หอคอยบาเบล ความภูมิใจในตนเองของมนุษย์

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย มิคาเอล777, 27 มกราคม 2010.

  1. มิคาเอล777 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    283
    ค่าพลัง:
    +244
    หอคอยบาเบล (Tower of Babel)
    เป็นสิ่งก่อสร้างที่มีจุดมุ่งหมายให้สูงไปถึง สวรรค์
    เกิดจากความสามัคคีของมนุษย์ ภายหลังเหตุการณ์น้ำท่วมโลก จากลูกหลานของโนอาห์ ได้ขยายพงศ์พันธุ์แผ่ไพศาลออกไป แต่ทั่วทั้งโลกต่างพูดภาษาเดียวกัน และมีศัพท์สำเนียงเดียวกัน ผู้คนในยุคนั้นจึงได้ร่วมกันสร้างหอบาเบล โดยมีความมุ่งหมายเพื่อที่จะสร้างเป็นหอเทียมฟ้า สร้างชื่อเสียงไว้ และเป็น
    แหล่งรวมอารยธรรมของมนุษย์ไว้ด้วยกัน

    การสร้างหอบาเบล เป็นการสร้างความภาคภูมิใจให้กับมนุษยชาติ ซึ่งความภาคภูมิใจนี้ ก็นำมาซึ่งความหยิ่งผยอง คิดท้าทายพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงทรงบันดาลให้เกิดภาษาที่แตกต่างกัน ทำให้มนุษย์สื่อสารกันไม่เข้าใจ การก่อสร้างหอบาเบลจึงหยุดชะงักลงเพียงนั้น
    คำว่า บาเบล ที่ใช้ตั้งชื่อหอคอยนี้ มาจากรากศัพท์ภาษาฮีบรู ที่แปลว่า วุ่นวาย นั่นเอง และจากการสร้างหอบาเบล ทำให้มีพระธรรมข้อที่น่าประทับใจที่คริสตชนมักใช้ให้กำลังใจกัน


    พระธรรมปฐมกาล บทที่ 11 ข้อ 7 กล่าวว่า “มาเถิดเราจงลงไป ทำให้ภาษาของเขาวุ่นวายต่างกันไป อย่าให้เขาพูดเข้าใจกันได้” เป็นข้อพระคัมภีร์ที่กล่าวถึงว่า ที่หอบาเบลเป็นจุดกำเนิดของภาษาหลายพันภาษาในโลกนี้ เนื่องจากมนุษย์ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องต่อพระเจ้าโดยการสร้างหอบาเบล พระองค์จึงทำให้พูดกันคนละภาษาเพื่อให้สื่อสารกันไม่เข้าใจทำให้สร้างหอบาเบลไม่สำเร็จ
    Prof. Alfredo Trombetti และ Max Mueller ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญทางภาษา พบว่า ภาษาเป็นพันๆ ในโลกนี้ สามารถสืบเสาะกลับไปสู่ภาษาดั้งเดิมภาษาเดียวได้

    เรื่องราวของหอบาเบล ไม่ได้ถูกบันทึกเฉพาะในพระคัมภีร์ไบเบิลเท่านั้น แต่ยังมีในจารึกของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ของบาบิโลนอีกด้วย

    Prof. Oppert ได้อ่านภาษา คิวนิฟอร์ม (cuneiform) ซึ่งถูกจารึกโดยเนบูคัสเนซซาร์ ถึงหอคอย บาร์ซิปปา (Barzippa) หรือ ทั้ง-ทาวเออร์ (Tongue-tower) หอคอยดังกล่าวถูกสร้างขึ้นโดยนิมโรด ปฐมกษัตริย์แห่งบาบิโลน เนบูคัดเนซซาร์ตั้งใจจะบูรณะหอคอยนี้ขึ้นใหม่ ซึ่งถูกทำลายลง 1,600 ปีก่อนหน้านั้น

    จารึกตอนหนึ่งของเนบูคัสเนซซาร์ ที่น่าสนใจคือ “กษัตริย์พระองค์ก่อนได้สร้างมันขึ้นมา แต่ไม่สามารถสร้างยอดของมันให้สำเร็จได้ และเนื่องจากเวลาที่ยาวนาน ประชาชนได้พากันละทิ้งมันไป โดยไม่สามารถสื่อสารกันได้อย่างเข้าใจ”
    ปัจจุบันกรุงบาบิโลน เป็นเมืองเก่า อยู่ทางตอนใต้ 60 ไมล์จากกรุงแบกแดด ประเทศอิรัก

    ที่มา:Unseen_หอบาเบล ; http://th.wikipedia.org
     
  2. มิคาเอล777 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    283
    ค่าพลัง:
    +244
    อุบัติการณ์ภาษาแห่งมนุษยชาติ จนถึงพระพรจากพระเจ้า

    ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมามีนักโบราณคดี นักวิจัยและผู้ที่สนใจพยายามข้อหาหลักฐานมากมายเพื่อจะตอบคำถามและไขความกระจ่างของชีวิต ว่ามนุษย์มาจากไหน และ เกิดการแยกไปตามสายพันธุ์ยังไง ยังสิ่งเหล่านี้ก็ยังคงเป็นปริศนาอยู่ตราบใดที่มนุษย์ยังคงปฎิเสธพระเจ้า ผู้เป็นเจ้าของคำตอบเหล่านี้ ในฐานะที่พวกเราเป็นผู้เชื่อ เราเชื่ออย่างไม่สงสัยเกี่ยวกับประวัติการสร้างโลกและการขยายของมนุษยชาติอย่างรวดเร็วในช่วงแรก แต่กว่าที่เราจะเข้าใจในจุดนั้นได้ เราจำเป็นต้องเข้าใจสภาพที่แท้จริงของสังคมมนุษย์ยุคแรกในพระคัมภีร์ก่อน ซึ่งผมจะกล่าวต่อไปในบทความนี้โดยอ้างอิงจากในพระธรรมปฐมกาล บทที่10-11

    ในบทที่ 10 เป็นการกล่าวถึง เชื้อสายที่สืบจากบุตรชายของโนอาห์ทั้ง สาม คือ เชม ฮาม และ ยาเฟท โดยในพระคัมภีร์กล่าวว่า ลูกหลานของฮาม ส่วนใหญ่เดินทางไป แอฟริกา และ เอเชีย คือ บริเวณประเทศจีน และขยายครอบครัวไปยังสร้างเมืองและประเทศต่างๆ
    ลูกหลานของ เชม อาศัยอยู่บริเวณเรือ นาวา และขยายครอบครัวออกไป คือ บริเวณตะวันออกกลางในปัจจุบัน ส่วนลูกหลานของยาเฟทส่วนใหญ่ไปทางเหนือ และ ตะวันตก กรีก และ ยุโรป ลูกหลานของโนอาห์เหล่านี้แตกแขนงออกไปตามตระกลู ซึ่งจะพบได้ประมาณ 73 ชื่อ แต่ในพระคัมภีร์ได้เน้นชื่อหนึ่ง ซึ่งเป็นหลานของฮาม คือ นิมโรด บุตร คูช (ปฐก. 10:6-12)

    นิมโรด เป็นชื่อของชายคนแรกที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ถึง 3 ครั้ง เขาเป็นผู้ก่อตั้งอาณาจักรของมนุษย์ยุคแรกหลังจากน้ำท่วมโลก ชื่อ Nimrod มาจากคำกริยา ซึ่งหมายถึง “ให้เรากบฎ” นิมโรด ได้ชื่อเสียงว่าเป็นนักล่าผู้ยิ่งใหญ่ในสายพระเนตรพระเจ้า แต่ชื่อของเขาก็มีความหมายที่มืดมนเหมือนกัน เขาได้กลายเป็นทรราช หรือผู้กดขี่ซึ่งนำการกบฎต่อการปกครองของพระเจ้า ในท้ายที่สุดเขาเองก็ไม่ได้เป็นนายพรานผู้ยิ่งใหญ่ในดารล่าจับสัตว์ แต่กลับเป็นผู้ล่าหาวิญญาณมนุษย์

    ชื่อของ Nimrod เมื่อเอาตัว M, R, D ออกมา เราจะพบรากศัพท์ชื่อพระของบาบิโลน คือ Marduk ซึ่งมีความหมายสอดคล้องกัน Semiramis เป็นชื่อเจ้าแม่ของบาบิโลนที่คู่กันกับมาร์ดุค เป็นต้นกำเนิดของศาสนาเทียมเท็จเกี่ยวกับเจ้าแม่ที่มีบุตรโดยที่ยังพรหมจรรย์อยู่ ซึ่งมีอิทธิพลต่อศาสนาของมนุษย์ทั้งในอดีตและปัจจุบันเกือบทุกศาสนา โดยที่ซาตานได้พยายามเริ่มให้มีสิ่งนี้ก่อนที่พระเยซูเข้ามาในโลก เพื่อจะบิดเบือนความจริงของพระเจ้า บาบิโลนเป็นเมืองที่เริ่มต้นในการนำการปฎิเสธพระเจ้าเข้ามาในทุกยุคทุกสมัย (บาบิโลนในปัจจุบันคือ ประเทศอีรัก ซึ่งต่อไปในอานาคตเราอาจจะเห็นการตั้งเมืองใหม่ที่เป็นศุนย์กลางของโลกอยู่ที่ ประเทศอีรัก ก็คงไม่ต้องแปลกใจ) แม้แต่ในพระธรรมวิวรณ์ก็พูดถึงเมืองนี้ และท้ายที่สุดพระเจ้าก็ทรงทำลายเมืองนี้ลงเสีย

    ในปฐก.บทที่ 11 ได้พูดถึงหอบาเบล ซึ่งเราจะมาดูกันต่อไป คำว่า Babel มาจากรากศัพท์สองคำ Baa หมายถึง “ประตู” และคำว่า El หมายถึง พระเจ้า จึงมีความหมายในตัวว่า “ประตูแห่งพระเจ้า”

    ยังมีอีกคำหนึ่งในภาษาฮีบรู Balal แปลว่า “ความวุ่นวาย” พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงสถานการณ์ในสมัยนั้นในข้อ 2-4 เราเห็นว่า มนุษย์ร่วมมือกัน และรวมกันเป็นพันธมิตรให้เป็นน้ำใจเดียวกันเพื่อจะกระทำการสร้างเมือง ซึ่งมีองค์ประกอบ 3 สิ่งในการสร้างคือ
    1) นิมิตสำหรับสร้างเมือง
    2) ความต้องการมีชื่อเสียง
    3) แผนงานสำหรับศาสนาใหม่
    หลังจากที่เราเรียนรู้มาบ้างเกี่ยวกับนิมโรด วัตถุประสงค์สำคัญในการสร้างเมือง และหอไม่ได้มาจากการสร้างเพื่อพระเจ้า เหมือนอย่างที่เมืองเยรูซาเล็มเป็น แต่เป็นเมืองสำหรับสง่าราศีของมนุษย์ เมื่อเราสังเกต คำว่า “มาเถิด” ในข้อ 3 ของมนุษย์ หัวใจของสิ่งนี้ได้เห็นชัดจากคำว่า “ให้เราสร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง มิฉะนั้นเราจะต้องกระจัดกระจายไปทั่วแผ่นดินโลก” สิ่งนี้แสดงถึงความกลัวที่เขามีอยู่ เขาตระหนักแล้วว่า มีแรงผลักดันเขาให้แยกจากกัน เขากลัวว่าถ้าเขาแยกออกเป็นกลุ่มเล็กๆ กัน เขาจะไม่ได้เกียรติ ไม่เป็นที่รู้จัก ไม่มีชื่อเสียง และจะถูกลืมไป ความกลัวนี้ทำให้เขาสร้างเมืองและหอ เพื่อสื่อไปถึงความลี้ลับในสวรรค์ แรงผลักดันหลักนี้ ได้แสดงออกมาในคำว่า “ให้เราสร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง” จนทุกวันสิ่งนี้เป็นภาษิตหลักๆ ในใจของมนุษย์ เห็นได้จากตัวอย่างในตึกสำคัญๆ ตามที่สาธารณะ ที่จะติดป้ายของผู้มีอำนาจหรือ ตำแหน่งสูง นี่เป็นความคิดทางปรัชญาจของพวกที่เอาตัวเองเป็นใหญ่ ซึ่งมันไม่ใช่แค่ความต้องการที่จะมีชื่อเสียงแต่ยังมีความต้องการที่จะเป็นอิสระจากพระเจ้าด้วย เราไม่สามารถลืมได้ว่า พระลักษณะของพระเจ้านั้น พระองค์ให้ความสำคัญกับความหมายของชื่อมาก ไม่ว่าจะเป็นชื่อของ อดัม, อับราฮัม, อิสราเอล, หรือแม้แต่พระเยซู
    แต่วัตถุประสงค์ของพระเจ้านั้น ให้เราดูในปฐมกาล 1:28 และ 9:17

    การที่มนุษย์มักจะก่อตัวรวมกันอยู่ในเมืองใหญ่นั้น แสดงถึงความต้องการของมนุษย์ เมืองใหญ่ๆ มักเป็นที่หาความพอใจทั้งกายและใจ และเป็นศูนย์กลางของความเพลิดเพลิน การค้า ธุรกิจ ความสวยงาม ดนตรี ศิลปะ ความจริงแล้วพระเจ้ามีพระประสงค์ที่จะให้มนุษย์อยู่รวมกันในเมืองบรมสุขเกษมของพระองค์ในที่สุด ฮีบรู 11:10 กล่าวไว้ว่า “อับราฮัมได้เฝ้ารอคอยนครที่ตั้งบนรากฐาน ซึ่งพระเจ้าทรงเป็นนายช่าง และทรงเป็นผู้สร้าง” แต่ตราบใดเท่าที่มนุษย์มีความปาบ มนุษย์ยังไม่พร้อมที่จะอยู่เป็นสุขในรูปแบบนี้ จนทุกวันนี้เราเห็นได้ว่าเมืองใหญ่ๆ มักมีปัญหามากที่สุด มีมาตรกรรมมาที่สุด มีบาปหนาที่สุด

    หอบาเบล เป็นหอที่ถูกสร้างมาเพื่อศาสนา แล้วก็ยังถูกสร้างขึ้นมาเพื่อที่จะสร้างชื่อเสียงให้มนุษย์เอง มันได้เผยแรงผลักดันยิ่งใหญ่เบื้องหลังศาสนา มันเป็นวิธีการที่มนุษย์พยายามที่จะแบ่งส่วน สง่าราศีจากพระเจ้า เราต้องเข้าใจสิ่งนี้มิฉะนั้นเราจะไม่มีวันเข้าใจพลังอำนาจของการมีศาสนา ที่ได้แทรกซึมไปทั่ววัฒนธรรมของมนุษย์ตั้งแต่นั้นมา เป็นวิธีที่มนุษย์แสวงหาการแบ่งส่วนกับสิ่งที่พระเจ้าผู้เดียวมีสิทธิ์ เพราะว่าหอนี้เป็รสิ่งกอสร้างขนาดมหึมา เราจึงไม่ต้องสงสัยว่า ถ้าเป็นเจตนาที่มนุษย์จะยกย่องพระเจ้า เขาคงติดป้ายในนั้นสักแห่งในหอนั้น ซึ่งอาจจะมีคำคล้ายอย่างนี้ ....
    “...ถูกสร้างมาในปี... เพื่อพระสิริองพระเจ้า” แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เพื่อพระสิริของพระเจ้า มันเป็นทางที่จะควบคุมพระเจ้า มันเป็นวิธีที่จะให้พระเจ้าเข้าร่อง โดยใช้พระองค์สำหรับสง่าราศีของมนุษย์ และนั้นเป็นสิ่งซึ่งศาสนาของมนุษย์พยายามทำเสมอ เป็นวิธีที่บังคับให้พระเจ้าเข้ามาทางมนุษย์ (ดู ดาเนียล 4:30)

    เราพบได้ว่าพวกเขามีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการขัดคำสั่งของพระเจ้า ใน ปฐก 10:5-7 แล้วพระเจ้าทรงกระทำต่อเขาให้มีภาษาวุ่นวายต่างกันไป ซึ่งจะสังเกตได้จากคำว่า “มาเถิด” ของพระเจ้า แล้วลองดูผลการกระทำของพระเจ้าในข้อ 8 เราจะสังเกตถึงความแตกต่างของคำว่า “มาเถิด” ในเรื่องนี้ “มาเถิด” คำแรก พูดโดยมนุษย์ต่อมนุษย์เพื่อต่อต้านพระเจ้า ส่วน “มาเถิด” คำที่สอง ตรัสโดยพระเจ้าต่อพระองค์เอง เพื่อต่อต้านมนุษย์.....
    ส่วนคำว่า “มาเถิด” ครั้งที่สาม พระเจ้าได้ตรัสกับมนุษย์ เพื่อมนุษย์จะได้รับประโยชน์

    “พระเจ้าตรัสว่า มาเถิด ให้เราสู้ความกัน ถึงบาปของเจ้าเหมือนสีแดงเข้มก็จะขาวอย่างหิมะ ถึงมันจะแดงอย่างผ้าแดง ก็จะกลายแนอย่างขนแกะ”(อิสยาห์ 1:18)

    “บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลาย หายเหนื่อยเป็นสุข” (มัทธิว11:28)

    “พระวิญญาณและเจ้าสาวตรัสว่า “เชิญมาเถิด” และให้ผู้ที่ได้ยินคำกล่าวว่า “เชิญมาเถิด” และให้ผู้กระหายเข้ามา ผู้ใดมีใจปรารถนา ก็ให้ผู้นั้นมารับน้ำแห่งชีวิต โดยไม่ต้องเสียอะไรเลย” (วิวรณ์22:17)

    เมื่อมนุษย์คิดจะสร้างหอเทียมฟ้า ไม่ใช่เพื่อพระเจ้า แต่เพื่อชื่อเสียงของตัวเอง เมื่อมนุษย์ขึ้นไป พระเจ้าก็เสด็จลงมา แต่ไม่ใช่การพบกันในฐานะมิตรสหาย เพราะมีเป้าหมายคนละอย่าง พระเจ้ามีพระประสงค์กีดกั้นไม่ให้ความชั่วทวีคูณ จึงได้ทำลายความเป็นหนึ่งเดียวกันของมนุษย์ ให้แตกแยกกันเป็นหลายชาติหลายภาษา ไม่ให้มนุษย์มีเอกภาพที่จะทำผิดบาป เอกภาพมีอำนาจแต่เมื่อแตกแยกกันทำให้อ่อนแอลง ตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบันชาวโลกจึงไม่สามารถเข้ากันได้ หรือคืนดีเป็นชาติเดียว พระเจ้าทรงกำหนดเวลาและขอบเขตของมนุษย์ เพื่อจะไม่ให้มีใจเดียวในการกบฐต่อพระเจ้า

    “พระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์ทุกชาติ สืบสายโลหิตอันเดียวกันให้อยู่ทั่วพิภพโลก และได้ทรงกำหนดเวลาและเขตแดนให้เขาอยู่ เพื่อเขาจะได้แสวงหาพระเจ้าและมุ่งหวังจะคลำหาให้พบพระองค์ ที่จริงพระองค์มิทรงอยู่ห่างไกลจากเราทุกคนเลย” กิจการของอัครทูต 17:26-27

    ที่มา: http://www.jaisamarn.org/webboard/
    อ่านบทปฐมกาลเพิ่มเติม:http://www.christianthai.net/geneTH.html


    เห็นได้ชัดว่า คนสมัยก่อนสามัคคีกัน (ถึงจะในเรื่องไม่ดี)แต่ตอนนี้คนสมัยนี้เป็นยังงัยกันทะเลาะกันตลอด
     

แชร์หน้านี้