หลวงปู่แหวนมาโปรดในนิมิตร(ฝัน)

ในห้อง 'หลวงปู่แหวน' ตั้งกระทู้โดย psombat, 18 มีนาคม 2010.

  1. สมาชิกธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2011
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +1,308
    ฉะนั้น ความรู้จริงความเห็นจริงนั้น จึงมีน้อยคนที่จะปฏิบัติให้เกิดขึ้นได้ แต่ก็ไม่เหลือวิสัยสำหรับบุคคลที่มีความตั้งใจจริง ถ้ามีความตั้งใจปฏิบัติจริง ความรู้จริงความเห็นจริงก็จะเป็นผลตอบแทนให้แก่เราอย่างแน่นอน[/QUOTE]

    โมทนาสาธุครับ.....ในการปฎิบัตินั้นโดยมากเมื่อจิตสงบการพิจารณาข้อธรรมใดๆนั้นจะเกิดความรู้ความเข้าใจในธรรมข้อนั้นๆภายใต้หลักของเหตุและผลและลงสูไตรลักษณ์ซึ่งหลายๆท่านเมื่อมาถึงจุดนี้ก็จะเกิดการรู้จริงเข้าใจจริง รู้จากการปฎิบัติและใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญหาเหตุหาผล (แตกต่างจากการรู้จด รู้จำตามตำรามาเล่าสู่กันฟังไม่ได้รู้จากการปฎิบัติจริง)ซึ่งเป็นเพียงแต่ความรู้ความเข้าใจเท่านั้น

    ฉะนั้น.....การที่จะเข้าถึงซึ่ง "ความรู้จริงความเห็นจริง" และ "ยอมรับความจริง" ให้ได้นั้นจึงมีน้อยคนที่จะปฎิบัติให้เกิดขึ้นได้"จุดนี้แหละที่ต้องไปให้ถึง" ขอบคุณมากครับท่านสมบัติสำหรับบทความคุณภาพ
     
  2. สมาชิกธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2011
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +1,308
    เห็นด้วยตามที่ท่านสมบัติเสนอครับ.....หากเพื่อนธรรมทุกๆท่านต้องการแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องพระเครื่องต่างๆเชิญพบกันได้ที่"พระเครื่องเรื่องใหญ่"แทนนะครับ
     
  3. อัศวเมธ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +2
    ขอบคุณครับ หากมีโอกาสว่างจากภาระกิจการงานผมจะลงให้ชมครับ ส่วนถ้อยธรรม ในหัวใจอยากจะบอกกล่าวกับเพื่อน ๆ นักปฎิบัติทั้งหลายว่า ขอให้เรารู้จักแยกแยะ และ วางใจให้ถูกระหว่างสมมุติธรรม กับ ปรมัตธรรม ธรรมอันใดที่เหมาะกับฆารวาส ที่เหมาะกับกาลนั้น ๆ ธรรมอันใดที่เหมาะแล้วสำหรับนักบวชที่สละไม่ยึดติดทางโลกแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกเป็นธรรมดา แต่หัวใจก็คือเราสามารถจะน้อมนำเอาธรรมะที่องค์พระพุทธะสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้มาดับทุกข์ในใจของเราได้หรือไม่อย่างไร เมื่อมีสิ่งเร้าเข้ามากระทบทางอายะตนะทั้ง 6 คือ เมื่อตาเห็นรูป จมูกได้กลิ่น ลิ้นเรารับรส กายถูกต้องสัมผัส หูได้ยิน และ จิตรับรู้ ขอบคุณครับ
     
  4. IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,385

    แหมๆคุณอ๊อดเริ่มต้นเช้าวันอังคาร...วันนี้ได้ดี
    ผมกำลังจะลงภาพเกสาขนาดความยาวครึ่งนิ้ว
    เสด็จมาติดที่ขวดแก้วขนาดจิ๋วที่บรรจุอังคาร (ขี้เถ้า) หลวงตามหาบัว

    ปล: ท่านมาหลายวันแล้ว แต่รอจังหวะดีๆเช่นวันนี้มาลงครับ หุหุ

    ขอน้อมจิตบูชาคุณถึงพ่อแม่ครูอาจารย์ทุกๆรูปครับ
    กราบ กราบ กราบ
    กราบ กราบ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,385
    เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา หลังกลับจากทำบุญทอดกฐิน ได้ไปถอยตู้หนังสือมา 1 หลัง
    ไป ไป มา มา ไหง กลายเป็นตู้โชว์ไปได้เนี่ย หุหุ

    ปล: พึ่งแปลงร่างเมื่อเช้านี้เองครับ ยังไม่สมบูรณ์ดี!
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ตู้.jpg
      ขนาดไฟล์:
      240.4 KB
      เปิดดู:
      13,216
  6. IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,385

    สมัยนิยมพระพิมพ์วงการและมาอยู่ทางเหนือใหม่ๆ สนใจอยากมีไว้อัญเชิญมากๆ
    แต่พอได้ท่านมาก็ช่วงที่รู้จักพระพิมพ์สายวังพอสมควรแล้ว จึงเกิดเฉยๆเสียนี่

    ดีมากทางด้านเสน่ห์ เมตตา มหานิยม สมกับนามนางเหลียวครับ พลังก็สูงน้องๆพระพิมพ์สมเด็จวงการนิยมครับ

    ปล: ของทำเลียนแบบมีเยอะ...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 2514_1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      87.6 KB
      เปิดดู:
      706
    • 2514.jpg
      ขนาดไฟล์:
      88.5 KB
      เปิดดู:
      739
  7. สมาชิกธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2011
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +1,308
    โมทนาสาธุครับ.....ขอบคุณมากสำหรับธรรมทานที่นับว่ามีประโยชน์เป็นอย่างยิ่งกับผู้ที่สนใจศึกษาธรรมอยู่นะครับ

    สำหรับภาพพระเครื่องส่งผ่านทาง PM ได้นะครับ ขอขอบคุณล่วงหน้า

    สมาชิกธรรม
     
  8. IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,385
    ผมได้มาก็เพราะแรงศรัทธากับแรงเงิน ทว่าตอนนี้ท่านไปจำวัดกับน้องท่านหนึ่งใน office แล้ว (ในช่วงที่หมุนเงินสร้างบ้านไม่ทัน เนื่องด้วยไม่อยากเป็นหนี้ใคร แม้กระทั่ง bank นั่นเอง)

    พระชุดกิมตึ๋งที่ท่านว่าดีนัก แต่องค์ท่านใหญ่จัง นั้นไม่มีครับ แต่พระกลุ่มนี้พอจะศึกษาพระกลุ่มนางพญา นางกำแพง ขุนแผน ผงสุพรรณ กลุ่มเนื้อชิน จาก blog ท่านนนต์ได้มั๊งครับ

    หากเชื่อท่านอาจารย์ปู่ประถม...พระกลุ่มสายวังฯที่พวกเราครอบครองอยู้นี้ก็กินขาดครับ

    ส่วนพระพุทธปฐวีธาตุนั้นไม่ต้องให้ผมพรรณา เพราะพลานุภาพไร้ประมาณตั้งแต่ออกจากมือพ่อแม่ครูอาจารย์แล้ว ทว่าท่านเน้นหนักด้านการทำสมาธิ ส่วนการจะดึงพลานุภาพด้านอื่นๆออกมาใช้ได้อย่างไร อยู่ที่ความสามารถของผู้ครอบครองแต่ละบุคคลครับ
     
  9. IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,385
    ขอบคุณที่บอกข่าวและโมทนาสาธุครับ
    เรียกผมว่าอ. แต่ผมไม่มีคุณสมบัติที่ว่ามา เกรงขี้กลากจะขึ้นศรีษะจังครับ หุหุ (อาจจะหนักไปทางอาจม มิใช่อาจารย์ หุหุ)

    พระพิมพ์ที่กล่าวมาต้นๆไม่อิจฉาเลยครับ แต่องค์กรุเก่านั่น เกิดอาการนิกหน่อยครับ หุหุ (ปล: โชคดีจัง ยังมีเหลือแจกหรือเนี่ย 555+)
     
  10. IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,385
    การปฏิบัติสมาธิของผมภายหลังออกพรรษารู้สึกจะรวนๆ พ่ายแพ้ต่อกิเลสนั้นง่าย(แต่ก็ถือว่ายากกว่าปกติแต่ก่อนมา) ตั้งแต่ได้ตั้งหลักใหม่ ก็ได้ศึกษาทบทวนจุดบกพร่องของตนเองที่ผ่านมาช่วงเข้าพรรษา เห็นการปฏิบัติก้าวหน้าเข้าถึงระดับองค์ฌาน ตอนนั้น...การจะคิดหรือทำอะไรมันเป็นไปดั่งใจคิด(แค่คิด ยังไม่พูดนะ)ประดุจดั่งพรหมประกาศิตหรือวาจาสิทธิ์เลยทีเดียว การนั่งภาวนาก็เกิดนิมิตสอนตัวเอง แสงสีต่างๆ การสามารถมองเห็นหรือสัมผัสสิ่งลึกลับทั้งในปัจจุบันและในอดีตชาติหรือกายทิพย์ จึงทำให้มีกำลังใจในการฝึกปฏิบัติธรรมเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนั้นอาการของกิเลสตัณหาราคะมันก็แทบไม่ปรากฏมีหรือเหลือศูนย์เลยทีเดียว ทำให้เกิดอาการที่ปัจจุบันที่เรียกว่าอาการหลงดี ติดดี เกิดอวิชชาไม่รู้แจ้ง รู้เพียงบางส่วนก็คิดว่ารู้มาก คิดว่าตัวเองก้าวหน้าไปบ้างแล้ว แท้ที่จริงมันเป็นเพียงทางผ่าน ของแถมของการปฏิบัติธรรมระดับสมาธิ มันยังไม่ใช่ระดับวิปัสสนา หรือการซักฟอก ซักล้างกิเลสที่มันถูกหมักถูกดองไว้ในดวงจิตนี้เลย

    ในเมื่อตั้งหลักใหม่ได้แล้ว จึงเข้าใจแล้วว่าสมาธิเป็นหนึ่งองค์ประกอบในการวิปัสสนา โดยมีรากแก้วคือศีล หากศีลบริสุทธิ์จริงๆ จักทำให้มีความมั่นใจและปฏิบัติธรรมได้ก้าวหน้าไปในทางที่ดี การพิจารณาธรรม ธรรมชาติ ทั้งจากกายของเราเอง สิ่งรอบข้าง จักต้องตั้งอยู่ในบรรทัดฐาน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เสื่อมไปเรื่อยๆ ไม่ยึดติด รู้สมมุติ แลสรรพสิ่งไม่ใช่ของเรา ทั้งมิใช่ของเขา แต่เป็นของโลกในที่สุดก็จักเป็นอนัตตาทั้งสิ้นไป

    การพูดหรือเขียนออกไปโดยความเข้าใจว่าเช่นนี้ เกิดจากการทบทวนตัวเองใน 2-3 เดือนที่ผ่านมา ประกอบกับศึกษาประวัติหลวงพ่อทูล ธรรมะหลวงปู่เครา (โยคีดำ) แล้วมาประมวลกับธรรมะพ่อแม่ครูอาจารย์และคุณแม่ชม จึงได้เข้าใจว่าตามที่ว่ามานี้

    การตั้งหลักของแต่ละคนต้องใช้เวลาปรับปรุงแก้ไข ดังนั้นโปรดอย่าได้ตกกะใจว่าบอร์ดทำไมมันเงียบเหงา (อาจจะเหงาเพราะญาติธรรมหลายๆท่านหนีน้ำอยู่ก็มีส่วนด้วย) ก็อยากให้กำลังใจสำหรับทุกๆท่านที่ประสบทุกข์ที่เป็นของจริงอยู่นี้ อันที่จริงไม่ต้องรอให้น้ำท่วม พวกเราก็ทุกข์ของมันอยู่แล้วตามธาตุขันธ์ ตามสภาวะการณ์ต่างๆ น้ำท่วมจึงถือว่าเป็นของแถม ให้เราเรียนรู้ เข้าใจ เบื่อ! ไม่อยากกลับมารับทุกข์นี้อีก จึงขอปฏิเสธ นรก สวรรค์ พรหม แต่ขอกลับมาเป็นมนุษย์ผู้เป็นปฏิปักษ์กับกิเลส เพื่อจะกำจัดไอ้ตัวอาสวะตัวเหนียวหนืดแต่มวลมันเล็กกว่าอะตอม(เพราะไม่รู้จะเปรียบกับอะไรดี)นี้ให้สิ้นซากไปจากใจเรา จึงขอจองเวรมันไปทุกภพทุกชาติ จนกว่าจะตายไปข้างใดข้างหนึ่งทีเดียวเพื่อนเอย...

    ลืมบอกไปว่า อาวุธที่จักใช้ประหัตประหารกิเลสนั้นคือความมี ศีล-สมาธิ-สติ-ปัญญา-ความเพียร ความรู้เท่าทันกิเลส ดำเนินตามทางอริยะมรรค (ปัญญา: มิใช่ปัญญาในตำราใดๆในโลก แต่เป็นปัญญาอันแหลมคมที่เกิดจากการปฏิบัติ เรียนรู้ ฝึกฝนของเราให้เพียงพอที่จักเชือดเฉือนกิเลสให้ขาดออกไปได้และ)
     
  11. IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,385
    สถิติของ web บอร์ดหลวงปู่แหวนมาโปรดในนิมิต: จำนวนการตอบสะดุดตาดี (5678)

    <TABLE id=threadslist class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" align=center><TBODY id=threadbits_forum_131><TR><TD class=thead colSpan=7><CENTER>กระทู้ทั่วไป</CENTER></TD></TR><!-- google_ad_section_start --><TR><TD id=td_threadstatusicon_231506 class=alt1> </TD><TD class=alt2></TD><TD id=td_threadtitle_231506 class=alt1 title=""> หลวงปู่แหวนมาโปรดในนิมิตร(ฝัน) (10 คน กำลังดูอยู่) ( 1234567891011121314151617181920 ... หน้าสุดท้าย)
    psombat
    </TD><TD class=alt2 title="จำนวนตอบ: 5,678, จำนวนอ่าน: 117,475">วันนี้ 09:27 AM
    โดย IT Man

    </TD><TD class=alt1 align=center>5,678</TD><TD class=alt2 align=center>117,475</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,385

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,385
    การศึกษาธรรมชาติให้เห็นแจ้งในความเป็นจริงของมันนั้น.....ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ "ความโง่ หรือ ความฉลาด" เราศึกษาธรรมเพื่อความหายโง่หายเขลาเบาปัญญา....วัว-ควายทีเราตราหน้ามันว่าแสนโง่ ยังทำนามาให้เรากินได้...ก็ถ้าเราทำตัวเป็นคนโง่ที่.."ว่านอนสอนง่าย" เหมือนควาย....เธอจะเป้นคนฉลาดหลุดโลกได้อย่างแน่นอน....

    ในพละห้าที่เป็นทางส่งเสริมให้พ้นทุกข์นั้น.....ไม่ได้มีข้อแม้ว่า...ต้องเป็นคนฉลาดด้วย.....ความโง่และความฉลาดนั้น....มันวัดกันด้วยตรงไหน....อย่าดูถูกตัวเอง มันก้อเป็นทิฐิอย่างหนึ่งเช่นกัน...

    สตินั้นก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ที่ให้แสงสว่างอยู่นี้ มันไม่ได้มีโวลลุ่มทำให้มืดหรือสว่างได้ดอก....แต่ที่มันดูสว่างจ้ามาก-หรือมืดมัวลงนั้น....เพราะมีเมฆหมอกบดบังแสงไว้ต่างหาก.....สติของเราก็เช่นนกัน มันถูกนิวรณ์ธรรมห้าบดบังไว้ จึงไม่แจ่มชัด สัมปชัญญะที่เปรียบเสมือนสายตาของเรา จึงไม่อาจโฟกัสให้เห็นชัดเป้าหมายได้...การทำให้นิวรณ์ธรรมห้าระงับดับไปด้วยสัมมาสมาธินั้น จึงเป็นหลักเบื้องต้นของการเจริญปัญญา ที่กายของเราตั้งอยู่ในศีลให้เป็นปกติแล้ว....และมีใจรู้จักการโอนถ่ายสรรพสิ่งที่สร้างพันธนาการไว้ว่าเป็นของเรา-ตัวตนของเราคืนให้กับธรรมชาติ.....กายและจิตของเธอจะเบาเหมือนปุยนุ่น และพร้อมที่จะเจริญสมถะวอปัสสนากรรมฐาน....เมื่อเธอมีความเห็นว่า..."ทุกๆสรรพรูปและสรรพนาม" ล้วนเป็นธรรมชาติ ที่ตั้งอยู่ในธรรมที่เป็น "อนิจจัง, ทุกขัง, อนัตตา" เธอจะเห็นธรรมชาติที่เป็นอริยสัจสี่อย่างแท้จริง....แล้วเห็นโทษ-เห็นภัย-ในการยึดมั่นถือมั่นในสรรพธาตุสรรพธรรมทั้งหลาย....กายและจิตก็จะคลายออกจกสังโยชน์...แค่นี้.....เธอก็หายโง่ หายเขลา ได้แล้ว.....

    เรื่องที่เขาพูดกันนั้น อย่าเอามาใสใจให้มากนัก เพราะต่างก็ไม่รู้ว่า....จริงนั้นมันคืออะไร ระงับความโกรธ....ด้วยการรู้ว่าสิ่งที่ทำให้เราโกรธนั้น "ไม่ใช่ของจริง" มันเป็นเพียงมายาของกิเลสเท่านั้น
    ระงับความไม่ดี.....ด้วยการรู้ว่าความไม่ดีนั้นเหมือนกลิ่นเหม็นที่แทรกอยู่ในอณูของอากาศ ฟุ้งไปที่ไหน-ก็เหม็นที่นั่น
    ระงับความตระหนี่....ด้วยการรู้ว่าสิ่งที่เราคอบครองอยู่นั้น มันเป็นพียงธรรมชาติที่ตั้งอยู่ในความเป็น "อนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา" เมื่อใจเราไม่กล้าสละมันไป ก็ไม่อาจปล่อยวางภพชาติได้ และสุดท้ายก้ต้องเสียมันไปอยู่ดี..ฉะนั้น...เราจึงควรสร้างประโยชน์ทางใจของเรา ด้วยการจาคะมันเสียก่อน ก่อนที่มันจะกินใจของเราให้เจ็บปวดในวันสุดท้าย

    การที่เราเจริญสมาธิได้ยากนั้น...เพราะใจของเรามีความผูกพันอยู่กับสิ่งนอกกายที่เรายึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของเรา-ของเขานั่นเอง ใจที่เป็นจาคะแล้ว ด้วยการฝึกฝน "การให้" ที่ไม่หวังผลอันใดๆเลย จะเป็นบาทวิถีแห่งจิตให้เกิดสมาธิ, ปัญญา, และมรรคผลเป็นที่สุด....

    ชีวิตที่อาศัยธาตุธรรมชาติอยู่นั้น....ไม่ว่าจะอยู่ในภพไหนๆ.....ตั้งอยู่ในฐานะอะไร.....แม้จะเเป็นอะไรๆ....มันก็ทุกข์ทั้งนั้นแล....เพราะความพอดีชองธรรมชาติหาได้ยาก เหมือนหาหนวดเต่า เขากระต่าย ดั้งนั้น.....เราจึงอยู่ด้วยอาการที่ "ต้องทนอยู่".....ยิ่งรู้มาก-เห็นมาก-ก้อยิ่งทุกข์มาก.....เพราะไม่มีอะไรที่ไม่ "เป็นทุกข์"

    วัดยังไงก็ไม่จบไม่สิ้นสักที....เพราะไม่ได้วัดอยู่คนเดียว...มันก็ต้องวัดอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกแหละหนู จนกว่าจะหยุดหายใจ.....มันก้อไม่เป็นอย่างไรแล้ว.......

    เมื่อเธอรับประทานอาหารอยู่ในปากนั้น.....เธอรู้สึกว่ามันอร่อยเลิศรสจริงๆ "ด้วยตัวของเธอเอง" แล้วเธอก็อยากบอกให้คนอื่นรู้ว่า.....อาหารชนิดนี้ที่รับประทานอยู่นั้น มันอร่อยเลิศรสเช่นไร....เธอก็จะบอกเขาไปได้เพียงว่า....มันอร่อยจริงๆเท่านั้น.....แต่คนฟังมิอาจรู้รสเหมือนดังผู้รับประทานได้ไม่.....เช่นนี้....จึงกล่าวว่า..."รู้ได้เฉพาะตน"....ส่วนรสของธรรมมะนั้น....มันยิ่งละเอียดอ่อนกว่ารสของอาหารเป็นไหน....แล้วเธอจะให้คนอื่นรู้รสของพระะรรมตามที่เธอได้ลิ้มนั้นอย่างไร ยกเว้นผู้ที่ได้ลิ้มมันมาแล้ว จึงพอจะเข้าใจตามที่เธอกล่าวบอกนั้นได้.....เช่นนี้จะไม่ให้กล่าวว่า....."รู้ได้เฉพาะตน"....แล้วจะให้กล่าวว่าอย่างไร....

    อนึ่ง....ควรทราบว่า....หลวงปู่แก่แล้ว: สายตาไม่ค่อยดี ควรใช้สีของตัวอักษรให้คนแก่พออ่านได้บ้าง....อย่าถึงกับให้ต้องใช้มือคลำเอาเลยนะ เดี๋ยวมันจะยุ่งไปกันหย่ายๆๆๆๆๆๆ...เพราะไม่อยากรู้ได้เฉพาะตนอีกแล่ว....

    เก็บตกคำตอบ(จากคำถาม)บางส่วนจาก www.yokeedam.com โดยหลวงปู่เครา...
     
  14. naicharty เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +394
    ต้องขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำของท่าน ในการประพฤติปฏิบัติธรรม พวกเรายังเป็นเพียงผู้ศึกษาที่เรียกว่าเป็นเสขบุคคล การประพฤติปฏิบัติมีถูกบ้างผิดบ้าง ถือว่าเป็นการเรียนรู้แต่คนที่จะบอกว่าเราทำถูกหรือทำผิดก็คือพ่อแม่ครูอาจารย์ของเรา ซึ่งบุคคลที่จะเป็นพ่อแม่ครูอาจารย์ได้ต้องมีปฏิทาที่มั่นคง การประพฤติปฏิบัติก็ต้องเกิดจากสภาพจริง ธรรมะก็เป็นของจริง บางครั้งสอนก่อนแล้วให้ปฏิบัติ บางครั้งปฏิบัติให้เจอของจริงก่อนแล้วค่อยสอนทีหลัง ซึ่งอุบายธรรมของท่าจะออกมาแบบปัจจุบันทันด่วน และอีกอย่างท่านจะสามารถรู้วาระจิตของลูกศิษย์ทุกคน การประพฤติปฏิบัติธรรมต้องมีพ่อแม่ครูอาจารย์คอยชี้แนะเพราะเรายังเป็นเสขบุคคล หากประพฤติปฏิบัติตามตำราแล้วไม่มีพ่อแม่ครูอาจารย์เป็นผู้แนะนำอาจจะผิดได้ ดังนั้นจึงขอให้ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายจงแสวงหาพ่อแม่ครูอาจารย์ได้ให้ครับ
    การประพฤติปฏิบัติธรรมสามารถทำได้ทั้งนักบวชหรือฆราวาส การประพฤติปฏิบัติก็เป็นการเรียนรู้สภาวะที่เป็นจริง เพราะการเกิดเป็นทุกข์ ที่เราเป็นสุขเพราะทุกข์คลายตัว พยามทิฏฐิและอัตตา ความเป็นพระต้องมาจากใจไม่ใช่มาจากการห่มผ้าแบบพระ ไม่ว่าจะเป็นฆราวาสหรือเป็นพระก็ต้องประพฤติปฏิบัติธรรมตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้โดยใช้หลักอริยมรรค 8 โดยเริ่มจาก ปัญญา ศีล และสมาธิ เป็นหลักยืนต้น.....ก็ขอเรียนเชิญทุกท่านมาปฏิบัติกันได้นะครับที่ภูดานไห....
     
  15. IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,385
    กำลังใจ
    รวมความว่า บารมีทั้ง ๑๐ ประการ คือ..
    ๑. จิตพร้อมจะให้ทาน
    ๒. จิตทรงศีลอยู่เสมอ
    ๓. เราพร้อมที่จะระงับนิวรณ์ ๕ ประการ
    ๔. เรามีปัญญาที่จะรู้แจ้งเห็นจริงตามกฎของธรรมดา มีอารมณ์ยอมรับนับถือกฎของธรรมดาเป็นปกติ
    ๕. เรามีความเพียรเพื่อจะทำลายกิเลสให้พินาศไป
    ๖. เรามีขันติคือความอดทน ทนต่อการฝืนอารมณ์ เพราะอารมณ์มันคอยต่ำ เราจะดึงขึ้นสูง มันก็จะคอยลงต่ำ ต้องทนดึงเข้าไว้
    ๗. สัจจะ เมื่อตั้งใจว่าจะทำลายกิเลสแล้ว ก็ตั้งหน้าตั้งตาทำลายกิเลสกันเรื่อยไป ไม่ถอยหลัง
    ๘. อธิษฐาน ตั้งอารมณ์ไว้ตรงว่า เราจะเข้าไปหาพระนิพพานให้ได้ จะไม่ยอมถอยหลัง จับจุดไว้จุดเดียวเท่านั้น
    ๙. เมตตา ประกาศตนเป็นคนมีความรักปรารถนาในการสงเคราะห์คนทั้งหมดและสัตว์ทั้งหมด ไม่ถือว่าใครเป็นศัตรูร้ายของเรา
    ๑๐. อุเบกขา มีความวางเฉย วางเสียได้เมื่อกฎของกรรมจะเข้ามาสนองตน

    สรุปแล้วก็คือ ถ้าจะทำจิตของเราให้ทรงอารมณ์เป็นพระนิพพานจริง ๆ ขอบรรดาท่านภิกษุ สามเณร และท่านพุทธบริษัทชายหญิง จงพยายามทรงอารมณ์ บารมี ๑๐ ประการ ไว้ให้ครบถ้วน อันนี้ทิ้งไม่ได้
    เกาะบารมี ๑๐ ประการ ว่าสิ่งไหนบ้างที่ยังไม่มีสำหรับเรา เรายังบกพร่อง อย่าให้บกพร่อง และใช้กำลังสมาธิควบคุมให้ทรงตัว ให้มีกำลัง..

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)
     
  16. IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,385
    การแสวงหาครูอาจารย์ที่ใช่และเป็นของจริงนับว่ายากมากๆ หากมีบุญสัมพันธ์กันกับท่านด้วยแล้ว ต้องเรียกว่าเป็นมหาบุญ มหากุศล มหาวาสนาโดยแท้ (โมทนาสาธุและชมกันเองละกันครับ :cool:)

    การยึดตำรา การยึดพระไตรปิฏก (ปริยัติ) ก็ยังก่อให้เกิดความผิดพลาดได้ หากไม่มีการพิสูจน์ (ปฏิบัติ) ให้เห็นของจริง (ปฏิเวธ) เสียที

    พระพุทธเจ้าทรงทราบไว้ล่วงหน้าแล้วว่า พระศาสนาของพระองค์จะเสื่อมก็เกิดจากความเสื่อมจากคนในพระศาสนานี่แหละ ที่ตีความหมาย ดัดแปลง กล่าวอ้าง คำสั่งสอนของพระองค์ผิด ทั้งการบอกต่อกันมาก็แบบผิดๆ

    พระธรรม 84,000 พระธรรมขันธ์นั้นมากมายมหาศาล อีกทั้งมีความละเอียดอ่อนพิศดารเป็นอย่างยิ่ง (ขนาดชื่อ สถานที่ ประเทศ ยังมีการจำ พูด ผิดเพี้ยน;ขนาดพระคาถาเพียงอักขระเดียวก็ทำให้ความหมายผิด) การปฏิบัติจริงนั้น จึงยิ่งต้องละเอียดกว่า ยิ่งละเอียดก็ยิ่งมีพลาด กิเลสมันแทรกอยู่ทุกอณูจิตของเรา มันไม่ยอมให้เราหนีจากการควบคุมของมันไปได้ง่ายๆ สำหรับผู้กำลังศึกษาหรือสามัญชน...เผลอเมื่อไหร่เป็นโดนกันทุกคน...สำคัญที่ว่า จะสู้ต่อ หรือจะเป็นไอ้เสือถอย (เพราะมีพวกที่ถอยมากกว่า) แต่พวกที่สู้ต่อในตอนนี้กลับน้อยลงๆ

    พระองค์จึงทรงสอนหลักธรรมเรื่องกาลามสูตรให้พวกเราได้ศึกษาเพื่อไม่ให้ลืมเตือนตนเอง เพราะมัวแต่ไปเตือนคนอื่น จึงตกเป็นเหยื่อของทิฏฐินั่นเอง...
     
  17. IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,385

    ธรรมหมวดนี้ชื่อว่า กาลามสูตร ๑๐ ข้อ พวกเราที่เป็นพุทธบริษัทที่มีความฝักใฝ่ในธรรม ต้องการความรู้จริงเห็นจริงในสัจจธรรมทั้งหลาย เราต้องอ่านหนังสือเรื่องกาลมาสูตรนี้หลายๆครั้ง แล้วน้อมเข้ามาหาตัวเองว่า ในใจเรามีความเห็นผิด มีความเชื่อผิดในสิ่งใดบ้าง เพื่อที่จะแก้ไขปรับปรุงในความเห็นของใจ ให้เป็นไปในทิศทางที่ถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

    หลวงพ่อทูล

    คำปรารภ

    หนังสือ กาลามสูตร ที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นพุทธพจน์ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสเอาไว้ ในสมัยที่พระองค์ยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ ในครั้งนั้นพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงธรรมโปรดกลุ่มกาลามชน เพราะชนกลุ่มกาลามชนม์นี้มีความเชื่อถือไปตามความเข้าใจของตนเอง พากันเชื่อโดยไม่มีเหตุผลมารองรับในความผิดถูกเอาไว้ พระพุทธเจ้าจึงได้เสด็จไปโปรดเพื่อให้เขาเหล่านั้นได้เปลี่ยนความเชื่อถือให้เป็นไปในเหตุผลที่ถูกต้อง นี้เป็นสาเหตุที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสเรื่องกาลามสูตรนี้เอาไว้ เพราะทุกยุคทุกสมัย ความเข้าใจในหมู่มนุษย์ย่อมมีความเชื่อตามความเห็นของตัวเอง ความเชื่อนี้จะมีอยู่ในหมู่มนุษย์ตลอดไป ในเหตุการณ์เรื่องความเชื่อนี้เอง พระพุทธเจ้าจึงให้พุทธบริษัททั้งหลายได้ศึกษา เฉพาะความเชื่อถือในทางพระพุทธศาสนา ในครั้งพุทธกาลก็ยังมีคนเชื่อถือในลักษณะนี้อยู่แล้ว แม้ชาวพุทธในปัจจุบันก็มีความเชื่อในลักษณะนี้ จะพากันเชื่อในทางที่ผิดหรือเชื่อในทางที่ถูกต้อง พระพุทธองค์ได้ตรัสเรื่องกาลามสูตรเอาไว้ ข้าพเจ้าเพียงได้ขยายความออกไปเพื่อให้ผู้อ่านได้เกิดความเข้าใจไก้ง่ายขึ้น และชี้แนะในเรื่องความเชื่อที่ผิดๆให้เกิดความชัดเจน ตามที่ข้าพเจ้าได้อธิบายในหนังสือเล่มนี้

    ลายเซ็น
    (พระอาจารย์ทูล ขิปฺปปญฺโญ)
    สารบัญกาลามสูตร ๑๐ ข้อ
    ๑. อย่าได้เชื่อเพียงสักว่า ได้ฟังตามๆกันมา
    ๒. อย่าได้เชื่อเพียงสักว่า เป็นของเก่าที่เคยทำสืบต่อๆกันมา
    ๓. อย่าได้เชื่อเพียงสักว่า กิตติศัพท์อันเป็นข่าวลือ
    ๔. อย่าได้เชื่อเพียงสักว่า อ้างมาจากตำราหรือคัมภีร์
    ๕. อย่าได้เชื่อเพียงสักว่า ตรรก คิดคำนวณด้วยการสุ่มเดาเอา
    ๖. อย่าได้เชื่อเพียงสักว่า คาดคะเนไปตามเหตุผลของปรัชญาเพียงอย่างเดียว
    ๗. อย่าได้เชื่อเพียงสักว่า ตรึกตามอาการ
    ๘. อย่าได้เชื่อเพียงสักว่า ชอบใจที่เข้ากันได้กับทิฏฐิของเรา
    ๙. อย่าได้เชื่อเพียงสักว่า ผู้พูดเป็นที่น่าเชื่อถือได้
    ๑๐. อย่าได้เชื่อเพียงสักว่า สมณะนั้นเคยเป็นครูของเรา
    และ...อภินิหาร มี ๓ อย่าง

    <<<กาลามสูตร>>>

    หนังสือกาลามสูตรนี้ เป็นพุทธพจน์ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้แล้วอย่างชัดเจน พระพุทธเจ้าทรงมีพระญาณหยั่งรู้เห็นว่า ในช่วงปลายพระพุทธศาสนา จะมีพุทธบริษัทในยุคนั้นทำการแก้ไขเพิ่มเติม พระธรรมคำสอนของเราจะเกิดความวิบัติ การตีความในพระธรรมวินัยจะไม่ตรงตามหลักความเป็นจริง ถึงจะมีคำอ้างอิงอยู่ว่า นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่ก็ตาม นั้นเป็นความอ้างเพื่อให้คนทั้งหลายเข้าใจผิด คิดว่าเป็นพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ถูกต้อง ถึงจะมีคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่ แต่ผู้ตีความในคำสอนของพระพุทธเจ้าก็จะแทรกแซงความเห็นส่วนตัวแฝงเข้าไปมากมายทีเดียว แล้วนำไปเผยแพร่แก่กลุ่มชาวพุทธด้วยกันเป็นอย่างมาก ในยุคสมัยนี้ ถึงจะมีอาจารย์ผู้ทรงคุณธรรมอยู่ ก็มีจำนวนน้อย จะเอาพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ถูกต้องออกไปเผยแผ่ในที่ต่างๆ เพื่อให้พุทธบริษัททั้งหลายได้รับข้อมูลในหมวดธรรมที่เป็นจริง ก็ไม่ทั่วถึงชาวพุทธทั้งหลายได้ เพราะพุทธส่วนใหญ่ ยังเชื่อถือฝังใจในคำสั่งสอนของครูอาจารย์ตัวเองว่าถูกต้องแล้ว ถ้าครูอาจารย์สอนถูกก็โชคดีไป ถ้าครูอาจารย์สอนผิด เราก็ผิดเช่นกัน
    อยากให้ชาวพุทธทั้งหลายได้อ่านประวัติผู้ที่ได้บรรลุธรรมสมัยครั้งพุทธกาลดูบ้าง ในสมัยครั้งนั้นมีผู้บรรลุธรรมเป็นพระอริยเจ้าเป็นจำนวนมาก การปฏิบัติใช้เวลาไม่นานนัก ก็เกิดความรู้แจ้งเห็นจริงในหลักสัจธรรมได้ ในยุคนั้นยังไม่มีหนังสือธรรมะอ่าน การศึกษาธรรมก็เพียงจำเอาจากการฟังธรรมได้เป็นบางข้อ แล้วนำมาปฏิบัติจนได้บรรลุธรรมเป็นพระอริยเจ้า ฉะนั้นขอให้พวกเราได้สังเกตดูผู้ปฏิบัติธรรมในยุคนี้บ้าง จะรู้ความแตกต่างกับสมัยครั้งพุทธกาลเป็นอย่างมากทีเดียว ในยุคสมัยครั้งพุทธกาล ท่านเหล่านั้นรู้ธรรมเป็นธรรมด้วยสติปัญญาของตัวเอง ไม่ได้คิดว่าปฏิบัติอย่างนี้ผิดหรือถูกแต่อย่างใด เมื่อมีผู้ให้อุบายในการปฏิบัติ ก็ตั้งใจปฏิบัติในธรรมตามวิธีนั้นต่อเนื่องกันไป จึงเป็นผู้รู้ธรรมเป็นธรรมได้ง่าย อีกเรื่องหนึ่ง ท่านเหล่านั้นได้ฟังธรรมจากองค์ไหนมา ก็ไม่ได้นำมาเถียงกันว่าผิดหรือถูก เพราะหมวดธรรมที่ฟังมาจากหลายๆองค์เป็นเรื่องเดียวกัน มีการเริ่มต้นจาก สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบตามหลักความเป็นจริงในสัจธรรมเหมือนกันนี้เอง จึงทำให้คนยุคนั้นปฏิบัติบรรลุธรรมได้ง่าย ไม่มีความลังเลสงสัยในหมวดธรรม มีแต่ตั้งใจพิจารณาให้เกิดความรู้แจ้งเห็นจริงด้วยสติปัญญาของแต่ละท่านเท่านั้น
    เหตุดังนี้เอง พระพุทธองค์จึงทรงตรัสเป็นหมวดธรรมเอาไว้ หมวดธรรมนี้มีต้นเหตุเกิดขึ้นจากชาวกามลามชน คนกลุ่มนี้มีความเชื่อที่ขาดเหตุผล ที่เรียกว่าศรัทธาวิปยุต เชื่อในสิ่งใดไม่ได้คิดพิจารณาหาเหตุผล จึงกลายเป็นคนเชื่องมงายไปโดยไม่รู้ตัว ไม่ได้คิดว่าความเชื่ออย่างนี้มีความผิดหรือถูก นี้เอง พระพุทธองค์ได้ตรัสเป็นพุทธพจน์ เพื่อเป็นอุบายสอนพุทธบริษัทในสมัยครั้งพุทธกาล ทำให้คนในยุคนั้นเปลี่ยนนิสัยเดิม ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ มีความเห็นที่ผิด มาเปลี่ยนเป็นสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ เมื่อท่านเหล่านั้นได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าแล้ว ใช้ปัญญาพิจารณาจนเข้าใจในเหตุและผลจนรู้เห็น ว่าอะไรผิดอะไรถูก สิ่งที่ควรเชื่อ สิ่งที่ไม่ควรเชื่อ ท่านเหล่านั้นจึงได้กลับใจ ไม่เอาตามความเห็นผิดความเชื่อถือผิดอีกต่อไป มีความตั้งใจหาอุบายมาปฏิบัติธรรมให้ต่อเนื่อง ท่านเหล่านั้นก็ได้บรรลุธรรม เป็นพระอริยเจ้าในชั่วเวลาไม่นานนัก ขอให้พวกเราควรเอาอย่างตามท่านเหล่านั้นบ้าง

    ธรรมหมวดนี้ชื่อว่า กาลามสูตร มี ๑๐ ข้อด้วยกัน ฉะนั้นพวกเราที่เป็นพุทธบริษัทที่มีความฝักใฝ่ในธรรม ต้องการความรู้จริงเห็นจริงในสัจธรรมทั้งหลาย เราต้องอ่านหนังสือเรื่องกาลามสูตรนี้หลายๆครั้ง แล้วน้อมเข้ามาหาตัวเราเองว่า ในใจเรามีความเห็นผิด มีความเชื่อผิดในสิ่งใดบ้าง เพื่อที่จะปรับปรุงในความเห็นของใจให้เป็นไปในทิศทางที่ถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เราจะฝึกใจไม่ให้เกิดความเชื่อที่งมงายอีกต่อไป ในหนังสือกาลามสูตรตามหลักตำราเดิม นักปราชญ์ยุคก่อนท่านได้อธิบายไว้ไม่มากนัก จึงยากที่จะเข้าใจพอจะนำมาเป็นอุบายในการปฏิบัติตามได้ ข้าพเจ้าจึงได้ขยายข้อความออกไปเพื่อให้ทุกคนอ่านแล้วเข้าใจในความหมายได้ง่ายขึ้น เพื่อให้เกิดความเชื่อถือในสิ่งต่างๆได้อย่างถูกต้อง
    ก่อนท่านจะได้อ่านเรื่องกาลามสูตร ข้าพเจ้าขอทำความเข้าใจกับท่านเอาไว้ว่า ในยุคสมัยนี้ มีชาวพุทธเป็นจำนวนมาก ที่ตีความหายในคำสอนของพระพุทธเจ้ายังไม่ชัดเจน ถึงจะมีความเชื่อในพระพุทธเจ้า มีความเชื่อในพระธรรม และมีความเชื่อในหมู่พระสงฆ์อยู่ก็ตาม ส่วนมากจะเอาศรัทธาความเชื่อเป็นหลักยึดมั่นเท่านั้น โดยไม่ได้ใช้สติปัญญาพิจารณาให้เข้าใจในเหตุผล เช่นประวัติของพระพุทธเจ้า พวกเราควรจะได้ศึกษาในขั้นตอนของพระองค์ดูบ้าง ในช่วงที่พระองค์เป็นสิทธัตถะราชกุมาร และได้เสด็จออกผนวช ในช่วงนั้นพระองค์ได้ปฏิบัติธรรมอยู่กับดาบสทั้งสอง ในเรื่องการทำสมาธิที่พระองค์ทรงเห็นว่าไม่ใช่ทางที่จะบรรลุธรรมได้ จึงได้ลาดาบสทั้งสองหนีไป ในช่วงที่พระองค์ได้ปฏิบัติบำเพ็ญทุกขกิริยาที่ดงคะสิริ และช่วงที่พระองค์ทรงรับข้าวมธุปายาสของนางสุชาดา
    ในช่วงที่พระองค์ทรงลอยถาดทองคำนี้ จึงเป็นช่วงที่สำคัญยิ่ง ขอให้ท่านผู้อ่านจงทำความเข้าใจให้ดี พิจารณาตามเหตุผลที่ข้าพเจ้าได้อธิบายพอสังเขปเอาไว้ หากท่านมีความสงสัยในจุดใดที่ข้าพเจ้าได้อธิบายไป ท่านจะถามเพิ่มเติมข้าพเจ้าก็พร้อมที่จะให้ความกระจ่าง เพื่อให้ท่านได้เข้าใจในเหตุผลชัดเจนมากขึ้น ในช่วงนี้พระองค์ยังทรงเป็นพระโพธิสัตว์ ยังเป็นพระปุถุชน ในสมมุติเรียกว่า พระสิทธัตถะภิกขุ ยังไม่ได้บรรลุธรรมตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแต่อย่างใด ในช่วงที่สำคัญนี้ หมายถึงพระองค์จะเกิดความเห็นเป็นสัมมาทิฏฐิความเห็นชอบ สัมมาสังกัปโป การดำริพิจารณาในทางปัญญาที่ถูกต้อง ให้เราตั้งใจอ่านให้ดี เพราะเป็นครั้งแรกที่พระองค์ได้ใช้ปัญญา พระองค์ผนวชมานานถึงห้าปีกว่า พระองค์ไม่เคยได้คิดพิจารณาทางปัญญาเลย ในช่วงลอยถาดทองคำ จุงเป็นจุดเริ่มต้นที่พระองค์จะทรงใช้ปัญญา เพราะได้อุบายในการคิดจากถาดทองคำนั้นเอง
    ก่อนที่พระองค์จะทรงปล่อยถาดทองคำออกจากพระหัตถ์ พระองค์ได้อธิษฐานว่า ถ้าข้าพเจ้าจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในชาตินี้จริง ขอให้ถาดทองคำลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไป พอทรงอธิษฐานเสร็จก็วางพระหัตถ์ ถาดทองคำก็ลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไปในขณะนั้นทันที ในช่วงนี้เอง พระองค์ก็ได้ทรงดำริพิจารณาในถาดทองคำ เพื่อเป็นอุบายในการใช้ปัญญาเป็นครั้งแรก พระองค์จึงโอปนยิโก ทรงน้อมเอาถาดทองคำที่ลอยทวนกระแสน้ำนั้น มาเป็นอุบายในการคิดพิจารณาว่า ถ้าถาดทองคำลอยทวนกระแสน้ำจะทำให้ถึงฝั่งถึงต้นทางแม่น้ำนี้อย่างแน่นอน ถ้าถาดทองคำลอยไปตามกระแสน้ำ ถาดทองคำจะไปตกอยู่ที่ตรงไหน จึงได้เข้าใจว่า ถาดทองคำนี้จะต้องไหลลงสู่มหาสมุทรสุดสาคร วนเวียนไปมาในมหาสมุทรหาที่สิ้นสุดไม่ได้เลย แล้วทรงน้อมเอาถาดทองคำเข้ามาเทียบกับใจว่า ถ้าฝึกใจให้ลอยทวนกระแส แห่งความอยาก คือตัณหานี้ได้ จะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน ถ้าใจลอยไปตามกระแสแห่งความอยากคือตัณหาเมื่อใด ใจก็จะได้มาเกิดในภพน้อยภพใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุดได้ พระองค์จึงได้หวนคิดถึงเมื่อครั้งที่พระองค์เป็นฆราวาส ที่ได้ทอดพระเนตรเห็น คนแก่ คนเจ็บ คนตาย ว่า มาจากความเกิด พระองค์ทรงพิจารณาต่อไปว่า ความเกิดเนื่องจากเหตุอันใด พระองค์ไม่ทรงทราบว่ามีสิ่งใดทำให้คนมาเกิดในโลกนี้ แต่บัดนี้พระองค์ได้ทรงทราบแล้วว่า ความเกิดมาจากเหตุคือตัณหา ถ้าดับตัณหาได้แล้วความเกิดเป็นภพชาติต่างๆก็ไม่มี ถ้าความเกิดไม่มี ความแก่ ความเจ็บ ความตาย จะมีมาจากที่ไหน ความเห็นความเข้าใจอย่างนี้นี่เอง จึงเรียกว่าปัญญาของพระองค์ได้เกิดขึ้นแล้ว ที่เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ ปัญญาความเห็นชอบ สัมมาสังกัปโป การดำริพิจารณามีความถูกต้องตามหลักสัจธรรม ที่เรียกว่ารู้จริงเห็นจริงตามความเป็นจริง

    ผู้อ่านทั้งหลาย ในลักษณะอย่างนี้นี่เอง จึงเรียกว่าปัญญาได้เกิดขึ้นในพระองค์แล้ว เป็นปัญญาที่รอบรู้ในสัจธรรมนานาประการ ปัญญาญาณของพระองค์รู้เห็นได้อย่างชัดเจนในช่วงนี้ ญาณทัสสนะได้เกิดขึ้น แล้วรู้ชัดว่านี้เป็นแนวทางที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน พระองค์จึงได้ประกาศขึ้นภายในใจว่าอุบายวิธีปฏิบัติที่จะครัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้น เราได้รู้แล้วเห็นแล้วด้วยตนเอง ไม่มีใครๆเป็นครูอาจารย์ให้แก่เราแต่อย่างใด ในช่วงนี้พระองค์ทรงมีปัญญาหยั่งรู้สัจธรรมอย่างอื่นอีกเป็นจำนวนมาก ถ้าข้าพเจ้านำมาอธิบายให้หมดสิ้น จะเป็นหนังสือเล่มใหญ่เกินไป เพื่อให้ท่านได้ศึกษาประวัติของพระพุทธเจ้าพอสังเขปเอาไว้ มีหลายช่วงที่เราจะได้รู้ในหนังสือเล่มนี้ซึ่งมีชื่อว่าหนังสือกาลามสูตร เราก็จะได้อ่านในตอนต่อไป เราจะได้รู้ได้เข้าใจในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เราจะได้รู้วิธีการของพระองค์ว่าพระองค์ตรัสรู้ในลักษณะใด ในความเพียรของพระองค์ที่มีความสมบูรณ์แล้วด้วย สติ สมาธิ ปัญญา ทำให้กิเลสตัณหาอาสาวะน้อยใหญ่ได้คลายออกจากใจของพระองค์ได้แล้ว พระองค์จึงได้ข้ามแม่น้ำเนรัญชรามาอีกฝั่งหนึ่งเพื่อตรัสรู้ ณ โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์ในครั้งนี้ พระองค์ได้รับหญ้าคาแปดกำมือ จากโสตถิยพราหมณ์ไปปูลาดเพื่อประทับนั่งใต้ร่มพระศรีมหาโพธิ์ ในขณะนี้นี่เอง อาสาวักขยญาณได้เกิดขึ้น พระองค์รู้ว่าอาสาวะจะสิ้นไปในขณะนี้ พระองค์จึงทรงอธิษฐานว่า ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้ตรัสรู้ในที่แห่งนี้ ข้าพเจ้าจะไม่ลุกหนีจากที่แห่งนี้อย่างเด็ดขาด แม้เนื้อหนังอวัยวะส่วนต่างๆในร่างกายจะเหี่ยวแห้งผุพังไปก็ตามที ข้าพเจ้าจะนั่งอยู่ในที่แห่งนี้ตลอดไป จนกว่าชีวิตจะหาไม่ ให้เราสังเกตให้ดีในจุดนี้ มีหลายคนได้ถกเถียงกันอยู่เสมอว่า พระองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าด้วยคำอธิษฐาน ข้าพเจ้าขอตัดสินในเรื่องนี้ได้เลยว่า พระองค์ไม่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าด้วยคำอธิษฐานแต่อย่างใด ในขณะนั้นอาสาวกขยญาณได้เกิดขึ้นกับพระองค์แล้ว พระองค์ก็ทรงทราบว่าอาสาวะจะสิ้นไปอยู่แล้ว ในช่วงนั้น พระองค์จะทรงอธิษฐานหรือไม่ทรงอธิษฐาน ก็ไม่มีความสำคัญอะไร หรือพระองค์จะอยู่ในอิริยาบทใดๆก็จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอยู่แล้วในขณะนั้น ให้เราพิจารณาในเหตุผลว่า พระองค์เคยประทับนั่งหลายแห่งหลายที่ที่ผ่านมา ทำไมพระองค์จึงไม่ทรงอธิษฐานอย่างนี้เฃ่า ให้พวกเราพิจารณาให้ดี

    อาสาวักขยญาณจะเกิดขึ้นแก่บุคคล ๓ จำพวก ๑. ผู้จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ๒. ผู้จะตรัสรู้เป็นปัจเจกพุทธเจ้า ๓. ผู้จะได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันตสาวก อาสาวักขยญาณจะไม่เกิดขึ้นกับผู้บรรลุธรรมขั้นพระอนาคามี ขั้นพระสกิทาคามี ขั้นพระโสดาบันแต่อย่างใด หรือแม้แต่พระธาตุ ที่เรียกว่าพระบรมสารีริกธาตุ หรือพระอรหันตธาตุก็ดี ก็จะมีเฉพาะผู้สิ้นอาสาวะเท่านั้น ได้แก่พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันตสาวก ของพระพุทธเจ้า เท่านั้น พระธาตุจะไม่มีในภูมิธรรมของพระอนาคามี พระสกิทาคามี และพระโสดาบัน แต่อย่างใด

    หากมีคำถามว่า ผู้บรรลุธรรมเป็นพระอริยเจ้าจะรู้ตัวหรือไม่ ตอบ รู้ตัว ๑๐๐ % ใครบรรลุธรรมในขั้นไหน ก็รู้ตัวว่าได้บรรลุธรรมในขั้นนั้นๆ ในสมัยครั้งพุทธกาล ถ้าใครได้บรรลุธรรมแล้ว แม้พระพุทธเจ้าจะประทับนั่งในที่แห่งนั้นก็ตาม ท่านเหล่านั้นจะไม่เล่าถวายให้พระพุทธเจ้าฟังแต่อย่างใด เว้นเสียบางกรณี ที่พระพุทธเจ้าตรัสถามเท่านั้น หากถามว่า ในยุคนี้ มีผู้ได้บรรลุธรรมเป็นพระอริยเจ้าหรือไม่ การบรรลุธรรมนั้นจะเหมือนกันกับสมัยครั้งพุทธกาลหรือไม่ ตอบ ในยุคนี้ พระอริยเจ้ามีจริง การที่ได้บรรลุธรรมแต่ละขั้นจะเหมือนกันกับในสมัยครั้งพุทธกาล ไม่มีความแตกต่างกันแต่อย่างใด

    ในอีกช่วงหนึ่งที่เราชาวพุทธได้มองข้ามไป จะเป็นเพราะความไม่เข้าใจหรือการศึกษาไม่ถึงก็อาจจะเป็นได้ ทั้งที่มีเรื่องอยู่ในพุทธประวัติอย่างชัดเจน เช่นตอนที่พระพุทธองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างสมบูรณ์แล้ว พระองค์ได้นึกถึงบุญคุณของดาบสทั้งสอง คือ อุทกดาบสและอาฬารดาบส ดาบสทั้งสองนี้เคยสอนในวิธีทำสมาธิ ฝึกวิธีทำให้จิตมีความสงบ ในครั้งสมัยที่พระองค์ยังบวชใหม่ๆนั้น พระองค์ก็ทำสมาธิให้จิตมีความสงบได้ตามที่ดาบสสอนทุกประการ แต่พระองค์ก็มานึกได้ว่า การทำให้จิตมีความสงบเพียงอย่างเดียวนี้ ไม่ใช่แนวทางที่จะละ กิเลส ตัณหา อาสวะ เพื่อให้ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระองค์จึงได้ลาดาบสทั้งสองนั้นหลีกหนีไป เพื่อแสวงหาวิธีปฏิบัติในแบบใหม่ จนพระองค์ได้บรรลุธรรมเป็นพระโพธิญาณ ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างสมบูรณ์ พระองค์จึงได้หวนนึกถึงบุญคุณของดาบสทั้งสอง คิดจะไปแสดงธรรมโปรดแก่ดาบสทั้งสองนั้น เมื่อพระองค์ส่งพระญาณดูแล้วก็รู้ว่า ดาบสทั้งสองนั้นได้มรณภาพไปแล้วก่อนพระองค์ได้ตรัสรู้ ๗ วัน พระองค์ก็ได้ดำริว่า วิบัติแล้วๆ ถ้าดาบสทั้งสองได้ฟังธรรมจากเรา ดาบสทั้งสองก็จะได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในชาตินี้

    คำดำริของพระพุทธเจ้าอย่างนี้มีอยู่ในตำรา ไม่ทราบว่าพวกเราได้อ่านกันหรือไม่ ทำไมพระองค์จึงได้ตรัสว่า "ถ้าดาบสทั้งสองได้ฟังธรรมจากเรา ดาบสทั้งสองจะได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในชาตินี้" คำนี้หมายถึงอย่างไร ทำไมพระพุทธองค์จึงได้ตรัสไว้อย่างนี้ นั้นหมายความว่า ดาบสทั้งสองได้สร้างบารมีมามากแล้ว บารมีของดาบสทั้งสองจึงมีความสมบูรณ์อย่างเต็มที่ แต่ดาบสทั้งสองได้ปฏิบัติผิดทาง พากันไปทำสมาธิให้จิตมีความสงบโดยเปล่าประโยชน์ และหลงอยู่ในสมาธิความสงบนั้นจนถึงวันมรณภาพไป โอกาสที่จะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในชาตินี้ก็หมดไป ขณะนี้ดาบสทั้งสองได้ไปอุบัติเกิดในชั้นอรูปพรหม มีอายุยาวนานมาก เมื่อพุทธศาสดาพระศรีอริยเมตไตรยได้มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ดาบสทั้งสองที่เป็นอรูปพรหมก็ยังไม่ตื่นตัวแต่อย่างใด ยังมีความสุขและหลงใหลอยู่ในอรูปพรหมต่อไปอีกยาวนานทีเดียว

    ที่พวกเราปฏิบัติกันสอนกันอยู่ทุกวันนี้ ว่า พากันทำสมาธิไปเถอะ เมื่อจิตมีความสงบแล้วจะเกิดปัญญาขึ้น การสอนอย่างนี้เป็นการสอนที่ไม่มีในครั้งพุทธกาลแต่อย่างใด ถ้าพระพุทธเจ้าทรงสอนในวิธีนี้จริง จิตมีความสงบเกิดปัญญาขึ้นจริง ท่านจะเอาพยานบุคคลมาอ้างอิงเป็นตัวอย่างได้หรือไม่ ข้าพเจ้าได้ศึกษามาพอตัวเช่นกัน ไม่มีประวัติพระอริยเจ้าพระองค์ใดในครั้งพุทธกาลทำให้จิตสงบแล้วมีปัญญาเกิดขึ้นแต่อย่างใด สอนกันไปแบบหลับตาโดยไม่ดูตำราของพระพุทธเจ้าเลย ทำให้คนเข้าใจผิดมีความเห็นผิดต่อกันมายาวนาน เขียนตำราหลอกกันมาแบบขาดเหตุผล ท่านควรหวนกลับไปศึกษาประวัติของพระพุทธเจ้า และประวัติของดาบสทั้งสองให้เข้าใจในเหตุผล เพื่อหลายคนจะได้รู้เรื่องจริงต่อไป

    ขอยกตัวอย่างประวัติของพระพุทธองค์มาเป็นหลักฐาน ให้พะวกเราเห็นภาพจริง พร้อมด้วยเหตุผลพอเชื่อถือได้มาอธิบายให้ฟัง ท่านจะรู้ได้ทันทีว่า การทำให้จิตมีความสงบในสมาธิจะไม่ทำให้เกิดปัญญาขึ้นแต่อย่างใด ยกตัวอย่าง ขอนำเอาเรื่องประวัติของพระพุทธองค์มาเป็นแบบอย่าง พระองค์ทรงสร้างบารมีในวิธี ปัญญาธิกะ บารมีที่พระองค์ได้บำเพ็ญมามีความสมบูรณ์เช่นกัน เมื่อพระองค์ออกผนวชแล้ว ก็ได้ไปฝึกวิธีทำสมาธิอยู่กับดาบสทั้งสอง พระองค์ก็ทำสมาธิมีจิตสงบถึงอรูปฌาณต่อกันนับครั้งไม่ถ้วน คำว่าอรูปฌาณ เป็นสมาธิความสงบละเอียดที่สุดแล้ว ไม่มีสมาธิความสงบใดยิ่งกว่านี้อีก พระพุทธเจ้าของเราเป็นผู้มีปัญญาบารมีอย่างสมบูรณ์เต็มที่แล้ว เมื่อพระองค์ทำสมาธิจิตลงสู่ความสงบอย่างเต็มที่แล้ว ทำไมปัญญาของพระองค์จึงไม่เกิดขึ้นเล่า พวกเราที่สอนกันอยู่ในขณะนี้ เป็นสมาธิความสงบแบบไหนกันแน่ หรือสมาธิความสงบของพวกท่าน จะมีความสงบยิ่งกว่าพระพุทธองค์อย่างนั้นหรือ ให้ท่านได้ศึกษาใหม่เถอะ เพื่อไม่ให้เพี้ยนไปจากคำสอนของพระองค์ ผู้สอนในวิธีการทำสมาธิควรศึกษาให้ดี เพื่อความถูกต้องในการสอน

    อีกเรื่องหนึ่งอยากให้ผู้สอนในสมาธิได้ศึกษาดูบ้าง นั้นคือเรื่องดาบสทั้งสองที่มรณภาพไปก่อนพระองค์ตรัสรู้ ๗ วัน พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า ถ้าดาบสทั้งสองได้ฟังธรรมจากเรา ดาบสทั้งสองจะได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในชาตินี้ ประโยคนี้เราต้องศึกษาให้ดี ทำไมพระพุทธองค์จึงได้ตรัสไว้อย่างนี้ นี้หมายความว่าดาบสทั้งสองนั้นได้บำเพ็ญบารมีมาแล้วในอดีตชาติ ในชาตินี้จึงได้พร้อมแล้วที่จะได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ แต่ก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ไม่ได้ ก็เพราะดาบสทั้งสองพากันปฏิบัติผิด พากันไปทำสมาธิ หลงติดอยู่ในความสงบ หลงติดอยู่ในอรูปฌาณ บารมีที่บำเพ็ญมาอย่างสมบูรณ์แล้วก็ตาม ช่วยไม่ได้เลย พากันทำสมาธิจิตมีความสงบอยู่อย่างนี้มายาวนาน จิตมีความสงบเป็นสมาธิถึงที่สุดขนาดนั้น ทำไมปัญญาจึงไม่เกิดขึ้นกับดาบสทั้งสองนั้นเล่า เราต้องอ่านประวัติของพระองค์ให้เข้าใจบ้าง พระองค์ได้พิจารณาแล้ว การทำสมาธิความสงบอย่างนี้ จะไม่เป็นไปในมรรคผลนิพพานแต่อย่างใด เมื่อพระองค์ได้ทรงตำหนิว่า การทำสมาธิเพียงอย่างเดียวนี้ ไม่ถูกทาง เราก็ควรสำนึกได้แล้วว่าไม่ถูกจริง

    ที่ข้าพเจ้าได้ให้เหตุผลมาอย่างนี้ ต้องการให้ชาวพุทธเราได้เข้าใจในหลักเดิม ที่พระองค์ได้ตรัสไว้แล้วเท่านั้น เรื่องนี้มิใช่เรื่องใหม่ที่ข้าพเจ้าเขียนขึ้นเอง ท่านผู้มีการศึกษาอยู่ก็คงรู้ในเรื่องนี้ดี แต่ทำไมท่านจึงไม่นำมาสอนในหมู่พุทธบริษัทในยุคนี้ ให้ได้เข้าใจในวิธีทำสมาธิที่ถูกต้อง ขณะนี้มีคนสอนในวิธีทำสมาธิกันมาก ไม่กล้าจะทัดทาน ก็พากันสอนสมาธิไปตามกระแสอย่างนั้นหรือ แต่ข้าพเจ้าก็มีความภูมิใจนิดหนึ่ง ที่ทุกวันนี้มีบุคคลต่างๆพูดในเรื่องปัญญากันอยู่บ้าง ในรายการทางธรรมะก็พูดเรื่องปัญญาอยู่พอสมควร ข้าพเจ้าขอรับผิดชอบในเรื่องนี้ หากมีผู้ที่สงสัยในเรื่องที่เขียนไปนี้ ให้ท่านได้มาไต่ถามกับตัวข้าพเจ้าโดยตรง อย่าไปพูดลับหลัง

    ในยุคสมัยนี้ มีผู้เขียนตำราหรือคัมภีร์ออกสู่ตลาดมากมาย มีทั้งพระและฆราวาสเป็นผู้เขียน เหมือนกันเป็นบางจุดบ้าง ไม่เหมือนกันบ้าง ดูแล้วเป็นความเห็นของผู้เขียน มีธรรมะของพระพุทธเจ้านิดหนึ่ง แล้วมาสอดแทรกความเห็นของตนเพิ่มเข้าไป จึงทำให้ผู้อ่านหนังสือธรรมะในยุคนี้ มีความสับสนพอสมควร หนังสือบางเล่มก็เขียนขึ้นมาเฉพาะตัว ในบางแห่งก็ตั้งเป็นสำนักสอนกันอย่างเอาจริงเอาจังเลยทีเดียว แต่ละสำนักก็ประกาศออกมาอย่างเต็มตัวว่า หลักการในวิธีปฏิบัติของตัวถูกต้องที่สุด เป็นทางลัดทางตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างถูกต้อง สานุศิษย์ผู้มีเจตนาดีต่อการปฏิบัติแต่ขาดการศึกษา เพียงอาศัยความเชื่อจากครูอาจารย์ของตัวเองอย่างฝังใจ อาจารย์สั่งว่าให้ปฏิบัติอย่างไรก็ปฏิบัติไปอย่างนั้น ลูกศิษย์ก็เกิดความเชื่อมั่นในครูอาจารย์ว่า ท่านได้อบรมสั่งสอนในวิธีปฏิบัติอย่างนี้ถูกต้องแล้ว แต่ความถูกต้องแต่ละสำนักจะไม่เหมือนกัน ดังที่พวกเราได้เห็นอยู่ในขณะนี้ นี่ก็เป็นเรื่องของความเชื่อ ถ้ามีความเชื่ออย่างถูกต้องก็เป็นไปในคำสอนของพระพุทธเจ้าจริง ก็ถือว่าลูกศิษย์เหล่านั้นมีความโชคดีไป ถ้าเชื่อในวิธีที่สอนผิดๆตามครูอาจารย์ ก็ถือว่าเป็นเคราะห์ร้ายไป ช่วยกันไม่ได้
     
  18. IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,385
    การศึกษาธรรมในสมัยครั้งพุทธกาล ที่พระพุทธเจ้าได้วางให้เป็นหลักฐานไว้ดีแล้ว ถือว่ามีความสมบูรณ์ชัดเจนเป็นอย่างมากทีเดียว ที่เกิดมีปัญหาก็เพราะผู้ศึกษาธรรมตีความแตกต่างกัน จึงเกิดเป็นความเข้าใจไปไม่เหมือนกัน การสอนธรนรมะปฏิบัติไม่เหมือนกันก็เพราะเหตุอย่างนี้ เหตุอย่างนี้นี่เองจึงทำให้ข้าพเจ้าได้เขียนหนังสือเรื่อง กาลามสูตร เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้อ่านในเรื่องของความเชื่อ หนังสือเรื่องกาลามสูตรนี้ เป็นพุทธพจน์ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ เพราะในสมัยครั้งพุทธกาล ก็มีความเชื่อของคนในยุคนั้น พากันมีความเชื่อในเรื่องนั้นเรื่องนี้มีความแตกต่างกันไป ใครเชื่ออย่างไรก็มีความเข้าใจว่าสิ่งที่ตัวเองเชื่อนั้นถูก ความเชื่อนี้จะมีอยู่เป็นคู่ของมนุษย์เรามาในทุกยุคทุกสมัย เรียกว่าเชื่อไปตามความเห็นและความเข้าใจของตัวเอง ตราบใดในโลกนี้ยังมีมนุษย์อยู่ ในตราบนั้นความเชื่อก็ต้องมีอยู่เป็นคู่กับมนุษย์ตลอดกาล ในยุคที่พระพุทธเจ้าได้อุบัติเกิดขึ้นในโลก พระองค์ก็มีอุบายวิธีที่จะเปลี่ยนความเชื่อที่ผิดๆให้เกิดเป็นความเชื่อที่ถูกได้ แต่ก็แก้ได้ในบางคนบางกลุ่มเท่านั้น ต่อจากนี้ไปเราจะได้อ่านเรื่องกาลามสูตร ดังต่อไปนี้



    เรื่องกาลามสูตร ๑๐ ข้อ


    ๑. อย่าได้เชื่อเพียงสักว่า ได้ฟังตามๆกันมา

    การฟังตามๆกันมานั้น ที่เรียกว่าข่าวลือ เป็นไปได้ทั้งเรื่องผิดและเรื่องถูก เป็นเรื่องจริงและเรื่องไม่จริง เป็นเรื่องที่พูดต่อๆกันมา เป็นเรื่องในทางโลกบ้าง เป็นเรื่องในทางธรรมบ้าง ถ้าผู้พูดมีความเห็นเป็นสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นที่ถูกต้องชอบธรรม ผู้ฟังก็จะเชื่อในทางถูกต้องชอบธรรม ถ้าผู้พูดมีความเห็นเป็นมิจฉาทิฏฐิความเห็นผิด เราก็จะได้รับฟังและเชื่อไปในทางที่ผิดๆเช่นกัน เหตุนี้ พระพุทธเจ้าจึงให้สติแก่พวกเราว่า อย่าเพิ่งเชื่อเพียงสักว่าฟังตามๆกันมา ให้เอาเรื่องที่ได้รับฟังมานั้นเป็นข้อคิด เมื่อได้ฟังมาในเรื่องใด อย่าได้ตัดสินใจเชื่อในเรื่องอะไรเร็วเกินไป ต้องฟังโดยมีสติปัญญา ให้พิจารณาในเหตุผลก่อนว่า เรื่องนี้พอเชื่อถือได้หรือเชื่อถือไม่ได้ ให้ใช้หลักธรรมาธิปไตยมาเป็นเหตุผล ในการตัดสินใจเชื่อถือ ศรัทธาหมายถึงความเชื่อ แต่ต้องเชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อเท่านั้น เช่นเชื่อว่าอุบายแนวทางในการปฏิบัติอย่างนี้ มีเหตุผลพอเชื่อถือได้ จึงตัดสินใจเชื่อ แนวปฏิบัติอย่างนี้ไม่เป็นไปในทางที่ถูกต้อง เราก็ไม่เชื่อ ฉะนั้น การฟังธรรมมิใช่ว่าจะเอาความเชื่อเป็นหลักอย่างเดียว ต้องมีสติปัญญาพิจารณาในเหตุผล ให้เข้าใจความผิด ความถูกต้องในธรรมนั้นด้วย ฟังให้รู้จักในความหมายใช้ปัญญามาวิจัยวิเคราะห์ พิจารณาในหมวดธรรม ให้เข้าใจด้วยตัวเอง มิใช่ว่าจะคอยฟังจากที่พูดต่อๆกันมาว่าถูกต้องทั้งหมด

    เพราะฉะนั้นการฟังตามๆกันมา จะมีผิดเพี้ยนไปได้ มีหลายประเทศที่ฟังตามๆกันมาแล้วเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง จึงกลายเป็นลัทธิประเพณีไปถึงลูกหลานคนยุคใหม่ ได้ฟังมาก็เชื่อไปตามคนรุ่นเก่า พากันเอาแบบอย่างเชื่อติดต่อกันเรื่อยมา ความเชื่อต่อๆกันมานี้มีทั้งผู้นับถือศาสนา และผู้ไม่นับถือศาสนาอะไร เพราะในโลกนี้มีคนเชื่อไปตามลัทธิประเพณี ติดต่อกันมายาวนาน และปลูกฝังนิสัยให้มีความเชื่อไปตามๆกันเท่านั้น และห้ามอย่างเด็ดขาดลงไปว่า อย่าไปหาเชื้อชาติวงศ์ตระกูลพระเจ้าที่เชื่อถือต่อๆกันมานั้น เป็นใครมาจากไหน ทำไมจึงได้อยู่ในฐานะอันยิ่งใหญ่จนได้รับขนานนามว่าพระเจ้า ถ้าจะเล่าเรื่องความเชื่อในพระเจ้านี้ ก็เป็นความเชื่อต่อๆกันมาตามประเพณี ในโลกนี้พระเจ้าที่คนให้ความเคารพเชื่อถือมีมากทีเดียว นี้ก็เป็นความเชื่อฟังต่อๆกันมา จะมีอยู่เป็นคู่ของโลกนี้ตลอดไป ถ้าได้เข้าใจในภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ของแต่ละประเทศ จะมีความรู้ดีว่า แต่ละประเทศในอดีตมีความเป็นมาอย่างไร ก็เพราะได้ฟังต่อๆกันมา เมื่อผู้พูดหลงลืมในตำรา การพูดก็มีความผิดเพี้ยนไปได้ ผู้รับฟังก็จำเอาความผิดเพี้ยนนี้พูดต่อๆกันไป ทำให้คนยุคใหม่เชื่อต่อๆกันไปอีก จะไม่มีที่สิ้นสุดในเรื่องของความเชื่อนี้แต่อย่างใด

    การฟังตามๆกันมาอีกรูปแบบหนึ่ง คือ เรื่องการทำน้ำอัฐบาน มี พระ เณร แม่ชี ฆราวาส ที่ไม่เข้าใจในคำว่าน้ำอัฐบานที่ถูกต้อง มีจำนวนมาก ต้นเหตุ คือ พระอ่อนการศึกษาในพระธรรมวินัย ตีความหมายในคำว่า น้ำอัฐบานผิดไป เพียงเข้าใจเอาเองว่า น้ำอัฐบานคือใช้ผ้ากรอง ๘ ครั้ง พระจึงจะฉันได้ การตีความหมายอย่างนี้ เป็นการตีความผิดเป็นอย่างมากทีเดียว ที่จริงคำว่า น้ำอัฐบาน หมายถึงผลไม้ ๘ ชนิด ที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้นำมาทำเป็นน้ำอัฐบานได้ ไม่ใช่ว่ากรอง ๘ ครั้งตามความเข้าใจ หรือใช้ผ้า ๘ ชั้นมากรองก็ไม่ใช่เช่นกัน ความหมายที่ถูกต้องคือ เอาผลไม้อย่างใดอย่างหนึ่ง มาทำเป็นน้ำอัฐบาน ใส่น้ำพอสมควร แล้วนำมากรองด้วยผ้า จะกรอง ๑ ครั้ง หรือมากกว่านี้ก็ได้ ข้อสำคัญคือ ไม่ให้น้ำอัฐบานนั้นมีกากเท่านั้น จึงฉันได้ ถ้ากรองแล้ว น้ำยังมีกากปะปนอยู่ พระฉันเป็นอาบัติปาจิตตีย์ ผิดศีลข้อวิกาลโภชนา จัดเข้าเป็นประเภทอาหาร ให้ท่านได้ไปศึกษาจากหนังสือ บุพเพสิกขาวรรณนา ดู ท่านจะรู้วิธีการทำน้ำอัฐบานที่ถูกต้อง

    ผลไม้ที่นำมาทำน้ำอัฐบานมี ๘ อย่าง ดังนี้ ๑. มะม่วงดิบหรือสุก ๒. ลูกหว้าสีชมพู ๓. กล้วยมีเมล็ด ๔. กล้วยไม่มีเมล็ด ๕. มะซาง ๖. ผลจันทน์ ๗. รากบัว ๘. มะปราง


    ต่อมา ในยุคอรรถกถาจารย์ ได้พิจารณาเพิ่มเติมว่า นอกจากผลไม้ ๘ ชนิดนี้แล้ว ผลไม้อย่างอื่นก็นำมาทำน้ำอัฐบานได้ แต่มีข้อแม้ว่า ผลไม้นั้นจะไม่ใหญ่เกินผลมะตูม ให้พวกเราทั้งหลายได้เข้าใจตามนี้ อย่าฟังต่อๆกันมาโดยขาดเหตุผลและหลักฐาน

    อีกเรื่องหนึ่งที่ฟังต่อๆกันมาจากพระที่เห็นแก่ปากท้อง ออกความคิดเพื่อจะได้ฉันตามความอยากของตน พูดไปว่า หัวไชเท้า หัวแครอท และหัวอย่างอื่น ก็นำมาทำน้ำอัฐบานได้ ที่จริงแล้ว น้ำอัฐบานจะนำมาทำได้เฉพาะผลไม้เท่านั้น พวกหัวทุกประเภทนำมาทำน้ำอัฐบานไม่ได้เลย เพราะหัวทุกชนิดจัดเข้าในหมวดหมู่ประเภทอาหาร ถ้าพระฉันก็เป็นอาบัติปาจิตตีย์

    อีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย ทั้งห้าอย่างนี้ เป็นพุทธานุญาต ฉันในเวลาวิกาลได้ ถ้าพระรับประเคนแล้ว ให้เก็บไว้ฉันได้ไม่เกิน ๗ วัน ถ้าเกิน ๗ วันแล้วพระฉัน จะเป็นอาบัติทุกคำกลืน

    อีกเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องที่เห็นแก่ปากแก่ท้อง มาตีความไปว่า นมกล่องทุกประเภท น้ำเต้าหู้ น้ำนมถั่วเหลือง น้ำยาคู และน้ำอื่นๆอีก สงเคราะห์เข้ากับเนยใสเนยข้น พระเณร แม่ชี และผู้รักษาศีล ๘ ฉันได้ ศีลไม่ขาด อาบัติไม่เป็น หารู้ไม่ว่า สิ่งเหล่านี้จัดเข้าประเภทอาหาร ฉันเวลาวิกาลไม่ได้ ต้องฉันไม่ให้เกินเวลาเที่ยงวันเท่านั้น หากมีพระองค์ใดล่วงละเมิดในคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ ก็จะพูดต่อๆกันไปขยายเป็นวงกว้าง ค้นหาผู้ปล่อยข่าวครั้งแรกก็ไม่ได้ จึงเป็นอันว่า ฟังตามๆกันมาและฉันตามๆกันมา ขอให้พวกเราทั้งหลายจงเข้าใจตามนี้

    ฉะนั้นพวกเราเป็นชาวพุทธ ได้ฟังธรรมจากพระสงฆ์ พระสงฆ์ท่านก็สึกษาพระธรรม แล้วนำเอามาอธิบายให้พวกเราฟังต่อๆกันมา ศาสนาพุทธนี้เป็นศาสนาที่มีเหตุผล คำสอนของพระพุทธเจ้าทุกหมวดหมู่มีเหตุผลเพียบพร้อมอย่างสมบูรณ์ เราต้องฝึกตัวเองให้เป็นผู้มีนิสัยสังเกตในการฟัง ตีความหมายในเรื่องที่รับฟังมาให้เข้าใจ เรื่องไหนผิดเรื่องไหนถูก เอามาวิจัยวิเคราะห์ พิจารณาให้รู้เห็นชัดว่า เรื่องนี้ผิดต้องละทิ้งไป เรื่องนี้ถูกให้ใฝ่ใจรักษาอยู่เสมอ ผู้อธิบายให้เราฟังได้ จะเป็นพระหรือฆราวาส ใครมีความรู้ความสามารถอธิบายความจริงให้เรารับฟังได้ จึงถือว่าผู้นั้นเป็นครูของเรา ใครเอาสิ่งที่ดีหยิบยื่นให้เราเมื่อไร เราจะน้อมกายใจ รับเอาของดีด้วยความเคารพ ถ้าเราเอาทิฏฐิมานะ อัตตา มาเป็นตัวนำหน้า คิดว่าเรารู้กว่าใครๆก็ยากที่จะรับธรรมจากคนอื่นได้ หรือหากได้รับฟังธรรมจากคนอื่น ก็ต้องพิจารณาในเหตุผลว่าพอเชื่อถือได้หรือไม่ ถ้าพิจารณาแล้วไม่มีมูลเหตุผลพอจะเชื่อได้ก็อย่าไปสนใจ ถ้ามีเหตุผลพอเชื่อถือได้ ก็เอามาเป็นอุบายในการปฏิบัติต่อไป ในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น มีเหตุผลและข้อมูลที่สมบูรณ์อยู่แล้ว ดังที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระพุทธศาสนาจะมีความเจริญ ก็เพราะชาวพุทธบริษัทปฏิบัติไปตามคำสอนของเรา พระพุทธศาสนาจะเสื่อม ก็เพราะชาวพุทธบริษัทไม่ปฏิบัติตามคำสอนของเรา พระองค์ตรัสอย่างนี้มีความชัดเจนมาก ฉะนั้นให้เรามาพิจารณาตัวเองว่า ขณะนี้เราทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อม หรือทำให้พระพุทธศาสนาเจริญ ให้เรามีสติสังเกตดูตัวเองว่า เรามีความเห็นเป็นสัมมาทิฏฐิ ในคำสอนของพระพุทธเจ้า ในภาคปริยัติการศึกษา จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญมาก ถ้าตีความหมายถูกในปริยัติ เมื่อนำมาปฏิบัติก็เป็นสัมมาปฏิบัติ ผลที่ได้รับมีแต่ความถูกต้องชอบธรรม ถ้าตีความหมายในปริยัติผิด เมื่อนำไปปฏิบัติก็เป็นมิจฉาปฏิบัติ ผลที่ได้รับก็ไม่มีความถูกต้องชอบธรรม ไม่เป็นไปในความเจริญในธรรม ไม่เป็นไปในมรรคผลนิพพานแต่อย่างใด

    ในสมัยครั้งพุทธกาล เมื่อครั้งพระพุทธเจ้าของเรายังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ พระพุทธเจ้าได้เผยแผ่คำสอนของพระองค์ยาวนานถึง ๔๕ ปี มีผู้รับฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าด้วยความตั้งใจ พากันได้บรรลุในมรรคผลนิพพานเป็นจำนวนมาก เทื่อพระพุทธเจ้าจะสิ้นอายุสังขาร พระองค์ก็ได้วางคำสอนของพระองค์เอาไว้ เพื่อเป็นองค์แทนของพระพุทธเจ้า ดังพระองค์ได้ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อเราตถาคตได้อนุปาทิเสสนิพพานแล้ว ให้พวกเธอทั้งหลายเอาพระธรรมวินัยเป็นองค์แทนเรา ให้พากันปฏิบัติตามคำสอนของเราตถาคตที่ได้ตรัสไว้แล้วอย่างชอบธรรม หลังพระพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว ก็ยังมีพระสาวกทั้งหลายได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ มีความแตกฉานในพระธรรมวินัย ในช่วงต่อมา พระบางรูปมีความประพฤติตัวไม่เหมาะสมในพระธรรมวินัย จึงได้ทำสังคายนาถึง ๕ ครั้ง เพื่อเรียบเรียงพระธรรมวินัย เพื่อให้เป็นไปตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าเอาไว้ ในยุคอรรถกถาจารย์ ยุคฎีกาจารย์ ยุคอนุฏีกาจารย์ ในยุคนี้ การตีความในคำสอนของพระพุทธเจ้าเริ่มเปลี่ยนไป การตีความในพระธรรมวินัยเริ่มคลาดเคลื่อน แล้วเอาความคลาดเคลื่อนในพระธรรมวินัยไปอบรมสั่งสอนต่อๆกันมา ผู้รับฟังก็ฟังตามๆกันมา พระพุทธเจ้าทรงทราบล่วงหน้าไว้แล้วว่า ในยุคต่อไปจะมีชาวพุทธเชื่อในคำสอนของพระองค์เพียงเชื่อตามๆกันมา นี้เองเป็นเหตุให้พระพุทธเจ้าได้ตรัสในเรื่องความเชื่อตามๆกันมา ว่าจะมีผลเสียต่อพระพุทธศาสนาอย่างไร พระองค์จึงให้สติแก่พวกเราเอาไว้ว่า อย่าเป็นนิสัยเชื่ออะไรที่ขาดเหตุผล ถ้าคนแรกมีความเห็นผิดแล้วพูดผิด ผู้รับฟังก็เชื่อกันมาอย่างผิดๆ ถ้าคนแรกมีความเห็นถูกและพูดถูก ผู้รับฟังก็เชื่อในทางที่ถูกไปด้วย เขาผิดเราผิดด้วย เขาถูกเราถูกด้วย ผู้มีนิสัยอย่างนี้เรียกว่า พึ่งสติปัญญาของตัวเองไม่ได้เลย"

    จะเอาบุคคลตัวอย่างมาอธิบายให้ฟัง เพื่อเราจะมีความสำนึกได้ว่า การเชื่อตามๆกันมาเป็นผลเสียอย่างไร เราจะได้รู้ในบุคคลตัวอย่างทางที่ไม่ดีเอาไว้ เมื่อเราได้ยินได้ฟังอะไรกับใครมา เราจะได้เอาเรื่องนั้นมาพิจารณาให้รู้เหตุรู้ผลก่อนทุกครั้งแล้วจึงตัดสินใจเชื่อหรือไม่เชื่อในภายหลัง ดังที่จะอธิบายบุคคลตัวอย่างให้เราได้รับรู้ดังนี้ มีในสมัยที่ผ่านมา คณะศรัทธาที่มีความเชื่อง่ายไร้เหตุผล เป้นบุคคลที่หูเบาใจเบา เอาแต่ศรัทธาความเชื่อนำหน้าเพียงฝ่ายเดียว ไม่มีสติปัญญาเป็นองค์ประกอบ จึงทำให้ศรัทธาความเชื่อผิดหวัง ดังที่มีข่าวเกิดขึ้นผ่านมา มีศรัทธาอีกกลุ่มหนึ่งมีความเชื่อในครูอาจารย์ของตัวเอง ครั้งแรกก็มีศรัทธาไม่กี่คน มีการวางแผนเพื่อหาผลประโยชน์ จึงได้ยกเอาครูอาจารย์ของตัวเองเป็นตัวชูโรง ประกาศให้คนนั้นคนนี้ฟัง เรื่องที่พูดไปล้วนแต่เป็นคำสรรเสริญในความโดดเด่นของครูอาจารย์ทั้งนั้น เฉพาะคำที่ว่า ครูอาจารย์เป็นผู้มีคุณธรรมระดับสูงนั้น หมายถึงครูอาจารย์เป็นพระอรหันต์แล้ว เมื่อข่าวนี้พูดต่อกันไปก็กลายเป็นข่าว มีสมาชิกเป็นแนวร่วมในความเชื่อมากขึ้น ข่าวนี้ก็กระจายออกไปเป็นวงกว้าง และมีคนสำคัญเข้ามาเพื่อให้ความสนับสนุน และมีความเชื่อว่าอาจารย์องค์นี้เป็นอรหันต์องค์จริง จึงได้ประกาศข่าวให้ชาวพุทธที่ไม่มีสติปัญญา มีความเชื่อว่า ท่านเป็นพระอรหันต์อย่างสนิทใจ จึงทุ่มเทเงินทองถวายเป็นจำนวนมาก เพราะถือว่าการให้ทานแก่พระอรหันต์จะได้รับผลบุญมหาศาลหาประมาณมิได้ ในที่สุดก็พากันผิดหวังเมื่อครูอาจารย์ของตัวเองมีนิสัยที่เปลี่ยนไป (ในบาลีว่า อิตฺถี มลํ พรหฺมจริยสฺส ผู้หญิงเป็นอันตรายต่อพรหมจรรย์) เมื่อครูอาจารย์ยังเป็นปุถุชนอยู่ ถึงจะยกให้เป็นพระอรหันต์ก็เพียงสักว่าพูดกันไปเท่านั้น เมื่ออาจารย์ของตัวเองมีเหตุให้เป็นไปตามอนิจจัง ลูกศิษย์ก็มีความผิดหวังไปตามๆกัน

    มีลูกศิษย์หลายคนที่มีสติปัญญาอยู่บ้าง พอจะรู้ว่าการเชื่อจากคำบอกเล่าของคนนั้นเป็นความเชื่อตามๆกันมา เมื่อใช้ปัญญาพิจารณาให้รู้เห็นในเหตุแล้ว เชื่อถือไม่ได้เลย แล้วตีตัวออกห่างกันไป เหมือนกับคำว่า ปลาตัวเดียวเน่าทั้งข้อง เอาข้องปลาเทใส่กระจาด เลือกปลาที่เน่า ทิ้งเสีย เก็บปลาตัวที่ไม่เน่ามาทำเป็นอาหารได้ นี้ฉันใด เมื่อรู้แล้วและเข้าใจแล้ว พระองค์นี้มีความไม่เหมาะสมในสมณเพษแล้ว ก็ต้องแยกตัวออกไป เพื่อแสวงหาครูอาจารย์องค์อื่น เราผู้แสวงหาครูอาจารย์ต้องมีสติปัญญาสังเกตดูพระให้ดี เพราะยุคปัจจุบันนี้มีทั้งพระจริงและพระปลอมปะปนกันอยู่ ถ้าดูไม่ดีก็จะเกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ทำให้เกิดความผิดหวังซ้ำสองไปได้ พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้แล้วว่า อย่าเพิ่งเชื่อในข่าวที่พูดต่อๆกันมาเร็วเกินไป ให้ใช้สติปัญญาพิจารณาในเรื่องนั้นๆให้มีความรู้เห็นตามความเป็นจริงก่อนจึงเชื่อหรือไม่เชื่อในภายหลัง คิดว่าพวกเราทั้งหลายมีสติปัญญาช่วยตัวเองได้ จะไม่เชื่อไปตามข่าวลือที่พูดต่อๆกันมาเร็วเกินไป
     
  19. IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,385
    ๒. อย่าได้เชื่อเพียงสักว่า เป็นของเก่าที่เคยทำสืบต่อๆกันมา

    นี่ก็เป็นพระพุทธพจน์ ที่พระพุทธเจ้าได้เตือนสติพวกเราเอาไว้ เพื่อให้พวกเรามีความสำนึกตัว มิใช่ว่าของเก่าจะถูกต้องและดีไปเสียทั้งหมด เรื่องเก่าเป็นประเพณีทำต่อๆกันมา ตั้งแต่ครั้งโบราณจนถึงยุคปัจจุบัน ก็ถือว่าเป็นของเก่าแก่ควรอนุรักษ์เอาไว้ ปู่ย่าตายายพ่อแม่พากันทำมาอย่างไร ลูกหลานก็พากันทำสืบทอดเอาไว้ จะพากันทำต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด การทำตามประเพณีเก่าๆ พวกเราก็ควรเลือกดูบ้างว่า อะไรควรทำตามก็รักษาเอาไว้ อะไรไม่ควรทำตามก็พากันละในสิ่งนั้นเสีย ไม่ควรทำตามอีกต่อไป ของเก่าที่ทำกันมา แม้ไม่มีสาระอะไร แต่ก็เป็นประเพณินิยมพากันทำมายาวนาน จะแก้ไม่ให้ทำในวิธีอย่างนั้นหากแก้ไม่ได้ก็ปล่อยกันไป เพราะถือว่าเป็นพิธีเก่าแก่ตั้งแต่โบราณทำติดต่อกันมา ในสมัยครั้งพุทธกาล พระพุทธเจ้าจะเอาพระธรรมนำไปอบรมสั่งสอนในหมู่พุทธบริษัท ให้เข้าใจในหลักสัจธรรม พระพุทธเจ้าทรงทราบนิสัยในความเชื่อของคนยุคนั้นดี พระองค์ก็มีวิธีที่จะแก้ไขความเห็นเขาได้ ในยุคนั้นส่วนใหญ่คนมีนิสัยมิจฉาทิฏฐิความเห็นผิดในหลักความเป็นจริงอยู่ก็ตาม พระองค์จะมีอุบายสอนแก่ผู้มีความเห็นผิด ให้กลับใจเปลี่ยนนิสัยให้เกิดความเห็นถูกได้ แต่ก็มีหลายคนหลายลัทธิ ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไม่ได้เลย เช่น กลุ่มของครูทั้งหก หรือพวกลัทธิดาบสฤาษี หรือลัทธิอื่นๆจำนวนมาก พวกเหล่านี้มีวิธีปฏิบัติแบบเก่าๆที่สืบทอดต่อๆกันมา พระพุทธเจ้าก็ปล่อยให้เขาทำต่อๆกันไป

    วิธีปฏิบัติเก่าๆของพวกดาบสฤาษี เขามีวิธีทำสมาธิให้จิตมีความสวบลงได้ แต่ก็ไม่รู้วิธีการฝึกสติปัญญาเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจในหลักสัจจธรรมได้ ในครั้งนั้นพระพุทธเจ้าของพวกเราก็เคยได้ปฏิบัติกับกลุ่มดาบสมาก่อนแล้ว พระองค์ก็ทำให้จิตมีความสงบได้ถึงขั้นสูงสุดของสมาธิที่เรียกว่า อรูปฌาณ เป็นสมาธิที่มีความละเอียดมาก พระพุทธเจ้าได้สังเกตดูในวิธีทำสมาธิความสงบนี้ ว่าไม่ใช่แนวทางที่จะละอาสวะกิเลสได้ ไม่เป็นไปในทางที่จะรู้แจ้งเห็นจริงในหลักสัจจธรรม ไม่เป็นไปในการตรัสรู้เข้าสู่มรรคผลนิพพานแต่อย่างใด พระองค์ทรงรู้ได้ชัดอย่างนี้ จึงได้ลาดาบสทั้งสองนั้นไปเพื่อหาวิธีปฏิบัติแบบใหม่ ให้เป็นไปในการตรัสรู้ของพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงรู้แนวทางในการตรัสรู้อยู่ที่ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา พระองค์จึงนำเอาสมาธิที่พระองค์เคยกระทำมาแล้ว มาแยกขั้นตอนให้เข้ากันได้กับปัญญา สมาธิที่เข้ากับปัญญาได้ เรียกว่าสมาธิความตั้งใจมั่น สมาธิความสงบที่ละเอียดอ่อนลงลึกอย่างแนบแน่นแล้ว จะเอามาใช้เป็นคู่กับปัญญาไม่ได้เลย จึงปล่อยให้มีความสงบจนอิ่มตัวอย่างเต็มที่ แล้วจิตก็จะค่อยๆถอนออกมา ให้กำหนดเอาไว้ว่าจะให้อยู่ในสมาธิความตั้งใจมั่นที่เรียกว่า อุปจารสมาธิ จึงจะน้อมเข้าไปเป็นคู่กับปัญญาได้ ให้พวกเราศึกษาขั้นตอนวิธีทำสมาธิให้ดี ถึงจะเป็นวิธีทำสมาธิแบบเก่าๆ ถ้ารู้วิธีในการทำก็จะเป็นประโยชน์ในการปฏิบัติเป็นอย่างมากทีเดียว

    ในยุคปัจจุบันนี้ วิธีการอบรมสั่งสอนจะเน้นหนักในวิธีเก่าๆ เอาหลักแบบอย่างของพวกดาบสฤาษีมากไป วิธีการฝึกสติปัญญาพิจารณาเพื่อให้เกิดความรู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรมมีการสอนกันน้อยมาก จึงยากที่จะรู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรมด้วยปัญญาของตัวเองได้ ในบางครั้งก็เอาความรู้ที่ได้ศึกษาจากตำรามาพิจารณาอยู่บ้าง วิธีการอย่างนี้เป็นเพียงใช้ปัญญาตามสัญญาเท่านั้น วิธีการทำสมาธิก็เป็นของเก่า ความรู้ที่ศึกษาจากปริยัติมาก็เป็นของเก่า หากผู้มาตีความในวิธีทำสมาธิผิดไป ก็จะทำให้การทำสมาธิเกิดเป็นมิจฉาสมาธิขึ้นได้

    ให้เราศึกษาตีความในสมาธิให้เข้าใจ ว่าทำไมพระพุทธเจ้าจึงตรัสไว้ว่า สมาธิมีหลายวิธี เช่น สมาธิความตั้งใจมั่น สมาธิความสงบ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ มิจฉาสมาธิ สัมมาสมาธิ ในยุคนี้สมัยนี้สอนกันในสมาธิความสงบเพียงอย่างเดียวเท่านั้น สมาธิในรูปแบบอื่นเป็นอย่างไรไม่เข้าใจเลย เพียงพูดอยู่กับคำเก่าๆคือความสงบๆ ฟังกันที่ไหนก็มีแต่ สมาธิความสงบๆ ถึงจะเป็นสมาธิความสงบได้ก็ตาม ก็จะเป็นมิจฉาสมาธิเกิดขึ้นได้ สมาธิความตั้งใจมั่นอันเป็นคู่กับปัญญา อันเป็นหลักสำคัญไม่พากันปฏิบัติตามแต่อย่างใด ในยุคนี้จึงมีผู้ไม่เข้าใจในวิธีการทำสมาธิให้เกิดสัมมาสมาธิ มีความตั้งใจมั่นชอบธรรม สมาธิความตั้งใจมั่นเป็นของคู่กันกับสติปัญญา ไม่พากันศึกษาดูแบบอย่างของพระพุทธเจ้าก็ถือว่าเราปฏิบัติธรรมตามแนวของพระพุทธเจ้าแล้ว ถ้าของเก่าไม่เป็นไปในคำสอนของพระพุทธเจ้า เราก็ปฏิบัติผิดโดยไม่รู้ตัว.
     
  20. IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,385
    ๓. อย่าได้เชื่อถือเพียงสักว่า กิตติศัพท์อันเป็นข่าวลือ

    นี้ก็เป็นพุทธพจน์อีกข้อหนึ่ง ที่พวกเราทั้งหลายควรนำมาพิจารณา คำว่าข่าวลือ เป็นได้ทั้งข่าวจริงและข่าวไม่จริง เป็นข่าวพอเชื่อถือได้และเป็นข่าวเชื่อถือไม่ได้ เช่น เล่าลือว่า ปี พ.ศ.นั้นโลกจะเกิดภัยพิบัติ น้ำจะท่วมโลกจะเกิดความพินาศฉิบหาย มนุษย์ทั้งหลายไม่มีที่อยู่อาศัย ทั้งคนและสัตว์จะพากันล้มตายไปเป็นจำนวนมาก จะพากันอดอยากด้วยข้าวปลาอาหารไปทั่วทุกแห่งหน ข่าวลือนี้จะเป็นจริงหรือเท็จอย่างไร ให้พวกเราใช้ปัญญาพิจารณาในเหตุผลว่าจะเป็นจริงหรือไม่อย่างไร มิใช่จะเชื่อตามข่าวลือไปเสียทั้งหมด พากันหลั่งไหลไปขอความช่วยเหลือ หรือไปขอเลขขอหวยเพื่อความร่ำรวย ยังมีข่าวลืออื่นๆอีกมากมายที่จะเกิดขึ้นในโลกนี้ มีทั้งข่าวดีและข่าวไม่ดี หากมีข่าวอะไรเกิดขึ้น เราเป็นนิสัยใจเบาหูเบาตัดสินใจเชื่อง่าย ต้องใช้ปัญญาพิจารณาให้รู้เห็นในเหตุในผล ให้รู้เห็นในความจริงก่อนจึงตัดสินใจเชื่อ อย่าเอาคนอื่นเป็นผู้ชี้แนะในความเชื่อให้แก่ตัวเรา หากมีใครๆมาเล่าเรื่องต่างๆให้ฟัง เราก็ฟังได้ แต่อย่าเพิ่งเชื่อว่าจะเป็นจริงเหมือนที่เขาพูด อย่าเป็นนิสัยเชื่อในสิ่งใดง่าย จะเป็นนิสัยงมงายไปโดยไม่รู้ตัว

    ความเชื่อไปตามข่าวลืออีกอย่างหนึ่ง ที่อ้างว่าเป็นศาสนาแบบใหม่ มีความศักดิ์สิทธิ์ หากใครได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกและปฏิบัติตามจะได้รับผลบุญมหาศาลหาประมาณมิได้ ผู้มีความฝักใฝ่ในบุญกุศลเป็นบุคคลที่หูเบาใจเบาจะมีใจอ่อนไหวไปตามข่าวลือนี้ได้ง่าย ก็จะพากันหลั่งไหลเข้าไปเป็นสมาชิกเพื่อมอบกายถวายตัวในศาสนานั้นๆ เขาจะเรียกเอาเงินเท่าไรก็จ่ายไปตามที่เขาต้องการ หรือมีข่าวลือมาว่า มีพระอรหันต์เกิดขึ้นในโลกนี้แล้ว ก็พากันหลั่งไหลไปกราบไหว้บูชา เพราะมีความเชื่อว่า ใครได้กราบไหว้พระอรหันต์ครั้งหนึ่ง จะมีบุญมหาศาล หรือได้ให้ทานแก่พระอรหันต์ครั้งหนึ่งถือว่าเป็นยอดมหาทานอันยิ่งใหญ่ มีเงินทองมากน้อยเท่าไร ก็ถวายทานอย่างเต็มที่ ข่าวลืออย่างนี้ หากท่านได้เป็นพระอรหันต์จริงก็โชคดีไป ถ้าให้ทานถูกพระอรหันต์องค์ปลอม เงินทองที่ถวายไปก็เป็นความโชคดีแก่พระอรหันต์องค์ปลอมไป จะไปขอเงินทองจากท่านกลับมาไม่ได้เลย

    การให้ทานไปด้วยความศรัทธาเลื่อมใสด้วยใจจริง ถวายทานไปแล้วไม่คิดเสียดายเงินทองที่ให้ทานไป ถึงพระท่านยังเป็นปุถุชนอยู่ก็ตาม ถ้าให้ทานในลักษณะนี้จะมีผลบุญมากทีเดียว ในยุคสมัยนี้มีข่าวลือเรื่องพระอรหันต์กันมาก จึงอยากต้องการพิสูจน์ว่าองค์ไหนจริงองค์ไหนปลอม ข่าวลือนี้เกิดจากลูกศิษย์ใกล้ชิด เพื่อสร้างภาพให้อาจารย์ของตัวเองเป็นพระอรหันต์ พูดโน้มน้าวพรรณนาศักดานุภาพ มีความสามารถอะไรบ้าง ก็โฆษณากันไป เพื่อให้คนทั้งหลายมีความเชื่อถือและคล้อยตาม เพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ที่จะตามมาในภายหลัง คนหูเบาใจเบามีนิสัยเชื่อง่ายงมงาย ไม่มีปัญญาพิจารณาในข่างลือดังกล่าว ก็จะเกิดความเสียใจภายหลัง ขอให้พวกเราได้ใช้ปัญญาพิจารณาในเรื่องข่าวลือนี้บ้าง
     

แชร์หน้านี้