หลวงปู่ชื้น พุทธสโร พระดีศรีกรุงเก่า

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 20 มกราคม 2008.

  1. joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    ประวัติหลวงพ่อชื้น

    หลวงพ่อชื้น ท่านเกิดที่หมู่บ้านอำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี
    เขตติดต่อกับจังหวัดพระนครศรีอยุยา

    เมื่อวันพุธ เดือนสี่ หรือเดือนมีนาคม ปีมะแม พ.ศ. 2450
    เป็นบุตรของ นายจันทร์ และ นางหงิม ในตระกูลชาวนา
    อาชีพหลักของชาวไทยแท้โดยทั่วไป

    วัยเด็กโยมบิดาได้นำมาฝากให้เล่าเรียนเขียนอ่านที่ วัดเกาะลอย ใกล้บ้าน

    ครั้นอายุได้ 15 ปี บรรพชาเป็นสามเณร
    อายุเต็ม 17 ปี ลาสิกขาออกมาช่วยโยมทั้งสองทำนาอยู่ 3 ปี

    อายุครบ 20 ปี เมื่อ พ.ศ. 2470
    โยมบิดา – มารดา จึงให้อุปสมทบที่วัดเกาะลอย

    โดยมี หลวงพ่อยอด พระเกจิชื่อดัง วัดหนองปลาหมอ สระบุรี เป็นพระอุปัชฌาย์
    พระอธิการมาต วัดหนองแค สระบุรี เป็นพระอนุสาวนาจารย์
    พระอธิการทองดี วัดเกาะลอย สระบุรี เป็นพระกรรมวาจารย์

    ได้รับฉายาว่า “พุทธสโร”

    เมื่ออุปสมบทแล้ว

    มีความขยันหมั่นเพียรเรียนพระปริยัติธรรม
    จนสอบได้นักธรรมตรี เมื่อปี พ.ศ. 2473

    ในขณะเดียวกันก็เรียนพุทธเวท วิชาอาคม จาก หลวงพ่อยอดไปด้วย

    ในขณะนั้นที่วัดเกาะลอย มีพระภิกษุที่เชี่ยวชาญทางไสยศาสตร์ วิชาแพทย์แผนโบราณ
    ตั้งแต่ครั้งยังเป็นฆราวาส มาบวชจำพรรษาอยู่หลายรูป เช่น....

    พระอาจารย์สาย

    พระอาจารย์ไท หรือ เสือไท ฉายาขุนโจรย่ามแดง ซึ่งล้างมือแล้ว
    หันเข้าพึ่งพระธรรมในบั้นปลายของชีวิต เก่งในทางทำตะกรุด พิสมร เสื้อยันต์
    ทำน้ำมนต์รักษาโรค ไล่ภูตผีปีศาจ วิชาผูกหุ่นกำบังกาย วิชากระสุนคด ฯลฯ

    นอกจากนั้นยังมี พระอาจารย์ไกร หรือ เสือไกร,

    พระอาจารย์ก้าน หรือ เสื้อก้าน ลูกศิษย์ของเสด็จในกรม หลวงชุมพรฯ

    ปรากฏว่า หลวงพ่อชื้น ได้ขอถ่ายทอดวิชามาจนหมดสิ้น
    เป็นวิชาของลูกผู้ชายระดับเสือ ซึ่งหนีไม่พ้นทางวิชาคงกระพันชาตรี วิชาทางมหาเสน่ห์

    ออกธุดงค์

    ในปี พ.ศ. 2474 หลวงพ่อชื้น ได้ไปกราบลาท่านอุปัชฌาย์ ท่านอนุสาวนาจารย์
    ท่านกรรมวาจารย์ และพระอาจารย์เสือต่าง ๆ

    เพื่อออกธุดงค์ บำเพ็ญเพียร ออกสู่โลกภายนอก

    ธุดงค์มาจนถึง ตัวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งขณะนั้นวัดวาอารามต่าง ๆ
    ยังรกร้าง ขาดพระสงฆ์องค์เจ้ามาดูแล

    ผ่านมาทาง วัดญาณเสน เห็นมีเจดีย์ใหญ่เป็นสง่า มีต้นไม้รกครึ้ม
    เหมาะแก่การจำศีลภาวนา จึงได้หมายตาเอาไว้

    แล้วก็ธุดงค์ต่อไปยังอ่างทอง สุพรรณบุรี สิงห์บุรี ลพบุรี

    พบปะกับพระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงของจังหวัดนั้น ๆ แล้วจึงกลับมาจังหวัดพระนครศรีอยุธยา มาพำนัก ณ วัดญาณเสน ซึ่งขณะนั้นมีพระภิกษุดูแลวัดอยู่เพียง 2 – 3 รูป

    เมื่อหลวงพ่อชื้น มาอยู่ก็ได้ช่วยกันหักร้างถางพง ซ่อมแซมกุฏิสงฆ์ ศาลาการเปรียญ
    พระอุโบสถ ให้ดูสะอาดตา เหมาะแก่การบำเพ็ญศาสนกิจ

    ชาวบ้านเมื่อเห็นวัดญาณเสน มี พระภิกษุหนุ่ม มาช่วยดูแลวัด
    ก็พากันมาทำบุญตักบาตร ทั้งวันพระ วันโกน ตามประเพณี มิได้ขาด

    ทดลองวิชา

    ในสมัยที่ หลวงพ่อชื้น ยังเป็นพระภิกษุหนุ่ม
    ยามว่างจากภารกิจ ท่านก็ทบทวนวิชาอาคม ที่ได้ร่ำเรียนมาจากพระอาจารย์ต่าง ๆ สามารถทำตะกรุด ผ้ายันต์ ให้ขลังคงกระพัน ได้ทำน้ำพระพุทธมนต์ให้เป็นสิริมงคล รักษาโรคกรรมเวร โรคจิตได้ สามารถไล่ผีเข้า เจ้าสิงได้

    ดูหมอดูฤกษ์ ทำนายทายทักโชคชะตาได้

    หลวงพ่อชื้น เล่าว่า มีประชาชนในตังจังหวัด และห่างไกลมาหาท่านอยู่เสมอ
    ท่านก็ช่วยไปทุกคนเท่าที่ช่วยได้ เพื่อแลกกับข้าวถ้วยแกงถ้วยเท่านั้น

    มิได้เรียกร้อง เงินทอง แต่อย่างใด

    เพราะชาวบ้าน เกิดมา ก็มีความจนเป็นทุนกันมาอยู่แล้ว

    เล่นแร่แปรธาตุ

    ในสมัยนั้นบรรดาเกจิอาจารย์นิยมเล่นแร่แปรธาตุ โดยนำโลหะต่างชนิดกันมาผสมกัน
    เพื่อให้เป็นทองคำให้เป็นแร่ธาตุกายสิทธิ์ผสมโลหะ 5 อย่าง 7 อย่าง 9 อย่าง ออกมาเป็นสัตตโลหะ นวโลหะ

    อย่างเช่นหอกของหลายชุมพล ปลายหอกทำด้วยสัตตโลหะ ใครที่ว่าเหนียว เมื่อเจอโลหะผสมก็เปื่อยเป็นเนื้อต้มทีเดียว

    หลวงพ่อชื้น ท่านก็ลองวิชาของท่านเหมือนกัน
    นำโลหะมาผสมได้เนื้อเหลืองทางทองคำก็มี

    เนื้อเหลือบใสแดงขาวก็มี ท่านเรียกโลหะของท่านว่า เนื้อลูกแก้ว
    ท่านผสมไว้มากมายใต้ถุนกุฏิ เมื่อใครมาขอท่านก็หลอมเป็นลูกอมเล็ก ๆ ให้พกติดตัว ผู้ที่ได้ไปก็แคล้วคลาดภัยอันตรายต่าง ๆ

    ถ้าวันใดว่าง ๆ ท่านก็จะให้ศิษย์ไปหาตะปูสังฆวานรตามเจดีย์ร้างเก่า ๆ
    มาหลอมรีดเป็นตะกรุด

    ผู้ได้ไปก็มีความคงกระพันชาตรี มหาอุด หยุดลูกปืน จนท่านทำให้แทบไม่หวาดไหว

    พระธุดงค์มาสอนธรรมะเพื่อความหลุดพ้น

    ต้นปี พ.ศ. 2500 มีพระธุดงค์รูปหนึ่งได้ธุดงค์ผ่านมาที่วัดญาณเสน
    พบกับ หลวงพ่อชื้นเข้าโดยบังเอิญ ท่านอาจารย์ทั้งสองเกิดถูกอัธยาศัยกัน
    จึงได้สนทนาธรรมกับผู้ศึกษาธรรมย่อมรู้ญาณซึ่งกันและ กัน

    เพียงสนทนากันไม่กี่ประโยคก็ทราบได้ว่ามีความรู้เพีย งใด
    บำเพ็ญเพียร มามากเพียงใด


    อาจารย์ต้องการศิษย์….ศิษย์ต้องการอาจารย์

    พระธุดงค์เปรยขึ้นมาว่า ที่ท่านชื้นได้ร่ำเรียนวิชามานั้น ยังยึดมั่นถือมั่นอยู่ในวัตถุ
    ต้องปล่อยปละละวาง ละความโลภ โกรธ หลง ทั้งปวง

    พร้อมทั้งแนะนำธรรมะ และข้อปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นอีกหลายข้อ ต
    ามแนวทางของพระพุทธองค์

    หลวงพ่อชื้น จึงได้กราบขอเป็นศิษย์ พระธุดงค์รูปนั้นก็มิได้ปฏิเสธ

    และพูดว่า
    “นับเป็นกุศลของอาตมาที่จะได้ช่วยให้ผู้มีบุญวาสนาอย ู่แล้วได้สำเร็จมรรคผล”

    นับแต่วันนั้นมาพระภิกษุทั้ง 2 รูป ก็ได้ทบทวนศีล 227 ข้อ
    พระธรรมวินัยต่าง ๆ ภายในพระอุโบสถ

    ครั้นยามค่ำคืนก็พากันนั่งสมาธิอยู่โคนต้นโพธิ์ ภายในวัดญาณเสน
    โดยที่หลวงพ่อชื้นจะภาวนาพระคาถาต่าง ๆ ไปด้วย

    และลงท้ายด้วยภาวนา นัตถิเม

    มีพระธุดงค์รูปนั้น ได้นั่งสมาธิคุมไปด้วย

    ความสำเร็จ

    จนกระทั่งเวลาได้ผ่านไป 2 เดือน กับอีก 27 วัน
    หลวงพ่อชื้น ท่านก็ยังไม่ได้อะไร เพียงแต่ว่าจิตใจสบายและสงบขึ้น

    และในคืนวันที่ 27 นั้นตอนใกล้รุ่งที่โคนต้นโพธิ์ หลวงพ่อชื้น ท่านได้ยินเสียง
    เหมือนคนหว่านทรายมารอบ ๆ ตัวท่าน

    จึงลืมตาถาม พระธุดงค์ พี่เลี้ยงว่า “นั่นเสียงอะไร”

    พระธุดงค์ จึงตอบว่า “ผีประจำต้นโพธิ์มันจะเข้าต้นไม้ มันไล่ท่านแล้ว”

    คืนต่อมาหลวงพ่อชื้น จึงขอเข้ามานั่งสมาธิอยู่ในโบสถ์
    จะได้ไม่ไปรบกวนเจ้าที่เจ้าทาง

    หลังจากนั่งในพระอุโบสถคืนที่ 3 ใกล้รุ่ง
    หลวงพ่อชื้น ก็นิมิตเห็น องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่งสมาธิลอยมา ถึง 3 พระองค์
    และพระธรรมจักร เปล่งรัศมีโชติช่วง หมุนอยู่ระหว่างกลาง องค์พระทั้ง 3 พระองค์

    เมื่อหลวงพ่อชื้นถอนสมาธิก็บังเกิดความสว่างขึ้นภายใ นดวงใจ
    เต็มไปด้วยความปิติ จะนึกสิ่งใดต้องการรู้สิ่งใดก็มีคำตอบขึ้นมาเสร็จ

    ท่านจึงได้เล่านิมิตให้พระธุดงค์ฟัง พระธุดงค์รูปนั้นท่านก็บอก ว่า

    “อาตมาหมดหน้าที่แล้ว อาตมาจะกลับไปที่บ้านเกิดของอาตมา
    ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดโบสถ์ อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา”

    พระอาจารย์มรณภาพ

    หลังจากวันนั้นแล้วพระธุดงค์องค์นั้นก็ธุดงค์กลับ แม้หลวงพ่อชื้นจะอ้อนวอนให้อยู่ต่อ
    เพื่อจะได้สนองคุณดูแลเมื่อยามแก่เฒ่า

    หลวงพ่อชื้น เล่าว่า พระธุดงค์องค์นี้ ชื่อ หลวงพ่อเสน เตชะธัมโม
    เป็นชาวโคราช อำเภอสูงเนิน
    มาอยู่กรุงเทพฯ ตั้งแต่เล็ก ๆ กับพระยาท่านหนึ่ง
    ต่อมาได้อุปสมบทที่วัดบรมนิวาส ได้เล่าเรียนพระปริยัตธรรม วิปัสสนากรรมฐาน
    อยู่กับ พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท) จนกระทั่งมีความคงแก่เรียน

    จึงได้ออกรุกขมูลธุดงค์หาความวิเวกไปตามสถานที่ต่าง ๆ
    จนกระทั่งบำเพ็ญเพียรถึงขั้นสูงสุด

    หลวงพ่อชื้น เล่าว่า ท่านได้ส่งกระแสจิตถึงกันอยู่เสมอ
    เพียงแต่นึกถึงกัน ก็สนทนากันได้แล้ว

    และหลังจากนั้นอีก 5 ปี พระอาจารย์เสน เตชะธัมโม ก็มรณภาพ ในท่านั่งสมาธิ
    อยู่บนภูเขาแห่งหนึ่ง ในอำเภอสูงเนิน

    เมื่อหลวงพ่อชื้นทราบข่าว ก็ขึ้นไปทันที กว่าจะหาศพพบ ก็เป็นเวลา 7 วัน
    ปรากฏว่านั่งมรณภาพในขณะสมาธบำเพ็ญเพียรอยู่ในซอกหิน

    ศพไม่เน่าเปื่อยเหมือนคนหลับธรรมดา

    สัตว์ป่า หรือ มด แมลง ก็มิได้มาไต่ตอม

    หลวงพ่อชื้น ท่านก็ได้ช่วยทำการฌาปนกิจอย่างสมเกียรติ แล้วจึงเดินทางกลับ

    ความเป็นจริง ในสมัยที่หลวงปู่ฯ ยังทรงสังขารอยู่นั้น
    ผมก็ไม่ได้เล่าเรื่องนี้ ให้ใครฟังเลย

    หลังจากหลวงปู่ฯ ท่านละจาก ทิ้งสังขาร ไว้ให้ลูกหลานได้กราบไหว้
    ผมจึงคิดว่า ควรนำเรื่องนี้ มาเล่าสู่กันฟังไว้บ้าง

    เพื่อที่ว่า อาจจะเป็นประโยชน์สำหรับบางท่าน

    โดยขอเน้นว่า ไม่ได้บอกว่า ต้องเชื่อผมนะครับ พึงพิจารณาด้วยตัวของท่านเอง

    .................................................. ................................

    มีอยู่วันหนึ่ง เมื่อไปกราบถวายภัตราหาร แด่หลวงปู่ฯ
    ตั้งแต่เช้า ก่อน 07.00 น. เหมือนเช่นเคย

    หลังจากท่านฉันภัตราหารแล้ว ห้วงเวลาที่ว่างอยู่ ก่อนที่ท่านจะกลับขึ้นสู่เตียงพยาบาล
    ผมได้มีโอกาสได้ถามถึง “รูป” พระสงฆ์รูปหนึ่ง ยืนสะพายบาตร ที่ฝาผนังห้องของท่าน

    หลวงปู่ฯ ท่านอธิบายว่า เป็นรูปของ “พระอาจารย์” ของท่านเอง ชื่อว่า “โพธิสัตว์ เตฯ”
    (ก็คงเป็นองค์เดียวกับ “พระอาจารย์เสน เตชะธัมโม”)
    หลวงปู่ฯ ท่านได้อธิบายเพิ่มเติมอีกว่า....

    โอ.. องค์นี้เก่ง เป็นพระโพธิสัตว์ ขนาด “น้ำกรด” ท่านดื่ม อั่ก ๆ ๆ ไม่เป็นไรเลย

    พอดี ผมเห็นว่ามีช่องทาง พอที่จะกราบเรียนถามหลวงปู่ฯ
    ในเรื่องที่ค้างคาในใจ แต่ไม่รู้ว่า จะถามใคร

    ผมจึง กราบเรียนถามหลวงปู่ฯ ว่า....
    “หลวงปู่ฯ ครับ.. หลวงปู่ฯตามอาจารย์ หรือเปล่าครับ”
    หลวงปู่ฯ ท่านกล่าวโดยทันทีว่า.. “เอ้ย.. คนละพวกกัน”

    ตรงนี้ ผมก็เข้าใจได้ ตามปัญญาของผม ในขณะนั้น ว่า....
    หลวงปู่ฯ ท่านไม่ได้ปรารถนาพุทธภูมิ เหมือนท่านอาจารย์

    ผมเอง ก็ยังคาใจอยู่อีกนิดหนึ่ง จึงกราบเรียนหลวงปู่ฯ อีกว่า....
    “หลวงปู่ ครับ.. หลวงปู่ไปพระนิพพาน ชาตินี้ ใช่ไหมครับ”

    หลวงปู่ฯ ท่านเมตตา เป็นอย่างสูง มองหน้ากระผมนิดหนึ่ง....
    แล้วก็ส่งเสียงตอบ แบบว่า ไม่ได้อ้าปาก แต่ก็ส่งเสียงในลำคอ พอให้ได้ยินว่า “อื้อ ๆ”
    เพียงเท่านั้นเอง ผมก็รู้สึกว่า ปีติก่อเกิด ยินดี ปรีดา อย่างที่สุด

    กระผมเอง จาบจ้วง ที่กราบเรียนถามต่อหลวงปู่ฯ ตรง ๆ
    แต่ผมก็คิดว่า หลวงปู่ฯ ท่านก็ย่อมทราบว่า เจตนาของผมนั้น ไม่ได้มีเจตนาอันเลว
    ท่านจึงสงเคราะห์ให้ ซึ่งผมคิดว่า ท่านมีความเมตตาต่อกระผมเป็นอย่างยิ่ง
    (ซึ่งเรื่องนี้ ผมก็ไม่เคยที่จะเล่าให้ใครฟัง จนกระทั่ง ท่านละสังขาร ไปแล้ว)

    สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเต อุกาสะ ธะวารัตตะ เย นะกะตัง
    สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเต อุกาสะ ขะมามิ ภันเต

    กรรมใด ที่ข้าพเจ้า ได้ล่วงเกินต่อพระรัตนตรัย และหลวงปู่ฯ เป็นที่สุด
    ด้วยเจตนาก็ดี ไม่ได้ตั้งใจก็ดี ขอพระรัตนตรัย และหลวงปู่ฯ เป็นที่สุด

    ได้โปรดอดโทษแก่ข้าพเจ้า นับตั้งแต่บัดนี้ ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน ด้วยเทอญ.

    กราบ..
    กราบ..
    กราบ....

    เกี่ยวกับ วัตถุมงคล ที่สามารถป้องกันได้ถึง รังสี

    ตรงนี้ขอเล่าเรื่อง ที่เป็นประสบการณ์โดยตรง ที่เกี่ยวข้องแก่กระผม เท่านั้น
    จะจริง จะเท็จ อย่างไร ก็เป็นเรื่องที่กระผมสัมผัสเอง ทั้งนั้น

    ท่านจะเชื่อ หรือไม่ อย่างไร เราก็ต้องพิจารณาด้วยดุลพินิจที่ดีของตัวของเราเอง

    เรื่องวัตถุมงคล ที่ครูบา อาจารย์ ทำพิธีพุทธาภิเศกไว้ และเป็นที่ยืนยันว่า
    สามารถป้องกันภัย ได้ถึง ปรมณู นิวเคลียร์ และ รังสี

    หากท่านที่ไม่ได้ติดตามข่าวคราว นานา เกี่ยวกับสงครามที่จะเกิดขึ้น
    ในเร็ววันนี้ คือใน พ.ศ. 2550 – 51 – 52 – 53 ก็อาจจะมีข้อสงสัยว่า....

    จะมีวัตถุมงคลที่สามารถป้องกันภัย ได้ถึง ปรมณู นิวเคลียร์ และ รังสี กันไปทำไม

    ตรงนี้ ก็ไม่ได้บอกว่า จะต้องเชื่อถือกัน ตามที่ผมกล่าวถึง

    ก็ฟัง ๆ ไว้ก่อน เรียกว่า ฟังหูไว้หู รู้ไว้บ้างประดับความรู้ ดีกว่าที่จะไม่รู้อะไรเลย
    แล้วค่อย ๆ ใคร่ครวญจากสภาวะ และสถานการณ์ของโลก ในอนาคตอันใกล้นี้

    ครั้งแรก ที่ได้รับฟัง

    เรื่อง วัตถุมงคลที่สามารถป้องกันภัย ได้ถึง ปรมณู นิวเคลียร์ และ รังสี

    ที่กระผมเอง มีประสบการณ์ตรง เป็นอันดับแรก ก็คือ....

    เมื่อปี พ.ศ.2535 ที่บ้านสายลม สะพานควาย ประมาณสัก 2-3 เดือน
    ก่อนที่องค์หลวงพ่อพระราชพรหมยานมหาเถระ(หลวงพ่อฤาษี ฯ) จะละสังขาร

    ท่านได้บอกให้ญาติโยมที่มาถวายสังฆทาน และท่านก็แจกพระคำข้าว ว่า....
    (กราบขอขมาตรง ต่อองค์หลวงพ่อฯ ที่ไม่สามารถจดจำได้ทุกคำพูด)
    “..เอ่อ โยม พระคำข้าว เนื้อขาว ๆ เก็บไว้ให้ดีน่ะ ทำได้ยาก ทำพิธีเหมือนกับ
    พิธีของสมเด็จโตฯ อีกไม่เกิน 20 ปี ราคาองค์ละเป็นแสน..”

    พระคำข้าว และวัตถุมงคลขององค์หลวงพ่อฯ ที่ทำพิธีพุทธาภิเศก
    หากจำไม่ผิด เท่าที่อ่านพบมา ท่านก็ยืนยันมานานแล้ว ตั้งแต่ ปี 2521 เป็นต้นมา

    ว่า วัตถุมงคลที่ท่านทำพิธีพุทธาภิเศก นั้น ท่านก็เพียงนั่งในพิธีเฉย ๆ
    เรื่องพิธีปลุกเสก เป็นเรื่องของ “พระ” ท่านเป็นผู้ทำเอง
    และ “พระ” ก็รับรองว่า วัตถุมงคลทุกชิ้น สามารถป้องกันภัยได้ทุกอย่าง
    ตลอดไปจนถึง ปรมณู นิวเคลียร์ และ รังสี

    ความจริง เรื่องวัตถุมงคลขององค์หลวงพ่อฯ คงไม่ต้องกล่าวกันมากไป
    เพราะว่า ศิษยานุศิษย์ขององค์หลวงพ่อฯ ต่างก็รับรู้กันโดยทั่วไปอยู่แล้ว

    .................................................. .................................

    วาระที่สอง ที่ได้รับฟัง

    เรื่อง วัตถุมงคลที่สามารถป้องกันภัย ได้ถึง ปรมณู นิวเคลียร์ และ รังสี
    หลังจากได้รับความรู้ ได้ซึมซับเรื่องราววัตถุมงคล จากองค์หลวงพ่อฯ มาแล้ว
    ผมก็ไม่ได้ดิ้นรนกระไรอีก (แต่ก็มีบ้างที่เก็บ หาเก็บ ในครูบาอาจารย์ คณะเดียวกัน)

    ต่อมา ก็มีเพื่อน ๆ ที่มีประสบการณ์มา เล่าให้ฟังว่า....
    พระสงฆ์ ที่เอ่ยปากกล่าวรับรองผลว่า วัตถุมงคลที่ท่านสร้างขึ้น(พุทธาภิเศก)
    สามารถป้องกันภัย ได้ถึง ปรมณู นิวเคลียร์ และ รังสี นั้น

    หลวงปู่ชื้นฯ วัดญาณเสน ก็เคยได้กล่าวไว้ เช่นกัน

    ในวาระแรก ๆ ผมเองก็เพียงรับฟังไว้ เพราะว่า ไม่เคยสัมผัสกับท่านมาก่อน
    เพียงแต่ เมื่อได้ยินชื่อของท่าน ก็มีความเลื่อมใสขึ้นมาเอง
    (อาจจะเพราะว่า บังเอิญ ชื่อของแม่ของกระผม ชื่อเดียวกับหลวงปู่ฯ)

    ต่อมา..
    เคยได้พบ “นายช่าง” กรมชลประทาน ท่านหนึ่ง ที่บันทึกลงสมุดบันทึกส่วนตัว ว่า
    ปีนั้น.. ปีนี้.. หลวงปู่ชื้นฯ ได้เข้าร่วมพิธีพุทธาภิเศก กับเกจิอาจารย์ต่าง ๆ
    หลังจากพิธีนั่งปรก หลวงปู่ฯ ท่านก็ลุกขึ้นยืน ใช้มือแตะไปที่กองวัตถุมงคลทั้งหมด
    แล้วก็เอ่ยว่า “ขอให้วัตถุมงคลทั้งหมด ที่เข้าพิธีในวันนี้ สามารถปกป้อง กันภัยได้ทั้งหมด ตลอดจนถึง ปรมณู และรังสี”

    นายช่างฯท่านนั้น ก็ได้ให้ผมอ่านบันทึก ที่เขาบันทึกไว้
    จากการอ่านบันทึกว่า หลวงปู่สิมฯ วัดถ้ำผาปล่อง ท่านก็เคยเข้าร่วมพิธี
    พร้อมกับหลวงปู่ฯ

    แต่ก็เป็นบันทึกของคนอื่นอยู่ดี

    ซึ่งผมเองก็เชื่อ และศรัทธา ต่อหลวงปู่ฯ แต่ก็ไม่ได้ขวนขวายนัก

    จากนั้น ในห้วงเวลาต่อมา ได้กราบพบหลวงปู่ฯ ได้พบ ได้เห็นปฏิปทา
    และความรู้พิเศษ ของหลวงปู่ฯ ก็ยิ่งเกิดความศรัทธา เลื่อมใส มากยิ่งขึ้น

    แต่ก็ไม่เคยคิดที่จะถามเรื่องที่หลวงปู่ฯพูดในเรื่อง วัตถุมงคล

    เพราะว่า ไปกราบท่าน ถวายภัตราหารแด่ท่าน ได้นั่งชมบารมีท่าน
    นัยตาท่านใสแจ๋ว ริมฝีปากแดง อารมณ์ดี ดูสดชื่นแจ่มใส น่าชื่นใจยิ่งนัก

    เพียงแค่นี้ ก็นับว่าคุ้ม อย่างยิ่งแล้ว
    <!-- / message --><!-- attachments -->
    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>



    </FIELDSET>
    <!-- / attachments --><!-- sig -->__________________
    "พระฉันเสกด้วยจิต ให้เธอใช้ด้วยใจ"
    ที่มา http://romphosai.com/forums/forum9/thread4031.html
     
  2. มันตรัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    8,346
    ค่าพลัง:
    +8,190
    หลวงปู่ท่านเมตตากับคนที่ไปกราบมากครับ และหากใครสังเกตุดีๆจะพบว่าท่านเสกน้ำยาอุทัยสำหรับทำน้ำมนต์ด้วย น้ำมนต์ที่ท่านทำนั้นเปรียบเหมือนน้ำที่พระแม่ธรณีบีบบมวยผมทำให้น้ำไหลท่วมพญามารทั้งหลายครับ ผมยังโชคดีเหลืออีกขวดใหญ่สุดท้าย เอาไว้ใช้ยามลำบาก
     
  3. joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    ผมได้พระผงระฆังรุ่น1ปี2546ของท่านมาดีใจมากครับมาทราบเรื่องท่านใช้รัตนจักรจากพี่มะลิยิ่งดีใจว่าได้ของดีครับ
     
  4. เด็กวัดป่า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    381
    ค่าพลัง:
    +727
    อ่านแล้วได้ทราบเรื่องราวของหวงปู่อีกเยอะเลยครับ ปกติผมก็เก็บเหรียญและวัตถุมงคลของหลงปู่อยู่แล้วครับ เพราะว่านับถือท่านอยู่แล้วครับ
    อนุโมทนา สาธุ ครับ
     
  5. มันตรัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    8,346
    ค่าพลัง:
    +8,190
    หากใครได้เคยไปกราบท่าน จะทราบว่าหลวงปู่ท่านเมตตามากๆ ท่านจะจับหัวของเราแล้วมนต์คาถา และแบ่งบุญให้กับเราด้วยครับ
     
  6. มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    เอ.. สงสัยจริง ๆ ว่า
    ในเนื้อหาของโพสที่เจ้าของกระทู้ กล่าวมาทั้งหมด นั้น

    ผมได้โพสไว้แล้ว ที่....
    http://palungjit.org/showthread.php?t=54424

    ประสบการณ์ ที่เล่าไว้ ก็เป็นประสบการณ์ส่วนตัวของ "กระผม" เอง....

    คนที่ใครเขาเข้ามาอ่าน ไม่เข้าใจ ก็ต้องว่าเป็น "คุณjoni_buddhist"
    เป็นผู้พูด เป็นผู้เล่า ประสบการณ์ "ส่วนตัว" ดังกล่าว

    ผมเอง ก็ไม่ได้หวง "ข้อความ" ที่ผมกล่าวไว้ ใด ๆ ทั้งสิ้น
    เมื่อมีผู้คน กล่าวถึงหลวงปู่ฯ ยิ่งมาก ผมก็ยิ่งดีใจ ปีติ ยินดี

    แต่ทว่า พิจารณาดูแล้ว อาจจะเป็นข้อเสียหายแก่ คุณjoni_buddhist<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_927994", true); </SCRIPT>

    เพราะว่า..

    1. ไม่ใช่ประสบการณ์ตรง ของคุณ ด้วยประการใด ๆ
    (เมื่อมีคนรู้เข้า เขาจะว่า คุณ "โกหก" เอาได้)

    2. หาก "ผู้อื่น" เขาเห็นทั้ง 2 กระทู้ แล้ว
    เขาจะเข้าใจผืดว่า คุณต้องการเอาดีเข้าตัว ก็ได้

    ซึ่งทั้ง 2 ข้อ ก็จะไม่เป็นผลดีกับคุณเลย นะครับ

    ที่ติงมานี้ ไม่ใช่เหตุว่า ไม่พอใจคุณ นะครับ
    แต่เป็นห่วง ตามที่กล่าวถึงข้างบนนี้ ด้วยใจจริง

    เพราะว่า เมื่อผมกล่าวไปแล้ว ผมเชื่อว่า หลวงปู่ฯ ย่อมรู้ได้ดี

    ...................................................................................
     
  7. joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    พระฉันเสกด้วยจิต ให้เธอใช้ด้วยใจ"
    ที่มา http://romphosai.com/forums/forum9/thread4031

    ผมไม่รู้ว่าใครเป็นผู้เขียนหรอกครับแต่ผมนำโพสมาจาก เว็ปร่มโพธิ์ไทรซึ่งผมแสดงโพสไว้แล้วว่ามีที่มาจากเว็ปไหนครับก็ต้องขอโทษและขออภัยในความผิดพลาดเพราะทางเว็ปร่มโพธิไทรใช้นามว่า sevenelevenผมไม่อาจรู้ได้ว่าใครเป็นผู้โพส ผมก็แค่อ้างอิงแหล่งที่มาครับ ขอบคุณที่ป็นห่วงพี่ลองเช็คที่มาของผมก็ได้ครับ
    พระฉันเสกด้วยจิต ให้เธอใช้ด้วยใจ"
    ที่มา http://romphosai.com/forums/forum9/thread4031.html
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  8. เด็กวัดป่า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    381
    ค่าพลัง:
    +727
    กระผมคิดว่าจะเป็นการอ้างอิงหรือเป็นการนำมาเล่าสู่กันฟัง ก็ดี ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นการเผยแพร่ให้ผู้อื่น ที่ยังไม่เคยทราบถึงคำสอนหรือประวัติของหลวงปู่ชื้นที่เราเคารพ กราบไหว้ท่าน จะได้ทราบเหมือนๆ กับเรานะครับ กระผมเองคิดอย่างนั้นครับ อาจจะโพสซ้ำกันบ้างก็ยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่ามีผู้คนที่เคารพท่านและอยากให้ผู้อื่นได้รู้จักและทราบถึงประวัติของหลวงปู่ชื้น มากขึ้นนะครับ
    อนุโมทนา สาธุกับทุกท่านครับ
     
  9. มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ..................................................................................................................................

    อันนี้.. ก็เป็นความผิดของผมเองครับ ที่มองไม่เห็น Link ที่อ้างอิง
    ทั้ง ๆ ที่ ตัวเบ้อเริ่ม

    สรุป

    1. เป็นความหวังดี เป็นความศรัทธา ของคุณjoni_buddhist ด้วยใจจริง
    ด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์แท้

    ซึ่งเป็นเรื่องที่พึงโมทนา

    2. เป็นความเข้าใจผิดของผม ที่มองไม่เห็นส่วนอ้างอิง

    ข้อนี้ ผมพึงรับผิดชอบในข้อความที่โพส
    ผมจึงน้อมขอโทษ ขอขมา มายัง คุณjoni_buddhist ด้วยใจจริง

    ซึ่งไม่ได้มีเหตุที่ถือโทษคุณjoni_buddhist มาก่อน แต่อย่างใด

    เพราะว่า ผมก็ยินดีที่มีผู้คน หรือพวกเรา ช่วยกันเผยแผ่ เรื่องราวของหลวงปู่ฯ
    ดังกล่าวมาแล้ว.

    ...................................................................................
     

แชร์หน้านี้