-
สาธุ สาธุ "ผู้ถึงแล้ว จะรู้เอง เห็นเอง" โมทนาบุญ โมทนาบุญ โมทนาบุญ กับพี่เลี้ยงของกลุ่มสายธรรมด้วยครับ(อ่านจบมีความปีติมากๆครับ) 1-2วันที่ผ่านมานี้ มีความรู้สึกแปลกๆ(ในทางดีนะครับ)
-
ขอใว้อาลัยแด่ ท่านสตีฟ จ๊อบส์ ผู้สร้างสรรค์โลกใบนี้ให้เล็กลง แม้นแต่ลูกสาวผมยังติด IPhone เลยครับ 1.10ขวบ
-
- ขนาดไฟล์:
- 19 KB
- เปิดดู:
- 80
-
IT Man
ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์
ขอไว้อาลัยแด่ท่าน สตีฟ จ๊อบส์
ผู้ก่อตั้ง Apple ผู้ทำให้เกิดนวตกรรมการเปลี่ยนแปลงในโลก IT อย่างมากมาย ฯลฯ :cool:
การจากไป ณ ขณะที่ท่านยังยิ่งใหญ่ในโลก IT จักถูกจดจำเป็นบทเรียนอันล้ำค่ายิ่งของผู้อยู่ในแวดวง IT แลผู้สนใจครับ
ปล:
- iPhone ที่โด่งดังหรือผลิตภัณฑ์ Apple ใช้แนวคิดความหรู เรียบง่ายจากวิถีแห่งเซ็น (ZEN) ซึ่งมาภายหลังก็เป็นต้นแบบแนวคิดของบริษัท IT อื่นๆในยุคปัจจุบัน
- สตีฟ จ๊อบส์ สอนพนักงานเสมอว่า : ให้ทำงานเป็นแบบมืออาชีพ...เหมือนกับผลิตภัณฑ์ของ Apple โดยเฉพาะความซื่อตรง ความตรงต่อเวลา หรือการส่งมอบสินค้า เป็นหัวใจสำคัญยิ่งของ Apple
- จุดสำคัญที่น่าพิจารณจากชีวิตของ สตีฟ จ๊อบส์ คือความที่เคร่งเครียด จริงจัง มุ่งมั่นกับงานจนสุดโต่ง (ท่านสิ้นด้วยโรคมะเร็ง ภายหลังจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ iPhone 4S. ver. ล่าสุด)
ขอให้ท่านสู่สุคติภูมินะครับ
IT Man: 06 Oct.'11
-
ท่านน้องครับ
พัสดุมาถึงผมแล้วนะครับ
เรียนถามเรื่องหนึ่งนะครับ
ท่านน้องใส่น้ำหอมอะไรมาหรือเปล่าครับ
พอผมตัดซองไม่มีกลิ่นแต่พอผมเปิดและหยิบขึ้นมาพิจารณา พบว่ามีกลิ่นหอมแปลกๆที่ไม่เคยหรือรู้จักเลยครับกลิ่นแรงมากแต่เย็นๆครับ
คิดว่าเป็นเพราะอะไรครับ ..........................
รบกวนสอบถามด้วยครับว่าเป็นเพราะอะไร ................
-
IT Man
ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์
ท่านพี่มูฯ...ผมไม่ได้ใส่น้ำหอมอะไรเลยครับ หุหุ เกรงจะได้กลิ่นอับจากซองกันกระแทกเสียด้วยซ้ำ
...ถือว่าเป็นนิมิตที่ดี ยินดีด้วยครับ :cool: ...สิ่งเดียวกันนี้แหละที่เราเหล่านักรบธรรม อัญเชิญขึ้นคอหรือวางบนฝ่ามือระหว่างปฏิบัติสมาธิกัน...
รอท่านนนต์หรือท่านอื่นๆโปรดช่วยวิจารณ์ด้วยครับ :)
-
ขออนุโมทนากับท่าน อ.นนต์ พี่สมบัติ ครูร่วมชาติ คุณภูเบส คุณซึ้งบน และพี่พิเชษ
ด้วยนะครับที่พวกท่านได้ก้าวขึ้นสูงไปได้เรื่อยๆ
ส่วนผมก็จะพยายามตามพวกท่านไป ซึ่งผมก็พึ่งจะเริ่มปฏิบัติมาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แค่ได้ไปกราบและฟังธรรมจากพ่อแม่ครูอาจารย์ก็ถือว่ามีบุญวาสนาแล้ว และก็จะพยายามเร่งสร้างครับ ยังไงก็ช่วยแนะนำด้วยนะครับ พี่เลี้ยงสายธรรม ทุกท่าน
-
เรียนท่านน้องทราบ
ตอนนี้ยังมีกลิ่นจางๆอยู่เลยครับ
ผมนำออกจากซองไม่ต่ำกว่า 30 นาที่แล้วครับ
และเรื่องกลิ่นอับจากซองกันกระแทกไม่ใช่แน่นอนเลยครับเพราะผมมีประสบการณ์เยอะครับ
ขอบคุณสิ่งดีๆที่มอบให้ครับพรุ่งนี้จะรีบนำขึ้นคอด่วนครับ
ขอความกรุณาท่านอื่นๆแนะนำด้วยครับ
ขอขอบคุณล่วงหน้าครับ
-
ขอบคุณท่านทั้งสองด้วยนะครับ.....ในความเห็นส่วนตัวผมนั้นไม่เคยคาดคิดว่าจะได้รับโอกาสดีๆเช่นนี้เลยครับ หลังจากที่ได้อ่านข้อความและเห็นเส้นทางธุดงค์สัญจรก็ปิติภูมิใจแล้วครับที่จะได้ต้อนรับแม้นจะเพียงทางผ่านก็ตามจะต้องได้กราบและฟังธรรมจากพ่อแม่ครูอาจารย์สักนิดก็ยังดี.....จึงได้ถือโอกาสดีในครั้งนี้กราบนิมนต์แวะพักระหว่างการเดินทางซึ่งก็เป็นไปตามปราถนาทุกประการครับ .....
สมาชิกธรรม
-
IT Man
ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์
ขอบพระคุณครับ,
เรียนตามตรงว่า...ไม่ได้รู้ตัวอะไรเลย หุหุ แต่ก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติไปเรื่อยๆเสมือนหนึ่งว่า...เราทานข้าว หายใจ ฯลฯ...พบเห็นกิเลสวิ่ง,เดินผ่านหน้า ก็เกิดมีอุบาย ระงับดับหาย คลายถอนไปเองแบบ auto.
คิดว่า...จิตบรรลุธรรมในระดับต่างๆ เขาก็จิตดวงเดียวกับจิตดวงเก่าที่เกลือกกลั้วไปมากับกิเลสเดิมๆ เพียงแต่จิตดวงนี้เขาไม่อยาก เขาไม่เอา เขาไม่เล่น เขาไม่สนใจใยดีกับกิเลสในระดับต้น กลาง ปลาย ประมาณนี้ครับ
เอาน่า...ไปด้วยกันนะ เดี๋ยวก็ถึงครือกัน อย่าท้อเสียก่อนเด้อพี่น้อง..
-
ผมเชื่อว่าท่านดร.นนต์จะต้องได้รับโอกาสดีๆในครั้งนี้อย่างที่ใจปราถนาอย่างแน่นอนครับ.....เนื่องด้วยเส้นทางก็บอกเป็นนัยๆอยู่แล้วว่าพ่อแม่ครูอาจารย์ท่านเมตตามาโปรดศิษย์ตามเส้นทางนี้เป็นเบื้องต้นก่อน รอเพียงท่านนนต์กราบนิมนต์ทุกอย่างก็สมปราถนาผมเชื่ออย่างนั้นครับ.....
สมาชิกธรรม
-
โมทนาสาธุ.....คมครับ.....ขนาด"ไม่ได้รู้ตัวอะไรเลย" นะเนี่ย หึหึ:cool:
-
ขบวนรถไฟขบวนเดียวกัน จะเป็นโบกี้ไหน หัวหรือท้ายขบวน เมื่อไปถึงชานชาลาจุดหมายปลายทาง ก็คือถึงที่หมายด้วยกันทั้งหมดทุกโบกี้นั่นแหละครับ
-
เป็นกลิ่นมงคลที่พระท่านแสดงให้ผู้มีบุญทราบ เทวดาเขาก็โมทนา จึงมีกลิ่นหอมครับ
-
<TABLE border=0 width="100%"><TBODY><TR><TD>อริยบุคคล 8 ประเภท
</TD></TR></TBODY></TABLE>
อริยบุคคล 8 ประเภท (และการละกิเลส)
ผู้ที่เจริญวิปัสสนากรรมฐานไปตามลำดับขั้น ได้รู้ได้เห็นธรรมชาติรวมทั้งความเป็นไปต่าง ๆ ของรูป/นาม หรือกาย/ใจ มากขึ้นเรื่อย ๆ ได้เห็นถึงความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่น่ารักน่าใคร่น่าปรารถนา ไม่สามารถยึดมั่นถือมั่นได้เพราะไม่อยู่ในอำนาจ จึงไม่เป็นไปอย่างที่ใจต้องการ ฯลฯ จนกระทั่งจิตคลายความยึดมั่นในสิ่งทั้งปวงลงไปอย่างถาวร คือความยึดมั่นถือมั่นในระดับนั้นจะไม่เกิดขึ้นอีกเลย เพราะเห็นชัดด้วยปัญญาของตนเองอย่างแท้จริง จนหมดความเคลือบแคลง และความลังเลสงสัยใดๆ ทั้งปวงแล้วนั้น จะได้ชื่อว่าเป็นอริยบุคคล คือบุคคลอันประเสริฐ ซึ่งจำแนกอย่างละเอียดได้ 8 ประเภท ตามลำดับขั้นของการละกิเลส หรือตามลำดับขั้นของความยึดมั่นถือมั่น
ก่อนจะกล่าวถึงอริยบุคคลขั้นต่าง ๆ นั้น จะขออธิบายถึงความเจริญก้าวหน้าในการทำวิปัสสนากรรมฐาน ตั้งแต่เริ่มต้นก่อน เพื่อจะได้เข้าใจเรื่องของอริยบุคคลได้ง่ายขึ้น ดังนี้
บุคคลทั่ว ๆ ไปที่ยังมีความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่าง ๆ อยู่อย่างปกติทั่วไปนั้นได้ชื่อว่าปุถุชน (ปุถุ แปลว่าหนา) คือชนผู้หนาแน่นด้วยกิเลสนั่นเอง ปุถุชนนั้นแบ่งได้ 2 ระดับคือ
1.) อันธปุถุชน คือปุถุชนที่มืดบอดต่อธรรมมาก จิตใจหยาบกระด้าง เป็นผู้ยากแก่การรู้ธรรม
2.) กัลยาณปุถุชน คือปุถุชนที่แม้จะยังมีกิเลสหนาแน่นอยู่ แต่จิตใจก็มีความประณีต เบาสบายกว่าอันธปุถุชน จึงเข้าถึงธรรมได้ง่ายกว่า
เมื่อบุคคลใดได้เจริญวิปัสสนากรรมฐานมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว ก็จะเกิดปัญญามองเห็นธรรมชาติที่แท้จริงของสิ่งต่าง ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ ที่เรียกว่าญาณขั้นต่าง ๆ (คำว่าญาณนี้เป็นชื่อของปัญญาในวิปัสสนา ต่างจากฌานซึ่งเป็นขั้นต่าง ๆ ของสมาธิ) จนกระทั่งปัญญาญาณนั้นแก่กล้าจนสามารถทำลายความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่าง ๆ อย่างถาวร อันเป็นผลให้กิเลสที่เกิดจากความยึดมั่นในขั้นนั้นถูกทำลายลงไปอย่างสิ้นเชิง จิตในขณะที่เห็นแจ้งในความที่ไม่สามารถยึดมั่นในสรรพสิ่งทั้งปวงได้อย่างชัดเจน จนสามารถทำลายกิเลสได้นี้เรียกว่ามรรคจิต ซึ่งจะเกิดขึ้นเพียงแค่ขณะจิตเดียว คือเกิดอาการปิ๊งขึ้นมาแว้ปเดียว กิเลสและความยึดมั่นในขั้นนั้นก็จะไม่เกิดขึ้นอีกเลย
บุคคลในขณะที่มรรคจิตเกิดขึ้นนี้เรียกว่ามรรคบุคคล ซึ่งนับเป็นอริยบุคคลประเภทหนึ่ง
บุคคลจะเป็นมรรคบุคคลแค่เพียงชั่วขณะจิตเดียวเท่านั้น หลังจากนั้นก็จะได้ชื่อว่าผลบุคคล คือบุคคลผู้เสวยผลจากมรรคนั้นอยู่ ไปจนกว่ามรรคจิตในขั้นที่สูงขึ้นไปจะเกิดขึ้นอีกครั้ง เพื่อทำลายความยึดมั่นและกิเลสที่ประณีตขึ้นไปอีก มรรคจิตแต่ละขั้นนั้นจะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวเท่านั้น แล้วจะไม่เกิดขึ้นในขั้นเดิมซ้ำอีกเลย จะเกิดก็แต่ขั้นที่สูงขึ้นไปเท่านั้น เพราะความยึดมั่นในขั้นที่ถูกทำลายไปแล้ว จะไม่มีโอกาสกลับมาให้ทำลายได้อีกเลย
อริยบุคคล 8 ประเภทนั้นประกอบด้วยมรรคบุคคล 4 ประเภท และผลบุคคล 4 ประเภท ดังนี้คือ
1.) โสดาปัตติมรรคบุคคล คือบุคคลในขณะที่มรรคจิตเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ที่เรียกว่าโสดาปัตติมรรคจิต โสดาปัตติมรรคบุคคลนี้นับเป็นอริยบุคคลขั้นแรก และได้ชื่อว่าเป็นผู้หยั่งลงสู่กระแสพระนิพพานแล้ว มรรคจิตในขั้นนี้จะทำลายกิเลสได้ดังนี้คือ
(ในที่นี้จะใช้สัญโยชน์ ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของการแบ่งประเภทของกิเลส เป็นหลักในการอธิบาย - ดูเรื่องสัญโยชน์ 10 ประกอบ)
- สักกายทิฏฐิ
- วิจิกิจฉา
- สีลพตปรามาส
รวมทั้งโลภะ(ความโลภ) โทสะ(ความโกรธ, ขัดเคืองใจ, กังวลใจ, เครียด, กลัว) โมหะ(ความหลง คือไม่รู้ธรรมชาติที่แท้จริงของสรรพสิ่ง) ในขั้นหยาบอื่น ๆ อันจะเป็นผลให้ต้องไปเกิดในอบายภูมิ (เดรัจฉาน, เปรต, อสุรกาย, นรก) ด้วย
2.) โสดาปัตติผลบุคคล หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าโสดาบัน คือผู้ที่ผ่านโสดาปัตติมรรคมาแล้ว
คุณสมบัติที่สำคัญของโสดาบันก็คือ
- พ้นจากอบายภูมิตลอดไป คือจะไม่ไปเกิดในอบายภูมิอีกเลย เพราะจิตใจมีความประณีตเกินกว่าที่จะไปเกิดในภูมิเหล่านั้นได้ (ใครจะไปเกิดในภูมิใดนั้น ขึ้นกับสภาพจิตตอนใกล้ตายที่เรียกว่ามรณาสันนวิถี ถ้าขณะนั้นจิตมีสภาพเป็นอย่างไร ก็จะส่งผลให้ไปเกิดใหม่ในภูมิที่มีสภาพใกล้เคียงกับสภาพจิตนั้นมากที่สุด)
- อีกไม่เกิน 7 ชาติจะบรรลุเป็นพระอรหันต์
- มีศรัทธาในพระรัตนตรัยอย่างมั่นคง ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน จะไม่คิดเปลี่ยนศาสนาอีกเลย
- มีศีล 5 บริบูรณ์ (ไม่ใช่แค่บริสุทธิ์) คือความบริสุทธิ์ของศีลนั้นเกิดจากความบริสุทธ์/ความประณีต ของจิตใจจริง ๆ ไม่ใช่ใจอยากทำผิดศีลแต่สามารถข่มใจไว้ได้ คือใจสะอาดจนเกินกว่าจะทำผิดศีลห้าได้
3.) สกทาคามีมรรคบุคคล หรือสกิทาคามีมรรคบุคคล คือบุคคลที่เจริญวิปัสสนาต่อไปอีกจนกระทั่ง มรรคจิตเกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ที่เรียกว่าสกทาคามีมรรคจิต มรรคจิตในขั้นนี้ ไม่สามารถทำลายกิเลสตัวใหม่ให้หมดไปได้อย่างสิ้นเชิงเหมือนมรรคจิตขั้นอื่น ๆ เป็นแต่เพียงทำให้ โลภะ โทสะเบาบางลงเท่านั้น โดยเฉพาะกามฉันทะ และปฏิฆะ ถึงแม้ว่าความยึดมั่นที่มีอยู่จะน้อยลงไปก็ตาม ทั้งนี้เพราะกามฉันทะและปฏิฆะนั้นมีกำลังแรงเกินกว่า จะถูกทำลายไปได้ง่าย ๆ
4.) สกทาคามีผลบุคคล หรือสกิทาคามีผลบุคคล คือผู้ที่ผ่านสกทาคามีมรรคมาแล้ว
คุณสมบัติสำคัญของสกทาคามีผลบุคคลก็คือ ถ้ายังไม่สามารถบรรลุธรรมที่สูงขึ้นไปได้ในชาตินี้ ก็จะกลับมาเกิดในกามภูมิอีกเพียงครั้งเดียวก็จะบรรลุธรรมที่สูงขึ้นไปได้ แล้วจะพ้นจากกามภูมิตลอดไป เพราะอริยบุคคลขั้นนี้เป็นขั้นสุดท้ายที่จะเกิดในกามภูมิได้อีก
คำว่ากามภูมินั้นได้แก่ สวรรค์ 6 ชั้น มนุษยภูมิ เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย นรก แต่สกทาคามีบุคคลนั้นพ้นจากอบายภูมิไปแล้วตั้งแต่เป็นโสดาบัน จึงเกิดได้เพียงในสวรรค์ และมนุษย์เท่านั้น
5.) อนาคามีมรรคบุคคล คือบุคคลที่เจริญวิปัสสนาต่อไปอีกจนกระทั่ง มรรคจิตเกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 3 ที่เรียกว่าอนาคามีมรรคจิต ทำลายกิเลสได้เด็ดขาดเพิ่มขึ้นอีก 2 ตัวคือ
- กามฉันทะ
- ปฏิฆะ
6.) อนาคามีผลบุคคล คือผู้ที่ผ่านอนาคามีมรรคมาแล้ว
คุณสมบัติที่สำคัญของอนาคามีผลบุคคลคือ ถึงจะยังไม่บรรลุเป็นพระอรหันต์ ก็จะไม่กลับมาเกิดในกามภูมิอีกเลย แต่จะไปเกิดในภูมิที่พ้นจากเรื่องของกามคือรูปภูมิ หรืออรูปภูมิเท่านั้น (ดูหัวข้อรูปราคะ และอรูปราคะในเรื่องสัญโยชน์ 10 ประกอบ)
ในรูปภูมิ 16 ชั้นนั้น จะมีอยู่ 5 ชั้นที่เป็นที่เกิดของอนาคามีผลบุคคลโดยเฉพาะ ซึ่งรวมเรียกว่าสุทธาวาสภูมิ ดังนั้น ในสุทธาวาสภูมิทั้ง 5 ชั้นนี้ จึงมีเฉพาะอนาคามีผลบุคคล อรหัตตมรรคบุคคล และพระอรหันต์ (ที่บรรลุเป็นพระอรหันต์ในภูมินี้แล้วยังมีชีวิตอยู่) เท่านั้น
สุทธาวาสภูมิ 5 ชั้นประกอบด้วย
- อวิหาภูมิ
- อตัปปาภูมิ
- สุทัสสาภูมิ
- สุทัสสีภูมิ
- อกนิฏฐาภูมิ
7.) อรหัตตมรรคบุคคล คือบุคคลที่เจริญวิปัสสนาต่อไปอีกจนกระทั่ง มรรคจิตเกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 4 ที่เรียกว่าอรหัตตมรรคจิต ทำลายกิเลสที่เหลือทุกตัวได้อย่างหมดสิ้น จนไม่มีกิเลสใด ๆ เหลืออีกเลย สัญโยชน์ที่มรรคจิตขั้นนี้ทำลายไป ได้แก่
- รูปราคะ
- อรูปราคะ
- มานะ
- อุทธัจจะ
- อวิชชา
8.) อรหัตตผลบุคคล หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าพระอรหันต์ คือผู้ที่ปราศจากกิเลสอย่างสิ้นเชิงแล้ว เพราะกิเลสตัวสุดท้ายถูกทำลายไปในขณะแห่งอรหัตตมรรคจิตที่ผ่านมาแล้ว เป็นผู้ที่พ้นจากทุกข์ทางใจทั้งปวง เพราะไม่ยึดมั่นในสิ่งใดเลย แต่ยังคงต้องทนกับทุกข์ทางกายต่อไป จนกว่าจะปรินิพพาน เพราะตราบใดที่ยังมีร่างกายอยู่ก็ไม่อาจพ้นจากทุกข์ทางกายไปได้
นิพพานนั้นมี 2 ชนิด คือ
- สอุปาทิเสสนิพพาน หรือนิพพานเป็น หมายถึงนิพพานที่ยังมีส่วนเหลือ คือกิเลสทั้งหลายดับไปหมดแล้ว พ้นจากทุกข์ทางใจทั้งปวงแล้ว แต่ยังมีร่างกายอยู่ ทำให้ต้องทนทุกข์ทางกายต่อไปอีก ได้แก่พระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่นั่นเอง
- อนุปาทิเสสนิพพาน หรือนิพพานตาย หมายถึงนิพพานโดยไม่มีส่วนเหลือ คือพ้นจากทุกข์ทั้งปวง ทั้งทางกาย และทางใจอย่างสิ้นเชิง ได้แก่พระอรหันต์ที่ตายแล้วนั่นเอง ซึ่งเรียกได้อีกอย่างว่าปรินิพพาน (ปริ = โดยรอบ, ปรินิพพาน = นิพพานโดยรอบทุกส่วน คือทั้งร่างกายและจิตใจ คือนิพพานจากทุกข์ทั้งปวงนั่นเอง)
พระพุทธเจ้าทรงเปรียบเทียบชีวิตในวัฏสงสารว่า ปุถุชนทั้งหลายเหมือนผู้คนที่ผุด ๆ โผล่ ๆ อยู่กลางน้ำลึก ต้องทนทุกข์ทรมาน สำลักน้ำอยู่อย่างไม่รู้อนาคต ต้องเสี่ยงภัยจากปลาร้ายทั้งหลาย โสดาบันเปรียบเหมือนผู้ที่พยุงตัวพ้นจากผิวน้ำขึ้นมาได้ จนสามารถมองเห็นฝั่ง(แห่งพระนิพพาน) แล้วเตรียมตัวว่ายเข้าหาฝั่งนั้น สกทาคามีบุคคลเปรียบเหมือนผู้ที่กำลังว่ายเข้าหาฝั่ง อนาคามีบุคคลเปรียบเหมือนผู้ที่เข้าใกล้ชายฝั่งมาก คือถึงจุดที่น้ำตื้นพอที่จะหยั่งเท้าถึงพื้นดินได้ แล้วเดินลุยน้ำเข้าหาฝั่ง จึงพ้นจากการสำลักน้ำแล้ว พระอรหันต์เปรียบเหมือนผู้ที่เดินขึ้นฝั่งได้เรียบร้อยแล้ว พ้นจากอันตรายทั้งปวงแล้ว รอวันปรินิพพานอยู่
ท่านผู้อ่านอยากอยู่ในสภาพไหนก็เชิญเลือกเอาเองเถิด
-
โอนเงินร่วมทำบุญ 1001 บาท เพื่อร่วมทำบุญเนื่องในวาระ ธรรมะสัญจร สู่นักรบธรรม ครั้งที่1
-
ก็เห็นด้วยกับคุณ Phoobes ครับ การจะบอกว่าคนไหนไปไกลหรือใกล้ตัวท่านเองเท่านั้นที่รู้ หมวดซุบก็เหมือนกันให้ลองดูที่จิตของท่านก่อนมาฟังธรรมพ่อแม่ครูอาจารย์กิเลสในใจคือความโลภ ความโกรธ และความหลวงเป็นอย่างไร และหลังจากเอาธรรมะของพ่อแม่ครูอาจารย์ไปประพฤตปฏิบัติแล้วกิเลสของท่านเป็นอย่างไร ความโลภ ความโกรธ และความหลงลดลงหรือเปล่า หากลดลงมีสติยั้งคิดก็แสดงว่าท่านได้ก้าวหน้าไปอีกแล้วขั้นหนึ่งเช่นกัน...ขอให้เจริญในธรรม...
-
ขออนุมโทนาสาธุด้วยนะครับ...บุญกุศลใดที่ท่านทำมาแล้วก็ดี กำลังกระทำอยู่แล้วก็ดีขอให้บุญกุศลนั้นจงเป็นปัจจัยส่งให้ท่านได้บรรลุธรรมโดยเร็วด้วยเทอญ...
ขอให้เจริญในธรรม...
-
ขอบพระคุณมากครับท่าน ด.ร. nontayan
-
อนุโมทนากับสิ่งอันเป็นบุญกุศลทุกประการครับ
-
สวัสดีครับหลังจากที่ผมหายไปนานด้วยความสับสนบางอย่างในชีวิตแต่ก็รวบรวมสมาธิและกำลังใจอีกครั้งเพื่อที่จะมาพบพี่ๆทุกท่านแต่ยังไงก็ขอแสดงความดีใจด้วยครับที่พ่อแม่ครูอาจารย์ได้มาโปรดถึงบ้านพี่ๆทุกท่านนับว่าเป็นมงคลแก่วงค์ตระกูลยิ่งนักครับ
ส่วนผมไม่รู้ว่าจะได้โอกาสเหมือนพี่ๆบ้างไหม ที่จะได้ฟังธรรมมะที่บ้านบ้างจะได้ทำให้สว่างดั่งพี่ๆสักที