หลวงปู่สมชาย วัดเขาสุกิม

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย สันติภาพ999, 23 สิงหาคม 2013.

  1. สันติภาพ999

    สันติภาพ999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    2,885
    ค่าพลัง:
    +2,229
    พระวิสุทธิญาณเถร หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ท่านเป็นชาวจังหวัดร้อยเอ็ด เกิดเมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๔๖๘ ตรงกับวันอังคาร ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๕ ปีฉลู เวลาเที่ยงวัน ณ หมู่บ้านเหล่างิ้ว ตำบลจังหาร อำเภอจังหาร จังหวัดร้อยเอ็ด โยมบิดาชื่อ สอน นามสกุล มติยาภักดิ์ โยมมารดา ชื่อ บุญ นามสกุล มติยาภักดิ์ โยมมารดาของท่านเป็นบุตรีคนเล็กของ คุณหลวงเสนา ผู้นำศาสนาพราหมณ์ ในท้องถิ่นนั้น หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ท่านมีพี่น้องร่วมบิดามารดา เดียวกันเพียง ๒ คน คือ



    ๑.นายหนู มติยาภักดิ์
    ๒. หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย



    คุณโยมมารดาของท่านได้ถึงแก่กรรมตั้งแต่ท่านยังเล็กอยู่มีอายุได้ประมาณ ๒ ขวบหลังจากนั้นก็ได้ตกเป็นภาระของคุณตาหรือคุณหลวงเสนาได้ให้การอุปการะ เลี้ยงดูต่อมา แต่ท่านได้อยู่กับคุณตาไม่นานนัก คุณตาก็ถึงแก่กรรมจากไปอีก
    กล่าวถึง คุณหลวงเสนา คือคุณตาของหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย นั้น ท่านเป็นบุคคลที่มีความสำคัญคนหนึ่ง และเป็นที่เคารพนับถือของประชาชน ในถิ่นนั้นมาก คือท่านเป็นหัวหน้า ใหญ่ เป็นผู้นำ ศาสนาพราหมณ์ และเป็นผู้นำประกอบพิธี กรรมเกี่ยวกับการนชาเทวดาตามลัทธิศาสนา หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ท่านได้ถือกำเนิด ในสกุลของศาสนาพราหมณ์วันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๕ ถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ จะมีการแห่ต้อนรับปีใหม่ส่งท้ายปีเก่า ขบวนแห่ในปีนั้นเทพ ธิดาทรงหลังเสือ และมีวัวประจำปีฉลู มีการตั้งขบวนอยู่ที่บ้าน หัวหน้า คือบ้านคุณหลวงเสนา และจะต้องแห่ไปรอบๆ หมู่บ้าน ปกติจะต้องเริ่มแห่ตอนเที่ยงวัน โดยบังเอิญบุตรีของท่านปวด ท้องคลอดบุตรตรงกับเที่ยงวันพอดี คุณหลวงเสนามาวุ่นอยู่ใน เรื่องคลอดบุตรทำให้เลยเวลาแห่ ตามธรรมดาแล้วเมื่อถึงกำหนดเวลาเที่ยงวัน คุณหลวงเสนาจะต้องออกไปสั่งให้ จุดพลุ ตะไล ตีฆ้อง ตีกลอง เมื่อท่านไม่ได้ ออกมาสั่ง การแห่ก็เลยหยุดแค่นั้น ปีนั้นก็เลยไม่ได้แห่ แล้วสัญลักษณ์รูปเสือและวัว ก็มาตั้งอยู่ที่ปลายเท้าเด็กที่คลอดออกมา ชาวบ้านทั้งหลายก็รังเกียจในตัวทารก เนื่องจากเกิดมาทำลายพิธีการแห่ครั้งนี้
    ด้วยนิมิตหมายในครั้งนี้ คุณหลวงเสนาได้พยากรณ์ ทำนายท่านไว้ว่า "เด็กคนนี้จะต้องเป็นผู้เปลี่ยนแปลงศาสนาเดิมของตระกูลในวันข้างหน้าอย่างแน่นอน" เนื่องจากการเกิดของท่านต้องทำให้เสียพิธี จึงถือเป็นลางอย่างหนึ่งที่จะทำ ให้ศาสนาพราหมณ์ในถิ่นนั้นสิ้นสุดลง และต่อมาปรากฏว่าภาย หลังหลวงปู่สมชายู ฐิตวิริโย ได้อุปสมบทในบวรพุทธศาสนา แล้ว ไดศึกษาประพฤติปฏิบัติธรรมะจนเกิดความซาบซึ้งใน พระศาสนาพอสมควรแล้ว ท่านก็ได้เอาธรรมะไปอบรมสั่งสอน ประชาชนชาวบ้านในท้องถิ่นนั้นให้เกิดศรัทธาปสาทะ ปัจจุบัน ประชาชนชาวบ้านในท้องถิ่นก็ได้หันมานับถือพุทธศาสนา กันจนหมดสิ้น
     
  2. สันติภาพ999

    สันติภาพ999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    2,885
    ค่าพลัง:
    +2,229
    ภาระหน้าที่ในการรับผิดชอบ



    ภายหลังจากคุณหลวงเสนา ผู้เปรียบเสมือนหนึ่งร่มโพธิ์ร่มไทร หรือดวงประทีปที่เคยให้แสง สว่างและความร่มเย็น ได้ถึงแก่ กรรมลงอย่างกะทันหันด้วยอหิวาตกโรคระบาด ความรุ่งโรจน์ และแสงสว่างได้ดับวูบลงอย่างหน้าใจหาย อนาคตมีดมน มอง ไม่เห็นทิศทางว่าจะดำเนินวิถีชีวิตอย่างไรต่อไป



    คุณแม่บังเกิดเกล้าจากไปตั้งแต่ท่านยังไม่ทราบว่า หน้าตาเป็นอย่างไรแล้วยังไม่พอ คุณตาผู้เปรียบเสมือนหนึ่งแม่ บังเกิดเกล้าแทนคุณแม่ที่จากไป ก็มาจากไปอีกเป็นคนที่สอง คุณพ่อก็ยังมาปล่อยทิ้ง๒1สนใจเลี้ยงดูท่านเลยความว้าเหว่วังเวงความสังเวชเศร้าโศก และความสลดอย่างสุดซึ้ง ได้เกิดขึ้น อย่างเหลือวิสัยที่จะพรรณนาให้ถูกต้องตามความรู้สึกได้ใน ขณะนั้น เมี่อเหตุการณ์หรือมรสุมร้ายผ่านไปแล้ว ท่านก็ได้ไป อาศัยอยู่กับญาติผู้หนึ่ง มีศักดิ์ เป็นพี่ชาย ใน ฐานะเป็นลูกผู้พี่ ก็ ได้อยู่ร่วมกันมาด้วยดีมีความสุขและราบรื่นมาระยะหนึ่ง มรสุม ลูกใหม่ก็เกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สาม คือพี่สะใภ้ได้มาเสียชีวิตจากไปอย่างไม่มีวันกลับอีกปล่อยให้ลูกเล็กๆ๔-๕คนเป็นกำพร้า



    หลวงปู่จึงต้องรับผิดชอบเป็นภาระเลี้ยงดูทำหน้าที่ เสมือนแม่บ้านและผู้ปกครองอย่างเต็มความสามารถ เพราะหลังจากพี่สะใภ้จากไปแล้ว พี่ชายก็ประพฤติตัวเกเร มั่วสุมเรื่องอบายมุขทำตัวเป็นนักเลงหัวไม้ หาได้สนใจต่อหน้าที่ของตนไม่ ความเป็นไปภายในครอบครัวทั้งหมดจึงตกเป็นภาระหน้าที่ของท่านจะต้องรับผิดชอบโดยสิ้นเชิง ท่านจึงพยายาม ทุกวิถีทางเพื่อสร้างฐานะทางครอบครัวให้ขึ้นมาเทียมบ่าเทียมไหล่กับคนอื่น



    ท่านได้ยึดอาชีพเป็นพ่อค้า ค้าส่งของทั่วไป ระหว่างหมู่บ้านกับตลาด วันไหนค้าขายมีกำไรมากหน่อยก็ซื้ออาหารการบริโภคมาฝากคนเฒ่าคนแก่และฝากเด็กๆในหมู่บ้าน ให้ได้รับประทานกัน นิสัยของท่านนั้นเป็นผู้เอื้อเฟื้อมาตั้งแต่ สมัยเป็นเด็กๆ แล้ว จึงติดตัวท่านมาจนถึงปัจจุบันนี้



    ในสมัยที่ท่านกำลังดิ้นรนหาเงินสร้างฐานะอยู่นั้น ท่านมี อายุเพียง ๑๔ ปีเศษและต้องหอบหิ้วเลี้ยงดูหลานอีก ๔-๕ คน บ้านที่จะอยู่อาศัยก็ไม่มี ต้องไปขออาศัยอยู่ใต้ถุนบ้านญาติ คนหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้รับความเอื้อเฟื้อจากผู้เป็นเจ้าของบ้านเท่าไร นัก จึงเป็นเหตุให้ท่านต้องดิ้นรนมุ่งมานะพยายามหาเงินเพื่อ ซื้อบ้านอยู่เป็นของตัวเอง ท่านได้พยายามหาเงินเก็บเงินทีละ เล็กทีละน้อย และพี่ชายก็มักจะแอบมาลักขโมยไปเป็นประจำ ทั้งเสียใจทั้งน้อยใจในตัวของพี่ชายเป็นยิ่งนัก ทั้งๆ ที่ลูกของตัวเองก็ ไม่เลี้ยงแล้วยังจะมาขโมยเงินที่ท่านหามาได้ไปใช้เสียอีก



    ท่านได้ดิ้นรนหาเงินสร้าง ฐานะของท่านอยู่ถึง ๒ ปีกว่า ด้วยการเป็นพ่อค้าบ้าง บางครั้งวัดใกล้บ้านมีงานมีการชกมวย ก็สมัครขึ้นชกมวยอีกด้วย หนทางใดที่จะหาเงินได้โดยสุจริต แล้ว ท่านยอมทุ่มเทกำลังกายกำลังใจทุกอย่างเพี่อแลกกับเงินที่
    จะนำมาเลี้ยงดูครอบครัว บางครั้งยังเคยไปรับจ้างเถ้าแก่คนจีน ในตลาดร้อยเอ็ดหมุนเครื่องรถยนต์โดยสารร้อยเอ็ด-ขอนแก่น



    พออายุได้ประมาณ๑๗-๑๘ปีความพยายามของท่าน ก็ได้สำเร็จขึ้นมาเป็นที่น่าพอใจ ได้จัดซื้อบ้าน ๑ หลัง ราคา ๗๕ บาท เกวียน ๑ เล่ม วัวราชามัย ๑ คู่ ราคา ๗๕ บาท และสิ่ง อำนวยความสะดวกด้านอื่นๆ อีกหลายต่อหลายอย่าง จึงนับว่า ท่านมีนิสัยเป็นหัวหน้าและเป็นผู้นำที่ดี คือรู้จักรับผิดชอบตัว เองและส่วนรวมมาตั้งแต่สมัยเป็นวัยรุ่นวัยหนุ่ม ท่านจึงเป็นที่ ยอมรับเป็นที่ยกย่องสรรเสริญ และเป็นที่เคารพนับถือของผู้ที่ใกล้ชิด ตลอดทั้งบุคคลทั่วไปในหมู่บ้านนั้นอีกด้วย ท่านได้ใช้ ชีวิตอยู่ในทางฆราวาสวิสัยจนถึงอายุ ๑๙ ปี ด้วยความเบื่อ หน่ายต่อความเป็นอยู่ของโลกที่เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย และเต็มไปด้วยความเป็นทุกข์ ไม่เที่ยงน่าเบื่อหน่าย ท่านจึงคิด ที่จะสละเพศฆราวาสวิสัยออกบวชในบวรพุทธศาสนา เพื่อ แสวงหาความพ้นทุกข์



    เนื่องจากท่านมีอุปนิสัยในทางธรรมตั้งแต่อายุ ๑๖ ปี ท่านมักจะฝันอยู่เป็นประจำทุกๆ คืน เป็นระยะเวลา ๔ ปีกว่า ว่าในอดีตชาติได้เคยบวชเป็นนักพรตบำเพ็ญพรหมจรรย์ โดย ปราศจากคู่ครองมาแล้ว ๓ ชาติ ชาติแรกได้ฝันไปว่าได้เกิดเป็น ลูกของชาวประมง เป็นบุตรชายคนเดียวของพ่อแม่ ซึ่งอาศัย อยู่ในเกาะกลางทะเลแห่งหนึ่ง ซึ่งมีอาชีพในทางจับปลา และ มีคุณลุงซึ่งบวชเป็นหัวหน้าฤๅษีมาบิณฑบาตที่บ้านประจำ อุปนิสัยสมัยเด็กไม่ชอบทำปาณาติบาต ลุงซึ่งบวชเป็นฤๅษีชัก ชวนให้ไปอยู่ด้วยกัน เลยติดตามลุงไปบวชแล้วบำเพ็ญพรต พรหมจรรย์จนได้เป็นอาจารย์ฤๅษี ชาติต่อมามีญาติเป็น หัวหน้าฤๅษีอยู่ในเขาแห่งหนึ่ง และได้มาบวชกับญาติบำเพ็ญ พรตอยู่ในเขาลูกหนึ่ง จวบจนสิ้นอายุขัยในเขาลูกนั้น ชาติที่ ๓ ได้บวชเป็นฤๅษีในป่าใหญ่ เนื่องจากมีอุปนิสัยมาแล้ว ๒ ชาติ บำเพ็ญพรตบูชายันต์ จนได้เป็นหัวหน้าฤๅษี ประพฤติ พรหมจรรย์อยู่ในป่าใหญ่จนสิ้นอายุขัย
     
  3. สันติภาพ999

    สันติภาพ999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    2,885
    ค่าพลัง:
    +2,229
    อุปนิสัยในทางธรรม



    เมื่อครั้งสมัยที่คุณตาหลวงเสนายังมีชีวิตอยู่ คุณตาของท่านก็พยายามอบรมสั่งสอนทุกวิถีทางที่จะให้เกิดความรู้ความสามารถ เพื่อให้ได้เป็นผู้ดำรงวงศ์สกุลสืบไป เพราะว่าคุณหลวงเสนาท่านได้มองเห็นลักษณะพิเศษของหลานชายหลายอย่าง ซึ่งส่อแสดงให้เห็นว่าเป็น ลักษณะของบุคคลสำคัญคนหนึ่งในอนาคตข้างหน้า



    แต่เนื่องด้วยนิสัยปัจจัยเก่าที่หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ท่านได้เคยสร้างสมอบรมมาแล้วตั้งแต่อดีตชาติ เมื่อมาประสบเหตุการณ์ที่ทำให้ท่านเกิดความเบื่อหน่ายในชีวิตฆราวาส และพอใจในเพศของนักบวช ซึ่งมีความเป็นอยู่อย่างง่ายๆ สันโดษ แสวงหาความพ้นทุกข์แต่อย่างเดียว ท่านมีความพอใจเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ สมัยที่คุณตาหลวงเสนายังมีชีวิตอยู่นั้น หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ท่านก็มีความสนใจในธรรมะทางพุทธศาสนาเป็นพื้น ฐานอยู่แล้ว ท่านจึงได้เสาะแสวงหาหนังสือที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนามาอ่านอยู่เสมอๆ หนังสือที่ท่านชอบอ่านมาก ที่สุดในสมัยนั้นคือ หนังสือพุทธประวัติ บางครั้งท่านก็ได้หลบหนีคุณตาไปฟังเทศน์พระกรรมฐานอีกด้วย เคยไปฟังเทศน์จากพระอาจารย์นาค โฆโส ซึ่งเป็นพระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่นที่มีชื่อเสียงอีกองค์หนึ่งในสมัยนั้น แต่การกระทำของหลวงปู่หาได้ทำอย่างเปิดเผยไม่ เพราะเขาถือว่าเป็นการกระทำผิดต่อลัทธิและศาสนาของ บรรพบุรุษอย่างร้ายแรงทีเดียว วันไหนที่คุณตาหลวงเสนาสืบรู้เข้าท่านก็จะต้องถูกจับลงโทษทันที บางครั้งถูกเฆี่ยนตี และมัดมือไพล่หลังตากแดด อย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อไม่ให้เป็นตัวอย่างแก่คนอื่น และเพื่อจะให้เข็ดหลาบจะอย่างไรก็ตาม ถึง แม้ว่าจะมีการระมัดระวังแค่ไหน การกระทำของหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย หาได้รอดพ้นสายตาของคุณตาหลวงเสนาไปได้ไม่ บางครั้งก็ถูกจับได้และได้ถูกลงโทษดังกล่าวมาแล้วนั้น คือถูกตีและ ถูกมัดมือไพล่หลังตากแดด ถึงแม้ว่าท่านจะถูกคุณตาลงโทษอย่างไร ท่านก็ไม่เคยร้องไห้ ไม่เคยขอความเห็นใจจากผู้ลงโทษเลยเด็ดขาดนิ่ง เงียบ เฉย ตลอดเวลา เมื่อคุณตาซักถามว่าเข็ดหรือยัง หลาบหรือยัง ท่านก็นิ่ง เงียบ เฉย อยู่อย่างนั้น



    การสนใจอ่านหนังสือธรรมะ หรือหนังสือพุทธประวัติ ตลอดจนไปฟังเทศน์พระกรรมฐานและการไปทำบุญกับพระตามวัดต่างๆ ที่เป็นสานักปฏิบัติก็ได้ดำเนินไปเรื่อยๆ ไม่หยุดยั้งแต่ท่านก็ทำอย่างสุขุมรอบคอบยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน เพราะเกรง ใจคุณตาและกลัวคุณตาจะลงโทษอีก จึงนับได้ว่าเป็นเรื่องแปลกมาก ทั้งๆ ที่ท่านก็เกิดและอยู่ในกลุ่มของศาสนาพราหมณ์ แต่ท่านมีความสนใจเลื่อมใสในทางพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง
     
  4. สันติภาพ999

    สันติภาพ999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    2,885
    ค่าพลัง:
    +2,229
    บรรพชา

    เมื่อเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจึงเท่ากับว่าเป็นสิ่งกระตุ้น หรือตีต้อนให้ท่านหันเข้าสู่โลกุตรธรรม เร็วขึ้นเป็นลำดับ และภายหลังจากที่พี่สะใภ้จากไป ท่านก็ปฏิบัติหน้าที่ของท่านโดยสมบูรณ์ทุกประการ เมื่อเห็นว่าเป็นโอกาสอันสมควรแล้ว ท่านจึงได้พูดเรื่องการอยากบวชให้พี่ชายฟัง พี่ชายเห็นว่าคงเป็นไปไม่ได้ จึงได้พูดขึ้นมาว่า ถ้าบวชได้ก็ดี ไม่ขัดข้อง เมื่อท่านเห็นว่าได้รับอนุญาตแต่โดยดีเช่นนั้นแล้ว จึงได้รีบจัดแจงเตรียมสิ่งของทันที เพราะกลัวว่าพี่ชายจะกลับใจ พอเตรียมสิ่งของต่างๆ เสร็จกะประมาณว่าเที่ยงคืน ท่านจึงได้ออกจากบ้านเดินทางผ่านทุ่งนามุ่งหน้าสู่ วัดป่าศรีไพรวัลย์ อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด



    พอรุ่งเช้าก็เข้าไปมอบกายถวายตัวเป็นนาคกับ ท่านพระอาจารย์เพ็ง พุทธธัมโม ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสในขณะนั้น และ ได้อยู่ฝึกฝนอบรมพอสมควรแล้ว ก็ได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ อุโบสถวัดเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด โดยมี ท่านเจ้าคุณพระโพธิญาณมุนี เจ้าคณะจังหวัดร้อยเอ็ด ธรรมยุต เป็นพระอุปัชฌาย์ บรรพชาเมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๗ ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๗ ปีวอก อายุ ๑๙ ปี และได้พำนักจำพรรษาที่วัดป่าศรีไพรวัลย์ ๑ พรรษา





    ถวายตัวเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น



    ในระหว่างที่หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย บวชเป็นสามเณรอยู่ที่วัดป่าศรีไพรวัลย์นั้น ท่านก็ได้ ยินกิตติศัพท์ว่า หลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถร เป็น พระอรหันต์ ผู้หมดจดจากกิเลส จึงทำให้หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย มีความปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง ใคร่ที่จะได้เห็นพระอรหันต์ในสมัยปัจจุบัน ดังนั้นเมื่อออกจากพรรษาแล้ว จึงได้กราบลาท่านพระอาจารย์เพ็ง พุทธธัมโม ผู้เป็นเจ้าอาวาส พร้อมด้วยคณะรวม ๕ รูป ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่สำนักหลวงปู่มั่น ในระหว่างทางที่ผ่านไป ท่านก็ได้แวะเยี่ยมชมและศึกษาข้อวัตรปฏิบัติตามสำนักต่างๆ เรื่อยไป เช่น สานักของ ท่านพระอาจารย์แดง วัดป่าสักวัน อำเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ สำนักของ ท่านพระอาจารย์สอน วัดภูค้อ เป็นลำดับไป จนถึงเขตสาขาสานักหลวงปู่มั่น คีอ สำนักของ ท่านพระอาจารย์กู่ ธัมมทินโน วัดป่าบ้านโคกมะนาว ซึ่งเป็นสำนักหน้าด่านตั้งอยู่รอบนอก



    ตามปกติแล้ว ผู้ที่จะเข้าไปสู่สานักของหลวงปู่มั่น จะต้องผ่านการฝึกฝนอบรมจิตใจ และฝึกมารยาทให้เรียบร้อยดีเสียก่อน จึงจะปล่อยให้เข้าไปได้ สำหรับหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ก็อยู่ในฐานะเช่นนั้นเหมือนกัน เมื่อได้อยู่ฝึกฝนอบรมจิตใจและฝึกมารยาทพอสมควรแล้ว หลวงปู่พร้อมด้วยคณะทั้งหมดได้พากันเข้าไปมอบกายถวายตัวเป็นลูกศิษย์ หลวงปู่มั่น ภูริทตตเถร เมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๔๘๗ ที่วัดป่า บ้านหนองผือ ตำบลนาในอำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร ในขณะนั้น หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ยังเป็นสามเณร ในลำดับ แรกเมื่อได้เข้าไปถึงสำนักหลวงปู่มั่น ก็ได้เห็นความสะอาดสะอ้านภายในบริเวณวัดตลอดถนนหนทาง และสถานที่อยู่ของผู้ปฏิบัติธรรมทุกแห่งมีแต่ความร่มรื่นสวยงามตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นบรรยากาศที่ชวนให้อยากภาวนา ดูประหนึ่งว่าจิตใจเริ่ม เป็นสมาธิตั้งแต่ยังไม่ได้ลงมือปฏิบัติ นอกเหนือไปกว่านั้น ก็ได้ เห็นความเป็นระเบียบเรียบร้อย และมารยาทอันสวยงามของ หลวงปู่มั่น ทีได้เมตตาออกมาให้การปฏิสันถารต้อนรับ จึงยัง ความปลื้มปีติยินดีความอิ่มเอิบให้เกิดขึ้นอย่างแปลกประหลาด และไม่เคยได้รับมาก่อนจากสำนักใดๆ ที่ได้เคยผ่านมา จึงนับว่า วันนั้นเป็นวันปฐมฤกษ์แห่งความเป็นอุดมมงคลในชีวิตนี้ที่จะ ลืมลงไม่ได้เป็นอันขาด



    ในระหว่างที่ท่านได้พักอาศัยเพี่อศึกษาธรรมปฏิบัติอยู่กับหลวงปู่มั่น ภูริทตตเถร นั้น ท่านก็ได้ใช้ความเพียร พยายามเป็นอย่างยิ่งต่อการปฏิบัติสมาธิจิต เพื่อพิสูจน์ความจริงทางพระศาสนา และท่านได้ขยันหมั่นเพียรอย่างยิ่งยวดต่อข้อวัตรปฏิบัติน้อยใหญ่ทั้งปวง โดยไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย การอุปถัมภ์อุปัฏฐากครูบาอาจารย์ก็เป็นไปด้วยดี สม่ำเสมอไม่บกพร่องตอนกลางวันนั้นท่านไม่เคยพักผ่อนหรือจำวัดเลยเว้นเฉยแต่อาพาธเท่านั้น เพราะกลัวเวลาไม่พอทีจะประกอบความเพียร และไม่พอที่จะศึกษาค้นคว้าธรรมะ
     
  5. สันติภาพ999

    สันติภาพ999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    2,885
    ค่าพลัง:
    +2,229
    อุปสมบท



    เมื่อสามเณรสมชายมีอายุครบ ๒๑ ปี สมควรที่จะทำการญัติจตุตถกรรมเป็นพระภิกษุในบวรพุทธศาสนา หลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถร ก็ได้มอบผ้าสังฆาฏิ ๑๑ ขันธ์ ให้หนึ่งผืน และช้อนซ้อมทองเหลืองอีกหนึ่งคู่ เพื่อร่วมในการอุปสมบทสามเณรสมชาย สามเณรสมชายเห็นว่าเป็นผ้าของครูบาอาจารย์ที่เคยใช้มาก่อน ลูกศิษย์ไม่ควรเอาไปใช้ เพราะจัดอยู่ในประเภทบริโภคเจดีย์ ควรแก่การกราบไหว้สักการะบูชาแก่ศิษยานุศิษย์มากกว่า ท่านจึงไม่กล้าที่จะนำไปใช้และเก็บไว้บูชา



    พอหลวงปู่มั่นทราบเจตนาของสามเณรสมชาย ดังนั้นแล้ว หลวงปู่มั่นจึงได้สั่งให้ คุณแม่นุ่ม ชุวานนท์ ซึ่งเป็นโยมอุปัฎฐากของท่านที่สำคัญคนหนึ่ง ให้เป็นผู้จัดการหาผ้าสังฆาฏิผืนใหม่มาถวาย ด้วยแรงศรัทธาของคุณแม่นุ่ม ชุวานนท์ เคยเกี่ยวข้องและได้อุปฐากพระกรรมฐานสายปฏิบัติมานานตั้งแต่ครั้งสมัยหลวงปู่เสาร์ กนตสีโร ซึ่งเป็นอาจารย์ของหลวงปู่มั่น ภูริทตตเถร จึงทำให้คุณแม่นุ่ม ชุวานนท์เกิดความซาบซึ้งใจในคุณธรรมและเห็นความสำคัญในพระปฏิบัติมาก ดังนั้นเมื่อหลวงปู่มั่นมีความประสงค์สิ่งใด ถ้าสิ่งนั้นไม่เหลือวิสัยจริงๆ แล้วคุณแม่นุ่ม ชุวานนท์ จะต้องจัดหามาถวายทุกอย่างให้สมเจตนา สำหรับเรื่องผ้าสังฆาฏิที่จะใช้ในการอุปสมบทสามเณรสมชายในครั้งนั้นก็เหมือนกัน ทั้งๆ ที่สมัยนั้นผ้าหายากมาก เพราะสงครามโลกครั้งที่สองเพิ่งจะเสร็จสิ้นลงใหม่ๆ ถึงแม้ว่าจะ ยากแสนยากเท่าไรก็ตาม คุณแม่นุ่ม ชุวานนท์ ก็พยายามทุก วิถีทางที่จะให้ได้ผ้าสังฆาฏิมาถวายตามความประสงค์ของ หลวงปู่มั่นจึงได้ลาดตระเวนหาซื้อผ้าตามจังหวัดต่างๆ หลาย ต่อหลายจังหวัด ในที่สุดก็สำเร็จสมความปรารถนา จึงนับได้ว่า คุณแม่นุ่ม ชุวานนท์ มีส่วนสำคัญเป็นอย่างมากในการอุปสมบทสามเณรสมชายในครั้งนั้นผ้าสังฆาฏิที่นำมาถวายในครั้งนั้นคิดเป็นมูลค่า ๔๐๐ บาท ( สี่ร้อยบาท) สมัยนั้นนับว่าเป็นผ้าที่มีราคาแพงมากพอสมควร เมื่อจัดบริขารทุกสิ่งทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลวงปู่มั่น ภูริทตตเถร ท่านก็ได้สั่งให้ ท่านเจ้าคณพระธรรมเจดีย์(จูม พันธุโลเถร) เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงปู่ฝั้น อาจาโร เป็นพระกรรมวาจาจารย์
    หลวงปู่กงมา จิรปุญโญ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ได้ทำการอุปสมบทกรรม ณ พัทธสีมา วัดศรีโพนเมือง อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร เมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙ ครูบาอาจารย์ที่ได้กล่าวนามมาทั้งหมด ล้วนแต่เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่นทั้งสิ้น โดยเฉพาะท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์นั้น เป็นพระอุปัชฌาย์ของหลวงปู่ฝั้น อาจาโร อีกด้วย



    ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย เป็นทั้งลูกศิษย์ หลานศิษย์ และเป็นเหลนศิษย์ของหลวงปู่มั่น ภายหลังจากอุปสมบทกรรมแล้ว หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ก็ได้ ไปอยู่จำพรรษา ณ วัดป่าภูธรพิทักษ์ (ธาตุนาเวง) อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร โดยมีหลวงปู่ฝั้น อาจาโร เป็นเจ้าอาวาสในสมัยนั้น



    ต่อมาเมื่อนายวัน สิทธิผลซึ่งอยู่ที่จังหวัดนครราชสีมา ได้ทราบข่าวว่าหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ได้เก็บรักษาผ้าสังฆาฏิของหลวงปู่มั่นเอาไว้ จึงได้มาขอเพื่อนำไปสักการบูชาที่บ้าน หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ท่านก็ได้มอบให้แต่โดยดี เพราะเห็นว่านายวัน สิทธิผล ก็เป็นลูกศิษย์อีกผู้หนึ่งที่มีความศรัทธาเลื่อมใสต่อหลวงปู่มั่นเป็นอย่างยิ่งอยู่แล้ว ปัจจุบันนี้จึงไม่ทราบว่าผ้าสังฆาฏิผืนดังกล่าวนั้น จะยังอยู่กับนายวัน สิทธิผล อีกหรือไม่





    ผจญภัยกับหลวงปู่ฝั้น



    นอกจากนั้นท่านก็ได้ออกบำเพ็ญกรรมฐานตามป่าเพื่อแสวงหาความสงบวิเวกเป็นบางครั้ง บางโอกาส แต่โดยส่วนมากท่านชอบไปบำเพ็ญที่ภูวัวเพราะสถานที่แห่งนี้มีความเหมาะสมแก่ การเจริญสมณะธรรมมาก จึงเป็นที่สนใจของนักปฏิบัติทั้งหลาย ผู้แสวงหาความพ้นทุกข์ สำหรับหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่ใคร่ต่อการหลุดพ้น จึงได้บุกป่าฝ่าดง เผชิญกับสัตว์ร้ายนานาชนิด เพื่อบำเพ็ญสมณะธรรม เพราะในอดีตเมืองไทย เต็มไปด้วยสิงห์สาราสัตว์ การออกธุดงค์กรรมฐานในยุคนั้น จึงหนีไม่พ้นกับการผจญภัยกับสัตว์ร้ายต่างๆ บางครั้งท่านก็ได้ออกบำเพ็ญกรรมฐานองค์เดียว บางครั้งท่านก็ได้ไปกับหลวงปู่ฝั้น อาจาโร ในฐานะเป็นครูบาอาจารย์ที่ท่านให้ความเคารพนับ ถือมากองค์หนึ่ง และเป็นพระกรรมวาจาจารย์ของท่านอีกด้วย



    หลวงปู่ฝั้น กับหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ก็ได้เคยเผชิญ กับอันตรายร่วมกันมาหลายครั้งในการออกบำเพ็ญกรรมฐาน โดยเฉพาะที่ภูวัว ได้เคยมีเหตุการณ์บางอย่างที่น่าสนใจ โดยส่วนมากรู้สึกว่าจะนำมาเล่ากันผิดๆ พลาดๆ ไม่ค่อยตรงกับความเป็นจริง ไหนๆ จะเล่าเรื่องจริง จึงตัดสินใจเอามาเขียนให้ ท่านผู้อ่านได้ทราบความจริงและพิจารณา
    ครั้งหนึ่งหลวงปู่ฝั้น อาจาโร กับหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ออกบำเพ็ญร่วมกันที่ภูวัว หลวงปู่สมชายู ฐิตวิริโย ได้ไปกางกลดอยู่ใกล้โขดหินแห่งหนึ่ง เขาเรียกตรงสถานที่แห่งนั้นว่า หินก้อนน้ำอ้อย (หินค้างหิน) ที่ตรงนั้นเป็นทางผ่านของ สัตว์ร้ายมีช้างและเสือผ่านไปมาแทบทุกคืน นับว่าเอาชีวิตไปเสี่ยงกับภัยอันตรายเป็นอย่างยิ่ง เมื่อหลวงปู่ฝั้นได้ทราบเข้า จึงพูดปรารถกับหลวงปู่สมชายว่า "เมื่อคืนผมนอนไม่หลับ ผมเป็นห่วงครูบา"หลวงปู่สมชายจึงกราบเรียนถามหลวงปู่ฝั้นด้วย กริยาอันอ่อนน้อมและเคารพว่ามีเรื่องอะไรหรือครับผม"หลวงปู่ฝั้นตอบว่า "ก็ครูบาอยู่องค์เดียวและอยู่ตรงทางผ่านของมันด้วย" (หมายถึงทางผ่านของเสือและช้าง)



    หลวงปู่สมชายจึงกราบเรียนหลวงปู่ฝั้นว่า"ท่านอาจารย์ไม่ต้องเป็น ห่วงกระผมมากเกินไป เพราะกระผมได้อุทิศทุกอย่างแล้ว เพื่อปฏิบัติบูชาพระรัตนตรัย" หลวงปู่ฝั้นคัดค้านว่าไม่ได้ ๆ คืนนี้ผมจะไปภาวนาอยู่เป็นเพื่อนครูบา' พอถึงตอนเย็น หลวงปู่ฝั้นก็ได้เตรียมบริขารเพี่อจะไปอยู่เป็นเพื่อน หลวงปู่ สมชายจึงได้จัดที่พักของท่านซึ่งได้อยู่เป็นประจำนั้นถวาย หลวงปู่ฝั้น และได้ช่วยกางกลดถวายหลวงปู่เรียบร้อยแล้ว ท่านเองก็ได้ย้ายที่พักไปกางกลดอยู่คนละฟากคลอง ใน ระหว่างทางผ่านมีเหวลึกมาก ซึ่งไม่เหมาะแก่สัตว์ร้าย มีเสือ และช้าง ที่จะผ่านไปมาย่อมไม่สะดวก จึงแน่นอนที่สุดถ้าสัตว์ ร้ายมาจะต้องผ่านไปทางที่หลวงปู่ฝั้นพักอยู่



    ในคืนแรกที่หลวงปู่ฝั้นไปพักอยู่ด้วย ยังไม่ทันข้ามคืนเสียด้วย ช้างก็มาพอดี ช้างโขลงนั้นกะประมาณหลายสิบเชือก เท่าที่ผู้เขียนได้ฟังมาว่า คืนนั้นพอตกดึกเงียบสงัดฟังเสียงช้าง หลายสิบเชือกเดินมาในป่ารกชัฏ ประกอบพร้อมกับบางแห่ง เป็นลานหินบนภูเขา ฟังเสียงอยู่ไกลๆ จึงออกจะคล้ายกับเสียง ลมพายุพัดต้นไม้แรงๆ เสียงต้นไม้หักไม่ขาดระยะ และเสียงนั้น ก็คืบคลานใกล้เข้ามาๆๆ ทางด้านหลวงปู่ฝั้นทุกขณะ สำหรับผู้ ชำนาญป่าอย่างพระกรรมฐาน พอได้ยินเสียงดังนั้นก็ทราบได้ทันทีว่า เป็นเสียงโขลงช้างอย่างแน่นอน



    เมื่อหลวงปู่สมชายเห็นว่าสถานการณ์อันหฤโหดกำลัง จะเกิดทางด้านหลวงปู่ฝั้น ด้วยนิสัยที่เด็ดเดี่ยว และมีความเป็น ห่วงครูบาอาจารย์ ท่านจึงได้รีบออกจากมุ้งกลดข้ามคลองมา หาหลวงปู่ฝั้นทันที เพื่อรับสถานการณ์ร่วมกัน พอท่านมาถึงที อยู่ของหลวงปู่ฝั้น หลวงปู่สมชายก็ได้รีบกราบเรียนหลวงปู่ฝั้นทันทีว่า "ท่านอาจารย์จะทำอย่างไรดี มันจวนเข้ามาเต็มทีแล้ว'' หลวงปู่ฝั้นจึงตอบว่า "จะทำอย่างไรดีล่ะ ผมก็ไม่มีทาง แล้ว" หลวงปู่สมชายจึงได้รีบหาสถานที่เพี่อหลบภัยถวายหลวงปู่ฝั้น ในที่สุดก็ได้พบโขดหินโขดหนึ่ง ซึ่งเห็นว่าถ้าขึ้นไปอยู่บนนั้นได้ก็จะเป็นที่ปลอดภัย หลวงปู่สมชายจึงได้กราบเรียนให้หลวงปู่ฝั้นทราบ พร้อมกับท่านได้ขึ้นไปอยู่ข้างบนก้อนหิน แล้วยื่นมือลงมาให้หลวงปู่ฝั้นจับแล้วปีนป่ายขึ้นไปบนนั้น พอขึ้นไปถึงบนโขดหินแล้ว เห็นว่าอยู่ในเขตปลอดภัยพอสมควรแล้ว หลวงปู่ฝั้นจึงได้หยิบเอาหวอไม้ไผ่ในย่ามออกมาเป่า ว๊อก ก ก ว๊อก..ๆ..ๆ สองสามครั้ง พอสิ้นเสียงหวอที่หลวงปู่ฝั้นเป่า ในทันทีนั้นช้างทั้งโขลงก็แตกตื่นพากันวิ่งกลับไปด้วยความตกอกตกใจ เสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั้งป่า ครู่ต่อมา สถานการณ์ก็คืบคลานเข้าสู่สภาพปกติ



    และในคืนนั้นหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ก็ได้พักอยู่เป็นเพื่อนหลวงปู่ฝั้น อาจาโร จนรุ่งสว่างของวันใหม่ การออกธุดงค์กรรมฐานในครั้งนั้น หลวงปู่ฝั้นกับหลวงปู่สมชายก็พักบำเพ็ญอยู่หลายเดือน จนเห็นว่าพอสมควรแก่เวลาแล้ว จึงได้พากันกลับออกมา
     
  6. สันติภาพ999

    สันติภาพ999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    2,885
    ค่าพลัง:
    +2,229
    จำพรรษาที่วัดป่าอิสระธรรม



    เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๔ ก่อนที่จะเข้าพรรษาในปีนั้น หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ท่านก็ได้ลงมาจากภูวัว เพื่อแสวงหาสถานที่จำพรรษา ในปีนั้นก็ได้เข้าไปศึกษาธรรมะ และอาศัยจำพรรษากับ หลวงปู่สีลา อิสสโร วัดป่าอิสระธรรม จังหวัดสกลนคร ซึ่งเป็นลูกศิษย์ผู้ใหญ่ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถร อีกองค์หนึ่ง ที่มีข้อวัตรปฏิบัติอันน่าศึกษา เป็นแบบฉบับของพระกรรมฐานได้เป็นอย่างดี จนหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ได้ นำปฏิปทาของหลวงปู่สีลามาพูดยกย่องสรรเสริญถึงอยู่เสมอๆ



    ไข้ป่าเป็นเหตุ







    ในช่วงที่บำเพ็ญอยู่บนภูวัวนั้น หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ก็ได้ ประกอบความเพียรอย่างอุกฤษฏ์จวบกับจะมีอาการป่วยเป็นไข้ป่าอยู่บ้างแล้ว พอมาจำพรรษา ที่วัดป่าอิสระธรรม ท่านก็ได้ประกอบความเพียรเพิ่มขึ้นอีกตลอด ๓ เดือนไม่ได้เอนกายลงนอนจำวัดเลย ท่านได้ประกอบความเพียรอยู่ในอิริยาบถ ๓ คือ ยืน เดิน นั่ง ตลอดทั้งข้อวัตร กิจวัตร อาจาริยวัตร ทั้งหมดท่านก็ได้ทำอย่างสม่ำเสมอ โดยไม่มีขาดตกบกพร่องแม้แต่น้อย พอใกล้จะออกพรรษาในปีนั้น หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ก็ได้ล้มป่วยลงด้วยพิษของไข้ป่า หรือ ไข้มาลาเรียขึ้นสมองอย่างแรง ความต้านทานก็ไม่เพียงพอ เนื่องจากร่างกายไม่ค่อยได้พักผ่อน และไม่ได้เอนกายลงนอนจำวัดเลยตลอด ๓ เดือนเต็ม ในช่วง ๘ วันนี้จังหันก็ฉันไม่ได้อีก ฉันอะไรลงไปก็อาเจียนออกมาหมดเพราะ พิษไข้ขึ้นสูงมาก เป็นลักษณะนี้อยู่หลายวัน จนกระทั่งวันหนึ่งอาการรู้สึกว่าจะเพียบหนักกว่าทุกวัน ท่านจึงได้ยอมเอนกายลงนอนพัก ในขณะนั้นทุกขเวทนากำลังบีบคั้นอย่างรุนแรงมาก ทางด้านสังขารร่างกายนั้นรู้สึกว่ากระวนกระวายเป็นที่สุด ส่วนทางด้านจิตใจนั้นท่านก็พิจารณาจับดูอาการตามรู้อยู่เรื่อยไป จนที่สุดทางด้านจิตใจก็เริ่มกระวนกระวาย และก็กระวนกระวายมากเข้าทุกทีๆ จนไม่รู้ว่าจะเอาจิตใจไปวางไว้ตรงไหนดี ทั้งๆ ที่ท่านเองก็มีสมาธิอยู่ แต่เมี่อทุกขเวทนามากเข้าก็วางใจไม่ลงเอาเสียเลย เพราะ ทุกขเวทนามันมากกว่า มันทับเอาขนาดหนัก ในขณะที่กำลังกระวนกระวายอยู่นั้น ก็มีความรู้สึกว่า ความรู้สึกต่างๆ มาจับอยู่ที่ท้องมากที่สุด มากกว่าทุกส่วนของร่างกาย หลวงปู่สมชาย ท่านบอกว่ามีความรู้สึกคล้ายๆ กับมีก้อนหินขนาด ใหญ่มาวางทับอยู่บนท้อง รู้สึกว่าท้องค่อยๆ ยุบลงๆ ๆ จน กระทั่งรู้สึกว่าหายใจออกบ้าง ไม่ออกบ้าง คล้ายกับว่าไส้ข้างในท้องนั้นมันบิดตัว และลมในท้องก็ค่อยๆ อัดขึ้นมาๆ อัดขึ้นมาจุกอยู่ที่ตรงคอหอย ความเจ็บความปวดวิ่งไปทั่วสรรพางค์กายอย่างไม่มีอะไรมาเทียบเลย ทุกข์ทรมานเป็นที่สุด อาการ เป็นอยู่อย่างนี้สักครู่ใหญ่จึงมีความรู้สึกว่ากำลังจะสะอึกแล้วก็ สะอึก ... อึ๊ก ... โล่งไปหมดทั้งตัว ...เบาสบาย...



    แล้วก็มีความรู้สึกว่าทุกขเวทนาทั้งหลายที่ม อยู่นั้นหลุดหายไปหมดแล้ว ...เอ๊ะ... นี่เราหายป่วยได้อย่างไร แล้วก็ลุกขึ้นมานั่งได้ทันที ท่านจึงแปลกใจในตัวของท่านเองว่า " เอ๊ ราป่วยมาเป็นเวลาหลายวันแล้ว เมื่อสักคูร่นี้เราก็ยังป่วยอยู่นี่นา เรากำลังมีทุกขเวทนาครอบงำอยู่ กำลัง กระวนกระวายอูย่ แต่ทำไมเราสะอึกแค่ทีเดียว ทุกขเวทนาต่าง ๆ เหล่านั้นจึงหายไปได้อย่างไร เราเองป่วยมาตั้ง ๘ วัน ๘ คืนแล้ว อาทารก็ฉันไม่ได้เลย แต่พอจะหายทำไมมันช่างง่ายนัก แค่สะอึกทีเดียวก็หายได้





    ไปเยี่ยมเณรหน่อย



    ในเวลาขณะนั้นประมาณ ๑ ทุ่มเศษ หลังจากที่ท่านรู้กว่าตัวของท่านได้หายป่วยอย่างประหลาดแล้ว ก็เลยนึกถึงสามเณรที่กำลังป่วยหนักอยู่อีกองค์หนึ่ง ซึ่งติดไข้ป่ามาจากภูวัวด้วยกันกับท่าน และเมื่อตอนเย็น จะมืดนี่ก็ได้มีพระมาบอกว่าสามเณรป่วยมาก พอท่านนึกขึ้นมา ได้ดังนั้นก็ตั้งใจว่าจะไปเยี่ยมดูอาการไข้ของสามเณร แต่ทันใด นั้นท่านก็มีความรู้สึกว่ายังไม่ทันได้ก้าวขาเลย แต่จะไปด้วยเหตุใดไม่ทราบ ปรากฏว่ามาถึงสามเณรทันที และมองเห็นสามเณรนอนหลับเป็นปกติ แต่ก็นึกว่าสามเณรคงยังตัวร้อนอยู่ จึงอยากจะเอามือไปแตะดูอาการ พอก้มตัวลงไปแล้วก็คิดได้ว่าถ้า ถูกตัวแล้วสามเณรตื่นขึ้นก็จะทำให้ไม่สบายอีก จึงได้หยุดการกระทำดังกล่าวลง และพรางคิดว่ากลับกุฏิแล้วพรุ่งนี้ตอนกลางวันจึงค่อยมาเยี่ยมใหม่ ต่อจากนั้นท่านก็เลยนึกถึงเรื่องกฐินว่าทำกันอย่างไร พอไปถึงศาลา ก็นึกได้ว่าเวลานี้เป็นตอนกลางคืน แต่เราทำไมจึงสามารถมองเห็นอะไรต่างๆ ได้อย่างชัดเจน ชัดเจนจนรู้ว่ากองกฐินนั้นมีอะไรบ้าง โดยที่ไม่ต้องใช้ไฟ พอหันไปมองอีกด้านหนึ่งของศาลา ก็ได้เห็นหลวงปู่สีลา อิสสโร กำลัง ประชุมพระเณรและได้ยินพูดพาดพิงมาถึงตัวของท่านเอง ในลักษณะยกย่องว่า "...ครูบาสมชายนี่เป็นผู้ที่ทำจริง เอาจริงมีความพยายามสูงมาก ถ้าท่านไม่ตายเสียก่อน ท่านคงได้ คุณธรรมชั้นสูงอย่างแน่นอน และคงจะได้เป็นกำลังพระศาสนาที่สำคัญองค์หนึ่ง แต่น่าเสียดายเหลือเกินว่าเวลานี้ท่านกำลังป่วยหนัก ใกล้จะตายเอาเสียด้วยเพราะพิษไข้ป่า ขึ้นแรงสูงมาก นอกจากท่านจะป่วยแล้วก็ยังมีความ พยายามประกอบความเพียรไม่หลับไม่นอนเอาเสียเลย เมื่อวันก่อนท่านยังสั่งไว้อีกว่าไม่ต้องเป็นห่วงท่าน ขอเพียงแต่พระเณรเอาน้ำใส่กาไปตั้งไว้ที่หน้ากุฏิก็พอ ถ้าท่านตายก็ให้ฝังเลย ไม่ต้องเผา ดูซิ ท่านไม่ต้องการให้เป็นภาระของสงฆ์เสียอีก หรือตายแล้วก็ไม่รู้..."



    ในขณะที่ยืนฟังอยู่นั้นก็หวนคิดขึ้นมาได้ว่า ...การที่มา ยืนฟังครูบาอาจารย์พูดคุยกันโดยที่ตัวเองไม่ได้อยู่ในหัตถบาทด้วยนั้นเป็นอาบัติทุกกฎ และเสียมารยาทด้วย ถ้ามีใครผ่านมาเห็นเข้าจะหาว่าเรามาแอบฟังเรื่องราวต่างๆ ซึ่งเป็นทั้งอาบัติ และเสียมารยาท ก็รู้สึกไม่สบายใจ... ท่านจึงได้รีบออกจาก สถานที่แห่งนั้นทันที พอเดินลงมาถึงลานวัด ก็มาเจอกับสุนัขตัวหนึ่งเข้าโดยบังเอิญ





    หมาเห็นผีจริงไหม



    ในขณะที่หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย เดินลงมาจากศาลาจะกลับกุฏินั้น ก็เจอกับหมาตัวหนึ่งเข้า จึงอยากจะเดินไปเล่นกับมัน เพราะว่าเป็นหมาที่ท่านเลี้ยงไว้เอง และเป็นหมาที่เชื่องมาก และเคยเป็นเครื่องมือของท่าน คือ ท่านได้ทดลองสะกดจิต ฝึกแบบจิตวิทยากับหมาตัวนี้ทุกวัน ตามปกติแล้วหมาตัวนี้ เมื่อเห็นท่านจะต้องวิ่งเข้ามาหาทันที มักชอบติดตามไปไหนมาไหนด้วยเสมอๆ แต่วันนี้ทำไมมันจึงเป็นอย่างนี้ พอเห็นปุ๊บก็วิ่งหนีทันที ทำท่าหยุดๆ มองๆ ท่านเดินตามไปก็วิ่งหนีต่อไปอีก แล้วก็วิ่งหนีหายไปทางไหนไม่รู้เลย ท่านจึงคิดว่า ..เอ๊?.. หมาตัวนี้มันเห็นผีหรือเปล่าหนอ น่าสงสัย จริงๆ ? ..





    ไหนตัวเรากันแน่



    หลังจากครุ่นคิดอยู่กับหมาแล้วก็ได้เดินทางกลับกุฏิ พอเปิด ประตูกุฏิเข้าไปก็ยิ่งแปลกประหลาดกับสิ่งที่ได้พบเห็นต่อหน้าต่อตานั้นว่าอะไรกันแน่ ร่างที่นอนอ้าปากตาเหลือกอยู่บนเตียงนั่นก็ตัวเรา ที่ยืนมองอยู่นี้ก็ตัวเราอีก จึงแปลกใจมากว่า .. เอ๊ .. เกิดอะไรขึ้นนะนี่?.. ทำไมเราจึงเป็นสองคนได้ ที่ยืนอยู่นี่ก็เรา ที่นอนอ้าปากตาเหลีอกอยู่บนเตียงนั่นก็เราอีก มันอะไรกันแน่ และท่านยังคิดไปอีกว่า นี่ หรือที่ว่าผลของสมาธิสามารถจะทำคนคนเดียวให้เป็นสองคนได้



    ขณะที่ท่านกำลังไตร่ตรองคิดอยู่นั้น ก็ได้มีชายใส่ชุดสีขาวเข้ามาหาท่าน ๒ คน พร้อมกับพูดขึ้นว่า "..ผมมาพาท่านไปเที่ยวบ้าน.." หลวงปู่จึงถามเขาว่า "..บ้านที่ร้อยเอ็ดหรือ (บ้านเกิด). " เขาตอบว่า ". ไม่ใช่.." หลวงปู่จึงถามเขาต่อไป อีกว่า "..ยังไปไม่ได้หรอก เพราะกำลังสงสัยอยู่ว่านี่มันอะไรกันแน่ นั่นก็ตัวเรา ที่ยืนอยู่นี่ก็ตัวเรา ถ้าพรุ่งนี้ครูบาอาจารย์ถามจะตอบไม่ถูก.." ชาย ๒ คนนั้นตอบว่า "..ไม่เป็นไรถ้าท่านไปกับข้าพเจ้าแล้วจะสิ้นสงสัยเอง.."หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ได้ย้อนถามเขาถึง ๒ ครั้ง เขาก็ตอบยืนยันว่าจะสิ้น สงสัยจริงถึง ๒ ครั้งเช่นกัน ...ถ้าอย่างนั้นก็ตกลง .. ไป .. พอตอบว่าตกลงเท่านั้นเอง ก็ปรากฏว่ามีความรู้สึกคล้ายๆ กับว่าลอยตามเขาไปทันที และปรากฏว่าลอยออกไปทางทิศตะวันออกของกุฏิ ลอดกิ่งต้นกะบกออกไป หลวงปู่ได้ถามเขาอีกครั้งหนึ่งว่า ..จะพาไปที่ไหน..่' เขาชี้มือให้ดู มองเห็นคล้ายๆ กับ มีดวงดาวดวงหนึ่งลอยอยู่ข้างหน้าและกำลังจะตรงเข้าไปนั่นเอง



    ตามความรู้สึกของหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ท่านเล่าให้ฟังว่า ท่านสังเกตดูแล้วดวงดาวที่จะไปนั้น มีลักษณะคล้ายกับดาวเพชร และก็ปรากฏว่าพุ่ง .... วูบ ... เข้าไปสู่ดาวดวงนั้นทันที
     
  7. สันติภาพ999

    สันติภาพ999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    2,885
    ค่าพลัง:
    +2,229
    โลกทิพย์



    พอเข้าไปถึงสถานที่แห่งใหม่นี้แล้ว หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ท่านเล่าว่า มีความรู้สึกคล้าย ๆ กับโลกมนุษย์ของเรานี่เอง แปลกแต่ว่ามีต้นไม้เป็นระเบียบและสูงมาก กิ่งก้านสาขาเข้าประสานถึงกันหมด พอมองขึ้นไปข้างบน เหลืองอร่ามเหมือนสีทอง ส่วนข้าง ล่างที่พื้นเหยียบเหมือนมีหญ้าแห้วหมูปกคลุมทั่วไปหมดหรือคล้ายๆ กับปูลาดไปด้วยพรม คลุมไปหมดมองไม่เห็นพื้นดินเลยว่าเป็นอย่างไรเหยียบไปตรงไหนก็นุ่มนิ่มไปหมด ถึงตอนนี้หลวงปู่บอกว่า จิตใจนี่เปลี่ยนไปหมด หน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว จิตใจอ่อนโยนอย่างบอกไม่ถูก ถ้าใครไปเจอแล้วจะรู้เอง ว่าจิตใจมันเปลี่ยนอย่างไร เพราะว่าบางอย่างไม่สามารถเล่าให้ถูกต้องได้ อุปมาข้อนี้เหมือนกับรสชาติของผลไม้ ผู้ที่ยังไม่เคยชิมดู ถึงแม้ว่าใครจะพรรณนาเรื่องรสชาติให้ฟังเท่าไรก็ไม่สิ้นสงสัย นอกจากจะทดลองรับประทานด้วยตนเองถึงไม่ต้องพรรณนาก็สามารถรู้ได้เองฉันใด เรื่องนี้ก็เหมือนกันฉันนั้น เมื่อเรายังไม่ถึงก็ไม่รู้ว่าจิตใจเปลี่ยนแปลงอย่างไร บอกไม่ถูก แต่ถ้าถึงแล้วไม่ต้องมีใครบอกก็สิ้นสงสัยเอง และอีกอย่างหนึ่งท่านบอกว่า พอก้าวเท้าเข้าไปถึงเท่านั้น ก็ได้ยินเสียงขับกล่อมอยู่ตลอดเวลา คล้าย ๆ กับเสียงดนตรี ทำให้จิตใจเยือกเย็นและอ่อนโยนเป็นลำดับ แต่ไม่รู้ว่าต้นเสียงนั้นอยู่ที่ไหน และแล้วเขาก็พาท่านไปจนถึงบ้านหลังหนึ่ง แล้วเขาก็บอกว่า "นี่แหละบ้านของท่าน ที่เราว่าจะพาท่านมา"



    หลังจากนั้นเขาก็พาเข้าไปในบ้าน ท่านจึงได้เอ่ยถามเขาว่า "ใครเป็นผู้มาสร้างไว้ให้" เขาตอบว่า "ที่เราอยู่เวลานี้คือ' ... โลกทิพย์...่ ของทั้งหมดไม่ต้องมีไครสร้าง เกิดขึ้นเอง เป็นเอง ด้วยอานิสงส์ของความดีที่ทำไว้ในโลกมนุษย์" พอเขาพูดเพียงแค่นั้น หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ท่านจึงได้รู้ทันทีว่า "ถ้าอย่างนั้นเราก็ตายแล้วนะซี ถ้าตายอย่างนี้จะไปกลัวตายทำไม ไม่เห็นจะน่ากลัวตรงไหนเลย" และได้ ถามเขาอีกว่า "บ้านหลังนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร"





    อานิสงส์สวดพระปาฏิโมกข์



    เขาอธิบายให้ฟังว่า "สมัยหนึ่งเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๙ ท่านได้จำพรรษาอยู่กับหลวงปู่ฝั้น อาจาโร ที่วัดป่าภูธรพิทักษ์ จังหวัดสกลนคร ในปีนั้นท่านได้ตั้งใจสวดปาฏิโมกข์ สวดได้ดีมาก และน้อมใจขึ้นสวดจริง ๆ จึงได้บังเกิดปราสาทหลังนี้ขึ้นเป็นอานิสงส์ตอบสนอง" พอท่านได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกซาบซึ้งใจมาก ทั้งดีใจ และเสียใจ ระคนกัน ซึ่งแต่ก่อนนึก ว่าครูบาอาจารย์หานโยบายให้ลูกศิษย์มีความขยันท่องปาฏิโมกข์ แต่พอมาเจอเข้าอย่างนี้ จึงรู้ว่าเป็นเรื่องจริง พอมองออกไปข้างนอก ด้านทิศตะวันออกของปราสาทก็มองเห็นสวน มะม่วงสวยงามขึ้นเป็นระเบียบเรียบร้อยดีร่มรื่นและมีลานหญ้ามีน้ำตกไหลซู่ซ่าน่าสดชื่นจริงๆ มีที่นั่งที่นอนสำหรับพักผ่อนหย่อนใจ มองดูแล้วรู้สึกว่าเป็นสถานที่น่ารื่นรมย์เป็นอย่างยิ่ง และเป็นสิ่งที่ทำให้เพลิดเพลินจำเริญใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้อีกแล้ว หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย จึงเอ่ยถามขึ้นอีกว่า "สวนมะม่วงแห่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร" เขาตอบว่า "เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๙ คือในปีเดียวกันนั่นเอง ท่านได้ไปบิณฑบาตที่บ้านธาตุนาเวง ซึ่งเป็นทางสายบิณฑบาตที่ไกลกว่าทุกสายและลำบากมาก ต้องข้ามน้ำข้ามคลอง บางแห่งก็ต้องเดินลุยขี้โคลนไป ผ้าสบงจีวรต้องเปียกเลอะเทอะแทบทุกวัน จน ไม่มีพระเณรองค์ไหนอยากจะไป เมื่อไม่มีใครไป ท่านจึงไปแต่เพียงผู้เดียวตลอดพรรษา และมีอยู่วันหนึ่ง ได้มีชาวบ้านถวายมะม่วงอกร่องใส่บาตรมาหลายลูก พอท่านเดิน กลับจากบิณฑบาตก็มีความตั้งใจว่าถ้ากลับถึงวัดแล้วก็จะเอามะม่วงที่บิณฑบาตได้มานี้ถวายครูบาอาจารย์ให้หมดทุกองค์ เพราะว่าเป็นอาหารที่ประณีตดี พอกลับมาถึงวัดแล้ว ท่านก็ได้น้อมใจที่เต็มไปด้วยบุญกุศล เอามะม่วงใส่บาตรถวายครูบาอาจารย์จนหมดเกลี้ยง โดยที่ตนเองไม่ได้เก็บไว้ฉันเองเลย ซึ่งในครั้งนั้นเป็นการตั้งใจและน้อมใจทำบุญอย่างจริงๆ ผลของอานิสงส์นั้น จึงบังเกิดเป็นสวนมะม่วง และสถานที่แห่งนี้ขึ้นตอบสนอง"



    หลังจากนั้นเขาก็เล่าอะไรต่ออะไรให้ฟังอีกเป็นลำดับ ว่าของแต่ละอย่างเกิดขึ้นได้อย่างไร อยู่ที่ไหน ตลอดถึงครูบา อาจารย์ของเขา ที่นำพาประกอบบุญกุศลตั้งแต่ครั้งสมัยที่เขา ยังอยู่ในโลกมนุษย์ เขาได้นำหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย เที่ยวชม สถานที่ต่างๆ อยู่บนโลกทิพย์นั้น หลวงปู่ท่านก็เกิดความเสียใจ มากว่า "อานิสงส์ของท่านทำไมมันช่างน้อยนัก ท่านเคย สร้างโบสถ์ และวิหารก็หลายหลัง ให้ทานการบริจาคด้านอื่นๆ ก็มีจำนวนมากมาย ทำไมไม่เห็นมีอานิสงส์เลย เหตุ ใดจึงมีเพียงสองอย่างเท่านั้น" จึงได้ถามเทพเจ้าเหล่านั้นต่อ ไปอีก และเขาก็ตอบว่า "นั่นท่านสักแต่ว่าทำ โดยที่ไม่มีจิตใจ น้อมลงเพื่อบุญกุศล ทำมากเท่าไรก็ไม่มีอานิสงส์ ถึงมีบ้าง ก็ยากเต็มที เหมือนโยนเข็มลงมหาสมุทร แต่ว่าอานิสงส์ ทั้งสองอย่างที่ท่านประจักษ์อยู่นี้ ท่านได้ทำด้วยใจน้อมลง เพื่อบุญกุศลจริง ๆจึงบังเกิดขึ้นเป็นอานิสงส์ดังนี้สองอย่าง"



    หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ท่านได้เล่าให้ฟังอีกว่า อานิสงส์ของท่านนั้นถ้าเปรียบกับของคนอื่นที่ได้เห็นมาแล้วนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่มีวาสนาบารมีกันมากทั้งนั้น เพราะมีสิ่ง ประดับบารมีที่วิจิตรพิสดารมากมายกว่าของท่านเหลือเกิน ถ้า เปรียบแล้วท่านบอกว่า "ของท่านนั้นเปรียบเหมือนเทพเจ้า ระดับชาวบ้านธรรมดา หรือระดับขอทานเท่านั้น" "ส่วน ของเทพเจ้าองค์อื่น ๆนั้นเปรียบเหมือนเทพเจ้าระดับเศรษฐี หรือพระราชาทีเดียว" ท่านจึงเกิดความเสียใจ และคิดอยาก กลับมาสร้างบารมีใหม่ เพื่อเป็นการแก้ตัวอีกสักครั้ง





    ขอกลับมาสร้างบารมีต่อ



    หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ท่านจึงได้อธิษฐานไว้ในใจว่า "ถ้า ข้าพเจ้ามีบุญบารมีเหมือนอย่างที่หลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถร ได้เคยปรารภมาแล้ว ก็ขอให้บรรดาเทพเจ้าเหล่านี้จงได้ยินยอมตามที่ข้าพเจ้าจะขอต่อไปด้วยเถิด" แต่ถ้าหากว่า ไม่มีบุญบารมีซึ่งจะสร้างความดีและบารมี หรือพอที่จะทำ ประโยชน์ให้กับพระพุทธศาสนาได้แล้ว ก็ขอให้เทพเจ้า เหล่านี้อย่าได้ยินยอมตามที่ข้าพเจ้าขอเลย" ท่านอธิษฐานเสร็จก็ได้หันหน้า ประนมมือไปทางเทพเจ้าเหล่านั้น แล้วกล่าวว่า "พวกท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าเกิดมาในชาตินี้ เกิดในพาเหียรลัทธิ คือลัทธินอกพระพุทธศาสนา ซึ่งสอนว่าตายแล้วสูญ ข้าพเจ้าจึงเสียใจมาก ถ้าข้าพเจ้ารู้อย่างนี้ตั้งแต่ทีแรก ข้าพเจ้าจะสร้างความดีให้เต็มที่ ฉะนั้นจึงขอให้กลับลงไปสร้างบารมีโพธิสมภาร เพื่อเป็นการแก้ตัวอีกสักครั้งหนึ่งเถิด" พอท่านได้กล่าวจบลงเท่านั้น เทพเจ้าทั้งหมดก็ได้ยกมือขึ้นพร้อมกับกล่าวคำว่า "สาธุ" พร้อมกัน ด้วยเสียงอันดัง กระหึ่มไปหมด เทพเจ้าทั้งหลายเหล่านั้นก็ยังได้สั่งอีกว่า "ท่าน จะกลับลงไปได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อท่านกลับลงไป แล้วจงพยายามสร้างความดีให้เต็มที่ เพราะเวลามีจำกัดเท่านั้น"
    เทพเจ้าเหล่านั้นก็ยังได้ชี้ให้หลวงปู่ดูดาวต่างๆ พร้อมกับอธิบายให้ฟังอีกว่า "ดูซิสถานที่ ที่มนุษย์และสัตว์จะต้องเวียนว่ายตายเกิดนั้นมีมากมาย ดังที่เรามองเห็นอยู่บนท้องฟ้า ดวงดาวแต่ละดวงทั้งหมดที่มีอยู่จำนวนถึง "..แสน โกฏิดวง " "หรือแสนโกฏิจักรวาล" แต่ละดวงก็เป็นแต่ละจักรวาล แต่ละจักรวาลนั้นถ้าว่าโดยส่วนใหญ่แล้ว แยกออกเป็นสองประเภท คือประเภทที่มีแสงสว่างในตัวเองและประเภทที่ไม่มีแสงสว่างในตัวเอง"

    เราจะสังเกตได้ดังนี้ ถ้าดวงใดมีแสงกะพริบ ...วาบ ..วาบ... และมีแสงวิ่งรอบตัวนั้นเป็นจักรวาลของดวงอาทิตย์ สำหรับไห้แสงสว่างและความอบอุ่นแกโลกอื่น ซึ่งเป็นจักรวาลที่ไม่มี สิ่งที่มีชีวิตอยู่ ถ้าดวงใดมีลักษณะนิ่งๆ ไม่มีการกะพริบตัว ดาวดวงนั้นมีวิญญาณของมนุษย์และสัตว์อยู่ เป็นจักรวาล ที่มีสิ่งที่มีชีวิตอยู่ แต่ว่ายังแยกออกเป็นสามประเภท คือประเภทที่หนึ่งเต็มไปด้วยความทุกข์ เช่น "..นรก.." เป็นต้นประเภทที่สอง เป็นจักรวาลที่เต็มไปด้วยความสุข เช่น "..โลกทิพย์หรือ สวรรค์.."ประเภทที่สาม เป็นจักรวาลที่มีทั้งสุขและทุกข์ปะปนกันอยู่เดี๋ยวร้องไห้ เดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวสมหวังเดี๋ยวผิดหวังวันนี้มีความสุขความเจริญ แต่พรุ่งนี้อาจจะได้รับความทุกข์ได้รับความเดือดร้อน หรือวันนี้อาจจะแย่เต็มที แต่วันพรุ่งนี้อาจจะดี จนเด่น อะไรทำนองนี้ประเภทดังกล่าวมานี้ได้แก่ "..โลกมนุษย์.." และ "..พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์จะต้องมาเกิดในโลกมนุษย์นี้ เพราะโลก มนุษย์มีสิ่งเปรียบเทียบทั้งทางดีและทางชั่วมีทั้งสุขมีทั้งทุกข์ปะปนกันอยู่ "ส่วนนรกและสวรรค์นั้นไม่มีสิ่งเปรียบเทียบเช่น เมืองนรกนั้นก็มีแต่ทุกข์อย่างเดียวส่วนเมืองสวรรค์นั้นก็มีแต่สุขอย่างเดียว



    ภายหลังจากที่ท่านได้หายจากการป่วย ได้ผ่านพ้นเหตุการณ์ในครั้งนั้นแล้ว ท่านก็ยังได้อยู่ประพฤติปฏิบัติกับหลวงปู่สีลา อิสสโร ต่อมาอีก เพราะว่าหลวงปู่สีลา อิสสโร นั้น มีข้อวัตรปฏิบัติเป็นที่น่าเลื่อมใสน่าเคารพกราบไหว้สักการบูชาเป็นอย่างยิ่ง เป็นครูบาอาจารย์ที่หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ให้ความเคารพรองลงมาจากหลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถร เมื่อหลวงปู่สีลา อิสสโร ไม่สะดวกเรื่องอะไร หรือมีความประสงค์สิ่งใดแล้ว ถ้าสิ่งนั้นไม่เหลือวิสัย หลวงปู่สมชายู ฐิตวิริโย ท่านจะต้องจัดการสนองเจตนาทุกครั้งไป



    มีอยู่คราวหนึ่งซึ่งเป็นฤดูหนาว ในปีนั้นจังหวัดสกลนครมีความหนาวเย็นมากกว่าทุกปี หลวงปู่สีลา อิสสโร ได้ ปรารภขึ้นมาว่า " ปีนี้บ้านเราอากาศหนาวมาก ถ้าไม่มีโรง ไฟบรรเทาความหนาวผมคงจะแย่.. เมื่อทราบความ ประสงค์ของครูบาอาจารย์แล้ว หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ก็ได้ ชักชวนหลวงปู่หาญ ชุตินธโร และพระภิกษุสามเณรอีกหลาย องค์ช่วยกันก่อสร้างโรงไฟเพื่อถวายครูบาอาจารย์ทันที มีอยู่ วันหนึ่งหลวงปู่สมชายได้ขึ้นไปตีตะปูเพี่อจะมุงหลังคาโรงไฟนั้น จะด้วยเหตุใดไม่ทราบได้ไม้อันที่ท่านเหยียบอยู่บนนั้นได้หลุดออก จากกันโดยบังเอิญ จึงเป็นเหตุให้ท่านพลัดตกลงมาจากหลังคาโรงไฟทันที ร่างหล่นลงมากระแทกกับกองไม้ซึ่งกองระเกะระกะอยู่ข้างล่างนั้นเต็มที่ ถึงขนาดสลบหมดสติไป ขาข้างหนึ่ง กระดูกหลุดหมุนได้รอบ พระเณรที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดเมื่อหายจากการตกตะลึงแล้ว ก็ได้ช่วยกันหามหลวงปู่สมชายออกมาทำการปฐมพยาบาลจนรู้สึกตัว
     
  8. สันติภาพ999

    สันติภาพ999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    2,885
    ค่าพลัง:
    +2,229
    วันหนึ่งหลวงปู่หาญ ได้หามหลวงปู่สมชายขึ้นย่างบนเตียงเหมือนอย่างทุกวันที่เคยทำมาแล้ว หลวงปู่หาญก็ได้ออกไปช่วยพระเณรก่อสร้างโรงไฟต่อ เนื่องจากใบยาสมุนไพรนั้น ได้ถูกย่างมาหลายวันแล้วก็แห้งกรอบ พอถูกไฟในวันนี้เข้าก็เลยกลายเป็นเชื้อไฟอย่างดี ไฟที่หลวงปู่หาญได้ก่อไว้ใต้เตียงนั้นก็ได้ลุกไหม้ใบยาสมุนไพร และลุกไหม้เสื่อไหม้เตียงที่หลวง ปู่สมชายนอนย่างอยู่นั้น จนกระทั่งความร้อนถึงตัว จะลุกขึ้นหนีก็ลุกไม่ได้ เพราะขาที่หลุดยังไม่เข้าที่ ร้องเรียกพระเณรก็ไม่มีใครได้ยิน เพราะกำลังทำงานกัน ไฟก็ ลุกไหม้แรงขึ้นๆ จนร้อน ระบมไปทั่วแผ่นหลัง จึงได้ตัดสินใจดิ้นจนตกลงมาจากเตียง ความสูงของเตียงจากพื้นดินก็สูงพอสมควร คนที่กำลังเจ็บอยู่ แล้วก็ต้องมาเจ็บซ้ำเป็นรอบที่สองอีก จนกระทั่งพระเณรที่ทำงานอยู่ได้เวลาพัก หลวงปู่หาญจึงได้เดินมาดู ก็ได้เห็นไฟไหม้เตียงเรียบร้อยไปแล้ว ภายหลังจากรักษาพยาบาลหายเป็นปกติดีแล้ว ก็ยังได้บำเพ็ญศึกษาปฏิปทาข้อวัตรปฏิบัติต่อมาอีกนานพอสมควร แล้วจึงได้กราบลาเพื่อออกหาสถานที่ปฏิบัติธรรมแห่งใหม่ต่อไป และในครั้งนั้นหลวงปู่สีลา อิสสโร จึงแนะนำให้ไปพักบำเพ็ญที่ วัดบ้านกุดเรือ อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโยก็ได้ปฏิบัติตามที่ครูบาอาจารย์ แนะนำ ได้พักปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดบ้านกุดเรือนานพอสมควรแก่เวลาแล้วจึงได้กราบลา หลวงปู่สีลา อิสสโร ออกเดินทางมุ่งหน้าตรงไปยัง อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย ที่สุดได้ เข้าไปพักบำเพ็ญอยู่ที่วัดพระงามศรีมงคล ซึ่งมีท่านพระอาจารย์อ่อนสี สุเมโธ เป็นเจ้าอาวาส เป็นวัดเก่าที่หลวงปู่มั่นภูริทัตตเถร เป็นผู้สร้างไว้ ตลอดระยะเวลาการบำเพ็ญก็เป็นไปได้ดี มากพอสมควรต่อจากนั้นก็ได้ออกเดินทางมุ่งไปทางจังหวัดมุกดาหาร เพี่อแสวงหาสถานที่บำเพ็ญแห่งใหม่ต่อไป





    จำพรรษาที่ถ้ำเป็ด



    ปี พ.ศ. ๒๕๐๒ ภายหลังที่ได้ลงมาจากภูวัวแล้ว หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ก็ได้นำพาหมู่คณะพระเณรทั้งหมดออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังจังหวัดสกลนคร ตั้งใจว่าจะไปจำพรรษาที่ ถ้ำเป็ด ภูเหล็ก ตำบลส่องดาว อำเภอส่องดาว จังหวัดสกลนคร ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับ วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม ของ ท่านพระอาจารย์วัน อุตตโม ถ้ำเป็ดเป็นสถานที่สงบสงัดวิเวก น่าบำเพ็ญอีกแห่งหนึ่ง ครูบา อาจารย์ฝ่ายกรรมฐานจึงมักไปบำเพ็ญหาความสงบกันเป็นประจำไม่ค่อยขาดระยะ ในระหว่างพรรษานี้ก็ได้ตั้งใจปฏิบัติกันเต็มที่ทุกองค์ ส่วนหลวงปู่สมชายนั้นท่านต้องมีภาระในการ อบรมสั่งสอนประชาชนในวันธัมมัสสวนะอีกด้วย ญาติโยมชาวบ้านใกล้ๆ นั้นก็ได้มาให้การอุปถัมภ์อุปัฏฐากอย่างดี มีบ้านหนองม่วง และบ้านหนองแวง เป็นต้น ผู้ที่เป็นกำลังสำคัญในเขตนี้ก็มี กำนันทอน ผู้ใหญ่จารย์ดี พ่อออกคล้าย พ่อออกคิ้ว แม่ออกเขียน และคุณไสว ศิริบุศย์ เป็นต้น ชาวบ้านส่วนใหญ่มีความเคารพนับถือหลวงปู่สมชายมาก ในระหว่าง พรรษาปีนี้ก็ได้ทราบข่าวว่า หลวงปู่สีลา เทวมิตโต แห่งวัดโชติการาม บ้านหนองบัว ซึ่งอยู่ห่างถ้ำเป็ดประมาณ ๖-๗ กม. ได้อาพาธ หลวงปู่ก็ได้นำพาพระเณรไปเยี่ยมไข้หลายครั้ง บางครั้งก็ได้ปฏิบัติดูแลท่าน เพราะว่าหลวงปู่สีลา เทวมิตโต นั้นก็เป็นพระเถระผู้ใหญ่ที่มีลูกศิษย์เคารพนับถีอมากมาย มีชื่อเสียงโด่งดังในเขตนั้นอีกองค์หนึ่ง ลูกศิษย์ลูกหาทุกฝ่ายก็พยายามช่วยกันรักษาพยาบาล เพื่อต้องการให้ท่านมีชีวิตสืบต่อไปอีก ถึงแม้ว่าจะพยายามกันขนาดไหนก็แล้วแต่ อาการของหลวงปู่สีลา มีแต่ทรุดลงทุกวัน และท่านก็ได้ มรณภาพในระหว่างพรรษาปีนั้น เมื่อหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ทราบข่าวการมรณภาพของหลวงปู่สีลา เทวมิตโต แล้วก็ตั้งใจ ว่าจะไปร่วมงานศพของครูบาอาจารย์ แต่การไปร่วมงานศพ ครูบาอาจารย์นั้นจะไปแต่ตัวหรือไปแบบมือเปล่าๆ นั้น ก็ออกจะดูน่าเกลียดไป จึงได้เรียกญาติโยมมาปรึกษา ถึงการจะไปงานศพครูบาอาจารย์ในครั้งนี้ ถ้าได้หน่อไม้ไปร่วมในงานนี้บ้างก็จะเป็นการดี จะได้ประกอบอาหารเลี้ยงแขกคนที่มาร่วมในงาน จึงขอให้ญาติโยมพากันขึ้นไปบนเขาหาเก็บหน่อไม้ให้สัก ๒-๓ กระสอบ เพื่อจะได้นำไปร่วมใน งานครั้งนี้ บรรดาญาติโยมทั้งหมดเมื่อทราบจุดประสงค์ของหลวงปู่สมชายแล้วก็ได้จัดหามีด หากระสอบ รีบออกเดินทางขึ้นไปบนเขาเพื่อหาหน่อไม้ทันที ญาติโยมทั้งหมดได้เดินทางไป หาหน่อไม้ ตั้งแต่เช้าจนเที่ยงกว่าแล้ว ก็ยังไม่ปรากฏว่าจะได้หน่อไม้แต่อย่างไร เพราะเนื่องจากในช่วงนั้นใกล้ออกพรรษาแล้ว หน่อไม้ที่เคยมีอยู่ก็ถูกชาวบ้านขึ้นไปหามาประกอบ อาหารกันทุกวัน ที่พอจะมีหลงเหลืออยู่บ้างก็เป็นลำต้นสูงๆ ไปหมดแล้ว และบ้างก็เพิ่งจะปริ่มดินขึ้นมาอยู่ในกลางกอ สรุปแล้วก็คือจะหาหน่อไม้ไปร่วมในงานจำนวนมากๆ เช่นนี้นั้นคงไม่มีทาง คณะชาวบ้านที่ได้ขึ้นไปหาหน่อไม้เดินวนเวียนกัน จนหมดแรงไปตามๆ กัน จึงได้พากันกลับลงมาจากบนเขาเข้าไปกราบเรียนหลวงปู่ว่า "พวกกระผมได้พากันขึ้นไปหา หน่อไม้ตั้งแต่เช้าจนบ่าย ป่านนี้แล้วยังไม่ได้หน่อไม้เลยแม้แต่หน่อเดียว เพราะว่าหน่อไม้บนเขานั้นพวกกระผมก็ได้ขึ้นไปหามาทำอาหารกินกันทุกวัน แต่กว่าจะได้แต่ละ หม้อนั้นก็แสนยากแสนลำบาก ยิ่งเอาจำนวนมาก ๆ อย่าง นี้ด้วยแล้วเห็นจะไม่มีทางเป็นไปได้เลยครับ หรือบางหน่อก็ติดปลายลำเป็นต้นไปหมดแล้ว"
    เมื่อหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ได้รับแจ้งจากญาติโยมดังนั้นแล้ว จึงนั่งพิจารณาว่า "เอ..? จะทำอย่างไรดี ถ้าไม่ได้สิ่งของไปร่วมในงานครูบาอาจารย์ในครั้งนี้เราก็ไม่ควรไป เพราะนิสัยของเรานั้นจะไปงานไหนก็แล้วแต่จะไม่ไปเอาหรือมีแต่จะเอาไห้เท่านั้น ยิ่งครั้งนี้ด้วยแล้ว ซึ่งเป็นงานของครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่ขนาดนี้ ถ้าเราไปมือเปล่าโดยที่ไม่ มีอะไรติดมือไปร่วมงานเลยเราก็ไม่ควรไป และควรจะรีบหนีออกจากสถานที่แห่งนี้ไปเสียให้ไกล เพื่อหมู่คณะจะได้รู้ว่าเราไม่อยู่ ถ้าเราขืนอยู่แล้วไม่ไปร่วมงานก็เห็นจะน่าเกลียด" หลวงปู่ได้นั่งพิจารณาอยู่ครู่ใหญ่แล้วจึงได้ปรารภกับญาติโยมว่า "อาตมาเห็นจะไปร่วมในงานครูบาอาจารย์ครั้งนี้ไม่ได้แน่แล้ว และก็เห็นว่าจะอยู่ที่นี้ต่อไปไม่ได้อีกด้วย.. เมื่อบรรดาญาติโยมได้ยินได้ฟังดังนั้นแล้วต่างคนต่างก็ตกอกตกใจไม่รู้ว่าจะทำประการใดดี จึงกราบเรียนหลวงปู่ว่า ไม่วีธิไหนที่ครูบาอาจารย์จะไปร่วมในงานครั้งนี้ได้ ขอให้บอกพวกกระ ผมเถิดครับ แต่ขออย่างเดียวขอให้ท่านอาจารย์อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้พวกกระผมที่นี่ต่อไป อย่าได้หนีจากพวกกระผมก็แล้วกัน"

    หลวงปู่จึงปรารภขึ้นว่า "..เอาอย่างนี้ อาตมาขอให้ พวกเราทุกคนนี้ทดลองขึ้นไปหาหน่อไม้บนเขาอีกสักครั้งหนึ่ง ถ้าได้หน่อไม้ไปร่วมงานครูบาอาจารย์ อาตมาก็จะขออยู่กับญาติโยม ณ ที่นี้ต่อไป แต่ถ้าไม่ได้จริง ๆ อาตมาก็เห็นจะอยู่ที่นี้ต่อไปไม่ได้แน่.."



    การขึ้นไปหาหน่อก็พึ่งจะลงมายังทันจะหายเหนื่อยเลย แต่ทุกคนก็ขันอาสาขอขึ้นไปหาหน่อไม้ลองดูอีกสักครั้งตามที่หลวงปู่ต้องการ ว่าแล้วต่างคนต่างก็ฉวยมีดฉวยกระสอบคนละอย่างสองอย่าง เดินขึ้นเขาไปตามทางเส้นเก่าเพื่อค้นหา หน่อไม้เป็นรอบที่สอง ต่างคนต่างก็เดินไปคิดไป ว่าจะทำอย่างไรดีจึงจะได้หน่อไม้ตามที่หลวงปู่ต้องการได้ ป่านี้ทั้งป่าก็แทบจะไม่มีหน่อไม้ลัดออกมาอยู่แล้ว เพราะลัดออกมาก็ไม่ทันคนกินในขณะที่ทุกคนกำลังเดินคิดถึงเรื่องการหา หน่อไม้อยู่นั้น สายตาทุกคู่ก็จ้องจับอยู่ที่แห่งเดียวกัน ทุกคนแทบไม่เชื่อในสายตาของตัวเองเลย ความมหัศจรรย์บังเกิดต่อ หน้าต่อตาทุกคน อย่างที่ไม่คาดคิดมาก่อนเลย



    ฝูงลิงตัวโต ๆ ไม่ทราบว่าออกมาจากที่ไหนมากมายเต็มป่าไปหมด ลิงทุกตัวเหมือนรู้หน้าที่ ต่างก็ปีนขึ้น ไปหักหน่อไม้แล้วก็โยนออกมากองระเนระนาดเต็มทาง เดินไปหมด บ้างก็หักแล้วเอาเหน็บไว้ที่กอกะสูงขนาดศีรษะพอเอามือยื่นไปหยิบถึง บ้างก็เอามือขุดล้วงเข้าไปในกอพอชักมือออกมาก็มีหน่อไม้ติดมือออกมาด้วยทุกครั้งไป นับว่าเป็นเรื่องที่แปลกมากทีเดียว



    ไม่ว่าชาวบ้านจะเดินทางไปทางไหน พวกลิงเหล่า นั้นก็จะออกเดินนำหน้าแล้วหักหน่อไม้ออกมากองตามทาง ตลอดไปผิดกับที่ขึ้นมาครั้งแรกจะหาหักเองยังหาไม่ได้เลย แต่ครั้งนี้เพียงแต่เก็บใส่กรอบอย่างเดียวก็แทบจะเก็บไม่ทัน ทั้งงงทั้งสงสัย ทั้งตื่นเต้น บางคนตื้นตันจนน้ำตาไหล ความสงสัยจึงมีเกิดขึ้นกับทุกคนว่า "..ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา บาง คนอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เด็ก ๆ จนถึงอายุ ๖-๗๐ ปี ยังไม่เคยเห็นลิงป่าประเภทนี้เลย สมัยก่อนนั้นก็เคยมีอยู่บ้าง แต่เป็นลิงอีกประเภทหนึ่งและต่อมาก็ได้พากันหนีไปจากป่านี้ กันจนหมดสิ้นเพราะกลัวภัยจากพวกมนุษย์นั่นเอง.."ุ



    วันนี้จึงนับว่าเป็นวันแห่งความมหัศจรรย์แห่งชีวิตของบรรดาญาติโยม บางคนถึงกับอุทานออกมาว่า "..ตั้งแต่ข้าเกิดมาก็เพิ่งเคยเห็นนี่เอง.. เมื่อพากันเก็บหน่อไม้ใส่กระสอบได้มากพอสมควรแล้ว จึงได้พากันลำเลียงลงจากเขา บรรดาพวกลิงทั้งหลายก็หมดหน้าที่ได้พากันวิ่งเข้าป่า หายไป เมื่อบรรดาญาติโยมได้ลำเลียงหน่อไม้ลงมาถึงถ้ำเป็ดอย่างทุกลักทุเลแล้วก็ได้พากันนำเหตุการณ์ที่ได้ประสบมาสดๆ ร้อนๆ นั้นเข้าไปกราบเรียนถวายหลวงปู่สมชายทราบอย่างตื่นเต้น และปลื้มปีติกันทุกคน



    จึงเป็นอันว่าการที่จะเดินทางไปร่วมงานศพหลวงปู่สีลา เทวมิตโต ก็เป็นไปตามเจตนาทุกประการ และได้นำหน่อไม้ไปร่วมในงาน เพื่อปรุงอาหารถวายพระภิกษุสามเณรและเลี้ยงแขกคนที่มาร่วมในงานครั้งนั้นอย่างอุดมสมบูรณ์



    หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ก็ได้นำคณะพระเณรมาช่วย จัดงานเตรียมงานตั้งแต่เริ่มงานจนกระทั่งถวายเพลิงศพหลวงปู่สีลา เทวมิตโต เสร็จเรียบร้อยก็ได้พาคณะกลับไปบำเพ็ญที่ถ้ำเป็ด ต่อมาอีกระยะหนึ่ง พอดีในช่วงนั้นสามเณรประไพ รูปเหลี่ยม อายุครบพอที่จะบวชเป็นพระได้แล้ว หลวงปู่จึงได้พาสามเณรประไพ กลับไปยังบ้านเกิดเพื่อที่ทำการญัตติ สามเณรประไพ ในครั้งนั้นก็ได้เดินทางกลับมาจังหวัดมุกดาหารได้ไปพักอยู่ภูเก้า ต่อจากนั้นหลวงปู่ก็ได้พาสามเณรประไพไป ทำการญัตติ ที่วัดศรีมงคลเหนือ จังหวัดมุกดาหาร และก็ได้กลับมาพักที่ภูเก้าอีกระยะหนึ่ง จึงได้พากันลงมาจากภูเก้า เดินทางไปอำเภออำนาจเจริญ พักอยู่ที่วัดอ่าอยู่ประมาณ ๓ เดือน แล้วก็เคลื่อนลงมาทางจังหวัดอุบลราชธานี มาจังหวัดสุรินทร์ บุรีรัมย์ พอเข้าเขต จังหวัดสุรินทร์ ฝนตกหนักมาก ทั้งวันทั้งคืน แต่ก็ไม่ได้หยุดพัก เดินต่อไปเรื่อยๆ ได้เข้าไปขอพักที่ วัดตะเคียน ทั้งเปียกทั้งหนาวสั่นกันทุกองค์ กะว่าจะพักพอหายเหนื่อยหายหนาวก็จะออกเดินทางต่อ ก็พอดีชาวบ้านที่นั้นคน หนึ่งชื่อว่า อาจารย์ประยูร ได้เข้ามากราบเรียนและขอนิมนต์หลวงปู่สมชาย และคณะไปพักบำเพ็ญที่ปราสาทเขาพนมรุ้ง ซึ่งอยู่ห่างจากที่พักไปประมาณ ๑ กม. หลวงปู่พร้อมด้วยพระเณรได้พากันไปดู เมื่อไปเห็นแล้วก็รู้สึกว่าแปลกดีมาก สวยงาม เป็นลักษณะปรางค์ปราสาทเก่าแก่มาก มีลวดลายวิจิตรพิสดารงดงามจริงๆ แต่เสียดายไม่มีใครบูรณะ จึงดูรกและ ปกคลุมไปด้วยต้นไม้ เถาวัลย์เต็มไปหมด แต่ก็มองดูครึ้มๆ น่ากลัวดี มีความสงบสงัดวิเวกมาก หลวงปู่จึงได้ตกลงที่จะจำ พรรษาที่ปราสาทเขาพนมรุ้ง ในปี พ.ศ. ๒๕๐๓





    แสวงธรรมบนเขาสุกิม



    เมื่อวันที่ ๔ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๐๗ คุณโยมห่อ สูญญาจารย์และคุณโยมขวัญ ใจงาม ได้ไปกราบอาราธนานิมนต์ หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย พร้อมด้วยพระภิกษุสามเณรจากวัดเนินดินแดง จำนวน ๙ รูป เพื่อมาเจริญพระพุทธมนต์ ณ ที่หมู่บ้านคลองพลูกระต่อย (ปัจจุบันเป็นบ้านเขาสุกิม) ตำบลเขาบายศรี อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี ประชาชนชาวบ้านเห็นว่าเป็นโอกาส ดีจึงได้กราบอาราธนานิมนต์หลวงปู่สมชายู ฐิตวิริโย พร้อม ด้วยพระภิกษุสามเณรให้ขึ้นมาพักบำเพ็ญบนเขาสุกิม เพราะ เห็นว่าสถานที่แห่งนี้มีความสงบวิเวกน่าจะเป็นสถานที่บำเพ็ญสมณะธรรมได้ หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย พร้อมด้วยพระภิกษุสามเณร เมื่อได้ขึ้นมาถึงบนเขาสุกิมแล้ว ก็พิจารณาเห็นว่าบนภูเขา แห่งนี้เหมาะแก่การบำเพ็ญสมณะธรรมเป็นอย่างยิ่ง คือมี ลักษณะเป็นสภาพป่าดงดิบหนาทึบเต็มไปด้วยต้นไม้ขนาดใหญ่ๆ เงียบ สงบ สงัด อากาศดี น้ำก็อุดมสมบูรณ์ และในครั้งนั้นก็ได้มีพระภิกษุสามเณรที่สนใจในการปฏิบัติธรรม ติดตามขึ้นมาด้วยจำนวน ๔ รูป มีพระ ๒ รูป สามเณร ๒ รูป รวมกับหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ด้วย จึงเป็น ๕ รูป มีอุบาสกอุบาสิกาติดตามขึ้นมาปฏิบัติธรรมด้วยจำนวน๑๐คน
    ในระยะแรกๆ คณะพระภิกษุสามเณรและผู้ปฏิบัติได้ปักกลดภาวนาอยู่ตามโคนไม้บ้าง เงื้อมหินบ้าง ซึ่งมีอยู่ทั่วไปบนภูเขานั้น ทุกท่านทุกองค์ก็ได้ตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติ กันอย่างจริงจังเป็นการทดลองชิมลางสถานที่อยู่หลายเดือน รู้ สึกว่าเป็นที่พอใจแก่พระภิกษุสามเณร และผู้ปฏิบัติธรรมกันทุกท่านทุกคน เพราะว่าสถานที่เป็นสัปปายะอันควรแก่การบำเพ็ญสมณะธรรม ทั้งหมดก็ได้อยู่บำเพ็ญภาวนามาจนกระทั่งใกล้จะเข้าพรรษา ปี พ.ศ. ๒๕๐๗









    จำพรรษาที่เขาสุกิม-ปัจจุบัน



    ฤดูกาลพรรษาปีพ.ศ.๒๕๐๗ ผ่านมาถึงแล้วหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย จึงมีความตั้งใจว่าจะ อยู่จำพรรษา ณ สถานที่แห่งนี้ต่อไป ในระหว่างนั้นเป็นฤดูฝน การบำเพ็ญไม่สะดวกเท่าที่ควร เนื่องจากเมืองจันทบุรีนั้นเป็นเมืองที่ฝนตกชุกตลอด ทั้งปี ประชาชนชาวบ้านบางส่วนเมื่อได้ทราบความประสงค์ของหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย และคณะผู้ปฏิบัติธรรมแล้ว จึงได้ร่วมแรงร่วมใจกันจัดสร้างกุฏิชั่วคราวขึ้น จำนวน ๑๕ หลัง ศาลาโรงฉัน ๑ หลังเพื่ออำนวยความสะดวกแก่พระภิกษุสามเณรและผู้ปฏิบัติธรรม กุฏิและศาลาดังกล่าวนั้น ได้จัดสร้างกันเป็นแบบชั่วคราว หลังคามุงด้วยใบระกำและใบจาก ปูพื้นด้วยเปลือกไม้สำรอง ข้างฝากั้นด้วยเปลือกไม้สำรองบ้าง กั้นด้วยใบระกำบ้าง แบบพอได้อาศัย
    หลบแดดหลบฝนชั่วคราวเท่านั้น



    ปี พ.ศ. ๒๕๐๗ ซึ่งเป็นพรรษาแรกนี้ ได้มีพระภิกษุจำพรรษาจำนวน ๗ รูป สามเณร ๔ รูป รวมเป็น ๑๑ รูป มีผู้ปฏิบัติธรรมร่วมจำพรรษาด้วยอีกหลายท่าน ตลอดฤดูกาล พรรษาก็ได้บำเพ็ญสมณะธรรมเป็นปกติสุข และได้ดื่มรสชาติของการปฏิบัติด้วยกันทุกท่านทุกคน ตลอดฤดูกาลพรรษา เมื่อออกพรรษาแล้วก็ยังได้บำเพ็ญภาวนาอยู่ ณ สถานที่เดิมต่อมาเรื่อยๆ
    ปี พ.ศ.๒๕๐๘ ก็ได้อยู่จำพรรษาต่อมาอีกหนึ่งพรรษา ในปีนี้มีพระภิกษุ ๘ รูป สามเณร ๖ รูป รวมเป็น ๑๔ รูป มี อุบาสกอุบาสกผู้สนใจในการปฏิบัติธรรมเพิ่มขึ้นอีกจำนวนมาก
    ๒ พรรษาผ่านไป หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ท่านก็ไม่ ได้คิดจะสร้างเสนาสนะที่เป็นถาวรขึ้นแต่อย่างไร ก็ยังอยู่กระต๊อบแบบชั่วคราวนั้นต่อมาเรื่อยๆ เพราะตั้งใจว่าจะอยู่บำเพ็ญเป็นการชั่วคราวเท่านั้น



    พอเริ่มเข้าปี พ.ศ. ๒๕๐๙ อุบาสกอุบาสิกาผู้สนใจ ในการปฏิบัติธรรมเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ เนื่องจากได้ดื่มรสชาติของการปฏิบัติ จึงเกิดความซาบซึ้งในพระศาสนา และมีความ เลื่อมใสศรัทธาในปฏิปทาข้อวัตรปฏิบัติของหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย และพระภิกษุสามเณร ประชาชนชาวบ้านในท้องถิ่น นั้นก็ให้ความสนใจในการอุปถัมภ์บำรุงเป็นอย่างดี
    ประชาชนชาวบ้านในท้องถิ่นนั้นได้เล็งเห็นความสำคัญของหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ซึ่งเป็นประมุขประธานสงฆ์เป็นผู้นำที่ดี มีความสามารถทั้งในด้านการปฏิบัติธรรม การบริหารการปกครองตลอดทั้งมีความรู้ความสามารถในด้านอื่นๆ ประชาชนชาวบ้านทุกท่านทุกคนจึงมี ความปรารถนาอย่างแรงกล้า ที่จะเห็นเขาสุกิมแห่งนี้เป็นวัดที่สมบูรณ์ มีความเจริญ รุ่งเรืองในโอกาสต่อไปเป็นอย่างยิ่ง
     
  9. สันติภาพ999

    สันติภาพ999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    2,885
    ค่าพลัง:
    +2,229
    เริ่มการก่อสร้างวัดเขาสุกิม



    ใน ปี พ.ศ. 2509 พันโทสนิท พร้อมด้วยคุณนายประนอม บูรณะคุณและคุณรัตนา เอกครพานิช ได้มีจิตศรัทธาบริจาคที่ดิน จำนวน 6 ไร่ 50 ตารางวา ถวายเพื่อสร้างวัด ต่อจากนั้น ประชาชนชาวบ้านได้เข้ามาสนับสนุน ส่งเสริมด้านต่าง ๆ เพิ่มมาก ขึ้น เป็นต้นว่า ได้ช่วยกันบริจาคทุนทรัพย์ในการสร้างกุฎิกรรมฐานขนาดเล็กขึ้นจำนวนหลายหลัง เพื่อทดแทนกุฏิชั่วคราวที่ได้จัดสร้างไว้ในครั้งแรกที่ได้ ชำรุดทรุดโทรมลงไปและได้ทำการปลูกสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกด้านอื่นๆ อีกหลายอย่างเพื่อถวายแก่พระภิกษุ สามเณรและผู้ปฏิบัติธรรม ในระยะ เวลาต่อมา กุฏิกรรมฐานขนาดเล็กก็ได้พัฒนาขึ้นเป็นกุฏิกรรมฐานขนาดถาวรขนาด สองชั้นมีทางเดินจงกรมยาว 25 ก้าว ทั้งชั้นล่างและชั้นบน
    ตลอดระยะเวลาที่ หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ได้ก้าวขึ้นมาบนภูเขาสุกิมแห่งนี้ นับเป็นระยะเวลาถึง 30 ปีเศษ(2507-2543) หลวงปู่ท่านเป็นผู้บุกเบิก ริเริ่มและสร้างสรรค์ภูเขาซึ่งเป็นป่าดงดิบ ให้เป็นวัดที่ร่มริ่น เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของพระภิกษุสาม เณรและผู้ที่สนใจปฏิบัติกรรมฐาน เป็นสถานที่ทัศนาการของประชาชนทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ในเวลา 30 ปีเศษ วัดเขาสุกิมได้พัฒนา ขึ้นมาอย่างช้าๆ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ได้แก่ ศาสนสถาน ศาสนสมบัติ ศาสนวัตถุ เช่น เสนาสนะ กุฎิ อาคาร สิ่งของต่างๆ และวัตถุโบราณต่างๆ ที่ มีอยู่ในวัดเขาสุกิมทั้งหมดนั้น เกิดขึ้นด้วยบุญญาบารมีของ หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ทั้งสิ้น กล่าวคือทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นด้วยพลังศรัทธาของประชา ชนที่มีความเคารพนับถือเลื่อมใส พิจารณาแล้วจึงได้เสียสละทุนทรัพย์จัดสร้างและบริจาคสิ่งของสนับสนุนเป็นประจำวันมิได้ขาด ทุกสิ่งทุกอย่างเกิด ขึ้น จากผู้ที่มีศรัทธานำมาถวายทั้งสิ้น ปัจจุบันวัดเขาสุกิมมีเนื้อที่ในการขออนุญาตสร้างวัด จำนวน 6 ไร่ 50 ตารางวา มีเนื้อที่เป็นของวัด 3,344 ไร่ ต่อ มาได้ยกที่ให้ โรงเรียนมัธยมวัดเขาสุกิม 50 ไร่ และโรงพยาบาลวัดเขาสุกิม 14 ไร่ จึงเหลือเนื้อที่ของวัด 3,280 ไร่ หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ได้เริ่มบุก เบิก จนเป็นที่รู้จักของผู้ปฏิบัติธรรมและสาธุชนทั่วไปเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นสถานที่มีความสำคัญอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดจันทบุรี
    ในแต่ละวัน ที่วัดเขาสุกิมจะมีสาธุชนเดินทางไปกราบนมัสการหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย เป็น ประจำทุกวันมิได้ขาด ทั้งประชาชนในท้องถิ่น และต่างจังหวัด ตลอดจนทั้งชาวต่างประเทศ บุคคลที่ไปนั้นไม่เฉพาะพุทธศาสนิกชนเท่านั้น ศาสนิกในศาสนา อื่นก็ได้ไปเยี่ยม นมัสการอยู่เป็นประจำ เช่น ศาสนาคริสต์ อิสลาม ซิกส์ เป็นต้น



    หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ท่านได้จัดระบบการบริหารการปกครอง เป็นไปตามระเบียบแบบแผน ของกรมการศาสนาและมหาเถรสมาคม คือท่านได้แต่งตั้งให้ลูกศิษย์ของท่านเป็นเจ้าอาวาส มีหน้าที่ในการบริการปกครอง คอยสอดส่องดูแลและอบรม สั่งสอนพระภิกษุสามเณร และเป็นผู้ประสานงานกับทางราชการ คณะสงฆ์ฝ่ายปกครอง โดยตัวของหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย เป็นประธานสงฆ์ของวัด





    มรณภาพ



    หลวงปู่สมชายท่านได้พัฒนาทั้งทางธรรมและทางศาสนสถานที่วัดเขาสุกิมแห่งนี้เรื่อยมานับแต่จากวันนั้น จนวัดเขาสุกิมในวันนี้เป็นวัดที่ใหญ่และเจริญมาก แต่ก็ยังคงความร่มรื่นเหมาะแก่การปฏิบัติธรรมเหมือนเช่นเคย



    ไม่เพียงแต่หลวงปู่สมชายท่านจะได้มีการก่อสร้างพัฒนาวัดเขาสุกิมจนเจริญรุ่งเรืองมาตราบเท่าทุกวันนี้ ท่านยังได้พัฒนาสถานที่ภายนอกวัดอีกมากมายด้วย ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาล โรงเรียน ทุนการศึกษา การแจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภคแก่ชาวบ้านในถิ่นทุรกันดาร ฯลฯ ทั้งในจังหวัดจันทบุรีและที่จังหวัดอื่นๆ อีกมากมาย



    ส่วนที่เป็นศาสนวัตถุที่หลวงพ่อสมชายท่านได้มีดำริและมีความปรารถนาแรงกล้าที่จะสร้างให้เป็นศาสนสมบัติคู่บ้านคู่เมืองอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือพระมหาเจดีย์ที่มีนามว่า “บูรพาฐิตวิริยาประชาสามัคคี” ซึ่งขณะนี้กำลังก่อสร้างอยู่ทางภูเขาด้านทิศตะวันออกของวัดเขาสุกิม



    โดยหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ท่านได้เลือกสร้างพระมหาเจดีย์แห่งนี้ให้เป็นแบบสถาปัตยกรรมสมัยยุครัตนโกสินทร์ โดยเลือกวางหลักปักฐานสร้างอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของตัววัดเขาสุกิมซึ่งสูงจากพื้นราบประมาณ ๙๙ เมตร โดยแบบเจดีย์ที่จะสร้างนั้นจะมีความสูงจากฐานพระเจดีย์ถึงยอดรวม ๑๑๙ เมตร โครงสร้างฐานกว้าง ๙๙ เมตร แบ่งเป็น ๗ ชั้น รอบองค์พระเจดีย์จะประดิษฐานพระพุทธรูปจำนวน ๘๔, ๐๐๐ องค์เท่ากับจำนวนพระธรรมขันธ์ด้วย



    พระมหาเจดีย์ “บูรพาฐิตวิริยาประชาสามัคคี” แห่งนี้หลวงปู่ท่านได้มีดำริจะสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นสถานที่ ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปหินอ่อนกับพระพุทธรูปางประทานพร ๑๐๑ องค์ เป็นพิพิธภัณฑ์เก็บอัฐบริขาร และยังใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของพุทธบริษัทสี่อีกด้วย


    แล้วเมื่อมาถึงต้นปี พ.ศ. ๒๕๔๘ ในขณะที่กำลังวางโครงการที่จะเริ่มก่อสร้างพระมหาเจดีย์แห่งนี้อยู่นั้นหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ท่านก็ได้อาพาธด้วยโรคไตวายเรื้อรังอย่างต่อเนื่องมาก่อนหน้านี้ถึง ๔ ปี จนต้องส่งเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลวิชัยยุทธเป็นการเร่งด่วน


    จนเมื่อวันเสาร์ที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๘ ขึ้น ๑๒ ค่ำเดือน ๗ ปีระกา เวลา ๑๐.๔๐ น. หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย หรือ พระวิสุทธิญาณเถระ (สมณะศักดิ์ของหลวงปู่ในสมัยนั้น) ก็ได้มรณภาพลงด้วยอาการไตวายฉับพลัน


    ซึ่งหลังจากหลวงปู่สมชายได้มรณภาพลง แล้วในช่วงเช้าของวันเสาร์ที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๔๙ ซึ่งพระอาทิตย์โคจรเคลื่อนเข้าสู่ราศีเมษ ทางวัดเขาสุกิมจึงได้สานต่อเจตนารมณ์ของหลวงปู่สมชายต่อไป โดยเริ่มทำการตอกเสาเข็มวางศิลาฤกษ์การก่อสร้างพระมหาเจดีย์บูรพาฐิตวิริยาประชาสามัคคีมานับจากวันนั้น
     
  10. สันติภาพ999

    สันติภาพ999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    2,885
    ค่าพลัง:
    +2,229
    เหรียญเสือวัว หลวงปู่สมชาย วัดเขาสุกิม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • เสือวัว.jpg
      เสือวัว.jpg
      ขนาดไฟล์:
      35.7 KB
      เปิดดู:
      197
    • IMG_6494.jpg
      IMG_6494.jpg
      ขนาดไฟล์:
      106.7 KB
      เปิดดู:
      200
    • IMG_6489.jpg
      IMG_6489.jpg
      ขนาดไฟล์:
      93.8 KB
      เปิดดู:
      228
    • IMG_6679.jpg
      IMG_6679.jpg
      ขนาดไฟล์:
      82.2 KB
      เปิดดู:
      443
    • IMG_6681.jpg
      IMG_6681.jpg
      ขนาดไฟล์:
      93.2 KB
      เปิดดู:
      107
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 มีนาคม 2014
  11. สันติภาพ999

    สันติภาพ999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    2,885
    ค่าพลัง:
    +2,229
    เหรียญรุ่นเเรก หลวงปู่สมชาย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 มีนาคม 2014
  12. สันติภาพ999

    สันติภาพ999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    2,885
    ค่าพลัง:
    +2,229
    เหรียญรุ่นสอง หลวงปู่สมชาย วัดเขาสุกิม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • l02.jpg
      l02.jpg
      ขนาดไฟล์:
      39.1 KB
      เปิดดู:
      105
  13. สันติภาพ999

    สันติภาพ999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    2,885
    ค่าพลัง:
    +2,229
    เหรียญรุ่นสาม หลวงปู่สมชาย วัดเขาสุกิม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • l03.jpg
      l03.jpg
      ขนาดไฟล์:
      59.8 KB
      เปิดดู:
      113
    • 555555.jpg
      555555.jpg
      ขนาดไฟล์:
      71.7 KB
      เปิดดู:
      95
    • 777.jpg
      777.jpg
      ขนาดไฟล์:
      74.2 KB
      เปิดดู:
      135
    • 33344.jpg
      33344.jpg
      ขนาดไฟล์:
      72.4 KB
      เปิดดู:
      111
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 พฤษภาคม 2014
  14. สันติภาพ999

    สันติภาพ999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    2,885
    ค่าพลัง:
    +2,229
    เหรียญรุ่นสี่ หลวงปู่สมชาย วัดเขาสุกิม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • l04.jpg
      l04.jpg
      ขนาดไฟล์:
      31.3 KB
      เปิดดู:
      92
  15. สันติภาพ999

    สันติภาพ999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    2,885
    ค่าพลัง:
    +2,229
    เหรียญรุ่นห้า หลวงปู่สมชาย วัดเขาสุกิม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • l05.jpg
      l05.jpg
      ขนาดไฟล์:
      29.9 KB
      เปิดดู:
      111
  16. สันติภาพ999

    สันติภาพ999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    2,885
    ค่าพลัง:
    +2,229
    เหรียญเสือวัว หลวงปู่สมชายสวยๆครับ ปิด 1500
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_9694.jpg
      IMG_9694.jpg
      ขนาดไฟล์:
      67.3 KB
      เปิดดู:
      180
    • IMG_9695.jpg
      IMG_9695.jpg
      ขนาดไฟล์:
      77.6 KB
      เปิดดู:
      312
  17. สันติภาพ999

    สันติภาพ999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    2,885
    ค่าพลัง:
    +2,229
    เหรียญเสือวัว ปิดเเล้วครับ
     
  18. สันติภาพ999

    สันติภาพ999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    2,885
    ค่าพลัง:
    +2,229
    เเจ้งข่าวครับ ได้เหรียญเสือวัวบล๊อกสายฝน หางสี่เส้น เหรียญสวยมากปิด1500ไวๆครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้ลงรูปให้นะครับ
     
  19. สันติภาพ999

    สันติภาพ999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    2,885
    ค่าพลัง:
    +2,229
    เหรียญเสือวัวเนื้อนวะ มาใหม่2เหรียญ ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • nv 003.jpg
      nv 003.jpg
      ขนาดไฟล์:
      72.1 KB
      เปิดดู:
      406
    • nv 004.jpg
      nv 004.jpg
      ขนาดไฟล์:
      82.7 KB
      เปิดดู:
      142
    • nv 005.jpg
      nv 005.jpg
      ขนาดไฟล์:
      96.9 KB
      เปิดดู:
      104
    • nv 006.jpg
      nv 006.jpg
      ขนาดไฟล์:
      92.8 KB
      เปิดดู:
      234
  20. สันติภาพ999

    สันติภาพ999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    2,885
    ค่าพลัง:
    +2,229
    ล็อกเก็ต หลวงปู่สมชายวัดเขาสุกิม ครับ สวยมากๆๆๆ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_2168.jpg
      IMG_2168.jpg
      ขนาดไฟล์:
      78.5 KB
      เปิดดู:
      177
    • IMG_2169.jpg
      IMG_2169.jpg
      ขนาดไฟล์:
      98.6 KB
      เปิดดู:
      170

แชร์หน้านี้

Loading...