกนั้นไม่ปรากฏ


    ถาม ถ้าญาติถวายทานอุทิศให้ผู้ตาย แด่ผู้ตายมารับไม่ได้ บุญที่ญาติอุทิศจะตกแก่ใครล่ะปู่

    ตอบ บุญจะไปตกแก่นักโทษในเรือนจำได้อย่างไร ก็ต้องตกเป็นของผู้ทำอยู่โดยดีละซี เพราะบุญเป็นธรรมชาติละเอียดอ่อนมากเกินกว่าความคิดคาดคะเนด้นเดาจะตามรู้ตามเห็นได้ ดังนั้นท่านจึงสอนให้ทำบุญเสียแต่เมื่อยังมีชีวิตอยู่ บุญจะได้ติดตัวไปด้วย ไม่ต้องหวังพึ่งใครอันเป็นของไม่แน่นอน
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ถาม ที่นิมนต์มาสวด กุสลา มาติกา นั้นมีผลอย่างไรแก่ผู้ตายบ้าง ปู่

    ตอบ อย่าว่าแต่ผู้ตายจะได้รับผลจากการสวด กุสลา มาติกา เลย แม้คนเป็นที่นั่งห้อมล้อมอยู่ด้วยขวดเหล้าในบริเวณนั้น ไม่สนใจกับการสวด กุสลา มาติกา ของพระ ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา การสวดต่างๆ ก็สักแต่สวดแต่ทำไปอย่างนั้นเอง ไม่ผิดอะไรกับนกขุนทองพูดว่า “แก้วเจ้าขา” ส่วนแก้วเป็นอย่างไรก็ไม่สนใจทราบ ต่อไปจึงน่ากลัวศาสนาจะกลายเป็นเครื่องมือของโลกไปหมด ไม่มีธรรมคือความจริงแฝงอยู่เลยในพิธีต่างๆ จะมีแต่ประเพณีตามใจชอบเกลื่อนไปหมดนั่นแล

    เอาละถามมาก ตอบไปมาก เขาจะว่าปู่เป็นบ้ากันทั้งเมือง เรื่องก็จะไปกันใหญ่



    ถาม ปู่ครับพวกหลานมากราบเยี่ยมปู่ เพราะได้ยินกิตติศัพท์เกียรติคุณปู่มานาน แต่จะไม่ขอรบกวนอะไรมาก มีข้องใจอยู่อย่างหนึ่งที่คนเขาว่า “ตายแล้วสูญ” ไม่ได้เกิดเป็นอะไรต่อไปอีกเลยตลอดไป ความจริงที่ศาสนาสอนให้เป็นอย่างไร ปู่

    ตอบ คัมภีร์กิเลสสอนไว้ว่า บาปไม่มี บุญไม่มี นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี นิพพานไม่มี สัตว์ทั่วโลกธาตุตายแล้วสูญสิ้นโดยประการทั้งปวง ไม่มีชิ้นส่วนเหลือเป็นสาระพอให้เกิดต่อไปอีกได้ เหล่านี้เคยมีผู้ถามมามากต่อมากแล้ว และก็ได้ตอบไปมากต่อมากเช่นเดียวกัน

    ในธรรมของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ตรัสสอนไว้เป็นแบบเดียวกันอย่างตายตัวว่า บาปมี บุญมี นรกมี สวรรค์มีและนิพพานมี สัตว์ทั่วแดนโลกธาตุที่ยังมีกิเลส อวิชชาครองใจ เวลาตายแล้วต้องเกิดอีกวันยังค่ำ เว้นพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ผู้สิ้นกิเลสโดยสิ้นเชิงแล้วเท่านั้น นอกนั้นเป็นจำพวกตกอยู่ในแหล่งแห่งความเกิดแล้วตายเล่าตลอดไปจนกว่าจะทำใจซึ่งเป็นที่ฝังจมของเชื้อแห่งภพชาติให้สิ้นจากเชื้อนี้โดยสิ้นเชิงแล้ว จึงจะสิ้นสุดยุติการเกิด - ตายอย่างหมดเยื่อใย ให้หลานเลือกเฟ้นเอาเอง จะเอาคัมภีร์กิเลสที่ชื่อว่า “คัมภีร์แสนปลิ้นปล้อนหลอกลวงสัตว์” ก็ได้ จะเอาคัมภีร์ธรรมทีชื่อว่า “คัมภีร์เด็ดเพชรน้ำหนึ่งในการสังหารกิเลส” ก็ได้ หรือจะเอาเป็นคาถาว่ากิเลสทุกประเภท สรณํ คจฺฉามิ ขึ้นชื่อว่ากิเลสแล้วเราคว้าหมดก็ได้ พุทธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฉามิ ขึ้นชื่อว่าพระรัตนตรัยแล้วเราน้อมรับหมดก็ได้


     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ถาม โอ้โฮ คัมภีร์ของปู่นี้พิสดารจริง เพิ่งได้ยินนี่เอง ไปเขียนมาจากไหนปู่ หลานไม่เคยได้ยินใครพูดมาก่อนเลย

    ตอบ เรียนมาจากป่าจากเขา จากถ้ำ เงื้อมผา ป่าช้า ป่าชัฏ ซอกห้วย ริมธาร และจากความอดอยากขาดแคลน จากความเดนตายในการเรียนการปฏิบัติ ตามจี้ ไม่ใช่ได้มาอย่างสะดวกสบายดังผู้มาเยี่ยมทั้งหลายที่ถามเอาๆ ถ้าอยากรู้คาถาเหล่านี้ประจักษ์กับตัวเอง ไม่ต้องแบกความสงสัยอันหนักหน่วงต่อไป ว่าตายแล้วเกิดอีก หรือตายแล้วสูญ ก็ต้องปฏิบัติด้วยจิตภาวนาตามธรรมที่ท่านสอนไว้ เมื่อการปฏิบัติและผลสมบูรณ์แล้ว คำว่าตายแล้วเกิด หรือตายแล้วสูญ จะไม่นอกเหนือไปจากการพิสูจน์ด้วยข้อปฏิบัติไปได้เลย ต้องรู้ต้องเห็นเพราะเป็นหนทางให้รู้ให้เห็นความจริงโดยตรง

    พระพุทธเจ้าแลพระอรหันต์ทั้งหลายเป็นจำนวนล้านๆ ล้วนพิสูจน์จากธรรมปฏิบัติ จิตภาวนาทั้งสิ้น ท่านจึงรู้ได้เห็นได้โดยไม่ต้องถามกันและถามใคร แล้วนำธรรมเหล่านั้นมาสอนโลก โดยผลัดเปลี่ยนกันมาจนถึงพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันคือพระสมณโคดมของพวกเราชาวพุทธ ให้ได้กราบไหว้บูชาและปฏิบัติตามอยู่เวลานี้ จะสงสัยไปไหน กิเลสเคยหลอกโลกให้สงสัยและล่มจมมามากต่อมากและนานแสนนานแล้ว ทำไมจึงไม่พากันเบื่อหน่ายอิ่มพอในโทษของมันบ้าง พอได้ลืมตาอ้าปากเข้าสู่ธรรมดวงประเสริฐเลิศในไตรภพ



    ถาม ที่ว่าตายแล้วสูญนั้น เป็นกลหลอกลวงของกิเลสหรือปู่

    ตอบ ใช่ ร้อยทั้งร้อยล้วนเป็นกลลวงของกิเลสทั้งนั้น ธรรมท่านมิได้หลอกลวงใคร นอกจากปลุกสัตว์โลกให้ตื่นจากหลับจากหลงไปตามกิเลสเท่านั้นธรรมท่านไม่หลอกสัตว์ ธรรมท่านเมตตาสัตว์ ธรรมท่านจริงจังต่อสัตว์ผู้ทุกข์ยากอยากให้พ้นทุกข์พ้นภัยถ่ายเตียว


    ถาม การเกิด เกิดได้ทั่วๆ ไปหรือเกิดได้ในคนในสัตว์ชนิดเดียว ปู่ เช่นเคยเกิดเป็นคนแล้วต้องมาเกิดเป็นคนซ้ำๆ อีกอยู่ทำนองนั้น หรืออาจไปเกิดเป็นสัตว์อื่นๆ กำเนิดอื่นๆ เป็นเทวดา อินทร์ พรหมก็ได้ โปรดเมตตาด้วย ปู่

    ตอบ ตามแต่วิบากดี-ชั่วของสัตว์แต่ละรายทำไว้ผลักดันและหนุนค้ำให้ไปเกิดในกำเนิดต่างๆ ทั้งต่ำแลสูง อวิชชาคือกิเลสตัวฝังลึกอยู่ในใจเป็นเชื้อพาให้สัตว์เกิดวิบากดี-ชั่วพาให้เกิดในกำเนิดต่ำสูง ทุกข์สุขมากน้อยตามกำลังวิบากนั้นๆ สัตว์จะไปเกิดเอาตามความต้องการของตนย่อมไม่ได้ ต้องไปตามวิบากดี-ชั่วเรื่อยมาและเรื่อยไปอยู่ทำนองนี้ ถ้ามีบุญก็ไปสูงและเป็นสุข ถ้ามีบาปก็ไปต่ำและเป็นทุกข์ ถ้ามีบุญมากก็ไปสูงมากและสุขมากตามวิบากบุญ ถ้ามีบาปมากก็ไปต่ำมากและทุกข์มากตามวิบากบาปผลักไสไป

    จงทราบให้ถึงใจ ปู่พูดอย่างตั้งใจว่า อวิชชาในจิตนั้นแล เป็นตัวยืนโรงที่พาให้สัตว์เกิด-ตาย เกิด-ตาย วกเวียนไปมาไม่มีเวลาจบสิ้นลงได้ ถ้าอยากจบสิ้นการเกิด-ตาย จงทำลายอวิชชาภายในใจออกให้หมด เมื่ออวิชชาสิ้นซาก การเกิด-ตายก็สิ้นซากไปตามๆ กันอย่างไม่มีปัญหา แต่การตายแล้วสูญนั้น มันเพลงอัศจรรย์ของอวิชชากล่อมสัตว์โลกให้ตาบอดต่างหาก ไม่มีความจริงแม้ ๑ เปอร์เซ็นต์แฝงอยู่เลยมันโกหก ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์แท้ๆ จงจำ จงเข็ดหลาบในเพลงของมัน อย่าหาญไปลอง ถ้าไม่อยากตาบอดตลอดกัปกัลป์ จะว่าปู่ไม่บอก

    ปู่สงสารรีบบอกอยู่โต้งๆ นี่แหละ ฟังนะ คำว่า ตายสูญไม่มี อย่าเชื่อ อวิชชาอุตริร่ายมนต์โกหกสัตว์โลก แต่คำว่าตายแล้วเกิด นั่นมีทั่วแดนโลกธาตุ พระธรรมท่านประกาศยืนยันเรื่อยมา จงเป็นที่ลงใจและมั่นใจ อย่ารวนเร เดี๋ยวอวิชชาคว้าไปต้มยำขยำกับน้ำพริก จะว่าปู่ไม่ฉุดไม่คว้าเอาไว้ ปล่อยให้จมไปกับมัน เอาละพอกินพอใช้ขนาดนี้แล้ว ไป ปู่เหนื่อย
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ถาม กราบเรียนถามปู่บ้างเล็กน้อย ขอประทานโทษด้วยที่มารบกวนเวลาและธาตุขันธ์ปู่ เรื่องที่ให้สงสัยมีอยู่ว่า เมืองไทยเราเป็นเมืองพุทธศาสนาคนนับถือศาสนาพุทธอย่างน้อย ๘๐% แต่ผลที่แสดงออกทุกสถานที่กาลเวลา มีแต่ผลลบที่ขัดแย้งกับคนไทยที่นับถือพระพุทธศาสนา แต่ละวันเวลาแสดงออกแต่สิ่งไม่ดีเช่นการปล้นจี้ ล้วงกระเป๋า ตระบัด ยักยอก ตีชิงวิ่งราว คดโกง รีดไถ ร้อยแปดล้วนเป็นของไม่ดีและขัดต่อศีลธรรมของชาวพุทธ จึงทำให้สงสัยว่า การนับถือศาสนานั้นนับถืออย่างไรกัน เรื่องถึงได้เป็นอยู่อย่างนี้ จะแก้ไขอย่างไรจึงจะตรงกับเป้าหมายของพุทธศาสนาที่มุ่งหมายให้ผู้นับถือเป็นคนดีมีความสงบสุขทั่วหน้ากัน กรุณาปู่ช่วยเมตตาชี้แจงด้วย

    ตอบ คำว่านับถือศาสนากับการปฏิบัติตามหลักศาสนธรรมนั้นมันต่างกัน หลาน การนับถือนั่นคือความยอมรับว่าดี ไม่ขัดไม่แย้งไม่แข่งดีแข่งเด่น ไม่ดูหมิ่นเหยียดหยาม ความเทิดทูนไว้บนหัวหรือบนเศียรเกล้า แม้จะปฏิบัติตามไม่ได้ แต่ก็ไม่นำกิริยาที่แข็งกระด้างอวดอ้างว่าตัวดีตัวเก่งเข้าไปกล้ำกรายศาสนา ยกศาสนาไว้บูชาบนหัวใจอยู่เสมอ นี่เรียกว่าความนับถือศาสนา

    ส่วนการปฏิบัตินั้น คือ ปฏิบัติตามหลักศีล หลักธรรม ด้วยกายวาจาใจ ไม่ล่วงเกินฝ่าฝืนหลักของศีลธรรมที่ห้ามไว้ปฏิบัติตามสิ่งที่ศาสนาอนุญาตเท่านั้น เช่น อุบาสก อุบาสิกา และพระ เณร ผู้ตั้งใจปฏิบัติรักษาศีลธรรมกันจริงจัง ท่านปฏิบัติตามจริงๆ ไม่ล่วงเกินฝ่าฝืนสิกขาบทน้อยใหญ่ใดๆ ทั้งสิ้น ท่านเคารพแทนองค์ศาสดาผู้ประสาทศาสนธรรมไว้ นี่เรียกว่าการปฏิบัติ

    การนับถือ แต่มิได้ปฏิบัติตามหลักตลธรรม คนเรา ย่อมหลวมตัวทำในสิ่งนอกเหนือศีลธรรมได้ดังที่รู้ๆ เห็นๆ กันอยู่ นั่นคือเขามิได้ปฏิบัติศีลธรรม เป็นเพียงนับถือเฉยๆ เช่นเวลาเดินผ่านหน้าวัด หรือมองเห็นพระก็ยกมือไหว้เสียทีแล้วเดินผ่านไป มิได้ตั้งหมัดตั้งมวยวางลวดลายเสือโคร่งเสือดาวใส่ท่าน อันเป็นการดูถูกเหยียดหยาม กิริยาที่เขายกมือไหว้เป็นต้นเรียกว่าแสดงความนับถือ

    คนที่นับถือศาสนา แม้พกอาวุธเต็มตัวเดินผ่านวัดเขายังนั่งลงยกมือไหว้พระก่อนผ่านไป แต่กิริยาแห่งการนับถือเหล่านั้นมิได้ลบล้างความไม่ดีที่เขาจะทำและกำลังทำอยู่ได้เลย เพราะมิใช่กิริยาที่แสดงออกเพื่อความลบล้าง เขาเพียงยอมรับนับถือเท่านั้นไม่ได้ปฏิบัติตามศาสนา

    ฉะนั้น เรื่องความเลวร้ายทั้งหลายมีการปล้นจี้เป็นต้น จึงมีอยู่ตามปกติและอาจเพิ่มมากขึ้นตามคนประเภทนี้มีมากและความคล่องตัวแห่งการกระทำ

    ส่วนการปฏิบัติตามหลักศีลธรรมนั้น จะไม่มีเรื่องเลวร้ายนี้เกิดขึ้นได้เลย แม้เรื่องย่อยๆ นอกจากความผิดพลาดที่ไม่มีเจตนาเท่านั้น ซึ่งอาจมีได้เพราะเป็นเหตุสุดวิสัย เช่นยางรถระเบิดกลางทางขณะที่รถวิ่งสวนกันมา หรือรถที่ตามหลังมาติดๆ ห้ามล้อไม่อยู่หรือระเบิดในที่ชุมนุมชนและรถรามาก ย่อมมีทางผิดพลาดและเกิดเหตุการณ์ได้ไม่เลือกกาลสถานที่ นอกจากเหตุสุดวิสัยแล้ว ผู้ปฏิบัติตามหลักศาสนธรรมจะไม่ทำ อันการปล้นจี้ซึ่งเป็นสิ่งเลวร้ายหยาบโลนมากนั้น นับว่าห่างไกลกับผู้มีศีลธรรมมากไม่ต้องพูดถึง อย่างไรท่านเหล่านี้จะไม่ลงใจทำได้ลงคอเลย

    บ้านเมืองและทรัพย์สมบัติสงบเย็นทุกหย่อมหญ้านั่นแล สมบัติเงินทองของมีค่าจะทิ้งไว้ที่ไหนก็ทิ้งไว้ได้ ราวกับบ้านเรือนของตน นั้นแล ต่างคนต่างมีความรู้สึกและปฏิบัติอย่างเดียวกัน แบบเดียวกัน ตามหลักศีลธรรมอันเดียวกัน โลกย่อมสงบร่มเย็น มองเห็นหน้ากันทักทายกันด้วยความสนิทจิตใจเมตตาอารี ไม่ถือดีถือเด่นอันเป็นเรื่องของกิเลสพองตัวยั่วธรรมและความดี คนดีทั้งหลายมีความเยื่อใยไมตรีสนิทสนมราวกับอวัยวะอันเดียวกันด้วย สมานัตตตาธรรม ความไม่ถือตัวเป็นเครื่องสมัครสมาน จะไปไหนไปได้ อยู่ไหนอยู่ได้ไม่มีภัย เพราะต่างคนต่างมีจิตใจกลมกลืนไปด้วยอภัยธรรม เมตตาธรรม กรุณาธรรม มุทิตาธรรม ความพลอยยินดีไม่อิจฉาริษยาเมื่อคนอื่นได้ดี อุเปกขาธรรม ให้ความสม่ำเสมอ ไม่มองกันในแง่ร้ายหมายโทษโกรธเคือง มีความเคารพรักกันทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อยตามลำดับลำดา

    ฉะนั้น ผู้ปฏิบัติธรรมจึงเป็นผู้ทำประโยชน์แก่ส่วนรวมและแก่โลกได้เป็นอย่างดีอย่างเด่นในปวงชน นี่แล การนับถือศาสนาเฉยๆ กับการปฏิบัติศาสนามีผลผิดกันดังที่กล่าวมา ถ้าอยากให้บ้านเมืองสงบร่มเย็น ต่างคนก็จะต้องปฏิบัติตัวตามหลักศีลธรรม ไม่ล่วงเกินฝ่าฝืน ซึ่งเป็นการทำลายตนและศีลธรรมไปด้วยในตัวของผู้นั้น

    ถ้ามีแต่อยากให้บ้านเมืองมีความสงบร่มเย็น ปราศจากโจรผู้ร้าย แต่ตัวเองกลับเป็นโจรผู้ร้าย เป็นผู้ก่อกวนทำลายบ้านเมืองและทรัพย์สมบัติของประชาชนเสียเองแล้ว จะหาความสงบร่มเย็นมาจากไหน แม้แผ่นดินสลายแต่ความชั่วจากคนชั่วก็ไม่สลายไปตาม สัตว์บุคคลมีอยู่บนอากาศ พวกเลวร้ายนี้ก็จะตามไปก่อกวนทำลายให้สมบัติเงินทองและจิตใจคนและสัตว์ให้พินาศขาดสูญอยู่นั่น และเนื่องจากความชั่วมิได้ขึ้นอยู่กับดินฟ้าอากาศ แต่ขึ้นอยู่กับคนโดยเฉพาะ คนทำดีคนจึงร่มเย็น โลกทำดีโลกจึงร่มเย็น เรื่องความจริงมีดังที่กล่าวมา

    ดังนั้น ถ้าอยากเห็นความวิเศษศักดิ์สิทธิ์ของศาสนธรรม ผู้นับถือศาสนาจึงควรปฏิบัติตามหลักของศาสนา อย่าเพียงนับถือเฉยๆ ราวกับเด็กเล่นตุ๊กตากลางสนามหญ้า เพราะศาสนามิใช่ตุ๊กตาพอจะถูกบีบถูกคันโยนไปเหวี่ยงมาอยู่เฉยๆ แต่ศาสนาเป็นธรรมศักดิ์สิทธิ์วิเศษสมนามจริงๆ ถ้าอยากทราบความศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาและของตัวเอง ก็จงปฏิบัติ จงพิสูจน์กันตรงนี้ อย่าถือศาสนาเพื่อเป็นข้อแก้ตัวและประดับเกียรติ จะไม่ผิดกับลิงได้แก้ว เด็กได้ตุ๊กตา

    เฉพาะพุทธศาสนากระเทือนโลกมาได้ ๒๕๖๐ กว่าปีนี้แล้ว (นับเวลายังทรงพระชนม์เข้าด้วย) ได้กระเทือนจิตใจของเราชาวพุทธบ้างหรือยัง จงตั้งปัญหาถามตัวเอง อย่าไปถามใครเพราะไม่มีใครรู้ยิ่งกว่าเรารู้ เราว่าบกพร่องหรือสมบูรณ์ในด้านศีลธรรม ถ้าทุกคนสนใจตั้งปัญหาถามตนดังที่กล่าวมา ความดัดแปลงแก้ไขตัวเองและสังคมตลอดส่วนรวมจะตามมา เพื่อจุดสมบูรณ์พูนผล ผู้คนต่างจะค่อยสงบสุขเย็นใจขึ้นโดยลำดับไม่อาจสงสัย เพราะศาสนธรรมเป็นเครื่องยืนยันรับรองความสงบสุขของโลกมามากต่อมากแล้ว นอกจากผู้นับถือเก็บศาสนาเข้าตู้ ดองไว้ราวกับผักและผลไม้เสียเท่านั้น ศาสนาจึงออกแสดงความจริงอันศักดิ์สิทธิ์วิเศษเต็มตามคุณภาพที่มีอยู่ของตนไม่ได้

    ธรรมเครื่องทำลายสิ่งชั่วร้ายทั้งหลายมีหลายประเภท กิเลสชนิดหยาบโลนคือราคะตัณหา ความคึกคะนองน้ำล้นฝั่ง ก็นำศีลข้อ กาเมสุ มิจฉาจาร เข้าปราบ ซึ่งปราบได้ทุกประเภทของราคะตัณหา ไม่มีตัณหาตัวไหนจะเก่งกล้าเลยศีลข้อเด็ดๆ นี้ไปได้ถ้านำมาปราบ นอกจากปล่อยตัวให้ราคะตัณหามันปราบราบโดยไม่คิดต่อสู้ เพื่อกู้ชาติมนุษย์อันสูงศักดิ์ไว้เท่านั้น ก็ไม่มีใครช่วยไต้ ปล่อยให้เป็นเศษมนุษย์ไปต่อหน้าต่อตาที่น่าเสียดายและทุเรศ ข้อโลภมากปากกว้างพุงโตกว่าภูเขาก็นำธรรมข้อธรรมสันโดษหรือความมักน้อยมาปราบก็อยู่เอง ไม่กล้าหือได้ หรือจะนำ มรณัสสติ ข้อระลึกถึงความตายมาปราบ ว่าจะมัวแต่โลภอยู่นั้น ไม่มองดูความตายที่อ้าปากจะกลืนหมดทั้งตัวอยู่ทุกลมหายใจบ้างหรือ ตายแล้วเคยเห็นใครรื้อขนครอบครัวสมบัติเงินทองกองมหึมาไปด้วยได้เล่า รู้หรือยังว่าความโลภมันหลอกให้ลืมตายลืมป่าช้านั่นน่ะ กิเลสตัวโลภมากๆ มันเคยพาผู้ใดให้มีความสุขสบายมีไหม เห็นแต่โลกมากเท่าไรยิ่งทุกข์มากเท่านั้น ได้เท่านี้แล้วมันต้องหลอกว่าให้ได้เท่านั้นๆ จนตาย ก็ตายไปเปล่า ไม่มีคำว่าอิ่มพอจากกิเลสตัวโลภมาก กระตุกเจ้าของเพียงที่กล่าวมานี้ กิเลสตัวโลภมหาภัยก็สงบลงไม่กล้าลุกลามปามไปมากเลย นี่แลธรรมปราบกิเลสตัวโลภมาก

    ถ้าอยากมีความสุขจงพากันนำไปปราบกิเลสตัวไฟลามทุ่งให้ดับมอดลง ใจจะเป็นสุขอย่างไม่คาดไม่ฝัน ที่จะให้มีความสุขเพราะความโลภมากจนให้เพียงพอนั้น จนวันตายก็ตายไปเปล่าทั้งที่หิวโหยด้วยความอยากความโลภอยู่นั่นแล จะไม่มีวันพอตลอดกัปกัลป์หรือเลยนั้นไปเป็นแสนกัปล้านกัลป์ เพราะสัตว์ในแดนโลกธาตุนี้ ไม่เคยมีสัตว์โลกรายใดมีความสุขเพราะความโลภมากและเพราะมันพอตัว อิ่มตัว นอกจากลดความโลภลงด้วยธรรมโดยลำดับจนไม่มีเหลือภายในใจเท่านั้น จึงจะถึงหนองอ้อแห่งความสุขอันแท้จริงว่า อ้อ ใจไม่มีความโลภสุขอย่างอัศจรรย์อย่างนี้ละหรือ ใจไม่มีความอิจฉาริษยาผู้อื่นมีความสุขอัศจรรย์อย่างนี้หรือ ใจไม่มีราคะตัณหาน้ำล้นฝั่งท่วมหัวใจ บีบบังคับขยี้ขยำหัวใจเป็นความสุขอัศจรรย์อย่างนี่หรือ หนองอ้อ อุทานความสุขจะผุดขึ้นที่ใจดวงนั้นเองในทันทีทันใดที่กิเลสตัวมหาภัยทั้งหลายเหล่านี้หลุดลอยไปจากใจ

    ฉะนั้น การนำธรรมะมาปฏิบัติ ธรรมก็ศักดิ์สิทธิ์ในตัวเรา แม้เราเองก็ศักดิ์ลิทธิ์ต่อตัวเองและยังจะเป็นที่เคารพนับถือและเป็นที่ยึดเหนี่ยวของผู้อื่นอีกมากมายจนถึงขั้นหาประมาณไม่ได้โน่นแล นี่คือผลแห่งการปฏิบัติธรรมเห็นผล อยัมภทันตา ผิดกับการนับถือเฉยๆ ลอยๆ อยู่มาก จงจดจำเอาไปปฏิบัติเพื่อความศักดิ์สิทธิ์แก่ตัวเองก็พอตัวแล้ว

     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ถาม แหมความโลภมากอยากไม่มีความพอดีเป็นเบรกห้ามล้อนี้ มันทำคนให้เสียคนได้จริงๆ นะท่านปู่ ธรรมวันนี้ถึงใจนับแต่เกิดมาก็มีวันนี้ที่ปู่นำความโลภออกประกาศโทษให้กระผมรู้และเข้าใจอย่างลึกซึ้งจริงๆ

    ตอบ ราคะ ตัณหา ความโลภ ความโกรธ เมื่อเทียบทางโลกแล้วก็คือตัวมหาภัย มหาอำนาจบีบหัวใจสัตว์นั้นแล จะเป็นบุญเป็นคุณอะไรเพราะมันทั้งสามนี้ที่มันสนุกเรืองอำนาจก็เพราะสัตว์โลกเคารพบูชามันนั่นเอง เวลานี้ทั่วโลกกำลังเทิดทูนและบูชามันอย่างเปิดเผยและออกหน้าออกตา ไม่สะดุดใจกระดากอายธรรมเครื่องปราบมันบ้างเลย อะไรๆ ก็เป็นศิลปะไปหมด ปู่ก็ไม่ทราบว่า ศิลปะมันคืออะไร มันคือการเห่าหอนอึกทึกทั่วบ้านทั่วเมืองในฤดูเดือน ๑๒ นั่นหรือ มันคือตัวโลภมากๆ จนหมดยางอาย พลิกกิน คว่ำกิน หงายกิน กินทั้งสันทั้งคม กินทั้งขึ้นทั้งล่อง กินไม่อดไม่อั้น ขอแต่มีช่องกินนั้นหรือ หรือมันคือตัวแดงๆ ตาแดงๆ เหมือนพริกสุก เวลามันแสดงฤทธิ์เต็มที่กับสิ่งที่ไม่พอใจนั้นหรือ นี่หรือศิลปะๆ ที่โลกนิยมกันน่ะ


    หลาน มิใช่ ท่านปู่ คำว่าศิลปะคือความฉลาดรอบรู้ในสิ่งต่างๆ รอบตัว หรือเรียกว่าศิลปวิทยา ความรู้ในแง่ต่างๆ เช่นช่างจักสาน ช่างบ้านช่างเรือน ช่างวิชาชีพแขนงต่างๆ เหล่านี้รวมแล้วเขาเรียกว่าศิลปะ

    ปู่ถาม อย่างนั้นหรือ ปู่เกิดมาแก่แดดแก่ลมเปล่าๆ ไม่รู้ศิลปะกับเขา ทางโลกก็เคยครองอยู่หลายปีก่อนออกบวช แต่สมัยนั้นไม่เคยสนใจกันในคำว่า ศิลปะละแปะเหมือนคนสมัยปัจจุบัน ซึ่งรู้ไปเสียทุกแง่ทุกมุม แต่สังเกตดูคนสมัยปู่โน้นเขามีความสุขกันอย่างธรรมชาติ สุขเรียบๆ สุขไม่แพรวพราวผาดโผนเหมือนคนสมัยนี้ ดูแล้วผิดกันอยู่มาก ถ้าเป็นอาหารก็อาหารธรรมชาติ ไม่มีหลายรสหลายชาติเหมือนอาหารในสมัยปัจจุบันซึ่งหลากรสหลากสีที่สุด คนโง่ๆ อย่างปู่เลยไม่รู้จักกินกับเขา ทั้งไม่รู้เป็นคาวเป็นหวานด้วย ที่สามารถปรุงอาหารหวานคาวได้หลายรสหลายชาติเช่นนี้ก็เรียกว่า ศิลปะ ใช่หรือเปล่า

    หลาน ใช่ จัดเป็นแขนงหนึ่งของศิลปะแหละท่านปู่

    หลวงปู่ สำหรับปู่เองซึ่งแก่จวนจะเข้าอู่อยู่แล้วมันเฉยๆ ไม่กระตือรือร้นกับสิ่งเหล่านี้ มีอะไร กินอะไรที่ไม่กังวลสิ้นเปลืองก่อความทุกข์ความฉิบหายมากเกินความพอดีแล้ว พอกินพอใช้ทั้งนั้น แล้วก็เป็นสุขดี ไม่หมุนตัวเป็นเกลียวไปกับมัน คนเราเมื่อหาความสบาย อะไรมันสบายก็ควรใฝ่ใจและหมุนตัวไปทางนั้น ถ้าเห็นโทษของกิเลสตัวฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมตามทางของชาวพุทธ นอกจากจะเห็นคุณค่าของมันที่พาโลกให้เป็นกังหันหน้าซีดเซียวมองกันไม่ทั่วหน้า ฆ่ากันราวกับใบไม้ร่วง ก็เป็นกรรมของสัตว์เอง แม้ธรรมเครื่องแก้กิเลสแลกองทุกข์มีอยู่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ถ้าเจ้าของไม่นำออกมาช่วยตัวเอง เช่นเดียวกับปืนมีอยู่แต่ไม่นำออกมาต่อสู้เสือที่กำลังคำราม ปล่อยให้เสือกัดตายเปล่าๆ ฉะนั้น
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ถาม ขอกราบถามปู่เรื่องพระธุดงคกรรมฐาน ได้ทราบเขาเล่าลือว่าพระธุดงคกรรมฐานสายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ทางภาคอีสานมีมากกว่าภาคอื่นๆ ใช่ไหมปู่

    ตอบ ดูจะมีมากดังคำเขาเล่าลือ เพราะป่าทางภาคอีสานยังมีอยู่มากพอหลบซ่อนตัวบำเพ็ญภาวนาได้สะดวก ประการสำคัญผู้ให้กำเนิดกรรมฐานในสมัยปัจจุบันคือท่านหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านก็เป็นคนภาคอีสาน เวลาบวชแล้วท่านมักบำเพ็ญอยู่ทางภาคอีสานมากกว่าภาคอื่นๆ ยิ่งวาระสุดท้ายแห่งอายุท่านก็อยู่ภาคอีสานและมรณภาพที่ภาคนี้ทั้งสององค์ เวลาท่านยังมีชีวิตอยู่ก็ได้ให้การอบรมพระเณรเป็นจำนวนมาก ฉะนั้น พระธุดงคกรรมฐานจึงมักมีอยู่ทางภาคอีสานมากกว่าภาคอื่นๆ


    ถาม เวลานี้ยังมีมากอยู่หรือเปล่า

    ตอบ ยังมีมากอยู่ แต่ครูอาจารย์ที่ประชาชนพระเณรเคารพนับถือรู้สึกร่วงโรยไปมาก องค์นั้นร่วงไป องค์นี้ร่วงไปซึ่งมีแต่องค์สำคัญๆ ทางจิตภาวนาแทบทั้งสิ้น


    ถาม เวลานี้ยังมีองค์ใดบ้างที่สำคัญทางจิตภาวนา ปู่จะพอเมตตาบอกลูกหลาน

    ตอบ เรื่องเมตตานั้น เมตตา แต่ไม่อาจบอกได้ เพราะท่านไม่ใช่ปลาเน่าพอจะประกาศขายทอดตลาดนี่


    ถาม ก็เห็นท่านพูดกันอยู่ว่า องค์นั้นเป็นอย่างนั้น องค์นั้นดีทางนั้น องค์นั้นดีทางโน่น สำหรับปู่ทำไมบอกไม่ได้

    ตอบ ปู่ไม่มีภูมิในทางทำนายทายทักท่านผู้ใดได้ แม้ปู่เองยังไม่เห็นทำนายตัวเองได้ว่าจะตายเมื่อไร ร่างกายแก่มากขนาดนี้แล้ว ซึ่งน่าจะพอทำนายตัวเองได้ จะไปอวดเก่งเที่ยวทำนายท่านผู้อื่นอย่างไรกัน เพราะธรรมไม่เหมือนโลก ไม่เหมือนภาพยนตร์ พอจะประกาศโฆษณาให้คนมาชมแบบภาพยนตร์นี่


    ถาม เมื่อไม่ประกาศบ้าง พระธุดงคกรรมฐานท่านจะรู้ได้อย่างไรว่า ครูอาจารย์องค์ใดดีทางใด องค์ใดมีความรู้ความสามารถทางสมถวิปัสสนา วิชาวิมุตติ องค์ใดได้ขั้นใดภูมิใด พระธุดงค์ทั้งหลายจึงจะมาศึกษาอบรมกับอาจารย์องค์นั้นๆ ได้ถูกต้องไม่ผิดพลาด

    ตอบ พระธุดงคกรรมฐานผู้แสวงหาความรู้ความฉลาด แต่ถ้าจะโง่ขนาดนั้น ก็ไม่ควรอยู่ให้หนักศาสนา เพราะพระพุทธเจ้ามิได้สอนคนสอนพระให้โง่ แต่สอนเพื่อความฉลาดทุกแง่ทุกมุมแห่งธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้ว อย่างหลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่น ไม่เห็นท่านประกาศตัวเองว่ารู้และฉลาดในธรรมแง่ใด ท่านชอบบำเพ็ญตนอยู่แต่ในป่าในเขาเป็นประจำจนเป็นนิสัย ราวกับท่านไม่เคยเกิดกับบ้านอยู่กับเมืองเลย แต่ครูอาจารย์ใดล่ะ จะมีลูกศิษย์ลูกหาทั้งพระเณรและประชาชนฆราวาสมากกว่าท่านทั้งสองนี้ ท่านเหล่านี้รู้ได้อย่างไรจึงพากันหลั่งไหลไปศึกษาอบรมกับท่านจนกระทั่งท่านละขันธ์ ลูกศิษย์ท่านมีมากทั่วประเทศไทยกระทั่งประเทศลาวโน่น ท่านเหล่านั้นรู้ได้อย่างไร

    ให้ตนไปรู้ไปเห็นเอง ฟังเอง สังเกตเอง ทุกแง่ทุกมุม บรรดาอาการที่แสดงออกจากท่านนั้นแล มันถนัดชัดเจนดี ดีกว่าตื่นข่าวกันแบบลมๆ แล้งๆ สุดท้ายก็หาตัวหาตนไม่ได้เป็นไหนๆ พระธุดงคกรรมฐานสายหลวงปู่มั่นมาดั้งเดิมนั้นท่านเป็นธรรมไม่มีโลกเข้าแฝงเลย ไม่พูดพล่ามเรื่องอะไรๆ เกี่ยวกับอรรถกับธรรมอย่างง่ายดาย ท่านพูดเฉพาะพวกเดียวกันที่มีความรู้ทางจิตภาวนาคล้ายคลึงกันและไว้ใจกัน

    ท่านจะพูดเรื่องธรรมปฏิบัติล้วนๆ ต่อกัน ใครรู้เห็นอย่างไรจากการปฏิบัติจิตภาวนา ท่านคุยธรรมปฏิบัติกันอย่างเอาจริงเอาจัง ฟังแล้วเพลินไม่อยากให้จบลงอย่างง่ายๆ เรื่องที่ท่านจะพูดธรรมภายในใจเช่น สมถะ - วิปัสสนา สมาธิ สมาบัติ มรรคผลนิพพานที่ตนรู้ตนเห็นให้ใครๆ ฟังแบบพล่ามๆ นั้น อย่าฝันลมฝันแล้งว่าจะได้ยินจากท่านง่ายๆ ก็ท่านไม่พูดนี่ ท่านทำตัวราวกับพระเซ่อบัดซบนั่นแล ถ้ายังไม่สนิทกัน สมมุติมีใครไปตีสนิทในขณะที่ไปพบเห็นท่านครั้งแรก ปากบอนอวดรู้ตู้พระไตรปิฎกเต็มพุง พูดคุยอวดท่านเรื่องสมาธิ สมาบัติ มรรคผลนิพพาน ทิพโสต ทิพยจักษุ ตลอดอภิญญาพิสดารต่างๆ ท่านจะปิดปากอย่างสนิทเลย แต่จะคอยฟังแง่หนักเบาแห่งธรรมจากผู้มาคุยด้วยทุกๆ ระยะไม่คลาดเคลื่อนเลื่อนลอยจนจบ

    หากเป็นธรรมเกิดจากภาคปฏิบัติจริงๆ และเจตนาเป็นธรรมของผู้มาคุยด้วย ท่านจะช่วยแนะให้ตามลำดับแห่งจุดที่ผู้นั้นยังบกพร่องโดยที่ตนไม่รู้ไม่เข้าใจ แต่จะถามท่านสุ่มสี่สุ่มห้านั้นท่านไม่เล่นด้วย และหาทางออกตัวโดยอุบายต่างๆ เช่น ผมหรืออาตมาไม่รู้ไม่เข้าใจเป็นต้น และปิดปากเงียบ นี่คือนิสัยของพระธุดงคกรรมฐานที่ท่านเป็นธรรมและรักสงวนธรรม โดยมากท่านปฏิบัติกันอย่างนี้ แม้จะรู้เห็นธรรมมากน้อยลึกตื้นหยาบละเอียดเพียงไร ท่านจะพูดคุยในวงและคณะของท่านโดยเฉพาะ ท่านไม่ประกาศโฆษณาตนและธรรมแบบโลกๆ เพราะท่านทราบว่าโลกกับธรรมนั้นต่างกัน แม้จะอยู่ด้วยกัน ท่านจึงรักสงวนธรรม

    ส่วนพวกเราประเภทขายก่อนซื้อ เน่าก่อนสุก สุกก่อนห่าม พล่ามก่อนรู้ พอมาเจอกัน เป็นยังไงจิตถึงไหนแล้ว ถึงพรหมโลกหรือยัง ได้ไปเที่ยวสวรรค์ไหมคืนนี้ ได้ไปดูสัตว์นรกบ้างไหมคืนนี้ ได้ตรวจดูจิตผมไหมคืนนี้ ได้ตรวจดูจิตคน.....นั้นไหม ที่เขามาขอให้ตรวจดูให้น่ะ ผมเองยังเลยเพราะยุ่งกับตรวจดูกรรมของ.....เขา เขามาให้ตรวจดูให้ คืนนี้ยังจะต้องตรวจดูกรรมเวรของ.....เขา คนนี้กรรมหนามาก ระโยงระยางด้วยสายกรรมสายเวรจนแทบมองไม่เห็นตัวจริง คุ้ยเขี่ยตัดฟันกันยกใหญ่กว่าจะได้ความจริงออกมาบอกเขา คนนี้ต้องให้เขาทำบุญอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร โรคเขาจึงจะบรรเทา แต่หายนั้นไม่หายแน่ เพราะเขายังมีกรรมหนักมาก ปกติผมหรืออาตมาไม่ว่างต้องช่วยเพื่อนมนุษย์ตลอดทั้งวันทั้งคืน ต้องแนะต้องบอกให้เขาสะเดาะเคราะห์เพราะระยะนี้ดวงเขาไม่ดีเลย ดาวอะไรต่อดาวอะไรทับกันยุ่งหมด และต้องแนะต้องบอกหลายด้านหลายทาง เพราะคนหนึ่งๆ ล้วนหาบเคราะห์หาบกรรมมาให้เราดู เราช่วยแทบเป็นแทบตาย ท่านไม่ได้เหมือนพวกเราชาวฉลาดก่อนโง่ดังที่กล่าวมา

    พระธุดงคกรรมฐานองค์ใดรายใดก็ตามแสดงออก จะเป็นสมัยหลวงปู่มั่นยังอยู่หรือปัจจุบันนี้ก็ตาม องค์นั้นรายนั้นจะอยู่กับหมู่คณะไม่ได้ พระท่านรังเกียจอย่างน้อยท่านก็ซุบซิบกัน มากกว่านั้นก็ทำเรื่องขึ้นหาครูอาจารย์เพื่อเรียกมาชำระอธิกรณ์ นรก - สวรรค์ให้สั้นไปจากวัด จากหมู่คณะ เพราะแบบนี้มันแบบหากิน มิใช่แบบหาอรรถหาธรรมดังพระพุทธองค์แลสาวกพาหา เข้าใจไหม อย่าว่าปู่ดุนะ เราพูดตามความจริงของวงกรรมฐานสายหลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นท่าน
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ถาม แหมซึ้งมากปู่ วันนี้ฟังการปฏิบัติธรรมของวงพระธุดงคกรรมฐานสายหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น อย่างตั้งใจและเป็นคติไปนาน แต่ก่อนปู่ไม่เห็นเล่าวงพระธุดงค์เหล่านี้ให้หลานๆ ฟังบ้าง

    ตอบ ใครมาก็พูด ใครมาก็พล่าม ใครมาหาก็ฟุ้งบ้าน้ำลายทะลุฟ้า เรื่องพระธุดงคกรรมฐานสายหลวงปู่เสาร์ ปู่มั่น ไม่ทราบเขามาหาเพื่อเรื่องราวอะไร ตะกี้นี้ก็พูดกันอยู่แล้วสดๆ ร้อนๆ ยังจะเป็นผู้รับเหมาเรื่องเหล่านั้นเสียเองอะไรกัน การพูด ควรพูดเรื่องอะไรที่เหมาะกับกาลสถานที่บุคคลค่อยพูด ไม่ใช่ใครมาหาก็จะพูดแต่เรื่องเดียว เขาก็เอือมกันทั่วโลกละซิ นี่หลานๆ ถามก็พูดกันไปตามเรื่องราวที่อยากทราบอย่างนั้นเอง


    ถาม ครั้งพุทธกาลเที่ยวธุดงคกรรมฐาน กับสมัยนี้ที่คณะธุดงค์ของปู่เสาร์ ปู่มั่นและปู่เที่ยว ต่างกันหรือเหมือนกันปู่

    ตอบ ถ้าดูตามพุทธประวัติ สาวกประวัติ ตลอดท่านจารึกไว้ในคัมภีร์ก็คิดว่า เป็นปฏิปทาที่ลูกศิษย์เดินตามครู แต่จะพูดว่าเหมือนครั้งพุทธกาลนั้น ปู่ไม่อาจเอื้อม เพราะระหว่างพญาราชสีห์กับหนูนั้นผิดกันมาก จึงไม่ควรนำมาเทียบกันการกราบไหว้ท่านปฏิบัติตามธรรมที่ท่านทรงเมตตาสั่งสอนนั้นเห็นว่าเป็นสามีจิกรรมเหมาะสมแล้ว จึงตะเกียกตะกายปฏิบัติกันไปดังที่เห็นๆ กันอยู่นี้แหละ
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG]

    ถาม ที่ปู่ว่าธรรมได้มาจากความอดอยากขาดแคลนและเดนตายนั้น อดอยากอย่างไร ปู่ไม่มีใครใส่บาตรให้ฉันอย่างนั้นหรือ

    ตอบ เรื่องคนใส่บาตรนั้นมี พระกรรมฐานไปอยู่ที่ไหน ตามธรรมดาแล้ว ไม่อดอยากด้วยปัจจัยสี่ เพราะเขาเคารพเลื่อมใสเป็นพื้นเพของใจอยู่แล้ว ที่ว่าอดอยากขาดแคลนนั้น เป็นเพราะท่านฝึกท่านทรมานท่านเองเพื่ออรรถเพื่อธรรม ที่ท่านมุ่งมั่นอยากรู้อยากเห็น ท่านจึงฝึกทรมานด้วยการปฏิบัติโดยวิธีต่างๆ เช่น เอาอาหารแต่น้อยแม้มีมาก ฉันน้อยๆ แม้อาหารมีมาก ไม่ฉันทั้งไม่ไปบิณฑบาตเป็นวันๆ ไปเป็นครั้งคราว เพื่อเร่งภาวนาให้หนักขึ้น


    ถาม ไม่อดอาหาร ไม่ผ่อนอาหาร ไม่อดอยากขาดแคลน ภาวนาไม่ได้หรือปู่

    ตอบ ภาวนาได้ แต่จะได้ผลเพียงไรหรือไม่นั้นเป็นอีกกรณีหนึ่ง ดังชาวบ้านเขาภาวนากันเขาก็ไม่อดไม่ผ่อนอาหารไม่ทรมานมากเขาก็ภาวนาได้ แต่ผลของเขาเป็นอย่างไร ปู่ไม่ถามเขา


    ถาม การฝึกทรมานด้วยวิธีต่างๆ ดังที่กล่าวมานั้นได้ผลอย่างไรบ้างปู่

    ตอบ การฉันน้อยและการไม่ฉันเป็นวันๆ ไปนั้น ทำให้ไม่โงกง่วง ตั้งสติได้ดีใจสงบได้ง่ายกว่าฉันตามปกติ ปัญญาคล่องตัวดีกว่าปกติ นี่หมายถึงผู้ถูกกับจริตนิสัยร่างกายลดกำลังลงกว่าปกติย่อมไม่ทับจิตมาก การฝึกจิตทั้งด้านสมถะและด้านวิปัสสนาก็ง่ายกว่ากัน ท่านจึงมันทรมานอยู่เสมอ เพื่อการดำเนินจิตได้สะดวกและรวดเร็วกว่าที่ไม่ฝึกทรมานดังที่กล่าวมา


    ถาม พระธุดงคกรรมฐานท่านชอบฝึกทรมานตน อยู่แบบอดๆ อยากๆ อย่างนี้เหมือนกันหมดหรือ

    ตอบ ไม่หมด แต่ส่วนมากท่านมักทรมานกันด้วยความพอใจ สมัครใจ ไม่มีใครบังคับ การฝึกทรมานดังที่กล่าวมา จิตใจสงบ ร่างกายก็เบา ไม่กดถ่วงใจให้คิดฟุ้งซ่านไปในทางที่ผิดที่เป็นข้าศึกต่อธรรม เมื่อใจสงบ คนเราย่อมสะดวกสบายไม่ดิ้นรน สติปัญญาพอมีทางคิดอ่านไตร่ตรอง อรรถธรรม ไม่เป็นความคิดความปรุงที่กิเลสควบคุมรุมกัดรุมทึ้งไปเสียหมด ยังพอปรากฏเป็นอรรถเป็นธรรมขึ้นมาให้ได้ชมบ้างสมกับมาแสวงธรรม
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ถาม ถ้าใจไม่สงบ ท่านคิดอรรถคิดธรรมไม่ได้หรือจึงต้องฝึกให้ใจสงบก่อนแล้วค่อยคิดอรรถคิดธรรมตอนจิตสงบแล้ว

    ตอบ เรื่องคิด คิดได้ แต่พอคิดธรรมติดมือขึ้นมา กิเลสที่รุมล้อมอยู่รอบหัวใจคว้าเอาไปกิน เจ้าของมองไม่ทัน เพราะกิเลสตัวสัญญาอารมณ์มันรวดเร็วมากเกินกว่าสติปัญญาธรรมดาโลกๆ จะตามทัน ฉะนั้น ท่านจึงสอนให้ฝึกอบรมจิตให้สงบด้วยสมถะก่อน พอมีทางยับยั้งตั้งตัวได้บ้างแล้วก็สอนให้พิจารณาทางปัญญา การที่จิตสงบนั้นผลเป็นความเย็น ไม่ดิ้นรน กวัดแกว่ง จิตเชื่อง ถ้าเป็นน้ำก็สงบนิ่งเมื่อนานเข้าก็ใสสะอาด จิตที่สงบ จากอารมณ์กวนใจก็ทำนองเดียวกัน

    เมื่อนำออกพิจารณาทางด้านปัญญา ย่อมไม่ดิ้นรนกวัดแกว่ง ตั้งหน้าทำหน้าที่ตามสติที่ควบคุมและสั่งงานในการพิจารณา การพิจารณาส่วนมากถือกายเป็นเป้าหมายแห่งการพิจารณา โดยความเป็น อสุภะ อสุภัง ปฏิกูลโสโครกไม่สวยงามบ้าง ในขั้นเริ่มต้น พิจารณากลับไปกลับมา จนเป็นที่เข้าใจว่าเป็นอสุภะ ไม่งาม เป็นปฏิกูลจริงๆ ตาม ความพิจารณา หลายครั้งหลายหนใจย่อมยอมจำนนต่อปัญญาและเชื่อว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ จิตก็ยิ่งมีความสง่างามแพรวพราวและอาจหาญไป โดยลำดับของการพิจารณา เมื่อพิจารณาไปมากจิตมีความอ่อนเพลีย ก็นำจิตเข้าพักสงบอารมณ์ในสมาธิ ทำสลับกันไปตามวาระของการทำงานและหยุดงาน



    ถาม มีบางอาจารย์สอนว่า ให้พิจารณาปัญญาไปเลย ไม่จำเป็นในการทำสมถะ คือความสงบใจก่อน นั่นจะไม่ขัดกันหรือปู่

    ตอบ ถ้าเราไม่ไปขัดเขาและเขาก็ไม่มาขัดการปฏิบัติของเรา ก็ไม่มีอะไรขัด เขาชอบทำอย่างนั้นก็เป็นเรื่องของเขา เราทำเช่นนี้ก็เป็นการปฏิบัติของเรา และเพื่อเราเองมิได้เพื่อใคร เพราะธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นสมบัติกลาง ใครจะแสวงหาด้วยวิธีใดก็ได้ ไม่มีใครห้ามและกีดขวาง ส่วนถูกหรือผิดนั้น ต่างเป็นผู้รับผิดชอบของตัวเอง ผู้อื่นมิใช่ฐานะจะเข้าไปเกี่ยวข้อง ถ้าเขาไม่ขอให้เกี่ยวข้อง เรื่องก็มีเท่านั้น หลานสงสัยอะไรและเป็นกังวลกับใคร เวลานี้ปู่พูดกับหลาน ปู่สอนหลานต่างหาก มิได้สอนใครพอจะนำเรื่องของผู้อื่นเข้ามาเป็นกังวลใจให้ยุ่งไปเปล่าๆ


    หลาน เห็นเขาสอนกันอย่างนั้น หลานสงสัยที่ไม่เข้ากันกับที่ปู่สอนอยู่เวลานี้ จึงได้เรียนถาม ถ้าผิดก็ขอประทานโทษด้วย หลานไม่เข้าใจจริงๆ ในเรื่องการภาวนานี้ ปู่

    ถาม การทำทุกรกิริยาของพระพุทธเจ้า โดยทรงอดพระกระยาหารไม่เสวย ๔๙ วัน กับที่พระธุดงคกรรมฐานท่านอดอาหาร ไม่ฉันเป็นวันๆ และหยุดฉันเป็นพักๆ ไปนั้น ผิดกันกับที่พระองค์ทรงทำหรือไม่

    ตอบ พูดการอดไม่ฉันของพระธุดงค์กับพระองค์นั้น ไม่ผิดกันคือไม่ฉันเหมือนกัน แต่ผิดกันนั้นผิดตรงที่พระองค์หวังความตรัสรู้ธรรมด้วยการอดพระกระยาหารอย่างเดียว ไม่มีจิตภาวนาเข้าช่วย ส่วนพระธุดงค์ท่านอดเพื่อภาวนาสะดวก และหวังรู้ธรรมจากการภาวนา มิได้หวังรู้ธรรมจากการอดอาหารอย่างเดียว
     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ถาม เวลาอดอาหารไม่ฉันนั้น ท่านอดกี่วันปู่ ท่านจึงฉัน

    ตอบ เอาแน่ไม่ได้ ตามแต่องค์ที่ท่านจะอดฉัน เพราะเป็นอัธยาศัยของแต่ละรายๆ ไป แม้องค์เดียวกันนั้น อดบางครั้งก็น้อยวัน เช่น ๓ - ๔ - ๕ วัน หรืออาทิตย์หนึ่ง บางครั้งท่านอดเป็นอาทิตย์ๆ จึงฉันก็มี องค์อื่นๆ ก็เช่นกัน เอาแน่ไม่ได้ ตามแต่ผลแห่งการภาวนาของท่านจะอำนวย


    ถาม เวลาอดอาหารเช่นนั้น หิวมากไหมปู่

    ตอบ ถ้าอยากทราบก็ลองอดดูซิจะรู้เอง ไม่จำต้องถามผู้อื่น แม้ถามก็ไม่เกิดประโยชน์ จึงไม่ตอบ


    ถาม โอ้โฮ ! น่าสงสารท่านจับใจ ของเคยกินไม่กินต้องเป็นทุกข์แน่ๆ ยิ่งอดหลายๆ วันด้วยแล้วน่าจะสลบไปในบางครั้งนะปู่

    ตอบ อาจเป็นไปได้ในบางรายและบางครั้งถ้าธาตุขันธ์ไม่สมบูรณ์ แต่ความสนใจพระท่านไม่ได้อยู่กับความเมื่อยหิวอ่อนเพลียมากไปกว่าความมุ่งมั่นต่อการรู้ธรรมเห็นธรรมที่กำลังบำเพ็ญอยู่อย่างขะมักเขม้นในเวลาเช่นนั้น ซึ่งเหมือนเข้าสู่สงครามระหว่างกิเลสกับธรรมภายในใจ


    ถาม เวลาอดอาหาร ได้ฉันอะไรแทนบ้างไหม ปู่

    หลวงปู่ถาม ฉันอะไร ?

    หลาน ก็ฉันน้ำอ้อย น้ำตาล ฉันโกโก้ กาแฟ หรือ ฉันผลไม้สุกชนิดต่างๆ ที่พอมีพอหาได้นั่นแหละ

    ตอบ ถ้ายังจะกลัวตายเที่ยวฉันผลไม้ชนิดต่างๆ อยู่ก็อย่าอดให้ขายหน้าตัวเองและพระศาสนาละซิ พูดอะไรอย่างนั้น ผลไม้ก็คืออาหารเราดีๆ นี่เอง จะฉันได้อย่างไรในเวลาวิกาล แม้ที่ฉันได้ในเวลาวิกาล เช่น โกโก้ กาแฟ น้ำอ้อย น้ำตาล น้ำส้ม น้ำหวาน เพียงจะหาถ่ายรูปไว้ดูต่างหน้าเวลาหิว ก็ยังไม่มีจะว่ายังไง ยังจะบึนไปหามันที่ไหนให้ยุ่งเข้าไปอีก พูดกับคนไม่เคยอดเคยหิวนี่มันลำบาก เลยออกนอกลู่นอกทางไปกันใหญ่แล้วนี่
     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ถาม ขอประทานโทษปู่มากๆ หลานไม่รู้จริงๆ จึงได้ถามซอกแซกออกนอกลู่นอกทางไป แล้วท่านจะฉันอะไรพอเยียวยาธาตุขันธ์ในเวลาเมื่อยหิว อ่อนเพลียมากเพราะไม่ได้ฉันหลายๆ วัน

    ตอบ จะฉันอะไรนอกจากน้ำในกาน้ำเท่านั้น ก็ท่านไม่วุ่นวายเหมือนผู้ถามนี่นา ท่านอดเพื่อภาวนาท่านจึงมีแต่ตั้งหน้าภาวนาอย่างเดียว ไม่ยุ่งกับอะไรทั้งสิ้นในเวลาเช่นนั้น เพราะท่านอดเพื่อทน เพื่อต่อสู้ท่านไม่ได้อดเพื่อความอ่อนแอ ท้อแท้ล้มเหลว จิตท่านเข้มแข็งแม้ร่างกายธาตุขันธ์จะอ่อนกำลังลงบ้าง ถ้าจิตท่านเหมือนที่ถามยุ่งอยู่เวลานี้ ท่านไม่อดให้เสียเวลาไม่เกิดประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น


    ถาม เวลาอดหลายๆ วัน การภาวนาของท่านน่าจะดีท่านจึงทนได้ ถ้าเป็นอย่างหลานต้องคว้าใบไม้สดใบไม้แห้งเข้าใจว่าเป็นผักแน่ๆ

    ตอบ ก็ท่านไม่ใช่พระใบไม้สดใบไม้แห้งละซิ ท่านถึงอดถึงทนได้เพื่อประโยชน์อันไพศาล ซึ่งดีกว่าอาหารหวานคาวที่กินอยู่ทุกวันเวลาเป็นไหนๆ พวกที่เห็นขี้ดีกว่าไส้ก็ทำไม่ได้ ผู้ที่เห็นไส้ดีว่าขี้ก็ทำไม่หวั่นไหว ตายเป็นตาย ขอให้ได้ครองอรรถครองธรรมอย่างอดใจแล้ว พระธุดงค์แต่ละองค์กว่าจะได้ธรรมครองใจก็แทบไปแทบอยู่นั่นแล จะว่าเป็นของง่ายดายหรือ เวลาชีวิตท่านเหลือเดนตายออกมา ใครๆ จึงชมแต่ผลท่านว่าท่านดีอย่างนั้น อย่างนี้

    บทเวลาท่านจะตายอยู่ในป่าในเขา ในทางจงกรม ในที่นั่งสมาธิภาวนา ในความเพียรท่าต่างๆ ไม่เห็นคิดกันบ้าง เราเป็นชาวพุทธต้องมองเหตุบ้างซิ มองแต่ผลอย่างเดียวจะเกิดประโยชน์อะไร เกิดมาทั้งชาติก็มีแต่กินกับนอนและเที่ยวเตร็ดเตร่เร่ร่อนหาหัวนอนปลายเท้าไม่ได้ เป็นอยู่อย่างจำเจ จะหาความอบอุ่นแก่จิตใจได้ที่ไหน ก็มีแต่ความรุ่นร้อนเผาใจละซิ วันคืนหนึ่งๆ ผ่านไปต้องคิดหาสารคุณ อย่ามีแต่ความสนุกเฮฮา ตื่นลมตื่นแล้งกันไปไม่มีสาระอะไรติดตัวติดใจ จะหวังพึ่งอะไรมนุษย์เราซึ่งมิใช่ท่อนฟืนมันมีหัวใจดวงรู้ๆ ครองร่างอยู่กับทุกคน ทำไมไม่เหลียวแล จะหวังพึ่งอะไรถ้าพึ่งใจตัวเองไม่ได้แล้ว พึ่งลมหายใจ ลมก็หมดไป

    พึ่งร่างกาย กายก็แตก พึ่งน้ำในกาย น้ำก็สลาย พึ่งไฟในกาย ไฟก็กระจาย กายทั้งร่างมีแต่เรื่องแตกกระจาย แล้วจะพึ่งอะไร พึ่งบ้าน บ้านก็จะพัง พึ่งสมบัติ เงินทองก็ล้วนแต่สิ่งจะพังทลาย ยังเพลินเมามัวมั่วสุมอยู่หรือ มนุษย์เราตัวฉลาดแท้ๆ ไม่สมควรกับความเป็นดังที่กล่าวมา ความดีมีอยู่ แสวงหาซิ มนุษย์ทั้งหลายท่านหาความดีได้ ทำไมเราหาไม่ได้ เวลาไพล่ไปหาความเลวทรามต่ำช้าทำไมหาได้ สิ่งเหล่านั้นมันวิเศษวิโสอะไร ถ้ามันพาคนให้วิเศษมนุษย์พากันวิเศษเลิศโลกไปนานแล้วไม่จมปลักดังที่เห็นกันอยู่นี้เลย จึงไม่ควรเพลิดเพลิน ไม่ควรมัวเมาไม่เข้าเรื่องอยู่เปล่าๆ อะไรดีมีสาระรีบแสวงหา

    เวลาตายจะมีที่ยึดที่เกาะไม่เป็นไฟทั้งกองไปเสียถ่ายเดียว คนหมดที่พึ่งหมดที่อาศัย เป็นคนดีวิเศษละหรือ ในโลกเห็นๆ กันอยู่ยังจะสงสัยอะไรอยู่อีก ถ้าไม่อยากจมน่ะ

    เห็นไหมปู่เวลาเผ็ดร้อนแผดเผาปู่เอาจริง เพราะสงสารมนุษย์ที่มัวเพลิดเพลินกับเงาไม่เข้าเรื่องราวกับเด็กอมมือ ตายแล้วก็ล่มจมกันที่น่าเสียดายและสงสารมาก แต่ช่วยอะไรไม่ได้ พากันทำตัวเหมือนสัตว์ที่เขาขังไว้ต้มแกงเป็นอาหารยังมัวเพลินกันอยู่ ดูซิ สัตว์ที่เขากำลังจูงไปฆ่า มันรู้ตัวเมื่อไรยังเพลินกัดหญ้าไปตามทางถ้ามันรู้จะไม่เพลินกัดหญ้าเป็นอันขาด นอกจากมันจะไล่ขวิดไล่ชนคนที่จูงมันพุงทะลุไปในเวลานั้นเท่านั้น คนที่เชื่อธรรมที่ให้ความปลอดภัยไร้ทุกข์แก่สัตว์โลกก็เป็นคนประเภทสัตว์ที่รู้ตัวว่าเขากำลังจูงไปฆ่านั่นเอง จะไม่ประมาทนอนใจ รีดไถกอบโกยกันแบบสัตว์กัดกินหญ้าตามทางในเวลาที่เขาจูงไปฆ่า จะงดสิ่งเลวร้ายมหาภัยแก่ตน และผู้อื่นทันทีไม่ชักช้า ก้มหน้าทำแต่ความดีงามสุจริตยุติธรรมต่อกันถ่ายเดียวโลกก็สงบร่มเย็นเพราะต่างเห็นใจกัน

    นี่พูดเรื่องพระธุดงค์ เลยธุดงค์เข้าบ้านเข้าเมืองไปหมดแทนที่จะธุดงค์เข้าป่าเขาอย่างเดียวดังพระธุดงคกรรมฐานท่านเที่ยวไปเอาละเหนื่อยมาก เพราะเร่งเครื่องมากลืมความแก่ไป
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หลาน อัศจรรย์ธรรมปู่จนขนลุก ปู่ไปเอามาจากไหน เวลาพูดเป็นน้ำไหลไฟสว่างไปทีเดียว ไม่มีติดมีข้องเลย และอัศจรรย์พระธุดงค์ท่านที่อดทนมากผิดกับชาวบ้านราวฟ้ากับดินทีเดียว

    ถาม วันนี้พวกลูกหลานมาจากกรุงเทพฯ มาขอพรปีใหม่เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ครอบครัวและหน้าที่การงาน ขอหลวงปู่ได้โปรดพรปีใหม่แก่ลูกหลานด้วยเถิด

    ตอบ คำว่า พร ธรรมท่านแปลว่า ประเสริฐ สิ่งใดดี สิ่งใดประเสริฐขอให้ลูกหลานพากันแสวงหาและขวนขวายให้เกิดให้มีขึ้นในตน และครอบครัวของตน ตลอดส่วนรวมไม่มีประมาณ เพราะคำว่าของดี ของประเสริฐนั้น มีอยู่ไหน มีอยู่กับผู้ใด มีอยู่กับครอบครัวใด สังคมใด ที่นั้น ผู้นั้น ครอบครัวนั้น สังคมนั้น ย่อมชุ่มเย็นเป็นสิริมงคล


    ถาม คำว่า ของดี ของประเสริฐ ที่ปู่กล่าวถึงนั้นได้แก่อะไรบ้างปู่ พวกหลานยังไม่เข้าใจ ได้ยินแต่พ่อแม่ คนเฒ่าคนแก่และพระตลอดครูอาจารย์ที่เคารพนับถือตามวัดต่างๆ ดังที่พวกลูกหลานมาขอศีลของพรกับหลวงปู่วันนี้แหละ ส่วนที่ลึกซึ้งยิ่งกว่านี้ยังไม่เข้าใจกันเลยหลวงปู่

    ตอบ หลักใหญ่ที่โลกยอมรับกันก็คือ ธรรม เช่น เขาขอความเป็นธรรมเป็นต้น เพราะธรรมเป็นที่ลงใจของโลก พอได้ยินว่าธรรมเท่านั้น ใจของแต่ละคนก็ชุ่มเย็นทั้งที่ยังไม่รู้ไม่เข้าใจเลยว่า ธรรมดีอะไร ฉะนั้นลูกหลานมาวันนี้ ปู่จึงจะมอบธรรมเป็นพรให้แทนพรทั้งหลาย เพราะคำว่าพรอันประเสริฐ นั้นก็ได้แก่ธรรมที่โลกยอมรับนับถือและกราบไหว้บูชานี้แล ปู่จะให้พรอย่างย่อๆ พอดีแก่เวลา ขอให้ลูกหลานรับไปปฏิบัติกันเถิด จะเกิดความสงบร่มเย็นแก่ตัวเราและครอบครัวอย่างประจักษ์ธรรมย่อที่จะให้ดังนี้คือ

    การที่เราฆ่าเขา เขาฆ่าเรา และการฆ่าสัตว์ทุกชนิดที่ครองตัวอยู่ด้วยชีวิต เป็นอัปมงคลความล่มจมแก่ตนผู้ฆ่าและแก่เขาที่ถูกฆ่าเหล่านั้น อย่างยิ่งชนิดไม่มีอะไรเปรียบได้เลยเพราะทุกๆ ชีวิตมีคุณมากสำหรับตัวทุกๆ ราย ไม่ควรไปแตะต้องทำลาย จงหยุดจงงดกรรมอันโหดร้ายทารุณต่อกันนี้เสีย นี่เป็นพรข้อที่ ๑

    สมบัติเงินทองของคู่ใจ ใครก็รักสงวน การทำลายสมบัติของคู่ใจให้พลัดพรากจากตัวเขา เป็นความโหดร้ายทารุณของผู้ทำ แก่สมบัติและจิตใจเขาอย่างยิ่งไม่มีอะไรเปรียบเทียบได้ แม้เคยทำมาก็จงหยุดจงงดอย่างเด็ดขาดอย่าทำต่อไป นี่เป็นพรข้อที่ ๒

    ลูกหลานเขาเมียเขาผัวเขาคือสมบัติในหัวอกที่รักสงวนอย่างยิ่งกว่าสิ่งใด ไม่ควรล่วงเกินเป็นอันขาด จงรักษาอธิปไตยของกันและกัน ด้วยการเทียบหัวใจเขาหัวใจเราใส่กัน มนุษย์หัวขาดจากคอ ตับพุงทะลุแตกกระจายจากกันในชั่ววินาทีก็เพราะโทษของการล่วงล้ำข่มขืนเป็นต้นเหตุอันสำคัญ จงเห็นโทษมหาวินาศนี้อย่างถึงใจและไม่สนใจใยดีกับกรรมอันลามกนี้ หัวกับคอจะได้อยู่กันอย่างสนิทไม่พรากกัน นี่เป็นพรข้อที่ ๓

    มุสาคือการโกหกตบหูตบตาหลอกลวงผู้อื่นให้ผิดจากปกติคือความมีความเป็นจริง ทำให้อีกฝ่ายหนึ่งเสียหายแต่น้อยจนถึงขั้นล่มจมฉิบหาย เป็นคำไม่ควรพูดไม่ควรโกหกอย่างยิ่งในวงมนุษย์ด้วยกัน ปากโกหกเป็นปากที่ขาดบาทสลึงคนโกหกเป็นคนขาดบาทขาดเต็ง มนุษย์เต็มบาทเต็มเต็งไม่ควรพูดโกหกมุสา จงพูดแต่ความสัตย์ความจริงเพื่อประโยชน์อันสมบูรณ์ต่อกัน นี่เป็นพรข้อที่ ๔

    สุราของมึนเมา เคยทำมนุษย์ให้ขาดบาทขาดสลึง เสียผู้เสียตน เสียการ เสียงาน เสียสมบัติเงินทองมามากต่อมากแล้วจนประเมินโทษของมันไม่ได้ เราเป็นมนุษย์เต็มบาทเต็มเต็ง มิใช่มนุษย์ขาดเฟื้องขาดสลึง จึงไม่ควรนำสุรามาทำลายอวัยวะ สติปัญญาอันเป็นสมบัติมีค่าในตัวเราให้ด้อยลงและเสียไปอย่างยิ่งสุราเป็นสิ่งบั่นทอนและทำลายมนุษย์สมบัติของมนุษย์และการงานของมนุษย์โดยถ่ายเดียว คือ เสียทรัพย์ ก่อความทะเลาะวิวาท เกิดโรค ถูกตำหนิติเตียน กิริยามารยาทราวกับหมาขี้เรือนที่ใครๆ รังเกียจ ไม่สมควรแก่ปกติชนหญิง - ชาย ไม่รู้จักอาย หน้าหนาหน้าชาหมดยางอาย ลดคุณค่ามนุษย์หมดคุณค่าในตัวมนุษย์ผู้กินสุรา เมาสุรา ความเป็นบ้าหาได้ง่ายในสุราและคนเมาสุรา หลานๆ จงรู้ว่า นี่คือยาพิษ ไม่ควรสนใจใฝ่ฝันกับสุราและนำมาดื่มมากิน เดี๋ยวเป็นบ้ากันทั้งโลกนี่เป็นพรข้อที่ ๕

    ที่ปู่มอบให้แก่หลานๆ วันซึ่งตรงกับวันขึ้นปีใหม่และจงพากันเป็นคนใหม่ ต่อไปจากคนคนเก่าด้วยการฝึกหัดเปลี่ยนแปลงตนใหม่จากที่เคยไม่ดีให้เป็นคนดีต่อไป เอาละพอ


     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หลาน การตะเกียกตะกายมาหาหลวงพ่อวันนี้ เพราะข่าวเล่าลือมานานว่า หลวงพ่อเป็นพระองค์สำคัญทางภาคอีสานองค์หนึ่งและเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่นด้วยอยากพบเห็นอยากกราบไหว้บูชา อยากฟังคำสนทนา อยากฟังธรรมเทศนาโปรดตามแต่หลวงพ่อจะสะดวกโปรดได้ กระผมยินดีทั้งนั้น ที่สำคัญและอยากพบเห็น อยากกราบไหว้อย่างยิ่งก็คือ องค์ท่านหลวงปู่ขาวนี่แล เพราะร่ำลือมานาน วันนี้สมใจปลื้มปิติอย่างบอกไม่ถูกเลยทีเดียวแหละปู่

    ปู่ถาม มาเห็นแล้วเป็นยังไง สมคำเล่าลือไหมล่ะ

    หลาน สมอย่างบอกใครไม่ได้ แต่ตื้นตันหัวอกเลยขณะนี้ ทั้งนี้เพราะเคยทราบแต่ในตำราว่าพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายท่านบำเพ็ญและบรรลุมรรคผลนิพพานอยู่ในที่ต่างๆ กัน เช่นในป่า ในถ้ำ ในเขาในครั้งโน่น อ่านแล้วให้เกิดความคิดต่างๆ เกี่ยวกับมรรคผลนิพพานในครั้งโน้น และหิวกระหายอยากฟังการบำเพ็ญและการบรรลุมรรคผลนิพพานของพระในครั้งนี้ ว่ามีท่านผู้บำเพ็ญและบรรลุธรรมได้เหมือนครั้งโน้นหรือเปล่านา

    บุญยังพอมีก็มาได้ยินเรื่องของหลวงปู่มั่น ปู่เสาร์ และได้ยินเรื่องครูอาจารย์ทั้งหลาย สายของท่านปู่เสาร์ ปู่มั่นนี้ จนถึงเรื่องของหลวงปู่องค์ที่กราบเฝ้าอยู่เวลานี้ ทำให้เกิดความปลื้มปีติจนพูดไม่ออกบอกไม่ถูก มันเต็มตื้นอยู่ภายในน่ะปู่ เพียงได้โอกาสจะมาเยี่ยมหลวงปู่เท่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่าง ตลอดผู้เกี่ยวข้อง สิ่งเกี่ยวข้องมันตกออกในทันทีทันใด ภายในกายในใจเบาไปหมด ราวกับตัวจะเหาะลอย ที่เป็นทั้งนี้เพราะซาบซึ้งในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ประทานไว้แก่สัตว์โลก เป็นคำสั่งสอนเสมอต้นเสมอปลาย คงเส้นคงวาทั้งฝ่ายมรรคและฝ่ายผล ไม่ผิดหวังแก่ผู้ปฏิบัติธรรมว่าจะไม่มีผลตอบแทนที่ควรแก่เหตุ ที่ยังมีข้อสงสัยอยู่บ้างก็ตรงที่คนสมัยโน้นกับคนสมัยนี้ ดูว่ามีกิเลสหนา - บางต่างกันอยู่มาก เฉพาะอย่างยิ่งผู้สนใจปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริงยังรู้เห็นธรรมได้ยากกว่าครั้งพุทธกาลอยู่มาก ต้องลำบากลำบนมากกว่าจะรู้จะเห็นธรรม ดังในประวัติของหลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ ที่ท่านพระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน เรียบเรียงไว้ กระผมได้อ่านจนจบหลายเที่ยวไม่เคยเบื่อเลย หลวงปู่มั่นท่านลำบากมากกว่าจะรู้เห็นธรรม ทั้งนี้ก็กราบเรียนตามความรู้สึกเท่านั้น ส่วนความจริงจะเป็นอย่างไรนั้นก็ขอความเมตตาชี้แจงจากหลวงปู่ด้วยจะเป็นพระคุณอย่างสูงแก่กระผมด้วย

    ปู่ตอบ ฟังคุณพูดเกี่ยวกับศาสนธรรมที่ประทานไว้กับคนมีกิเลสหนาบางในสมัยโน่นกับสมัยนี้ต่างกันก็น่าฟัง เรายังไม่ต้องพูดถึงท่านผู้สนใจปฏิบัติธรรม แต่ขอพูดเรื่องผู้ไม่สนใจแสวงธรรม แต่สนใจแสวงหากิเลสมากกว่าธรรมก่อน

    คนสมัยโน้น แม้ผู้ไม่สนใจแสวงธรรม แต่การแสวงสิ่งที่เป็นกิเลสมาพอกพูนหัวใจก็ไม่มากนัก ไม่แสวงหาหลายแง่หลายทาง หลายเล่ห์ หลายเหลี่ยม หลายสันพันคม เหมือนคนสมัยนี้ ในสายตาดูว่าแสดงกันอย่างออกหน้าออกตาเด่นดังจริงๆ ทั้งอยากมั่งมี ทั้งอยากเด่นอยากดัง ทั้งอยากให้คนเคารพนับถือ ทั้งอยากให้เขาล่ำลือว่าตัวเก่งกล้าสามารถหมดทุกด้านทุกทาง จนไม่เป็นอันกินอยู่หลับนอนได้สนิท ทั้งสิ่งยั่วยวนกวนใจเพื่อเบิกทางกว้างของกิเลสโลภะ ราคะตัณหา ตาเป็นไฟ ก็นับวันขยายตัวมากขึ้นตามๆ กัน

    เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้ผู้มีนิสัยสนใจต่อธรรมทั้งหลาย พยายามเที่ยวเสาะและบำเพ็ญก็ย่อมแหวกว่ายสิ่งเกี่ยวข้องซึ่งรุมล้อมอยู่รอบตัวออก และบำเพ็ญด้วยความลำบากอยู่เป็นธรรมดา

    ฉะนั้น ที่ว่าคนครั้งโน้นกับครั้งนี้มีกิเลสหนา-บางต่างกันก็ไม่น่าจะผิด เพราะสิ่งส่งเสริมให้ฝ่ายต่ำมีกำลังมีมากกว่าสิ่งส่งเสริมทางฝ่ายธรรมให้เจริญ คนจึงมีทุกข์มากลำบากทั่วดินแดน แม้ที่อยู่ในป่าในเขาก็ไม่เว้น เพราะสิ่งพาให้เป็นฟืนเป็นไฟมันวิ่งประสานทั่วถึงกัน ส่วนกรรมนั้นก้าวไม่ค่อยออกหรือก้าวไม่ออกเพราะไม่มีใครพาก้าว สุดท้ายก็ให้กิเลสต้มยำเอาสดๆ ร้อนๆ ต่อหน้าต่อตาว่า มรรคผลนิพพานไม่มี มีแต่ชื่อในตำราที่สอนไว้และเขียนไว้เท่านั้น

    นั่นฟังซิคุณ กิเลสมันออกลวดลายเห็นไหม ความจริงผู้เช่นนั้นมันมิได้มองดูธรรมพอชั่วกะพริบตายิ่งกว่าการเถ่อมองกิเลส วิ่งตามกิเลสจนตาแห้งขาปูดบวมเลย แล้วก็ทำตัวเป็นเครื่องมืออย่างเอกของกิเลสให้ออกทำลายธรรมและทำลายหัวใจประชาชนชาวพุทธโดยหารู้ตัวไม่ น่าทุเรศไม่น้อยเลยถ้าจะทุเรศน่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...