รู้จักมิจฉาวาจาว่ามิจฉาวาจา รู้จักสัมมาวาจาว่าสัมมาวาจา ความรู้นั้น เป็น สัมมาทิฐิ
- ละการพูดเท็จ เว้นขาดจากการพูดเท็จ พูดแต่คำจริง ดำรงคำสัตย์ มีถ้อยคำเป็นหลักฐาน ควรเชื่อได้ ไม่พูดลวงโลก
- ละคำส่อเสียด เว้นขาดจากคำส่อเสียด ฟังจากข้างนี้แล้วไม่ไปบอกข้างโน้น เพื่อให้คนหมู่นี้แตกร้าวกัน หรือฟังจากข้างโน้น แล้วไม่มาบอกข้างนี้ เพื่อให้คนหมู่โน้นแตกร้าวกัน สมานคนที่แตกร้าวกันแล้วบ้าง ส่งเสริมคนที่พร้อมเพรียงกันแล้วบ้าง ชอบคนผู้พร้อมเพรียงกัน ยินดีในคนผู้พร้อมเพรียงกัน เพลิดเพลินในคนผู้พร้อมเพรียงกัน กล่าวแต่คำที่ทำให้คนพร้อมเพรียงกัน
- ละคำหยาบ เว้นขาดจากคำหยาบ กล่าวแต่คำที่ไม่มีโทษเพราะหู ชวนให้รัก จับใจ เป็นของชาวเมือง คนส่วนมากรักใคร่พอใจ
- ละคำเพ้อเจ้อ เว้นขาดจากคำเพ้อเจ้อ พูดถูกกาล พูดแต่คำ ที่เป็นจริง พูดอิงอรรถ พูดอิงธรรม พูดอิงวินัย พูดแต่คำมีหลักฐานมีที่อ้าง มีที่กำหนด ประกอบด้วยประโยชน์ โดยกาลอันควร
หลักปฏิบัติสัมมาวาจา
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย แปะแปะ, 19 มีนาคม 2012.
-
วาจาประกอบด้วยองค์ ๕ ประการ เป็นวาจาสุภาษิต ไม่เป็นทุพภาษิต และเป็นวาจาไม่มีโทษ วิญญูชนไม่ติเตียน คือ
- วาจานั้นย่อมเป็นวาจาที่กล่าวถูกกาล
- เป็นวาจาที่กล่าวเป็นสัจ
- เป็นวาจาที่กล่าวอ่อนหวาน
- เป็นวาจาที่กล่าวประกอบด้วยประโยชน์
- เป็นวาจาที่กล่าวด้วยเมตตาจิต
วาจาอันประกอบด้วยองค์ ๔ เป็น วาจาสุภาษิต ไม่เป็นทุพภาษิต เป็นวาจาไม่มีโทษ และวิญญูชนไม่พึงติเตียน
- ย่อมกล่าวแต่คำที่เป็นสุภาษิต ไม่กล่าวคำที่เป็นทุพภาษิต
- ย่อมกล่าวคำที่เป็นธรรม ไม่กล่าวคำที่ไม่เป็นธรรม
- ย่อมกล่าวแต่คำอันเป็นที่รัก ไม่กล่าวคำอันไม่เป็นที่รัก
- ย่อมกล่าวแต่คำสัตย์ ไม่กล่าวคำเหลาะแหละ
-
สัมมาวาจา ๒ อย่าง
- สัมมาวาจาที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์ คือ เจตนางดเว้นจากการพูดเท็จ งดเว้นจากการพูดส่อเสียด งดเว้นจากการพูดคำหยาบ งดเว้นจากการเจรจาเพ้อเจ้อ
- สัมมาวาจาของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค คือ ความงด ความเว้น ความเว้นขาด เจตนางดเว้น จากวจีทุจริตทั้ง ๔ ของภิกษุผู้มีจิตไกลข้าศึก มีจิตหาอาสวะมิได้ พรั่งพร้อมด้วยอริยมรรค เจริญอริยมรรคอยู่
-
แปะแปะ เอ็งมาว่าข้า สอนลัทธิใหม่ โดยไม่พิจารณา แบบนี้พูดส่อเสียดหรือเปล่า
เอ็งยังต้องศึกษาอีกเยอะนะแปะแปะ ไม่ใช่อ่านตำราแล้วคิดเองเออเอง -
อนุโมทนาครับ
ที่ยากที่สุด คือพูดเพ้อเจ้อ เวลาที่พูดออกไล้ว ค่อยมารู้ว่าโลภะรับทานไปเรียบร้อย
ส่วน ส่อเสียด ก็เหมือนกัน เวลาพิมพ์มานะ อิสสา พยาบาท มันขึ้นมาเลย
ถ้ามีสติบ้าง พอจบรูปประโยคบางทีก็เลือกจะลบทิ้ง ไม่โพสมันลงไป -
รู้จักเลือกที่จะชนะใจตนเอง ในบางครั้งบางคราวที่มีสตืกำกับระลึกได้
ไม่มุ่งไปเอาชนะผู้อื่น เพื่อความสะใจ จนเกินขอบเขตความพอดี
เป็นธรรมดาของผู้ฝึกหัดทุกท่าน ย่อมมีเผลอไปบ้าง
แต่มีการลด ละ เลิก หรือเปลียนแปลงไปในทางที่ดี -
-
แต่การไม่เชื่อโดยเหตุนัยสำคัญว่า ยังพิสูจน์ไม่ได้ แม้พระศาสดาก็ทรงไม่ถือว่าเป็นบาปกรรมอันใด เป็นเพราะเหตุคือปัญญาไม่ถึง เพราะเหตุปัจจัยในอันที่จะเห็นและพิจารณาได้ไม่ถึงพร้อม แต่จะเป็นบาปเป็นกรรมก็ต่อเมื่อ ไม่เชื่อแล้วยังลบหลู่ดูหมิ่นว่าร้ายให้ร้ายต่างๆนานา ดังมีพรรณามาในพระสัทธรรมในหลายบทหลายตอน ความสำคัญคือ การกล่าวสิ่งใดก็จงอย่าสำคัญว่าเขาต้องเชื่อ แต่ต้องสำคัญว่าไม่ควรกล่าวคำเท็จ คำไม่จริง คำที่กระทบต่ออารมณ์ความรูสึกของผู้อื่นหากไม่จำเป็น เพราะไม่มีสติพิจารณาในสิ่งที่ควรว่าทำไมถึงต้องใช้สิ่งนั้นและทำไมถึงไม่ใช้สิ่งนั้น ไม่ใช่เฉพาะวาจานะ กายก็ด้วย ใจก็ด้วย อย่าสักแต่ว่ารู้มากแล้วจะคิดว่านั่นคือทางหลุดพ้น เกิดมานะทิฐิ เป็นคำบาลีได้ตั้งหลายคำ เรียกรวมๆว่า ทิฐิ ที่ไม่ดี นำออกมาใช้ก็จะเกิดความโกลาหล แต่โดยมากจะเป็นกับตนเองมากกว่า ผู้อื่นหากตั้งสติพิจารณาดีๆ ไม่มีผล เว้นเสียผู้ไม่พิจารณาด้วยความมีสติและเป็นกลาง ก็จะไหลไปกับสิ่งเหล่านั้นคือ เกิดได้ทั้งเชื่อ และ ไม่เชื่อ นำไปสู่ ความยินดีและความยินร้าย หากยินร้ายแล้วลบหลู่ส่อเสียด ก็เป็นกรรมอกุศล เป็นวิบากสืบต่อไป พึงมีสติพิจารณาธรรมทั้งหลายให้ดีๆ ใครๆก็มีมานะทั้งนั้นแต่เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ก็ดี อะไรไม่ดีก็สละเสีย สละบ่อยๆ ทำในสิ่งที่คนอื่นคิดว่ายากสละยากเพียรระลึกรู้ว่ายาก ให้ค่อยสละทิ้งไป ..มีข้อคิดอีกอย่างคือ ครั้งหนึ่งพระศาสดาก็เคยเห็นเปรตสุกรที่เชิงเขาคิชกูช แต่ไม่ทรงปรารภสิ่งใดมาช้านาน จนกระทั่งพระโมคคัลลานมหาเถระก็เห็นประจักษ์แจ้งเช่นเดียวกันจึงทูลถามพระศาสดา...พระศาสดาจึงกล่าวว่า....(หาอ่านเอาเองครับ)
สาธุคั๊บ -
หนึ่งบาทได้ฉองเม็ด นั้นแหละเอาไปแบ่งกับน้าปราบ
เงียบนานแล้ว ปากเหม็น ^^ -
-
พี่ปราบไม่ว่างน่ะ ตอนนี้มาทำธุระอยู่ กทม มีไรฝากบอกน่าอินจาง ได้ -
และคำว่าปฏิบัตินั้นก็ คือ ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์
ส่วนธรรมะหมายถึงคำสั่งสอนที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง
ดังนั้นการปฏิบัติธรรมจึงหมายความว่า เป็นการปฏิบัติไปตามคำสอนที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้ นั้นเอง
จึงขึ้นว่านักปฏิบัติ ถ้าไปเอาคำสอนของพระพุทธองค์มาแสดง ถึงจะถูกต้องตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ก็ยังไม่ชื่อว่านักปฏิบัติ
ก็คงเป็นนักแสดง เมื่อจะคิดเป็นนักแสดงก็ควรศึกษาธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ให้ได้อย่างถูกต้อง จะได้ไม่ต้องเบี่ยงเบนว่า
ปฏิบัติเองเห็นเอง ว่ามันเป็นปัจจัตตัง มันจะสรุปง่ายไปไหม
การพูดส่อเสียดกับการพูดจริงต่างกันตรงไหน ? พูดจริงแต่ผู้ฟังไม่ยอมรับความจริงก็จะกลายเป็นพูดส่อเสียด
พูดจริงแล้วยอมรับตามนั้นว่า เป็นจริงดังที่เขาพูดก็คงพูดไม่ใช่ส่อเสียดเออเขาพูดจริง จริงป่าว
คงเป็นจริงอย่างดังที่ขันธ์ว่านั่นแหละ แปะแปะยังต้องศึกษาอีกมาก
แม้พระอริยะบุคคลเบื้องต่ำ ๓ ก็ยังต้องเป็นบุคคลที่ยังต้องศึกษาอยู่ เรียกอีกอย่างว่า พระเสขบุคคล -
สัมมาวาจา เป็นองค์มรรค เป็นหนึ่งในจำนวนมรรค ๘
เจตนางดเว้นจากการพูดเท็จ งดเว้นจากการพูดส่อเสียด
งดเว้นจากการพูดคำหยาบ งดเว้นจากการเจรจาเพ้อเจ้อ
หากยังงดเว้นไม่ได้ ยังเป็นผู้เพ้อเจ้อ พูดไร้สาระ เอาแต่สนุกสนานเข้าไว้
ก็ยังเป็นผู้ห่างไกลต่อมรรค ๘ เพราะสัมมาวาจาก็จะต้องเป็นมรรคสมังคีย์ด้วยเช่นกัน -
เห้อ ชาวพุทธ จะแกะได้ไหมน้อ เพื่อความไม่โศกา -
อนุโมทนาสาธุ กับธรรมที่ยกมาครับ
สาธุครับ -
<TABLE style="WIDTH: 483px; HEIGHT: 210px" border=1 cellSpacing=0 cellPadding=2 width=483><TBODY><TR><TD bgColor=#ffece3 height=55>
น อนฺตลิเข น สมุทฺทมชฺเฌ น ปพฺพตานํ วิวรํ ปวีสํน วิชฺชตี โส ชคติปฺปเทโส ยตฺรฏบิตํ นปฺปสเหยฺย มจฺจุ</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff>
บุคคลที่ทำกรรมชั่วไว้</TD></TR></TBODY></TABLE>
ถึงจะเหาะขึ้นไปอากาศ ก็ไม่พ้นกรรมชั่วได้
ถึงจะดำลงไปในทะเล ก็ไม่พ้น
ถึงจะเข้าไปหลบบนซอกเขา ก็ไม่พ้น
เพราะไม่มีแผ่นสักส่วนหนึ่ง ที่เขายืนอยู่แล้ว
จะไม่ถูกความตายครอบงำได้
-
-
<TABLE style="WIDTH: 483px; HEIGHT: 146px" border=1 cellSpacing=0 cellPadding=2 width=483><TBODY><TR><TD bgColor=#ffece3 height=55>
อภิตฺถเรถ กลฺยาเณ ปาปา จิตฺตํ นาวารเย</TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff>
ทนฺธํ หิ กรโต ปุญฺญํ ปาปสฺมึ รมติ มโนบุคคลควรรีบขวานขวายใกรทำความดี ควรห้ามจิตจากบาป</TD></TR></TBODY></TABLE>
เพราะเมื่อทำบุญช้าไป ใจจะยินดีในบาป
<!-- google_ad_section_end -->