เรื่องเด่น อดีตที่ผ่านพ้น ตอนที่ ๒๗ : ความรู้สึกช้า

ในห้อง 'อดีตที่ผ่านพ้น' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 1 สิงหาคม 2019.

  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,269
    ค่าพลัง:
    +25,991
    27.jpg
    อดีตที่ผ่านพ้น ตอนที่ ๒๗ : ความรู้สึกช้า

    ตอนเป็นวัยรุ่นอาตมาเป็นคนเลือดร้อน เจ้าโทสะ ใครพูดผิดหูเป็นได้เรื่อง ไม่ต้องถึงพูดหรอก บางทีแค่มองหน้าก็ได้เรื่องแล้ว ไม่มีคนมาหาเรื่อง เราก็ไปหาซะเอง ฟาดกันจนปากปลิ้นเป็นครุฑ กินน้ำพริกไม่ได้ ค่อยนอนหลับหน่อย...!

    ต่อมาเมื่อฝึกกรรมฐานกับ "หลวงพ่อ" แล้ว ก็พยายามใช้กำลังใจข่มโทสะ ตามที่ "หลวงพ่อ" เมตตาสอนว่า “แรก ๆ เรายังละโทสะไม่ได้ ให้พยายามขังมันเอาไว้ เหมือนขังเสือไว้ในอก อย่าให้ความเลวมันไหลออกมาทางกายหรือวาจาได้”...

    ยิ่งไปพบการฝึกแบบทหาร ถูกกลั่นแกล้งตลอดเวลา เพื่อทดสอบความอดทนอดกลั้น จากเช้ายันค่ำ ค่ำยันเช้าเป็นปี ๆ จิตใจก็เริ่มหนักแน่นขึ้น มีความอดกลั้นต่อเรื่องราวต่าง ๆ มากขึ้นตามลำดับ อารมณ์ใจอยู่กับการภาวนาจนเคยชิน...

    หลักสูตรจู่โจมเขาสอนวิธีฆ่าและทำลายล้างทุกรูปแบบ อาวุธทุกชนิดตั้งแต่เข็มเย็บผ้าขึ้นไป ต้องใช้ฆ่าคนได้ทุกอย่าง อาตมาจึงเกิดสลดใจขึ้นมาว่า ชีวิตคนช่างน้อยนิดเหลือเกิน แค่กระดิกนิ้วก็ตายเสียแล้ว เกิดอารมณ์สงสารขึ้นมาจับใจ....

    เวลาเห็นวัยรุ่นยกพวกตีกัน ปกติชอบผสมโรงเป็นที่หนึ่ง อัดมันทั้งสองฝ่ายนั่นแหละ...!แต่มาถึงตอนนี้ กลับคอยเลี่ยงห่าง ๆ เข้าไว้ เรามันคนมือไม้หนัก ฉวยพลาดพลั้งลงมือไปตามความเคยชิน จะกลายเป็นฆาตกรไปซะเปล่า ๆ...!

    ในซอยที่อาตมาอยู่ มีวัยรุ่นแสบ ๆ อยู่หลายกลุ่ม คอยระรานชาวบ้านเขาไปทั่ว ไม่มีใครกล้าเอาเรื่องกับมัน นอกจากอาตมากับพี่น้องเท่านั้น ตอนนั้นอาตมาเพิ่งออกจากราชการได้ไม่นาน ส่วนน้องแสงชัยเป็นครูฝึกของเหล่าราบอากาศอยู่...

    “ตามธรรมเนียมไทยแท้แต่โบราณ ใครมาถึงเรือนชานต้องต้อนรับ อย่างดีเลิศตามมีและตามเกิด ให้เพลินเพลิดกายากว่าจะกลับ” ผู้ใหญ่ท่านสอนไว้ คนว่าง่ายอย่างอาตมากับพี่น้อง จึงต้อนรับผู้มาหาเรื่องอย่างประทับใจ หามกันร่องแร่งกลับไปทุกที...!

    ได้รับการต้อนรับอย่างดีทุกครั้ง พวกเขาเลยมากันบ่อย ไม่ว่าจะเป็นหนึ่งต่อสี่ ตัวต่อตัวมีรุม หรือวันบายกลุ่ม โดนมาแล้วทั้งนั้น ครั้งที่หนักที่สุดคือ สองต่อสามสิบ เล่นยกขบวนปิดซอยกันเลย...เป็นไรมี...มาเท่าไหร่ก็ยินดีต้อนรับ...!

    คนที่ผ่านการฝึกมาโดยเฉพาะ กับคนที่มีแต่แรงกับความคะนอง มันห่างกันสุดกู่ ต่อให้มามากเท่ามาก พอคนหน้าลงไปนอนอมยิ้มสัก ๒-๓ คน ที่เหลือก็แตกฮือทั้งขบวน ในที่สุดก็ฝากเอาไว้ก่อน คราวหน้ามาใหม่ เลยได้ดอกทบต้นหนักเข้าไปอีก...!

    เป็นอย่างนี้มาตลอด แต่ไม่มีเสียละที่จะเข็ด พอรวบรวมขวัญและกำลังใจได้ บวกกับได้แรงยุจากเพื่อน ๆ ก็แห่กันมาอีก ส่วนใหญ่จะเป็นพวกหน้าใหม่ ๆ พวกเก่าที่รู้รสมือรสเท้าดีแล้วมักจะนกรู้ คอยหลบอยู่ห่าง ๆ เป็นฝ่ายยุลูกเดียว...!

    อาตมาขอชมเชยวัยรุ่นประจำซอยทุกคนว่า มีความเป็นลูกผู้ชายดีมาก ไม่ยอมใช้เครื่องทุ่นแรงแบบซอยอื่นเขา อย่างดีก็แค่สนับมือ หนักหน่อยก็มีดหรือคมแฝก ของหนักประเภทปืนหรือระเบิด ไม่เคยเห็นใช้แบบซอยอื่นเขา (อาจจะกลัวเจอไอ้ที่หนักกว่า…!)

    คืนหนึ่ง....อาตมาสะดุ้งตื่นกลางดึกด้วยเสียงตะโกน และเสียงถีบประตูโครม ๆ แอบดูก็เห็น “ขาใหญ่” ประจำซอย กำลังอาละวาดอยู่ด้วยความเมา แค่นี้ไม่หนักใจหรอก แต่ที่เสียวไส้ยิ่งกว่านั้นคือ พี่ประสิทธิ์ที่ยืนเงียบที่ข้างประตู ในมือถือดาบเปลือยคมขาววับ...!

    ขืนปล่อยไว้คงมีข่าวหน้าหนึ่งเป็นแน่ อาตมารีบเปิดประตูออกไป ยกมือไหว้ขอร้องให้เขากลับไป อย่ามาท้าตีท้าต่อยเลย อาตมาไม่สู้หรอก พยายามพูดให้พวกเขาได้ยิน เพราะรู้ดีว่าพวกนี้ไม่เคยไปเดี่ยว ตามมุมมืดต้องมีพรรคพวกของเขาแอบอยู่อย่างแน่นอน...!

    เจอไม้นวมเข้าคงคาดไม่ถึงเลยยอมกลับไป นึกว่าหมดเรื่องแล้ว กำลังจะเข้านอนก็ต้องลุกขึ้นมาใหม่ เพราะเสียงท้าทายดังขึ้นอีกแล้ว เฮ้อ....กูละเบื่อ มันอยากเจ็บตัวซะจริง ๆ ออกไปเป็นทูตสันติอีกครั้ง ใจเกาะคำภาวนาแน่น เย็นเหมือนซุกน้ำแข็งไว้ในอก...!

    แต่คราวนี้ขาใหญ่ไม่ฟังเสียง ด่าพ่อล่อแม่ หยาบคายฟังไม่ได้ จนถึงประโยคสุดท้ายที่ว่า “ถุย…!ทหารมันจะแน่ซักแค่ไหนวะ...?” อาตมาก็ถูกดึงออกด้านข้าง น้องแสงชัยนั่นเอง ออกมาตอนไหนไม่รู้ บอกสั้น ๆ ว่า “ผมเอง…!”

    ตูมแรกคือแข้งขวาพาดเข้าทัดดอกไม้ ฝ่ายตรงข้ามโค่นเหมือนท่อนซุงผุ ๆ แต่ไม่ได้ลงถึงพื้น เพราะแข้งซ้ายหวดรับเข้าที่ชายโครง จากนั้นก็เป็นการเตะเลี้ยงไม่ให้ล้ม พรรคพวกของมันกรูกันออกมา แต่ชะงักเมื่ออาตมาบอกว่า “อยากเจ็บตัวบ้างก็เข้ามา…!”

    น้องแสงชัยเตะไปสั่งสอนไป แต่อีกฝ่ายจะซึมซับได้เท่าไรไม่รู้...? เนื่องเพราะรับประทานแข้งแทบรากเลือด พอเลิกเตะก็กองกับพื้นเหมือนผ้าขี้ริ้ว อาตมาต้องแบกมันไปส่งถึงบ้าน ตอนกลับมาแล้วนี่ซิ มันโกรธจนสั่นไปทั้งตัว “รู้อย่างนี้กูเตะซะเองก็ดีหรอก…!”

    ความโกรธเหมือนน้ำป่าบ่าไหล ทะลักทลายมาอย่างควบคุมไม่อยู่ พยายามภาวนามันก็ไม่เอาด้วย อีตอนมันอยู่ไม่รู้สึก เสือกมาโกรธตอนนี้ หาที่ระบายไม่ได้ซะด้วย กรรมฐานพังไปหลายวัน ความรู้สึกช้าแบบนี้ไม่ค่อยดีเลยแฮะ…!

    ๒ มีนาคม ๒๕๓๓
    พระใบฎีกาเล็ก สุธมฺมปญฺโญ

    ที่มา www.watthakhanun.com
    ภาพประกอบโดย สำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี
    #๖๐ปีพระครูวิลาศกาญจนธรรม
     

แชร์หน้านี้

Loading...