หลวงปู่สาร์ กนฺตสีโล : พระปรมาจารย์ใหญ่ฝ่ายพระกรรมฐาน

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 14 พฤษภาคม 2011.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ท่านพนฺธุโล (ดี)

    <TABLE id=table10 border=0 width=122 align=left><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle> ท่านพนฺธุโล (ดี)
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    หลวงปู่เทสก์ เทสฺรํสี ได้เล่าถึง ท่านพนฺธุโล (ดี) พระมหาเถระผู้แรกตั้งวงศ์ธรรมยุตในภาคอิสาน ดังนี้

    “คนเก่าคนแก่เล่าให้ผู้เขียน (หลวงปู่เทสก์) ฟังว่า ท่านเรียนหนังสือเก่งมาก ขนาดเอามะพร้าวแห้งมาหนุนหัว พอหัวตกจากมะพร้าวก็ตื่น และจุดธูปจีนส่องหนังสือ ท่องบ่นหนังสือต่อไปอีก

    เรียนจนไม่มีใครสอนได้ในเมืองอุบลฯ แล้วท่านเสาะแสวงหาเรียนจนกระทั่งถึงกรุงเทพฯ ไปพักวัดคอกหมู หรือ วัดอะไรก็ไม่ทราบ นอกกรุงเทพฯ แล้วเรียนหนังสือ ณ ที่นั้น

    สมัยนั้น พระกรุงเทพฯ ค่ำมาก็เตะตะกร้อสนุกสนานกัน ส่วนท่านมีแต่ตั้งหน้าตั้งตาเรียนถ่ายเดียว เรียนได้เท่าไรก็จารใส่ใบลานไว้ เพื่อจะเอาไปเผยแพร่เมืองอุบลฯ ต่อไป

    พวกพระเหล่านั้นเตะตะกร้อไปๆ มาๆ ตะกร้อไปตกที่หน้าท่าน เขาบอกว่า ไอ้ลาว ส่งตะกร้อให้ซิ ท่านอุตส่าห์เอาตะกร้อไปส่งให้เขาแล้ว ก็กลับมาจารหนังสีออกต่อไป อุตส่าห์ตั้งหน้าหลับหูหลับตาเรียนต่อไป เพราะไม่มีใครฝาก ญาติพี่น้องก็ไม่มีอีกด้วย

    เรียน ณ ที่นั้นจนกระทั่งไม่มีใครสอนได้ ด้วยความวิริยะพากเพียร เขาเห็นดีเห็นชอบจึงได้ส่งเข้าไปเรียนในกรุงเทพฯ..

    ไม่ทราบว่าท่านเรียนได้ประโยคไหน แต่ด้านปฏิบัติท่านเป็นเยี่ยมองค์หนึ่ง เหตุนั้น พระจอมเกล้าฯ จึงได้บัญชาให้ท่านไปเมืองอุบลฯ ตั้งวงศ์ธรรมยุตองค์แรก และการกลับไปเมืองอุบลฯ ครั้งนั้น ได้มีการรับแห่กันเหมือนกับเจ้าเข้าเมือง เห็นจะเป็นเพราะเหตุนี้กระมัง ชาวเมืองอุบลฯ จึงมักกล่าว (เรียกขาน) พระผู้ใหญ่ว่า ท่านเจ้าท่านนาย สืบมาจนกระทั่งบัดนี้

    เกี่ยวกับข้อวัตรปฏิบัติของท่านพนฺธุโล (ดี) นั้น หลวงปู่เทสก์กรุณาเล่าดังนี้ -

    “ท่านเป็นองค์แรกที่มาตั้งวงศ์ธรรมยุตที่เมืองอุบลฯ ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ตรงตามธรรมวินัยโดยแท้ ท่านไม่ได้เที่ยวรุกขมูล แต่ธุดงควัตรท่านก็รักษาไว้ได้ตามสมควรแก่ภาวะสถานที่ คืออยู่วัดเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ไหว้พระสวดมนต์ แล้วนั่งสมาธิกันอีกที นั้นเป็นวิธีนั่งหมู่ แต่อยู่กุฏิแล้วก็ทำเฉพาะตนเอง ท่านบริหารหมู่คณะพร้อมทั้งการปฏิบัติไปด้วย

    การตีระฆังของวัดธรรมยุต ซึ่งตี ๔ แล้วจะต้องตีทุกวันเป็นระเบียบของท่านที่ตั้งไว้แต่โน้น ธรรมยุตภาคอีสานจึงต้องรักษาสืบมาจนกระทั่ง ทุกวันนี้

    หมายความว่า ตี ๔ จะต้องลุกขึ้นมาทำวัตรสวดมนต์พร้อมๆ กันทุกองค์ พอหลังจากนั้นแล้วก็นั่งสมาธิภาวนา ต่อนั้นไปใครจะท่องบ่นสวดมนต์อะไรก็ตามใจ

    การตั้งวงศ์ธรรมยุตเมืองอุบลฯ นี้ มีอุปสรรคมาก เพราะพระท้องถิ่นไม่เคยปฏิบัติตามธรรมวินัย เห็นธรรมยุตปฏิบัติเข้าก็หาว่าเป็นป่าเถื่อนและเป็นสัตว์จำพวกหนึ่งเท่านั้น

    แต่อาศัยท่านวางอุเบกขา เห็นว่าทำหน้าที่พุทธศาสนาที่ดีแล้วสิ่งภายนอกก็วางเฉยลงได้ ใครจะว่าอะไร ทำอะไร ก็ตามใจ นานหนักเข้าก็ค่อยดีขึ้น เพราะคนด้วยกัน พูดภาษาปรับปรุงความเข้าใจกันได้

    ท่านพนฺธุโลนี้ เมื่อขึ้นไปเมืองอุบลฯ แล้วได้เผยแพร่วงศ์ธรรมยุตแต่เฉพาะในเมืองได้ไม่กี่วัด พอหมดอายุ ท่านเทวธมฺมี (ม้าว) สืบต่อมา
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    วัดสุปัฏน์ : วัดธรรมยุตวัดแรกของอิสาน

    <TABLE id=table11 border=0 width=122 align=right><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD rowSpan=3>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>
    วัดสุปัฏนารามริมแม่น้ำมูลในอดีต
    </TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle>วัดธรรมยุตวัดแรกของภาคอีสาน
    </TD><TD align=middle> พระอุโบสถวัดสุปัฏนาราม
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​












    การตั้งวัดธรรมยุตครั้งแรกในจังหวัดอุบลราชธานี หรือวัดธรรมยุตวัดแรกของภาคอิสานนี้ เป็นพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่จะตั้งรากฐานของคณะธรรมยุตในภาคอิสาน

    ในปีแรกที่พระองค์ทรงครองราชย์ คือ ปี พ.ศ. ๒๓๙๔ ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ พระพรหมราชวงศา (กุทอง สุวรรณกูฏ) เจ้าเมืองอุบลราชธานีคนที่ ๓ (พ.ศ. ๒๓๘๘-๒๔๐๙) อาราธนา ท่านพนฺธุโล (ดี) ซึ่งเป็นชาวอุบลและเป็นปูราณสหธรรมิก ในพระองค์พร้อมด้วยท่านเทวธมฺมี (ม้าว) ให้มาสร้างวัดธรรมยุตขึ้นในอุบลฯ

    ท่านพนฺธุโล (ดี) และคณะ จึงได้ทำการก่อสร้างวัดขึ้นระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๙๔ - ๒๓๙๕ ที่ริมฝั่งแม่น้ำมูลด้านเหนือ อยู่ระหว่างตัวเมืองกับ บุ่งกาแซว

    พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดพระราชทานทุนทรัพย์เป็นเงิน ๑๐ ชั่ง (๘๐๐ บาท) พระราชทานเลกวัด (ผู้ปฏิบัติรับใช้วัด) ๑๐ คน และพระราชทานนิตยภัต แก่เจ้าอาวาส เดือนละ ๘ บาท

    การก่อสร้างวัดเสร็จในปี พ.ศ. ๒๓๙๖ ตรงกับ ร.ศ. ๗๒ พระราชทานนามว่า วัดสุปัตน์ แปลว่า วัดหรืออาศรมของพระฤๅษีที่ชื่อ “ดี” ภายหลังพระราชทานเปลี่ยนชื่อเป็น วัดสุปัฏนาราม แปลว่าท่าน้ำดี เพราะวัดตั้งอยู่ในทำเลจอดหรือที่ดี

    วัดสุปัฏนาราม จึงเป็นวัดธรรมยุตแห่งแรกของภาคอิสานมีท่านพนฺธุโล (ดี) เป็นเจ้าอาวาสองค์แรก

    ต่อมา ในปี พ.ศ. ๒๔๗๘ โปรดให้ยกฐานะขึ้นเป็นพระอารามหลวงวรวิหาร ชั้นตรี มีนามว่า วัดสุปัฏนารามวรวิหาร มีพื้นที่ตามโฉนด ๒๐ ไร่ ๓๘.๓ ตารางวา

    (อ้างอิงข้อมูลจากหนังสือของท่านอาจารย์พิศิษฐ์ ไสยสมบัติ)
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ท่านเทวธมมี (ม้าว)

    <TABLE id=table12 border=0 width=122 align=left><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle> ท่านเทวธมฺมี (ม้าว)
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    ท่านเทวธมมี (ม้าว) เป็นพระอาจารย์สายธรรมยุตองค์แรกของหลวงปู่ใหญ่เสาร์ กนฺตสีโล

    ท่านเทวธมฺมี (ม้าว) เป็นหลานของท่านพนฺธุโล (ดี) ได้รับอาราธนามาเป็นเจ้าอาวาสวัดศรีทอง (วัดศรีอุบลรัตนาราม) วัดธรรมยุตวัดที่ ๒ ของภาคอิสาน

    ท่านเทวธมมี (ม้าว) เกิดเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๖๑ ในเมืองอุบลราชธานี

    ในช่วงที่ท่านพนฺธุโล (ดี) ไปศึกษาเล่าเรียนที่กรุงเทพฯ เมืองหลวง และเป็นสหธรรมิกในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น ท่านได้กลับมาเยี่ยมบ้านเกิดที่อุบลฯ ขากลับได้นำพระหลานชายคือ ท่านเทวธมมี (ม้าว) เข้ากรุงเทพฯ ด้วย โดยพาเข้าถวายตัวเป็นพระศิษย์หลวง ซึ่งศิษย์หลวงเดิมมีอยู่ ๔๘ รูป

    ดังนั้น ท่านเทวธมฺมี (ม้าว) จึงได้เป็นสัทธิวิหาริก แห่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีสมเด็จพระสังฆราช (สา) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ เมื่อครั้งทำญัตติกรรมเป็นธรรมยุต

    ท่านพนฺธุโล (ดี) องค์ปฐมแห่งพระธรรมยุตสายอิสานนี้ได้ส่งศิษย์เข้าไปศึกษาเล่าเรียนทั้งด้านปริยัติและการอบรมวิปัสสนากรรมฐานในกรุงเทพฯ หลายรุ่น ซึ่งต่อมาพระมหาเถระเหล่านั้นได้มีบทบาทสำคัญในการแผ่ขยายการศึกษาทางพระพุทธศาสนา และการแผ่ขยายของคณะธรรมยุตไปยังที่ต่างๆ ทั่วภาคอิสาน และภาคอื่นๆ ของประเทศ

    พระมหาเถระสายธรรมยุตที่ท่านพนฺธุโล (ดี) ส่งไปศึกษาเล่าเรียนที่กรุงเทพฯ และกลับมาสร้างความเจริญให้พระศาสนา ที่มีชื่อเสียงมาก ได้แก่

    - อาชญาท่านก่ำ คุณสมฺปนฺโน
    - ท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท)
    - พระอริยกวี (อ่อน ธมฺมรกฺขิโต)
    - ท่านอาจารย์สีทา ชยเสโน
    - พระศาสนดิลก (เสน ชิตเสโน)
    - ท่านเจ้าคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส)

    พระมหาเถระแต่ละองค์ล้วนแต่มีผลงานในด้านพระศาสนาที่เป็นคุณูปการอันยิ่งใหญ่มาถึงพวกเราอันเป็นลูกหลานเหลนรุ่นหลัง

    หลวงปู่เทสก์ เทสฺรํสี ได้เล่าถึงท่านเทวธมฺมี (ม้าว) ดังนี้ :-

    “ท่านเทวธมฺมี องค์นี้ ข้าพเจ้าเป็นเณรไปอยู่เมืองอุบลฯ มีคนเฒ่าคนหนึ่ง เขาตั้งให้แกเป็นสังฆการี แต่อาตมาก็จำชื่อแกไม่ได้ แกเล่าให้ฟังว่า

    ท่านเทวธมฺมี องค์นี้ ปฏิบัติเคร่งครัดในกรรมฐานยิ่งนัก ไปบิณฑบาตก็เอาตาลปัตรกันหน้าไป

    ท่านเกิดโรคหูเป็นหนอง แมลงวันขี้ใส่เลยเกิดเป็นตัวหนอนขึ้น หนอนไชหูท่าน เขาจะควักออกก็ไม่ให้เอาออก หนอนไชอยู่จนมรณภาพ

    การมรณภาพ ท่านก็นั่งขัดสมาธิสิ้นลมหายใจในอิริยาบถนั้นเอง

    ท่านมีเมตตามาก กลัวสัตว์อื่นจะเป็นทุกข์เพราะเหตุการกระทำของท่าน บ้านใครมีตัวเรือดมากๆ ไปขอมาเลี้ยงไว้ที่นอนท่านแหละ

    เมตตาธรรมเป็นเครื่องค้ำจุนของโลก สมทุกประการอย่างท่านเทวธมฺมี แม้กระทั่งถึงสัตว์ที่เป็นสังเสทชะ และอัณฑชะ ซึ่งไม่รู้เดียงสาเลย ท่านก็เมตตาให้เขาได้ความสุข นับประสาอะไรแต่คนที่รู้เดียงสากัน

    จิตที่มีเมตตาแล้วแผ่คลุมไปถึงสัตว์ทุกจำพวก เขาเห็นเป็นมิตรไปในที่ทุกสถาน สัตว์ที่เป็นศัตรูก็เป็นมิตร ถ้าใครคิดอิจฉาในผู้ที่มีเมตตาเช่นนั้นย่อมถึงความวินาศ เรื่องเหล่านี้ย่อมเห็นประจักษ์อยู่ทั่วไป

    น่าเสียดายที่ไม่มีการจดบันทึกประวัติของพระมหาเถระองค์นี้ไว้ให้ลูกหลานรุ่นหลังได้ศึกษากัน

    มีข้อมูลอีกส่วนหนึ่ง เล่าไว้ดังนี้

    เมื่อตอนที่ท่านพนฺธุโล (ดี) ได้นำพระหลานชาย คือ ท่านเทวธมฺมี (ม้าว) เข้าถวายตัวเป็นศิษย์ของพระองค์ท่าน รัชกาลที่ ๔เมื่อทรงผนวช และเป็นองค์อุปัชฌาย์

    พระองค์ท่านได้ใช้เทียนส่องดูหน้าท่านเทวธมฺมี เป็นเวลานาน พระองค์ท่านคงตรวจดูบุคลิกลักษณะ ซึ่งท่านเป็นพระหนุ่ม ร่างใหญ่ใบหน้าคมคาย เป็นที่สบอัธยาศัย

    พระองค์ตรัสว่า เออ ! ขรัวดี คนอย่างนี้ทำไมไม่เอามาเยอะๆ

    ท่านพนฺธุโล (ดี) กราบทูลว่า “หายากพระเจ้าข้า”

    ท่านเทวธมฺมี (ม้าว) จึงได้เป็นศิษย์ หรือ สัทธิวิหาริกรุ่นแรกในพระองค์ท่านรัชกาลที่ ๔ เมื่อตอนเปลี่ยนญัตติกับคณะธรรมยุต พระองค์ท่านทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ ต่างได้อยู่ศึกษาปริยัติธรรม ปฏิบัติสมาธิภาวนา และศึกษาขนบธรรมเนียมประเพณีในสำนักอุปัชฌาจารย์
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    วัดศรีทอง


    วัดศรีทอง หรือ วัดศรีอุบลรัตนาราม มีความสำคัญต่อหลวงปู่ใหญ่เสาร์ กนฺตสีโล เพราะท่านเริ่มเข้าสู่คณะธรรมยุตโดยเข้ามารับการอบรมธรรม และทำญัตติกรรมเป็นพระธรรมยุตที่วัดนี้

    วัดศรีทอง สร้างโดย พระอุปฮาด (โท) ต้นตระกูล ณ อุบล ผู้เป็นบิดาของพระอุบลเดชประชารักษ์ (เสือ ณ อุบล) กรมการเมืองอุบลราชธานี

    พระอุปฮาด (โท) ได้มีจิตศรัทธายกที่สวน เนื้อที่ ๓๐ ไร่เศษสร้างขึ้นเป็นวัด เมื่อปีเถาะ รัตนโกสินทร์ศก ๗๔ ตรงกับปี พ.ศ. ๒๓๙๘ เป็นปีที่ ๕ แห่งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔

    หลังจากที่ ท่านเทวธมฺมี (ม้าว) ได้รับอาราธนามาเป็นเจ้าอาวาสวัดศรีทอง ก็ได้กลายเป็นวัดธรรมยุตวัดที่สองของภาคอิสาน

    ชื่อของวัดศรีทอง ตั้งตามนิมิตมงคลที่เห็นเป็นแสงสว่างกระจ่างไปทั่วบริเวณสวนแห่งนี้ในขณะที่ประกอบพิธีถวายที่ดินยกให้เป็นที่สร้างวัดในพระพุทธศาสนา

    หลังจากมาเป็นเจ้าอาวาสได้ ๒ ปี ท่านเทวธมฺมี (ม้าว) ก็ได้สร้างพระอุโบสถขึ้น และผูกพัทธสีมาในปี พ.ศ. ๒๔๐๐ และได้ให้ ญาท่านสีทา ชยเสโน เป็นช่างดำเนินการสร้างหอพระแก้ว เพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วบุษราคัม ซึ่งประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถในปัจจุบันนี้

    พระแก้วบุษราคัม องค์นี้ ถือเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองอุบลฯ มาแต่โบราณ เมื่อถึงเทศกาลสงกรานต์ชาวเมืองอุบลราชธานีต่างพร้อมใจกันประกอบพิธีสมโภชเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ากราบนมัสการ และถวายน้ำสรงขอพร เป็นประจำทุกปี

    (หลวงปู่ใหญ่เสาร์ได้เล่าถึงความเป็นมาของพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์พระองค์นี้ ผมขอนำเสนอในตอนต่อไป)

    หลังจากวัดศรีทอง เป็นวัดธรรมยุตแล้วก็มีการขยายเพิ่มจำนวนวัดและภิกษุสามเณรมากขึ้นโดยลำดับ จนกระทั่งภาคอีสานมีวัดและพระเณรในคณะธรรมยุตมากกว่าทุกภาคในประเทศไทย

    <TABLE id=table13 border=0 width=122><TBODY><TR><TD colSpan=2>
    วัดศรีทอง (วัดศรีอุบลรัตนาราม)
    </TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>
    พระอุโบสถวัดศรีทอง
    </TD><TD>
    พระประธาน
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    พระแก้วบุษราคัม

    <TABLE id=table14 border=0 width=122 align=left><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle> พระแก้วบุษราคัม
    พระคู่บ้านคู่เมือง อุบลราชธานี
    ในอุโบสถวัดศรีอุบลรัตนาราม

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    ก่อนจะนำเสนอเรื่องราวของ หลวงปู่ใหญ่เสาร์ กนฺตสีโลโดยตรงผมขอนำเรื่องพระแก้วบุษราคัมพระศักดิ์สิทธิ์ของจังหวัดอุบลราชธานีตามที่หลวงปู่ใหญ่ ท่านเล่าให้ลูกศิษย์ฟัง นำมาให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบก่อน

    หลังจากท่านเทวธมฺมี (ม้าว) มาปกครองวัดศรีทองแล้ว ประชาชนได้หลั่งไหลไปฟังเทศน์ ปฏิบัติธรรม รับพระไตรสรณคมน์จากท่านเจ้าอาวาสจนแน่นขนัดทุกวัน

    หลวงปู่ใหญ่เสาร์ กนฺตสีโล ได้เล่าเรื่องมหัศจรรย์ที่วัดศรีทองให้ลูกศิษย์ฟัง และได้รับการถ่ายทอดต่อจากพระอาจารย์บัวพา ปญฺญาภาโส ศิษย์อุปัฏฐากใกล้ชิด ว่า ครั้งหนึ่งเวลาเย็น ซึ่งเป็นวันพระ ภายในอุโบสถวัดศรีทอง จะมีแสงขาวนวลสว่างไสวด้วยรัศมีขึ้นมาเอง และบอกว่า อาชญาท่านเทวธมฺมี เคยเล่าว่า เป็นเพราะเทวดามานมัสการบูชาพระแก้วบุษราคัม นั่นเอง

    พระแก้วบุษราคัม ศักดิ์สิทธิ์องค์นี้ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยหรือปางชนะมาร ขนาดหน้าตัก ๓ นิ้ว ตามประวัติเล่าว่า มีพระกรรมฐานรูปหนึ่งเป็นผู้อัญเชิญมาประดิษฐานไว้ที่วัดศรีทอง

    ตามประวัติบอกว่า พระธุดงค์กรรมฐาน รูปนี้ได้เที่ยวจาริกไปตามป่าเขาลำเนาไพร ท่านผ่านไปถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง สภาพเป็นภูเขาสูงเป็นหมู่บ้านข่า คือ พวกชาวข่า อาศัยอยู่

    พวกชาวป่าเป็นชาวป่าที่ห่างไกลจากความเจริญ แทบจะว่ามีความเป็นอยู่เยี่ยงมนุษย์ยุคหินจริงๆ ไม่มีเสื้อผ้า ปกปิดร่างกายด้วยใบไม้และหนังสัตว์

    พระธุดงค์รูปนั้นเข้าไปเพื่ออาศัยบิณฑบาต พอไปถึงหมู่บ้านท่านเห็นภาพที่ชวนให้เศร้าสลดมาก คือเห็นเด็กคนหนึ่งใช้เชือกผูกที่คอพระพุทธรูป แล้วลากเล่นอย่างสนุกสนานไปรอบๆ ลานบ้าน ด้วยไม่รู้ว่าเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญสูงสุดในพระพุทธศาสนา

    พระท่านตรงไปพูดจาขอสิ่งอันเป็นมงคลนั้นจากเด็ก เด็กไม่เคยเห็นพระมาก่อน จึงวิ่งหลบหาที่กำบังโดยทิ้งพระพุทธรูปไว้บนดิน

    พระท่านไปหยิบพระพุทธรูปตั้งขึ้น แล้วก้มลงกราบบนพื้นดิน ๓ หน ด้วยกิริยาที่แสดงความเคารพอย่างแท้จริง

    ทันใดนั้นมีผู้ชายชาวข่าสิบกว่าคนมือถืออาวุธ เข้ามารุมล้อมท่านด้วยกิริยาอาการที่พร้อมจะล่าเหยื่อ หรือต่อสู้กับศัตรู พวกเขามีทั้ง หน้าไม้ หลาว และหอก เตรียมพร้อมอย่างครบครัน

    พระท่านกำหนดจิตแผ่เมตตาไปยังพวกคนเหล่านั้น ทำหน้ายิ้มแย้มแสดงความเป็นมิตร พร้อมทั้งเปิดจีวรทำท่าแสดงให้รู้ว่าท่านไม่มีอาวุธ และไม่เป็นภัยต่อพวกเขา

    เมื่อพวกเขายอมรับรู้ว่าพระท่านไม่เป็นภัย จึงส่งสัญญาณขอให้ท่านตามพวกเขาไปทางหัวหน้าหมู่บ้าน เมื่อไปถึง พบว่าพวกชาวข่าเหล่านั้นให้ความเคารพและเกรงกลัวต่อหัวหน้าหมู่บ้านมาก

    หัวหน้าหมู่บ้านพอจะพูดกันรู้เรื่องดีกว่าพวกลูกบ้าน พระท่านเจรจาขอพระพุทธรูปที่เด็กลากเล่น

    หัวหน้าหมู่บ้านบอกว่าเขาให้ไม่ได้ กลัวผีจะโกรธเอา เพราะผีให้ของเล่นนั้นแก่เด็กมา ถ้าให้ไปเดี๋ยวผีจะโกรธและจะทำร้ายพวกเขา

    เขาเล่าต่อไปว่า พวกเขาได้วัตถุชิ้นนั้นมาจากในถ้ำซึ่งอยู่บนยอดเขาสูง พวกเขาเห็นเป็นของแปลก เมื่อถูกแดดจะส่องแสงเลื่อมพรายเป็นประกายสวยงาม ถ้าเอาวัตถุชิ้นนั้นไปไว้ในสวน หรือในที่ปลูกข้าว พวกนกกาไก่ป่าไม่กล้าลงกินพืชผลเป็นอันขาด แม้พวกสัตว์ใหญ่ก็ไม่กล้าเข้ามาในบริเวณนั้น และที่แปลกอีกอย่างคือ ในกลางคืนบางคืน จะส่องแสงเป็นประกายสว่างไสวขาวนวลมาก สีนวลสวยงามยิ่งกว่าพระจันทร์วันเพ็ญ พวกตนจึงเก็บเอาไว้ให้เด็กเล่น

    หลังจากการเจรจาเป็นเวลานาน หัวหน้าหมู่บ้านจึงใจอ่อนและยอมมอบพระพุทธรูปองค์นั้นให้แก่พระท่าน ท่านได้นำไปมอบให้เจ้าเมืองในนครเวียงจันทน์ แล้วถูกอัญเชิญไปประดิษฐานไว้คู่กับพระแก้วมรกต

    เมื่อครั้งที่ สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ ครั้งดำรงตำแหน่งแม่ทัพเป็นเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ยกทัพไปตีนครเวียงจันทน์ แล้วได้อัญเชิญพระแก้วมรกต และพระแก้วบุษราคัม มายังกรุงเทพฯ และต่อมา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงประทานพระแก้วบุษราคัมให้แก่อาชญาท่านเทวธมฺมี (ม้าว) ซึ่งเป็นสัทธิวิหาริกของพระองค์ท่าน ให้นำมาประดิษฐานไว้ที่จังหวัดอุบลราชธานีจึงได้มาประดิษฐานในพระอุโบสถวัดศรีทอง (วัดศรีอุบลรัตนาราม) ตราบเท่าทุกวันนี้

    ทั้งหมดนี้สรุปมาจากบันทึกของท่านพระครูพิบูลธรรมภาณ (หลวงพ่อโชติ อาภคฺโค) วัดภูเขาแก้ว อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี

    เรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของพระแก้วบุษราคัม มีต่อไปว่า

    ในปีหนึ่ง จังหวัดอุบลราชธานีเกิดภาวะวิปริตของดินฟ้าอากาศเกิดความแห้งแล้ง ฟ้าฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ชาวนาชาวสวนไม่สามารถเพาะปลูกได้ บางทีถึงกับอดตายก็มี

    ชาวบ้านได้พากันมาปรึกษาอาชญาท่านเทวธมฺมี ขออาราธนาพระแก้วบุษราคัมออกแห่แหนรอบเมือง เพื่อทำพิธีขอฝนให้ชาวเมืองได้มีโอกาส ฮดสรงน้ำ โดยทั่วกัน

    ก่อนนี้ชาวบ้านได้เคยจัดการบวงสรวงและพิธีกรรมต่างๆ มาแล้วตามความเชื่อที่ถือกันมาแต่โบราณ นับตั้งแต่พิธีพราหมณ์ พ่อมดหมอผี การเซ่นสรวงบูชายัญต่างๆ นานา ก็ไม่เป็นผล

    เมื่อจัดพิธีอัญเชิญพระบุษราคัม แห่รอบเมือง ชาวบ้านร้านตลาดได้พากัน ฮดสรงน้ำอบน้ำหอม กันแล้ว ก็เกิดเหตุอัศจรรย์เกิดฝนตกชุ่มฉ่ำอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ยังความปลาบปลื้มยินดีและเลื่อมใสศรัทธาให้กับชาวอุบลราชธานี ต่างก็กล่าวขานถึงอภินิหารของพระแก้วบุษราคัมกันมาตั้งแต่นั้น

    พระแก้วบุษราคัมจึงเป็นพระมิ่งขวัญคู่บ้านคู่เมืองอุบลฯ นับตั้งแต่นั้นมาตราบเท่าปัจจุบัน ซึ่งทางวัดศรีทอง (วัดศรีอุบลรัตนาราม) ได้จัดเป็นประเพณีแห่และสรงน้ำพระบุษราคัมเป็นประจำทุกปีในวันเพ็ญเดือน ๓ สืบต่อกันมามิเคยขาด
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    การสอนของท่านเทวธมฺมี (ม้าว)


    อาชญาท่านเทวธมฺมี (ม้าว) ได้ใช้วัดศรีทอง เป็นศูนย์กลางเผยแพร่พระธรรมคำสอนที่ถูกต้องตามพระธรรมวินัยให้แก่พระภิกษุสามเณร อุบาสกอุบาสิกา ตลอดจนประชาชนทั่วไป

    ดังนั้น ทั้งพระเณร และประชาชนจากที่ต่างๆ ต่างหลั่งไหลมาฟังเทศน์ ปฏิบัติธรรมฐาน ที่วัดศรีทอง กันอย่างเนืองแน่นเป็นประจำ

    พระธรรมเทศนาของท่านเทวธมฺมี แตกต่างจากการสอนที่มีอยู่ในขณะนั้น คือท่านสอนให้มีเหตุมีผล อย่าเชื่ออะไรโดยไม่พิจารณาด้วยปัญญา อย่าเชื่อโดยความหลงงมงาย หลงผิดในลัทธิประเพณีบางอย่างที่ขัดต่อหลักการของพระพุทธศาสนา

    ท่านสอนให้เลิกละประเพณีบางอย่างที่ขัดต่อคำสอน ให้ประพฤติในสิ่งที่ถูกต้องดีงาม ได้แก่ การแสดงตนเข้าถึงพระไตรสรณคมน์กันใหม่ ให้ยืดเอาสามรัตนะ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งที่ระลึกอันเกษม ที่จะนำพาให้พ้นทุกข์

    สอนให้เลิกละกินของดิบของดาย งดบริโภคเนื้อสัตว์ ๑๐ อย่างตามที่พระองค์ทรงห้าม ไม่กราบไหว้ศาลผีปู่ตา ให้เลิกการเซ่นไหว้บูชาถือผีถือสาง เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่สรณะที่พึ่งอันแท้จริง ไม่ช่วยให้คนพ้นทุกข์ได้ มันเป็นเพียงมายาหลอกให้เราหลงเชื่อ ให้งมงาย

    การบวงสรวงผีอาจช่วยด้านกำลังใจได้บ้าง ถ้าหากผีดีจริงมันจะไปเป็นเปรตเวทนา รอรับเครื่องเซ่นสรวงสังเวยบูชาของเราอยู่อย่างนั้นหรือ ถ้ามันดีจริง ทำไมจึงต้องเป็นอยู่อย่างอดอยากปากแห้งอยู่อย่างนั้น ทำไมไม่ไปเกิดไปขานกับเขาสักที

    เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะผีก็คือความชั่ว บุคคลเคยประกอบกรรมทำชั่วร้ายเอาไว้ เมื่อตายไปจึงไปเป็นผีตกนรกหมกไหม้ พอพ้นขึ้นมา ก็ยังกลายเป็นเปรตเวทนาอีก จนกว่าพวกมันจะหมดเวรหมดกรรมมีคุณงามความดีขึ้นมาใหม่ จึงจะได้กลับมาเกิดเป็นคนกับเขาได้อีก

    เมื่อความเป็นมาของผีเป็นอย่างนี้ พวกเรายังจะไปนับถือพวกที่เคยทำชั่วมาแล้วเช่นนั้นหรือ ดังนั้น ผู้ที่นับถือผี ก็คือผู้ที่นับถือผู้ที่ทำความชั่วนั่นเอง เมื่อตายไปต้องไปเป็นลูกน้องผี ไปอยู่กับผี คอยรอรับเครื่องสังเวยจากพวกมนุษย์

    เมื่อมนุษย์ไม่นำไปให้ก็ต้องอยู่อย่างอดๆ อยากๆ ความหิวกระหายกดดันบังคับ จนทำให้ต้องเข้าสิงกายมนุษย์ หรือต้อง “ซูน” ให้เจ็บให้ป่วยเพื่อขออาหาร ให้เขาสังเวยเซ่นสรวงไปให้กิน ต้องอดอยากปากแห้งอยู่อย่างนั้น จนกว่าจะได้ไปผุดไปเกิด

    ส่วนเราเป็นมนุษย์ผู้มีใจสูงแล้ว เพราะสามารถที่จะทำให้มรรคผลนิพพานให้เกิดให้มีขึ้นได้ แล้วคิดจะพากันมาหลงงมงายนับถือผีกันอยู่ทำไม

    พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ นำพาพวกเราสู่อารยธรรมแนวใหม่ที่พระองค์ท่านค้นพบ ที่สมบูรณ์ด้วยเหตุผล แล้วพวกเรายังจะพากันหูหนาตาเถื่อนอยู่อีกหรือ

    การนับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คือการทำความดีด้วยกาย วาจา ใจ เมื่อเราทำดี ตายไปก็จะไปสู่สิ่งที่ดีคือ สุคติ ไม่ต้องไปเกิดทนทุกข์ทรมานเป็นเปรตเวทนาต่อไป

    ท่านเทวธมฺมี ยังสอนต่อไปว่า เรื่อง กรรม นี้ คือพระญาณที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ในยามที่สอง ในจำนวนทั้งหมด ๔ ญาณ

    กรรม คือการกระทำประกอบด้วยเจตนา ความตั้งใจ จงใจ ไม่ว่าดีหรือชั่ว กรรมนั้นจะตามสนองผู้กระทำไม่ช้าก็เร็ว ไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้า เพราะเรา มีกรรมเป็นของของตน มีกรรมเป็นผู้ให้ผล มีกรรมเป็นทายาท มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย

    ดังนั้น พวกที่ไปหลงในพิธีกรรมต่างๆ เช่น หักไม้ใส่มอ ดูหมอสังเวย เซ่นสรวงบูชา ถือฤกษ์งามยามดี วันจมวันฟู วันดีวันร้าย ถือผีถือสาง จึงเป็นลัทธิของคนโง่เขลา ไกลจากอารยธรรม ไกลจากแสงสว่างคือ พระธรรม เพราะเป็นการถือปฏิบัตินอกรีตนอกรอยของพระพุทธศาสนาไปแล้ว

    เมื่อเป็นเช่นนั้น อย่าหวังเลยว่า จะทำมรรคผล นิพพานให้บังเกิดขึ้นได้

    พวกเชื่อดวงชะตา หาว่าพระพรหมลิขิตขีดเส้นชีวิตให้เป็นไปจึงเป็นอารยธรรมของคนยุคหิน เพราะชีวิตของมนุษย์สัตว์โลกจะเป็นไปอย่างไรนั้น จะดีจะชั่ว จะสุขจะทุกข์ ก็ด้วยผลแห่งกรรมเท่านั้นที่ตามสนอง ทั้งในอดีต ปัจจุบันและอนาคต

    พระพุทธองค์ทรงเปรียบเทียบเวไนยสัตว์ เหมือนกับดอกบัวสี่เหล่า บุคคลที่หลงงมงายในสิ่งที่กล่าวมานี้คือเหล่าบัวที่ยังเป็นหน่อ จมปลักอยู่ในโคลนตม ไกลจากแสงสว่าง ไกลจากพระพุทธศาสนามาก

    เป็นผู้อยู่นอกศาสนา

    ศาสนา คือการปฏิบัติด้วยกาย วาจา ใจ เท่านั้น แม้ตัวจะกราบไหว้ทุกวี่ทุกวันก็ตาม พอออกจากวัดไปก็ไปไหว้ผีไหว้เจ้า สังเวยบวงสรวงศาลพระภูมิ ไตรสรณคมน์ ก็ขาดแล้ว เศร้าหมองแล้วการเข้าวัดก็ไม่มีความหมายอะไร

    ท่านยังสอนต่อไปว่า เราแขวนพระ เราถือพระ ก็คือเราอาราธนาเอาคุณพระไตรสรณคมน์ หรือพระรัตนไตรมาไว้ในตัวเรา เพราะพระที่เราแขวนเราถือ ก็คือสัญลักษณ์คุณเครื่องของพระไตรสรณคมน์ เมื่อเราถือเอาพระไตรสรณคมน์ คือ พระพุทธ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ สรณะอันนั้นก็เต็มเปี่ยมอยู่ในตัวเรา

    บุคคลที่แขวนพระห้อยพระอยู่ในคออยู่ที่ตัว เมื่อพระไตรสรณคมน์ที่ท่านสถิตอยู่ในวัตถุมงคลเหล่านั้น พอมนุษย์ไม่มีความเชื่อถือ ยังจะน้อมเอาคุณอันอื่นที่ไม่เป็นแก่นสารเข้าไปอีก ทั้งกินเหล้าเมายา ประพฤติผิดศีลธรรม ท่านจะอยู่ต่อไปในวัตถุมงคลนั้นได้อย่างไร

    ในเมื่อท่าน ก็คือศีลธรรม ท่านก็เสด็จออกจากวัตถุ เหล็กทอง ปูน ดิน ว่าน เหลือเพียงเศษเหล็ก เศษทอง เศษปูน เศษดิน เศษว่านเท่านั้นเอง

    เมื่อปฏิบัติไม่ถูกต้องแล้ว จะให้ท่านคุ้มครองรักษาเราได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ท่านเป็นผู้หนึ่งที่ยอมรับอยู่มิใช่หรือว่าพระเครื่อง เครื่องรางของขลังมีอยู่จริง ฯลฯ
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ภาค ๒ : บนทางเส้นใหม่ : เข้าเป็นศิษย์ท่านเทวธมฺมี


    หลังจากที่หลวงปู่ใหญ่เสาร์ กนฺตสีโล ตัดสินใจจะขอบวชตลอดชีวิต และได้สละข้าวของเงินทองที่เคยสะสมมาจนหมดสิ้นแล้ว ท่านก็ได้พยายามคิดทบทวน ดูจิตดูใจของท่านเองว่า เราบวชเรียนมาก็มากกว่าสิบปีแล้ว จนสามารถท่องจำพระวินัยได้เกือบหมด แต่เหตุไฉนจิตใจของเราจึงยังมืดมนอนธกาลอย่างนี้หนอ ที่เราดำเนินมาตั้งแต่ต้นเห็นจะไม่ถูกทางแน่นอน เราจำเป็นจะต้องหาทางเดินเส้นใหม่

    หลวงปู่ใหญ่ พยายามมองหาผู้รู้เพื่อชี้แนะทางเดินที่ถูกต้อง ในสมัยนั้นได้ทราบข่าวว่า อาชญาเทวธมฺมี (ม้าว) ที่วัดศรีทอง เป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ตรงต่อพระธรรมวินัย ตรงต่อมรรคผลนิพพาน

    เมื่อหลวงปู่ใหญ่พิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว ท่านจึงละทิ้งทิฎฐิความเป็น “ญาคู” ของท่าน มุ่งตรงไปยังวัดศรีทอง ที่พำนักของอาชญาท่านเทวธมฺมี ทันที เพื่อขอรับฟังธรรม

    เมื่อไปถึง อาชญาท่านได้เทศน์อบรมสั่งสอนให้ล้มเลิกการกระทำที่ไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย และที่ไม่ใช่หนทางของพระพุทธเจ้าที่ดำเนินมา เป็นต้นว่า การเซ่นสรวงบูชา พาเขาแต่งเสียเคราะห์เสียคาย ผูกดวง ดูดวง หาฤกษ์หายาม วันจมวันฟู เวลาดีเวลาร้าย เครื่องรางของขลัง คงกระพันชาตรี

    การกระทำเหล่านี้ นอกจากเป็นการกระทำนอกลู่นอกทาง ห่างไกลจากมรรคผลนิพพานแล้ว ยังเป็นการมอมเมาให้ประชาชนออกนอกรีตนอกรอยของพระพุทธศาสนาอย่างสิ้นเชิง

    นอกจากนี้แล้ว อาชญาท่าน ยังแนะนำให้เลิกละเครื่องเกี่ยวข้อในประเพณีบางอย่าง อันเป็นทางเครื่องติดโลกโลกีย์ เครื่องสั่งสมกิเลสให้พอกพูน ซึ่งพระสงฆ์ไม่ควรไปยุ่งเกี่ยว ได้แก่ การเล่นบั้งไฟ เล่นกลองแข่ง กลองเส็ง เล่นเรือแข่ง เป็นต้น

    ผู้ที่ต้องการเข้าถึงมรรคผลนิพพาน จะต้องเลิกลาสิ่งดังกล่าวข้างต้นโดยเด็ดขาด และหันเข้ามาประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยที่แท้จริง ได้แก่การเจริญศีล สมาธิ และปัญญา ให้เต็มรอบบริบูรณ์ซึ่งเป็นของที่ไม่วิปริตแปรผัน อันพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกได้พาดำเนินมาแล้วด้วยดี

    ท่านอาชญาเทวธมฺมี ได้สอนต่อไปว่า พระ คือผู้ประเสริฐผู้สละเพศจากคฤหัสถ์แล้ว จะต้องไม่เป็นผู้ขวนขวายเพื่อ ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ เพราะอันนั้นมันคือเหล็กแดงของร้อนโดยแท้ นั้นเป็นเรื่องของฆราวาสญาติโยมเขาทำกัน

    พระเราจะต้องรู้ จะต้องทำความเข้าใจ ด้วยพระเราเป็นที่สักการะเป็นเนื้อนาบุญของโลก สมณะ คือผู้สงบ ผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร ความทนทุกข์ทรมาน ความเจ็บความตาย ความโศกเศร้าโศกาอาดูร

    ให้เบื่อหน่ายให้เห็นภัยในวัตถุเหล่านี้ พยายามทำให้สิ้นให้หมด อย่าไปยึดถือ แม้ยังไม่สิ้นไม่หมด ก็จะเป็นอุปนิสัยติดตามตนต่อไปในภายภาคหน้า

    การปฏิบัติของผู้เดินทางในเส้นทางศีล สมาธิ ปัญญา คือการปฏิบัติที่กาย วาจา ใจ ของเรานี้เอง เป็นหนทางของพระอริยเจ้า

    สาวกผู้ยึดมั่นในธุดงควัตร ๑๓ คือกุลบุตรของพระตถาคตโดยแท้

    ผู้พิจารณาไปนอกเหนือจากอริยสัจ คือผู้หลงทางเพราะมีดวงตาอันมืดบอด

    ท่านหลวงปู่ใหญ่เสาร์ กนฺตสีโล ได้พิจารณาตามคำสอนของอาชญาท่านเทวธมฺมี ก็เห็นจริงไปตามกระแสธรรมที่ท่านแสดง แล้วท่านรับมาลงมือปฎิบัติในทันที โดยไม่มีข้อสงสัยในคำสอนแต่อย่างใด
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    พาหมู่คณะเข้ารับการอบรมธรรม


    ในระยะแรกๆ หลวงปู่ใหญ่เสาร์ กนฺตสีโล ไปรับฟังโอวาทธรรมจาก อาชญาท่านเทวธมฺมี เพียงองค์เดียว แล้วนำมาพิจารณาประพฤติปฏิบัติจนเห็นจริงตามกระแสธรรม ที่ได้สดับรับฟังมา และเริ่มต้นนั่งสมาธิภาวนา เดินจงกรม ตามวิธีการที่ได้รับมาอย่างจริงจัง ได้รับความสงบความเห็นใจและเห็นว่าเป็นแนวทางที่ตรงกับจริงของท่าน มีความมั่นใจในการปฏิบัติธรรมมากยิ่งขึ้น

    ต่อมาหลวงปู่ใหญ่ ได้ชักชวนสหธรรมิกที่ใกล้ชิด คือ หลวงปู่หนู ฐิตปญฺโญ (ภายหลังมีสมณศักดิ์ที่พระปัญญาพิศาลเถร เจ้าอาวาสวัดปทุมวนาราม เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ) และหมู่คณะที่พำนักอยู่วัดใต้ด้วยกันไปฟังเทศน์ที่วัดศรีทองด้วยเป็นจำนวนมาก

    หลังจากที่หลวงปู่ใหญ่เสาร์ และพระภิกษุสามเณรได้รับการอบรมธรรมจากอาชญาท่านเทวธมฺมี แล้ว การประพฤติปฏิบัตินอกหนทางพระศาสนาที่เคยทำมาแบบเก่า ก็พากันเลิกหมด หันเข้ามาประพฤติปฏิบัติด้วยการเดินจงกรม ทำสมาธิภาวนา พยายามรักษาศีลให้บริสุทธิ์ เลิกการฉันเพล โดยฉันหนเดียวเป็นวัตร เป็นการปฏิบัติแนวใหม่เพื่อมุ่งตรงต่อนิพพานอย่างจริงจังมากขึ้น โดยที่ไม่เคยได้รับรู้ในเรื่องเหล่านี้มาก่อนเลย

    การประพฤติปฏิบัติตนใหม่ของหลวงปู่เสาร์และพรรคพวกนี้ ทำให้ญาติโยมและพระภิกษุบางพวกไม่พอใจ โดยเฉพาะเมื่อท่านเลิกเล่นหรือแข่ง (การแข่งเรือ) ทำให้ญาติโยมส่วนมากไม่พอใจ พากันนินทาว่าร้ายท่านต่างๆ นานา หาว่าท่านทำลายประเพณีที่ทำสืบทอดกันมานานโดยเฉพาะหรือแข่งของวัดใต้นั้นมีชื่อเสียงมาก

    เสียงนินทาว่าร้ายต่างๆ มีมากระทบท่านมากมาย แต่หลวงปู่ใหญ่ท่านก็เฉยเสีย ไม่ปริปากโต้ตอบใดๆ ทั้งสิ้น แต่ท่านก็ไม่ได้ขัดขวางการกระทำของคนอื่น แต่จะให้ลงมาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงพาพระเณรและประชาชนลงแข่งเรือในนามของวัดนั้น ท่านไม่ขอยุ่งเกี่ยวด้วย

    เมื่อเห็นหลวงปู่ใหญ่ เดินจงกรม นั่งสมาธิอย่างเอาจริงเอาจัง ก็โดนเพื่อนพระด้วยกัน แม้กระทั่งพระผู้ใหญ่บางท่าน ต่างพูดเยาะเย้ยเลยใส่ท่านว่า “ถ้าญาคูเสาร์ไปสวรรค์นิพพานจริงๆ ก็ขอห้อยขอแขวนหางด้วยเด้อ”

    โดยนัยแห่งคำพูด ก็หมายถึงว่าถ้าหาก หมา สามารถไปนิพพานได้ ก็จะขอเกาะหางตามไปด้วย

    แทนที่หลวงปู่ใหญ่จะโกรธ ท่านกลับนิ่งเฉย ทำให้เห็นว่าคำพูดเหล่านั้นไม่มีความหมายใดๆ สำหรับท่าน ท่านเพียงพูดว่า “เขามีปากให้เขาพูดไป สิ่งเหล่านี้ใครทำใครได้”

    จากปฏิปทาของท่านจะแสดงให้เห็นถึงความอดทนอย่างยอดเยี่ยมตลอดชีวิตของท่าน ไม่ว่าจะต่อสู้กับสภาพความทุกข์ลำบากในป่าเขาลำเนาไพร การต่อสู้กับกิเลสต่างๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงแรกๆ ต้องต่อสู้กับปากคน และการขัดขวางของคนที่ไม่เห็นด้วย ซึ่งท่านสามารถเอาชนะอุปสรรคทุกอย่างด้วยความอดทนและความสงบเย็นของท่าน
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ญัตติกรรมเป็นพระธรรมยุต


    แม้การปฏิบัติธรรมในแนวใหม่ของหลวงปู่ใหญ่เสาร์ กนฺตสีโลจะได้รับความสงบเย็นและก้าวหน้าไปด้วยดี แต่ก็ยังมีอุปสรรคขวางกั้นทำให้ไม่มีความสะดวกเท่าที่ควร ทั้งนี้เพราะเป็นพระในสังกัดคนละนิกาย

    ถึงแม้อาชญาท่านเทวธมฺมี จะยอมรับหลวงปู่ใหญ่ เป็นศิษย์และให้การอบรมสั่งสอนอย่างเต็มที่ก็ตาม เนื่องจากสังกัดคนละนิกาย จึงไม่สามารถเข้าอุโบสถร่วมสังฆกรรมกันได้ นอกจากนี้ก็ไม่สามารถไปหยิบจับหรือแตะต้องของใช้ของฉันของท่านได้ ถ้าถูกต้องแล้วจะต้องประเคน (ถวาย) ใหม่เหมือนกับฆราวาสทั่วไป

    อุปสรรคที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ การพูดจาว่าร้ายและการขัดขวางจากพระในสังกัดนิกายเดิมของท่าน ที่บรรดาพระเหล่านั้นไม่เห็นด้วยกับการฉันหนเดียว การฉันในบาตร รวมทั้งการมือไวปากไวของพระเณรทั้งหลาย ที่เคยชินมาแต่เดิม ต้องมีการพลั้งเผลอบ่อยๆ เพราะขาดการสำรวมระวังอย่างจริงจัง ทำให้ต้องล่วงละเมิดวินัยของพระอยู่เสมอๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่มีอะไรที่มาเป็นกรอบบังคับ ทำให้ความเกียจคร้านเข้ามาครอบงำ ไม่สามารถประกอบความเพียรอย่างเต็มที่ได้

    พระที่ไม่เห็นด้วยต่างพากันเป็นปรปักษ์กับท่าน แทนที่จะพากันเป็นปรปักษ์ศัตรูคู่อาฆาตกับกิเลสที่อยู่ในใจของตน ซึ่งถือเป็นงานหลักของนักบวชในพระพุทธศาสนา

    ด้วยอุปสรรคทั้งหลายทั้งปวง ในที่สุด หลวงปู่ใหญ่และพระเณรในวัดใต้ ทั้งหมดได้พร้อมใจกันเข้าญัตติกรรมเป็นพระธรรมยุตกันทั้งวัด เป็นการบวชครั้งที่ ๒ ณ อุโบสถวัดศรีทอง (วัดศรีอุบลรัตนาราม) โดยมีพระครูทา โชติปาโล เป็นพระอุปัชฌาย์ และเจ้าอธิการสีทา ชยเสโน เป็นพระกรรมวาจาจารย์

    ด้วยเหตุนี้ วัดใต้ จึงได้กลายเป็นวัดธรรมยุตตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

    <TABLE id=table15 border=0 width=122><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>
    พระอาจารย์สีทา ชยเสโน
    </TD><TD>
    พระปัญญาพิศาลเถร
    พระอาจารย์หนู ฐิตปญฺโญ)
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    เร่งความเพียรอย่างเต็มที่


    เมื่อหลวงปู่ใหญ่เสาร์ กนฺตสีโล และพระเณรในวัดใต้ประกอบพิธีญัตติกรรม เป็นพระในสังกัดธรรมยุติกนิกายเรียบร้อยแล้ว ความกังวลใจที่เนื่องจากคำพูดกระทบกระเทียบเปรียบเปรยจากหมู่พวกในนิกายเดิมก็ลดลงไป สามารถปฏิบัติตามแนวทางธรรมยุตได้เต็มที่ไม่ต้องคอยเกรงอกเกรงใจหรือกล้าๆ กลัวๆ ต่อไปอีก

    ในการประกอบความเพียรนั้น หลวงปู่ใหญ่เสาร์ และคณะต่างพากันรีบเร่งโดยไม่นิ่งนอนใจ เวลาที่ผ่านไปทุกขณะเป็นเวลาแห่งชีวิต คนเราจะตายในวินาทีใดก็ได้ ท่านจึงไม่ประมาท ตั้งตัวเป็นศัตรูคู่อาฆาตกับความเกียจคร้านโดยไม่เห็นแก่นอน ไม่เห็นแก่ปากแก่ท้อง ไม่เห็นแก่ลาภสักการะ และสิ่งสรรเสริญเยินยอต่างๆ เพราะสิ่งเหล่านี้มันเป็นหนามแหลมคม ที่ทิ่มแทงสรรพสัตว์ ให้ได้รับความปวดแสบสาหัสสากรรจ์มานาน จนนับภพนับญาติไม่ถ้วน

    หลวงปู่ใหญ่ ยึดมั่นในหลักธุดงควัตร ๑๓ โดยถือเป็นเกราะเพื่อป้องกันความหลง ความเผลอไผล ในการดำเนินบนเส้นทางแห่งศีล สมาธิ ปัญญา โดยมีการเดินจงกรม การทำสมาธิภาวนา เป็นพาหนะนำไปสู่หลักชัย คือ มรรค ผล นิพาน แดนเกษมที่ชาวพุทธปรารถนาเป็นที่สุด

    ในประวัติ ไม่ว่าหลวงปู่ใหญ่ จะไปที่ใด อยู่ที่ใด จิตใจท่านมิได้เหินห่างคลาดเคลื่อนไปจากความเพียร นับแต่ไปบิณฑบาต ปัดตาด กวาดลานวัด ขัดกระโถน เย็บผ้า ย้อมผ้า เดินไปเดินมาในวัดและนอกวัด ตลอดจนการขบฉัน ยืน เดิน นั่ง นอน ทุกอิริยาบถ จะตั้งสติกำหนดอยู่กับความเพียรทุกขณะไม่ให้คลาดเคลื่อน ไม่ยอมให้อารมณ์ภายนอกมากระทบจิตใจให้วอกแวกแส่ส่ายไปตามอารมณ์นั้น หรือไม่ยอมให้จิตปรุงแต่งไปตามอารมณ์ จิตของท่านก็ได้รับความสงบเย็นเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ

    <TABLE id=table16 border=0 width=122><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>
    หลวงตาพระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน
    แสดงพระธรรมเทศนา
    ในวันเปิดพระเจดีย์หลวงปู่เสาร์ ณ วัดดอนธาตุ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    พระครูวิเวกพุทธกิจ


    หลวงปู่ใหญ่เสาร์ กนฺตสีโล ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ที่พระครูวิเวกพุทธกิจ ตั้งแต่เมื่อใด ไม่มีการบันทึกไว้

    เมื่อศึกษาประวัติ และข้อวัตรที่ท่านบำเพ็ญมาตลอดชีวิตจะเห็นว่า หลวงปู่ใหญ่ เป็นผู้ชอบความสงบอย่างแท้จริง

    ในบันทึกของหลวงพ่อโชติ อาภคฺโค ได้กล่าวถึงอุปนิสัยของหลวงปู่ใหญ่ ดังนี้ :-

    “อุปนิสัยที่แท้จริงของพระอาจารย์เสาร์ ท่านเป็นผู้สันโดษชอบความสงบ ไม่ระคนด้วยหมู่คณะ ไม่ชอบความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม

    ตลอดเวลาการบำเพ็ญสมณธรรม ถ้าที่ไหนมีความวุ่นวาย จุ้นจ้านท่านก็จะปลีกตัวออกหนีทันที

    อุปนิสัยของท่านเช่นนี้ จะเห็นได้จากการเที่ยวเพื่อบำเพ็ญเพียรและเผยแผ่สัจจธรรมของท่าน ท่านจะท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ ที่ห่างไกลผู้คน

    พอไปถึงสถานที่ที่สงบสงัด เหมาะสม ตั้งหลักลงที่ไหน ที่นั้นจะต้องกลายเป็นวัดเป็นสำนักปฏิบัติธรรมทันที สถานที่ที่ท่านเคยพักบำเพ็ญเพียรจึงเกิดเป็นวัดป่าเป็นร้อยๆ แห่งในภาคอิสาน และทางฝั่งประเทศลาว

    การเที่ยวไป แม้จะไปเป็นหมู่คณะ แต่จะเงียบสงบเหมือนกับไม่มีพระไม่มีคนในที่นั้นเลย

    ญาติโยมคนเฒ่าคนแก่ในสถานที่ต่างๆ ที่ท่านเคยจาริกผ่านไปเล่าให้ข้าพเจ้า (หลวงพ่อโชติ) ฟังว่า เมื่อท่านเดินทางมาถึงที่ปักกลดพัก มีพระเณรติดตามท่านมามากทีเดียว กระทั่งพระธุดงค์จรก็จะเที่ยวมากราบนมัสการฟังโอวาทจากท่านมิได้ขาด

    ทั้งๆ ที่มาเป็นจำนวนมากๆ อย่างนั้น ก็ดูเหมือนว่าไม่มีพระอยู่เลย ในวัดเงียบสงัด ไม่มีการจับกลุ่มพูดคุย ไม่มีพระเณรเดินเพ่นพ่านให้เห็น ไม่มีการหยอกล้อ แม้เสียงกระแอมไอก็ไม่มี

    ต่างองค์ต่างบำเพ็ญเพียรทางจิต นั่งสมาธิภาวนาหรือเดินจงกรมในที่ของตนโดยมิได้ประมาท

    เมื่อเข้าไปภายในวัด จะเห็นเพียงพระอาจารย์กับศิษย์อุปัฏฐากของท่านเท่านั้น พระนอกนั้นจะเข้าหาที่สงัดวิเวก ตั้งหน้าบำเพ็ญเพียรดูจิตดูใจของตน ไม่ได้มาชุมนุมพูดจากัน

    วัดทั้งวัดเหมือนกับเป็นวัดร้าง จะเห็นมีพระเณรก็ในเวลาเช้า พระจะออกมาบิณฑบาต มารวมฉันภัตตาหาร อีกครั้งก็ตอนเวลาเย็น พระจะออกมาปัดกวาดตาด ตักน้ำเป็นน้ำใส่โอ่งใส่ตุ่มทุกแห่ง

    ในเวลาที่พระมารวมกันเช่นนี้ จึงจะเห็นพระเณรมากันเต็มไปหมด แม้กระนั้นก็ตาม ท่านจะพูดกันเท่าที่จำเป็นและพูดเพียงเบาๆ พอได้ยินระหว่างคู่สนทนาเท่านั้น ทุกท่านทุกองค์ต่างพากันสำรวมปิดประตูทวารทั้งหมด (หู ตา จมูก ลิ้น กายใจ) อย่างเต็มที่ ทำทุกอย่างด้วยความสงบเสงี่ยมระวังกายระวังใจ ไม่ให้เผลอสติออกนอกกายนอกใจตน เป็นการปฏิบัติภาวนาทุกอิริยาบถ และทุกช่วงลมหายใจเข้าออก

    พระป่าท่านพยายามฝึกกันถึงขนาดนั้นจริงๆ เพราะท่านเห็นภัยในความเอิกเกริกเฮฮาสาไถย์ต่างๆ เพราะอย่างนี้เองพระธุดงค์กรรมฐานท่านจึงพากันได้ดิบได้ดีในทางธรรม เป็นที่เคารพศรัทธาแก่หมู่ชนทั่วไป

    บรรดาพระลูกศิษย์ที่ติดตามปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่ใหญ่ในสมัยนั้น ก็ได้แก่บูรพาจารย์สายธุดงค์กรรมฐานในยุคต่อมานั้นเอง ซึ่งรวมทั้ง หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต หลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม สืบมาจนถึงหลวงพ่อพุธ ฐานิโย เป็นต้น
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ไม่เอาเรื่องพิธีกรรมตลอดจนไสยศาสตร์ต่าง ๆ


    เกี่ยวกับเสียงรบกวนและความจุ้นจ้านวุ่นวายต่างๆ หลวงปู่ใหญ่เสาร์ กนฺตสีโล หรือ พระครูวิเวกพุทธกิจ ตามสมณศักดิ์ของท่าน ท่านได้เข้มงวดกวดขัน ไม่ยอมให้เกิดให้มีในวัดที่ท่านปกครองอยู่

    เป็นต้นว่า เสียงไก่ ซึ่งสมัยนั้นคนมักนิยมเอาไปปล่อยในวัด โดยเชื่อกันว่าเป็นการสเดาะเคราะห์ เสียกรรม หรือ “โผดสัตว์” ปล่อยสัตว์ เพื่อเป็นการต่ออายุ และทำให้ตนเองหมดเคราะห์หมดโศก

    นอกจากนี้ก็ความเชื่อเรื่องพิธีกรรมต่างา เช่น การต่อหลักปีค้ำโพธิ์ (เอาไม้ไปค้ำต้นโพธิ์) ค้ำไฮ เหล่านี้เป็นพิธีกรรมที่นิยมทำกันมาแต่บรรพกาล

    เรื่องต่างๆ เหล่านี้ หลวงปู่ใหญ่ ท่านสอนไม่ให้เชื่อ ไม่ให้ทำกันซึ่งไม่ใช่แนวทางตามหลักพระพุทธศาสนา เป็นการงมงายที่ปฏิบัติต่อๆ กันมา

    เกี่ยวกับการเอาไก่มาปล่อยในวัด หลวงปู่ใหญ่ จะไม่ยอมเป็นอันขาด ท่านแนะนำให้ไปปล่อยที่อื่น แต่ญาติโยมก็ยังขัดขืนดื้อดึงเอาไปแอบปล่อยหลังวัด

    พอท่านได้ยินเสียงไก่ขัน หรือส่งเสียง ท่านก็จะสั่งให้ลูกศิษย์ตามจับ แล้วเอาไปปล่อยที่อื่นไกลๆ เพราะท่านไม่ชอบเสียงและความจุ้นจ้านของมัน เนื่องจากรบกวนการประพฤติธรรมของบรรดาพระเณร

    นอกจากจะเป็นไก่ป่าจริงๆ ซึ่งมันพากันมาอาศัยอยู่ตามบริเวณวัด มันอยู่อย่างธรรมชาติจริงๆ ไม่จุ้นจ้านเหมือนไก่บ้าน (ซึ่งอาจติดนิสัยบ้านมาจากคนก็ได้)

    ปฏิปทาเหล่านี้เองเป็นเครื่องบ่งบอกให้เห็นว่าหลวงปู่ใหญ่ทานชอบความสงบสงัดและความวิเวกอย่างแท้จริง สมกับราชทินนามพระครูวิเวกพุทธกิจ ของท่าน

    อุปนิสัยที่ชอบความวิเวก ไม่ระคนด้วยหมู่คณะนี้ท่านเริ่มดำเนินอย่างชัดเจนตั้งแต่เริ่มอธิษฐานจิตเพื่อขอบวชตลอดชีวิต ต่อมาถึงการได้ฟังเทศน์จากอาชญาท่านเทวธมฺมี (ม้าว) การเข้าพิธีญัตติกรรมเป็นพระธรรมยุต ท่านมุ่งหน้าสู่ปฏิปทาแนวใหม่ เพื่อบำเพ็ญเพียรมุ่งสู่ความหลุดพ้นและหมดกิเลสอย่างแท้จริง
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    สลดสังเวชในกามกิเลส


    วัดใต้ ที่หลวงปู่ใหญ่เสาร์ กนฺตสีโล พำนักจำพรรษาและเป็นสถานที่แห่งแรกที่ท่านเริ่มต้นการบำเพ็ญเพียร เป็นวัดที่อยู่นอกเมืองยังเป็นสถานที่เงียบสงบพอประกอบความเพียรได้ดีอยู่

    ต่อมาหมู่คณะก็มีมากขึ้น อารมณ์กิเลสก็มีมากเป็นเงาตามตัวท่านจึงต้องย้ายที่ใหม่เพื่อการบำเพ็ญเพียร

    ดังนั้น ทุกๆ วัน หลังจากทำภัตกิจในตอนเช้าเสร็จ หลวงปู่ใหญ่จะถือโอกาสหลีกเร้นจากหมู่คณะ ไปหาที่บำเพ็ญเพียรตามลำพังองค์เดียว เที่ยวไปตามป่าละเมาะด้านหน้าของวัดใต้

    หลวงปู่ใหญ่ เล่าให้ศิษย์ฟังว่า สถานที่นั้นถือว่าห่างไกลจากพระ ห่างไกลจากผู้คนแล้ว ก็ยังมีพวกหนุ่มสาวแอบไปพลอดรักกัน แอบกระทำกามกิจให้ท่านได้รู้ได้เห็นอยู่อีก แสดงถึงกิเลสตัณหาและเครื่องยั่วยวนใจนั้นมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง จึงขึ้นอยู่ที่ตัวเราว่าจะหนักแน่นมั่นคงเพียงใด

    ท่านเล่าให้ฟังว่า วันหนึ่ง หลังจากฉันภัตตาหารในตอนเช้าเสร็จแล้ว ท่านก็หลีกเร้นออกไปทำความเพียรดังที่เคยทำมาทุกวัน หลังจากเดินจงกรมพอประมาณแล้ว ท่านก็เข้าที่นั่งสมาธิภาวนาสงบนิ่งอยู่

    ตรงที่ท่านนั่งนั้นเป็นจอมปลวกสูงใหญ่ (ทางภาคอิสานเรียกโพนใหญ่) ท่านนั่งสมาธิไปจนถึงเวลาบ่ายคล้อย ก็เกิดได้ยินเสียงหญิงชายกระซิบกระซาบในเชิงพลอดรักกันในบริเวณนั้น ตอนแรกท่านคิดว่าเป็นเสียงที่เกิดในนิมิต ท่านก็สงบนิ่งดูอยู่

    สักพักหนึ่งท่านลืมตาขึ้น ก็เห็นภาพปรากฏขึ้นจริงต่อหน้าต่อตา มีหนุ่มสาวคู่หนึ่ง น่าจะเป็นเด็กที่เอาวัวควายมาเลี้ยง แล้วหลบมาพลอดรัก กระทำกามกิจกันอยู่ที่ตีนจอมปลวกนั้น พวกเขาไม่รู้สึกละอายแก่สิ่งใด คิดว่าคงไม่มีใครรู้เห็นการกระทำของพวกเขา

    หลวงปู่ใหญ่ คงไม่อยากให้พวกเขาต้องอับอายจึงหลับตาสงบนิ่ง โดยที่พวกเข้าคงไม่รู้ว่ามีคนอื่นอยู่แถวนั้นด้วย

    หลวงปู่ใหญ่ เล่าว่า ทั้งภาพและการกระทำที่ท่านพบเห็นนั้นชวนให้ปลงสังเวชเป็นอย่างยิ่ง ที่เห็นมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลายยังหมกอยู่ ของอยู่ จมอยู่ ในกิเลสวัฏฏะ ไม่อาจข้ามพ้น ต้องมืดมนบอดบ้าในสังสารวัฏร่ำไป

    เมื่อพิจารณาจนถ้วนที่แล้ว ท่านบอกว่าเกิดความเบื่อหน่ายในการที่ต้องเวียนเกิดเวียนตายอยู่ร่ำไป ทำให้ท่านตั้งความปรารถนาขึ้นว่า ถ้ายังไม่หลุดพ้น ถ้าหากยังต้องเกิดอีก จะขอเว้นจากเรื่องเพศตรงข้ามทุกภพทุกชาติไป ขอบวชอุทิศพรหมจรรย์ถวายในพระพุทธศาสนาเพื่อให้พ้นกลมายาโลกเหล่านี้ตลอดไป
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    เกิดวัดใหม่ชื่อวัดเลียบ


    บริเวณป่าละเมาะด้านหน้าวัดใต้ ที่หลวงปู่ใหญ่เสาร์ กนฺตสีโลหลีกจากหมู่คณะออกมาบำเพ็ญเพียรนี้ ต่อมาก็มีหมู่คณะตามมาปฏิบัติด้วย ต่างเห็นว่าเป็นที่สงบสงัดดี

    บรรดาพระที่มาบำเพ็ญภาวนานั้น ได้พากันปลูกกระต๊อบหลังเล็กๆ แยกกันอยู่ตามจุดที่แต่ละองค์ถูกอัธยาศัย ต่อมาก็สร้างศาลาหอฉันขึ้นเป็นการชั่วคราว จนกระทั่งสถานที่ใหม่นี้เกิดเป็นวัดขึ้นมาในภายหลัง นั่นคือ วัดเลียบ และก็เป็นวัดสังกัดคณะธรรมยุตไปโดยปริยาย

    ต่อมาทางเจ้าเมืองได้ตัดถนนผ่านด้านหน้าวัดใต้ ที่ดินในบริเวณนั้นจึงกลายเป็นวัด ๒ วัด ตั้งอยู่คนละฟากถนนคือฟากหนึ่งเป็นวัดใต้ที่อยู่เดิม และอีกฟากหนึ่งก็เป็นวัดเลียบ ได้มีการพัฒนามาเป็นลำดับจนเป็นวัดที่มีความมั่นคงและสวยงามในปัจจุบัน

    วัดใต้ กับ วัดเลียบ จึงเป็นเสมือนวัดพี่วัดน้องที่มีถนนคั่นกลางมาเท่าทุกวันนี้

    วัดเลียบ เมืองอุบลราชธานีแห่งนี้เอง เป็นวัดที่หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ได้มาถวายตัวเป็นศิษย์วัดอยู่กับหลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโลกตั้งแต่ครั้งยังเป็นป่า ที่พักสงฆ์ยังเป็นเพียงกุฏิกระต๊อบหลังเล็กๆ อยู่ ซึ่งหลวงปู่มั่นก็ได้บวชเป็นสามเณร และบวชเป็นพระในเวลาต่อมา

    ดังนั้น วัดเลียบเมืองอุบลฯ จึงเป็นจุดเริ่มต้นในทางพระพุทธศาสนาของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต พระอาจารย์ใหญ่สายธุดงค์กรรมฐานในยุคปัจจุบัน

    สำหรับประวัติความเป็นมาของวัดเลียบ ตามที่ปรากฏในประวัติวัด ฉบับพิมพ์ พ.ศ. ๒๕๔๑ (ซึ่งผมคัดลอกมาจากหนังสือของท่านอาจารย์พิศิษฐ์ ไสยสมบัติ อีกทีหนึ่ง) มีดังนี้ -

    “เมื่อจุลศักราช ๑๒๑๐ ตรงกับ พ.ศ. ๒๓๙๑ ปีวอก เอกศกเดือน ๑๒ ขึ้น ๑๐ ค่ำ วันพฤหัสบดี ได้ตั้งวัดเลียบ มีเนื้อที่ ๙ ไร่ ๑ งาน ๓๗ ตารางวา มีสมภารอยู่นับได้ ๑๐ รูป และมีพระอาจารย์ทิพย์เสนาแก่นทิพย์ ฉายา ทิพฺพเสโน เป็นหัวหน้าปกครองคณะสงฆ์ ต่อมาท่านได้มรณภาพลง สำนักสงฆ์แห่งนี้จึงร้างไป

    ต่อมา พระครูวิเวกพุทธกิจ (เสาร์ กนฺตสีโล) ได้มาเป็นสมภารเมื่อจุลศักราช ๑๒๕๔ ตรงกับ พ.ศ. ๒๔๓๕ ปีมะเส็ง เบญจศก เดือน ๕ ขึ้น ๑ ค่ำ วันอังคาร พร้อมภิกษุสามเณร

    ส่วนฆราวาสมี พระอุบลการประชานุกิจ (บุญชู) พระสุระพลชยากร (อุ่น) ท้าวกรมช้าง (ทองจัน) สังฆการีจารปัจฌา สังฆการีจารเกษ และทายกทายิกา ได้พร้อมกันมีศรัทธาสร้าง ขยายวัดออกทางด้านบูรพา กว้างได้ ๑๑ วา ยาว ๖๔ วา ๒ ศอก ด้านอุดร กว้าง ๑๘ วา ๒ ศอก ยาว ๕๓ วา และได้สร้างรั้วรอบวัดมีเสนาสนะ มีพัทธสีมา ๑ มีหอแจก ๑ หลัง หอฉัน ๑ หลัง มีกุฏิ ๔ หลัง โปง ๑ และได้ปลูกต้นไม้ ได้แก่ มะพร้าว ๒๑๐ ต้น หมาก ๖๐ ต้น มะม่วง ๔๐๐ ต้น หมากมี้ (ขนุน) ๓๒๘ ต้น มะปราง ๒๕ ต้น



    ต่อมาพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล พร้อมด้วยท้าวสิทธิสาร และเพียเมืองจันได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานวิสุงคามสีมา ตามพระราชโองการที่ ๘๗/๓๐๓ ตั้งแต่วันที่ ๒๖ มีนาคม พ ศ ๒๔๓๙ ตรงกับ ร.ศ. ๑๑๕ อันเป็นปีที่ ๒๙ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ มีขนาดด้านยาว ๗ วา ด้านกว้าง ๕ วา

    อุโบสถหลังเดิมมีขนาดกว้าง ๘ เมตร ยาว ๑๒ เมตร ก่อสร้างด้วยไม้ หลังคามุงด้วยสังกะสี ควบคุมการก่อสร้างโดยพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสี โล

    ภายในอุโบสถประดิษฐานพระประธาน นามว่า “พระพุทธจอมเมือง” ซึ่ง พระอาจารย์เสาร์เป็นผู้สร้าง...”

    <TABLE id=table17 border=0 width=122><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD colSpan=2>
    พระพุทธจอมเมือง พระประธานในโบสถ์วัดเลียบ
    หลวงปู่ใหญ่เสาร์ สร้างถวายรัชกาลที่ ๕
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ได้ศิษย์เอกชื่อว่ามั่น


    มีอยู่ช่วงหนึ่ง ประมาณปี พ.ศ. ๒๔๓๔ - ๒๔๓๕ หลวงปู่ใหญ่เสาร์ กนฺตสีโล ได้ออกธุดงค์มาพักที่กุดเม็ก ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านคำบง อำเภอโขงเจียม ออกไปประมาณ ๒ กิโลเมตร

    คำว่า “กุดเม็ก มาจากคำว่า กุด คือลุ่มน้ำที่ปลายขาดห้วงเรียกปลายกุด และ เม็ก คือต้นสะเม็ก หรือที่เราเรียกว่า ผักเม็ก ยอดสีน้ำตาลอ่อน มีรสฝาด เอามาจิ้มกับน้ำพริก หรือกินกับลาบนั่นเอง

    กุดเม็ก เป็นป่าร่มรื่นอยู่ติดกับลำห้วยยาง ที่ไหลลงมาจากภูหล่น มีน้ำอุดมสมบูรณ์ตลอดปี แม้ปัจจุบันนี้ชาวบ้านคำบงและหมู่บ้านใกล้เคียง ยังได้อาศัยน้ำที่นี่ดื่มกิน ยามขาดแคลนในหน้าแล้ง

    ข้อมูลนี้ได้จากหนังสือของท่านพระครูกมลภาวนากร เจ้าอาวาสวัดภูหล่น ซึ่งท่านได้บรรยายต่อไปว่า กุดเม็กนี้ยังเป็นป่าร่มรื่นดีอยู่ในปัจจุบัน เพราะชาวบ้านคำบงได้เห็นความสำคัญของสถานที่ของพระบูรพาจารย์ จึงได้ร่วมกันอนุรักษ์สถานที่แห่งนี้ไว้

    สมัยที่หลวงปู่ใหญ่เสาร์ มาพักบำเพ็ญเพียรอยู่นั้น กุดเม็กยังเป็นป่ารกชัฏไปตลอดแนวของลำห้วยยาง ผู้เฒ่าเล่าให้ฟังว่าพอถึงตอนกลางคืน แถวนั้นดูแสนเปลี่ยวยิ่งนัก ไม่มีใครกล้าเดินเข้าไปหาหลวงปู่ใหญ่คนเดียว ต้องไปกันหลายๆ คน

    ท่านพระครูกมลภานากร ได้ให้ข้อสังเกตโดยส่วนตัวของท่านว่า “ท่านหลวงปู่เสาร์ท่านชอบไปพักที่เป็นสัปปายะใกล้ๆ ลำห้วยลำน้ำเสมอเช่น ที่กุดน้ำใส เขตอำเภอพิบูลมังสาหาร มีส่วนคล้ายคลึงมากกับสถานที่กุดเม็ก คืออยู่ใกล้ลำห้วยเหมือนกัน ยิ่งเป็นวัดดอนธาตุ บ้านทรายมูล อำเภอพิบูลมังสาหาร ที่ท่านอยู่จำพรรษาหลายปีนั้น เป็นเกาะดอน ตั้งอยู่กลางลำน้ำมูลเลยทีเดียว อากาศร่มรื่นเย็นสบายดี”

    ที่เอ่ยถึงบ้านคำบง ข้างต้น พวกเราคงจำได้ใช่ไหมครับว่าเป็นบ้านเกิดของพระอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทตฺโต พระอาจารย์ใหญ่สายพระป่าในปัจจุบัน

    หลวงปู่มั่น ท่านเคยบรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุ ๑๕ ปี ซึ่งตรงกับปีระกา พ.ศ. ๒๔๒๘ ที่โบสถ์วัดคำบงโดยมี ญาท่านโครต บ้านตุงลุงกลาง ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านคำบงประมาณ ๓ กม. เป็นบรรพชาจารย์ของท่าน

    หลวงปู่มั่นบวชเณรอยู่ได้ ๒ พรรษา เมื่อท่านอายุได้ ๑๗ ปี จึงได้ลาสิกขาเพื่อออกไปช่วยงานทางบ้าน ตามคำขอของบิดา

    หลวงปู่มั่น เมื่อวัยหนุ่ม นอกจากจะมีความขยันขันแข็งในการงานแล้ว ท่านยังเป็นหมอลำฝีปากดี ของหมู่บ้านด้วย ซึ่งเล่ากันว่าท่านสามารถลำเดินนิทานพื้นเมืองอิสานได้ไพเราะจับใจผู้ฟังมาก ถึงกับผู้เฒ่าผู้แก่นั่งฟังด้วยน้ำตาซึมไปเลย

    ในหนังสือของพระครูกมลภาวนากร เขียนไว้ดังนี้

    “ผู้เล่าประวัติ เล่าว่า หลวงปู่มั่น (ตอนเป็นฆราวาสอยู่) พบกับหลวงปู่เสาร์ครั้งแรกที่กุดเม็ก และได้มอบตัวเป็นศิษย์ หลวงปู่เสาร์ได้ขอเอาหลวงปู่มั่นไปบวชจากโยมพ่อแม่ของท่าน ในสถานที่กุดเม็ก นี้เอง ผู้เล่าเล่าว่าหลวงปู่มั่น เทียวเข้าเทียวออกเป็นประจำ บางคืนก็ไม่กลับเข้าไปนอนที่บ้าน อยู่ฝึกสมาธิกัมมัฏฐานและเพื่ออุปัฏฐากรับใช้ท่านอาจารย์”

    ท่านพระครูกมลฯ ได้บันทึกคำบอกเล่าเป็นภาษาอิสานว่า

    “เผิ่นนั่นแหล่ว เที่ยวเข้าเทียวออกดู๋กว่าหมู่ ล้างบาตร เช็ดบาตร ต้มน้ำร้อนน้ำอุ่น รับเคนสิ่งของเผิ่นประจำ ฮอดบ่เข้าเมือนอนเฮือน เผิ่นว่าอยู่นั่งหัดกรรมฐาน... กะหลวงปู่เสาร์ นั่นแหล่วชวนเอาเผิ่นไปบวชนำ เผิ่นว่า โตไปบวชกับเฮาเนอ

    และเล่าต่อว่า ท่านหลวงปู่เสาร์ ได้ขอเอาหลวงปู่มั่น กับโยมพ่อโยมแม่ของท่านไปบวชที่กุดเม็ก นี้เอง

    ผมขออาสาถอดรหัสออกเป็นภาษาไทยกลาง ความว่า

    “ก็ท่าน (หลวงปู่มั่น) นั่นแหละ เทียวเข้าเทียวออกบ่อยกว่าคนอื่น ล้างบาตร เช็ดบาตร ต้มน้ำร้อนน้ำอุ่น คอยประเคนสิ่งของท่านเป็นประจำ ถึงขนาดไม่กลับไปนอนที่บ้าน ท่านว่าอยู่นั่งหัดกรรมฐาน... และก็หลวงปู่เสาร์เองเป็นผู้ชวนให้ท่านบวช ท่านชวนว่า ไปบวชกับเรา เน๊าะ !”

    (ที่แปลมานี้ เพื่อยืนยันกับท่านผู้อ่านว่า ผมก็ฮู้ภาษาอิสานคือกัน เด๊)

    และ.. ในปี พ ศ. ๒๔๓๖ เมื่อหลวงปู่ใหญ่เสาร์ บวชเป็นพระได้๑๔ พรรษา ก็ได้นำศิษย์เอกจากบ้านคำบง ที่ชื่อว่า มั่น แก่นแก้ว เข้ารับการอุปสมบทเป็นพระภิกษุในคณะธรรมยุต ณ วัดศรีทอง (วัดศรีอุบลรัตนาราม) โดยมีพระอริยกวี (อ่อน ธมฺมรกฺขิโต) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูสีทา ชยเสโน เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูประจักษ์อุบลคุณ (สุ่ย) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๖ ได้รับสมณฉายาว่า ภูริทตฺโต

    หลังจากอุปสมบทแล้ว หลวงปู่มั่น ก็ได้ไปพำนักฝึกอบรมด้านสมถะและวิปัสสนากรรมฐานอยู่กับหลวงปู่ใหญ่เสาร์ ที่วัดเลียบในเมืองอุบลฯ นั่นเอง

    ความใกล้ชิดผูกพันระหว่างหลวงปู่ใหญ่เสาร์ ผู้เป็นอาจารย์กับ หลวงปู่มั่น ผู้เป็นศิษย์ มีความลึกซึ้งเช่นไร ผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านส่วนใหญ่คงได้รับทราบจากหนังสือของท่านหลวงตาพระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน กันมาแล้วนะครับ

    อ้อ ! ผมไปเจอเกร็ดอีกตอนหนึ่งว่า หลวงปู่มั่นเกือบจะไม่ได้บวชในตอนนั้น พระอุปัชฌาย์จะไม่บวชให้

    ท่านพระครูกมลภาวนากร บันทึกคำบอกเล่าอีกตอนหนึ่งว่า

    “ท่านอาจารย์ใหญ่ที่อยู่เมืองอุบลฯ (หมายถึงหลวงปู่เสาร์) สั่งลงมาว่า ให้นำผู้ชื่อมั่นขึ้นไปบวช ท่าน (หลวงปู่มั่น) จึงได้ขึ้นไปพร้อมกับคณะญาติพี่น้องของท่าน”

    ท่านผู้เล่า ย้ำเป็นภาษาอิสานว่า “หั่งสิแม่นตัวของเป็นอาจารย์ของเผิ่น เผิ่นถือเป็นอาจารย์ เผิ่นสั่งมาอีกว่า ให้เอาผู้ลำหม่วนๆ นั่นเลอขึ้นมาบวช”

    หลวงปู่ใหญ่ ท่านบอกว่า ให้เอาคนที่ลำสนุกๆ (เก่งๆ) นั่นแหละขึ้นมาบวชกับท่าน

    เล่ากันว่าหลวงปู่มั่น สมัยเป็นหนุ่มท่านเป็นหมอลำ ลำเดินนิทานพื้นเมืองอิสานได้ไพเราะและกินใจมาก ผู้เฒ่าผู้แก่ฟังแล้วถึงกับน้ำตาไหล และการเป็นหมอลำที่เก่งนี้เองเป็นสาเหตุที่ทำให้ท่านเกือบไม่ได้บวชในครั้งนั้น

    เรื่องมีอยู่ว่า ในตอนกลางคืนก่อนวันบวช ก็มีมหรสพ คือ มีหมอลำในงานบวชนั้น บังเอิญหมอลำชายไม่มา ผู้เฒ่าผู้แก่และเพื่อนๆได้รบเร้าให้ท่าน (ผมเข้าใจว่าเป็น นาค) ขึ้นไปลำแทน ทนรบเร้าไม่ได้ท่านจึงขึ้นไปลำเพื่อสนองตอบคำเรียกร้องนั้น

    ด้วยเหตุการณ์คืนนั้นเอง “ท่านถูกอุปัชฌาย์ดุเอา จนจะไม่ยอมทำการอุปสมบทให้ และดุพวกญาติโยมที่ยุให้ท่านขึ้นไปลำด้วย จนพระอาจารย์ของท่าน ต้องได้เข้าไปขอขมาโทษแทน พระอุปัชฌาย์จึงยอมทำการอุปสมบทให้”

    ท่านพระครูกมลภาวนากร ท่านระมัดระวังในการเขียนมาก ท่านบอกว่าที่ผู้เฒ่าผู้แก่ อายุ ๙๐ - ๑๐๐ ปีกว่า เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง โดยใช้สรรพนามว่า “อาจารย์ของท่าน” เช่น “อาจารย์ของท่านได้เข้าไปขอโทษแทน” หรือ “อาจารย์ของท่าน สั่งลงมาจากเมืองอุบลฯ ให้เอาผู้ชื่อว่ามั่นขึ้นไปบวช” ฯลฯ ท่านอาวุโสที่เล่าเรื่องนี้ไม่ได้ยืนยันและท่านพระครูกมลฯ เอง ท่านก็ไม่กล้าชี้ชัดว่า เป็นหลวงปู่เสาร์ ท่านว่า “ผู้เขียนเกรงว่าจะเป็นการล่วงเกินพระบูรพาจารย์ เพราะผู้เล่าประวัติก็ไม่ได้ยืนยันชัดเจน...”

    นี่คือความระมัดระวังของพระป่า ลูกศิษย์สายหลวงปู่ใหญ่เสาร์- หลวงปู่มั่น อะไรไม่แน่ใจ แม้เพียงเล็กน้อยท่านก็จะไม่ฝืนทำ

    ส่วนผู้เขียนเอง (นายปฐม) ไม่มีวินัย ๒๒๗ ข้อ เหมือนกับท่าน อยากจะฟันธงลงไปว่า “พระอาจารย์ของท่าน” ตามที่กล่าวข้างต้นน่าจะเป็น หลวงปู่ใหญ่เสาร์ กนฺตสีโล นั่นเอง ท่านรักลูกศิษย์ของท่านมาก ถึงกับยอมขอขมาแทนลูกศิษย์ จึงได้บวชสมความตั้งใจ

    ก็ฝากให้ทานผู้รู้ช่วยพิจารณาตรงนี้ด้วยครับ !

    ในตอนนี้ก็ยังจบลงไม่ได้ ยังมีคำถามคาใจที่ท่านพระครูกมลภาวนากรได้ถามผู้เฒ่าผู้แก่ว่า “ใครเป็นครูอาจารย์แต่งกลอนให้ท่าน(หลวงปู่มั่น) ?”

    ได้รับคำตอบว่า “ท่านเรียนและค้นคว้าด้วยตัวท่านเอง เพราะเรื่องนิทานต่างๆ มีอยู่ในหนังสือใบลานและสมุดข่อยอยู่ในสมัยนั้นเช่น นิทานเรื่องกำพร้าไก่แก้ว ขุนทึง ขุนเทือง จำปาสี่ต้น ท้าวสุริวงศ์ ท้าวก่ำกาดำ ซึ่งเป็นนิทานพื้นเมืองอิสานที่นิยมกันอยู่ในสมัยนั้น”

    ลูกหลานคนอิสานสมัยนี้ ได้มีโอกาสรู้เรื่องนิทานพื้นบ้านดีๆเหล่านี้ไหมหนอ? หรือว่าเรื่องซินเดอเรลล่า เรื่องสโนไวท์ ฯลฯ จะมีคุณค่าน่ารู้มากกว่า

    <TABLE id=table18 border=0 width=122><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>
    ซุ้มประตูวัดเลียบ
    </TD><TD>
    วัดเลียบ และวัดใต้อยู่คนละฟากถนน
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    วัดบูรพาราม เมืองอุบลฯ


    เนื่องจากหลวงปู่ใหญ่เสาร์ กนฺตสีโล ท่านชอบที่วิเวก ชอบความสงบ ไม่ระคนด้วยหมู่คณะ ซึ่งเป็นอุปนิสัยประจำองค์ท่าน

    ในเวลาต่อมา ที่วัดเลียบมีศิษย์มากเข้า มีพระเณรเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ท่านจึงได้หาที่วิเวกแห่งใหม่ และท่านไปพบสถานที่แห่งหนึ่งอยู่ด้านตะวันออกของตัวเมือง ห่างจากวัดเลียบ ประมาณ ๑ กิโลเมตร

    สถานที่ตรงนั้นเป็นวัดเก่าแก่ ร้างมานานหลายปี มีโบสถ์หลังเล็กๆ อยู่หลังหนึ่ง ซึ่งอยู่ในสภาพที่ชำรุดทรุดโทรมมากแล้ว แต่พออาศัยเป็นที่บำเพ็ญเพียรได้ หากมีการซ่อมแซมทำความสะอาดขึ้น

    ในบริเวณวัดร้างแห่งนั้นมีต้นหนามคอม ขึ้นปกคลุมเต็มไปหมดไม่มีผู้ใดที่จะย่างกรายเข้าไปในที่แห่งนั้น หลวงปู่ใหญ่จึงหลบจากหมู่คณะออกมาใช้ที่นั่นเป็นที่นั่งสมาธิภาวนาและเดินจงกรม แสวงความวิเวกในเวลากลางวัน พอเห็นลงก็กลับไปประกอบกิจวัตร และพักผ่อนที่วัดเลียบ ตามปกติ

    หลวงปู่ใหญ่ หลบผู้คนไปบำเพ็ญเพียรที่โบสถ์ในวัดร้างแห่งนั้นทุกวัน ท่านมุ่งหวังที่จะให้วัดร้างแห่งนั้นถูกสร้างขึ้นมาเป็นวัดที่มีพระสงฆ์อีกแห่งหนึ่ง

    หลวงปู่ใหญ่ เล่าว่า ทุกวันในตอนเช้า เวลาท่านไปถึงและตอนเย็นเวลาท่านจะกลับวัดเลียบ ท่านจะทราบพระประธานในโบสถ์ ทำวัตรสวดมนต์และอธิษฐานจิต ขอให้ผู้มีฤทธิ์ดลบันดาลให้สถานที่แห่งนี้ได้เป็นวัดที่สมบูรณ์ภายในอนาคตอันใกล้นั้น

    ในเวลาต่อมาหลวงปู่ใหญ่ได้พาหลวงปู่มั่น ศิษย์ของท่าน ออกแสวงวิเวก ไปภาวนาที่บ้านภูหล่น ซึ่งอยู่ในเขตอำเภอโขงเจียม อยู่บนฝั่งแม่น้ำโขงคนละฝั่งกับประเทศลาว

    เมื่อหลวงปู่ใหญ่ ออกเที่ยวธุดงค์ไปทางภูหล่น ได้เพียง ๗ วัน พระอาจารย์สีทา ชยเสโน พระกรรมวาจาจารย์ของหลวงปู่ใหญ่ ก็ได้มาใช้สถานที่ที่วัดร้างแห่งนั้นเป็นที่บำเพ็ญเพียร เพราะเห็นว่าเป็นที่สงบดี

    พระอาจารย์สีทา เห็นโบสถ์ร้างแห่งนั้นก็เกิดศรัทธา อยากจะบูรณะสถานที่นั้นขึ้นเป็นวัดอีกครั้งหนึ่ง

    จากวันนั้นเป็นต้นมา ทุกวันที่ท่านไปบำเพ็ญเพียรที่วัดแห่งนั้น ท่านจะเอาศิษย์วัดติดตามไปด้วย ให้เอามีด พร้า จอบ เสียม ไปถางพงไม้ต่างๆ ที่ขึ้นเป็นป่ารกทึบ ทำความสะอาดและซ่อมแซมโบสถ์เพื่อให้สภาพดูดีขึ้น

    พระอาจารย์สีทา พาเด็กออกไปถากถางทุกวัน ทำวันละนิดละหน่อย ส่วนตัวของท่านก็ใช้เวลาตลอดทั้งวันบำเพ็ญเพียรโดยการเดินจงกรมบ้าง นั่งสมาธิภาวนาบ้าง ตามแบบฉบับของพระกรรมฐาน

    อยู่มาวันหนึ่ง เวลาบ่ายคล้อยมากแล้ว พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ เจ้าเมืองอุบลราชธานีในสมัยนั้น ได้ขี่ช้างออกตรวจรอบเมืองมาพร้อมด้วยทหาร พอมาถึงบริเวณวัดร้างนั้นท่านข้าหลวงได้ยินเสียงคนตัดไม้ หักร้างถางพง ณ สถานที่นั้น

    ด้วยความสงสัย จึงใช้ให้ทหารเข้าไปดู แล้วกลับมารายงานว่า“ญาคูสีทา ท่านให้เด็กถางป่ารอบโบสถ์ร้าง”

    ท่านข้าหลวงใช้ให้ทหารวิ่งเข้าไปถามพระท่านอีกว่า “ท่านญาคูจะอยู่เองหรือ ? ”

    ทหารกลับมารายงานตามคำของพระอาจารย์สีทา ว่า “ถ้ามีคนศรัทธาสร้างวัดให้ก็จะอยู่ ถ้าไม่มีใครสร้างให้ก็จะไม่อยู่”

    เมื่อทราบความดังนั้น ท่านเจ้าเมืองก็ไม่ได้พูดอะไร ท่านเดินทางกลับเข้าเมือง

    ตกเย็น ท่านพระอาจารย์สีทา ก็พาเด็กเดินทางกลับวัดตามปกติ

    พอรุ่งขึ้นเช้าวันใหม่ ท่านข้าหลวงฯ ก็สั่งให้เบิกนักโทษจากเรือนจำทั้งหมด (เรือนจำสมัยนั้นอยู่ตรงที่ตั้งสโมสรข้าราชการในปัจจุบัน) ให้ไปถากถาง และทำความสะอาดบริเวณวัดร้างจนเตียนโล่ง เหลือไว้เฉพาะต้นไม้ใหญ่

    จากนั้นมาก็เริ่มต้นสร้างวัดขึ้นมาใหม่ ชื่อว่า วัดบูรพาราม และเป็นวัดที่มั่นคงเป็นปึกแผ่นมาจนทุกวันนี้

    เป็นอันว่าการอธิษฐานจิตของท่านหลวงปู่ใหญ่เสาร์ กนฺตสีโล สัมฤทธิ์ผลตามที่ท่านปรารถนาในเวลาไม่นานนัก

    <TABLE id=table19 border=0 width=122><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD colSpan=2>
    ต้นขนุนและต้นพิกุล
    ที่หลวงปู่ใหญ่เสาร์ปลูกไว้ที่วัดเลียบ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หลวงปู่มั่นต้องการลาสิกขา


    คงอยู่ในราวปี พ ศ. ๒๔๔๐ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต เป็นพระบวชใหม่ อายุพรรษาราว ๔ พรรษา ขณะนั้นท่านพำนักปฏิบัติธรรมอยู่กับหลวงปู่ใหญ่เสาร์ กนฺตสีโล ที่วัดเลียบ เมืองอุบลฯ ซึ่งหลวงปู่ใหญ่ท่านเป็นสมภารอยู่

    หลวงปู่มั่น ท่านเป็นพระหนุ่มที่เพิ่งเริ่มต้นภาวนา จิตใจของท่านคงจะยังโลดแล่นคึกคะนองตามธรรมชาติของคนวัยหนุ่มโดยทั่วไป จิตใจยังไม่สนิทแนบแน่นในทางธรรม ท่านเกิดอยากจะลาสิกขาไปครองเพศฆราวาสเป็นกำลัง สุดที่จะหักห้ามจิตใจไว้ได้

    หลวงปู่มั่น จึงตัดสินใจเตรียมเสื้อผ้าและเครื่องใช้สำหรับฆราวาสไว้พร้อม รอโอกาสเหมาะสมจึงได้จัดขันดอกไม้ธูปเทียนตามประเพณีเข้าไปแสดงความประสงค์จะขอลาสิกขากับหลวงปู่ใหญ่

    จะเป็นด้วยบุญบารมีของหลวงปู่มั่น ที่จำเป็นจะต้องได้บำเพ็ญตนเป็นพุทธสาวกที่สามารถประกาศสัจธรรมได้อย่างกว้างขวาง หรือด้วยการที่หลวงปู่ใหญ่จะสามารถหยั่งรู้จิตใจและอนาคตของศิษย์ หรือด้วยองค์ประกอบทั้งสองอย่าง ก็สุดจะคาดเดา (ผมเชื่อว่า เป็นบุญของพวกเราผู้เป็นศิษย์รุ่นหลานเหลนด้วย ที่จะได้มีครูบาอาจารย์ที่ประกาศสัจธรรมได้ตรงตามคำสอนของพระพุทธองค์)

    เมื่อหลวงปู่มั่น เข้าไปบอกความประสงค์จะขอลาสิกขา ปรากฏว่าหลวงปู่ใหญ่ ไม่ได้กล่าวคำทัดทานเลยแม้แต่น้อย ท่านพูดด้วยน้ำเสียงสงบเย็นตามอุปนิสัยของท่านว่า

    “ถ้าท่านจะลาสึกก็สึกได้ ไม่ห้ามไม่หวง แต่ผมจะขอร้องและแนะนำท่านสักอย่างว่า การที่เราได้เกิดเป็นมนุษย์ มีโอกาสได้พบพระพุทธศาสนาเช่นนี้ เป็นของยากเหลือเกิน

    ฉะนั้น เมื่อเราได้ลาภอันประเสริฐ ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เกิดเป็นลูกผู้ชายได้บวชครองผ้ากาสายะของพระพุทธองค์อันบริสุทธิ์เช่นนี้แล้ว ขออย่าได้ละโอกาสอันดีงามนี้ให้ล่วงเลยไปโดยปราศจากประโยชน์เลย

    การได้มาบวชมาประพฤติธรรมเป็นบารมีของเรา เราอาจจะยังไม่ถึงพร้อมจึงยังไม่สามารถทำให้บรรลุถึงมรรคผลนิพพานได้แต่ก็ช่วยอบรมบ่มนิสัยในทางที่ดีงามให้แก่เราได้พอสมควร

    ในโอกาสที่ท่านจะสึกหาลาเพศออกไปนี้ ผมอยากขอร้องให้ท่านบำเพ็ญเพียรอย่างเต็มที่สัก ๗ วัน เพื่อเป็นการสร้างสมบารมีให้เกิดเป็นอุปนิสัยติดตามตนไป ไม่ว่าจะไปทำอะไรจะได้มีชีวิตที่รุ่งเรืองสดใส

    ในช่วง ๗ วันก่อนสึกนี้ ขอให้ท่านปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ขยันเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ใช้ความสามารถทั้งหมดที่มีให้เต็มที่ ระมัดระวังปิดประตูทวารทั้งหมดให้เป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา

    ใช้ความเพียรให้เต็มที่ เพราะเป็นโอกาสสุดท้ายของท่านที่จะทำ ถ้าออกไปครองเพศฆราวาสแล้วไม่สามารถประกอบความเพียรเช่นนี้ได้ ด้วยการครองเพศฆราวาสนั้นมันวุ่นวาย ต้องต่อสู้ดิ้นรนจะหยุดนิ่งไม่ได้ โอกาสทำความเพียรของฆราวาสจึงยากแสนยาก ไม่เหมือนอยู่ในเพศบรรพชิตเช่นนี้

    ในช่วง ๗ วันสุดท้ายของการเป็นพระนั้น จึงขอให้ท่านเร่งความเพียรให้เต็มที่เถิด ถือธุดงควัตร ๑๓ ให้เคร่งครัดที่สุด ฉันเอกาเป็นวัตร ถือเนสัชชิก ไม่นอนทอดกายตลอดวันคืน และการเข้าเยี่ยมป่าช้า เป็นต้น

    ขอให้ท่านทำตามคำขอร้องของผมอย่างเคร่งครัด เมื่อครบ ๗ วันแล้วเราค่อยมาพูดเรื่องการลาสึกกันใหม่

    <TABLE id=table20 border=0 width=122><TBODY><TR><TD rowSpan=2 align=middle>[​IMG]</TD><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle>
    [​IMG]
    </TD><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD colSpan=2 align=middle>
    วัดบูรพา อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หลวงปู่มั่นเปลี่ยนใจไม่สึก


    เมื่อหลวงปู่ใหญ่เสาร์ กนฺตสีโล แนะนำหลวงปู่มั่น ลูกศิษย์ของท่านแล้ว หลวงปู่มั่น ท่านมีความดีใจมาก เพราะความหวังที่จะได้สึกมาเป็นฆราวาสลอยมาอยู่แค่เอื้อม แค่ ๗ วันเท่านั้นเอง

    หลวงปู่มั่น จึงตกลงรับปากกับครูอาจารย์ท่านอย่างแข็งขัน คือทำความเพียรให้เต็มที่เพื่อแลกกับการสึก

    หลังจากนั้นหลวงปู่มั่น ก็กราบลาไปเร่งทำความเพียรอย่างเต็มที่ หวังแต่เพียงเพื่อให้เป็นอุปนิสัยปัจจัยต่อไปทั้งในภพนี้และภพหน้า ตามคำที่ท่านอาจารย์ใหญ่บอก

    ส่วนหลวงปู่ใหญ่ ท่านก็เร่งทำความเพียรของท่านอย่างไม่หยุดหย่อน คือ ทุกวัน หลังฉันภัตตาหาร ท่านจะหลีกจากหมู่คณะไปบำเพ็ญเพียรที่โบสถ์วัดร้างจนถึงเวลาเย็นจึงกลับวัดตามปกติ

    เมื่อครบกำหนด ๗ วันตามสัญญา ท่านก็เรียกหาหลวงปู่มั่น เข้ามาพบ แล้วก็ถามความสมัครใจว่าจะสึกหรือไม่ ถ้าต้องการจะสึกก็จะสึกให้

    พร้อมกันนั้น หลวงปู่ใหญ่ ก็พูดในเชิงปรารภว่า “สมณะหรือนักบวชที่แท้จริง ต้องเป็นผู้ขวนขวายหาที่สงบเพื่อประกอบความเพียรชำระจิตใจของตน เพื่อทำให้ถึงที่สุดแห่งความทุกข์”

    แล้วท่านก็บอกความประสงค์ของท่านว่า ท่านจะออกธุดงค์แสวงวิเวกไปทางภูหล่น ที่นั่นมีภูเขายาวเป็นเทือกโอบล้อมอยู่ มีถ้ำอยู่หลายแห่ง เป็นที่สงบสงัดเหมาะแก่การบำเพ็ญภาวนา

    หลวงปู่ใหญ่ บอกว่าท่านจะอยู่ที่ภูหล่น สักระยะหนึ่ง ต่อจากนั้นก็จะออกวิเวกไปเรื่อยๆ ไม่มีที่กำหนดหมาย สุดแต่ความพอใจและสมควรแก่สถานการณ์

    หลวงปู่มั่น รู้สึกตื่นเต้นดีใจที่พระอาจารย์ของท่านบอกความประสงค์เช่นนั้น ประกอบกับช่วง ๗ วันนี้ท่านเร่งประกอบความเพียรอย่างเต็มที่ ถือธุดงควัตรอย่างเคร่งครัด เกิดความมั่นใจในทางธรรมขึ้นมาก

    หลวงปู่มั่น ได้พิจารณาถึงความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของชีวิต หาแก่นสารแท้จริงไม่ได้ ไปหลงยึดถือเอาสิ่งไม่เป็นแก่นสารมาเป็นสาระ จึงได้พากันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏทุกข์อยู่ร่ำไป ไม่มีที่สิ้นสุดคิดแล้วชวนสลดสังเวชเป็นอย่างยิ่ง

    เมื่อคิดพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ท่านจึงเลิกล้มความคิดที่จะสึก และตัดสินใจด้วยตัวท่านเองว่า จะขออยู่ปฏิบัติธรรมในเพศบรรพชิต อย่างมอบกายถวายชีวิตไม่ขอสึกอีกต่อไป

    เมื่อหลวงปู่ใหญ่ บอกข่าวเรื่องที่ท่านจะไปภูหล่นและธุดงค์ไปเรื่อยๆ หลวงปู่มั่น จึงขอติดตามไปด้วย

    หลวงปู่ใหญ่ ท่านอนุญาต และเห็นว่าเป็นโอกาสดีที่หลวงปู่มั่นจะได้ถือโอกาสแวะเยี่ยมบ้านเกิดของท่านด้วย

    ตั้งแต่นั้นมาทั้งอาจารย์ และศิษย์ คือหลวงปู่ใหญ่เสาร์และหลวงปู่มั่น ก็เที่ยวจาริกธุดงค์ไปด้วยกันหลายถิ่นหลายที่เรื่อยมา

    <TABLE id=table21 border=0 width=122><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD colSpan=2>
    ถ้ำที่ปฏิบัติธรรมของ หลวงปู่ใหญ่เสาร์ และหลวงปู่มั่น
    บนภูหล่น อ ศรีเมืองใหม่ จ อุบลราชธานี
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ไปบำเพ็ญเพียรที่ภูหล่น


    ประมาณปี พ ศ ๒๔๔๐ หลวงปู่ใหญ่เสาร์ กนฺตสีโลกได้พาศิษย์ของท่าน คือ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ซึ่งยังเป็นพระนวกะ บวชได้๔ พรรษา ออกเดินธุดงค์จากวัดเลียบ ในเมืองอุบลราชธานี ไปปฏิบัติภาวนาที่ภูหล่นซึ่งอยู่ในเขตอำเภอโขงเจียม (ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอศรีเมืองใหม่) จังหวัดอุบลราชธานี อยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง ตรงข้ามกับฝั่งประเทศลาว

    หลวงปู่ใหญ่ ได้พาหลวงปู่มั่น แวะเยี่ยมบ้านเกิดของหลวงปู่มั่นที่บ้านคำบง ซึ่งอยู่ห่างจากภูหล่น ประมาณ ๕ กิโลเมตร เพื่อให้โอกาสลูกศิษย์ได้เยี่ยมเยียนญาติพี่น้อง

    เมื่อหลวงปู่ใหญ่ และศิษย์เดินทางไปถึงบ้านคำบง บรรดาเพื่อนฝูงญาติมิตรของหลวงปู่มั่น และพี่น้องชาวบ้านคำบง ต่างพากันมากราบเยี่ยมเยียน ทักทาย โอภาปราศรัย และให้การอุปัฏฐากต้อนรับเป็นอย่างดี

    ท่านทั้งสองพักอยู่ที่บ้านคำบง ช่วงระยะเวลาหนึ่ง (ในบันทึกไม่ได้บอกว่ากี่วัน) หลวงปู่ใหญ่ เห็นว่าถ้าพักอยู่นานจะทำให้ศิษย์ของท่านฟุ้งซ่านมากขึ้น ท่านจึงออกอุบายขอร้องให้ชาวบ้านคำบงช่วยนำทางไปยังบ้านภูหล่น เพื่อสำรวจหาสถานที่เหมาะสมในการภาวนา

    หลวงปู่ใหญ่เสาร์กับหลวงปู่มั่น ได้มาพักปักกลดที่ภูหล่นและออกสำรวจดูภูเขาหลายลูก ในที่สุดก็ได้กำหนดเอาสถานที่บนหลังเขาภูหล่นเป็นที่พักบำเพ็ญเพียร โดยจะอยู่ประจำสักระยะเวลาหนึ่งที่นานพอสมควร

    ภูหล่นเป็นภูเขาที่ไม่สูงนัก ขึ้นลงก็พอดี ไม่ถึงกับลำบาก ที่โคจรบิณฑบาตก็อยู่ไม่ไกล อีกทั้งบริเวณภูหล่นนั้นอากาศดี เหมาะแก่การทำความเพียรอบรมสมาธิภาวนา



    (คนไทยแต่ละภาคจะเรียกชื่อภูเขาต่างกัน ภาคอิสาน เรียก ภู ภาคเหนือเรียก ดอย ภาคกลางเรียก เขา และภาคใต้เรียก ควน)

    เล่ากันว่า ภูหล่น สมัยนั้นมีสัตว์ป่าชุกชุมมาก ตอนรุ่งเช้าเสียงนกร้องแข่งกับเสียงไก่ป่าขันกันเซ็งแซ่ พอตกตอนกลางคืนบางคืนเดือนมืด ครึ้มฟ้าครึ้มฝน ได้ยินเสียงสัตว์ป่านานาชนิด และเสียงเสือร้องคำราม บางคืนเงียบสงัดน่ากลัวมาก ต้องเข้าที่ภาวนาทั้งคืนไม่ได้หลับนอนเลย

    ในบันทึกของท่านพระครูกมลภาวนากร มีดังนี้

    “ผู้เล่าประวัติเล่าว่า หลวงปู่มั่น ท่านชอบอากาศบริเวณหลังเขา (หมายถึงบนสันเขา) ท่านนั่งสมาธิ ได้รับความสงบติดต่อกันทั้งกลางวันกลางคืน จนได้เกิดนิมิตและอุคคหนิมิตหลายสิ่งหลายอย่าง ทำให้เกิดปีติดื่มด่ำเปี่ยมล้นท้นจิตใจ อย่างที่ไม่เคยประสบความสุขสงบอันลึกล้ำเช่นครั้งนี้จากที่ไหนมาก่อน จิตใจค่อยถ่ายถอนจากความฟุ้งซ่าน

    ท่านได้เข้าไปเรียนให้ท่านพระอาจารย์เสาร์ ทราบถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในการปฏิบัติ ที่ได้รับความรู้แปลกๆ ใหม่ๆ เกิดขึ้น

    ท่านพระอาจารย์เสาร์กล่าวว่า ได้แล้วท่านมั่น ท่านมาบำเพ็ญอบรมสมาธิบนสถานที่แห่งนี้เพียงเวลาไม่นาน ท่านก็ได้กำลังใจที่ตั้งมั่นในสมาธิ และได้รับผลคือเกิดปีติ ความเย็นอกเย็นใจในสถานที่แห่งนี้ ให้ท่านพยายามรักษาความบริสุทธิ์ใจ และกำลังสมาธิที่เกิดขึ้นนั้นอย่าให้เสื่อม เรื่องต่างๆ เกี่ยวกับญาติโยม ผมจะรับหน้าที่แทนเอง

    <TABLE id=table22 border=0 width=122><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD align=middle>
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>
    ภูหล่น อำเภอศรีเมืองใหม่
    จ อุบลราชธานี

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    คำบอกเล่าจากหลวงปู่โทน


    หลวงปู่โทน กนฺตสีโล เป็นศิษย์อาวุโสองค์หนึ่งของหลวงปู่มั่น ขณะที่เล่าเรื่องภูหล่นนั้น ท่านอายุได้ ๙๓ ปี ท่านขึ้นไปปฏิบัติธรรมที่ภูหล่นครั้งสุดท้าย เมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๓๒ ท่านขึ้นมาทำวัตร (สักการะ) ณ สถานที่ของพ่อแม่ครูอาจารย์ ซึ่งท่านเคยมาปฏิบัติธรรมด้วย

    หลังจากหลวงปู่โทน กลับลงจากภูหล่น ได้ ๕ - ๖ เดือน ก็เกิดอาพาธ และมรณภาพก่อนที่จะออกพรรษาเพียง ๑๐ วัน ที่สำนักของท่าน คือ วัดบูรพา บ้านสะพือ อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี

    ส่วนภูหล่น ต่อมาภายหลังได้เป็นสำนักสงฆ์ และเป็นวัดภูหล่น โดยมี พระครูกมลภาวนากร (หลวงพ่อสีทน กมโล) เป็นเจ้าอาวาส และเป็นผู้บูรณะพัฒนาขึ้นมา เป็นสถานที่ที่เหมาะในการบำเพ็ญภาวนาในปัจจุบัน โดยได้รับการสนับสนุนจากหลวงปู่กิ ธมมุตฺตโม วัดป่าสนามชัย อ.พิบูลมังสาหาร และพระครูพิบูลธรรมภาณ (หลวงพ่อโชติ อาภคฺโค วัดภูเขาแก้ว อ พิบูลมังสาหาร จ อุบลราชธานี

    หลวงปู่โทน เล่าว่า “ภูหล่นสมัยนั้นไม่เหมือนปัจจุบันนี้หรอก สัตว์ป่ามีแทบทุกชนิด” แล้วท่านก็เปลี่ยนสำเนียงเป็น “นามมึ้อเซ้าจั่งซี้เสียงนกกก นกแกง นกกาเวา ฮ้องสนั่น เสียงไก่ป่าขันกันเป็นแซวๆ” นี่คือบรรยากาศ นามมื้อเซ้า คือยามเช้า

    “บางคืนเดือนมืด ครึ้มฟ้าครึ้มฝน ได้ยินเสียงสัตว์ป่าต่างๆ และเสียงเสือร้อง และเงียบสงัดน่ากลัวมาก ต้องเข้าที่ภาวนาทั้งคืนไม่ได้นอน”

    หลวงปู่โทน เล่าถึงช่วงที่ท่านมาปฏิบัติธรรมอยู่กับหลวงปู่ใหญ่เสาร์และหลวงปู่มั่น เมื่อครั้งกระโน้น ให้ท่านพระครูกมลฯ ฟังว่า “นั่น.ผมนั่งอยู่ตรงนั้น ฝูงลิง ๓๐ - ๔๐ ตัวมันมานั่งล้อมดูเรา ไม่หนีไปไหน เวลานั่งสมาธิ มันจะมานั่งล้อมเราอยู่ใกล้ๆ เราได้เข้าไปเรียนเรื่องนี้กับหลวงปู่มั่น ท่านบอกว่าให้สวดกรณีฯ และแผ่เมตตา มันก็หนีหรอก”

    (สวดกรณีฯ คือ บทสวดกรณียเมตตสูตร เป็นบทแผ่เมตตา โดยเฉพาะเวลาไปพักตามป่าตามเขา ในช่วงที่ผู้เขียนฝึกนั่งกลดเดินจงกรมใหม่ๆ เมื่อกว่า ๒๐ ปีมาแล้ว เคยกลัวผีมาก ถึงกับเวลาเข้ากลดแล้วไม่กล้าลืมตาจนตลอดคืน กลัวจะเห็นอะไรที่เราไม่อยากเห็น หลวงพ่อพุธ ฐานิโย บอกให้สวดมนต์บทกรณียเมตตสูตร ทำให้มั่นใจหายกลัวได้ ใครที่กลัวผีลองดูนะครับ และควรศึกษาความเป็นมาของพระสูตรบทนี้ด้วย น่าสนใจมาก มีอยู่ในบทสวดมนต์ทำวัตรทั่วไป - ปฐม)

    หลวงปู่โทน เล่าต่อว่า “ตอนกลางคืน หมีมันไล่กัดกันขึ้นมาที่บนหลังภูหล่น กัดกันเอาเป็นเอาตาย ไม่ยอมไปที่อื่น และคืนหนึ่งเสือมันขึ้นมาหมอบอยู่ข้างๆ ต้นกระบก หัวทางเดินจงกรมของท่านอาจารย์ใหญ่ (หลวงปู่เสาร์) แต่ตอนกลางคืนที่มันมาไม่เห็นมันนะ ตอนเช้ามาแล้วจึงเห็นรอยของมันหมอบอยู่ใกล้ๆ

    ท่านหลวงปู่เสาร์ ท่านได้เล่าเรื่องนี้ให้โยมชาวบ้านที่ขึ้นมาในตอนเช้าฟัง และให้ชาวบ้านขึ้นมาช่วยขนหินขนดินก่อเป็นถ้ำ มีประตูเข้าออกเปิดปิดได้ โดยเอาดินโคลนผสมกับเศษหินเล็กๆ และฟางข้าวทำอยู่หลายวันจึงแล้วเสร็จ

    ท่านพระครูกมลฯ ถามว่า “หลวงปู่ทั้งสองท่านได้ทำด้วยหรือถ้ำนี้?”

    หลวงปู่โทน : “ก็ท่านนั่นแหละเป็นผู้บอกแนะวิธีทำยกหินเฝือดิน (ฉาบดินโคลน) ทำช่วยกันทั้งพระทั้งโยมนั่นแหละ ทำเสร็จยังไม่นานดินโคลนที่ฉาบทาผนังถ้ำบางแห่งยังไม่แห้งสนิทดี เสือมันขึ้นมาตอนกลางคืน

    คืนนั้นครึ้มฟ้าครึ้มฝนและลมด้วย มันมาเดินวนเวียนอยู่ที่บริเวณรอบๆ ถ้ำ

    ท่านพระครูฯ : “มีผู้อยู่ในถ้ำนั้นไหม ?”

    หลวงปู่โทน : ก็ท่านอาจารย์ใหญ่ (หลวงปู่เสาร์) ท่านอยู่ข้างใน (เสือ) มันเดินวนเวียนไปมาเหมือนจะหาทางเข้า และมันได้เอาเท้าตะปบที่ข้างประตูด้านซ้าย ซึ่งยังเป็นรอยติดอยู่ที่ถ้ำข้างประตูมาจนถึงทุกวันนี้

    หลวงปู่โทน เล่าต่อไปว่า “วันหนึ่ง ตอนใกล้ค่ำ ท่าน (น่าจะเป็นหลวงปู่มั่น - ปฐม) จะให้ขึ้นเขาอีกลูกหนึ่งและจะให้ไปกับท่าน แต่ไม่ได้ขึ้นไปกับท่าน...ภูเขาที่อยู่ในบริเวณแถวๆ นี้ มีหลายลูก ท่านหลวงปู่มั่นท่านเที่ยวขึ้นไปบำเพ็ญสมาธิภาวนาเกือบทุกลูก ท่านเป็นคนกล้ามาก ท่านเล่าว่า ถ้าได้ไปอยู่ในที่เปลี่ยวๆ รู้สึกได้กำลังจิตดีมากในการทำสมาธิ แล้วต่อมาท่าน (ทั้งสององค์) ก็ได้แยกกันที่ภูหล่น”

    บันทึกของท่านพระครูกมลภาวนากร มีต่อจากนี้ว่า “ผู้เล่าประวัติ (หลวงปู่โทน) ไม่ได้ระบุให้ผู้เขียนฟังว่า ท่านหลวงปู่เสาร์ พร้อมกับหลวงปู่มั่น ท่านลงจากภูหล่น ด้วยสาเหตุอะไร? ท่านไปไหน? ปี พ ศ. เท่าไร ?

    ประวัติความเป็นมาในช่วงนี้จึงได้ขาดหายไป และไม่มีโอกาสเรียนถามท่านได้อีกเลย ท่านผู้เล่าประวัติก็ได้แยกจากท่านไปด้วยเหมือนกัน

    ประวัติที่ท่าน (หลวงปู่โทน) เล่าให้ผู้เขียน (พระครูกมลภาวนากร) ฟังบางตอนก็จบลงเพียงเท่านี้

    แต่มีโยมผู้เฒ่าที่พอจำเหตุการณ์ได้ในตอนนั้นเล่าว่า ท่านหลวงปู่มั่น ได้ออกจากภูหล่น ได้เดินธุดงค์ไปกับอาจารย์ของท่าน (ไป) ทางฝั่งลาว และยังได้ยืนยันว่าท่านได้อยู่จำพรรษาที่ภูหล่น ๒ พรรษา บางคนว่า ๔ - ๕ พรรษา บางคนว่าท่านอยู่ถึง ๖ - ๗ ปี

    ส่วนผู้ที่ยืนยันฝ่ายหลัง (ท่านพระครูหมายถึงตัวท่านเอง - ปฐม) คิดเอาเองว่า ท่านอาจเลยมาพักที่ภูหล่น และได้เล่าต่อมาว่า ท่านได้นำทองของเก่าแก่หลายอย่างมาจากทางฝั่งลาว มาหล่อเป็นพระพุทธรูปที่กุดเล็กได้สององค์ โดยทำเตาหลอมเททองด้วยตัวท่านเอง และประดิษฐานไว้ที่ วัดบ้านคำบง บ้านเกิดของท่าน (หลวงปู่มั่น) ซึ่งชาวบ้านคำบงและพระสงฆ์ได้เก็บรักษาไว้จนถึงทุกวันนี้

    ในหนังสือ พระปรมาจารย์สายพระกัมมัฏฐาน :ท่านพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีลเถร ได้เขียนถึงเหตุการณ์ในตอนนี้ว่า

    “ท่านพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีลเถร ได้อบรมแนะนำการปฏิบัติกัมมัฏฐานแก่ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถร จนรู้แน่ชัดว่า มีกำลังสมาธิพอแก่การบำเพ็ญเพียรโดยลำพังได้ ท่านพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีลเถร จึงได้ปลีกวิเวกไปแสวงหาที่ปฏิบัติแห่งใหม่ และให้ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถร ปฏิบัติอบรมภาวนาที่ภูหล่น เป็นเวลาประมาณ ๒ ปี

    ต่อมา ท่านพระอาจารย์มั่น ได้เดินรุกขมูลร่วมกับท่านพระอาจารย์เสาร์ ไปธุดงค์ฝั่งลาว และท่านทั้งสองได้กลับมาเยี่ยมบ้านคำบงอีกครั้ง พร้อมกับสร้างพระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์ ๒ องค์ ที่ กุดเม็ก โดยทำเตาหลอมและหล่อพระด้วยองค์ท่านเอง

    <TABLE id=table23 border=0 width=122><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD colSpan=2>
    กุดเม็ก บ้านคำบง ต สงยาง อ ศรีเมืองใหม่ จ อุบลราชธานี
    และพระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์ ๒ องค์ ที่หลวงปู่ทั้งสองเป็นผู้สร้าง
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     

แชร์หน้านี้

Loading...