สวัสดีคุณเอ็มและทุกๆท่าน
น้อมกราบนมัสการ ลป.เกษม เขมโกด้วยศรัทธาและเชื่อมั่น
หลวงพ่อเกษม เขมโก ประสบการณ์-เรื่องเล่า-ภาพเก่าๆ-วัตถุมงคล
ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย tee_tores, 6 พฤศจิกายน 2013.
หน้า 12 ของ 47
-
-
-
***มาร่วมขอศึกษา ด้วยครับ
ไม่ค่อยมีความรู้ เรื่องเกี่ยวกับ หลวงปู่ เกษมเลยครับ
ต้องศึกษาเยอะหน่อยแล้วครับ เอิ๊กเอิ๊ก*** -
เด่วส่งพระไปให้ศีกษาและแจกๆ คนรู้จักนะครับพี่ -
-
-
-
พระปิดตาหลวงพ่อเกษม มีพิมพ์ที่ท่านปั้นเองกับมือไหมครับ
-
-
อืม สงสัยต้องรอผู้รู้จริงมาตอบละครับผม -
ครูบาเจ้าเกษม เขมโก (๘) โดย อ.เล็ก พลูโต มาติดตามเรื่องราวของ หลวงปู่ครูบาเจ้าเกษม เขมโก จากบันทึกของ คุณบุญทวงศ์ ณ ลำปาง ที่ได้บันทึกเอาไว้ในหนังสืออนุสรณ์ อายุครบรอบ ๘๐ ปี หลวงปู่เกษม เขมโก เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๔ กันต่อ คุณบุญทวงศ์ ได้กล่าวถึงกิจวัตรที่หลวงปู่เกษมได้ประพฤติปฏิบัติ สมัยที่ท่านยังปฏิบัติธรรมในป่าช้า ด้วยการนั่งภาวนากลางแจ้งโดยคุณบุญทวงศ์ได้บันทึกเอาไว้ว่า
กิจที่หลวงพ่อเกษม เขม โก จะต้องปฏิบัติอยู่เป็นประจำสมัยนั้นก็คือ การนั่งภาวนากลางแดด ภาวนากลางฝน และภาวนากลางหนาว พูดแบบง่าย ๆ ก็คือ เอาชนะความร้อน เอาชนะฝนซึ่งตกหนักตามฤดูกาล และเอาชนะความหนาวเย็นนั่นเอง
ผมขอพูดถึงการภาวนากลางแดดก่อน การนั่งภาวนากลางแดด จะมีขึ้นในช่วงเดือนเมษายน ถึงพฤษภาคม ซึ่งแดดตอนนั้นร้อนมาก ขนาดเราขี่จักรยานไปหาท่าน ยังร้อนแทบตาย พอไปถึงที่ต้องหลบเข้าในร่ม พัดวีกันเหย็งเลยทีเดียว เพื่อนสนิทที่เราคบหากันไปหาท่านอาจารย์ หรือ หลวงพ่อเกษม สมัยนั้นก็มี คุณคำมูล เจริญหล้า, คุณวิจิตร เลิศคชสีห์, พี่หนานจันทร์ สุขเกษม และ คุณแถม หรือ โกแถม เรืองภูมิ เราต่างคนต่างก็ปั่นจักรยานสองล้อไปกัน เพราะยุคนั้น คำว่า ฮอนด้า ยามาฮ่า ซูซูกิ ยังไม่เข้ามาเมืองไทย ไม่มีใครรู้จัก
วัน นั้น หลวงพ่อออกนั่งภาวนากลางแดด ตั้งแต่เวลา ๐๙.๐๐ น. คือ ท่านจะนั่งตั้งแต่พระอาทิตย์เริ่มร้อนจัด จนกระทั่งพระอาทิตย์ตก เป็นประจำติดต่อกันเป็นเดือน จนผิวของท่านดำเกรียม เมื่อพวกเราถามท่านว่า ท่านอาจารย์ร้อนไหม ? ท่านก็บอกว่า “ร้อนซิ...แต่เราทนเอา” ท่านจะฉันกลางแดด ภาวนากลางแดด รับแขกกลางแดด ใครอยากคุยกับท่านก็ไปคุยกลางแดด อย่างเก่ง คนละประมาณ ๔-๕ นาทีก็ทนไม่ไหว ต้องรีบเผ่นหนีเข้าร่มแล้ว เพราะอากาศและแดดเดือนเมษา พฤษภา มันทารุณแค่ไหน ขนาดเทียนไขเป็นแท่ง ๆ อยู่ในร่มยังละลายเลย มีสิ่งที่ผิดสังเกตอยู่อย่างหนึ่งก็คือ เทียนขี้ผึ้ง ไม่ว่าจะเล่มเล็ก หรือเล่มใดที่หลวงพ่อจุดบูชา หรือภาวนารอบ ๆ ตัวท่าน ท่ามกลางแดดร้อนเปรี้ยง ๆ นั้น ไม่มีเล่มไหนงอ หรือหักลงแม้แต่เล่มเดียว
เทียนทุกเล่มจะตั้งเป็นแนวตรง ส่งแสงแข่งกับดวงอาทิตย์อันร้อนระอุ อยู่จนกว่าเทียนเล่มนั้นจะมอดไหม้หมดเชื้อไปเอง
เจ้าแม่บุญปั๋น พงษ์พันธ์ ผู้มีเชื้อสายคนหนึ่งของตระกูล ณ ลำปาง ท่านได้แต่งงานกับคนจีนจนมีลูกเต้าหลายคน และท่านก็เป็นเครือญาติของหลวงพ่อเกษม เขมโก ท่านได้เสียชีวิตลงด้วยโรคชรา ณ บ้านถนนตลาดจีน เมื่อ ๒๐ กว่าปีมาแล้ว
ใน วันฌาปนกิจศพ ซึ่งมีขึ้นที่สุสานไตรลักษณ์ ประตูม้า มีประชาชน ตลอดจนญาติมิตรไปร่วมในพิธีกันมากมาย เพราะเจ้าแม่บุญปั๋น เป็นคนเก่าแก่ของเมืองลำปาง ที่เป็นกรณีพิเศษก็คือ หลวงพ่อเกษม ก็ได้ออกจากอาศรมด้านในมาร่วมพิธีด้วย
หลัง จากเสร็จพิธีสวด และทอดผ้าบังสุกุลแล้ว บรรดาลูกหลานญาติมิตร ต่างก็อัญเชิญศพไปตั้ง ณ เมรุที่เตรียมไว้ หลวงพ่อได้ให้บรรดายุวพุทธของท่าน มาทำพิธีสวดแผ่เมตตาให้ ยุวพุทธ ฯ (ย.ว.ส.) ทั้งหญิงชาย ประมาณ ๘-๙ คน ต่างก็ยืนชิดเมรุ สวดเป็นตอน ๆ ทางญาติผู้ใหญ่ของเจ้าภาพ ก็จัดเตรียมจุดลูกหนู พร้อมที่จะพุ่งไปตามลวดที่ขึงห่างประมาณเกือบ ๑๐๐ เมตร ตามประเพณีซึ่งมีมาแต่โบราณ
สำหรับ การสวดนั้น ได้บอกว่าเป็นตอน เป็นวรรค เป็นบท ใช้เวลาสวดนานพอสมควร พอถึงบทใกล้จะจบพิธี ก็มีการหยุดเว้นระยะหลายตอน ข้างฝ่ายญาติเจ้าภาพซึ่งจุดธูปรอที่จะจุดลูกหนูเกิดเข้าใจผิด คิดว่าบทสุดท้ายคงใกล้จะจบแล้ว ไม่ทันถามไถ่ ก็รีบจุดลูกหนูทันที ลูกหนูซึ่งทำเป็น รูปหนู ตัวโตเท่ากำปั้น อัดด้วยดินปืน หรือ “เผ่า” ก็พุ่งปร๊าดออกจากแหล่งไปตามเส้นลวดทันที และเป็นช่วงเดียวกันกับที่ ย.ว.ส. สวดต่อบทสุดท้าย หากลูกหนูวิ่งเข้าชนโลงศพแล้ว ไฟจะลุกพรึ่บขึ้นทันที นั่นย่อมหมายถึงอันตรายจะต้องเกิดขึ้นกับบรรดา ย.ว.ส. อย่างแน่นอน
ท่ามกลางความอกสั่นขวัญแขวนของประชาชนที่มาร่วมพิธีศพ ต่างก็คิดเหมือนกันว่า ลูกหนูจะต้องวิ่งชนโลงศพแน่ ๆ เพราะดินระเบิดแรงเหลือเกิน แต่....เหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดฝันก็บังเกิดขึ้น หลวงพ่อซึ่งยืนอยู่ใกล้ ๆ ได้ยืนเพ่งดูอยู่ ลูกหนูตัวนั้นวิ่งไปตามเส้นลวด ใกล้จะถึงโลงศพ ประมาณ ๑๐ เมตร แล้วก็หยุดกึกลงเหมือนมีเบรคอยู่ในตัว ลูกหนูตัวนั้นอยู่ในอาการสั่นรัว และดินระเบิดก็ยังส่งเสียงดังกึกก้อง พยายามจะวิ่งไปให้ถึงโลงศพให้ได้ จนลวดที่ขึงสั่นเทิ้ม เพราะแรงมหัศจรรย์บังคับไว้ บรรดา ย.ว.ส. ก็เร่งสวดจนจบ แล้วก็ถอยออกมาจากเชิงตะกอน ลูกหนูซึ่งถูกแรงดึงดูดอยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง ก็พ้นจากสภาวะบังคับ พุ่งปร๊าดเข้าสู่โลงศพทันที เมื่อกระทบโลงศพ ไฟก็ลุกพรึ่บขึ้นไหม้โลงศพ จนค่อย ๆ มอดไหม้ไปในพริบตา
ได้มีการตรวจเช็คเส้นลวดที่ขึงไว้ว่า จะมีรอยคดงอหรือไม่ ? ปรากฏว่า เส้นลวดยังใหม่ ๆ ไม่มีรอยคดงอให้สะดุดมือแต่อย่างใด เหตุที่ลูกหนูไปหยุดกึกลง ทั้ง ๆ ที่กำลังวิ่งไปเต็มแรงอย่างนั้น ถ้าไม่ใช่เป็นบุญญฤทธิ์ของหลวงพ่อเกษม ซึ่งแสดงออกเพื่อป้องกันอันตรายยุวพุทธฯ ไว้แล้ว ท่านผู้อ่านลองทายดูซิว่า มันเป็นปาฏิหาริย์ของท่านผู้ใด
ระหว่างเดือนธันวาคม ควบกับเดือนมกราคมของทุกปี ทาง จังหวัดลำปางจะจัดงานมหกรรมประจำปี หรือ งานฤดูหนาว ขึ้นเป็นประจำ ณ สนามโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย เพื่อเก็บเงินรายได้บำรุงเหล่ากาชาดจังหวัด และสมาคมศิษย์เก่าบุญวาทย์วิทยาลัย เพราะสมัยนั้นสนามกีฬาจังหวัด หรือสนามกีฬากลางที่หนองกระทิงยังไม่มี
วัน หนึ่ง หลวงพ่อเกษม เขมโก ท่านจะนึกสนุกขึ้นมาหรือยังไง ? ก็ไม่ทราบได้ ท่านบอกว่า โรงเรียนบุญวาทย์ ฯ กำลังมีงานฤดูหนาว สุสานก็จะมีงานบ้าง เป็นการแสดงกล และการแสดงกลก็ไม่ใช่ของจริง ท่านได้หยิบเอาขวดยา เอ.พี.ซี. สำหรับเด็ก ขวดละ ๑,๐๐๐ เม็ด ซึ่งผู้นำมาถวายออกมาเปิดฝา เทยาใส่อุ้งมือเป็นกำ แล้ววางลงเป็นกอง ๆ สัก ๑๐ กองเห็นจะได้ จนยาหมดขวด แล้วให้พวกเรานับยาแต่ละกองดู
เป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ทั้ง ๑๐ กอง มีจำนวนเท่ากันหมด คือ กองละ ๑๐๐ เม็ด ๑๐ กองเป็น ๑,๐๐๐ เม็ดพอดี ท่านบอกว่าเป็นการแสดงกล แต่พวกเราคิดว่าไม่ใช่กล ต้องเป็นด้วยบุญบารมีของท่านอย่างหนึ่ง ซึ่งท่านผู้รู้หลายท่านได้วิพากษ์วิจารณ์ให้พวกเราฟังว่า เรื่องยาในขวดเป็นเรื่องขี้ปะติ๋ว แม้แต่ข้าวสารเป็นกระสอบ ๆ ท่านก็รู้ และทำได้ เพราะแรงอธิษฐานของท่านสูง สูงจนใครทาบไม่ติด
เรื่องนี้ผม อ.เล็ก พลูโต ผู้นำเสนอเรื่องราวของท่านในคอลัมน์ “พระเครื่องปริทรรศน์” ในหนังสือพิมพ์เสรีชัย ขอรับรอง และยืนยันบุญญฤทธิ์ของท่านในเรื่องดังกล่าวด้วยคนหนึ่ง เพราะผมเคยได้ยินได้ฟังมาจากศิษย์ใกล้ชิดหลวงปู่ท่านหนึ่งว่า ในคราวหนึ่งที่หลวงปู่เกษม ท่านทำพิธีอธิษฐานจิตวัตถุมงคลที่บรรดาศิษยานุศิษย์ และหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ และเอกชนได้จัดสร้างขึ้น เพื่อหาเงินรายได้ในการสร้างกุศลสาธารณประโยชน์ต่าง ๆ เนื่องในงานทำบุญฉลองอายุของท่าน ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน อันเป็นวันคล้ายวันเกิดของท่าน
จำนวน วัตถุมงคลที่ปลุกเสกในแต่ละคราว มีจำนวนมากมายมหาศาลนับล้านชิ้น กองท่วมหัวท่วมหูเป็นกองพะเนินเทินทึกเลยทีเดียว โดยกองวัตถุมงคลเหล่านั้นมีมากมายหลายรูปแบบ ทั้งเหรียญรูปเหมือน, ผงรูปเหมือน, รูปหล่อเหมือน ทั้งที่เป็นรูปของท่าน และเป็นรูปพระพุทธ, รูปเหมือนเจ้าแม่กวนอิม, พระปิดตา, พระบรมฉายาลักษณ์ ร.๕ ฯลฯ
ใน วันที่เกิดเหตุอัศจรรย์ดังกล่าว ท่านได้จับด้ายสายสิญจน์ที่โยงมาจากกองวัตถุมงคลขึ้น เพื่อจะทำการอธิษฐานจิต พอท่านหลับตาลงสักอึดใจ ท่านก็ต้องลืมตาขึ้น แล้วเรียกเจ้าประเวทย์ ณ ลำปาง เข้ามา กล่าวว่า พิธีนี้มีล็อกเก็ต ร.๕ อยู่อันหนึ่ง ซึ่งผ่านการอธิษฐานจิตจากท่านมาแล้วรวมอยู่ด้วย ขอให้เจ้าประเวทย์ ไปนำเอาออกมาเพื่อเป็น “ชนวน” ในการอธิษฐานจิตครั้งนี้
เจ้า ประเวทย์เมื่อได้ฟังคำของหลวงปู่เกษมเช่นนั้น ก็แปลกใจเป็นอันมาก และเรียนให้ท่านทราบว่า ในคราวนี้ไม่มีผู้ใดสร้างรูปเหรียญ ล็อกเก็ต หรือวัตถุมงคลใด ๆ ที่เป็นรูป ร.๕ มาเข้าพิธี เพราะเพิ่งทำพิธีผ่านไปเมื่อเดือนที่แล้ว ในวันที่ ๒๓ ตุลาคม หรือ วันปิยะมหาราช ท่านก็ยืนยันว่า มีล็อกเก็ต ร.๕ อยู่อันหนึ่ง ให้ถามไถ่ดู ว่าเป็นของผู้ใด อยู่ตรงไหน ให้ไปนำมา เมื่อเจ้าประเวทย์ถามไถ่ เลยทราบว่าเป็นของศิษย์ใกล้ชิดผู้หนึ่งที่เป็นตำรวจทางหลวง จ.ลำปาง ได้นำล็อกเก็ตที่ตนบูชาเมื่อคราวที่แล้ว มาฝากเข้าพิธีอีกครั้งหนึ่ง โดยไม่บอกให้ใครรู้ เมื่อเจ้าประเวทย์ถามไถ่จากคำบอกเล่าของหลวงปู่ ก็ขนลุกซู่ขึ้นมาทันที และได้ไปนำมามอบให้เจ้าประเวทย์ นำไปถวายหลวงปู่ ท่านได้นำล็อกเก็ตอันนั้นวางไว้บนพานที่วางสายสิญจน์ นำสายสิญจน์วนโดยรอบ แล้วเริ่มทำการอธิษฐานจิตในครั้งนั้นต่อไป
การอธิษฐานจิตสู่วัตถุมงคลของหลวงปู่เกษม เขมโก ในแต่ละคราว ใช้เวลาไม่มากนัก อยู่ในราว ๕ – ๑๐ นาที ไม่เกินไปจากนี้ แต่เชื่อหรือไม่ว่า พลังจิตจากการอธิษฐานจิตเข้าสู่วัตถุมงคลของท่านนั้นแรงมาก ถ้าเปรียบเป็นไฟฟ้า ก็มีกำลังแรงสูงมาก สูงกว่ากระแสไฟฟ้าที่ผ่าลงมา คือ มีค่าสูงเป็นจำนวนหลายหมื่นหลายแสนโวลต์เลยทีเดียว
พลัง จิตของพระอรหันต์ หรือพระอริยเจ้าผู้สำเร็จฌานสมาบัติชั้นสูงนั้น เมื่อแผ่ออกไปจากจิตอันบริสุทธิ์ และแรงกล้าของท่านมุ่งเข้าสู่วัตถุมงคลโดยมีสายสิญจน์เป็นสื่อ พลังจิตจะวิ่งไปตามสายสิญจน์เหมือนกับกระแสไฟฟ้าที่วิ่งไปตามสาย และจะไปสถิตอยู่ในวัตถุมงคลนั้นไม่มีเสื่อมคลาย หรือ สูญสลาย เมื่อมีผู้นำไปสักการะบูชา แล้วประพฤติปฏิบัติตนในทางที่ดีที่ชอบที่ถูกที่ควร อธิษฐานขอความช่วยเหลือจากวัตถุมงคลชิ้นนั้นโดยชอบธรรม และหากไม่เป็นการ “ฝืนกฎแห่งกรรม” แล้วไซร้ วัตถุมงคลนั้น ๆ ก็จะรับการกระตุ้น หรือ “เปิดสวิทซ์” ส่งกระแสพลังจิตที่ได้บรรจุไว้ออกมายังผู้อธิษฐานขอ หรือปกป้องคุ้มครองภัยอันตรายจากสิ่งเลวร้ายต่าง ๆ ทันที
ดังนั้นผู้ที่พกพาวัตถุมงคลของพระเกจิอาจารย์ต่าง ๆ พึงสังวรไว้ว่า ท่านจะต้องอาราธนาพระเครื่องรางของขลังของท่านทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน เพื่อเป็นการเปิดสวิทซ์ หรือให้กระแสจิตของท่านสัมผัสกับกระแสจิตของพระเกจิอาจารย์ที่ปลุกเสก หรืออธิษฐานจิตไว้ในวัตถุมงคลที่ท่านพกพาอยู่ และท่านจะต้องประพฤติปฏิบัติตนเป็นคนดี อยู่ในศีลธรรมด้วย พระจึงจะคุ้มครองท่าน และบันดาลให้ท่านประสบผลสำเร็จอันพึงปรารถนา
จริง อยู่ บางท่านไม่ได้อาราธนาพระท่านก่อนออกจากบ้าน จะด้วยเหตุไม่รู้ หรือด้วยเหตุอันใดก็ตาม เมื่อถึงคราวคับขัน พระท่านก็ปกป้องคุ้มครองภัยให้ หรือบางคนเป็นโจรผู้ร้ายปล้นฆ่า เมื่อพกพาพระเครื่องรางของขลัง พระท่านก็ยังคุ้มครอง เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะพระท่านไม่อาจอยู่ “เหนือกฎแห่งกรรม” ได้ พวกที่พกพาพระเครื่องแล้วไปก่อกรรมทำเข็ญ เป็นคนชั่วคนเลว แล้วพระยังคุ้มครองอยู่ได้นั้น เพราะเหตุว่า “กรรมเก่าซึ่งเป็นกรรมดี” ยังตามมาปกป้องคุ้มครองเขาอยู่ แต่เมื่อ “กรรมเก่าที่เป็นกรรมดี” หมดลง แล้ว “กรรมเก่า หรือ กรรมใหม่ ที่เป็นกรรมเลว” ตามมาทันล่ะก็ เขาจะได้รับผลแห่งกรรมนั้นทันที ให้แขวนพระเครื่องชั้นดีเพียงใด หรือมีประสบการณ์ในด้านการคุ้มครองป้องกันภัยมาแล้วก็ตาม เมื่อถึงเวลานั้น “พระท่านจะไม่คุ้มครองอีกต่อไป” เพราะคนผู้นั้นจะต้องเป็นไปตาม “กฎแห่งกรรม” ที่ทำเอาไว้ -
ครูบาเจ้าเกษม เขมโก (๒๖) โดย อ.เล็ก พลูโต เหรียญสิริมงคล รูประฆัง ในขณะที่กำลังดำเนินการสร้างเหรียญสิริมงคล รูประฆัง เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๖ มีศิษย์ซึ่งเป็นคณะกรรมการจัดสร้างท่านหนึ่ง เรียนถามหลวงพ่อเกษม เขมโก ว่าจะสร้างเหรียญเป็นรูปอะไรดี หลวงพ่อตอบว่า “สร้างเป็นรูประฆังสิ ดังดี” คณะกรรมการจึงได้จัดสร้างด้วยเนื้อทองแดงบริสุทธิ์ จำนวนทั้งสิ้น ๕๐,๐๐๐ เหรียญ แม้เหรียญจะมีขนาดใหญ่กว่าเหรียญรูปไข่ หรือ รูปทรงกลม แต่ก็มีความสวยงามเป็นเอกลักษณ์ ไม่เทอะทะจนเกินไป
ตอนเกิดจลาจลถึงขั้นนองเลือดในวันมหาวิปโยค ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ เป็นที่ทราบกันดีว่า นักเรียนอาชีวะในสายช่างกล ช่างไม้ ได้ไปนมัสการหลวงพ่อเกษม เพื่อขอพระและเหรียญติดตัวไว้เป็นจำนวนมาก เนื่องด้วยบุตรหลานชาวลำปางที่เข้ามาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ มีจำนวนไม่น้อย ซึ่งก็ทราบกันดีแล้วว่า นักเรียนอาชีวะมักจะมีกิจกรรมนอกหลักสูตร ชอบยกพวกเข้าประลองกำลังกันบ่อย ๆ ฉะนั้น การมีพระ หรือของขลังต่าง ๆ ไว้เป็นกำลังใจ จัดว่าเป็นของจำเป็นที่สุด โดยเฉพาะในฐานะของนักเรียน ย่อมไม่สามารถเช่าบูชาพระเครื่องรางของขลัง ที่มีราคาสูงได้ แต่เมื่อได้รับการชักชวนจากเด็ก ๆ ชาวลำปางให้หาของดีราคาถูกไว้ใช้ ก็เป็นที่สนใจของนักเรียน พระและเหรียญสร้างครั้งใด ก็เป็นที่สนใจของนักเรียนทุกครั้ง
ดังนั้น การจลาจลรุนแรงครั้งนี้ ผู้ที่มีเหรียญของหลวงพ่อเกษม จึงได้รับประสบการณ์อันน่าพิศวงหลายแห่ง หลายวาระด้วยกัน
ตัว แทนนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ที่มีเหรียญของหลวงพ่อเกษม ที่ขอแบ่งเช่าเหรียญสิริมงคลรูประฆัง เป็นจำนวนถึง ๑,๐๐๐ เหรียญ แจ้งว่าเหตุการณ์เพิ่งคลี่คลาย รู้สึกยังไม่เป็นที่น่าไว้วางใจ
คุณธีรยุทธ บุญมี บุคคลสำคัญในเหตุการณ์จลาจลคราวนี้ พร้อมด้วยคณะกรรมการศูนย์นิสิต นักศึกษา ก็ไปกราบนมัสการหลวงพ่อเกษม และได้รับแจกมาเพียงคนละ ๑ เหรียญ และริบบิ้นอีก ๑ ม้วน ท่านให้ไปตัดแบ่งกัน
นายบุญชัย พรหมเสน หรือ ตุ๋ย อายุ ๑๖ ปี ได้เหรียญสิริมงคลรูประฆังไว้ ๑ เหรียญ อยู่บ้านเลขที่ ๑๑๙/๙ ถนนสาธรใต้ ตลาดสวนพลู ตำบลทุ่งมหาเมฆ เขตยานนาวา กรุงเทพฯ เป็นนักเรียนอยู่ช่างกลพระนครเหนือ ปีที่ ๑
วันเกิดจลาจล ตุ๋ย เป็นคนหนึ่งที่อยู่ในขบวนเรียกร้องรัฐธรรมนูญ ขณะที่เกิดปะทะกัน เนื่องจากฝ่ายรัฐบาลสั่งปราบปรามโดยเด็ดขาด เจ้าหน้าที่ก็ใช้ปืนยิงกราด กวาดล้างทันที แน่ละ ในเมื่อฝ่ายนักเรียนไม่มีอาวุธ จึงต้องถูกกระสุนปืนล้มระเนระนาด แต่ในที่นี้มีอยู่คนเดียวเท่านั้นที่ไม่ล้ม ถูกปืนเหมือนกัน แต่ก็แค่กางเกงขาดเป็นรู แล้วรู้สึกเพียงแสบ ๆ ที่ผิวหนังเท่านั้น ความตั้งใจของตุ๋ยภายหลังที่ถูกยิงแล้ว แต่ไม่เข้า ตุ๋ยก็อยากจะประคองเพื่อนเอามารวมกัน แต่ทว่าฝ่ายเจ้าหน้าที่ก็ยังยิงกราดอยู่ไม่ยอมหยุดยั้ง ดูเถอะ ช่างใจเหี้ยมโหดอะไรอย่างนั้นนะ เขายิงอยู่เรื่อย ๆ ทั้งที่ไม่มีใครต่อต้านทำร้ายตอบเลย
แล้ว ในใจหนึ่งของตุ๋ยก็ฮึดขึ้นมาฉับพลัน เพราะอดรนทนอยู่ไม่ไหวจริง ๆ ตุ๋ยวิ่งฝ่ากระสุนปืนเข้าไปแย่งปืนจากเจ้าหน้าที่ไว้ได้หนึ่งกระบอก
ดูสิ เยาวชนไทยเราฉกาจฉกรรจ์แค่ไหน
เมื่อ แย่งปืนได้แล้ว ก็หารอช้าให้เสียเวลาไม่ ตุ๋ยรัวกระสุนสาดไปยังเจ้าหน้าที่บ้าง เท่านั้นแหละ ก็ทำให้หมดสิ้นซึ่งอุปสรรคขัดขวาง รวบรวมคนตาย และบาดเจ็บ พอจะลงมือประคองเพื่อนคนหนึ่ง ทันใดนั้น ก็มีทหารหลายนายมากับรถยนต์ เขาขอร้องให้ตุ๋ยรีบหนีไปเสียเดี๋ยวนั้น มิฉะนั้นอาจจะต้องจบชีวิต ความตั้งใจของทหาร ตุ๋ยรู้ว่าเขาจะมาเก็บศพ และคนเจ็บบรรทุกใส่รถ
ตุ๋ย หมดแล้วซึ่งความประหวั่นพรั่นพรึงใด ๆ ตุ๋ยเลิกเกรงกลัวต่ออธรรม แล้วก็ด่าเขาสวนไป โดยพร้อมจะเอาชีวิตเข้าแลกกับเจ้าหน้าที่ อาจเป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่คงเห็นฤทธิ์เดชของเจ้าตุ๋ยมาแต่ไกลแล้วก็ได้ ก็เลยต้องยอมล่าถอย ไม่ยอมเผชิญกับความห้าวหาญของตุ๋ยอีกต่อไป
ความ กล้าหาญชาญชัย ความรักเพื่อนของวีรชนอย่างตุ๋ย เราควรจะเทิดไว้ในที่สูงสักเพียงไร ท่านผู้อ่านที่รัก เรามาใช้วิจารณญาณกันให้ลึกซึ้งสักหน่อยเป็นไง
อีกรายหนึ่ง นายปกรณ์ ศรีโปฎก หรือ ต่าย มีบิดาชื่อ แปลก ศรีโปฎก ซึ่งทำงานเป็นหัวหน้าหมวด ฝ่ายการบัญชี กองทำไม้ภาคเหนือ องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ หน้าวัดต้นผึ้ง ตำบลเวียงเหนือ อำเภอเมืองลำปาง ส่วนตัวนายปกรณ์ หรือ ต่าย ศรีโปฎก เป็นนักเรียนช่างกลอุตสาหกรรมพณิชยการหมู่บ้านครู เขตหนองแขม ใกล้ ๆ สถานีโทรทัศน์สี ช่อง ๓ ต่ายมีอายุ ๒๐ ปี เป็นวีรชนคนหนึ่งที่เข้าร่วมอยู่ในขบวนเรียกร้องรัฐธรรมนูญด้วย
ต่าย รับหน้าที่ถือธง เรียกว่าเป็นแนวหน้านั่นแหละ ขณะเหตุการณ์กำลังวุ่นวายชุลมุน ต่าย อยู่ในบริเวณท้องสนามหลวง เฮลิคอปเตอร์บินมาถึง ก็ใช้ปืนกลยิงกราดไม่ไว้หน้า ณที่นี้ นักเรียนผู้เป็นเพื่อนของต่าย ตาย และบาดเจ็บกันมากมาย ตัวต่ายเองนั้น อารามตกใจก็เลยวิ่งไปยืนหลบบังกระสุนที่ต้นมะขามข้างสนาม จนกระทั่งเฮลิคอปเตอร์บินไปแล้ว จึงได้ออกมาลำเลียงเพื่อนที่บาดเจ็บล้มตาย เข้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และก็ต่อมาอีกไม่นานนัก ก็มีเจ้าหน้าที่มาตั้งปืนจังก้า น่ากลัวอยู่ที่หน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คอยยิงกราดใส่คนที่เดินผ่านหน้ามหาวิทยาลัย
เมื่อ รูปการณ์เป็นอย่างนี้ ต่ายเห็นแล้วพิจารณาแล้วจึงไม่กล้าออกจากมหาวิทยาลัยฯ อดทนหลบตัวอยู่จวบจนกระทั่งเย็น จึงคิดหลบหนีทางน้ำ ตั้งใจจะหาเรือข้ามฟาก เผอิญมีเรือมารับ แต่ต่ายพลาดเรือเที่ยวแรก ซึ่งก็เรือเที่ยวแรกน่ะแหละ ต่ายเห็นถูกยิงอย่างหนัก คนในเรือลำนั้นมีจำนวนไม่เกิน ๔๐ คน จะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ต่ายไม่ทราบชัด
ต่อ มา ต่ายลงเรือลำที่สอง แต่ว่าเรือไม่ยอมล่อง เพราะกลัวเจ้าหน้าที่จะเห็น จึงข้ามฟากไปที่ท่าโรงพยาบาลศิริราช เมื่อถึงแล้วก็รีบขึ้นฝั่งที่โรงพยาบาลศิริราช มีนิสิตการแพทย์ และนางพยาบาลให้การต้อนรับต่ายอย่างอบอุ่นมาก เขาปลอบต่ายไม่ให้กลัว แถมยังหาเสื้อคนไข้มาให้สวม ขณะกำลังสวมเสื้ออยู่นั้น ต่ายเหลือบเห็นเจ้าหน้าที่ขึ้นที่ท่าเรือมาแล้ว จึงรีบวิ่งเข้าไปในโรงพยาบาล ขึ้นลิฟท์ไปชั้นสูงทันที นึกเสียว่า คงไม่มีใครกล้าบุกเข้าตามคนไข้ แต่ต่ายคาดการณ์ผิด เจ้าหน้าที่บุกเข้าค้นหานักเรียนทั่วทุกห้อง ทุกแห่ง ทำไงดี
ครั้น แล้ว ต่ายจึงตัดสินใจวิ่งเข้าลิฟท์ พาตัวดิ่งลงมาข้างล่าง ถึงข้างล่างแล้วไม่เห็นใครเลย ก็วิ่งต่อไป ตอนนั้นหาประตูออกไม่พบ เลยตัดสินใจด่วน กระโดดข้ามกำแพงออกไป มีคนถามว่า ออกมาได้อย่างไร กำแพงสูงออกอย่างนั้น ต่ายเองก็ตอบไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าออกมาได้อย่างไรเหมือนกัน ไม่ผิดอะไรกับคนที่ถูกไฟไหม้บ้าน แล้วยกตุ่มน้ำลูกใหญ่ ๆ ได้ ตอนนี้น่าจะเรียกว่า ใช้กำลังภายในก็ได้
เกือบจะลืมบอกไปว่า ระหว่างเหตุการณ์ตื่นเต้นสยองขวัญนี้ ต่ายมีพระอะไรติดตัว พระที่ต่ายมีติดตัวก็คือ พระผงครบ ๕ รอบ ของหลวงพ่อเกษม และ พระครูบาศรีวิชัย ที่สร้างจากพระอังคารของท่าน เป็นรูปสามเหลี่ยม พระครูบาองค์นี้เคยมีประสบการณ์ ถูกยิงถูกแทงไม่เข้ามาแล้วครั้งหนึ่ง
ความ จริงในเหตุการณ์จลาจล ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ทราบว่า มีลูกหลานชาวลำปาง ได้เข้าร่วมในขบวนเรียกร้องรัฐธรรมนูญหลายคน ทุกคนล้วนแต่ไกลพ่อไกลแม่ ห่างเหินญาติพี่น้อง ปราศจากผู้ที่จะทัดทาน หรือห้ามปราม จึงได้แสดงวีรกรรมอย่างเต็มที่ อย่างที่เรียกว่า ไม่ยอมน้อยหน้าแก่กัน และพระเหรียญรุ่นต่าง ๆ ของหลวงพ่อเกษม ได้เข้าผจญเหตุการณ์หมดทุกรุ่น เป็นที่เลื่องลือทั่วทั้งสิบทิศ
อัน ที่จริงวัตถุมงคลในนามของหลวงพ่อเกษม เขมโก หรือ หลวงปู่ครูบาเจ้าเกษม เขมโก ยังมีอีกมากมายหลายชนิด หลายรูปแบบ เช่น พระสมเด็จ, พระปิดตา, รูปหล่อเหมือน, พระผงรูปเหมือน,พระหลวงปู่ทวด, พระกริ่ง, เหรียญ หรือ ล็อกเก็ต รัชกาลที่ ๕, ล็อกเก็ตรูปหลวงปู่ ฯลฯ ซึ่งถ้าจะนำมาจารไนยให้หมดทุกรุ่นทุกแบบคงทำไม่ได้ จึงนำเสนอเฉพาะวัตถุมงคลที่ได้รับความนิยมสูงสุดในชุดเบญจบารมีเท่านั้น
แต่ ก็ใช่ว่าพระเครื่องอื่น ๆ ที่ไม่ได้นำมาเสนอ จะไม่ได้รับความนิยมก็หาไม่ ตรงกันข้าม ทุกวันนี้วัตถุมงคลที่เหลืออยู่ที่สุสานไตรลักษณ์ นับวันจะลดน้อยลงทุกที เพราะไม่มีการสร้างเพิ่ม ดังนั้น หากท่านใดสนใจ ก็ขอให้ไปบูชาได้ที่สุสานไตรลักษณ์โดยตรง ส่วนในกรุงเทพ ฯ ที่วัดไตรมิตร กุฏิเจ้าคุณธงชัย ท่านได้สร้างเอาไว้หลายรุ่น ยังพอมีตกค้างอยู่บ้าง ก่อนที่จะหมดไป และหาไม่ได้ อย่าหวังไปเช่าตามศูนย์ เพราะราคาแพง หรือบางทีอาจได้ของนอกพิธีก็ได้
ก่อน จบเรื่องราวของหลวงปู่ครูบาเจ้าเกษม เขมโก ผมขอนำพระคาถาของหลวงปู่ มาลงไว้สำหรับท่านที่มีวัตถุมงคลของหลวงปู่ หรือมีรูปภาพหลวงปู่ (ไม่ผ่านการอธิษฐานจิตก็ใช้ได้) จะได้ท่องสวดบูชาเพื่อความเป็นสิริมงคล
คำอาราธนา วัตถุมงคล ตั้งนะโม ๓ จบ แล้วว่า
พุทธัง อาราธนานัง ธัมมัง อาราธนานัง สังฆัง อาราธนานัง เขมะกะภิกขุง อาราธนานัง วันทามิหัง
แล้วว่าพระคาถาบทต่าง ๆ ตามแต่ปรารถนา
พระคาถาบทที่ ๑ ตั้งนะโม ๓ จบ แล้วว่า
สิวะลี มะหาเถรัง วันทามิหัง (๓ ครั้ง), มะหาสิวะลี เถโร มะหาลาโภ โหติ, มะหาสิวะลี เถโร ลาภัง เม เทถะฯ
ใช้ สวดภาวนาประจำทั้งเช้าและเย็น เป็นคาถาโชคลาภ และเมตตามหานิยม จะทำให้ทำมาค้าขายดี ก่อนสวดก็ให้ระลึกถึงพระสีวลีมหาเถระเจ้า ผู้อุดมด้วยโชคลาภ และหลวงพ่อเกษม เขมโก พระสุปฏิปันโนผู้ทรงความเมตตา และคุณธรรมสูง แล้วอธิษฐานขอโชคลาภตามใจปรารถนา
พระคาถาบทที่ ๒ ตั้งนะโม ๓ จบ แล้วว่า
พุทโธ วะโร สะติ มะโต สัพพะ อันตะรายา วินาสันตุ
ใช้ สวดภาวนา เป็นคาถาแคล้วคลาด ป้องกันสรรพอันตรายทั้งปวง ก่อนจะออกจากบ้าน หรือขณะเดินทางขึ้นรถลงเรือไปเหนือล่องใต้ ให้สวด ๓ จบ ๗ จบ ระลึกถึงหลวงพ่อเกษม เขมโก จะแคล้วคลาดจากสรรพอันตรายทั้งปวงแลฯ
พระคาถาบทที่ ๓ ตั้งนะโม ๓ จบ แล้วว่า
ธัมโม มะมัง สุรักขะตุ
ใช้ สวดให้พระคุ้มครอง ป้องกันภูติผีปีศาจ ก่อนจะออกจากบ้านเดินทาง ให้สวด ๓ จบ ๗ จบ แล้วระลึกถึงหลวงพ่อเกษม เขมโก เด็กนอนไม่หลับร้องไห้งอแงในเวลากลางคืน ให้ใช้คาถานี้เป่าศีรษะเด็ก ๓ พ้วง เด็กนอนหลับสบาย เวลาพาเด็กเดินทางไปต่างถิ่น ก็ใช้คาถานี้เป่าป้องกันภูติผีปีศาจหลอกหลอน ท่านว่าชะงัดนักแลฯ
พระคาถาบทที่ ๔ ตั้งนะโม ๓ จบ แล้วว่า
นะ โน นะ อันตะรายา วินาสันตุ
ใช้ เป็นคาถาแคล้วคลาด ป้องกันศาสตราวุธ และโจรภัยอันตรายทั้งปวง ก่อนจะออกจากบ้านเดินทางไปไหน ให้ว่าคาถานี้ ๓ จบ ๗ จบ ก่อน แล้วจึงเดินทาง ในระหว่างเดินทางก็ให้ภาวนาด้วยคาถานี้ไปเรื่อย ๆ แม้พบภยันตรายใด ๆ ก็จะแคล้วคลาด เพราะคาถานี้เป็น “นะจังงัง” ท่านว่าชะงัดนักแล แต่อย่าลืมระลึกถึงหลวงพ่อเกษม เขมโก ก่อนใช้ทุกครั้ง
ขอ อำนวยพรให้ผู้อ่านทุกท่าน จงประสบแต่ความสุขสวัสดี มีโชคลาภตามการประกอบกรรมดีทุกประการ และจงแคล้วคลาดจากทุกข์ โศก โรค ภัยใด ๆ ภยันตรายทั้งปวงจงอย่าได้พบพานตลอดไป แถมท้ายด้วยพรของหลวงปู่ครูบาเจ้าเกษม เขมโก ดังนี้
“ขอให้ท่านเป็นผู้ที่มีโชคดี มั่งมีศรีสุข ลาภผลพูนทวี อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง” -
-
-
Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี
-
-
ขอโทษที เพิ่งเห็นครับ
คือจะเอามาแจกนะครับแต่รอแป๊บนึง เพราะกำลังจัดงานปีใหม่อยู่ ไม่ก่อน ก็หลังปีใหม่ละกันครับผม -
-
หน้า 12 ของ 47