หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ "เทพเจ้าแห่งลุ่มแม่น้ำโขง"

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย chirattha, 1 กันยายน 2012.

  1. chirattha

    chirattha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2011
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +857
    ผจญฝูงลิง

    หลังจากเดินทางกลับประเทศลาวเข้าสู่ฝั่งไทย แล้วท่านก็ได้เดินทางไปปฏิบัติธรรมเดี่ยวอยู่ที่ภูเรืออีกครั้งเพราะยังไม่เข้าพรรษา ต่อมาท่านได้ทราบข่าวว่าพระที่วัดบ้านน้ำมีที่ท่านจำพรรษาป่วยเป็นไข้หนักและได้มรณะภาพลง ท่านเลยเดินทางลงจากเขา ท่านเดินมาเรื่อยๆ มาจนเวลาบ่ายคล้อยได้เดินทางลงจากคันได (บันได) มองเห็นทุ่งโล่งข้างหน้าจำเป็นต้องเดินผ่านทุ่งนี้เพื่อที่จะทะลุถึงทางเดินไปบ้านน้ำมี เมื่อเดินมาถึงชายทุ่งได้สังเกตเห็นสีแดงเต็มทุ่งไปหมด ตอนแรกท่านคิดว่าเป็นพวกหมาใน หรือเก้งกวาง เมื่อเดินเข้าใกล้สิ่งที่เห็นกลับกลายเป็นฝูงลิง มันกำลังก้มๆ เงยๆ คล้ายกับกับลังกินอะไรอยู่ พิจารณาดูแล้วไม่สามารถเดินผ่านฝูงลิงไปได้จึงหยุดเดินใต้ต้นไม้ พอฝูงลิงมองเห็นท่าน ลิงบางตัวก็วิ่งเข้ามาหาท่าน มันทำหน้าทำตาหลอกท่าน บางตัวก็วิ่งวนรอบๆ ตัวท่านแต่ท่านก็ยืนสงบนิ่งอยู่ ท่านบอกว่าถ้าหากเกิดกลัวและวิ่งหนี ฝูงลิงคงไล่กัดท่านเป็นฝูงแน่ๆ ในที่สุดเมื่อเห็นท่านยืนสงบนิ่งอยู่ฝูงลิงก็เดินผ่านท่านเข้าป่า เมื่อท่านเดินมาถึงวัดได้ทราบข่าวว่าพระที่มรณะภาพไปกลับมาฟื้นคืนมา พอถึงเวลาเข้าพรรษาท่าก็จำพรรษาที่วัดน้ำมี นับว่าเป็นโอกาสอันดีของท่าน ตลอดพรรษาท่านบำเพ็ญภาวนาอย่างเต็มที่ เมื่อมีข้อสงสัยอะไรก็ได้รับการบอกกล่าวจากท่านอาจารย์ชีปะขาวครุฑ แต่การได้นิมิตพบเห็นพระอินทร์ยังปรากฏขึ้นเรื่อยๆ ไม่สามารถที่จะแก้นิมิตนี้ได้ จนกระทั่งใกล้ออกพรรษา
    นิมิตประหลาด

    ในคืนหนึ่งหลังจากทำวัตร สวดมนต์ร่วมกับพระเณรในวัดแล้วท่านก็ปลีกตัวไปบำเพ็ญ นั่งสมาธิ ภาวนาครั้งนี้ก็เช่นกัน เมื่อสมาธิจนจิตสงบแล้วก็ได้นิมิตเห็นพระอินทร์เสด็จลงมาหาท่าน ถามว่า " มหาบพิตรพระราชสมภารเจ้าเสด็จจากดาวดึงส์ ลงมาโลกมนุษย์มีความประสงค์สิ่งใด " พระอิทร์ตรัสตอบว่า " โยมมีความประสงค์อยากจะอาราธนาสามเณรขึ้นสู่สวรรค์ " หลวงปู่ฯ ท่านคิดว่า ร่างกานนี้หนักถ้าขึ้นไปทั้งร่างกายเป็นๆ คงขึ้นไม่ได้จะขึ้นได้ก็แค่ดวงวิญญาณเท่านั้น ก็หมายถึงว่าท่านต้องตาย ทำให้เกิดห่วงชีวิต คิดถึงโยมแม่และเป็นกังวลต่างๆ และแล้วจิตก็สอนตนเองว่า ชีวิตนี้น้อยนักเมื่อถึงเวลาจะตายก็ต้องตายละร่างกายนี้ไป ชีวิตของคนเราไม่ยั่งยืน ทอดอาลัยในชีวิต ทำให้เกิดความกล้าไม่กลัว ท่านได้ถามพระอินทร์อีกว่า " จะให้ขึ้นไปเมื่อใด " ก็ได้รับคำตอบว่า " วันแรม ๑ ค่ำ เป็นวันออกพรรษาพอดี "
    หลวงปู่ฯ ท่านก็รำพึงว่าวันพรุ่งนี้แล้วเราคงต้องตาย ได้พยายามบำเพ็ญไปเรื่อยๆ จนสว่างรุ่งเช้าได้ทำการบำรุงอุปฎฐากพระภิกษุเช่นการกรองน้ำดื่ม ล้างกระโถน เป็นต้น แล้วออกบิณฑบาตร จัดที่ฉันอาหารถวายพระหลวงปู่ฯ ท่านได้เข้าไปบอกพระอาจารย์บุญ และพระอาจารย์วันว่า ท่านอาจารย์หากกระผมตายไปขอให้ท่านอาจารย์ตัดเอานิ้วชี้ทั้งสองข้างของกระผมตากให้แห้ง นำกลับไป มอบใ้ห้โยมแม่กระผมด้วย และบอกท่านด้วยว่าไม่ต้องเสียใจเพราะลูกนั้นตายขณะบำเพ็ญธรรม โยมแม่จะได้อนุโมทนาได้บุญกุศล อาจารย์ก็แปลกใจว่าทำไมสามเณรพูดแบบนี้ เมื่อท่านได้สั่งเสียแล้วท่านเล่าว่าก็ปลีกตัวไปบำเพ็ญเพียรสมาธิ ด้วยคิดว่าจะขอตายในสมาธิตลอดวันจนค่ำ ก็ไม่เป็นไร ตกกลางคืนก็บำเพ็ยเพียรต่อ ทั้งเดินจงกรม นั่งสมาธิ จนค่อนรุ่งเลยพัก ได้ตรวจดูบริขารต่างๆ ก็ยังอยุ่เหมือนเดิม หนังสือเจ็ดตำนานบาตรก็ตั้งอยู่ที่เดิม ได้บำเพ็บภาวนาต่อจนสว่างท ท่านเล่าว่าจากวันนั้น นิมิตที่พบเห็นพระอินทร์บ่อยๆ ก็หายไปไม่ปรากฏอีกเลย เป็นผลดีต่อท่านยิ่งเพราะทำให้เกิดความรู้ในวิธีแก้
    อารมณ์กรรมฐาน

    เมื่อออกพรรษาแล้วในใจหลวงปู่ฯ อยากจะอยู่ปฏิบัติธรรมที่จังหวัดเลยต่อ แต่ได้ทราบข่าวจากจังหวัดนครพนม ว่าโยมบิดา (พ่อเลี้ยงของท่าน) ถึงแก่กรรมแล้วท่านเลยต้องเดินทางกลับจังหวัดนครพนม โดยลำพังเพียงรูปเดียว โดยเดินทางผ่านป่าเขา ลำเนาไพร ด้วยจิตใจที่แข็งแกร่ง และมาจำพรรษาที่วัดบ้านหนองหอยใหญ่ อำเภอนาแก จังหวัดนครพนมอีกครั้ง และในปี พ.ศ. ๒๔๗๘ อายุ ๒๐ ปีได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ และปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด โยมีท่านพระครูสัจจาภิราม (หลวงปู่พิม) วัดธาตุศรีคุณ อำเภอนาแก เจ้าคณะอำเภอนาแกองค์แรกเป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงปู่พูดถึงหลวงปู่พิมว่าท่านเป็นผู้มีจิตใจสบาย อารมย์ดีไม่มีสิ่งใดมากระทบให้เกิดอารมย์ได้
     
  2. motana2008

    motana2008 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    4,929
    ค่าพลัง:
    +10,336
    กราบหลวงปู่คำพันธ์
    มาติดตามหลวงปู่คำพันธ์ครับ ชอบครับที่มีกระทู้นี้เกิดขึ้น สาธุ
     
  3. chirattha

    chirattha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2011
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +857
    มีประสบการณ์ดี ๆ ก็เอามาพูดคุยกันนะครับ
    ร่วมด้วยช่วยกันเผยแผ่บารมีของหลวงปู่ครับ
     
  4. romegat

    romegat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,514
    ค่าพลัง:
    +9,405
    กราบ กราบ กราบหลวงปู่คำพันธ์..
    ตามอ่านอยู่ครับ..
     
  5. tanapoj

    tanapoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    614
    ค่าพลัง:
    +997
    ผมก็ไม่ได้เป็นเซียนพระครับ แต่กำลังตามเก็บวัตถุมงคลของหลวงปู่ด้วยความศัทธาครับ กราบหลวงปู่เหนือเศียรเกล้าครับ
    [​IMG][​IMG][​IMG]
     
  6. WIT2011

    WIT2011 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    107
    ค่าพลัง:
    +314
    ติดตามอ่านอยู่ครับ...พระของหลวงปู่คำพันธ์เมตตา ค้าขาย ดีมากครับ ฟังมาจากหลายๆท่าน...และที่ประสบเองก็มีบ้างนิดหน่อยครับ
     
  7. chirattha

    chirattha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2011
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +857
    โยมแม่เสียชีวิต

    ในปี พ.ศ.๒๔๘๔ อายุ ๒๔ ปี มารดาของหลวงปู่ฯ ก็ถึงแก่กรรมโยมน้องร่วมมารดาเดียวกันยังเล็กอยู่ ยังไม่บรรลุนิติภาวะขาดที่พึ่งขาดผู้นำครอบครัว เป็นความจำเป็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ท่านจึงได้ตัดสินใจสึกออกจากสมณเพศ ทำหน้าที่ผู้นำครอบครัวดูแลเลี้ยงน้องร่วมมารดาเดียวกันเป็น กำลังหลักในการพาพี่น้องทำไร่ทำนา
    คุณย่าสด วงษ์ผาบุตร (น้องสาวของท่าน) เล่าให้ผู้เรียบเรียงฟังว่า แม้ท่านจะสึกจากความเป็นพระแล้ว ก็เหมือนท่านยังเป็นพระอยู่ เพราะว่าท่านจะรักษาศีลแปดตลอดเวลา เมื่อถึงฤดูทำนา ท่านจะทำหน้าที่ ไถ คราด จนเรียบร้อยแล้ว ท่านจะไปที่วัดรับสมาทานศีลแปด แล้วก็ทำหน้าที่เป็นครูสอนพระปริยัติธรรมถวายพระภิกษุ สามเณร ส่วนนาที่ไถ คราด ไว้คุณย่ากับน้องสาวอีกคนก็ทำหน้าที่ปักดำต่อไป จนหมดฤดูทำนาต่อมาคุณย่าได้แต่งงานมีครอบครัว ทำให้ภาระหนักนั้นปลดไปบางส่วนยังเหลือน้องสาวคนเล็กอายุยังน้อยที่เป็นภาระให้ท่านดูแล
    หลวงปู่ฯ ท่านมีความเป็นห่วงน้องสาวคนเล็กนี้มาก เพราะในดวงจิตของท่านน้อมไปสู่การบรรพชาอุปสมบทเสมอ คงจะไม่สามารถอยู่ดูแลน้องๆ ได้ตลอดไป จึงอยากให้น้องคนนี้ได้มีวิชาความรู้ เพื่อประกอบอาชีพให้สามารถเลี้ยงตัวเองได้ ในสมัยนั้นการศึกษาสูงสุดก็เพียงชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ จบมาแล้วไม่สามารถเรียนต่อได้ เพราะการคมนาคมไม่สะดวก เด็กผู้ชายก็จะประกอบอาชีพทำไร่ ทำนา หรือเข้าบวชเพื่อเล่าเรียนปริยัติธรรม บางคนก็เรียนศิลปหัตกรรมพื้นบ้าน เช่าการจักสาน ตะกร้า ชะลอม ลอบ ไซ แห อวน เด็กผู้หญิงก็จะเรียนการเย็บปักถักร้อย การทอหูก ทอผ้ามัดหมี่ และงานบ้านอื่นๆ แต่ยังมีการเรียนอีกอย่างคือศิลปการแสดงพื้นบ้านที่เรียกว่า หมอลำกลอน
    ต่อมาท่านทราบข่าวว่าที่บ้านหนองสิม อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร มีครูสอนหมอลำกลอนเป็นผู้ที่มีชื่อเสียง ครูคนนี้ชื่อว่า หมอลำปาว ท่านจึงได้นำน้องสาวคนเล็กไปฝากเป็นศิษย์และได้ชวนนายฝันให้นำน้องสาวไปฝากเรียนในที่เดียวกันด้วย ท่านบอกว่าการที่เรียนหมอลำกลอนนอกจากมีน้ำเสียงไพเราะแล้ว ยังต้องมีความจำอย่างยิ่งยวด ต้องจำทุกบทกลอนที่จะใช้ลำ และข้อสำคัญผู้เรียนต้องอาศัยอยู่กินที่บ้านของครู ต้องช่วยทำงานทุกอย่างจะเดินทางไปกลับเหมือนสมัยนี้ไม่ได้ เมื่อน้องสาวท่านเรียนจบจนสามารถที่จะแสดงได้ ท่านก็เป็นภาระพาไปแสดงตามสถานที่ต่างๆ ท่านได้ชักชวนนายฝันและนายทองดีเป็นเพื่อนเดินทางข้ามป่าเขา ไปรับเอากลอนลำ ที่ครูลำปาวแต่งไว้บางครั้งท่านเป็นผู้มีสติปัญญเฉียบแหลม จึงสามารถที่จะแต่งกลอนลำได้หลายชุด
    มีความรัก
    หลังจากที่ท่่านลาสิกขาบท จากสมณเพศออกมาเพื่อดูแลน้องเลี้ยงดูน้องๆ เป็นเวลาถึง ๔ ปี ทำให้ท่านได้พบได้เห็นเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดกับตัวท่านในหลายด้าน ที่สำคัญคือ ท่านได้มีความรัก เนื่องจากอยู่ในวัยหนุ่มแน่น ทำให้เกิดความรักกับหญิงสาวคนหนึ่งที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน ถึงขั้นที่เตรียมจะยกขันหมากไปสู่ขอตามประเพณี แม้ว่าฐานะของท่านจะยากจน เป็นกำพร้า แต่พ่อแม่พี่น้องของสาวเจ้าก็ไม่เคยรังเกียจเพราะว่าท่านครองตน มีความขยันมั่นเพียร ในการประกอบอาชีพ ไม่ทำตนเป็นหนุ่มเสเพลดื่มเหล้าเมายา ผู้คนในหมู่บ้านก็ยกย่องในความขยันของท่าน ต่างก็ให้การสนับสนุน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กันยายน 2012
  8. chirattha

    chirattha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2011
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +857
    ผมก็กำลังตามเก็บวัตถุมงคลของหลวงปู่อยู่เหมือนกันครับ
     
  9. chirattha

    chirattha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2011
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +857
    พบพระธุดงค์

    ท่านเล่าว่าเกือบจะไม่ได้เข้าบวชก็ตอนที่เกิดมีความรัก และคิดจะแต่งงานกับสาวเจ้าที่กล่าวมาแล้ว แต่แล้วก้เหมือนมีบุญบารมีหนุนช่วย ทำให้ได้มองเห็นทางสว่างของชีวิต ในวันหนึ่งขณะที่ท่านกำลังถางไร่ เพื่อเตรียมปลูกถั่ว แตง วันนั้นอากาศร้อนอบอ้าวมาก ท่านจึงได้นั่งพักเหนื่อย ในขณะนั้นได้มีภิกษุรูปหนึ่ง ที่บ่ามีกลดแบกอยู่เดินมายังที่ท่านพัก สังเกตดูว่าพระรูปนี้คงกระหายน้ำ เนื่องจากอากาศร้อนประกอบกับการเดินทาง ท่านได้นิมนต์ให้พระรูปนั้นนั่งพัก ตัวท่านเองก็รีบนำภาชนะไปตักน้ำดื่มในบ่อถวายให้พระรูปนั้นดื่ม และบรรจุลงในกาน้ำถวายท่าน หลวงปู่ฯ ท่านไม่ได้นมัสการถามชื่อพระรูปนั้น ถามเพียงว่าพระคุณเจ้ามาจากที่ใด และจะไปที่ไหนพระรูปนั้นก็ตอบว่า อาตมาเดินทางมาจากจังหวัดอุบลฯ จะไปนมัสการพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ที่บ้านหนองผือ จังหวัดสกลนคร พอได้เวลาสมควรภิกษุรูปนั้นก็จากไป ท่านสังเกตดูกิริยา วาจา ของพระภิกษุรุปนั้นแล้ว เกิดความเลื่อใสศรัทธา เกิดปิติอิ่มเอมใจ พระภิกษุรูปนั้นคงอายุไล่เรียงกับท่าน
    พบทางสว่าง
    จากการที่ได้พบกับพระภิกษุรูปนั้น ทำให้เกิดนึกสังเวชสลดใจในตัวเอง ด้วยคำนึงว่าพระรูปนี้อายุยังน้อย พอๆ กับตัวเราแทนที่จะแสวงหาความสุขตามนิสัยฆราวาส ท่านกลับมุ่งแสวงหาแสงสว่างแห่งชีวิตเข้าร่มกาสาวพัสตร์ เพื่อยกตนให้พ้นจากโลกิยะวิสัย ตัวเรากลับตรงกันข้ามได้บวชเรียนมาแล้วครั้งหนึ่ง บัดนี้กลับมุ่งสู่หนทางมืดบอด ท่านเล่าว่าตลอดทั้งวันนึกสมเพชสลดใจตัวเอง และจิตก็น้อมนึกถึงการบวชอีกครั้งหนึ่ง และเป็นไปอย่างรุนแรง แต่จิตอีกดวงก็ฉุดดึงไว้ ทำให้เกิดความลังเลใจ ท่านกังวลในสาวคนรัก คิดไปว่าถ้าเราบวชอีกก็คงไม่ได้แต่งงานแล้ว เขาก็คงไปมีรักใหม่และแต่งงานไป ตัวเราก็จะเป็นคนหลอกลวงเธอ จึงเป็นการลำบากใจในการเลือกระหว่างการบวชกับการครองเรือน ท่านเล่าว่าในตอนนั้นเกิดความลังเลใจอย่างมาก ชั่วขณะจิตหนึ่งท่านนึกถึงพระพุทธประวัติ พระพุทธองค์ เจ้าชายสิทธัตถะแม้เพียบพร้อมด้วยทรัพย์ศฤงคาร มีพระนางเจ้ายโสธรามเหเสีเป็นที่รัก มีพระราหุลราชกุมารน้อยเป็นปลอกผูกจิต ตลอดถึงข้าราชบริพารสนมกำนัล ยังเสด็จออกบวชจนบรรลุพระโพธิญาณตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตัวเราเองไม่ได้มีห่วงอะไรเลย น้องๆ ก็แต่งงานมีครอบครัวดูแลตัวเองได้แล้ว เลยตัดสินใจแน่วแน่ต่อการบวชอีกครั้ง
    สู่ร่มกาสาวพัสตร์
    หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ ได้อุปสมบทครั้งที่สองเมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ.๒๔๘๘ อายุได้ ๓๐ ปี โดยมีท่านพระครูนครธรรมนิเทศ (พระครูน่าน) วัดโพธิ์ชัย บ้านต้นแหน อำเภอนาแก เจ้าคณะอำเภอนาแกองค์ที่สองเป็นพระอุปัชฌาย์
    จำพรรษาวัดป่า
    เมื่อได้รับการอุปสมบทแล้ว การทำวัตร สวดมนต์ตามกิจของสงฆ์ไม่เป็นที่หนักใจของท่านเลย เพราะได้ศึกษาเรียนรู้มาแล้วตั้งแต่สมัยเป็นสามเณร ท่านจึงตัดสินใจไปอยู่จำพรรษาที่วัดป่าบ้านหนองหอยน้อย เพื่อปลีกจากหมู่คณะ และสะดวกในการบำเพ็ยสมาธิภาวนาปฏิบัติกรรมฐาน แต่ถึงอย่างนั้นท่านก็ยังรับหน้าที่เป็นครูสอนพระปริยัติธรรมที่วัดพุทธบาทจอมทองด้วย ท่านได้อยู่จำพรรษาที่วัดป่าบ้านหนองหอยน้อยนั้น เป็นสถานที่สัปปายะสงบวิเวก เหมาะแก่ผู้ต้องกสรฝึกตนเอง รอบๆ วัดเป็นป่าไม้หูลิง อากาศก็เย็นสบายแต่ไม่ค่อยมีพระไปอยู่ด้วย ต่างทราบว่าวิญญาณดุร้าย เพราะอยู่ติดป่าช้าวันหนึ่งหลังจากฉันอาหารบิณฑบาตรแล้ว ไม่มีกิจต้องสอนพระปริยัติธรรม จึงมีเวลาในการปฏิบัติสมาธิภาวนาเต็มที่ ท่านได้เข้าไปนั่งที่ใต้ร่มไม้ใหญ่ริมหนองน้ำมันปลา นั่งสมาธิกำหนดลมหายใจจนจิตสงบ
    สามเหลี่ยมนอนบนตัก
    เมื่อได้เวลาสมควรจึงกำหนดสมาธิ เพื่อจะได้เดินจงกรมสลับกันไปตามแนวทางการปฏิบัติธรรม ท่านรู้สึกหนักที่บนตักจึงลืมตาขึ้นดูสิ่งที่ทำให้ตักของท่านหนักก็คืองูสามเหลี่ยม (งูกะปะ) เจ้างูเลื้อยขึ้นมานอนบนตัก ตอนที่จิตสงบ ตั้งมั่น ไม่มีอารมย์กระทบ ทำให้ไม่รู้สึกถึงเวทนาหนัก เบาอะไรเลย เมื่อเห็นเป็นงูพิษท่านจึงต้องกำหนดจิตแผ่เมตตา และทำสมาธิต่อไปจนงูตัวนั้นได้เลื้อยลงจากตักหายไปในป่า
    ผจญงูจงอาง
    ในคืนวันหนึ่ง หลังจากทำวัตร สวดมนต์เสร็จแล้วท่านทราบว่าสามเณรที่จำพรรษาที่วัด ชื่อสามเณรเปอป่วยหนัก ท่านจึงชวนสามเณรที่จำพรรษาที่วัดป่า ที่อุปัฎฐากท่านไปเยี่ยมดูอาการป่วย เมื่อไปถึงท่านได้ซักถามอาการไข้ ยาแก้ไข้ในสมัยนั้นไม่ค่อยมียาแผนปัจจุบัน ยาที่ใช้รักษาเป็นยาแผนโบราณ เช่นรากของต้นไม้กระดูกของสัตว์ นำมาลับกับหินผสมน้ำดื่ม รู้จักกันในสมัยนั้นคือ ยากดูกและยาเย็น ผู้เป็นหมอจะเก็บรวมรวมไว้ เพื่อรักษาคนไข้ ท่านได้ให้ข้อคิดกับสามเณรเพื่อให้เกิดพลังจิตต่อต้านโรคภัยว่า ใช้ยาอีกขนานคือ ธรรมโอสถ โดยท่านให้พิจารณาสังขารร่างกายว่า ไม่เที่ยง มีเกิด มีดับ ให้พิจารณาให้มาก เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นอนิจจัง มีสุข มีทุกข์ อยุ่ดีกินดีก็ทำให้เจ็บป่วย มันเปลี่ยนอยู่เรื่อยๆ ต่อไปก็จะหายเองเมื่อได้เวลาพอสมควรแล้วหลวงปู่ฯ ท่านก็ชวนสามเณรกลับมาที่วัดป่า ขณะเดินทางกลับนั้นท่านได้บอกสามเณรว่า อย่าเดินให้ใกล้กันควรเดินให้ห่างกันประมาณ ๕ เมตร และขณะเดินให้กำหนดภาวนาไปเรื่อยๆ เมื่อนัดสามเรรแล้วก็เริ่มเดินกลับมาที่วัดป่า โดยกำหนดภาวนาไปเรื่อยๆ จนมาถึงบริเวณป่าไผ่ บริเเวณนี้มีต้นไผ่ขึ้นปกคลุมไปทั่ว ทางเดินก็ผ่านแนวต้นไผ่ป่าพอดีบริเวณนั้นมืดมาก เพราะกิ่งไผ่และต้นมะม่วงป่าได้บดบังแสงจันทร์ ทำให้เกิดเงามืด และท่านกำลังเดินผ่านเข้าไปในเงามืดของต้นมะม่วงป่าพอดี
    หลวงปู่ฯ ท่านเล่าว่า ขณะนั้นได้ยินเสียงดังซ่าๆๆๆ มาจากแนวไผ่ป่า ตรงมายังท่านกำลังเดิน ท่านก็เลยหยุดและสามเณรอยู่ห่างจากท่านประมาณ ๕ เมตร ในขณะที่ท่านหยุดเจ้าของเสียงซ่าๆๆ นั้นก็เลื้อยเข้ามา ระหว่างเท้าทั้งสองข้างของท่าน และติดอยู่บริเวณตาตุ่ม ท่านบอกว่ารู้สึกคับและมันไม่ผ่านไปสักที รู้สึกตกใจกลัว แต่ก็ตั้งสติกำหนดจิตพิจารณาว่านี่อะไรหนอ ถ้าเป็นแมวทำไมไม่เกาะแข้งพันขา ทำไมหยุดนิ่งทับหลังเท้าอยู่อย่่างนี้ ยืนพิจารณาอยู่ตั้งนานไม่ผ่านไปสักที ท่านเลยกระดิกนิ้วเท้าเขี่ยดู เจ้าสิ่งนั้นก็ทิ้งลำตัวลงทำให้รู้สึกหนักขึ้น
    ทันใดนั้นสามเณรที่เดินตามมาได้ขึ้นว่า ท่านอาจารย์ๆ งูใหญ่มันแผ่แม่เบี้ยจนพ้นหัวของท่านแล้ว เมื่อสามเณรร้องเตือยดังนั้น ก้ไม่มีวิธีแก้ไขแล้ว เพราะถ้ากระดุกกระดิกเนื้อตัว เจ้างูนั้นก็คงจะฉกลงบริเวณ ศรีษะท่านพอดี ท่านเล่าว่าได้ยืนนิ่งและตั้งสติกำหนดจิตแผ่เมตตาอธิษฐานในใจว่า " ตัวเราไม่เบียดเบียนใคร ตั้งใจบวชอุทิศตนต่อพระศาสนา หากแม้หมดวาสนา และเคยมีเวรมีกรรมแก่กันมาก่อน ก็ขอให้พระยางูจงกัดตามใจชอบเถิด หากไม่มีเวรมีกรรมต่อกัน ก็ขออย่าได้เบียดเบียนกันเลย ให้ต่างคนต่างไปเถิด "
    กำหนดจิตแผ่เมตตา แล้วชั่วอึดใจงูก็ค่อยๆ ลดตัวลง แล้วเลื้อยผ่านเข้าไปในพงป่าไผ่ สามเณรสมร้องบอกท่านว่ามันเลื้อยเข้าไปในป่าแล้ว ท่านเลยบอกให้สามเณรเดินต่อไป ในระหว่างทางได้พบกับลุงปาน ถือใต้เดินสวนทางมา ท่านถามลุงปานว่ามาจากไหน ลุงปานบอกว่ามาจากบ้านดู่ หลวงปู่ฯ เลยบอกให้ลุงปานระวังหนทางด้วย เพราะข้างหน้าที่จะผ่านไปนั้นมีงูใหญ่ตัวหนึ่งอาศัยอยู่ที่บริเวณป่าไผ่ ลุงปานเกิดความกลัวไม่กล้าเดินผ่าน เพราะตัวเองแก่สายตาไม่ค่อยดี หลวงปู่ฯ ท่านเลยเดินถือใต้เดินย้อนกลับมาส่งลุงปานอีกครั้ง เมื่อมาถึงบริเวณนั้นได้เอาใต้ส่องดูปรากฏว่าเห็นรอยงูนั้นเท่ากับฝ่ามือพอดี ได้กราบเรียนถามท่านว่าเป็นงูอะไร ท่านบอกว่าเป็นงูจงอางเพราะที่นั่นรกครึ้มด้วยกอไผ่ และต้นมะม่วงป่า มีคนเคยเห็นเจ้างูตัวนั้นบ่อยๆ คนที่พบส่วนมากจะเป็นคนที่มาเกี่ยวหญ้าคาที่นี่เพื่อนำไปมุงหลังคาบ้าน

     
  10. chirattha

    chirattha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2011
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +857
    องค์นี้ได้มาเมื่อไม่นานนี้เองครับ อยากได้มานานแล้วพึ่งสมหวัง..หลวงปู่มาโปรดจริง ๆ..สาธุ..กราบหลวงปู่ครับ.
    [​IMG]
    [​IMG]
    ล็อกเก็ตรุ่น ปฐวีธาตุ จัดสร้างขึ้นในปี45
    รุ่นปฐวีธาตุ ปี 45 นั้นประกอบด้วยวัตถุมงคลหลายอย่าง
    เช่นพระกริ่งปฐวีธาตุ (เทโบราณ)
    พระชัยวัฒน์ปฐวีธาตุ
    รูปหล่อหลวงปู่มั่น
    รูปหล่อหลวงปู่คำพันธ์
    และล็อกเกตเต็มองค์
    จำนวนการจัดสร้าง
    ฉากทองบริสุทธิ์ สร้าง ๘๙ องค์ เท่าอายุของหลวงปู่
    ฉากขาวบริสุทธิ์สร้าง ๒๘๙ องค์
    ฉากฟ้าบริสุทธิ์สร้าง ๒๘๙ องค์
    ด้านหลังบรรจุ
    มวลสารผงพุทธคุณ ตะกรุดเงิน เม็ดปฐวีธาตุ เส้นเกศาหลวงปู่
    ประกอบพุทธาภิเษกในวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ปี 2545
    โดยหลวงปู่คำพันธ์ เป็นประธานในพิธี
    นอกจากหลวงปู่คำพันแล้ว มีสุดยอดเกจิเถราจารย์อีก ๑๖ องค์
    ร่วมอธิฐานจิตดังนี้
    1.หลวงปู่สวน หรือญาท่านสวน ฉันทโร (พระครูอาทรพัฒนคุณ) วัดนาอุดม อ.ตาลสุม จ.อุบลราชธานี
    2.หลวงตาพวง (พระเทพสังวรญาณ) สุขินฺทริโย วัดศรีธรรมาราม ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ยโสธร
    3.พระอาจารย์สรวง สิริปุญโญ วัดศรีฐานใน ต.ศรีฐาน อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร
    4.หลวงพ่อทองพูล สิริกาโม วัดป่าสามัคคีอุปถัมภ์อ.บึงกาฬ จ.หนองคาย
    5.หลวงปู่สนธิ์ เขมิโย วัดอรัญญานาโพธิ์ อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม
    6.หลวงปู่เครื่อง สุภัทโท. วัดสระกำแพงใหญ่ ต.สระกำแพงใหญ่ อ.อุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ
    7.หลวงปู่ชื้น พุทธสโร วัดญาณเสน จ.พระนครศรีอยุธยา
    8.หลวงปู่ธรรมรังษี วัดพระพุทธบาทเขาพนมดิน อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์
    9.หลวงปู่จันทร์ (พระครูจันทโรภาส) วัดป่าข่อย จ.สุโขทัย
    10.หลวงปู่สอ พันธุโล วัดป่าบ้านหนองแสง จ.ยโสธร
    11.หลวงปู่เกลี้ยง เตชธัมโม วัดโนนเกด จ.ศรีษะเกษ
    12.หลวงปู่เจียม อติสโย วัดอินทราสุการาม จ.สุรินทร์
    13.หลวงปู่อวน ปคุโน วัดจันทิยาราม จ.นครพนม
    14.หลวงปู่โถม กัลญาโณ วัดธรรมปัญญาราม จ.สุโขทัย
    15.หลวงปู่นนท์ วราโภ วัดเหนือวน จ.ราชบุรี
    16.หลวงปู่จ้อย จันทสุวัณโณ วัดศรีอุทุมพร จ.นครสวรรค์
    ปลุกเสกพิธีหมู่ในโบสถ์ ในพิธีมีฝนกระหน่ำอย่างรุนแรง
    เสร็จพิธีหลวงปู่สนธิ์บอกลูกศิษย์ว่า รุ่นนี้ดีมาก ๆ ทั้งเนื้อหา พิธี และเจตนาครบถ้วนสมบูรณ์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กันยายน 2012
  11. chirattha

    chirattha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2011
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +857
    วิปัสสนากิเลส

    ตลอดพรรษานี้ ท่านได้ตั้งใจในการปฏิบัติธรรมกรรมฐาน ทั้งกลางวันและกลางคืน จะหยุดการปฏิบัติก็ต่อเมื่อได้เวลาไปสอนนักธรรม ที่วัดบ้านเท่านั้น วันหนึ่งใกล้ออกพรรษา พระเณรที่วัดบ้านได้มานิมนต์ท่านไปพักผ่อนที่ทุ่งนาริมห้วยน้ำเกิ้ง เมื่อไปถึงได้พบกับศาลา เรียกว่าศาลามูก ศาลานี้หลวงปู่ได้สร้างขึ้น ด้วยเห็นเด็กเลี้ยงควาย เมื่อฝนตกก็จะเปียกปอนด้วยน้ำฝน เพราะไม่มีที่หลบฝนท่านสงสารเด็กเหล่านั้น จึงจัดหาไม้ปลูกศาลาให้ พระเณรที่ตามมาก็แยกย้ายไปในที่ต่างๆ เหลือเพียงท่านองค์เดียวบนศาลา ท่านเลยจำวัดพักผ่อน และได้นิมิตเห็นคน 3 คนร่างกายใหญ่โตเดินมาจากหนองไม้หักมาหาท่าน ท่านถามว่า " โยมมาหาอาตมาทำไม " พวกเขาบอกว่า "จะมานิมนต์ท่านไปหนองไม้หัก เพื่อเดินทางไปเมืองบาดาล " เขามีข้อแม้ว่าท่านต้องสึกก่อนถึงจะไปได้ หลวงปู่ฯ ท่านไม่รับปาก พวกเขาเลยกลับ การได้นิมิตในลักษณะเช่นนี้ ท่านมักนิมิตบ่อยๆ เมื่อตอนที่ท่านจำพรรษาที่วัดบ้านหนองหอยใหญ่
    หลวงปู่ท่านเล่าว่า ในคืนวันหนึ่งท่านได้บำเพ็ญธรรม โดยการเดินจงกรมและนั่งสมาธิตามลำดับเกือบสว่าง วันนั้นจิตเป็นสมาธิดีมาก มีความรู้สึกอิ่มเอิบใจเกิดปิติซาบซ่านไปทั่วร่างกาย เกิดความสว่างขึ้นในใจอย่างอัศจรรย์ พิจารณาหัวข้อธรรมต่างๆ รู้สึกเข้าใจไปหมด แทงทะลุหมดไม่มีติดขัดในธรรมะอะไรเลย เกิดความกล้าในการแสดงธรรม เกิดความอยากเทศน์ อยากตอบปัญหาธรรมะ ท่านคิดเอาเองว่า นี่กระมังที่เรียกว่า การบรรลุธรรม เมื่อสว่างรีบออกบิณฑบาตร ด้วยอยากพบผู้คนเผื่อเขาอยากจะถามธรรมะบ้าง แต่ปรากฏว่าไม่มีใครพูด หรือซักถามอะไรเลย จึงไม่ได้แสดงธรรมที่คิดไว้ เมื่อกลับมาฉันอาหารแล้ว ได้ปฏิบัติธรรมต่อ และพิจารณาถึงปัจจัยต่างๆ ที่เกิดความกล้าอยากแสดงธรรมนี้ ท่านพิจารณาว่าผู้บรรลุธรรม ต้องไม่ยึดติดในอารมย์ตามชั้นของธรรมที่ได้บรรลุแล้ว ไม่รัก ไม่โกรธ ไม่เกลียด หมดห่วง หมดกังวล แล้วท่านย้อนมาพิจารณา ถึงตัวท่านเอง นึกถึงเรื่องยินดี ก็ยังโกรธ ยังเกลียด นึกถึงอารมย์ที่น่ารักน่าใคร่ เกิดความรัก
    ความใคร่ ท่านเล่าว่าถึงตอนนี้เกิดความละอายใจ เพราะนี่ไม่ใช่การบรรลุธรรม แต่เป็นกิเลสครอบงำทำให้เกิดหลงในทางปฏิบัติท่านบอกว่าหากกำหนดรู้ ไม่เท่าทันธรรมก็จะแตก คือเข้าใจผิด คิดว่าได้บรรลุธรรมแล้ว เมื่อกำหนดรู้อย่างนี้แล้วก็ตั้งใจปฏิบัติธรรมมากขึ้น ได้บำเพ็ญและจำพรรษาที่วัดป่าบ้านน้อยนี้เป็นเวลา ๓ พรรษา ต่อมาญาติโยมชาวบ้านหนองหอยใหญ่ มานิมนต์ท่านให้กลับไปจำพรรษาที่วัดบ้าน โดยอ้างเหตุผลว่าท่านมาอยู่จำพรรษาที่วัดป่า ทำให้วัดบ้านขาดผู้ดูแลพระเณร การประพฤติก็หย่อนยาน ผิดศีลธรรมมากขึ้น ขอให้ท่านเข้าไปช่วยดูแลท่านจึงได้เข้ามาจำพรรษาที่วัดบ้าน
    ออกธุดงค์และเทศนาหาเงินสร้างพระอุโบสถ
    เมื่อกลับเข้ามาอยู่ที่วัดบ้านแล้ว ในปี พ.ศ.2492 ท่านได้เป็นประธานในการสร้างอุโบสถ วัดพระพุืทธบาทจอมทอง ด้วยเล็งเห็นว่าวัดยังไม่มีอุโบสถ อีกทั้งพระเณรก็มาก ไม่สะดวกในการทำสังฆกรรม ได้ปรึกษาหารือกับญาติโยม รวบรวมหาปัจจัยจัดหาอุปกรณ์ก่อสร้าง ดำเนินการก่อสร้างเพราะมีปัจจัยไม่เพียงพอ จึงเป็นภาระของท่านในการหาปัจจัยต่างๆ หลวงปู่ฯ ท่านเล่าว่าช่วงเดือนมกราคม ถึงเดือนกุมภาพันธ์ ท่านได้ออกเทศนาโปรดญาติโยม และพร้อมกับบอกข่าวการสร้างอุโบสถดังกล่าว ได้เดินทางไปกับสามเณรโดยเดินทางไปกับสามเณรโดยเดินเลียบฝั่งโขงในเขตจังหวัดนครพนม - หนองคายเข้าสู่เขตบ้านดงชมภู เขตภูลังกา อ.บ้านแพง จ.นครพนม
     
  12. chirattha

    chirattha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2011
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +857
    ภูลังกา
    ช่วงหลวงปู่ฯ เดินธุดงค์เข้าสู่เขตบ้านดงชมภู เข้าภูลังกา อำเภอบ้านแพง ในวันหนึ่งได้เข้าไปบิณฑบาตรในหมู่บ้าน เมื่อฉันอาหารแล้วได้เดินธุดงค์ต่อไป ในขณะเดินทางนั้นได้มีโยมผู้ชาย ๕ คนเดินตามมาห่าง ๆ เมื่อพ้นหมู่บ้านออกมาแล้วประมาณ ๓ กิโลเมตร ท่านและสามเณรได้แวะพักที่ริมห้วยได้วางบาตร และกลดลงเพื่อลงนั่งพักผ่อนปรากฏว่าโยม ๕ คนที่เดินตามมานั้นก็เข้ามาถึงพอดี พวกเขาได้นั่งล้อมท่านไว้ในระยะห่าง ๕ เมตร สังเกตดูทุกคนมีอาวุธพร้อม คนหนึ่งลักษณะท่าท่างคงเป็นหัวหน้า เมื่อพวกเขาล้อมท่านและสามเณรไว้แล้ว ก็ไม่มีใครพูดอะไร แต่ดูลักษณะแล้วพวกเขาคงมีความประสงค์ร้ายแน่ ๆ ท่านเล่าว่าเมื่อเห็นพวกเขานิ่งไม่พูดจาอะไร ท่านเลยเชิญพวกเขาดื่มน้ำกับเคี้ยวหมากพลู โยมทั้ง ๕ คนต่างก็ดื่มน้ำบางคนก็กินหมาก แต่ก็ยังนั่งอยู่อย่างนั้นเมื่อหายเหน็ดเหนื่อยแล้ว ท่านและสามเณรก็บอกลาและออกเดินทางต่อไป แต่พวกเขาเดินย้อนกลับมาทางเก่าที่เดินมา เมื่อท่านได้สร้างวัดธาตุมหาชัย ได้มีโยมคนหนึ่ง ชื่อนายทองคำ เดินทางมากราบนมัสการท่าน หลวงปู่ฯ ท่านพูดทักทายว่า " ดูเหมือนจะเคยพบเห็นโยมที่ไหนสักแห่ง " นายทองคำได้โอกาสเลยเล่าเรื่องที่คิดจะปล้นท่าน และถือโอกาสขอขมาลาโทษที่ได้ล่วงเกินท่าน เขาบอกว่าเป็นหนึ่งใน ๕ คนที่เคยนั่งล้อมท่านโดยตัวเขาเป็นลูกน้อง หัวหน้าชื่อใจรยุติธรรม ตั้งใจจะปล้นท่านจึงนั่งล้อมวงท่านไว้แต่หัวหน้าไม่สั่งการอะไร เลยไม่ได้ลงมือไม่อย่างนั้นคงได้ตกนรกหมกไหม้แน่แล้ว ส่วนพวกอีก ๔ คนได้ฉิบหายตายโหงหมด นายทองคำก็เจ็บป่วยเป็นทุกข์ ทรมานทางใจถึงเรื่องจะปล้นพระในอดีตตลอด พอทราบข่าวว่าพระที่จะปล้นเป็นหลวงปู่คำพันธ์ ที่เป็นที่เคารพศรัทธาของประชาชนทั่วประเทศ เลยกลัวบาปมาก ไปหาหมอธรรมเขาบอกว่า ให้รีบไปขอขมาลาโทษเดี๋ยวไม่ทันการจะตายโหงก่อน จึงได้เดินทางมากราบท่านที่วัดด่วน หลวงปู่ฯ ท่านเล่าว่า พอเห็นอาการตั้งแต่แรกที่พวกเขาเดินมา ก็คิดว่าเขาคงมาปล้นแน่ๆ เพราะได้ข่าวว่าแถวนี้มีโจรอยู่กลุ่มหนึ่ง คิดว่าคงเป็นกลุ่มนี้แน่ เมื่อนั่งพักท่านก็เลยกำหนดจิตแผ่เมตตาว่าเราเดินธุดงค์ หวังกุศลโดยการเทศนาโปรดญาติโยม ให้เกิดปัญญาด้วย ฝึกอบรมจิตตนเองไม่เคยคิดเบียดเบียนใคร เราไม่มีทรัพย์สมบัติอะไร มีแต่สบง จีวรติดตัวเท่านั้น ปัจจัยที่โยมฝากไปสร้างอุโบสถก็มีน้อยนิด หากพวกเขาอยากได้ก็เอาไปเถิด พวกเขาไม่ได้พูดไม่ได้ทำอะไร เลยลาพวกเขาเดินทางต่อไป
    ตั้งจิตอธิษฐาน
    ท่านเล่าว่า คืนวันหนึ่งท่านได้นั่งสมาธิโดยตั้งจิตอธิษฐานว่าหากหมดบุญจะสึกไปครองเรือนกับหญิงคนนั้น ก็ขอให้ปรากฏเป็นนิมิตให้เห็น แต่ถ้าจะมีวาสนาได้อุทิศกายถวายตัว ต่อพระพุทธศาสนา ขอให้ปรากฏในนิมติเป็นแสงสว่าง เมื่อกำหนดนึกถึงการครองเรือน ปรากฏเห็นเป็นหมอกควันสีดำเต็มไปหมด และเมื่ออธิษฐานกำหนดถวายตัวต่อพระศาสนากลับปรากฏเห็นนิมิตเป็นแสงสว่างเจิดจ้า ทำให้ข่มหวั่นไหวของจิตได้ ในปีถัดมาหญิงคนนั้นก็ได้ป่วยและเสียชีวิตลง ท่านเล่าว่าเมื่อทราบข่าวนี้ก็รู้สึกเสียใจ อาลัย คิดถึง แม้จะกำหนดจิตรู้ความไม่เที่ยงเป็นทุกข์ของสังขารความอาลัย ก็มีพลังมาก ถึงกับผ่ายผอมลงถนัดตา แต่ท่านก็ต่อสู้จนผ่านพ้นมาด้วยพลังแห่งสมาธิภาวนา จิตสว่างขึ้นด้วยคำนึงถึงโยมแม่ของท่าน ๆ เคารพมากที่สุดก็ยังเสียชีวิต คนอื่นจะนับอะไรได้ เพราะความตายมีติดตัวสัตว์ทุกชนิดตั้งแต่เกิดแล้ว ความเศร้าโศกนั้น พลันหายไปหมดสิ้น และมุ่งบำเพ็ญสมาธิภาวนาต่อไป
     
  13. chirattha

    chirattha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2011
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +857
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    พระรูปเหมือนหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต รุ่นปฐวีธาตุ เทโบราณ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ วัดธาตุมหาชัย ปลุกเสก ปี ๒๕๔๕ พิธีเดียวกันกับล็อกเก็ตครับ
     
  14. chirattha

    chirattha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2011
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +857
    ธุดงค์สู่จังหวัดอุบลราชธานี
    ช่วงปี พ.ศ.๒๔๙๓ หลวงปู่ฯ มีความปรารถนาจะเดินธุดงค์ไปจังหวัดอุบลราชธานี เพื่อฝึกฝนการปฏิบัติธรรมเทศนาโปรดญาติโยมทางอิสานใต้ อีกประการหนึ่งอยากจะเดินทางไปสู่เมืองนักปราชญ์ที่มีครูบาอาจารย์ชั้นผู้ใหญ่หลายท่าน โดยเฉพาะพระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล พระอาจารย์ที่เคยแนะนำท่านตอนที่ท่านเป็นสามเณร ท่านเลยเดินธุดงค์จากอำเภอนาแกผ่านมายังอำเภอมุกดาหาร เดี๋ยวนี้คือจังหวัดมุกดาหาร เมื่อก่อนตั้งแต่จังหวัดมุกดาหารลงไปเป็นป่าดงดิบ มีต้นไม้มากหนาทึบแสงอาทิตย์ส่องผ่านไม่ได้ มีทางเดินเล็กๆ เดินไปด้วยความยากลำบาก ทั่วทั้งป่าจะได้ยินเสียงแมงอี่(จั๊กจั่น)ร้องตลอดทาง โดยแมงอี่จะหลบตัวอยู่ตามเปลือกต้นไม้ ท่านกำหนดจิตเดินอย่างสงบ ที่แมงอี่ร้องปัจจุบันก็คือห้วยบังอี่จังหวัดมุกดาหาร และท่านได้พักอยู่ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง คือบ้านนาเสือหลาย ตอนกลางคืนเขาจะมีจั่นไว้รอบหมู่บ้านไว้จับเสือโดยเอาสุนัขมาล่อให้เสือติดจั่น ชาวบ้านขอร้องให้มาพักภายในบริเวณหมู่บ้าน ป่าดงดิบมีตลอดทางจนกระทั่งถึงเขตจังหวัดยโสธรจึงออกจากพื้นที่ป่าดงดิบ ช่วงเดินทางพบปะสิ่งต่างๆ มากมายไม่ว่าจะเป็นผีป่า อารัก และสัตว์ร้าย ช่วงนั้นเป็นฤดูร้อน แห้งแล้งมากเดินทางช่วงหนึ่งขาดน้ำชาวบ้านเอาน้ำมาถวายเรียกว่า น้ำปวกวัว - ปวกควาย คือในหลุมควายนอนจะชื้นแฉะมีน้ำอยู่ ชาวบ้านเอาสารส้มมาแขวนให้ตกตะกอนแล้วเอาน้ำนั้น ไปต้มให้สุก คนสมัยก่อนเดินทางถ้าขาดน้ำเขากินน้ำแบบนี้ เรียกว่าน้ำปวกวัว - ปวกควายท่านเดินทางไปเรื่อยๆ ได้พบกับมิตรสหายธรรมในการเดินธุดงค์ช่วงนั้นตอนเป็นพระหนุ่ม ๆ ได้พบนักปฏิบัติธรรมด้วยกัน คือพระอาจารย์กิ ต่อมาก็คือหลวงพ่อกิ วัดสนามชัย อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี และพระอาจารย์พั่ว ต่อมาก็คือหลวงปู่พั่ว วัดนาเจริญ อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี และเดินธุดงค์ไปเรื่อยๆ เคยไปพักที่วัดป่าแสนสำราญ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี เจอกับหลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาละวัน จังหวัดนครราชสีมา ช่วงเดินทางกลับได้เดินลัดมาทางประเทศลาว สลับกับประเทศไทย ผ่านบ้านพนา แต่ก่อนเป็นจังหวัดอุบลราชธานี เดี๋ยวนี้เป็นจังหวัดอำนาจเจริญ เข้ากราบนมัสการพระเหลาเทพ นิมิต มาทางอำเภอเขมราฐ เข้ากราบนมัสการพระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ และเดินทางกลับจังหวัดมุกดาหาร เข้าสู่จังหวัดนครพนม มุ่งสู่อำเภอนาแกต่อไป
    ปฏิบัติธรรมเข้าพรรษา
    ในช่วงเข้าพรรษาปีถัดมา หลวงปู่ฯ ท่านตั้งอธิษฐานจิตจะไม่จำพรรษาบนกุฏิ และจะปักกลดใต้ร่มไม้บริเวณวัด เมื่อโยมทราบจึงได้นำไม้ไผ่มาผ่าครึ่ง และปูเป็นกระดาน การปฏิบัติธรรมและจำพรรษาผ่านไปหนึ่งเดือนครึ่งก็ไม่มีเหตุการณ์อะไร วันหนึ่งหลังจากเดินจงกรมพอสมควรแล้ว ก็เข้านั่งสมาธิบนแคร่ไม้ไผ่นั้น ปรากฏว่าแผ่นไม้ไผ่ที่ใช้ปูสั่นไหวพอให้สัมผัสรู้ รุ่งเช้าตรวจดูใต้พื้นแคร่ เป็นงูตัวหนึ่งเท่าด้ามมีดลำตัวสีขาวนวลนอนเหยียดยาวอยู่ใต้แคร่ ท่านเล่าว่ามันไม่กินอะไรเลยจนกระทั่งออกพรรษา ท่านได้พูดกับงูตัวนี้ว่า " เจ้ากับเราเป็นเพื่อนปฏิบัติธรรมด้วยกันตลอดพรรษา บัดนี้เราจะขึ้นกุฏิแล้ว ขอให้เจ้าไปอยู่ป่ารกตามวิสัยเถิด อย่าอยู่ในที่โล่งแจ้งเกินไป กลัวคนเห็นแล้วจะทำร้ายเอา ไม่เหมือนอยู่กับเรานะ " แล้วท่านก็เก็บบริขารขึ้นไปไว้บนกุฏิ เมื่อขึ้นไปแล้วท่านก็ห่วงว่างูยังอยู่หรือเปล่าหนอ เลยลงมาดูอีกปรากฏว่ามันได้หายไปแล้ว
     
  15. auto1471

    auto1471 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    1,480
    ค่าพลัง:
    +6,418
    กราบหลวงปู่คำพันธ์
    ชอบครับที่มีกระทู้นี้เกิดขึ้น สาธุ
    จะติดตามครับ
     
  16. auto1471

    auto1471 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    1,480
    ค่าพลัง:
    +6,418
    เรียนสอบถาม รุ่นปฐวีธาตุ ก้นอุดเทียนชัย+เม็ดปฐวีธาตุ ครับ
    ผมได้มาหลายสิบ แต่แจกให้ญาติๆ น่าจะเหลือ 1-2 องค์ ???
    พิธีการปี 2536 เป็นอย่างไรครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. chirattha

    chirattha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2011
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +857
    ศึกษายาสมุนไพร
    ในช่วงเข้าพรรษา พระเณรมักเจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ เสมอและไม่มียาที่จะรักษา นอกจากยาโบราณที่หมอยากลางบ้านนำมาปรุงถวาย ท่านมักสังเกตและถามถึงยาตัวเหล่านั้น ว่านำมาจากต้นอะไร สัตว์อะไร ในที่สุดท่านได้ศึกษาตำรายาโบราณเพิ่มเติมจากโยมลุงปาน และลุงอาจารย์ปุ้ยซึ่งสองคนนี้เป็นญาติของท่าน และมีความชำนาญเรื่องยาสมุนไพร จนท่านมีความรู้เรื่องยาสมุนไพรพอตัวเลยทีเดียว จากการได้ศึกษาตำรายาโบราณนี้ ทำให้ท่านได้สงเคราะห์พระภิกษุ และสามเณรผู้เจ็บป่วย ตลอดถึงญาติโยมเป็นจำนวนมากในเวลาต่อมา
    พระอภิญญาบนวัดสร้างพระอินทร์
    ช่วงออกพรรษาหลวงปู่ฯ ท่านเล่าว่าวันหนึ่งได้ขึ้นไปอ่านหนังสือผูก (หนังสือที่จารึกลงใบลานเป็นตัวอักษรธรรม) เพื่อใช้เทศน์ที่วัดบ้านหนองหญ้าปล้อง ท่านพบกับหลวงพ่อนวล ที่ลงมาจากสำนักสงฆ์ถ้ำสร้างพระอินทร์ บนยอดเขาภูพาน หลวงพ่อนวล ลงมาเพื่อบิณฑบาตร และฉันอาหารที่วัดหนองหญ้าปล้อง เลยได้พบกันและได้สนทนาธรรมกับหลวงพ่อนวล เป็นที่ถูกอัธยาศัยกันดี ตอนหนึ่งของการสนทนาธรรม หลวงพ่อนวลได้ชักชวนท่านขึ้นไปปฏิบัติธรรมบนยอดเขา สำนักสงฆ์ถ้ำสร้างพระอินทร์ (ที่เรียกสร้างพระอินทร์ นั้นเป็นเพราะมีบ่อน้ำเล็กๆ ตามธรรมชาติลึกประมาณ ๑ เมตร มีน้ำเต็มตลอดไม่ว่าจะหน้าแล้ง ผู้คนขึ้นไปมักแวะดื่มน้ำ เพราะถือว่าเป็นน้ำดื่มศักดิ์สิทธิ์) ท่านชวนว่าคุณลูกนี้ไม่ใช่พระบ้าน คุณลูกเป็นพระป่า ขึ้นมาอยู่บนภูเขาด้วยกันเถอะ เพราะอยู่วัดบ้านมากด้วยอารมย์ มาวัดป่าปฏิบัติธรรมสะดวกดี
    หลวงปู่ตอบไปว่า กระผมยังมีภาระต้องสอนพระปริยัติธรรมแก่พระเณร หากปลีกตัวขึ้นมาอยู่ป่าคงไม่มีใครดูแล และสอนธรรม ที่หลวงพ่อชวนนั้น กระผมยินดี อย่างยิ่ง หากมีโอกาสจะขึ้นมาปฏิบัติธรรมร่วมด้วย และท่านเล่าต่อว่าไม่ทราบเพราะเหตุใด ได้ตอบตอบหลวงพ่อนวลประโยคหนึ่งที่ทำให้หลวงปู่ฯ ไม่สบายใจคือตอบว่า " หลวงพ่อครับนักมวยคนหนึ่งเป็นนักมวยที่เก่งคนเดียว ใครๆ ก็ว่าเขาเก่ง ไม่มีการเปรียบเทียบแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเก่งจริงหากนักมวยคนนั้นได้ชกกับนักมวยคนอื่นๆ และชกชนะจึงจะถือว่าเก่งจริงๆ นักปฏิบัติธรรมจริงๆ ก็ต้องต่อสู้กับอารมย์ต่างๆ ไม่ว่าจะมากหรือน้อย เพราะหู ตา จมูก ลิ้นล้วนทำหน้าที่ของมันตามธรรมชาติ เมื่อมีอารมย์มากระทบนักปฏิบัติธรรมต้องไม่ยึดติดในอารมย์ไม่ว่ามากหรือน้อย หากไม่เป็นทาสอารมย์แล้วปฏิบัติที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น "
    หลังจากได้พูดประโยคนี้ หลวงพ่อนวลท่านเลยเงียบไปไม่พูดอีก หลวงปู่ฯ ท่านบอกว่าไม่สบายใจเลย ที่พูดจาหนักเกินไปกลัวเป็นบาปกรรม และต่อมาอีกประมาณ ๓ - ๔ วันกำนันหนูได้ขึ้นไปเยี่ยมหลวงพ่อนวล ท่านเลยฝากคำพูดมาบอกหลวงปู่ว่า " คุณลูกเพิ่นอยากอยู่สบาย ขอให้เพิ่นเปลี่ยนอริยาบถแหน่เด้อ ให้นอนเหยียดตัวบ้างเลือดลมจังสิลวง (เลือดลมสะดวก) " เมื่อกำนันบอกเช่นนั้น หลวงปู่ฯ ท่านนึกอัศจรรย์มาก ท่านเล่าว่าตัวท่านเองมักนอนตะแคงงอเข่าเสมอ และที่นอนอย่างนี้ เพราะถือครองผ้าสามผืนเป็นวัตร หลวงพ่อนวลไม่เคยมาที่วัดนี้ ไม่เคยเห็นที่จำวัดของท่าน และไม่เห็นเวลาท่านนอนแต่รู้ได้อย่างไรว่าท่านนอนงอเข่า ทำให้รู้สึกว่าหลวงพ่อนวล ท่านเป็นพระที่ได้อภิญญาถึงขั้นทิพย์โสต (หูทิพย์) ทิพย์จักษุ (ตาทิพย์) แน่นอน หลวงปู่มานึกถึงคำพูดของตนเองเลยกังวลใจกลัวว่า จะเป็นบาปเป็นกรรม ในวันต่อมาหลวงปู่ฯ ได้แต่งขันธ์ ๕ ดอกไม้ ธูปเทียน ขึ้นไปถ้ำสร้างพระอินทร์ได้กราบขอขมาโทษที่ได้พูดล่วงเกินหลวงพ่อนวล ท่านกลับบอกว่าไม่เป็นบาปเป็นกรรมอะไรหรอก คุณลูกพูดแบบนี้ทำให้หลวงพ่อรู้สึกตัวจริงนักปฏิบัติธรรมต้องต่อสู้กับอารมย์ของตนเองนั้นถูกต้องแล้ว ถ้าไม่มีอารมย์กระทบ ไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่หลง จะปฏิบัติธรรมไปทำไม หลวงพ่อนวลมักแสดงให้เห็นว่าท่านได้อภิญญาจริงๆ ครั้งหนึ่งโยมชาลีได้ขึ้นไปบนภูเขาตั้งใจจะไปขอหวยเบอร์แต่ไม่พบหลวงพ่อนวล เลยถือโอกาสไปดูสถานที่ท่านเดินจงกรม เผื่อจะพบตัวเลขเด็ด ๆ บ้างเมื่อกลับลงมาได้ซื้อหวยแต่ไม่ถูก วันรุ่งขึ้นได้นำอาหารไปถวายหลวงพ่อนวล เพื่อนบ้านถามว่าจะไปไหน แกพูดแบบติดเล่นๆ ว่าจะไปดีดลูกอัณฑะหลวงพ่อนวล เพราะให้หวยไม่ถูก แล้วก็เลยขึ้นไปที่สำนักสงฆ์หลวงพ่อนวล เมื่อขึ้นไปถึงพอหลวงพ่อนวลแลเห็นโยมท่านก็ทำกิริยาเป็นเจ็บลูกอันฑะ ร้องโอ๊ย ๆๆ ญาติโยมตกใจถามว่าหลวงพ่อเป็นอะไร ท่านก็บอกว่า โยมชาลีบีบลูกอัณฑะอาตมา โยมชาลีถึงกับหน้าซีดเผือด รีบเข้าไปกราบขอขมา ขอโทษ ที่ได้พูดล่วงเกินท่าน
    และอีกครั้งหนึ่งลุงใบ วงผาบุตร ซึ่งเป็นน้องเขยของหลวงปู่ฯ ได้เดินทางมาจากหนองหญ้าปล้อง เพื่อไปดูวัวที่ปล่อยไว้ให้ขึ้นไปกินหญ้าบนเขาว่ายังอยู่ที่เดิมหรือไม่ ได้แวะกราบนมัสการหลวงพ่อนวลด้วย หลวงพ่อนวลก็เลยบอกว่ามึงอย่าเสียเวลาเปล่า ไม่มีวัวของมึงหรอก มันอยู่โน่น ขัวสูงล่างโน่นเมื่อลงไปดูปรากฏว่าวัวนอนอยู่ที่นั่นจริงๆ ในเวลาต่อมาเมื่อมีโอกาสหลวงปู่ฯ มักขึ้นไปปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อนวลอยู่เสมอ
    หลังจากออกพรรษาแล้วท่านก็ออกธุดงค์ไปที่ต่างๆ เพื่อปฏิบัติธรรมสมาธิภาวนา ได้ธุดงค์ผ่านบ้านศรีธน ได้ปักกลดใกล้บ้านม่วง ชาวบ้านม่วงทราบข่าวต่างเดินทางมานิมนต์ให้ท่านอยู่จำพรรษาที่บ้านม่วงต่อไป ซึ่งเป็นวัดร้าง แต่ท่านไม่รับปาก ได้ธุดงค์ผ่านเข้าเขตจังหวัดสกลนคร และวกกลับมาที่บ้านหนองหอยอีกครั้ง ก็ได้เดินทางมานิมนต์ให้ท่านไปอยู่วัดบ้านม่วงอีกครั้ง คราวนี้ท่านก็รับนิมนต์ และได้เดินทางมาอยู่จำพรรษาที่บ้านม่วง พร้อมกับสามเณรทองดี สุวงศ์ เมื่อมาอยู่จำพรรษาที่วัดบ้านม่วงครั้งนี้ ท่านได้อบรมสั่งสอนชาวบ้าน ญาติโยม พร้อมกับมีเวลาในการปฏิบัติธรรมมากขึ้น เพราะไม่ได้สอนปริยัติธรรมตลอดเวลา
     
  18. chirattha

    chirattha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2011
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +857
    รุ่นนี้ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ..ผมก็พึ่งเริ่มเก็บวัตถุมงคลของหลวงปู่ครับ
    ต้องขอรบกวนพี่ ๆ ที่ทราบข้อมูลช่วยแนะนำด้วยนะครับ
     
  19. Kornsitpu

    Kornsitpu Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +92
    ติดตามอ่านด้วยคนครับ ...กราบหลวงปู่คำพันธ์ "เทพเจ้าแห่งลุ่มแม่น้ำโขง"
    พอมีเก็บไว้บูชา บ้างนิดหน่อยครับ.
    [​IMG]
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 กันยายน 2012
  20. chirattha

    chirattha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2011
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +857
    นั่งวิปัสนากรรมฐานพบหลวงปู่พรหมมา
    ในคืนวันหนึ่งเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ หรือชาวบ้านเรียกว่าวันพระใหญ่ หลวงปู่ฯ ท่านได้ปฏิบัติกิจสงฆ์คือไหว้พระสวดมนต์ ทำสมาธิจิตตามปกติ ในวันนั้นท้องฟ้าโปร่งใสอากาศสดชื่นมากพระจันทร์ทรงกลด แสงจันทร์กระทบกับเมฆมีความสวยงามกว่าปกติส่วนดวงพระจันทร์มีสีสุกสวย หลังจากทำกิจสมาธิเสร็จแล้วท่านก็นอนหลับฝันไปว่า ได้พบกับพระภิกษุรูปหนึ่ง ครองจีวรสีคร่ำ เป็นพระภิกษุแก่อาวุโส นัยน์ตามีความเมตตามาก หลวงปู่ฯ เห็นว่าเป็นพระอาวุโสและน่าเลื่อมใสจึงได้เดินทางเข้าไปกราบพระรูปนั้น พระรูปนั้นได้พูดว่าเรารอท่านมานานแล้ว ท่านกับเรามีวาสนาต่อกัน ท่านได้สร้างบุญกุศลมาหลายภพหลายชาติ ผลบุญกุศลจะสำเร็จในชั้นสูง ในอนาคต และจะได้เป็นที่พึ่งของสรรพสัตว์ทั่วโลกไม่มีประมาณ
    เราคือญาครูพรหมมา (หลวงปู่พรหมมา) แห่งนครจำปาศักดิ์ เดินธุดงค์ไปทั่วตั้งแต่แก่งหลี่ผีขึ้นไปภูเขาควายจนถึงประเทศพม่าและเดินลัดเลาะตามลำแม่น้ำโขงมาเรื่อย ๆ ได้มาละสังขารที่นี่หลายชั่วอายุคน วิชาของเราทั้งหมดที่ได้ศึกษามาจากครูบาอาจารย์ลุ่มแม่น้ำโขงขอมอบให้ท่านจงรับไปเพื่อช่วยเหลือมนุษย์ ในใจหลวงปู่ฯ นึกว่าเราจะเรียนอย่างไร ยังไม่ทันพูดหลวงปู่พรหมมาก็กล่าวว่า ท่านเป็นคนฉลาดหลักแหลมในพระธรรมวินัยตลอดจนมีความสามารถอ่าน ตัวธรรมลาว ตัวธรรมพม่า และตัวขอมและภาษต่างๆ ได้แล้วจะรู้เองเพราะท่านมีบุญบารมี วิชานี้เป็นของท่านในอดีตชาติเมื่อบำเพ็ญเพียรถึงขั้นก็จะรู้เอง วิชานี้ได้อยู่ในหออุโบสถเป็นมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษโบราณ ตอนนี้หอได้ชำรุดทรุดโทรมมาก พรุ่งนี้ชาวบ้านเขาจะนำมาถวายท่านเอง
    ธาตุฯ ๔
    หลักการสอนของหลวงปู่ฯ ที่ได้ศึกษามาจากครูบาอาจารย์คือหลักสมถวิปัสสนาพิจารณาแยกธาตุออกเป็น ๔ ธาตุอันประประกอบด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ โดยเน้นพุทธคุณเป็นหลัก หลังจากพิจารณาจนคล่องแล้ว ก็ให้มาพิจารณากาย (กายคตาสติ) อุสุภกรรมฐาน หลังจากพิจารณาจนคล่องแล้ว ก็ให้พิจารณาธาตูฯ กรรมฐาน
    โดยพิจารณาร่างกายแยกออกเป็ฯธาตูฯ๔ คือดิน - น้ำ - ลม - ไฟ ซึ่งหลวงปู่ฯ มีความชำนาญในการเจริญธาตุฯ มากจะเห็ฯได้จากการอธิษฐานจิตลงปัฐวีธาตุ และในวัตถุมงคล ท่านชำนาญในการตั้งธาตุ หนุนธาตุ และเสริมธาตุ ธาตุ ๔ ในบางครั้งเรียกว่าปัฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ ธาตุทั้งสี่นั้นล้วนแต่เป็นไปตามกฏของธรรมชาติทั้งสิ้น ให้พิจารณาดูด้วยปัญญาก็จะเข้าใจตามความชัดจริง และจะเข้าใจในเรื่องรูปธรรม และนามธรรมด้วยจิตใจอันเป็นสมาธิ เมื่อพิจารณาธาตุเข้ากันก็จะเกิดอิทธิฤทธิ์ และอัศจรรย์ตามธาตุที่เราพิจารณา เช่าถ้าเราพิจารณาดูธาตุดินอันเป็นสำคัญในร่างกายเรา ก็จะทำให้เกิดความอัศจรรย์ต่างๆ นานาๆด้ การเจริญธาตุโดยชำนาญ ถ้าไม่ยึดติดก็จะผ่านโลกียปัญญาไปสู่โลกุตรปัญญา หากมีความเพียรมากๆ และเร่งเจริญอาณาปานสติกรรมฐาน พิจารณาลมหายใจเข้าออกทำให้จิตมีสมาธิแน่วแน่ ก็จะสามารถบรรลุญาณตามลำดับขั้น และดำเนินไปสู่เบื้องสูงต่อไปตามลำดับ
    กำหนดรู้
    หลักการปฏิบัติธรรมเจริญสมาธิภาวนาของหลวงปู่ฯ ที่ใช้สอนหลวงปู่ฯ จะให้พิจารณากำหนดรู้ในสิ่งนั้นๆ เกิดได้ดับได้ไม่จีรังยั่งยืน ซึ่งแนวทางนี้หลวงปู่ฯ ใช้สอนลูกศิษย์มาโดยตลอด เมื่อปฏิบัติไปเรื่อยๆ จนเกิดความชำนาญก็จะทำให้การปฏิบัติบรรลุผล ท่านเคยเล่าให้พระอาจารย์ศรี บุญฮงฟังว่า พระอาจารย์ในสมัยก่อนๆ ไม่ว่าจะเป็นหลวงปู่สีทัตถ์ หรือหลวงปู่พรหมมา ท่านกำหนดธาตุฯ ได้โดยกำหนดธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ จนชำนาญสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้เหนือคนธรรมดา เช่นหลวงปู่สีทัตถ์เวลาเดินบนน้ำโขงก็จะกำหนดน้ำเป็นดิน เดินจากฝั่งไทยไปฝั่งลาว และกลับมาฝั่งไทยพอมาถึงฝั่งไทยก็กำหนดดินเป็นน้ำคืนจึงสามารถเดินบนน้ำได้ และสามารถกำหนดรู้ได้ว่าสัตว์เขาคุยอะไรกัน นี่คือการกำหนดรู้ และที่ครูบาอาจารย์สมัยก่อนเมื่อไม่อยากพบใคร อยากปฏิบัติตามลำพังเวลาคนมาตามไม่เจอตัว อยู่ๆ ก็เดินหายไป เพราะท่านได้กำหนดดินเป็นอากาศสามารถเดินหายเข้าไปในภูเขาได้โดยคนไม่พบตัว หลังจากออกจากหุบเขาก็กำหนดอากาศให้เป็นดินคืนโดยไม่เป็นอันตรายกับสัตว์ สรรพวิชาเหล่านี้เป็นการกำหนดธาตุเพื่อให้สำเร็จตามต้องการ
    ศาลปู่/ย่า
    ในสมัยก่อนตามต่างจังหวัดความเจริญมีไม่มาก ยิ่งจังหวัดตามชายแดนที่ห่างไกลความเจริญจะมีประเพณีวัฒนธรรมเก่าๆ ที่ถือต่อๆ กันมา และในปัจจุบันนี้ยังพอมีเหลือในชนบทก็คือการบูชาหอเจ้าปู่ หรือศาลเจ้าย่า บางทีเรียกว่าหอปู่/ย่า หรือศาลปู่/ย่า ประชาชนแถบชนบทจะมีความเครารพและศรัทธามาก เวลาไปไหนหรือเดินทางไกล จะต้องทำการบอกกล่าวหอเจ้าปู่/ย่า เพื่อให้เกิดความปลอดภัย หรือเมื่อทำอะไรผิดก็จะต้องมาขอขมาต่อศาลเจ้าปู่/ย่าจึงจะหาย และที่ให้ศาลเจ้าปู่/ย่า จะเป็นที่บนนานศาลกล่าว ของบุคคลภายในชุมชนนั้นๆ เป็นที่นับถือของชุมชนตั้งแต่บรรพบุรุษ ปู่ ย่า ตา ทวด มาถึงปัจจุบัน และแล้วเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นทางด้านเหนือของจังหวัดนครพนม ตรงป่าทึบหน้าสวนหลวง ร.๙ ซึ่งตรงข้ามกับถนนเป็นป่าทึบ ปัจจุบันเป็นสำนักงานเกษตรฯ ที่ป่าทึบมีศาลเจ้าปู่เป็นที่เคารพบูชาของบรรพบรุษมาแต่โบราณ ซึ่งชาวบ้านแถบนั้นเซ่นไหว้เคารพบูชามาโดยตลอด และใกล้สถานที่แห่งนั้น จะมีจอมปลวกอยู่แห่งหนึ่งและมีงูใหญ่สีดำมัน อาศัยอยู่ชาวบ้านแถบนั้นเห็นจะไม่ทำร้าย เขาเรียกว่างูเจ้าที่ ชาวบ้านแถบนั้นพบเห็นประจำไม่มีใครกล้าทำอันตราย ช่วงเวลาต่อมาสำนักงานเกษตรฯ ได้ไปสร้างบริเวณนั้น ทำการก่อสร้างอาคารใหม่แล้วมีเหตุการณ์เกิดขึ้นในตอนเย็นใกล้ค่ำของวันหนึ่ง ได้มีคนงาน ๕ - ๖ คนได้นั่งกินเหล้าใกล้ๆ หอปู่/ย่า นั่งกินกันอย่างสนุกสนานและเมาได้ที่กันพอสมควรในขณะนั้นเองงูก็ได้เลื้อยออกมาจากจอมปลวกภายในป่าบริเวณนั้น พวกคนงานเห็นงูเกิดความสนุกอยากจะกินแกงงู ได้มีชาวบ้านบริเวณนั้นบอกว่าอย่าทำงูเจ้าที่ แต่พวกคนงานที่เมาเหล้าไม่ฟังพากันรุมตีด้วยความสนุกสนาน และนำงูนั้นมาแกงกิน ต่อมาไม่นานได้มีเจ้าหน้าที่ผู้หญิงย้ายมาใหม่ ได้นอนฝันพบว่า คนนุ่งขาวห่มขาวแก่อายุมาก สีหน้ามีความโกรธมาก มาบอกว่าคนที่ทำลูกน้องแก แกจะเอาให้ตายทุกคนฝันอย่างนี้หลายวันต่อๆ กันมา ผู้หญิงคนนั้นก็มาเล่าบอกผู้คนในสำนักงานฟัง ไม่มีใครสนใจ ต่อมาผู้ที่เป็นหัวหน้าตีงูก็ดดนรถยนต์ทับตายสองคนรวมกับเพื่อนที่ร่วมกินงูด้วยกัน ผู้หญิงคนเก่าก็นอนฝันเห็นคนแก่นุ่งขาวห่มขาวอีก แกมาบอกว่าจะเอาให้ตายทุกคนให้ครบตามที่พูดไว้ ทางสำนักงานเกษตรฯ จึงได้จัดทำบุญเลี้ยงพระ หลังจากนั้นยังมีคนที่ร่วมกินงูอีกหนึ่งรายก็โดนรถชนตายหน้าสำนักงานศาลจังหวัดฯ คนงานในสำนักงานเกิดความไม่สบายใจเสียขวัญเลยไปปรึกษาพระอาจารย์ชัย วัดกกต้อง พระอาจารย์ชัยแนะนำให้ไปนิมนต์หลวงปู่ฯ มาทำพิธี ทางสำนักงานฯ ก็ปฏิบัติตาม ไปนิมนต์หลวงปู่ฯ ที่วัดธาตุมหาชัย พอหลวงปู่ฯ มาถึงก็เดินรอบสำนักงานฯ หนึ่งรอบ และก็มานั่งบริกรรมทำน้ำมนต์ให้ และท่านได้เมตตาประพรมน้ำมนต์ให้ทุกคนในสำนักงานฯ ท่านพูดกับคนที่ไปร่วมงานว่า น่าจะแจ้งท่านเร็วกว่านี้เจ้าที่เขาโกรธ หลวงปู่ฯขอเขาไว้แล้ว ต่อไปจะไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก เขารับปากไว้แล้ว
    อ้างอิง> คัดลอกจากเวป
    กระทู้หมู่เฮา • แสดงกระทู้ - ประวัติ ปฏิปทา พระสุปฏิปันโน และบทความธรรมะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...