อดีตที่ผ่านพ้น ตอนที่ ๓๗ : เมตตาธรรมค้ำจุนโลก

ในห้อง 'อดีตที่ผ่านพ้น' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 18 สิงหาคม 2019.

  1. iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,526
    ค่าพลัง:
    +26,366

    อดีตที่ผ่านพ้น ตอนที่ ๓๗ : เมตตาธรรมค้ำจุนโลก

    "หลวงพ่อ" บอกว่า การจะปลุกเสกเครื่องรางของขลังให้มีอานุภาพทางมหาอุตม์ หรือแคล้วคลาดคงกระพันชาตรี นั้นไม่ใช่ของยาก ที่ยากคือผลทางเมตตา เพราะว่าเมตตาต้องกลั่นออกมาจากใจของผู้เสกจริง ๆ ไม่อย่างนั้นก็ไม่เป็นผล...

    ในด้านการปฏิบัติธรรมนั้น เมตตาพรหมวิหารเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย เพราะเป็นตัวหล่อเลี้ยงจิตใจให้ชุ่มชื่นเบิกบานอยู่เสมอ อารมณ์กรรมฐานจะก้าวหน้าหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับตัวเมตตานี่แหละ (ไม่ขึ้นไม่ได้เหรอ...มันยากนะ...)

    ภิกษุคือผู้ปราศจากเวรภัยกับใครทั้งปวง ท่านทั้งหลายเหล่านั้น รอดพ้นจากอันตรายนานัปการมาได้ ด้วยอาวุธที่องค์สมเด็จพระทศพลทรงประทานไว้ให้ คือเมตตาพรหมวิหารนี่เอง ไปไหนก็ปราศจากทุกข์ภัยกับใคร มีแต่ความสงบเย็นใจแก่คนและสัตว์ทั้งโลก...

    ในสมัยพุทธกาล...มีภิกษุหมู่หนึ่งไปจำพรรษาอยู่ในป่า ครั้นออกพรรษาก็พากันมาเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงตรัสถามถึงความทุกข์สุขว่าเป็นไฉน ภิกษุหมู่นั้นกราบทูลว่า “แรก ๆ อยู่ในป่าอย่างมีความสุข แต่พอนานไปถูกเหล่าอมนุษย์เบียดเบียนให้หวาดสะดุ้งอยู่เสมอ พระพุทธเจ้าข้า...”

    พระพุทธองค์ทรงมีพระดำรัส สั่งให้ภิกษุทั้งหลายกลับไปยังป่าแห่งนั้นอีก พร้อมกับมอบอาวุธคือกรณียเมตตสูตรให้ไป ภิกษุทั้งหลายก็ตั้งใจสวดสาธยายกรณียเมตตสูตร พร้อมกับแผ่เมตตาแก่สรรพสัตว์ทั่วหล้า...

    เหล่าอมนุษย์พอได้รับกระแสเมตตาอันชุ่มเย็น ก็กลับใจอ่อนเลิกรังควาน หันมาช่วยกันอุปัฏฐากแก่ภิกษุทั้งหลาย ให้ได้รับความสุขสบายโดยทั่วหน้ากัน...ตั้งแต่นั้นมา ภิกษุทั้งหลายเวลาเข้าไปในป่า หรืออยู่ที่คับขันอันตราย ต่างก็อาศัยความเมตตานี้ พาตนให้พ้นภัยตลอดมา...

    ครั้งพระเทวทัตสมคบกับพระเจ้าอชาตศัตรู วางแผนปลงพระชนม์องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยการจับช้างธนบาลนาฬาคิรีที่ตกมัน กรอกซ้ำด้วยเหล้า ๑๖ ถัง แล้วปล่อยพญาคชสารซึ่งกำลังคลั่ง ตรงเข้าหมายทำร้ายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า...

    ในความโกลาหลของหมู่ชนที่กำลังใส่บาตรองค์สมเด็จพระจอมไตร และภิกษุปุถุชนทั้งหลายที่วิ่งหลบคชภัย พระอานนท์พุทธอนุชาถลันขึ้นขวางหน้า หมายใจว่าจะพลีชีพถวายเป็นพุทธบูชา หากพระพุทธองค์ทรงมีดำรัสว่า “อานนท์..เธอจงหลีกไป..!” แล้วทรงหันไปเผชิญหน้ากับจอมคชสาร ที่ห้อตะบึงเข้ามาดุจฟ้าถล่ม ด้วยหมายใจที่จะบดขยี้ทุกอย่างที่ขวางหน้า

    องค์สมเด็จพระบรมศาสดาทรงแผ่เมตตาต่อพญาคชสาร ด้วยจิตที่ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว กระแสแห่งพระเมตตาอันเย็นใจแผ่ซ่านไปทั่วสากลจักรวาล... กระแสแห่งพระเมตตาอันเย็นฉ่ำ อาบชโลมดวงจิตอันเร่าร้อนของพญาคชสาร ดุจดั่งอุทกธารอันดับซึ่งเปลวไฟ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีหวนคืนมาครบถ้วน...

    ท่ามกลางความอกสั่นขวัญหายของหมู่ชนทั้งหลาย สายตาทุกคู่ก็ได้เห็นร่างใหญ่โตปานขุนเขา ทรุดลงแทบเบื้องยุคลบาท ใช้งวงโอบกอดพระบาทเอาไว้ ประดุจดังจะกราบขออโหสิกรรม...!

    ดีใจที่ไม่ได้ประกอบอนันตริยกรรมอันสาหัสสุดแสน เสียใจที่แสดงกิริยามุ่งร้ายต่อองค์สมเด็จพระบรมศาสดา พญาช้างแสนรู้คร่ำครวญปริเทวนาการ ยิ่งพระหัตถ์อันเปี่ยมล้นด้วยพระเมตตา ปรามาสอยู่เหนือกระพองแห่งตน น้ำตาก็ยิ่งรวงหล่นลงพร่างพรู...!

    กระทั่งพระสุรเสียงกังวานว่า “นาฬาคิรี...จงกลับคืนที่อยู่ของเธอเถิด” ร่างมหึมาที่อยู่ในคราบคชสาร แต่ดวงจิตแสนรู้ยิ่งกว่ามนุษย์ ก็กลับหลังหันดุ่มเดินกลับคืนสู่โรงช้างหลวงอย่างว่าง่าย บัดนั้นเอง เสียงแซ่ซ้องสาธุการ ก็ดังกระหึ่มจนพสุธากาศสะท้านสะเทือน...!

    “...เมตฺตมฺพุเสกวิธินา ชิตวามุนินฺโท พระจอมมุนีทรงชนะแล้วด้วยพระเมตตาอันยิ่งล้น...”

    ในคราวที่พระนางมัลลิกาเทวี พระมเหสีแห่งพระเจ้าปเสนทิโกศล จัดถวายอสทิสทานต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีการใช้ช้าง ๕๐๐ เชือกทำการกั้นกลดถวายต่อภิกษุทั้งหลาย ในจำนวนช้างทั้งหมดนั้น จำเพาะให้มีอยู่เชือกหนึ่งที่กำลังตกมันอยู่...!

    จะไม่ใช้ก็ขาดไปไม่สมบูรณ์ จะใช้ก็เกรงอันตรายจะเกิดต่อพระภิกษุสงฆ์ พระพุทธองค์ทรงมีดำรัสให้นำช้างเชือกนั้น ไปกั้นกลดถวายพระองคุลิมาลเถระ อโห...จะถึงคราวที่ผลกรรมตามสนองแล้วกระมัง...?

    ท่ามกลางการหายใจไม่ทั่วท้องของเจ้าภาพและภิกษุที่เป็นปุถุชน พญาช้างตกมันใช้งวงจับกลดกั้นถวายต่อพระมหาเถระ ยืนนิ่งไม่กระดุกกระดิก อย่างกับเป็นรูปปั้นช้างก็ไม่ปาน ภิกษุปุถุชนถามพระมหาเถระว่า “รู้สึกอย่างไรที่มีช้างตกมันยืนอยู่ข้างหลัง..?”

    พระมหาเถระตอบว่า “รู้สึกเพียงว่า เรามีความรักต่อเขา เขาก็มีความรักต่อเรา” นั่นเป็นคำตอบที่เปี่ยมล้นด้วยเมตตาเพียงใด ความรักความปรารถนาดีต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายในใต้หล้า เห็นเขาเป็นเพื่อนร่วมทุกข์เกิด แก่ เจ็บ ตาย หาใช่ศัตรูแต่อย่างใดไม่...

    บรรดาสัตว์ทั้งหลายมีประสาทสัมผัสที่หกไวมาก เขาจะรับรู้ได้ทันทีว่า บุคคลใดควรที่จะไว้วางใจ พระภิกษุสงฆ์ผู้เปี่ยมล้นด้วยเมตตา บรรดาสัตว์ทั้งหลายต่างผูกพันรักใคร่ท่านเป็นพิเศษ มีเรื่องเล่าขานกันมากมาย ตัวอย่างเช่น...

    สมเด็จพระสังฆราช (สุก) วัดพลับ สามารถเรียกไก่ป่าที่แสนเปรียวให้มาหาท่านได้ หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติการาม อยุธยา ออกบิณฑบาตแต่ละที มีกามาจับเรือเป็นฝูง รอให้ท่านแบ่งอาหารให้ หลวงพ่อเขียน วัดสำนักขุนเณร พิจิตร ในวัดสมัยท่านอยู่ เหมือนกับเป็นสวนสัตว์กลาย ๆ ทั้ง ช้าง ม้า วัว ควาย กวาง จระเข้ เต็มไปหมดหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ นครสวรรค์ มีช้างทั้งโขลงมาคอยช่วยงาน...

    มาจนถึงสมัยปัจจุบัน หลวงปู่มหาอำพัน (พระภาวนาปัญญา วิสุทธิ์) วัดเทพศิรินทราวาส ก็มีกระรอกทั้งใหญ่เล็ก มาขออาหารจากท่านแต่ละวันเป็นสิบ ๆ ตัว มาถึงที่ใกล้ตัวที่สุดคือหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ) ท่านเลี้ยงหมาไว้มากมาย เฉพาะตึกที่ท่านพักตึกเดียวมีมากกว่า ๑๘๐ ตัว เวลาหลวงพ่อเข้าออกแต่ละที พ่อเจ้าประคุณห้อมล้อมกันทั้งกองทัพ ใครแหลมเข้าไปผิดท่ามีหวังแหลกแน่...!

    "หลวงพ่อ" ท่านเล่าว่า เวลาออกธุดงค์ให้ตั้งใจแผ่เมตตาให้ดี จะปลอดภัยจากสัตว์ร้ายทั้งปวง ท่านเองนั้น ถึงขนาดมีช้างมาเป็นองครักษ์ให้ ลิงเอาผลไม้มาแบ่งถวาย เสือโคร่งตัวเกือบเท่าม้า มานั่งลูบหนวดฟังท่านคุยกัน งูมาขดเป็นหมอนให้หนุนนอน...ฯลฯ “ก็ไม่มีอะไรมาก ใช้คาถาเมตตาบทเดียวเท่านั้น...”...

    ฮ้า...อาตมาฟังแล้วตาลุก เรื่องคาถานี่ของโปรดเลย รีบกราบเรียนถามท่านว่า จะเมตตาถ่ายทอดให้ได้หรือไม่..? "หลวงพ่อ" ก็เมตตาเหลือล้น บอกให้ตั้งใจจำ (ไม่ให้จด) คาถาว่าดังนี้...“พระอะระหัง สุคะโต ภะคะวา นะ เมตตาจิต”

    "หลวงพ่อ" ท่านบอกว่าเป็นคาถาของหลวงพ่อแช่ม วัดฉลอง ภูเก็ต ให้ตั้งใจภาวนาไว้ รับรองว่าเวลาธุดงค์ จะไม่มีอันตรายใด ๆ มาแผ้วพานแน่นอน “ที่สำคัญคือ ถ้าทรงเมตตาบารมีได้ไม่บกพร่อง การขอข้าวเทวดากิน เป็นเรื่องกล้วย ๆ...”

    น่าน...ล่อให้นึกอยากหนักเข้าไปอีก กราบเรียนถามท่านว่า ต้องทรงอารมณ์เมตตาขนาดไหน เทวดาจึงจะให้ข้าวกิน “อย่างน้อยต้องทรงให้ได้ตลอดสามวัน ครบสามวันได้กินแน่ ถ้าพร่องแม้แต่วินาทีเดียวเป็นอด...!” โอ๊ย...ทำไมมันยากนักละครับ...?

    ยากเป็นยากซีน่า...ตั้งหน้าตั้งตาแผ่เมตตาทันที อารมณ์จิตเยือกเย็นชุ่มชื่น เห็นคนเห็นสัตว์มันยิ้มกับเขาได้ไปซะหมด ไม่มีอะไรยิ้มกับถนนก็ยังเอา (อาการหนักแล้ว...!) วันแรกรู้สึกสบายมาก วันที่สองชักเป๋แล้ว มันหนักขึ้น...หนักขึ้น...อย่างกับแบกช้างไว้ตั้งตัว...!

    วันที่สามก็เรียบร้อย...พังครืนไม่เป็นท่า หน้ามุ่ยเข้าไปกราบ "หลวงพ่อ" พอเห็นหน้าท่านหัวเราะ พลางบอกว่า “ไอ้หนูเอ๊ย...คนจะทรงเมตตาพรหมวิหาร จนกินข้าวเทวดาได้ ฌานสี่จะต้องคล่องตัวจริง ๆ ไม่อย่างนั้นไปไม่รอดหรอกลูก...” เฮ้อ...มิน่าล่ะ เล่นเอาปางตายเลย...!

    อยู่มาวันหนึ่ง อาตมาจะไปเยี่ยมโยมแม่ที่ถูกรถชน ท่านไปพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านบางกอกน้อย อาตมาสองจิตสองใจ อยากไปเยี่ยมแม่ก็อยาก แต่กลัวปากคุณน้าที่อยู่ด้วย คุณน้าท่านปากร้ายสาหัส คล้ายกับว่าในโลกนี้ถ้าจะมีคนดีเหลืออยู่บ้าง ก็คงจะเป็นตัวท่านเองนั่นแหละ...

    คนอื่นท่านบ่นได้เป็นบ่น ด่าได้เป็นด่า อาตมาเองโดนซะเบื่อที่จะฟัง ถ้าโผล่หน้าไปให้เห็นรับรองว่าโดนแน่ แต่แม่ก็อยู่ที่นั่นซะด้วย ในที่สุด...นึกถึงคาถาเมตตาของ "หลวงพ่อ" ขึ้นมา อาตมาก็นึกถึงหน้าของคุณน้า พลางว่าคาถาเรื่อยไป...

    ไปถึงเหตุการณ์กลับตาลปัตร คุณน้าคลานเข้ามาหา (อาตมายังเป็นฆราวาสอยู่) ซึ่งปกติแล้วท่านเจ้ายศเจ้าอย่างจะตายไป เรื่องลงทุนคลานนั้นในชีวิตยังไม่เคยเห็น ท่านส่งซองใส่เงินจำนวนหนึ่งให้ พลางบอกว่า...

    “นี่เป็นของแทนดอกไม้ธูปเทียนสำหรับขอขมา อะไรที่น้าเคยล่วงเกินเอาไว้ ขอให้อโหสิกรรมแก่น้าด้วยเถอะนะ...” อาตมายอมรับว่าตกตะลึง ทำอะไรไม่ถูกไปพักใหญ่ จากคนทิฏฐิมานะแรงกล้า ชนิดที่อะไรตนต้องเป็นฝ่ายถูก ทำไมกลายเป็นแบบนี้ไปได้...!?

    หลังจากบวชแล้ว อาตมามีโอกาสบุกเข้าไปในดงดิบดึกดำบรรพ์ เขตติดต่อระหว่างสุโขทัยกับลำปาง ด้วยความไม่เคยทาง เลยหลงไปแทบถึงป่าหิมพานต์ (เปรียบเทียบให้มันเว่อร์น้อยกว่านี้หน่อย...)...

    บุกบั่นไปเรื่อย ๆ ชนิดไปตายเอาดาบหน้า...หลุดจากป่าอ้อลงมาชายน้ำ ป่าไหวครืนอยู่รอบกาย...! ลูกหลานทรพีตัวดำมหึมา ยืนจังก้าเบิ่งใส่อาตมาทั้งฝูง...ตายแน่...ตายแน่...คำภาวนาเหลืออยู่เพียงเท่านี้

    พระกับควายเป็นคู่ศึกกันมาแต่ปางบรรพ์ พระห่มเหลือง ส่วนควายเกลียดสีเหลือง...! พอได้สติอาตมาก็แผ่เมตตาต่อเหล่ามหิงสา เราเป็นเพียงผู้ผ่านทางมา ไม่มีอันตรายใด ๆ ต่อเธอเลย ขอจงช่วยเปิดทางให้แก่เราด้วยเถิด...พออารมณ์ใจตั้งมั่น อาตมาก็เดินฝ่าวงล้อมออกไปหน้าตาเฉย พ้นออกมาได้ก็จ้ำอ้าว ตัวใครตัวมันละเว้ย...!

    ปักกลดค้างคืนกลางหุบเขา สรรพสำเนียงส่ำสัตว์ระงมไพรตั้งใจแผ่เมตตาต่อเจ้าของเสียงทุกเสียงโดยทั่วหน้ากัน...

    “มนุษย์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย...ผู้เป็นเพื่อนทุกข์เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ผู้ที่ชีวิตของท่านทั้งหลายเหล่านั้น ตกล่วงไปแล้วในวันหนึ่งคืนหนึ่ง ขอให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้น จงไปเสวยสุขในสุคติภพ โดยทั่วหน้ากันเถิด...

    มนุษย์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ผู้ที่ชีวิตของท่านทั้งหลายเหล่านั้น ตกอยู่ในความทุกข์ยากเศร้าหมอง เดือดร้อนลำเค็ญ ทุกข์กายทุกข์ใจ เจ็บไข้ได้ป่วย พิกลพิการใด ๆ ก็ดี ขอให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้น จงล่วงพ้นจากความทุกข์ทั้งหลายนั้นเถิด...

    มนุษย์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ผู้ที่ชีวิตของท่านทั้งหลายเหล่านั้น มีความสุขความเจริญดีอยู่แล้ว ขอให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้น จงมีความสุข ความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปด้วยเถิด...

    มนุษย์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น พึงเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่กันและกัน เสียสละให้ปัน ช่วยเหลือเกื้อกูล แก่ผู้ที่ตกอยู่ในความทุกข์ยากยิ่งกว่าตน ให้พ้นทุกข์ เพื่อยังโลกนี้ไปสู่สันติสุขอันสมบูรณ์ด้วยเถิด...”


    พออารมณ์ทรงดีก็จับมรณานุสติ จิตเกาะพระนิพพาน หลับสบายไร้กังวล ไม่มีอะไรมาแผ้วพาน ตลอดเวลาที่อยู่ในป่านั้น ได้รับความสะดวกสบายสมดังใจทุกประการ...

    ๒๒ มีนาคม ๒๕๓๓
    พระใบฎีกาเล็ก สุธมฺมปญฺโญ

    ที่มา www.watthakhanun.com
    ภาพประกอบโดย สำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี
    #๖๐ปีพระครูวิลาศกาญจนธรรม
     

แชร์หน้านี้