<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="96%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=headnews vAlign=top>หลวงพ่อทองสัมฤทธิ์ วัดสำปะซิว..."ขอสิ่งใดสำเร็จในสิ่งนั้น"
</TD></TR><TR><TD vAlign=top height=4></TD></TR><TR><TD class=dessubmmenu1><CENTER></CENTER>
วัดสำปะซิว สร้างเมื่อ พ.ศ.๑๘๕๗ ยุคสมัยประวัติศาสตร์ (อยุธยาตอนต้น) ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อ พ.ศ.๑๘๖๐ ตามประวัติตำนานที่ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าขานต่อๆ กันมาว่า
เดิมสถานที่แห่งนี้เป็นวัดร้าง ต่อมากองทัพไทยในองค์ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ได้มาหยุดพักทัพเพื่อตรวจสอบบัญชีจำนวนทหารในกองทัพว่ามีจำนวนทหารที่สูญหายจากการทำศึกเท่าใด และมีจำนวนทหารเหลืออยู่เท่าใด ในสมัยนั้นเรียกสถานที่แห่งนี้ว่า สางบัญชี
ต่อมาได้มีการบูรณปฏิสังขรณ์วัดร้างแห่งนี้ขึ้น จึงตั้งชื่อวัดแห่งนี้ว่า วัดสางบัญชี เนื่องจากสาเหตุอันใดไม่ทราบ ได้ทำให้การเรียกชื่อวัดแห่งนี้ผิดเพี้ยนไปจากเดิม จากชื่อว่า วัดสางบัญชี เป็น วัดสำปะซิว มาจนถึงทุกวันนี้ <CENTER></CENTER>
ในอดีตได้มีการขุดพบพระบูชาศิลปะลพบุรีอยู่หลายครั้ง ทางทิศใต้ใกล้ๆ กับวัดสำปะซิว ต่อมาภายหลัง นายดี ซึ่งมีบ้านเรือนอยู่ทางเหนือของวัดสำปะซิว ขุดที่ดินในบริเวณริมรั้วบ้าน ก็ได้พบ พระเครื่องเนื้อดินเผา ขึ้นมาจำนวนมาก
นอกจากนี้ยังพบ พระซุ้มนครโกษา และ พระนารายณ์ทรงปืน อีกด้วย ซึ่งศิลปะพิมพ์ทรงคล้ายกับพระที่พบทาง จ.ลพบุรี
สาเหตุที่เรียกกันว่า พระกรุวัดสำปะซิว นั้น เพราะเมื่อมีผู้ถามว่าเป็นพระที่ไหน ชาวบ้านก็มักจะตอบว่า พระสำปะซิว ก็เลยเรียกกันมาติดปากว่า พระกรุวัดสำปะซิว เนื่องจากใกล้เคียงบริเวณนั้นมี วัดสำปะซิว ตั้งอยู่ <CENTER></CENTER>
จากการสังเกตดูการขุดพบพระ มักจะพบตามบริเวณพื้นดิน ไม่ปรากฏเจดีย์ หรือโบราณสถานอื่นใดเลย ซึ่งอาจจะผุพังเสียหายไปนานแล้ว สันนิษฐานว่าบริเวณนี้น่าจะเป็นที่ชุมชนมาตั้งแต่สมัยลพบุรี เพราะพบพระบูชาเป็นสมัยลพบุรีแทบทั้งสิ้น
ต่อมาก็พบ พระเครื่องท่ามะปราง และ พระซุ้มนครโกษา อีก ซึ่งอายุของพระเครื่องก็น่าจะอยู่ในราวสมัยสุโขทัยตอนปลาย
อย่างไรก็ตามในจำนวนพระพุทธรูปที่ขุดพบทั้งหมด มีอยู่องค์หนึ่งที่ไม่ตกไปอยู่ในมือของนักค้าวัตถุมงคล แต่หากยังถูกเก็บรักษาไว้ที่วัดเป็นอย่างดีคือ หลวงพ่อทองสัมฤทธิ์ ได้ถูกค้นพบเมื่อพ.ศ.๒๔๙๕ ปีมะโรง โดย นายส่ง สุจินตวงษ์ นำมาถวายวัดสำปะซิว โดยมี พระครูสุวรรณคุณสาร (หลวงพ่อเต๋ย) ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสในยุคนั้น
<CENTER></CENTER>
ครั้งนั้นเป็นที่แตกตื่นฮือฮากันอย่างมาก แก่ผู้ที่รู้ข่าว และได้มาพบเห็นพากันมาบูชาสักการะจำนวนมาก คนเก่าคนแก่ในครั้งนั้นเล่าให้ฟังว่า
"ใครมากราบไหว้บูชาขอปรารถนาในสิ่งใด สำเร็จในสิ่งนั้น สมดังชื่อหลวงพ่อทองสัมฤทธิ์ ซึ่งมีความหมายแปลว่า สำเร็จ สมหวัง สมปรารถนา"
หลวงพ่อทองสัมฤทธิ์ สันนิษฐานว่าอยู่ในสมัยทราวดี อายุกว่า ๑,๐๐๐ ปี หล่อด้วยนวโลหะเนื้อทองสัมฤทธิ์โบราณ ประกอบด้วยทองมงคล ๙ ประการ
<CENTER></CENTER>
ครั้นโบราณกาล ถือธรรมเนียมประเพณีปฏิบัติ เมื่อจะหล่อพระพุทธรูปครั้งใด ต้องประกอบพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์และยิ่งใหญ่ ถือเป็นประเพณีของพระราชามหากษัตริย์ จะเป็นผู้นำสร้าง ซึ่งประชาชนคนธรรมดาไม่สามารถกระทำได้เอง เพราะเป็นเรื่องสำคัญที่ยิ่งใหญ่
ใครที่ได้เข้ามาสักการะหลวงพ่อทองสัมฤทธิ์ มักพูดทำนองเสียงเดียวกันว่า เข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ มีความงดงามแบบโบราณบรรพกาล ยิ่งด้วยกว่านั้นเป็นพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะปางพุทธรูปที่พิเศษแปลกอัศจรรย์กว่าพระพุทธรูปปางใดๆ ในสยามประเทศ ซึ่งมีให้เห็นไม่ปรากฏบ่อยนัก ที่จะมีพระพุทธรูปปางเช่นนี้ ด้วยว่าลักษณะของหลวงพ่อทองสัมฤทธิ์นั่งอย่างสง่างามบนฐานแท่นบัลลังก์บัวคว่ำบัวหงาย ขัดสมาธิเพชร พระบาทซ้อนพระบาท ซึ่งหมายถึงลักษณะอันงดงาม มั่นคง แข็งแกร่ง ดุจดังเพชร ในขณะที่พระกรขวายกขึ้น พระหัตถ์ขวาแผ่ประทานพร พระกรซ้ายยกขึ้น พระหัตถ์ซ้ายแผ่ให้พรมงคล
ด้วยพุทธลักษณะที่งดงามและมีอายุเก่าแก่ในสมัยที่ หลวงพ่อเต๋ย มีชีวิตอยู่นั้น มีนักค้าวัตถุมงคลติดต่อขอเช่าในราคาสูงถึง ๑๖ ล้านบาท แต่หลวงพ่อไม่ให้ <CENTER></CENTER>
จากนั้นอีกประมาณ ๑ สัปดาห์ ปรากฏว่า มีคนร้ายใช้ความพยายามมาโจรกรรม โดยวางยานอนนหลับพระทั้งวัด แต่ด้วยความศักด์สิทธิ์ของหลวงพ่อทองสัมฤทธิ์ ทำให้โจรไม่สามารถเคลื่อนย้ายพระได้ จากนั้นคณะกรรมการวัดได้สร้างกรงปิดไว้ และจะเปิดให้พุทธศาสนิกชนกราบไหว้ขอพรได้เฉพาะช่วงเทศกาลสำคัญๆ เท่าน้น
พระมหาอนันต์ กุสลาลงกาโร เป็นเจ้าอาวาสบอกว่า ในช่วง เทศกาลตรุษจีน ปีนี้ นับเป็นครั้งแรกในรอบ ๕๐ กว่าปี ที่จะเปิดให้สาธุชนได้ชมพระบารมี และสักการบูชา ขอพร หลวงพ่อทองสัมฤทธิ์ สัทธิการิยะปุคคละ บุคคลใดชายก็ดี หญิงก็ตาม สาธุชนทั้งปวง มีโอกาสมาสักการบูชากราบไหว้ จักเป็นมงคลแก่ตัว เป็นบุญ เป็นวาสนา เป็นบารมี เป็นมหาโชค มหาลาภ อันยิ่งใหญ่ไพศาล สุดจะพรรณนา เพราะเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองอีกองค์หนึ่งของเมืองสุวรรณภูมิ แห่งลุ่มแม่น้ำท่าจีน วัดสำปะซิว
พุทธศาสนิกชนสอบถามเส้นทางไป วัดสำปะซิว หมู่ ๓ ต.สนามชัย อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี ได้ที่โทร.๐-๓๕๕๔-๖๔๔๔, ๐๘-๖๓๓๘-๐๙๐๙, ๐๘-๓๕๕๘-๘๓๘๓
๓ ชั่วโมงไหว้พระ ๙ วัด
สำหรับพุทธศาสนิชนที่เดินทางไปไหว้พระใน จ.สุพรรณบุรี นั้น การท่องเที่ยว จ.สุพรรณบุรี ร่วมกับวัดสำคัญ ๙ แห่ง จัดเส้นทาง ๓ ชั่วโมงสามารถไหว้พระได้ ๙ วัดในเมืองสุพรรณบุรี เริ่มจากวัดแรก คือ
๑.พระวัดศรีรัตนมหาธาตุ มงคลแห่งชีวิต กับการสักการะกรุพระผงเมืองสุพรรณมีพระพุทธรูปหินทราย ๒๗๙ องค์ และองค์พระปรางค์สร้างสมัยอู่ทอง
๒.พระวัดแค มงคลแห่งชีวิตกับการสัมผัสมนตรา มหาเวทอันศักดิ์สิทธิ์ ตามรอยเณรแก้ว ขอพรหลวงปู่คงนั่งพญาต่อยักษ์
๓.พระวัดสารภี มงคลแห่งความประเสริฐกว่าพรเทวดาทั้งปวง
๔.วัดพระลอย มงคลแห่งปาฏิหาริย์บุญบารมี พระนาคปรกสมัยลพบุรี อายุกว่า ๘๐๐ ปี
๕.วัดหน่อพุทธางกูร มงคลแห่งสายตา ชมการทุ่มเทจิตวิญญาณแห่งศิลปะเพื่อเป็นพุทธบูชา
๖.วัดพระนอน มงคลแห่งการได้นมัสการพุทธลักษณะนอนหงาย ที่ไม่มีที่ใดในประเทศ
๗.วัดพิหารแดง มงคลแห่งมนต์ขลัง พลังพระประธานอายุกว่า ๗๐๐ กว่าปี
๘.วัดชีสุขเกษม มงคลแห่งมนต์ขลังพลังอันศักดิ์สิทธิ์พระศิลาทรายอายุนับพันปี และ
๙.วัดสว่างอารมณ์ มงคลแห่งการได้สักการะอริยสงฆ์ผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ
ติดต่อรายละเอียด หรือสอบถามเส้นทางเพิ่มเติมได้ที่โทร.๐๘-๑๔๐๓-๙๐๔๐เรื่อง - ภาพ... "ไตรเทพ ไกรงู"</TD></TR></TBODY></TABLE>
---------
http://www.komchadluek.net/2009/01/16/x_phra_j001_331803.php?news_id=331803
หลวงพ่อทองสัมฤทธิ์..วัดสำปะซิว"ขอสิ่งใดสำเร็จในสิ่งนั้น"
ในห้อง 'ข่าวพุทธศาสนา' ตั้งกระทู้โดย NoOTa, 16 มกราคม 2009.