อดีตที่ผ่านพ้น ตอนที่ ๒ : วิเวกใต้บาดาล

ในห้อง 'อดีตที่ผ่านพ้น' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 20 มิถุนายน 2019.

  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,731
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,269
    ค่าพลัง:
    +25,991
    2.jpg
    อดีตที่ผ่านพ้น ตอนที่ ๒ : วิเวกใต้บาดาล

    คำว่า "วิเวก" แปลว่า ความสงัด มีอยู่สามประการคือ

    กายวิเวก ความสงัดทางกาย
    จิตวิเวก ความสงัดทางใจ
    อุปธิวิเวก ความสงัดจากกิเลส

    ทั้งสามประการนี้ เกี่ยวเนื่องกันเป็นลูกโซ่คือ ความสงัดทางกาย (วาจาด้วย) พาให้เกิดความสงัดทางใจ เมื่อใจสงัดกิเลสเกิดขึ้นมาไม่ได้ ก็นับเป็นการสงัดจากกิเลสไปด้วย....

    ผู้ปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นจริง ๆ จะแสวงหาความวิเวกทั้งสามประการ ชนิดเอาชีวิตเข้าแลกทีเดียว แต่ความสงบสงัดนั้นใช่ว่าจะไขว่คว้าหามาโดยง่าย ที่ใดกล่นเกลื่อนด้วยหมู่ชน ที่นั้นย่อมหาความสงบได้ยาก... ดังนั้น...พระท่านจึงมักหลีกหนีจากหมู่คน ธุดงค์ไปตามป่าตามเขา แสวงหาความวิเวกจากธรรมชาติ กระนั้นก็ดี จิตที่ปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลาก็หาได้สงบลงง่าย ๆ ไม่ ต้องทรมานกันขนาดหนักจึงจะพอควบคุมไหว...

    เมื่อเจ้าตัวกิเลสต้องพบกับการทรมานจึงยอมก้มหัวให้ บรรดาผู้มุ่งความสงบจึงหันหน้าเข้าสู่ป่า อาศัยภัยจากสัตว์ร้าย ภูติผีปีศาจ ช่วยปราบปรามกิเลสให้สงบลงบ้าง ถ้าไม่สงบก็ให้มันตายไปเลย...สภาพจิตของคนเรา ถ้าไม่มีที่ให้กลัวเกรงแล้ว ก็มักโลดโผนโจนทะยาน ขึ้นฟ้าลงดินไปตามแต่มันต้องการ เมื่อพบภัยอันตรายเข้า ความกลัวตายก็ทำให้มันเลิกดิ้นรน รีบกลับมาภาวนาเป็นการใหญ่...

    การภาวนาโดยไม่ต้องบังคับ จิตใจก็ดิ่งสู่ความสงบวิเวกโดยเร็ว ดื่มด่ำกับความสุขของจิตที่สงัดจากกิเลส "สุโข วิเวโก" ความสงัดนี้เป็นสุขจริงหนอ... แล้วความสงบวิเวกหาได้จากในป่าเท่านั้นหรือ...? หามิได้...ที่ใดก็ตามที่เราทรงอารมณ์ภาวนาไว้ได้ ที่นั้นล้วนแต่เป็นที่สงัด เพียงแต่ว่าสภาพจิตต้องฝึกมาดีพอ จึงจะปักลงสู่ความสงบได้ในทุกที่....

    อาตมาพบกับความสงบวิเวกครั้งแรกนั้น เป็นเพียงเด็กน้อยที่อายุ ๕-๖ ขวบ แต่ความสงบสุขที่ได้รับนั้น มันดื่มด่ำลึกซึ้งจนบอกไม่ถูก ทำให้จำเหตุการณ์ได้แม่นยำ ความวิเวกคราวนั้นเป็นฉันใด...? ขณะนั้นเป็นหน้าฝน คูน้ำริมถนนที่ลึกเกือบสองเมตรน้ำกำลังเปี่ยมฝั่ง อาตมากับพี่น้องวัยซนทั้งหลาย ลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า ต้องทำแพหยวกกล้วยเล่นกัน.... เริ่มจากตัดต้นกล้วยขนาดเท่า ๆ กันมา ๕-๖ ท่อน จัดเรียงให้เป็นระเบียบ เอาหลาวไม้ไผ่ตอกติดกันเป็นแพ ในสายตาผู้ใหญ่แล้วทำแสนจะง่าย แต่กับเด็ก ๆ อย่างเราแล้ว มันเป็นผลงานชิ้นมโหฬารเลยทีเดียว.... ทั้งผลักทั้งดันแพลงไปในน้ำ หาไม้มาทำเป็นถ่อ แล้วทโมนทั้งฝูงก็ลงไปแออัดอยู่บนแพ ทั้งที่ว่ายน้ำไม่เป็นเลยสักคน แต่ขอให้ได้เล่นเถอะ เรื่องจมน้ำตายไม่ต้องคิดถึง.... ปกติต้นกล้วยก็ลื่นอยู่แล้ว มาเปียกน้ำเข้าก็ยิ่งลื่นหนัก จังหวะที่อาตมาดึงถ่อขึ้นจากโคลนนั่นเอง...ก็พลาดท่าลื่นตกน้ำดังตูมใหญ่ จมหายไปในห้วงน้ำที่ขุ่นข้น และมืดมิด...!

    น่าประหลาด...ในความมืดอันเย็นเฉียบนั้น อาตมารู้สึกสงบเยือกเย็นสุขสบายจนบอกไม่ถูก เลยนั่งเงียบอยู่ใต้น้ำ ดื่มด่ำกับความสุขที่ได้รับ โดยไม่คิดดิ้นรนขึ้นไปแบบคนตกน้ำทั้งหลาย... เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่รู้...อาตมารู้สึกตัวเมื่อมีมือควานมากระทบ ดึงผมสั้น ๆ ของอาตมาจนตัวลอยขึ้นเหนือน้ำ...พี่มุกดานั่นเอง...กำลังนอนพังพาบบนแพ และควานไปพบดึงอาตมาขึ้นมา... ทุกคนตกใจหน้าซีดปากสั่น การล่องแก่งมหาภัยเลิกล้มไปโดยปริยาย ไม่มีใครบอกพ่อแม่ให้ถูกฟาดก้น อาตมาเงียบขรึมเป็นพิเศษ เพราะความรู้สึกยังดื่มลึก ติดอกติดใจกับความสงัดที่ได้รับ... จนบัดนี้อาตมายังนึกไม่ออกว่า ทำไมเกือบ ๑๐ นาทีใต้น้ำนั้น อาตมาจึงรู้สึกหายใจได้สบาย ๆ เป็นการหายใจทางไหน...? ทำไมถึงไม่ตกใจ...? ใครสามารถเดาได้โปรดเมตตาเฉลยให้ด้วย...

    ชีวิตนี้เป็นของน้อย จะสลายไปยามใดก็ไม่แน่ ขอทุกท่านเร่งทำความดี เพื่อเป็นทุนไปสู่จุดหมายในภพหน้ากันเถิด...

    ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓
    พระใบฎีกาเล็ก สุธมฺมปญฺโญ

    ที่มา www.watthakhanun.com
    ภาพประกอบโดย สำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี

    #๖๐ปีพระครูวิลาศกาญจนธรรม
     

แชร์หน้านี้

Loading...