เรื่อง : อนาคตของชาติ
(บรรยายเมื่อ วันพุธที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๑๘)
โดย.. พระมหาวีระ ถาวโร (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
มัชฌิมา : คัดลอก
เรื่องมีอยู่ว่า... ท่านพลตรียุทธศิลป์ เกสรศุกร์ ผู้บัญชาการกองพลที่ ๓ (ยศและตำแหน่งสมัยนั้น) ได้นิมนต์ หลวงพ่อพระมหา วีระ ถาวโร (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) พร้อมด้วยพระเถระรวม ๖ รูป เพื่อไปบำรุงขวัญของทหารในเขตกองทัพภาคที่ ๒ โดยนำ ผ้ายันต์ พิชัยสงครามและเหรียญเอกราช ไปแจกให้แก่ทหาร ตามฐานปฏิบัติการ ชายแดน ระหว่างวันที่ ๒๐-๒๓ ธันวาคม ๒๕๑๘ และ ในวันสุดท้ายคือวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๑๘ ได้ทำการแจกให้แก่ทหาร ค่ายสุรนารี จ.นครราชสีมา และก่อนทำ การแจกได้แสดง ธรรมิกถาพิเศษ เรื่อง "อนาคตของชาติ" ณ พุทธศาสนสถาน ค่ายสุรนารี จ.นครราชสีมา
มูลเหตุที่มาแจกวัตถุมงคล
"..เจริญสุข แก่บรรดาทหารของชาติทุกท่าน อาตมาได้ไปทำการจากจ่ายผ้ายันต์และเหรียญแก่ทหารทางภาคเหนือมาแล้ว ๓ ครั้ง ต่อมาได้ทราบจากข้าหลวงของสมเด็จพระบรมราชินีนาถว่า "...สมเด็จพระบรมราชินีนาถทรงปรารภว่า หลวงพ่อฤาษี ลิงดำ ท่าน ไม่ห่วงทหารภาคอีสานหรืออย่างไร จึงไม่ไปแจกของแก่ทหารทางภาคอีสานบ้าง.."
ความจริง อาตมาห่วงทหารทางภาคอีสาน เช่นเดียวกับทหารทางภาคเหนือ เมื่อท่านผู้บัญชาการกองพลที่ ๓ รับจะอำนวย ความ สะดวกในการเดินทางมาแจกจ่าย จึงได้นำสิ่งของมาแจกให้ครั้งนี้
ขั้นแรกอนุศาสนาจารย์ได้อาราธนาให้แสดงธรรม ต่อมาท่านผู้บัญชาการกองพล ได้อาราธนาให้เล่าเรื่องของที่นำมาแจกจ่าย ว่าทรง คุณค่าอย่างไรบ้าง ผู้ที่ได้รับแจกไปจะได้เกิดศรัทธาความเชื่อมั่น
เพื่อสนองเจตนาของอนุศาสนาจารย์และท่านผู้บังคับบัญชากองพลที่ ๓ ได้อาราธนาจึงขอพูดเรื่องธรรมะก่อนสักเล็กน้อย จาก นั้นจึง จะพูดถึงเรื่องสิ่งของที่นำมาแจกจ่าย
เราทุกคนอยากมีความดีด้วยกันทั้งนั้น แม้บางคนนึกว่า ตนเองอยากมั่งอยากมี อยากมียศมีอำนาจ แต่ความจริงแล้ว ก็คือ อยาก มีดี นั่นเอง
แม้เราจะมียศสูง แต่ถ้าใครมาว่าเราเป็นคนไม่ดี เราก็ไม่ชอบ เพราะฉะนั้นใครจะอยากอะไรก็ตามเถอะ แต่ที่สุดของความอยาก นั้น ก็คือความดีนั่นเอง
รักษาศีล 5 ให้ได้
ความดีนั้นมีกฏเกณฑ์ที่เราจะต้องทำเป็นเบื้องต้น 5 ประการ คือ
1. เราไม่อยากให้ใครมาฆ่า รังแก ข่มเหงเรา เราก็อย่าไปฆ่า ไปรังแก ไม่ข่มเหงเขา
2. เราไม่อยากให้ใครมาลักของๆ เรา เราก็อย่าไปลักของๆ เขา
3. เราไม่อยากให้ใครมาผิดลูกผิดเมียเรา เราก็อย่าไปผิดลูกผิดเมียเขา
4. เราไม่อยากให้ใครมาโกหกเรา เราก็อย่าไปโกหกเขา
5. เราไม่อยากเป็นคนบ้า ก็อย่าไปดื่มสุราเมรัย เพราะถ้าเราดื่มสุรามากๆ เราจะกลายเป็นคนบ้า
เจริญพรหมวิหาร ๔ ไว้
ความดีที่สูงขึ้นไปอีกที่เราควรประพฤติเป็นหลักในการดำรงชีวิต เพื่อความสุขความเจริญแก่ตนเองคือ พรหมวิหาร มี ๔ ประการคือ
1. เมตตา ความรัก เราต้องรักตัว รักครอบครัว รักญาติพี่น้องหมู่คณะ ตลอดจนถึงรักประเทศชาติ
2. กรุณา ความสงสาร ที่มีต่อบุคคลที่ตกทุกข์ได้ยาก อยากให้เขาพ้นจากความทุกข์ทรมานที่เขารับอยู่
3. มุทิตา ยินดีด้วยเมื่อบุคคลอื่นได้ดีมีความสุข ไม่ริษยาเขา เขาได้ดีก็ชื่นชมอนุโมทนาด้วย
4. อุเบกขา วางเฉย เช่น เมื่อลูกของเรา ญาติพี่น้อง หรือพรรคพวกของเราทำผิด เราต้องวางตัวเป็นกลาง เมื่อเขาจะได้รับโทษก็ถือเป็นกรรมของเขา ไม่ช่วยเหลือเขาในทางที่ผิด
เว้นจากความลำเอียงทั้ง ๔ ประการ
ผู้ที่จะมีคุณธรรมในข้อที่ ๔ นี้จำเป็นจะต้องมีคุณธรรมข้ออื่นสนับสนุน คือเราต้องเว้นจาก อคติ คือ
๑. ความลำเอียงเพราะความรัก
๒. ความลำเอียงเพราะความชัง
๓. ความลำเอียงเพราะความหลง
๔. ความลำเอียงเพราะความกลัว
ทหารแปลว่าคนหนุ่ม
ทหารทุกคนต้องเป็นคนหนุ่ม แม้จะแก่อายุมากแล้วก็ต้องทำตัวเป็นคนหนุ่ม เพราะคำว่า ทหาร แปลว่า คนหนุ่ม
คนหนุ่มนั้นจะต้องเป็นคนแข็งแรง ว่องไว กล้าหาญ บึกบึน มีไหวพริบปฏิภาณดี มีความสามัคคีรักใคร่กัน ไม่ทอดทิ้งกันเมื่อ มีภัย ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท
และข้อสำคัญที่สุดนั้นต้องยอมตายเพื่อประเทศชาติบ้านเมืองเมื่อถึงคราวจำเป็น นี้พูดอย่างทหาร เพราะอาตมาเคยเป็น ทหาร เรือมาแล้ว ย่อมรู้จักชีวิตวิญญาณของทหารดี
ทหารไปรบถือว่าทำเพื่อชาติบ้านเมือง
ทหารที่ไปราชการสงครามเพื่อป้องกันอริราชศัตรูนั้น หากไปฆ่าข้าศึกศัตรูก็ไม่ถือว่าเป็นความชั่ว แต่เป็นการทำดีต่างหาก เพราะเรา ทำหน้าที่ป้องกันสิ่งที่ดีงามเอาไว้ ความดีนั้นคือ ความอยู่รอดของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และความสงบสุข ของปวงชนใน ผืนแผ่นดินไทยทุกคน
ความสงบสุขนั้นเป็นยอดของความดีทั้งมวล การที่เรายอมเสียสละเลือดเนื้อ และชีวิตของเรา เพื่อรักษาความดี ทั้งหลาย ดัง กล่าว มาแล้วนั้นไว้ จึงได้ชื่อว่าเราทุกคนได้ทำความดี สมศักดิ์ศรีของทหารไทย จึงไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นบาปกรรม
ภูอันธพาล (ภูพาน)
อาตมาขึ้นเครื่องบินผ่านภูอันธพาล ไม่อยากเรียกว่า "ภูพาน" ดังที่เขาเรียกกัน เพราะภูนี้มีแต่พวกอันธพาลทั้งนั้น ได้พิจารณา ถึงเหตุ การณ์บ้านเมืองและการสู้รบของทหารเห็นว่า
เราทุกคนจะไม่แพ้ จะไม่ต้องตกเป็นทาสของใครๆ ดังที่พวกเราพากันวิตกกังวลกันอยู่ในขณะนี้ แม้แต่ พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่ หัวก็ทรงปริวิตกและทรงมีความห่วงใยประเทศชาติบ้านเมืองเป็นอย่างยิ่ง ดังจะเห็นได้ว่า เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๑๘ พระ องค์พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชินีนาถได้เสด็จไปยังวัดของอาตมา (วัดท่าซุง) และได้ตรัสถาม ความเป็นไปของบ้านเมืองใน อนาคตว่าจะเป็นอย่างไร
อนาคตของชาติ
อาตมาได้ถวายพระพรพระองค์ว่า "ประเทศชาติบ้านเมืองของเราจะไม่ตกเป็นทาสของใคร อาตมาขอถวายชีวิตเป็นประกัน เกี่ยวกับเรื่องนี้ นับตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๐ เป็นต้นไป ประเทศไทยจะเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ ความเยือกเย็นจะเริ่มปรากฏ ความมั่งคั่ง สมบูรณ์จะมีขึ้นแก่ประเทศชาติและประชาชน แต่จะยังไม่ปรากฏชัดนัก แต่เราจะมองเห็นได้ชัดๆ ก็ต้องปี พ.ศ. ๒๕๒๔ เปรียบเหมือนอรุณได้ขึ้นดีแล้วและเริ่มฉายแสงให้เห็นความมืดหมดไป"
ที่อาตมากล้ายืนยันต่อพระองค์เช่นนั้น ก็เพราะเหตุผลหลายประการ คือ
คำทำนายของพระพุทธโฆษาจารย์
ในประการแรก อาตมาได้พบและได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งเป็นสมุดข่อย ซึ่งพระอรหันต์ในอดีตนามว่า พระพุทธโฆษาจารย์ (ลำใย) เขียนไว้ ทำนายชะตาบ้านเมืองก่อนที่กรุงศรีอยุธยาจะแตกเสียอิสรภาพแก่พม่า ก่อนที่กรุงเทพฯ ยังไม่ปรากฏ
โดยท่านได้เขียนทำนายไว้ว่า
"กรุงศรีอยุธยาจะต้องถูกข้าศึกตีแตก แจ่จะเสียอิสรภาพไม่นานนัก จะมีคนดีของกรุงศรี อยุธยามากู้ชาติ แต่เมื่อกู้ชาติ ได้แล้ว จะต้องไปตั้งเมืองหลวงอยู่ใหม่"
และเหตุการณ์ต่างๆ ของกรุงศรีอยุธยาก็ได้เป็นจริงตามคำทำนายทุกอย่าง
ทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าทั้ง ๑๐ รัชกาล
ในสมุดข่อยเล่มเดียวกันนี้ พระพุทธโฆษาจารย์ได้กล่าวทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นแก่กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงใหม่ ในวันข้างหน้า ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นแต่ละรัชกาลดังนี้
รัชกาลที่ ๑. ทำนายว่า มหากาฬผ่านมหายักษ์
รัชกาลที่ ๒. ทำนายว่า รู้จักธรรม
รัชกาลที่ ๓. ทำนายว่า จำต้องคิด
รัชกาลที่ ๔. ทำนายว่า สนิทธรรม
รัชกาลที่ ๕. ทำนายว่า จำแขนขาด
รัชกาลที่ ๖. ทำนายว่า ราษฎร์ราชาโจร
รัชกาลที่ ๗. ทำนายว่า นั่งทนทุกข์
รัชกาลที่ ๘. ทำนายว่า ยุคทมิฬ
รัชกาลที่ ๙. ทำนายว่า ถิ่นกาขาว
รัชกาลที่ ๑๐. ทำนายว่า ชาววิไล
ความแม่นยำของคำทำนาย
เมื่อพิจารณาถึงคำทำนายและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ละรัชกาลก็จะเห็นได้ชัดว่า คำทำนายนั้นถูกต้องเพียงใด
รัชกาลที่ ๑. ผ่าน พระเจ้าตากสิน ขึ้นครองราชย์สมบัติ
รัชกาลที่ ๒. ท่านว่างจากศึกสงครามก็หันมาทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ให้พระสงฆ์ค้นคว้าพระธรรมวินัย รวบรวมกัน เป็นการใหญ่
รัชกาลที่ ๓. ท่านมีหัวคิดริเริ่มหาเงินมาสร้างสรรค์บ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองปรากฏมาจนถึงทุกวันนี้
รัชกาลที่ ๔. ท่านสนิทธรรมก็เพราะพระราชาองค์นี้ทรงผนวชถึง ๒๗ พรรษา มีความคล่องตัวในพระธรรมวินัย ทรงไว้ซึ่ง พระไตรปิฎกอย่างแตกฉาน และยังมีความสนิทสนมกับ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) อย่างยิ่ง เป็นคู่บารมีกัน
รัชกาลที่ ๕. จำแขนขาด เราเห็นได้ชัดมาก เพราะเราต้องเสียดินแดนไปหลายครั้งหลายหน โดยพระองค ์ทรงยอมเสียแขนขา ดีกว่าเสียตัวทั้งหมด คือยอมเสียผืนแผ่นดินบางส่วน เพื่อรักษาเอกราชของชาติไว้
รัชกาลที่ ๖. เป็นโจร เพราะทรงใช้จ่ายเงินในท้องพระคลังจนหมดสิ้น แต่อาตมาเห็นว่าพระองค์ทรงเป็นนักชาตินิยม มีพระ ปรีชาสามารถปลุกใจประชาชนให้รักชาติบ้านเมือง เช่นมีเพลงบทหนึ่งทรงพระนิพน์ไว้ว่า "ใครมาเป็นเจ้าเข้าครอง คงจะ ต้องบังคับขับไส เคี่ยวเข็ญเย็นค่ำร่ำไป ตามวิสัยเชิงเช่นผู้เป็นนาย" ทรงเป็นนักประชาธิปไตย จึงได้ทำทุกอย่าง ให้บุคคลอื่น เห็นว่า พระองค์ไม่ทรงถือพระองค์ เช่น แสดงมหรสพ เล่นโขนกับข้าราชบริพาร
ยิ่งกว่านั้นพระองค์ยังสามารถทำให้ประเทศไทยเป็นที่ปรากฏแก่ชาวโลก โดยส่งทหารไปช่วยสงครามโลกครั้งที่ ๑ จึงจำเป็น ต้องใช้เงินมาก แม้จะใช้เงินมาก แต่ประโยชน์ก็เกิดแก่ประเทศชาติอย่างหนัก
รัชกาลที่ ๗. นั่งทนทุกข์ พระองค์เสวยราชสมบัติอยู่ในเกณฑ์ตกอับพอดี เงินในท้องพระคลังก็หมดมาแต่รัชกาลก่อนพระองค์ จึงทรงประทับอยู่บนกองทุกข์ต้องดุลข้าราชการออกเป็นจำนวน มาก เท่านั้นยังไม่พอ ต่อมาพระองค์ ต้องจำพระทัย สละราช สมบัติ ไปนั่งทนทุกข์อยู่ต่างแดน จนสิ้นพระชนม์
รัชกาลที่ ๘. ยุคทมิฬ บ้านเมืองอยู่ในภาวะสงครามโลกครั้งที่ ๒. ประชาชนตกอยู่ในสภาพบ้านแตก อดอยากยากแค้น แสนสา หัส พระมหากษัตริย์ก็ถูกลอบปลงพระชนม์จนสวรรคต
รัชกาลที่ ๙. ทำนายว่า ถิ่นกาขาว เราก็เห็นแล้วว่าฝรั่งมาอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง ล้วนแต่คนผิวขาวทั้งนั้น
สำหรับรัชกาลต่อไปคือ รัชกาลที่ ๑๐. ทำนายว่า ชาววิไล หมายความว่า บ้านเมืองเราได้ผ่านยุคเข็ญมาแล้วจะได้ประสบความ เจริญรุ่งเรืองกันเสียที เราจะมั่งคั่งสมบูรณ์เหมือนนานาอารยะประเทศที่เจริญแล้วทั้งหลาย
ราชวงศ์จักรีจะมีเพียง ๑๐ รัชกาลเท่านั้นรึ?
ปัญหาที่น่าคิดต่อไปก็คือว่า
ทำไมพระพุทธโฆษาจารย์จึงทำนายเหตุการณ์บ้านเมืองไว้เพียง ๑๐ รัชกาลเท่านั้น? กรุงเทพมหานครจะมีพระมหากษัตริย์เพียง ๑๐ พระองค์เท่านั้นหรือ?
เป็นเรื่องที่อาตมาสนใจเป็นพิเศษ จึงได้สอบถามเรื่องนี้กับ หลวงพ่อปาน และพระอาจารย์ต่างๆ ซึ่งจิตของท่าน เป็นสมาธิ เข้า ถึงขั้นอภิญญา สามารถที่จะรู้จริงในเรื่อง อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ซึ่งก็ยังมีอยู่หลายๆ องค์ในขณะนี้ ทุกๆ รูป ที่อาตมาสอบ ถามจากท่าน ต่างก็ยืนยันตรงกันว่า
พระมหากษัตริย์จะยังคงมีอยู่คู่กับชาติไทยตลอดไปอีกนาน มิใช่เพียงแค่ ๑๐ พระองค์เท่านั้น แต่ที่พยากรณ์ ไว้เพียงแค่นั้น ก็เพราะว่า
เริ่มตั้งแต่รัชกาลที่ ๑๐. เป็นต้นไป บ้านเมืองจะมั่งคั่งสมบูรณ์ร่มเย็นผาสุก ประชาชนในชาติจะร่ำรวย ประเทศไทย จะเป็นประเทศมหาอำนาจประเทศหนึ่ง ซึ่งจะมีแต่ความเจริญตลอดไป ไม่ล้มลุกคลุกคลาน ดังที่ แล้วมา จึงไม่จำเป็นจะต้องพยากรณ์ต่อไปอีก"
พระพุทธทำนายเหตุการณ์ของโลก
ประการที่ ๒. ที่ยืนยันว่าประเทศไทยจักไม่ตกเป็นทาสของใครๆ นั้นคือ พระพุทธทำนายเหตุการณ์ของโลก พระพุทธทำนาย นี้ก็มีปรากฏในสมุดข่อยของพระพุทธโฆษาจารย์เช่นเดียวกัน ซึ่งมีข้อความปรากฏโดยสังเขปดังนี้
"..อานันทะ ดูก่อน อานนท์ โลกต่อไปจะเต็มไปด้วยความเร่าร้อน ก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปี (ประมาณ พ.ศ. ๒๔๘๕) จะมีฝน เหล็กตกจากอากาศ จะมีไฟลุกจากอากาศเหล็กกล้าจะผุดจากน้ำมาทำลายมนุษย์ มนุษย์และ สมณะชีพราหมณ์จะตายกันมาก
แต่ว่า.. อานนท์ ความเร่าร้อนก่อนกึ่งพุทธกาลนั้น ยังมีความเร่าร้อนน้อยกว่า ความเร่าร้อนหลังกึ่งพุทธกาล
หลังกึ่งพุทธกาลจะมีความร้ายแรงยิ่งไปกว่านั้น ยักษ์หิน ที่ถูกสาปจะลุกขึ้นมาอาละวาด สมณะชีพราหมณ์ จะล้มตาย ยักษ์นอกพระพุทธศาสนาทั้งหลายจะฆ่าฟันกันและกัน จะตายกันไปคนละครึ่ง จึงจะหยุดยั้งเลิกรบกัน
แต่ทว่าประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาอย่างแน่นแฟ้น จะมีภัยเช่นนี้เหมือนกัน แต่ไม่มากนัก"
ความแม่นยำของพุทธทำนาย
จากพระพุทธเจ้าทำนายนี้เราก็จะเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นความจริงทุกอย่าง ก่อนพุทธกาลได้เกิด สงครามโลกครั้งที่ ๒. ลูกระเบิด ต่างๆ ซึ่งเป็นเหล็กเป็นไฟได้หลั่งไหลลงมาจากอากาศพิฆาตมนุษย์
หลังกึ่งพุทธกาลได้เกิดสงครามลัทธิคือพวกยักษ์นอกศาสนา เพิ่งจะเลิกรากันไป แต่เมืองไทย ก็ยังได้รับผลกระทบ กระเทือน มาจนกระทั่งบัดนี้
มีเพียงไทยที่นับถือพุทธอย่างมั่นคง
ตามพระพุทธทำนายนั้นได้บ่งชี้ชัดว่าประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาจะ มีภัยบ้างแต่ไม่มากนัก หากเราพิจารณาให้ดีๆ ก็จะ เห็นเด่นชัดว่า ประเทศไทย นี้เท่านั้นที่นับถือพระพุทธศาสนาอย่างมั่นคงและเป็นประเทศสุดท้าย ที่พระพุทธศาสนา ยังเหลือ อยู่ในท้องถิ่นบริเวณนี้ ประเทศอื่นๆ รอบบ้านเราก็กลายเป็นพวกเดียรถีย์นอกศาสนาพุทธไปเกือบหมดแล้ว
เพราะฉะนั้น ประเทศไทยจึงเป็นเมืองสุดท้ายที่พระพุทธศาสนาจะสถิตสถาพรอยู่ได้ตลอดไป
พระเจ้าอังครัฐตั้งจิตขอพบพระอรหันต์
ในพระพุทธทำนายซึ่งปรากฏในตำนานบางแห่งได้เล่าไว้ว่า
พระเจ้าอังครัฐ เจ้าเมืองอังครัฐ ซึ่งเป็นเมืองที่ประดิษฐาน พระธาตุจอมทอง อยู่ในขณะนี้ ได้ทรงตั้งจิตอธิษฐาน ขอให้พระ องค์ ได้พบพระอรหันต์ ขอให้พระอรหันต์เสด็จมาโปรด
พระพุทธองค์ทรงทราบวาระจิตของพระเจ้าอังครัฐ จึงทรงส่ง พระโมคคัลลาน์ พร้อมด้วยพระเถระรวม ๔ รูป เดินทาง มา เผยแพร่พระพุทธศาสนาที่เมืองอังครัฐก่อน
ศาสนาจะอยู่ในเมืองไทยครบ ๕,๐๐๐ ปี
ส่วนพระองค์ได้เสด็จมาภายหลัง เมื่อเสด็จมาถึงเมืองนั้น ได้ทรงพยากรณ์ เกี่ยวกับความเป็นไป ในอนาคต ของพระพุทธ ศาสนา ไว้ว่า
"พระพุทธศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองตั้งมั่นอยู่ในท้องถิ่นนี้ถึง ๕,๐๐๐ ปี"
เมื่อพระพุทธศาสนายังตั้งมั่น อยู่ได้ในผืนแผ่นดินไทย ตามพระพุทธทำนาย ก็หมายความว่า เมืองไทยจะต้องไม่ตกเป็นทาส ของใครๆ เพราะความมั่นคงของชาติและพระพุทธศาสนาเป็นของคู่กันมาแต่บรรพกาล เมืองไทยจะไม่ตกเป็นทาสของใคร
จากคำพยากรณ์ของพระพุทธโฆษาจารย์ก็ดี คำบอกเล่าของพระเถระผู้ได้ฌานสมาบัติก็ดี และจากพระพุทธทำนายก็ดี เป็น หลักชี้ชัดให้เรามั่นใจได้ว่า
"เมืองไทยเรานี้จะต้องเป็นปึกแผ่นมั่นคงตลอดไป ไม่ตกเป็นทาสของใครๆ พวกนอกศาสนาจะไม่สามารถย่ำยีเมืองไทยได้
แต่ข้อสำคัญนั้น เราทุกคนอย่าประมาท ต้องรักกันสามัคคีกันไว้ ไม่แตกแยกกันและไม่ลุ่มหลง ไปกับคำยุแหย่ของบุคคล ผู้มุ่ง ร้าย ต่อชาติบ้าน เมือง"
ดวงทหารคู่กับดวงเมือง
ขอให้ทหารทุกคนจงสำนึกตนเองว่า เราต้องมีความสามัคคี-เด็ดเดี่ยว-ไม่ประมาท-กล้าหาญ-และพร้อมที่จะยอมตาย เพื่อชาติ บ้านเมืองและพระบวรพุทธศาสนา เมื่อถึงคราวจำเป็น
เพราะบ้านเมืองจะอยู่รอดปลอดภัย ก็เพราะทหารเท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจาก พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑. เมื่อพระองค์จะเริ่มสร้างเมืองหลวงใหม่ ได้ทรงผูกดวงเมืองและวางลัคนาดวงเมืองไว้ให้คู่กับดวงทหารโดยให้ ทหารเป็นผู้ปกป้องคุ้มครองบ้านเมือง บ้านเมืองจึงจะอยู่รอด
ที่พูดนี้มิใช่จะมายุยง ให้ท่านทั้งหลายกระด้างกระเดื่อง ทำการปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจจากใครๆ เพียงแต่... ขอให้เราทุกคน ช่วยกันควบคุมสถานการณ์ไว้ให้บ้านเมืองสงบสุขเท่านี้ก็ได้ชื่อว่าทหารควบคุมรักษาเมืองแล้ว
ดวงชะตาของทหารนั้น เข้าเกณฑ์ราชาโชค ตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๑๘ แล้ว และจะโคจรเข้าควบคู่กับดวงเมือง ตั้งแต่เดือน มกราคม ๒๕๑๙ เป็นต้นไป ซึ่งจะมีอิทธิพลให้ประเทศชาติบ้านเมืองค่อยคลี่คลายไปในทางดีขึ้น ขณะนี้บ้านเมืองของเราอยู่ ในสภาพป่วยไข้ จำเป็นจะต้องได้รับการเยียวยารักษาหรืออาจจะต้องถึงกับผ่าตัดบ้าง อาการของบ้านเมืองจึงจะดีขึ้น
เมืองไทยมีขุมทรัพย์มหาศาล
สภาพการณ์ของบ้านเมืองจะคลี่คลายไปในทางดี เริ่มแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๙ เป็นต้นไป และตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๐ ประเทศชาติ และประชาชนจะเริ่มพบกับความสุขสบายขึ้นบ้าง แต่ก็ยังไม่มากนัก แต่จะปรากฏเด่นชัดว่า ประเทศชาติและประชาชน จะร่ำ รวยขึ้นมีความสุขสมบูรณ์ขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๔ เป็นต้นไป
เพราะเรามีทรัพยากรมากมายมหาศาลล้วนแต่เป็นของมีค่าทั้งสิ้นอาทิเช่น น้ำมัน แร่ทองคำ แร่ยูเรเนียม วัตถุธาตุต่างๆ เหล่านี้ มีอยู่พร้อมในเมืองไทย และเราก็ได้พบแล้ว แต่เรายังไม่สามารถจะนำเอาออกมาใช้ได้ เพราะเรามีขีดความสามารถอันจำกัด
ทรัพยากรน้ำมันในประเทศไทย
อย่างน้ำมัน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นและมีค่าที่สุดของคนทั้งโลกนั้น ในเมืองไทยเรามีมากมาย น้ำมันที่ใช้อยู่ในโลกขณะนี้มีไม่ถึงหนึ่ง ในสาม ที่มีในเมืองไทยเรา
ที่อาตมาพูดเช่นนี้มิได้กล่าวเกินความจริง แต่เป็นการกล่าวที่เกิดจากประสบการณ์ที่พอเชื่อถือได้ กล่าวคือ
เมื่อต้นปี พ.ศ.๒๕๑๗ อาตมาพร้อมด้วย พล.อ.ต.มรว. เสริม สุขสวัสดิ์ เจ้ากรมการสื่อสารทหารอากาศ ได้เดินทางไปยัง จังหวัดชุมพร พักอยู่ ณ บ้านพักหลังหนึ่ง หลังจากคุยกันประมาณห้าทุ่มเศษก็เข้านอน
พอไฟดับลงเท่านั้น ก็มองเห็นภาพคนดำใหญ่เดินเข้ามาในห้องโดยไม่เปิดประตู เขาเดินเข้าเดินออกโดยไม่ต้องเปิดประตู จึง ถามเขาไปว่า อยู่ที่ไหน เขาบอกว่า อยาในห้องนี้แหละ แล้วก็คุยกันด้วยเรื่องต่างๆ เจ้าเทวดาดำใหญ่ได้เล่าให้ฟังว่า
"เมืองไทยเรานี้มีน้ำมันมากมายมหาศาลเป็นลำธารกว้างขนาด ๑ กิโลเมตร และยาวหลายร้อยกิโลเมตร ไหลผ่านประเทศไทย ไปลงทะเล
เมื่อใดที่ผู้บริหารดีทรัพยากรจะปรากฏขึ้น
เขาบอกว่า น้ำมันนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะขุดนำมาใช้เพราะฝ่ายบริหารยังไม่ดีพอ หากปรากฏขึ้นในขณะนี้ พวกทุจริต ก็จะงุบงิบ เอาไป เป็นผลประโยชน์ส่วนตนหมด
เมื่อใดผู้บริหารประเทศมีมือสะอาดซื่อสัตย์สุจริต เห็นแก่ประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ ขุมทรัพย์มหาศาลในเมืองไทย เช่น บ่อ น้ำมัน ก็จะค่อยผุดขึ้นมาให้เห็นเรื่อยๆ ไป ซึ่งจะนำผลรายได้อันมหาศาลมาให้เมืองไทย ทำให้เมืองไทย กลายเป็นเศรษฐี มีชื่อ เสียงระบือไปทั่วโลก และจะได้เป็นมหาอำนาจประเทศหนึ่งในเอเชีย"
ไปพิสูจน์สถานที่มีน้ำมันอยู่
เจ้าเทวดาดำใหญ่ให้หลักฐานยืนยันคำพูดของตนว่า หากอยากข้อเท็จจริงเกี่ยวกับน้ำมัน ให้ไป ดูบ่อน้ำมันที่เมืองมะริด ในเขต พม่า ซึ่งเป็นบ่อน้ำมันสายเดียวกันอยู่ห่างจากผืนแผ่นดินไทยประมาณ ๓๐ กิโลเมตร
ณ. ที่นั้นจะมีหนองน้ำอยู่แห่งหนึ่ง มีน้ำมันลอยฟ่องเต็มไปหมด ถ้าอยากเห็นให้ไปดูด้วยตนเอง
อาตมาอยากพิสูจน์ความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงได้เดินทางไปดูสถานที่แห่งนั้น เมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๕๑๘ นี้เอง ปรากฏว่า เป็นความจริงทุกอย่าง
บริเวณนั้นมีหนองน้ำซึ่งมีน้ำมันลอยเต็มไปหมด ชาวบ้านนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงได้เป็นอย่างดี จึงมั่นใจได้ว่า เทวดาดำองค์นั้น ไม่โกหก เมืองไทยเรามีน้ำมันแน่ๆ
ต่อเมื่อใดผู้บริหารใจซื่อมือสะอาดมาบริหารชาติบ้านเมือง ทรัพยากรเหล่านี้ก็จะปรากฏให้เห็น และนำมาใช้ ให้บ้านเมือง เรา มีความอุดมสมบูรณ์ดังกล่าวแล้ว
ธงมหาพิชัยสงคราม
สำหรับ ผ้ายันต์ธงมหาพิชัยสงคราม ที่นำมาแจกจ่ายครั้งนี้ ได้ทำขึ้นครั้งแรก ๑๐๐,๐๐๐ ผืน นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๙๐,๐๐๐ ผืน มีเหลือนำมาแจกจ่ายคราวนี้เพียง ๑๐,๐๐๐ ผืน
การทำผ้ายันต์นี้ ก็ทำจากตำราของ หลวงพ่อปาน หลวงพ่อปานเคยทำเพื่อมอบให้เป็นธงนำทัพเข้าตีข้าศึก
ได้ตำราทำยันต์พิชัยสงคราม
ตามตำราบอกว่าใครอยากเรียนตำรานี้ไปทำต่อต้องนำดาบสองเล่มออกไปรำกลางแจ้ง หากเกิดฟ้าผ่าในขณะรำดาบจึงจะเรียน ตำรานี้ได้
อาตมาเป็นพระไม่สามารถจะนำดาบออกไปรำได้ แต่ก็อยากเรียนตำรา จึงตั้งจิตอธิษฐานว่า หากตนมีบุญบารมี ที่จะเรียน ตำรา นี้ได้แล้ว เวลาถือดาบออกพ้นจากชายคาขอให้เกิดฟ้าผ่า
เมื่อตั้งจิตอธิษฐานแล้วก็ถือดาบ ๒ เล่ม ออกนอกชายคา พอพ้นจากชายคาเท่านั้นแหละฟ้าก็ผ่าขึ้น ๒-๓ ครั้ง จึงมั่นใจได้ว่า ครู ได้อนุญาตให้เรียนตำรานี้ได้แล้ว จึงได้เรียนตำรามาทำผ้ายันต์มหาพิชัยสงครามขึ้น
มีพระเถระทางเหนือช่วยปลุกเสกด้วย
และเมื่อทำด้วยตัวเองแล้ว ก็ได้อาราธนาพระเถระผู้ทรงวิทยาคมในภาคเหนือหลายรูปมาช่วยปลุกเสกให้เมื่อ เดือนสิงหาคม จึงได้นำออกแจกจ่ายแก่ทหารทางภาคเหนือ ปรากฏว่าได้ผลดี
มีฐานปฏิบัติการบางแห่งที่ทหารรับผ้ายันต์ไปแล้ว ถูกถล่มด้วยปืน ค. และจรวดฐานแหลกหมด แต่ทหารในฐาน ปลอดภัยทุก คน ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ
อย่างไรก็ตาม คนเราเมื่อถึงกำหนดจะต้องอสัญกรรมแล้วก็หนีความตายไม่พ้น แม้แต่ผู้บรรยายหรือผู้ทำผ้ายันต์นี้ก็ต้องตาย
อธิบายภาพ - พระสุปฏิปันโนที่ร่วมพิธีพุทธาภิเษก "ผ้ายันต์มหาพิชัยสงคราม" ณ วัดบวรนิเวศน์ฯ ในครั้งนั้น ต้องถือว่าเป็น ประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของประเทศ ที่มีการประสานงานร่วมกันระหว่างฝ่ายอาณาจักร คือ "องค์พระประมุขของประเทศ" และด้านพุทธจักรมีพระอริยสงฆ์ร่วมพิธีคราวนั้นจำนวนหลายสิบรูป เมื่อเดือนสิงหาคม 2518 หลังจากท่านได้ชักชวนคณะศิษย์ ล่องเรือไปขอยืม "ตำรามหาพิชัยสงคราม" จากวัดบางนมโค จ.อยุธยา แล้วกลับมาทำผ้ายันต์จำนวนนับแสนผืน โดยมีเจ้าภาพ เป็นผู้จัดทำถวายทั้งผ้าและพิมพ์ยันต์ลงในผืนผ้า คือ คุณประชา - คุณอรุณ สิกวานิช ควรที่จะได้ อนุโมทนา ผู้อยู่เบื้องหลังของ งานนี้ด้วย ภาพถ่ายนี้จึงมีเหลือเพียงรูปเดียวที่เก็บไว้เป็นหลักฐาน ในระหว่างรอจะเข้าไปทำพิธีปลุกเสกในพระอุโบสถวัดบวรฯ จากซ้ายมือคือ หลวงพ่อฯ, หลวงปู่ธรรมชัย, หลวงปู่ชัยวงศ์, หลวงปู่ชุ่ม, หลวงปู่คำแสนเล็ก, หลวงปู่ครูบาอินจักร วัดน้ำบ่อหลวง, หลวงปู่คำแสนใหญ่ (แถวหลังที่เห็นคือ หลวงปู่บุดดา) และองค์สุดท้ายที่มองเห็นแค่ด้านหลัง นั่นคือ หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี นอกจากนี้ก็ยังมีพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงอีกหลายรูป เช่น หลวงปู่เทียม วัดกษัตราฯ จ.อยุธยา เป็นต้น (คำอธิบายข้อมูล - จากพระอาจารย์ชัยวัฒน์ อชิโต)
อานุภาพของผ้ายันต์
ผ้ายันต์นี้จะช่วยได้ก็เพียงแต่ว่า หากเรามีเคราะห์กรรมจากอดีต เช่น เคยทำปาณาติบาต แรงอุปฆาตกรรม จะมาตัดรอน ชีวิต เราให้หมดไปในเวลาอันไม่สมควร หากเรามีเคราะห์ถึงฆาตอย่างนี้ ผ้ายันต์จะช่วยให้เคราะห์เบาบางลง เพียงแค่ให้เรา บาด เจ็บไม่ถึงตาย
หากเคราะห์เราไม่ถึงฆาตเพียงแต่มีเคราะห์จะได้รับบาดเจ็บ ยันต์นี้จะช่วยไม่ให้เราบาดเจ็บเลย แม้แต่ถูกปืนหรือสะเก็ดระเบิด ก็จะไม่ทำให้เราเสียเลือดแม้แต่หยดเดียว ลูกปืนที่มากระทบเราจะมีค่าเท่ากับแมลงตัวหนึ่งบินมาปะทะเท่านั้น
ขอให้ทุกท่านถือว่า ยันต์ธงมหาพิชัยสงคราม เป็นสิ่งสำคัญที่สุด สำคัญกว่าเหรียญเอกราชที่ได้รับแจกไป
ถ้านำไปใช้ในทางที่ผิดจะไม่มีผล
และทั้งธงและเหรียญจะไม่มีผลในทางป้องกันตัวเลย หากเรานำไปใช้ในทางที่ผิดคิดมิชอบ หรือยิ่งคนที่คิดคดทรยศ ต่อชาติ บ้านเมืองด้วยแล้ว อาตมาอยากให้เขามารับโดยเร็ว เพราะเหรียญและธงจะช่วยสนับสนุนให้เขาประสบความวิบัติเร็วเข้า
มีอยู่รายหนึ่งมาขอผ้ายันต์จากอาตมา อาตมาไม่ให้เพราะเกรงว่าเขาจะนำไปใช้ในทางที่ผิด จะทำให้ชีวิตเขาสั้นเข้า แต่เขารับ รองตนเองเช่นนั้นอาตมาก็มอบให้ไป และได้ทราบต่อมาภายหลังว่า เขานำผ้ายันต์ไปใช้ในทางที่ผิดตามที่อาตมาคาดการณ์ไว้ ผลที่สุดเขาก็ถูกยิงตาย
สุดท้ายนี้ ขอตั้งจิตอธิษฐาน ด้วยอำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย จงดลบันดาลให้ทหารทุกคน จงมีความสุขความเจริญ และปลอด ภัย ชนะข้าศึกตลอดกาล.
สวัสดี.
.
อนาคตของประเทศชาติ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ZZ, 16 เมษายน 2011.
หน้า 1 ของ 2
-
-
http://th.wikipedia.org/wiki/สงครามโลกครั้งที่สอง
ความสูญเสียของสงครามโลกครั้งที่ 2
ได้มีการประมาณว่ามีผู้เสียชีวิตจากสงครามโลกครั้งที่สองไว้อย่างหลากหลาย แต่ส่วนใหญ่ได้เสนอว่าคิดเป็นจำนวนมากกว่า 60 ล้านคน ประกอบไปด้วยทหารอย่างน้อย 22 ล้านคน และพลเรือนอย่างน้อย 40 ล้านคน[293][294][295] สาเหตุเสียชีวิตของพลเรือนส่วนใหญ่นั้นมาจากโรคระบาด การอดอาหาร การฆ่าฟัน และการทำลายพืชพันธุ์ ด้านสหภาพโซเวียตสูญเสียประชากรราว 27 ล้านคนระหว่างช่วงสงคราม คิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของความสูญเสียทั้งหมดระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง[296]
(ตรงตาม....พระพุทธทำนายเหตุการณ์ของโลก)
จากความสูญเสีย 85% เป็นของฝ่ายสัมพันธมิตร (ส่วนใหญ่เป็นชาวจีนและชาวโซเวียต) และ 15% เป็นของฝ่ายอักษะ มีการประมาณว่ามีพลเรือนราว 12 ล้านคนเสียชีวิตในค่ายกักกันนาซี[297] 1.5 ล้านคนจากการทิ้งระเบิด และสาเหตุอื่นๆ ในยุโรปอีก 7 ล้านคน รวมไปถึงอีก 7.5 ล้านคนในจีน[298] โดยเหตุการณ์ที่โด่งดัง ได้แก่ การสังหารหมู่ที่นานกิง[299] โดยสาเหตุที่ตัวเลขความสูญเสียมีความแตกต่างกันมากนั้นมีสาเหตุมาจากว่าการตายส่วนใหญ่ไม่ได้มีการจดบันทึกเอาไว้
จำนวนการเสียชีวิตจำนวนมากเป็นผลมาจากการล้างชาติพันธุ์ที่เกิดขึ้นในดินแดนภายใต้การยึดครองของฝ่ายอักษะ และอาชญากรรมสงครามอื่น ๆ ซึ่งถูกกระทำโดยชาวเยอรมันและชาวญี่ปุ่น โดยเหตุการณ์ที่เป็นที่รู้จักกันดีของอาชญากรรมสงครามชาวเยอรมัน ได้แก่ การล้างชาติโดยนาซี ซึ่งเป็นการล้างชาติอย่างเป็นระบบในเขตยึดครองของเยอรมนีและพันธมิตร โดยนอกจากชาวยิวแล้ว ยังมีกลุ่มชาติพันธุ์หรือกลุ่มความคิดอื่น ๆ ถูกสังหารอีกเป็นจำนวนกว่า 5 ล้านคน[300] และด้านทหารญี่ปุ่นก็ได้สังหารพลเรือนราว 3 - 10 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวจีน ระหว่างสงครามโลกครั้งทีสอง[301]
นอกจากนั้น เรื่องของการใช้อาวุธชีวภาพและอาวุธเคมียังได้ถูกนำมาตัดสินด้วย ทหารอิตาลีได้ใช้แก๊สมัสตาร์ดในการรุกรานเอธิโอเปีย[302] ส่วนญี่ปุ่นได้ใช้อาวุธดังกล่าวในสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สอง[303][304] และในสงครามชายแดนโซเวียต-ญี่ปุ่น[305] โดยทั้งเยอรมนีและญี่ปุ่นได้มีการทดลองอาวุธกับพลเรือนและเชลยสงครามจำนวนมาก[306][307]
ขณะที่การตัดสินคดีความอาชญากรรมสงครามของฝ่ายอักษะถูกชำระความในศาลชำระความระหว่างประเทศแห่งแรก[308] แต่ว่าอาชญากรรมของฝ่ายสัมพันธมิตรกลับตรงกันข้าม[309] ตัวอย่างอาชญากรรมสงคราม เช่น การถ่ายเทพลเรือนในสหภาพโซเวียต[310] ค่ายใช้แรงงานของโซเวียต[311] การกักกันชาวญี่ปุ่น-อเมริกันในสหรัฐอเมริกา ปฏิบัติการคีลฮาล[312] คำสั่งแผนกบริหารที่ 9066 การสังหารพลเรือนอย่างโหดร้ายของทหารโซเวียตในโปแลนด์ และการทิ้งระเบิดใส่โตเกียว หรือที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ได้แก่ เมืองเดรสเดน[313]
นอกจากนั้น ยังมีความสูญเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ถึงแม้ว่าบางประการที่เป็นผลทางอ้อมของสงคราม อย่างเช่น ทุพภิกขภัยในแคว้นเบงกอล ค.ศ. 1943 เป็นต้น
. -
พุทธพยากรณ์โลก
ท่านสาธุชน พุทธบริษัท ทั้งหลาย วันนี้เป็นวันที่ 8 ตุลาคม 2533 เป็นอันว่า ในระหว่างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท คงจะทราบว่า ตะวันออกกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อ่าวเปอร์เซีย กำลังจะเกิดสงครามจากอิรัก กับหลายประเทศร่วมกัน คือ อิรัก ฝ่ายหนึ่ง กับหลายประเทศฝ่ายหนึ่ง ถ้าจะเปรียบเทียบกัน คล้ายๆกับสงครามโลกครั้งที่ 2 คือ เยอรมัน กับอิตาลี ญี่ปุ่นฝ่ายหนึ่ง อเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส อีกหลายประเทศร่วมกัน แต่ทว่าสงครามนี้จะเกิดหรือไม่เกิด อันนี้ก็ทราบไม่ได้เหมือนกัน เพราะว่า ต่างคนต่างก็ตั้งท่า ต่างคนต่างก็เตรียมพร้อม ที่จะลงมือซึ่งกันและกันและคำพยากรณ์ ก็จะไม่พยากรณ์ว่าจะมีสงครามหรือไม่ แต่ทว่ามีหนังสือเล่มหนึ่ง เขาให้ชื่อว่า นอสตราดามุส เขาพยากรณ์ไว้ล่วงหน้า ถึง 2,000 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งปีนี้ ค.ศ.1990 จะเป็นปีเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 แล้วสงครามโลกครั้งที่ 3 นี่จะเป็นสงครามที่มีความร้ายแรงมาก แต่ความจริง หนังสือนี่อาตมาก็ไม่ได้อ่าน เขาให้มาเหมือนกัน อ่านผ่านไปนิดเดียว แล้วก็เขาบอกว่า ประเทศอเมริกา อาจ จะถูกระเบิดนิวเคลียร์ แล้วก็จะมีเหตุการณ์ร้ายต่างๆ เกิดขึ้น
รวมความแล้ว เป็นสงครามทำลายศาสนา ในระหว่างศาสนากับศาสนาคือ ศาสนาคริสต์กับศาสนาอิสลาม เขาว่าอย่างนั้นนะ ตามที่หนังสือว่า หรือตามที่คนบอก อาตมาก็ไม่ได้อ่านชัด ทีนี้เรื่องของดามุส ดามุสเขาพูดไว้ จะแน่นอนขนาดไหน ก็เป็น เรื่องของเขา สำหรับพวกเราบรรดาท่านพุทธบริษัท ในฐานะที่เป็น ศากยบุตรพุทธชิโนรส เป็นลูกของพระพุทธเจ้าเราก็มา ดูคำพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าบ้าง
พระพุทธเจ้า ทรงพยากรณ์ไว้กับ พระอานนท์ว่า อานันทะดูกรอานนท์ ก่อนกึ่งพุทธกาล 15 ปี จะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรง จะมีการรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกัน ฝนเหล็กจะตกลงจากอากาศ จะเผาผลาญประชาชนและบุคคลให้พินาศจะมีการล้มตายซึ่ง กันและกัน เป็นอันมากแต่ว่า อานันทะ ดูกรอานนท์ ก่อนกึ่งพุทธกาล 15 ปี จะถือว่าเป็นเหตุการณ์ร้ายแรงนักยังหาไม่ได้
ทั้งนี้ ก็เพราะว่า หลังกึ่งพุทธกาลไปแล้ว อานันทะ ดูกรอานนท์ จะมีความร้ายแรง มากกว่า ก่อนกึ่งพุทธกาลมาก ยักษ์นอกศาสนาจะรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกัน ยักษ์นอกพุทธศาสนานั่นหมายถึง คนที่ไม่ได้เคารพพระพุทธศาสนา จะรบราฆ่าฟัน ซึ่ง กันและกัน ต่างฝ่ายจะล้มตาย ฝ่ายละมาก ๆ สมณะ ชีพราหมณ์จะล้มตาย จะตายไปฝ่ายละครึ่งจึงจะเลิกรากัน สำหรับประ เทศที่นับถือพุทธศาสนาจะมีภัยเหมือนกัน แต่ไม่ร้ายแรงนัก นี่เป็นคำพยากรณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เป็นอันว่า ท่านดามุสคนนี้ ก็พยากรณ์ไว้ตรง แต่เขาบอกว่า ค.ศ.2000 โลกจะสลาย แต่ว่าพระพุทธเจ้าของเราบอกว่า โลก ยังไม่สลาย พระพุทธศาสนา จะทรงอยู่ได้ ตลอด 5,000 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทรงพยากรณ์ ไว้ที่ พระธาตุดอยกิตติ ครั้งหนึ่งทรงตรัสว่า
ชี้ว่าเขตประเทศนี้ ต่อไปจะเป็นประเทศที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาก จะสามารถทรงพระพุทธศาสนาครบ 5,000 ปี นี่หมายถึงประเทศไทย
เป็นอันว่า สงครามจะเกิดขึ้นที่ดามุสบอก ก็หมายถึงสงคราซีกตะวันตก หมายถึงอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส และประเทศอื่น ๆ กับตะวันออกกลาง สงครามจริง ๆ ยังคงไม่ถึงประเทศไทย
ทีนี้เรามาย้อนรอยถอยหลังกันก่อนว่า ตามที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติตรัสรู้ว่า ก่อนกึ่งพุทธกาล 15 ปี จะมี การรบราฆ่าฟัน ซึ่งกันและกัน ฝนเหล็กจะตกลงจากอากาศ ไฟจะลุกจากอากาศ ก็เป็นความจริง ในขณะนั้นปรากฏว่า ลูกปืนกลจากอากาศบ้าง ลูกระเบิดจากอากาศบ้าง ลูกระเบิดเพลิงบ้าง ทิ้งจากอากาศ ประเทศไทยเรา ก็พลอยยับเยิน ไม่น้อยเหมือนกัน เล่นเอาตู้รถไฟ ต้องไปขี่กัน ที่บางกอกน้อย ทั้งๆที่ตู้มันหนัก แต่แรงของระเบิด ดันตู้รถไฟจนไปขี่กัน ตึกบ้านเรือนโรงลำบากมาก
แต่ว่าสงครามนั้น เป็นเหตุบันดาล อย่างหนึ่ง นั่นคือว่า สร้างความทุกข์ บรรดาท่านพุทธบริษัท คำว่า สงคราม นี่ อาตมาผู้พูดเอง ก็ยังรู้สึกหวาดเสียวอยู่ เพราะว่า เคยอยู่ในระหว่างสงคราม ขณะนั้น อยู่กรุงเทพ ฯ แสงไฟฟ้า ก็ใช้อะไรไม่ได้ ต้องใช้ตะเกียง ตะเกียงน้ำมันก๊าดไม่มีจะใช้ น้ำมันโซล่าก็หาไม่ได้ ต้องใช้น้ำมันหมู หรือน้ำมันมะพร้าวมาทำตะเกียง ของทุกอย่าง ของกินของใช้ต้องปันส่วน เพราะหาไม่ได้ จะได้ก็ของจากญี่ปุ่น เวลานั้นของเรามีน้อย เวลานี้โรงงานมีมาก แต่ก็ไม่แน่นัก เพราะระเบิดจากอากาศก็ดีจรวดก็ดี หรือว่าระเบิดจากภาคพื้นดินก็ดี อาจจะเกิดกับโรงงานต่างๆ ในประทศไทยได้ ถ้าสงครามเขา เกิดขึ้น
หากว่าท่านจะถามว่า ทำไมสงครามเกิดขึ้นที่ตะวันออกกลางแล้วจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับประเทศไทยทำไมไทยจึงต้องหวาดระแวง ความจริง ไม่ได้พูดให้ระแวง พูดให้ทราบ ตามความจริง หรือ ตามความรู้สึกนึกคิด ถ้าเรื่องนี้ผิด ก็ต้องขออภัยด้วย เพราะว่า เป็นการคาดคะเน มากกว่าอย่างอื่น คิดว่า ถ้าสงครามเกิดขึ้น ระหว่างสงครามศาสนา ก็จงอย่าลืมว่า ศาสนาที่อยู่ ระหว่างสงคราม ก็มีอยู่ในประเทศไทยทั้ง 2 ศาสนา ถ้าเขารบกัน แต่เพียงภายนอกก็ดี แต่บังเอิญ คนที่นับถือศาสนานั้น ๆ ทั้ง 2 ศาสนาเกิดทะเลาะวิวาท รบราฆ่าฟันกันในเขตของเรา เขตของเราก็ต้องยับเยิบไป เหมือนกับสนามหญ้ากับสุนัข 2 ฝ่ายกัดกัน สนามหญ้าก็แหลก ถ้าบังเอิญเขารบกัน ก็ไม่เป็นไร ดีไม่ดีเขาจะชวนเรารบ เราจะรบหรือไม่รบ เขาก็จะรบหรือ ว่าเราไม่รบ เขาก็ไม่รบ แต่เขายึด เรายอมให้เขายึดไหม ในส่วนต่างๆ ส่วนใดส่วนหนึ่งของประเทศไทย
สำหรับความนึกคิด ในเวลานี้ ไม่ใช่หมอดูนะ ไม่ใช่พยากรณ์ ตามหลักวิทยาศาสตร์ หรือหลักอะไรทั้งหมด เป็นแต่การคาดคะเนว่า เหตุการณ์จะต้องเกิดขึ้น อาการต่าง ๆ ที่ปรากฏในปัจจุบันจะฟูขึ้น เพราะรับการสนับสนุนเรื่องการเงิน กำลังอาวุธ จากที่อื่น จากนั้นเหล่าทหารตำรวจของเรา ก็ต้องเคลื่อนกำลังเข้าไปรักษาเขต ทีนี้เขตต่อเขต เขตยันเขต เขตที่เขาก่อขึ้น เป็นเขตในประเทศไทย และเขตต่อไปข้างหน้า ก็เป็นเขตที่เขา พวกเดียวกัน อะไรมันจะเกิดขึ้นบ้าง ลองวาดภาพกันดู ถ้า มันเกิดจริง ๆ ตามเขาว่านะ อันนี้ไม่ได้รับรองว่า มันจะเกิดจริงหรือไม่
ถ้าเกิดจริงส่วนประเทศไทย ทุกจุดทุกภาค ก็มีบุคคลที่ถือ ศาสนาตรงกันข้าม กับพระพุทธศาสนา ก็มีกำลังสูงขึ้น ที่เขาโต้กัน ที่เชียงใหม่อภิปรายก่อนหน้าที่จะพูดนี้ไม่ถึงเดือน เขาโต้กันถึงหลักสูตรการศึกษาว่า
หลักสูตรพระพุทธศาสนา ถูกลดลงไป หลักสูตรศาสนาอื่น เข้ามาแทน อย่างนี้ก็ต้องมีอาการ น่าคิดว่า เขาวางแผนล่วงหน้าไว้ไกลมาก หรือว่าเป็นการวางแผน ล่วงหน้าไว้ก่อน โดยเฉพาะระยะใกล้ก็ได้
ก็เป็นอันว่า ในเมื่อสงครามใหญ่เกิดขึ้น ทางด้านตะวันออกกลาง ทีนี้ เศษสงคราม มันก็อาจจะเข้ามาถึงประเทศไทยต่อ ไปก็เป็นการเดาอีก ขอเดานะ ไม่ได้พูดตรง ๆ จะหาว่าดูผิดก็ไม่ได้ เดามันผิดได้ ขอเดาว่า ถ้าสงคราเกิดขึ้น อย่างนั้นจริง ๆ แต่ความจริงเวลานี้ ยังไม่มีใครจะให้เกิด เวลาที่พูดนี่นะ วันที่ 8 ตุลาคม 2533 แต่กว่าหนังสือนี่จะออกถึงเดือนมีนาคม ถ้าสงครามเกิดก็เกิดแล้ว ไม่เกิดก็ไม่เกิด ในระหว่างนี้ต่างคนต่างมองต่างคนต่างพูด แสดงเรื่องการเมือง เอาเหตุผลต่าง ๆ มาหักล้างกัน ก็ไม่แน่นักว่า มันจะเกิด ก็อยากจะบนบานศาลกล่าวว่ามันไม่เกิดนั่นแหละเป็นการดี แต่ทว่าพระดำรัสของ องค์สมเด็จพระชินสีห์ ไม่เคยผิด แต่ว่าท่านไม่ได้บอก พ.ศ.
เป็นอันว่าประเทศไทยก็จะถูกหาง หรือท้ายฝน ละอองฝนจากสงคราม ก็เป็นอันว่า เราถูกละอองฝน ดินแดนเราก็จะไม่เสีย แต่ว่า ชีวิตคนอาจจะเสียไปบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สิ่งที่น่าห่วง ก็คือ ของกินของใช้ ราคามันจะแพงมาก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า
เราต้องใช้น้ำมัน โรงงานต่างๆ ต้องใช้น้ำมัน ในเมื่อสงครามเกิดขึ้น ในเขตของบ่อน้ำมัน เราจะมีโอกาสซื้อ น้ำมันได้หรือเปล่าก็ยังไม่แน่
ท่านดามุส ท่านบอกว่า อำนาจของฝ่ายน้ำมัน มีอำนาจมาก สามารถเอาอาวุธ ใส่ในท้องปลา ไปยิงที่ไหน ก็ได้ นั่นหมายถึง เรือดำน้ำ ถ้าเราส่งเรือไปซื้อของในเขตใดเขตหนึ่ง ซึ่งเป็นเขตของศัตรูของเขาเรือดำน้ำของเขา ก็อาจจะยิงเรือพาณิชย์ ของเราก็ได้ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ คนที่พบระหว่างสงคราม จะมีความรูสึก หนาว ๆ ร้อน ๆ แต่ว่า ขอยืนยัน บรรดาท่าน พุทธ บริษัทว่า สิ่งที่เราไม่ต้องกลัวอย่างหนึ่งคือ เขาประกาศบอกว่า การสงครามนี้เขาจะใช้อาวุธเคมีบ้าง จะใช้นิวเคลียร์บ้าง จะ ใช้นิวตรอนบ้าง อาวุธทั้งหลายเหล่านี้ น่ากลัวจริง ๆ แต่สำหรับความรูสึกของผู้พูด ไม่มีความรู้สึกกลัวเลย เพราะว่า
พระพุทธเจ้ามีความศักดิ์สิทธิ์ ของๆท่านทุกชิ้นที่ผลิตออกมา ท่านบอกว่า กันรังสีต่างๆได้หมด รังสีต่างๆจะไม่สามารถ กระทบกาย หรือทรัพย์สินบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ที่มีของของท่านได้ ที่ท่านทำให้นะ
ก็เป็นอันว่า ท่านยืนยัน มาตั้งแต่ พ.ศ. 2521 และท่านทำทุกครั้ง ท่านก็ยืนยันทุกครั้งว่า เกี่ยวกับรังสีต่างๆ ไม่ต้องกลังเลย รังสีจะไม่เข้าใกล้บุคคลที่มีของที่ท่านทำให ้ของนั้นอยู่ไหน ก็หาเอาเองก็แล้วกัน ของนั้นจะขอบอกเป็นนัยๆ เอาตรงๆ เลย ก็ได้คือ พุทธานุสสติ นั่นคือนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ และก็ภาวนาไว้ว่า พุทโธ เวลาหายใจเข้านึกว่า พุท เวลาหาย ใจออกนึกถึง โธ ก่อนจะออกจากบ้าน ตื่นขึ้นมาใหม่ๆ บูชาพระก่อน ภาวนาว่า พุทโธ ก่อนอธิษฐานขอความปลอดภัยก่อน จะไปก ็เสกน้ำลายด้วยกำลังของพุทโธสัก 3 ครั้ง แล้วก็เดินออกจากบ้านไปหรืออยู่บ้านก็ได้ ภัยอันตรายจะไม่มีแก่ท่าน หรือว่า ถ้าทำอย่างนั้น ยังไม่เกิดความมั่นใจ ก็เอาของที่องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงทำไว้ติดกับร่างกาย แต่ต้องอารธนาทุกวัน ว่า นะโม ตัสสะฯ 3 ครั้ง แล้วก็ว่า พุทโธ เหมือนกัน และก็อธิษฐานให้ปลอดภัย อย่างนี้จะปลอดภัยจากรังสีต่าง ๆ แม้แต่สะเก็ดระเบิด หรือว่ากระสุนปืนของข้าศึก ก็จะไม่มีอันตรายกับท่าน ถ้าท่านทั้งหลายมี พุทธานุสสติ เป็นกำลังใจ
ทีนี้เรามาคุยกันต่อไปนี่มันเรื่องคุยนะ ถ้าบังเอิญเวลานี้มีอิรักตั้งท่ายัน อิรักปรากฏว่า ประกาศว่ามีคน 18 ล้านแต่ทว่า อิรัก อิรักอิหร่านนี่รบกันมาประมาณ 8 ปี พออเมริกาส่งกำลังเข้ามาในอ่าวเปอร์เซีย อิรักอิหร่านดีกันฉิบ พื้นที่ของอิหร่านที่อิรักยึดได้ ก็พันตารางไมล์ก็ตาม คืนให้หมดปล่อยเชลยให้หมด เวลานี้ศัตรูกับศัตรู อิรักกับอิหร่านเป็นมิตรกัน อิหร่านก็เข้ากับอิรัก ไม่เห็นด้วยที่อเมริกา จะเอาวัฒนธรรมของเธอ มาใช้ในตะวันออกกลาง เขาถือว่า ผิดกฏของพระศาสนา นี่ป็นอันว่า อิ รักก็มีเพื่อนเข้าอีกหนึ่งประเทศ คือ อิหร่าน อิหร่านนี่ก็ไม่ใช่เล่นเหมือนกัน หนักเหมือนกัน แล้วต่อมาอย่าลืมว่า สายเลือดที่ร่วมกันมา เขาอาจจะไม่ทิ้งกันนั่นคือศาสนา คนที่นับถือศาสนาร่วมกัน อาจจะร่วมมือกันภายหลัง อย่างนี้สงครามใหญ่จะเกิดขึ้น ซึ่งตรงกับคำพยากรณ์ของพระท่าน
ในปีที่ญวนแตกอเมริกาหนีกลับบ้าน ปีนั้นก็ถามพระท่านว่า หลังจากนี้จะมีอะไรบ้าง สงครามใหญ่จะเกิดขึ้นไหม
ท่านบอกว่า คำว่าสงครามโลก ยังไม่เกิด คำว่าสงครามโลกนั่นหมายถึงว่า ทั้งโลกแบ่งกันเป็น 2 พวก ร่วมกันทั้งหมด แล้วก็ตีกันใน ระหว่างฝ่ายต่อฝ่าย คือตีกันรบกันอย่างนี้เรียกว่า สงครามโลก
แต่สงครามครั้งที่จะเกิดทางด้านตะวันออกกลางท่านบอก ตรงว่า จะเกิดที่ด้านตะวันออกกลาง เขายังไม่เรียกว่าสงครามโลก เขาเรียกว่าสงครามใหญ่ สงครามใหญ่คราวนี้จะ มีความร้ายแรงไม่น้อย ร้ายแรงกว่า สงครามโลกครั้งที่ 2
แต่ว่าท่านก็ไม่ได้บอกอย่างดามุสว่า ถึงแม้อเมริกาอาจจะถูกนิว เคลียร์ ท่านไม่ได้บอกไว้ คือไม่ได้ถาม
รวมความว่า คำพยากรณ์ของท่านที่พยากรณ์ว่า จะเกิดที่ตะวันออกกลางก็ตรงแล้วเวลานี้ตะวันออกกลางจะมีสงครามอย่าง น้อยที่สุดก็เป็นสงครามเศรษฐกิจ เริ่มบีบรัดกันขึ้นมาการถูกบีบนี่ บรรดาท่านผู้ฟังละ ท่านผู้อ่าน สมัยเยอรมันก็ดี ญี่ปุ่นก็ดี อิตาลีก็ดี ที่ต้องประกาศเป็นสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็เพราะว่า การถูกบีบคั้นจากโลกตะวันตกหรือหลายๆประเทศที่เรียกกัน ว่า สันนิบาตชาติ ในเวลานั้นทั้ง 3 ประเทศ ลาออกจากสันนิบาตชาติ สันนิบาตชาติ ต่างคนต่างบีบคั้นต่างๆ หาทางกลั่นแกล้ง ถ้าไม่รบก็อดตายมีความจำเป็นต้องรบ หมายถึงว่า ยอมเสี่ยง ยอมเสี่ยงการเสียอิรภาพ การเสียประเทศจะต้อง เป็นเมืองขึ้นเขากับความตาย ทีนี้การรบความตายมันก็เกิด แต่เกิดเฉพาะบุคคลบางกุลุ่มที่เป็นทหาร และบุคคลที่อยู่ใกล้ จุดยุทธศาสตร์ที่ถูกระเบิด คนนอกนั้นจะไม่ตาย ถ้าไม่รบความอดเกิดขึ้น มันจะตายทั้งประเทศ เขาต้องตัดสินใจรบ เรื่อง สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 มีฉันใด เวลานี้อิรักกับอิหร่าน กำลังจับมือกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศาสนามุสลิมเขาเป็นศาสนาที่ มีความรักกันมาก
อย่างตอนใต้ ประเทศไทยไทย คราวนั้น ฟังข่าวจากทางโทรทัศน์ จาก ท่านพันเอกณรงค์ กิตติขจร ท่านบอกว่า ใครล่ะ พันเอกกัดดาฟี มั้ง ถ้าพูดชื่อผิด ขออภัยด้วย ท่านเคยไปเจรจากัน บอกว่า อย่ามายุ่ง กับประเทศไทยเลย แต่เขาบอกว่า รัฐบาลไม่ได้ยุ่งด้วย แต่ที่ยุ่งนั้นเป็นเรื่องของศาสนา ที่จะให้มีการแบ่งแยกประเทศไทย ออกเป็นของมุสลิมส่วนหนึ่ง ของไทยส่วนหนึ่ง เขาหวัง 4 จังหวัด แต่ความจริงถ้าเขายึด 4 จังหวัดได้ เขาจะเอาอีก 8 จังหวัด ถ้า 8 จังหวัดได้เขาจะเอา อีก 16 จังหวัด ผลที่สุดเขาต้องการยึดทั้งหมดทั้งประเทศไทย ความพอใจของคนไม่มีฉันใด บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ถ้าสงครามเกิดขึ้น ถ้าเราจำเป็น ต้องเสียดินแดน เรื่องเสียเฉพาะน่ะ ไม่มีแน่นอน มันต้องเสียกันเรื่อยไป เวลานี้เราก็ไม่มีพอที่จะเสียแล้ว แต่ที่พูดนี่ ก็ไม่ได้หมายความว่า สงครามจะเกิดจริง สมมติว่า ถ้ามันจะเกิดทีนี้เรื่องของศาสนา ก็จะ เกิดขึ้นที่พูดนี่ไม่ได้ยุให้คน 2 ศาสนาทะเลาะกันนะเป็นแต่เพียงว่า ท่านณรงค์ท่านบอกว่า ท่านไปพูดกับประธานาธิบดีของ เขา ประธานาธิบดีของเขาก็บอกว่า รัฐบาลไม่ได้ยุ่งเป็นเรื่องของศาสนา ทีนี้ศาสนาจะเอาเงินมาจากไหน ก็ทราบไม่ได้เหมือนกัน
รวมความว่า หันมาคุยกัน ในประเทศไทย ถ้าสงครามเกิดขึ้นจริงๆ เราจะเป็นอย่างไร ประการแรก เรายังพูดถึงศานาก่อน ถ้ามันเกิดขึ้นจริงๆ เราจะหนัก เรื่อง น้ำมัน นิดหน่อย แต่ว่า น้ำมันในประเทศไทย ถ้าเร่งรัดจริงๆ จะเหลือใช้ เพราะอะไร เพราะว่า น้ำมันในประเทศไทยนี่มีมาก การเจาะบรรดาท่านผู้อ่านและท่านผู้ฟังที่พูดนี่ก็ขอเดาคิดว่าท่านที่เจาะเขาคง จะเจาะไม่ถึงเพดานจริงๆ ของน้ำมัน รวมความว่า ถังน้ำมันถังใหญ่จริงๆ น่ะ เราจะพูดตามความเป็นจริงแล้ว ประเทศจีน เขาก็มีน้ำมัน เขาอยู่สูงกว่าเรา ประเทศพม่าก็มีน้ำมัน อินโดนีเซียก็มีน้ำมัน แล้วก็ไทยล่ะอยู่กลางทำไมจะไม่มีน้ำมัน
ทีนี้เวลานี้การเจาะน้ำมัน การดูดน้ำมันเขาว่าได้น้อย แต่ความรูสึกของผู้พูด หรือตามข่าวหนังสือพิมพ์เขาบอกว่าความจริง ประมาณน้ำมันที่ได้ มันมากกว่าข่าวที่เขาแจ้งมาข้อนี้จะเท็จจริงประการใดก็ไม่ทราบ สุดแล้วแต่หนังสือพิมพ์ แต่เขาบอก ว่าเขาแจ้งได้น้อย ก็ยังมีอีกหลายหลุมที่เขาเจาะพบแล้ว เขาบอกว่า
ไม่พอกับเชิงพาณิชย์ จึงไม่ยอมดูดขึ้นมา นี่ก็เป็นลีลาของพ่อค้าเป็นของธรรมดา ถ้ากำไรน้อยเขาจะไม่เอา หรือจะมาพูดกันอีกทีหนึ่ง
เวลานี้ทราบว่า คนไทยศึกษาเรื่องวิชาการเจาะน้ำมันมาได้ดีแล้ว มีความชำนาญพอแล้ว แล้วก็กำลังจะเจาะก่อนหนังสือจะ ออกคงจะเจาะแล้วละมั้ง เจาะก๊าซที่สงขลาใกล้ ๆ กับบ่อเดิม จะเอาก๊าซมารวมกัน เข้ากับท่อเดียวกัน ขึ้นมาใช้จะได้มีปริ มาณสูง ถ้าบังเอิญท่าน หรือนายทุนท่านใดท่านหนึ่ง ในพื้นที่ ที่ไม่มีสัญญาประมูลกับบริษัทต่างๆ แต่น้ำมันมีมาก ปริมาณ ของประเทศไทยนี่
ถ้าจะลองเจาะอย่างต่างประเทศเขา เอาที่ใดที่หนึ่งก็ได้สักที่หนึ่ง ที่พูดนี่เป็นการสมมติกันนะ จะเชื่อหรือไม่สมควรเชื่อ
เพราะความรู้สึกว่ามีอยู่ว่าการเจาะที่แล้วมา เขาเจาะกันยังไม่ถึงฝาผนังหรือเพดานของถังน้ำมัน ซึ่งมันเป็น ถังใหญ่คลุมจักรวาล มันเป็นทะเลอีกชั้นหนึ่งต่างหาก คือเป็นทะเลน้ำมันจริงๆ ประเทศไทยตั้งอยู่เหนือทะเลน้ำมัน จีนก็เช่นเดียวกันแล้วก็พม่าก็เหมือนกัน อินโดนีเซียก็เหมือนกัน มาเลเซียก็เหมือนกัน บรูไนก็เหมือนกัน มันเป็นถังถังเดียวกัน ถ้าบังเอิญเราจะเจาะอย่างอังกฤษ ที่เขาบอกว่า อังกฤษเจาะที่ทะเลเหนือ เจาะลงไปลึกลงไปใต้ดินถึง 6 กิโลเมตรก็ได้น้ำมันขึ้นมาเพียงพอ
แต่ประเทศไทยเราสำรวจแล้วว่า ที่ใดที่หนึ่งมีน้ำมันพอที่จะเจาะได้ ก็ลองเจาะสัก 6 กิโลเมตรจะมีผลเป็นประการใดเรื่อง นี้ก็ลองถามท่านผู้รู้ท่านหนึ่ง ท่านมีความชำนาญในด้านนี้มาก ก็เรียกว่าดร.สรรพศาสตร์ ท่านดร.สรรพศาสตร์ ท่านบอกว่า ถ้าเจาะลงไปถึง 6 กิโลเมตร ในถังน้ำมัน ที่มีพื้นแผ่นดินหนาหมายความว่า หลังถังน่ะลึกลงไปเจาะลงไปแค่ 3 กิโลเมตร จะถึงผิวถังน้ำมัน หรือหลังคาน้ำมัน ถ้าเจาะถึง 6 กิโลเมตร ไอ้ท่อที่เจาะลงไปนั้น จะจมไปในตัวถังน้ำมัน บ่อน้ำมันจริง ๆ ครึ่งกิโลเมตร ถ้าเจาะในที่ตื้น ที่บางจุด อยู่ไม่ไกลกรุงเทพนัก ในที่นี้ถ้าเจาะถึง 6 กิโลเมตร ท่อจะจมลงไปในเขตของน้ำ มันประมาณ 6 กิโลเมตร ถามว่า ดร.สรรพศาสตร์ ถ้าเราจะดูดใช้อย่างปัจจุบันนี่ ถ้าทำอย่างนั้นจะใช้ได้สักกี่ปี ท่านบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกันเอา 30 เท่าของปัจจุบันใช้ไป 5,000 ปี น้ำมันยังไม่หมด ปริมาณยังไม่ลด
นี่แหละบรรดาท่านผู้อ่านและท่านผู้ฟัง ถ้าบังเอิญท่านดร.สรรพศาสตร์ ท่านพยากรณ์ตามความรู้ของท่าน ถ้าตรงตามนี้ประ เทศไทยเราก็ไม่จน อย่างอื่นจะไม่มีก็ไม่เป็นไร ไฟของเรามีน้ำมันเราก็ถูก อุตสาหกรรมของเราลงทุนถูก เพราะน้ำมันถูก เราจะขายต่างชาติได้ดี ระยะนั้นประเทศไทยเราจะรวย
เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เราคุยกันมาวันนี้ก็ป่วย แต่เกรงว่าเล่มที่ 18 นี่จะไม่ครบ ทำไปแล้ว บ้างตามสมควร แต่ไม่แน่ใจ ว่าจะครบหรือไม่ครบ ก็ลุกขึ้นมาทำหันไปดูเวลาเหลือเวลาประมาณนาทีเศษ ก็ขอเตือนบรรดาญาติโยม พุทธ บริษัท ซึ่งเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ว่า จงอย่าหวั่นไหว ต่อสงคราม ขอยืนยันว่า ถึงแม้ว่าสงคราม จะเกิด ก็จริงแหล่แต่ทว่าเราจะไม่ตายเพราะสงครามโลก เราจะไม่อดตายเพราะสงครามโลก และนักเกษตรศาสตร์ก็ดีนักเกษตร ศาสตร์นี่จะมีโชคดีมากคือ จะรวย ข้าวจะแพง พวกที่เลี้ยงสัตว์ก็ดี ราคาจะแพง จะรวยทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าไม่มีความประมาท บรรดาท่านพุทธบริษัท ประเทศไทยจะมีแต่ความอุดมสมบูรณ์
. -
สรุปว่า....สงครามโลกครั้งที่ 2 (แต่ละฝ่ายตายไปกว่าครึ่ง) ไม่ใช่สงครามใน......พุทธพยากรณ์
แต่เป็นสงครามใหญ่....ที่จะเกิดขึ้นในแถบตะวันออกกลาง....และร้ายแรงกว่า....สงครามโลกครั้งที่ 2
. -
ไทยจะเป็นมหาเศรษฐี
ท่านสาธุชนพุทธบริษัท วันนี้ยังเป็น วันที่ 8 ตุลาคม 2533 ตามเดิม แต่ว่าพูดเป็นตอนที่ 2 ตอนนี้ ขอพูดถึงตอนที่ ไทยจะเป็นมหาเศรษฐี ถ้าสงครามโลกเกิดขึ้นท่านทั้งหลายคิดออกหรือยังว่า สงครามโลกเกิดขึ้น และมันก็ไม่ได้เกิดกับประเทศไทยโดยตรง มันเกิดภายนอกประเทศ นอกเขตของไทย เป็นอันว่า ลูกปืนก็ไม่มาถึงประเทศไทย เครื่องบินก็ไม่มาถึง ประเทศไทย แต่ต้องระวังจรวด เรื่องจรวดนี่ ต้องระวังกันหน่อย เพราะจรวดมันมาจากใต้นํ้าได้ มันยิงทางไกลได้ ถ้ามันจะ เกิดขึ้นบ้างก็เป็นขนาดย่อมๆตามจุดต่างๆ เป็นจุดเล็กๆ อาจจะโผล่จุดนี้บ้างจุดนั้นบ้าง เป็นการทำให้รวน กำลังของทหาร รวน แล้วจะตั้งกลุ่มขึ้นบางจุด เป็นกลุ่มใหญ่น้อย ก็ไม่มีอะไรน่าหนักใจ ก็รวมความว่า สงครามโลก ไม่มีเรื่องหนักใจ ในเรื่องการตายของเรา เรื่องรังสีของวิทยาศาสตร์ รัศมีต่างๆไม่ต้องวิตก ขอยืนยันว่า บุคคลที่นับถือ พระพุทธเจ้าจะไม่ตาย เพราะรังสีต่างๆ ตามที่บอกมาแล้ว
ทีนี้ความรํ่ารวย มันจะเกิดขึ้นบ้าง ประการแรกขอบอกว่า เรื่องนํ้ามันจะเป็นเหตุให้รวย เพราะว่า ทุกประเทศต้องใช้นํ้ามัน และอีกประการหนึ่งนั่นก็คือว่า ถ้าสงครามโลกเกิดขึ้นจริงๆ ถึงแม้ว่า เราจะไม่ได้เข้าสงครามโดยตรง แต่ว่าทหารของ ประเทศบางประเทศ จะต้องยกเข้ามาตั้งในจุดใดจุดหนึ่ง ของประ เทศไทย เวลานั้น เราก็ขายนํ้ามันให้เขา เราก็รวยถ้ามี กองทหารอื่นเข้ามา มันจะดีหรือไม่ดี นี่ก็เป็นเรื่องของการเมือง แต่มีความจำเป็นเกิดขึ้นต้องยอมรับ ถ้ามีการยอมรับ ราย ได้ต่างๆของประชาชนก็เกิดขึ้น
ทีนี้รัศมีสงคราม ในเมื่อไม่ถึงประเทศไทย เราก็ไม่มีความลำบาก บรรดาท่านที่ทำนาทั้งหลาย ท่านที่มีนาอย่าเพิ่งขายนา ในราคาแพงมากนัก คือขายก็ขายเถอะ แต่อย่าขายให้มันหมด ก็มีคนหลายคนมาบอก ว่ามีที่ 20 ไร่บ้าง 30ไร่บ้าง 50ไร่ บ้าง 100ไร่บ้าง อยากจะขาย ขายได้ไร่ละเป็นล้านนี่ก็เห็นใจเหมือนกัน ความจริงเงินนับล้าน เป็นของหายาก ก็เห็นใจเขา อาจจะตั้งตัวอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ ถ้าไม่ลืมตัว แต่ว่าบางท่าน ที่ไม่มีโอกาส จะขายนาของท่านได้ นาของท่าน อยู่ไกลที่ เจริญ อยู่ไกลแม่นํ้า ไกลถนน ถ้าเขาจะซื้อ ก็ซื้อราคาถูก ท่านก็ไม่อยากจะขาย ท่านจะขายราคาแพง ในที่สุดท่านก็ไม่มีโอ กาสขาย ในเมื่อเวลานี้ไม่มีโอกาสจะขาย ท่านอาจจะเสียดายว่า ที่นาของเราไม่ได้ขาย เราไม่รวยแต่ทว่าสงครามโลกเกิด ขึ้นจริงๆ ท่านจะดีใจ เพราะนาท่านไม่ได้ขาย ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะข้าวของท่าน ที่ออกมา ราคามันแพง มันจะขายได้ดี ทุกสิ่งทุกอย่าง มันก็จะแพงกันหมด ดูสงครามโลกครั้งที่ 2 ทุกสิ่งทุกอย่าง มันหายาก ยิ่งเขายิ่งรบกันโอกาสที่เขาจะทำมัน ก็มีน้อย เขาต้องใช้เวลารบกันมากขึ้น ทีนี้เราก็ขายได้ดี
มาส่วนด้านของอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมก็มีมาก แต่ว่าอุตสาหกรรมก็ต้องระวังโรงงานโรงงานต่างๆต้องระวังระเบิดภาคพื้นดิน ไม่ใช่ระเบิดอากาศ ระเบิดภาคพื้นดิน จะอาละวาด ถ้าจะถามว่า หาทางป้องกันอย่างไร นี่เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจทหาร หรือท่านเจ้าของโรงงาน ทางด้านพุทธศาสนา ก็มีบอกไม่ได้ จะบอกได้อย่างไรว่า เรานับถือพระพุทธเจ้าเท่ากันหรือเปล่า ถ้านับถือเท่ากัน ก็เอาของที่ท่านให้ไว้ ท่านให้ไว้นั่น ก็คือ ความดี ของดี ถ้ามีไว้ในรัศมีนั้น จะไม่มีอันตรายจากภัยระเบิด และภัยโจมตีต่างๆ จะไม่เกิดขึ้น เหมือนกับสมัยมี ผกค. ในที่ต่างๆ เคยถูกโจมตี และเจ้าของสถานที่นั้น เจ้าหน้าที่ในที่นั้น เกิดมีความเคารพพระพุทธเจ้าขึ้นมา มีของอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นสัญลักษณ์ แสดงไว้เป็นเขต ในเขตนั้น ปรากฏว่า ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ไม่เคยถูกโจมตีหรือข้าศึกยิงเข้ามา ก็ไม่เข้าสถานที่ ตรงหน้าไม่เข้าฐาน เป็นอันว่าทหาร ในเขตนั้น ก็ปลอดภัย ข้อนี้เป็นสัญลักษณ์ แสดงให้เห็นว่า
ถ้าเรา นับถือพระพุทธศาสนาจริง และยอมรับนับถือพระพุทธเจ้าจริง สิ่งใดที่ท่านให้ไว้ สิ่งนั้นเราเคารพด้วย ความจริงใจ และทุกท่านจะปลอดภัย จากสงครามโลกครั้งที่ 3
ทีนี้ถ้าโรงงานต่างๆมีความเคารพ พระพุทธเจ้าด้วยความจริงใจจริงๆโรงงานนั้น จะพ้นภัยจากระเบิด และการทำอันตรายต่างๆ จากสรรพวุธ จะไม่เกิดขึ้น กับโรงงานนั้น โรงงานนั้น ในเมื่อผลิตของได้ก็จะขายดี รวย เขารบกัน เขาไม่มีเวลาทำ เพราะเราไม่ต้องรบ เขาต้องสูญ ต้องเสียเงิน เพื่อการรบ การรบต้องใช้เงินมาก เราไม่ต้องสูญเสียเงิน เพราะการรบเราก็ ขายของของเรา ในเมื่อของมันขาด ราคาก็แพงใน เมื่อขายของได้ ราคาแพงมาก รัฐบาลก็ได้ภาษีอากร มากขึ้น ประเทศก็รวย คนในปะเทศก็รวย นี่พูดถึงความรํ่ารวย ที่ไทยจะเป็มหาเศรษฐี
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นํ้ามันตามจุดต่างๆที่บริษัทเขาเจาะไว้ เขาบอกว่า มันไม่พอใช้มันจะปรากฏขึ้น เพราะเราไม่มีโอกาส ซื้อนํ้ามันต่างประเทศ ถ้านํ้ามันต่างประเทศ จะซื้อได้ยากราคาแพง อันนี้เขาจะดึงขึ้นมาใช้ ราคาเหมือนราคาต่างประเทศ อย่างนี้อุตสาหกรรมของเรา ก็จะรวยไม่ได้ ถ้าบังเอิญคนไทย อย่างที่ฝางใช้หัวเจาะลึกๆ หัวเจาะยาวๆ เจาะลงไปลึกๆ แต่ ตามหลัก นักวิชาการ เขามีอยู่ อาตมาก็ไม่ได้ค้านตามนั้นนะ ลองเจาะดูตามที่ ดร.สรรพศาสตร์ ท่านพูด ดร.สรรพศาสตร์ ท่านบอกว่า ที่ใดก็ตามเจาะลงไป มันจะมีนํ้ามันแต่ว่า ผิวดินมันจะลึกจะตื้นกว่ากัน นั่นอีกอย่างหนึ่งต่างหาก เท่าที่เขาเจาะ เวลานี้ ยังไม่ถึง ขุมนํ้ามันจริงๆ มันไปถึงต่อมเล็กๆ บนหลังถังนํ้ามัน ยังไม่ถึง ถังขุมนํ้ามันแท้ ถ้าใช้หัวเจาะ ประมาณ 6 กิโลเมตร อย่างอังกฤษเจาะ อย่างนี้ไม่ต้องใช้กี่บ่อแล้ว เพียงแค่ 10 บ่อดึงกันวันไม่รู้จักเท่าไร เท่าไรก็ไม่รู้จักหมดเราใช้ ประมาณ 30 เท่า หรือ 300 เท่าของเวลานี้สัก 1,000 ปี มันก็ไม่หมด เพราะมันเป็นทะเลใหญ่ ดร.สรรพศาสตร์ท่านพูดอย่างนี้นะ
ถ้าบังเอิญคนไทยของเรา ดึงขึ้นมาได้เอง เราก็กดราคานํ้มันให้ตํ่าลงไป อย่างแพงที่สุด ก็เท่าราคานํ้ามันในปัจจุบัน รักษาราคาน้ำมันไว้ ต่างประเทศเขาต้องซื้อราคาแพง เราถูก อุตสาหกรรมของเรา ก็มีราคาถูก ขายได้กำไร กำไรก็มีมาก กำไร จากอุตสาหกรรมด้วย กำไรจากเกษตรกรรมด้วย กำไรจากนํ้ามันด้วยและมีกำไรมากมายประเทศไทยก็จะเป็นมหาเศรษฐี
ทีนี้ต่อไป มันก็มีเวลาเหลือ บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็มาคุยกันว่า ถ้าสงครามโลกไม่เกิดจะว่าอย่างไร ก็ต้องตอบว่า ถ้าสงครามโลกไม่เกิดก็เป็นของดี แต่ว่าท่าน ดร.สรรพศาสตร์นี้ ก็เช่นเดียวกัน ท่านบอกว่า สงครามโลกเขาเรียกสงครามใหญ่ ไม่ใช่สงครามโลก ก็เป็นอันว่า ถึงแม้จะเป็นสงครามโลก ก็ตาม สงครามใหญ่ ก็ตาม ถ้ามันเกิดขึ้นจริง เราก็เอาบทเรียน จากสงครามโลกครั้งที่ 2 มาใช้กัน
1. ผ้าในสมัยนั้น หาคนนุ่งผ้าดีได้ยาก ส่วนมากก็จะมีคน นุ่งผ้าขาดๆ เพราะเวลานั้น โรงานทอผ้าของเรา ยังมีน้อยแต่เวลานี้ โรงงานทำผ้าของเรามีมาก แต่ก็ไม่แน่นอนนัก บางทีระเบิดเพลิง จะเกิดจากภาคพื้นดินก็ได้ ถ้าระเบิดเพลิงจากภาคพื้น ดินเกิดกับโรงงาน โรงงานทำผ้าของเราก็จะสลายตัว ผ้าก็จะน้อย อันดับแรก เตรียมผ้าไว้ก่อน อันดับที่ 2 เตรียมพื้นดินไว้ ถ้ามีอยู่บ้าง ไม่มากไม่มาย ก็อย่าเพิ่งรีบขายเกินไป ถ้าได้กำไรมากๆ เป็นล้านๆ ก็ไม่ว่าอะไร ขายเถอะ แล้วเก็บเงินไว้ให้ ดี อย่าใช้ให้มันหมดตัว จงคิดว่า ถ้ามันหมดตัวแล้วเราไม่มีทางจะหาที่ดินขายใหม่
ประการที่ 2 ก็เตรียมเนื้อ เตรียมกาย เตรียมใจ เตรียมใจไว้ นึกถึงความจริง ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนว่า
โลกเต็มไปด้วยความทุกข์ โลกไม่มีความสุข โลกเป็นอนิจจัง หาความเที่ยงไม่ได้ ในเมื่อมันเป็นอนิจจัง ก็เป็นความทุกข์ในที่สุด ก็เป็นอนัตตาตายหมด
ถ้ามันเป็นเรื่องอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร ความจริงเป็นอย่างนั้น ถ้าเรายอมรับก็ไม่เป็นไร ถ้าจิตยังไม่ยอมรับ มันก็มีความดิ้นรน มันก็มีความเร่าร้อน ถึงจะดิ้นรนจะเร่าร้อนขนาดไหนก็ตามเราก็จะหนีไม่พ้น ในเมื่อหนีไม่พ้นเราก็ต้องทนสู้ ทนสู้ กับภาวะ ของสงคราม ทีนี้เราจะสู้กับใคร เราสู้กับตัวเราเอง นั่นคือ ต้องใช้น้อย กินน้อย นอนมากๆ และตื่นไวๆ ใช้กำลังร่างกายทำ การงานให้ดี ได้พูดอย่างนี้ ก็พูดเรื่อยเฉื่อยไป
เป็นอันว่า ตามคำพยากรณ์ของดร.สรรพศาสตร์ ท่านบอกว่าประเทศไทยจะเป็นมหาเศรษฐี แล้วคนไทยทุกคน จะเป็นมหาเศรษฐีไหม ก็ต้องขอบอกว่า คนไทยทุกคนไม่เป็นมหาเศรษฐีทุกคน แต่ว่าก็มีจำนวนมาก ก็จะเป็นลูกศิษย์มหาเศรษฐี คือ เป็นคนงานของมหาเศรษฐี เราก็จะเป็นเศรษฐีเล็กในครอบครัวเล็กๆได้เหมือนกัน สมมติว่าครอบครัวใด ยังไม่เคยมีเงิน ล้าน ครอบครัวเล็กๆ ปะเภทนั้น จะมีเงินล้านใช้ ประเภทครอบครัว ที่มีเงินแสนใช้ ต้องถือว่า เป็นครอบครัว ที่ยากจนมาก ถ้าบ้านไหนมีเงินล้านใช้ ถือว่าเป็นบ้านที่พอมีพอกินพอใช้ พอหาได้เลี้ยงตัวรอด ที่มีเงินเหลือเป็นแสน ก็ถือว่าเลี้ยงตัวรอด เหมือนกัน ที่ได้มาอย่างนี้เพราะว่า เรามีกำไรจากสงคราม แต่เราไม่อยากให้เกิดสงคราม
ทีนี้มาพูดอีกทีหนึ่งที่ ดามุส ท่านบอกว่า ศาสนาคริสต์จะสลายตัว แต่ศาสนาอิสลาม ท่านไม่ได้บอกว่า จะสลายตัวหรือเปล่า แต่ว่า ท่านพระพุทธเจ้าเคยตรัส บอกว่า ถ้าสงครามเกิดขึ้น หลังกึ่งพุทธกาลแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วกล่าวว่า ยักษ์นอกพระพุทธศาสนา จะรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกัน จะตายไปฝ่ายละครึ่ง จึงจะเลิกรากัน
ตอนนี้ ด้านศาสนาของเขา ก็จะก็จะมีการหย่อนตัวลงไป เพราะความทุกข์ความเศร้าโศกเสียใจ ความเสียหายเกิดขึ้นตาย ไปฝ่ายละครึ่ง ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะ บรรดาท่านพุธบริษัท การเชื่อพระเจ้า จะน้อยลง หรือ อาจจะสลายตัว อย่างท่านดามุส บอกก็ได้
ทีนี้มาพูดถึงพุทธศาสนาบ้าง ทางพุทธศาสนา ถ้าสงครามใหญ่เกิดขึ้นจริงๆ ทางพุทธศาสนาจะรุ่งเรืองขึ้น ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า พุทธศาสนาจะรุ่งเรืองได้ จะมีความอุดมสมบูรณ์ได้เพราะ คนเห็นทุกข์ ในเมื่อคนเห็นทุกข์ ก็ยอมรับนับถือ ศีลธรรมมากขึ้น เฉพาะอย่างยิ่ง นักบวชฝ่ายปฏิบัติ สำหรับฝ่ายปริยัติ นั่นก็อีกฝ่ายหนึ่งต่างหาก คือท่านเรียน แต่ท่านยังไม่ได้ทำ เรียนรู้ จะถือว่าไม่ดีไม่ได้ ท่านก็ดี ท่านมีความรู้ ความรู้ในด้านปริยัติ ก็จะเจริญขึ้น ความสามารถ ในด้านปฏิบัติ ก็จะเจริญขึ้น ในช่วงนั้น อาจจะมีพระ ที่ได้อภิญญา หรือว่า นักปฏิบัติ ที่เป็นฆราวาส ที่ได้อภิญญา เกิดขึ้น ถ้ามีนักอภิญญา เกิดขึ้นนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท อันตรายต่างๆ จะเกิดขึ้น ได้น้อยเต็มที เพราะ อาศัยอภิญญาช่วย และ นอกจากนั้น ความ เจริญรุ่งเรือง ทางด้านจิตใจของเราก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาก เพราะ เราไม่เสียหายมาก เรามีความสุข ในเมื่อเขาเลิกรบกัน เขาก็ขาด เกือบทุกอย่าง โดยเฉพาะ อย่างยิ่ง อาหารการบริโภด เขาก็ขาด เราก็ขาย เครื่องมือ เครื่องใช้ขาด โรงงานประ เทศไทยของเรานี้มีมาก เราก็ขาย
รวมความว่า ทุกอย่างมันก็จะมีความก้าวหน้า จะมีความรํ่ารวย ดูตัวอย่างประเทศเยอรมัน กับประเทศญี่ปุ่น เมื่อหลังสงครามโลกถูกบังคับให้ไม่มีทหารพอ 2 ประเทศนี้ไม่มีทหารขึ้นมา ไม่ต้องเสียเงินค่างบประมาณทหาร เพราะว่างบประมาณ ทหารต้องเสียมาก เรื่อง อาวุธยุทโธปกรณ์ ต้องเตรียม เตรียมไว้บางทีไม่ได้ใช้ ล้าสมัย ต้องซื้อใหม่ ของเก่าเก็บไว้ หรือว่า ขายไป
ทีนี้ในเมื่อไม่ต้องเตรียมการรบ ไม่ต้องเตรียมทหาร งบประมาณก็เหลือใช้ ประเทศก็มีความรํ่ารวย ประเทศไทยเราก็ฉันนั้น ในสมัยเมื่อเขารบกัน เราก็พยายาม ประวิงทุกอย่าง อย่าให้มีการรบ ถ้ามันมีความจำเป็นจริงๆ ก็จำกัดสถานที่รบ นั่นหมายความว่า สงครามใหญ่ ไม่มีใครเข้ามาในประเทศไทย พวกเขาตีกันทางโน้น เขาไม่ตีมาทางนี้ เขาอาจจะตีไปทาง ยุโรป ตีไปทางอเมริกา เขาไม่ตีมาถึงประเทศไทย แต่ว่า ประเทศไทย ก็ต้องมีส่วนร่วม ส่วนร่วมในความทุกข์ ที่จะเกิดสงคราม
ที่นี้ในเมื่อเขาไม่ตีเข้ามาถึง เราก็มีความอุดมสมบูรณ์ แต่ทั้งนี้ ขอทิ้งท้ายไว้นิดว่า ตีเล็กมีนะ ตีใหญ่นะไม่มี มีแต่ตีเล็กก่อกวน สงครามก่อกวน จะมีเป็นของธรรมดา ทั้งนี้ก็ต้องเชื่อ ความสามารถของรัฐบาล และทหารตำรวจ เราสามารถจะควบคุม ความสงบสุขไว้ได้ เหตุต่างๆจะเกิดขึ้น จะไม่พ้นวิสัยของรัฐบาล และเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ จะสามารถปราบปรามได้ ถ้าถามว่า เขาใช้รัศมี อาวุธเคมี ใช้รังสีต่างๆ ก็ขอตอบว่า เป็นเรื่องเล็กๆ พุทธศาสนา ป้องกันได้แน่ อันนี้ขอยืนยัน จะเป็น นิวตรอน นิวเคลียร์ นิวอะไรก็ตามเถอะ ขอยืนยันว่า พุทธศานา ป้องกันได้แน่ แต่ว่า ท่านทั้งหลาย ต้องไปหาจากพระที่เป็น นักปฏิบัติ ทางด้านจิตใจ ที่ท่านเข้าถึงฌานโลกีย์ทรงตัว ก็ทรงความเป็นอภิญญา
ถ้าถามว่า เวลานี้จะหาที่ไหน ก็ต้องขอตอบว่า เวลานี้อย่าเพิ่งหา อาจจะมีอยู่ที่ไหนบ้างก็ได้แต่ไม่มีใครเขาบอกกัน ถ้าถึงเว ลานั้นจะปรากฏตนเอง ท่านจะแสดงออกมาให้เห็นถึงความปลอดภัยว่า ท่านสามารถป้องกันได้ ถ้าท่านองค์ไหนจะเป็นพระ ก็ดี จะเป็นฆราวาสก็ดี ไม่ได้หมายความว่า พระเสมอไป ฆราวาสที่มีความสามรถก็มีมาก ก็สามารถจะป้องกันได้สามารถ จะทำได้ ก็พึ่งท่านนั้น ท่านต้องให้เป็นที่พึ่งแน่นอน ทั้งนี้เพราะอะไร ถ้าหากว่า เราทั้งหลายตายกันหมด ท่านก็ตายเหมือน กัน ท่านอดตาย เพราะว่า ท่านอาศัยพวกเรากิน พวกเราหากินหาใช้เหลือ เราก็ให้ท่าน
อย่างสมมติว่า ถ้าพระบิณฑบาต เราก็ถวายพระ ถ้าชาวบ้านอด ชาวบ้านตายหมด พระก็ตาย เพราะ ไม่มีใครจะให้ ข้อนี้ฉัน ใด เวลานั้นก็ตามท่านที่ทรงอภิญญา จะเป็นพระก็ตามจะเป็นฆราวาสก็ตาม ไม่มีใครปกปิดความสามารถ สามารถจะป้อง กันรังสีต่างๆ ได้ และป้องกันสรรพวุธได้ตามกำลัง แต่บุคคลที่ต้องตายไปบ้าง นั่นก็หมายถึงว่า บุคคลที่มีอายุ ถึงอายุขัย บุค คลที่มีอายุถึงอายุขัยนี่ เราป้องกันไม่ได้ มันมีความจำเป็น คนประเภทนี้ จะรบก็ตาย ไม่รบก็ตาย นอนเฉยๆ ก็ตาย กินข้าว อยู่ก็ตาย นอนหลับก็ตาย คุยกันก็ตาย เพราะถึงอายุขัย เวลานั้นมันต้องตาย
ก็รวมความว่าประเทศไทยไม่ต้องหนักใจ ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกคน ยอมรับนับถือความดีของพระพุทธเจ้าไว้ ความดีที่พระพุทธเจ้าให้ไว้ก็มี 4 อย่าง เอาสักสอง 4 อย่างให้เป็นการใบ้หวยเลยนะ 4 ที่หนึ่ง ก็เอาอย่าง่ายๆ คือ สังคหวัตถุ 4 คือ
1.ทาน การให้ ให้มีการสงเคราะห์ ซึ่งกันและกันเข้าไว้ สร้างความรักเข้าไว้ อย่าสร้างศัตรู การให้ท่านเป็นการทำลายล้างศัตรูไม่เกิดศัตรูขึ้นมา เพราะเราบุคคลผู้รับ ย่อมรักในบุคคลผู้ให้
ประการที่ 2 ปิยวาจา พูดดี พูดให้คนที่รับฟัง มีความสุขจากคำพูดของท่าน เขาก็รักเราในเมื่อเขารักเรา เราก็มีความสุข
ประการที่ 3 ช่วยเหลือการงาน ซึ่งกันและกัน ถ้าเขาเกินวิสัยเราช่วย เขาก็จะเกิดความรัก
ประการที่ 4 เราไม่ถือตัวไม่ถือตน การไม่ถือตัวไม่ถือตน จัดเป็นปัจจัยให้เกิดความรัก
อันนี้เป็นความดี ที่พระพุทธเจ้าให้ไว้เป็นอันดับแรก รักษากฏ 4 ประการนี้ได้ บรรดาท่านทั้งหลาย เราจะมีแต่คนรัก เราจะไม่มีคนเกลียด ทีนี้ถ้าจะถามว่า ในเมื่อเขาประกาศสงครามกัน เขาไม่รู้จักกัน เขายิงจรวดมา จะทำอย่างไร มันก็เป็นของไม่ยาก เขาจะยิงมาหรือไม่ยิงมา เราก็ภาวนาพุทโธไว้ จิตใจยอมรับนับถือ พระพุทธเจ้าโดยตรง สิ่งใดที่พระพุทธเจ้าทำไว้ ท่านให้ไว้ เรานับถือด้วยความจริงใจ สิ่งนั้นท่านทั้งหลายจะป้องกันอันตรายท่านได้อย่างแน่นอนและประการต่อไปอีก 4 อย่างคือ พรหมวิหาร 4
1. เมตตา ความรัก สร้างความรัก ทำจิตใจเกิดความรักทั้งคน และสัตว์โลก ถือว่าเราเป็นมิตรกัน
ประการที่ 2 มีความสงสาร คอยเกื้อกูลกันไว้เสมอ อย่าเห็นแก่ตัว
ประการที่ 3 ยินดีเมื่อบุคคลอื่นได้ดี ไม่อิจฉาริษยาใคร
ประการที่ 4 เมื่อบุคคลนั้นถึงอายุขัย ต้องตาย เพราะอาวุธ ต้องตายตามกาลเวลา เราก็ วางเฉย
ในเมื่อมีความดีอีก 4 ประการอย่างนี้แล้ว บรรดาท่านพุทธบริษัททุกคนจะปลอดภัยอย่าลืม สังคหวัตถุ 4 เป็นความดีเล็ก น้อยความดีขั้นต้น พรหมวิหาร 4 เป็นความดีสูงสุด คือ เมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร มุทิตา มีจิตอ่อนโยนเห็น ใครได้ดี พลอยยินดีด้วย อุเบกขา วางเฉย เมื่อเหตุร้ายเกิดขึ้น ไม่สามรถจะยับยั้งได้ ก็ทำใจวางเฉย ไม่ดิ้นรน ยอมรับตามความเป็นจริง
นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง เวลาเหลือประมาณ 5 นาที ก็คุยกันไปคุยกันมาย้อนถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกสัก นิดหนึ่งว่า ทำไมถ้าสงครามใหญ่เกิดขึ้น คนไทยจะมีความมั่นคง ในพุทธศาสนามากขึ้น จะชี้ตัวอย่างให้เห็นสักอย่างหนึ่ง เพราะ สมัยนั้นผู้พูดอยู่ในกรุงเทพฯ คืนใดถ้ามีปกติเครื่องบิน ไม่มาทิ้งระเบิด เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ตอนเช้า ไปบิณฑ บาต เวลานั้นคนหนีระเบิด มาบ้านนอกกันมาก มาต่างจังหวัดกันมาก คนใส่บาตรมีน้อย พอกินแค่เช้า เพลไม่พอกิน แต่ว่า บังเอิญคืนไหน ถ้ามีเครื่องบินมาโจมตีทิ้งระเบิดเวลาเช้าไปบิณฑบาต ปรากฏว่า มีคนใส่บาตรมากเป็นพิเศษ ไปไม่ทันถึง ครึ่งทางก็เต็มบาตร ยามปกติไปจนสุดทาง แล้วก็เดินทางกลับ ยังไม่ถึงครึ่งบาตร แต่คืนไหน มีเครื่องบินมาโจมตี รุ่งเช้า มีคนทำบุญกันมาก
จะเห็นว่า คนที่มีความรู้สึกว่า ชีวิตของเราใกล้ความตาย ไม่มีความประมาท คือ เขาจะถือว่าเป็นการฉลองชีวิต ที่เกิดใหม่ จากการโจมตีของข้าศึก ข้าศึกทิ้งระเบิดก็ทิ้งยิงกราดด้วยปืนกลก็ยิง แต่เขาก็ปลอดภัยจึงทำบุญกันใหญ่ ข้อนี้ฉันใดบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายในเมื่อสงครามใหญ่มันเกิดขึ้น เป็นสงครามที่น่ากลัว อาวุธในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ถือว่าเป็น อาวุธดีแล้วนะ ล้าสมัยไปแล้ว เครื่องบินสมัยนั้น เป็นเครื่องบินที่ดีที่สุด เวลานี้เขาเลิกใช้แล้ว เครื่องบินสมัยใหม่ เขาดีกว่า สมัยนั้นมาก อาวุธที่ใช้ใหม่ ดีกว่าอาวุธสมัยนั้นมาก
ทีนี้ถ้าสงครามเกิดขึ้นข่าวคราวก็ย่อมถึงกัน เวลานี้มีทั้งวิทยุ มีทั้งโทรทัศน์ ถ่ายทอดจากดาวเทียม เราสามารถจะเห็นภาพ ได้ ในเมื่อเห็นการสูญเสีย ความตายเกิดขึ้น ความทุกข์ก็เกิดขึ้น จิตใจก็เริ่มเป็นกุศล เวลานั้น บรรดาท่านพุทธศาสนิกชน ก็จะมีความมั่นคงในพุทธศาสนามากขึ้น เพราะ กลัวตาย สำหรับ อีกด้านหนึ่ง ท่านนักปฏิบัติ เจริญสมาธิจิต ก็จะเร่งรัด ตัวเองให้ทำสมาธิให้ดีขึ้น โดยหวังอย่างเดียวว่า ถ้าตายแล้ว ไม่ขอเกิดใหม่ อย่างเลวที่สุด ตายจากความเป็นคน ไปสวรรค์ ก็เอา หรือว่าดีกว่านั้น ไปพรหมก็ดี ถ้าดีกว่านั้น ไปนิพพานก็ดี ท่านจะเร่งรัดตัวเอง การเร่งรัดตัวเอง ประเภทนี้ กำลังใจจะมีสมาธิในที่สุด อภิญญาก็จะเกิด ในเมื่ออภิญญาเกิด ก็จะใช้ผล ของอภิญญา และญาณต่างๆ ที่ได้จากสมาธิ และวิปัสสนา ญาณ เอามาช่วยบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ให้มีความสุขปลอดภัย
ในตอนนี้ก็ขอสรุปว่า ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทอย่าลืม องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ เตรียมตัวตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปว่าเรา จะบูชาพระทุกวัน นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อนหลับ ตื่นใหม่ๆ นึกถึงพระพุทธเจ้าบูชาพระ บูชาพระอย่างอื่นไม่ได้ ก็ว่า นะโมตัส สะฯ 3 หน ด้วยความเคารพในพระพุทธเจ้าจริง แล้วว่า
พุทธัง สาณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง
ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอถึงพระธรรมเป็นที่พึ่ง
สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง
แค่นี้ก็หลับ และตื่นใหม่ๆทุกวัน บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ทุกท่านปลอดภัยและจะมีความรํ่ารวย
คัดมาจากหนังสือ ธัมมวิโมกข์ (ฉบับพิเศษ) โดย พระราชพรหมยาน
วัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี
. -
ศาสนาพระศรีอาริยเมไตรย
ศาสนาพุทธมีอายุครบ 5,000 ปี ดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ โดยกล่าวว่า
พันปีแรก จะมากไปด้วย ปฏิสัมภิทาญาณ
พันปีที่สอง จะมากไปด้วย ฉฬภิญโญ
พันปีที่สาม จะมากไปด้วย เตวิชโช (ปัจจุบัน)
พันปีที่สี่ จะมากไปด้วย สุกขวิปัสโก
พันปีที่ห้า จะมากไปด้วย อนาคามี
เมื่อศาสนานี้ครบ 5,00 ปีแล้วพระศรีอริยเมตตรัย ยังไม่มาตรัส จะต้องว่างจากพุทธศาสนา ไประยะหนึ่ง คือ หนึ่งพุทธันดร ในช่วงที่ว่างพุทธศาสนา ก็จะมีพระปัจเจกพุทธเจ้าขึ้นมาแทน สำหรับพระปัจเจกพุทธ เจ้าต่ำกว่าพระพุทธเจ้า หมายความว่า
"พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมา แล้วก็ทรงสอนคน ตั้งแต่อันดับต้น ๆ คือ ให้รู้จักให้ทาน ให้รู้จักรักษาศีล ให้รู้จัก การเจริญภาวนา ให้รู้จักการครองเรือนให้เป็นสุข และ ให้รูจักปฏิบัติตน ให้ถึง กามาจรสวรรค์ ให้เข้าถึง พรหมโลก และให้เข้าถึงพระนิพพาน"
สำหรับพระปัจเจกพุทธเจ้า ท่านตรัสแล้ว ท่านก็เฉย ๆ หากว่า จะสงเคราะห์ใคร ท่านก็สงเคราะห์ ในขั้น ต้นคือ ทานกับศีล ไม่เหมือนพระพุทธเจ้า
เมื่อครบหนึ่งพุทธันดรแล้ว พระศรีอริยเมตตรัยมาตรัสเป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ที่ 5 ของกัปนี้ โดย เรียงลำดับนับแต่องค์แรก คือ
1. สมเด็จพระกกุสันโธ
2. สมเด็จพระโคนาคม
3. สมเด็จพระพุทธกัสสป
4. สมเด็จสมณโคดม
สำหรับกัปนี้ จะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ รวมได้ทั้งหมด 10 พระองค์
สำหรับสมเด็จพระกกุสันโธ เป็นพระพุทธเจ้าองค์แรกของกัปนี้ แต่องค์แรกจริง ๆ คือ สมเด็จ องค์ปฐม ถ้านับเวลาองค์แรกตรัส ให้ตั้งเลข 5 ขึ้นมา แล้วเอาศูนย์ใส่ไป 50 ตัว ได้เท่าไร นับเป็นอสง ไขยกัป ถ้าจะถามว่า เวลามากเกินไปหรือไม่ ตอบได้ว่า ไม่มากเลย เพราะ พระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งๆ ท่านใช้เวลาในการบำเพ็ญบารมีมาก อย่างเช่น
พระพุทธเจ้าขั้นปัญญาธิกะ ต้องใช้เวลาบำเพ็ญบารมีถึง 4 อสงไขยกับแสนกัป
พระพุทธเจ้าขั้นศรัทธาธิกะ ต้องใช้เวลาบำเพ็ญบารมีถึง 8 อสงไขยกับแสนกัป
พระพุทธเจ้าขั้นวิริยะธิกะ ต้องใช้เวลาบำเพ็ญบารมีถึง 16 อสงไขยกัปแสนกัป
พระศรีอริยเมตตรัย ท่านได้บำเพ็ญบารมีมาทั้งหมด 16 อสงไขยกับแสนกัป
ดังนั้นคนคนที่จะไปเกิดในศาสนาของท่าน มีผลดังนี้
1. คนสวยทุกคน มีผิวเหลือง เนื้อละเอียด คนแก่ที่สุก มีทรวดทรงเท่ากับคนอายุประมาณ 20 ปีเศษของ คนสมัยนี้เท่านั้น อายุของคนในสมัยนั้นจะมีอายุถึง 4 หมื่นปี เป็นอายุขัย
2. สมัยของท่าน ไม่มีคนจนมีแต่คนรวย มีต้นไม้สาระพัดนึก อยู่ทุกสถาน สัตว์นรก เปรต อสุรกายที่มีจิต ใจชั่วร้าย ยังไม่มีโอกาสมาเกิดในสมัยของพระองค์ท่าน ที่จะเกิดนั้น ต้องเป็นเทวดา หรือ พรหมเท่านั้น โลกจึงมีแต่ความสุข ไม่มีตำรวจทหาร มีแต่พ่อบ้านแม่เรือน
3. การสัญจรไปมา ก็สะดวกสบาย ไปไหนก็พายตามน้ำ
4. คนเข้าถึงธรรมทุกคน คนที่เจริญสมถะ พอมีญาณ หรือ มีวิปัสสนาญาณ บ้างพอสมควรจะเข้าถึง ธรร มาพิสมัยได้โดยฉับพลัน คือ เป็นพระอริยเจ้า คนที่ได้พระอริยต้นแล้ว จะเข้าถึงอรหัตผล ได้โดยฉับพลัน
คนที่ทำบุญไว้น้อย คือ ฟังคาถาพัน และปฏิบัติตาม แต่ไม่สมบูรณ์ อย่างต่ำก็เข้าถึงไตรสร ณคมณ์ และอย่างสูงได้อริยะ
ที่เป็นเช่นนี้เพราะ การบำเพ็ญบารมีของ พระศรีอริยเมตตรัย มีถึง 16 อสงไขยกับแสนกัป ทำให้คนเลว เข้าแทรกแซงในศาสนาของพระองค์ไม่ได้ จะมีแต่คนดีเท่านั้นที่จะไปเกิด น่าไปเกิดจริงนะ
คัดจากหนังสือ มรดกของพ่อ จัดทำโดยคณะคุณมิตรดา เลิศสุมิตรกุล
. -
การเลือกบุคคลให้ทาน
สำหรับบารมีนี่มี 10 อย่าง ท่านขึ้นต้นด้วยทานบารมีก่อน แต่การจะประพฤติทานได้จริงๆ บรรดาเพื่อน ภิกษุสามเณร และ บรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง ต้องเป็นคนมีปัญญาถ้าคนที่ไร้ปัญญาให้ทานไม่ได้ คนที่มีทรัพย์สินสะสมไว้มากแสนมาก แต่ไร้การให้ทาน ย่อมเป็นโทษกับตัวเอง มีทรัพย์กี่หมื่นกี่ล้าน ก็ตาม ถ้าหากเราไม่ให้ทานเราก็เป็นคนโดดเดี่ยว อันตรายจะมีกับเราเมื่อใดก็ได้ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าคนทุกคนเขาไม่ชอบหน้าเรา เราเป็นคนตระหนี่แน่นเหนียวประการหนึ่ง
และประการที่สอง ถ้าเราให้ทานไม่ได้ ก็หมายความถึงว่า เรามีความโลภ เพราะการให้ทานนี่ เป็นปัจจัยตัดความโลภ คำว่า ความโลภในที่นี้อย่างหยาบ ก็คือ อยากได้ทรัพย์สมบัติของบุคคลอื่นมาโดยไม่ชอบธรรม เช่น โกงเขาบ้าง แย่งชิงวิ่งราว บ้าง แล้วก็ทำต่างๆ ที่จะพึงทำได้ ลักขโมยเขาบ้าง อย่างนี้เป็นต้น อาการอย่างนี้เป็นอาการแห่งการสร้างศัตรู
ฉะนั้นสมเด็จพระบรมครูจึงทรงตรัสว่า ถ้าหวังความสุขจริงๆ ก็ต้องมีการให้ทาน
สำหรับการให้ทานนี่ ก็ต้องเลือกเหมือนกัน คือการให้ทานนะมันก็มีอยู่ว่า เหมือนกับเราจะหว่านพืชตามที่พระพุทธเจ้าทรง ตรัสว่า ผู้รับทานนั้นถือว่าเป็นเนื้อนาบุญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราเจาะจงพระก่อนพระก็ดีเณรก็ดี ถ้าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตาม คำแนะนำขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันนี้เราก็ต้องดูต้องใช้ปัญญา ไม่ใช่ว่าปัญญาบารมีไปอยู่ถึงข้อ 4 แล้วเรา จะไม่ใช้ ต้องใช้ปัญญาบารมี นี่ถือว่า เป็นธงชัย นำหน้าเหมือนกัน ในมรรค 8 ท่านขึ้น สัมมาทิฎฐิ ก่อน สัมมาทิฎฐินี่เป็น ตัวปัญญา
นี่เราก็มาพิจารณาต่อไปว่าพระสงฆ์ประเภทไหน ที่เราควรจะยอมรับนับถือ แล้วก็ควรจะถวายทาน อันดับแรกที่สุดจะสังเกต พระสงฆ์ทั้งหมด จะต้องมีจิต มีกำลังเหนือนิวรณ์ 5 นั่นก็หมายความว่า ถ้าเป็นพระปุถุชนก็ดี เป็นพระที่ทรงฌาน สมาบัติก็ ดี ก็ยังอยู่ภายใต้อำนาจของนิวรณ์ นิวรณ์ยังครอบงำจิตได้ สำหรับท่านที่ทรงฌานสมาบัติ บางครั้งจิตท่านพลาดจากฌานลืม คุมฌาน เวลานั้นก็หมายความว่านิวรณ์เข้าครอบงำจิตแน่
สำหรับพระที่ไม่ได้ฌานสมาบัติ ที่มีศีลบริสุทธิ์ ก็เช่นกัน บางครั้งนิวรณ์ก็ครอบงำจิตได้ แต่ว่า ก็ยังเป็นเนื้อนาบุญ ที่ควรจะให้การสงเคราะห์ควรจะมอบวัตถุทานให้ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะยังมีความดีอยู่ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพระองค์ใดเป็น พระอริยเจ้า สำหรับพระอริยเจ้านี่เราสังเกตกันยาก เพราะว่า คนเราติดอุปทานเสียมาก
มีนักปราชย์ชุ่ยๆ ที่บอกว่าพระอรหันต์ ต้องไม่หัวเราะ พระอรหันต์ต้องไม่สูบบุหรี่ ไม่กินหมาก ความจริงความเข้าใจอย่างนี้ผิด แม้แต่องค์ สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ยังทรงหัวเราะ
ที่กล่าวว่าพระพุทธเจ้า ไม่ทรงหัวเราะนานๆ จะมีการแย้มพระโอษฐ์ สักทีหนึ่ง การแย้มพระโอษฐ์น้อย ๆ น่ะมันเป็นเฉพาะเวลาพิเศษ นั่นก็คือ สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ เห็น ความสำคัญเกิดขึ้น อยู่เฉยๆไม่ได้พูดกับใคร แล้วก็ไม่ได้หันหน้าไปหาใคร ทรงแย้มพระโอษฐ์เฉยๆ นั่นหมายถึงความสำคัญจะเกิดขึ้นถ้าพระอานนท์ ถามว่า ทรงแย้มพระโอษฐ์เพราะอะไร ก็จะทรงตรัสถึงความสำคัญที่ทรงแย้มพระโอษฐ์
นี่เป็นอันว่า พระพุทธเจ้า ก็ทรงยิ้มแย้มแจ่มใส เหมือนคนธรรมดาๆ คำว่า เหมือนคนธรรมดา ก็หมายความว่า ถ้าเราหัวเราะได้ท่านก็หัวเราะ เรายิ้มกันได้ท่านก็ยิ้ม
ตัวอย่างในสมัยหนึ่ง เมื่อท่านโกมารภัจจ์มาที่เมือง ทวาราวดี เวลานั้นเขายังไม่เรียกว่า ประเทศไทย มันเป็นเมืองย่อม ๆ เป็นจุดๆ ท่านมาทวาราวดี 2 ปีกลับไปเฝ้าองค์สมเด็จพระชินสีห์ ก็กราบทูลให้ทรงทราบว่า ชาวเมืองทวาราวดีนี่พูดเพราะมาก ใช้ภาษาโดด คือ ภาษาคำเดียว แล้วพูดไพเราะ ไม่ปรี๊ด ปร๊าดๆ เหมือนแขก
ตัวอย่างเช่นคำว่า "ไป" ไปนี่เราใช้คำว่า "ไป" เฉยๆ แต่ว่า ภาษามคธ หรือภาษแขก เรียก "คมนา" บ้าง "คัจฉติ" บ้างของ เขาหลายคำอย่างคำว่า "กิน" เราเรียกว่า "กิน" แต่ของเขาเรียกว่า "ภุญชติ" อย่างนี้ เป็นต้น ก็รวมความว่า ของเขาใช้คำ กลั้ว เราใช้คำโดด
เมื่อท่านโกมารภัจจ์ กราบทูลให้พระพุทธเจ้าทรงทราบ พระพุทธเจ้า ก็ทรงตรัสถามว่า ชาวทวาราวดี เขาพูดอย่างไร ลอง พูดภาษทวาราวดี คุยกันสนุกสนาน คำว่า สนุกสนานในที่นี้นะ ถ้าพระพุทธเจ้า ทรงทำหน้า ตูมๆ ล่ะมันไม่สนุกหรอก ท่านก็ต้องมีการยิ้มแย้มแจ่มใส และอีกประการหนึ่ง เวลานั้น จะเห็นว่า คณาจารย์มาก พระพุทธศาสนาเกิดใหม่ ถ้าหากว่า พระพุทธเจ้าทำหน้า..ขอประทานอภัยนะ เหมือนกับหน้าไม้ตีพริก เพราะว่าไม้ตีพริกนี่ หน้ามันไม่เงย มันก้มมันลงต่ำไม่แสดง ถึงอาการรื่นเริง อย่างนี้ การประ กาศพระพุทธศาสนา ก็ไม่มาถึงเรา ก็เป็นอันว่าพระพุทธเจ้า ก็ทรงยิ้มแย้มแจ่มใส ฉะนั้น ขอบรรดา ท่านพุทธบริษัททั้งหลายจำไว้ด้วย เพราะว่า นักปราชญ์ท่านมีเยอะแล้ว
ประการที่ 2 การจะดูพระ การดูพระอริยะก็ดูยากก็ดูอย่างนี้แล้วกัน ถ้าพระที่เราควรจะให้ คือไม่ใช่พระอริยะเป็นพระผู้ทรงศีลก็ดี เป็นผู้ทรงฌานก็ดี อย่างนี้สังเกตด ูท่านพูดวาจาที่ท่านพูดก็ดี อาการทางกาย ที่ท่านทำก็ดี ท่านฝ่าฝืนคำสั่งสอนของ องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าไหม พระพุทธเจ้าบอกว่าตายแล้วเกิด ถ้าหากท่านผู้นั้นบอกว่า ตายแล้วสูญอย่างนี้แสดงว่าคัดค้าน เป็นศัตรูกับพระพุทธเจ้าแน่นอน ไม่ใช่พระที่พระพุทธเจ้า ทรงยอมรับนับถือ พระพุทธเจ้าทรงยืนยัน ในพระไตรปิฎก มีใน วิมานวัตถุ ถ้าจะพูดถึงอย่างอื่นก็จะหายาก ในวิมานวัตถ ุพูดกันเฉพาะ เรื่องเทวดา เรื่องพรหม โดยเฉพาะ มีเรื่องราวมาก เล่มเบ้อ เริ่มเชียว มีเรื่องไม่รู้ว่าเท่าไหร่ นี่เป็นอันว่า
องค์สมเด็จพระจอมไตร ทรงยอมรับว่า เทวดามี พรหมมี สัตว์นรก เปรต อสูรกายมี นิพพานมี
แต่ว่าท่านผู้ใดบอก สัตว์นรกไม่มี เปรตอสูรกายไม่มี นิพพานไม่มี สวรรค์ไม่มี พรหมไม่มี ท่านผู้นั้น ก็หมายความว่าไม่ใช่ พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ถ้าเอาผ้าเหลืองเขามาครอง ก็แสดงว่าปลอมตัวเข้ามาทำลายพระพุทธศาสนาเหมือนกับสมัย เมื่อพระพุทธเจ้าทรงนิพพานไปแล้วไม่นานนัก พวกพราหมณ์ เข้ามาแทรกเข้ามาบวชในพุทธศาสนา แล้วเอาลัทธิของตัว เข้ามาแทรกแซง ทั้งนี้เพื่อหวังผลประโยชน์ ในการทำลายพระศาสนาให้สิ้นไป
ฉะนั้นขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ถ้าจะบำเพ็ญทานบารมี โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพระสงฆ์สามเณรในพระพุทธ ศาสนาก็ต้องดูให้ดี ท่านที่ฝ่าฝืนคัดค้านคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างท่าน กปิลภิกขุ ตัวของท่านเองก็ดี พาแม่และน้องสาวด้วยลงอเวจีมหานรก ก็เพราะว่าคัดค้านคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตามที่กล่าว มา พระพุทธเจ้าทรงตรัสอย่างนี้ ท่านก็พูดอย่างโน้น แต่ว่า ลีลาของท่านจริงๆ เหมือนกับ เคารพสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ เจ้า ฉะนั้นการที่จะถวายทานแก่พระสงฆ์จัดว่า เป็นจุดสำคัญคือ เนื้อนาบุญ ก็ต้องดูเนื้อนาที่เราจะเห็นสมควรไหม
อย่างพระสงฆ์ผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ ท่านผู้นี้เราทำบุญด้วยมีผลไม่มากนัก แต่ก็มีผลสามารถให้เราไปสวรรค์ได้ ถ้าจิตใจเราจับ อยู่ในพระสงฆ์เป็นนิตย์ เคารพพระองค์ใดพระองค์หนึ่งจับใจ อารมณ์ใจ จับถึงองค์นั้น อยู่เสมอเป็นปกติ อย่างนี้ถือว่า เป็น ฌานในสังฆานุสสติกรรมฐาน ในเมื่อจิตเป็นฌานในสังฆานุสสติกรรมฐานตายแล้วไปเป็นพรหม ถ้าบังเอิญอารมณ์เรา เห็นว่า ท่านไม่นิยมในสังขาร คือ ร่างกายไม่ติดในร่างกายไม่ติดในวัตถุ เราพลอยไม่ติดไปกับท่านเราพลอยได้ไปนิพพาน กับท่านเหมือนกัน
ถ้าจะถามว่า เฉพาะทรงศีลเฉยๆ จะไปนิพพานได้รึ ถ้าอารมณ์ไม่ติดของท่านนั่นแหละ มันจะตัดกิเลส ไปทีละน้อยๆ ในที่ สุด ท่านก็หมดกิเลส ท่านก็ไปนิพพาน
ถ้าญาติโยม พุทธบริษัทคบพระเช่นนั้น ถวายทานกับพระเช่นนั้น มีอานิสงส์ ถึงไม่เลิศถึงที่สุดก็เลิศ อย่าลืมว่า น้ำฝนตกมา ทีละหยาดๆ มันก็สามารถจะทำภาชนะให้เต็มได้ การบำเพ็ญกุศลกับพระผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ ถึงจะมีอานิสงส์ไม่เลิศทำบารมี ของเราให้เต็มได้ คือ ทานบารมี
การทำบุญพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้อย่างนี้ คือ
ให้ทานกับคนที่ไม่มีศีลเลย 100 ครั้ง
มีผลไม่เท่ากับ ให้ทานกับคนที่เคยมีศีลแต่ศีลขาดไปแล้ว 1 ครั้ง หมายความว่า ยังมีความดีอยู่บ้าง
ให้ทานแก่คนที่เคยมีศีลแล้วศีลขาด 100 ครั้ง
มีผลไม่เท่ากับ ให้ทานกับท่านที่ทรงศีลบริสุทธิ์ 1 ครั้ง
ให้ทานกับท่านที่มีศีลบริสุทธิ์ 100 ครั้ง
มีผลไม่เท่ากับ ให้ทานกับท่านผู้ทรงฌาน หรือท่านปฏิบัติเพื่อโสดาปัตติมรรค 1 ครั้ง
ผู้ปฏิบัติเพื่อโสดาปัตติมรรคหมายความว่า
ท่านที่ปฏิบัติกรรมฐาน แต่ยังไม่ถึง พระโสดาบันปัตติมรรค จะเป็นขั้นไหนก็ตาม อย่างน้อยที่สุด
จิตของท่าน ตัดนิวรณ์ มีความเคารพ ในพระรัตนตรัยจริง ๆ ทรงศีล บริสุทธิ์ก็มีอานิสงส์มาก
ให้ทานกับท่านที่ปฏิบัติเพื่อโสดาบันปัตติมรรค 100 ครั้ง
มีผลไม่เท่ากับ ให้ทานกับพระโสดาปัตติผล 1 ครั้ง
ถวายทานกับพระโสดาบันปัตติผล 100 ครั้ง
มีผลไม่เท่ากับ ถวายทานพระสกิทาคามีผล 1 ครั้ง
ถวายทานกับพระสกิทาคามีมรรค 100 ครั้ง
มีผลไม่เท่ากับ ถวายทานกับพระสกิทาคามีผล 1 ครั้ง
ถวายทานกับพระสกิทาคามีผล 100 ครั้ง
มีผลไม่เท่ากับ ถวายทานกับพระอนาคามีมรรค 1 ครั้ง
ถวายทานกับพระอนาคามีมรรค 100 ครั้ง
มีผลไม่เท่ากับ ถวายทานกับพระอนาคามีผล 1 ครั้ง
ถวายทานกับพระอนาคามีผล 100 ครั้ง
มีผลไม่เท่ากับ ถวายทานกับพระอรหันตมรรค 1 ครั้ง
ถวายทานกับพระอรหัตมรรค 100 ครั้ง
มีผลไม่เท่ากับ ถวายทานกับพระอรหัตผล 1 ครั้ง
ถวายทานกับพระอรหัตผล 100 ครั้ง
มีผลไม่เท่ากับ ถวายทานแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า 1 ครั้ง
ถวายทานแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า 100 ครั้ง
มีผลไม่เท่ากับ ถวายทานแด่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 1 ครั้ง
ถวายทานแด่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 100 ครั้ง
มีผลไม่เท่ากับ ถวายสังฆทาน 1 ครั้ง
ถวายสังฆทาน 100 ครั้ง มีผลไม่เท่าถวายวิหารทาน 1 ครั้ง
ตามลำดับการบำเพ็ญทานเป็นอย่างนี้ ทีนี้หากว่าเราจะรู้ได้อย่างไร องค์ไหนเป็นพระอริยเจ้า อย่างนี้รู้ยาก เพราะว่า คนเรา ติดจริยา มากกว่าอย่างอื่น เข้าใจว่า พระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์ก็ดี ไม่หัวเราะ ต้องทำหน้าที่เป็นหัวตอ หรือว่าทำปากเป็นสากเฉยๆ หน้าบึ้ง หน้าตูมอย่างนี้ ก็เลยผิดความจริง ถ้าเราไม่รู้ อะไรมากไม่แน่ใจ ก็ดูจริยาภายนอกท่านน่ารักไหม.. แล้ว จริยาภายนอกก็ต้องคิด เพราะเวลานี้คนที่ สามารถทำปุพเพนิวาสนานุสสติญาณก็ดี หรือว่า จุตูปปาตญาณก็ดี ญาณต่างๆ เวลานี้ ฆราวาส ได้กันมากนับแสน แต่อาจจะเกินกว่านั้นก็ได้ ท่านลงไปเจอะพระในนรกเยอะ บางท่านบอกว่า รู้จักดี สมัยเมื่อมีชีวิตอยู่ มีจริยาเรียบร้อยมาก น่าเคารพน่าไหว้บูชา แต่พอไปถาม ความจริงว่า เพราะอะไร จึงลงอเวจีมหานรกบ้าง เพราะอะไรจึงลงโลกันต์บ้าง ก็บอกว่าพลาดพระวินัย คือ ใช้เงินของสงฆ์ผิดพลาดบ้าง
เอาของสงฆ์ เข้าบ้านบ้าง และใช้เงินของสงฆ์ เงินที่เขามาถวาย ใช้ผิดวิธีบ้าง ทีนี้บรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย ก่อนที่จะให้ทาน ถ้าหวังผลเพื่อเป็นปัจจัยเพื่อนิพพาน ต้องเลือกบุคคลผู้ให้ ถ้าไม่สามารถให้ได้ยังไงและจริงใจ ก็ต้องให้ใช้วิธีถวาย สังฆทานดีที่สุด
คัดมาจากหนังสือ ธัมมวิโมกข์ (วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี)
. -
การให้ทานในเขตและนอกเขตพระพุทธศาสนา
สมัยเมื่อองค์สมเด็จพระพิชิตมาร เสด็จไปบนสวรรค์ ชั้นดาวดึงสเทวโลก ( เพื่อโปรดพระพุทธมารดา ) องค์สมเด็จพระชินสีห์ ประทับที่ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ เวลานั้นมีเทวดา 2 ท่าน มาเฝ้าองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถก่อนคนอื่นทั้งหมดเว้นไว้ แต่พระอินทร์ พระอินทร์ท่านเป็นเจ้าภาพ ท่านรับอยู่ก่อน มีเทวดาองค์หนึ่งมา คือ ท่านอินทกเทพบุตร มานั่งอยู่ข้างๆขา เบื้องขวา ท่านอังกรุเทพบุตร มานั่งข้างขาเบื้องซ้ายเทวดามากันมากมายหมดดาวดึงส์ท่านอินทกเทพบุตรนั่งตรงที่เดิม แต่ท่านอังกรุเทพบุตร ต้องถอยไปอยู่ท้ายบริษัทอยู่ริมนอก เพราะเป็นเทวดาที่มีบุญน้อยที่สุดในดาวดึงส์
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงถาม ท่านอังกุรเทพบุตร ( ท่านบันดาลให้เสียงท่านและเสียงเทวดาที่พูดกันได้ยิน ถึงคนที่คอยท่าน อยู่ที่เมืองพาราณสี ที่เมืองมนุษย์ คนทุกคนฟังชัด ) องค์สมเด็จ พระทรงสวัสดิ์ ถามว่า "อังกุระ เมื่อสมัย เมื่อตถาคต ขึ้นมาใหม่ๆ มาถึงใหม่ เธอนั่งใกล้ ข้างขาข้างซ้าย เวลานี้เทวดาทั้งหลาย มากันคบถ้วน แต่ว่า เธอกลับมานั่ง ท้ายบริษัท ตถาคตอยากจะทราบว่า ในสมัยที่เธอเป็นมนุษย์ เธอทำบุญอะไรไว้ จึงเป็นเทวดาที่มีบุญน้อยที่สุดในสวรรค์ชั้น ดาวดึงสเทวโลก"
ท่านอังกุระ จึงได้กราบทูล สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า "ภันเตภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้า ในสมัยที่ข้าพระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์ เป็นมหาเศรษฐีมีทรัพย์มากแล้วในสมัยนั้น เป็นต้นกัปคนมีอายุยืนมากอา ยุถึง 80,000 ปีจึงตาย ต่อมาสมัย ที่ข้าพระพุทธเจ้าเป็นคนแก่เหลืออีก 20,000 ปี จะสิ้นอายุ จึงได้ให้ตั้งโรงทาน 80 แห่ง คือ 1 โยชน์ 1 แห่ง โรงทานนี้ ให้แก่คนกำพร้าคนเดินทาง ทั้งกลางวันและกลางคืน ทั้งอาหารการบริโภค ผ้าผ่อนท่อนสไบ ของใช้ตามสมควร แต่ว่าเวลานั้นว่างจากพระพุทธศาสนา คนไม่มีศีลไม่มีธรรมคนไร้ศีลไร้ธรรม ไม่มีพระพุทธเจ้าทรงสอน บุญญาธิการที่ได้ จึงน้อยเกินไป ( ลงทุนมาก 20,000 ปี ตั้งโรงทาน 80 แห่ง เลี้ยงไม่จำกัด ขอบรรดาท่าน พุทธบริษัท คิดเอาว่า เขาต้องใช้เงินวันละเท่าไร แต่ว่าอาศัยว่า คนผู้รับเป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ ท่านผู้ให้ ก็ไม่ค่อยจะบริสุทธิ์นักเว ลานั้น ศีลธรรมน้อยเกินไป เป็นของธรรมดาของชาวโลก วัตถุทานที่ได้มาก็เข้าใจว่าไม่ค่อยจะบริสุทธิ์ ฉะนั้นเวลาตายจาก ความเป็นมนุษย์ จึงมาเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นเทวดาที่มีบุญน้อยที่สุด) เมื่อข้าพระพุทธเจ้ามาถึงใหม่ๆ นั่งใกล้พระ องค์แต่ในที่สุด ก็ต้องมานั่งท้าย เพราะบุญญาธิการ ไม่เท่าเทวดาทั้งหลาย "
หลังจากนั้นองค์สมเด็จพระจอมไตร จึงถาม ท่านอินทกเทพบุตร ว่า " อินทกะ เมื่อตถาคต มาถึงใหม่ๆ เธอมาถึงแล้ว ก็ นั่งตรงนี้เวลานี้ เทวดามาหมดสวรรค์ ชั้นดาวดึงสเทวโลก เธอก็นั่งตรงนี้ ตถาคตอยากจะทราบว่า ในสมัยที่เป็นมนุษย์ เธอ สร้างความดี คือ บุญกุศลอะไรไว้ เธอจึงเป็นเทวดาที่มีศักดาใหญ่นอก จากพระอินทร์ "
ท่านอินทกเทพบุตรจึงกราบทูลสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า
"ภันเตภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ พระพุทธเจ้าข้า การที่ข้าพระพุทธเจ้าสมัยเป็นมนุษย์นั้นเป็นคนที่จนที่สุด หมายความว่า เป็นคนจนอยู่ในป่า ต่อมาท่านพ่อตายเหลือแต่ท่านแม่ ก็มีความกตัญญูรู้คุณพ่อแม่ เลี้ยงแม่ด้วย การตัดฟืน เหนื่อยยากลำบากขนาดไหนก็ไม่สนใจ สนใจอย่างเดียวว่า ทำอย่างไรแม่จึงจะมีความสุขตามกำลังที่จะให้ท่าน ได้ "
ฟังตอนนี้ ก็คิดด้วยนะ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายว่า คนที่มีความรู้คุณ ยอมรับนับถือความดี ของบุคคลผู้มี คุณ แล้วสนองคุณท่านนี่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสรรเสริญว่า เป็นคนดี ตามพระบาลีท่านว่า
" นิมิตตัง สาธุรูปานัง กตัญญูกตเวทิตา "
ซึ่งแปลว่า " บุคคลใดรู้อุปการคุณ ที่ท่านทำแล้ว แล้วก็ทำดี สนองตอบแทนคุณท่าน เราขอสรรเสริญบุคคลนั้น ว่าเป็นคนดี "
เป็นอันว่า เมื่อองค์สมเด็จพระชินสีห์สดับแล้ว ท่านก็เล่าต่อไป ท่านอินทกะถวายคำตอบต่อไปว่า "มาวันหนึ่งมีพระสงฆ์ใน พระพุทธศาสนาเดินทางมา ก็เป็นเวลาที่พอดีมีอาหารอยู่บ้าง ตามฐานะ ของคนจนคนป่า ยามปกติไม่มีของ สำหรับทำบุญ คนจนนี่ก็ไม่มี พระบางครั้ง พระมา ก็ไม่มีของถวาย ก็เลยจำใจนิ่ง เพราะอยากจะถวาย วันนั้นพอดีของในครัว พอมีอยู่บ้าง พระก็มาพอดี มีโอกาส ได้อาราธนาพระ ถวายเป็นสังฆทาน ครั้งเดียวในชีวิต ในชีวิต ของข้าพระพุทธเจ้า เป็นคนจน ถวายสังฆทานครั้งเดียว แต่ก็มีความกตัญญูรู้คุณกับแม่ด้วย ตายจากความเป็นคน จึงมาเกิดเป็นเทวดาบน สวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก เป็นเทวดาที่มีอานุภาพมากกว่าเทวดา อื่นนอกจากพระอินทร์
นี่บรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย ฟังแล้วต้องคิดว่า ท่านอังกรุเทพบุตร ทำบุญมากแต่ว่ามีอานิสงส์น้อย ท่านอินทกเทพบุตร ทำบุญน้อยแต่มีอานิสงส์มาก เรื่องนี้มีมากในพระพุทธศาสนา
ฉะนั้นการบำเพ็ญกุศลนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย โดยถ้วนหน้า ต้องเลือกเขต เลือกนา การหว่านพืชในที่ดอนเกินไป ไม่มีน้ำเลี้ยงพืช ก็แห้งตาย การหว่านพืช ในที่ลุ่มเกินไป น้ำท่วมพืชก็ตาย จะต้องดูถึงพื้นนาที่ดีๆ ข้าวหรือพืชจึงจะงาม ผลจึงจะดกมีผลคุ้มค่า และเกินค่าที่เราทำ อย่างท่านอินทกเทพบุตร ท่านเป็นคนจนแสนจน แต่ว่าท่านถวายสังฆทานตาม เขตในพระพุทธศาสนา แล้วก็มีความกตัญญูรู้คุณ ต่อบิดามารดาอันนี้เป็นปัจจัยสูงสุด
แต่ก็เป็นที่น่าปลื้มใจ ที่คณะบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทและภิกษุสามเณร ทั้งในวัดก็ดี นอกวัดก็ดี นิยมการบำเพ็ญทานอันดับสูงนั่นคือ
1. พอใจในการถวายสังฆทาน ถวายสังฆทาน มีของมาถวายจัดเป็นชุด โดยเฉพาะก็มี ของน้อยก็มี ของมากก็มี นี่เป็นสังฆทานและ
2. ก็มีมากท่านนิยมมาเลี้ยงพระ การเลี้ยงพระสงฆ์ตั้งแต่ 4 รูปขึ้นไปไม่ต้องบอก ก็เป็นสังฆทาน 100 เปอร์เซ็นต์ ทีนี้การใส่บาตรหน้าบ้าน โดยไม่จำกัดพระ อันนี้ก็เป็นสังฆทาน อานิสงส์ใหญ่มาก ที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ายกย่องว่า การบำเพ็ญทาน ถวายแด่พระองค์เอง 100 ครั้ง มีผลไม่เท่าถวายสังฆทานครั้งเดียว และ
3. บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท พระก็ดี เณรก็ดีที่นิยมการช่วยส่งเสริม ในการสร้างวิหารทาน ถึงกับมาสร้างห้องเป็นห้องๆ เป็นชื่อของตัวเอง เป็นชื่อน่ะไม่ใช่โชว์ ที่เขาติดชื่อน่ะ จะได้ทราบว่า ใครทำไว้ ลูกหลาน จะได้โมทนา ได้เป็นส่วนบุญด้วย สร้างพระพุทธรูปสวยสดงดงาม
รวมความว่า การบริจาคทานของบรรดาท่านพุทธบริษัททำถูกต้องอย่างนี้มีอานิสงส์มาก
คัดมาจาก หนังสือบารมี 10 โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
( หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี )
. -
อานิสงฆ์ของทาน
การให้ทานนี้อย่าลืมนะว่าถ้าใจยังไม่หนักแน่นพอคนที่เรายังไม่ชอบใจอย่าเพิ่งให้ ให้แต่คนที่เรารักหรือคนที่เราไม่เกลียด ต่อไปถ้ากำลังใจสูงขึ้น จิตสบาย มีอุเบกขาดี มีเมตตาบารมีสูงก็ให้ไม่เลือกให้ เพื่อปลดเปลื้องความทุกข์ คือกิเลสของเรา กำลังใจ ในการให้ทานน่ะ เป็น จาคานุสสติ ก่อนที่จะคิดให้เป็น จาคานุสสติ อันนี้อนุสสติ อย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้ามีประจำใจแล้ว มันก็ตกนรกไม่ได้
จะยกตัวอย่างมันก็ยาวเกินไปจะขอพูดถึงอานิสงส์การให้ทานที่สมเด็จพระพิชิตมารทรงตรัสว่า สมัยพระพุทธกัสสป ท่าน เทศน์ อย่างนี้ท่านบอกว่า
บุคคลใดให้ทานด้วยตนเอง แต่ไม่ชักชวนคนอื่น ตายจากชาตินี้ไปแล้ว ไปเกิดใหม่ จะมีทรัพย์สมบัติมาก จะเป็นคนร่ำรวย เป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี แต่ว่าขาดเพื่อน ขาดคนเป็นที่รัก มันก็โดดเดี่ยวแย่เหมือนกัน
บุคคลใดดีแต่ชักชวนบุคคลอื่น แต่ว่าตนเองไม่ให้ทาน ท่านบอกว่า ตายจากชาตินี้ไปแล้ว ไปเกิดชาติใหม่ มีพรรคพวกมากแต่ยากจน
บุคคลใดให้ทาน ด้วยตนเอง แล้วก็ชักชวนบุคคลอื่นด้วย ตายจากชาตินี้ไปเกิดใหม่จะเป็น คนร่ำรวยมากด้วย แล้วก็จะมีเพื่อน มีบริวารมีมิตรสหายมาก นี่เรียกว่า มีความสุข
บุคคลใดไม่ให้ทานด้วยตนเอง ไม่ชักชวนบุคคลอื่นด้วย ตายจากชาตินี้ ไปเกิดใหม่ จะไม่มีทรัพย์สมบัติ เป็น คนยากจนเข็ญใจ เป็นยาจกขอทาน แล้วขอก็ไม่ค่อยจะได้ ไม่มีใครเขาอยากจะให้ มีแต่คนรังเกียจ
การให้ทานที่ก่อนจะนิพพานน่ะ เราจะต้องมีความสุขในทรัพย์สมบัติก่อน จะไปคิดว่า การให้ทานเป็นการกำจัดโลภะความโลภหรือมีผลอันน้อย แค่กามาวจร อันนี้ไม่ถูก ถ้าเราจะไปนิพพานถ้าเราลำบากมันไปยากใจไม่สบาย จะเล่านิทานสักเรื่อง หนึ่งเอาไหม มันจะชักช้าก็ช้าจะจบเมื่อไหร่ก็ช่าง ก็เล่าสู่กันฟัง
ในสมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังมีพระชนม์อยู่ มีคนหนึ่งเขามาเกิด แต่คนคนนี้น่ะ ในชาติก่อน ๆ เวลาบำเพ็ญ บารมีตัดทานบารมีออกจากใจ แต่ความจริง เขาก็ไม่อยากได้ ทรัพย์สมบัติของใคร เขามี จาคานุสสติกรรมฐาน เป็นปกติได้จาคานุสสติกรรมฐาน ตัวนี้เขาไม่ได้ให้ แต่จิตเขาละความโลภ คือ ละความอยากได้ ทรัพย์สมบัติ ของบุคคลอื่น ที่ใคร ไม่ให้เขาโดยชอบธรรมน่ะ เขาไม่เอาเขาไม่อยากได้ แต่ว่าเขาไม่ให้ทาน ที่ว่า ทานัง สังคคโส ปาฌัง" ที่พระพุทธเจ้าทรง ตรัสว่า "ทานเป็นบันไดให้ไป เกิดบนสวรรค์" เขาบอกว่ามันต่ำไป เอาบุญที่เป็นปรมัตถบารมีดีกว่า คือ
1. มีศีลบริสุทธิ์
2. สมาธิตั้งมั่นก็ระงับนิวรณ์
3. มีปัญญาแจ่มใส เพื่อตัดกิเลส
ก็เป็นการบังเอิญว่า ชาตินั้นเขายังไม่ได้เป็นพระอริยเจ้า ก็ต้องตายจากความเป็นคน ไปเกิดเป็นเทวดา ก็สงสัยอาจจะเป็น เทวดาคนจนก็ได้ ทิพยสมบัติอาจจะสู้ชาวบ้านเขาไม่ได้ ที่นี้ก็กลับมาเกิดใหม่ มาเกิดเป็นลูกหญิงแพศยา เป็นโสเภณี โสเภณีเวลานั้นถือว่า เป็นตระกูล เป็นอาชีพ อาชีพหนึ่ง สังคมหนึ่ง หรือ สมาคมหนึ่ง
แต่ว่า โสเภณีน่ะเขาต้องการเฉพาะลูกผู้หญิง เขาไม่เหยียดหยามเหมือนสมัยนี้ว่า โสเภณี เลวไม่ใช่ อย่างนั้น เขาถือว่าโสเภณีก็เป็นตระกูลหนึ่ง ที่มีศักดิ์ศรี พอออกมาเป็นลูกผู้ชาย เขาไม่ต้องการ เขาก็เลยไปหมกป่าไว้ทิ้งปล่อยให้ตาย ก็สืบตระกูลเป็นโสเภณีไม่ได้
เวลานั้น โสเภณีผู้ชาย ยังไม่มี ถ้าบังเอิญมี โสเภณีผู้ชายอย่างสมัยนี้ บางประเทศ ก็จะหากินคล่อง เหมือนกัน เป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของบุคคลแต่ละคน ก็รวมความว่าเขาเกิดมาไม่มีความสุขถูกปล่อย แต่เขาก็ไม่ตาย เขาไม่ตายเพราะ อะไร เพราะว่า มีบุญรักษา เขาจะเป็นอรหันต์ในชาตินี้ เขาถูกหมกอยู่อย่างนั้น ไม่ตาย ถูกแวดล้อมไปด้วยสัตว์รักษาไว้ จน กระทั่งเป็นหนุ่มเดินไปเดินมา เดินเที่ยวไปก็ ไม่มีอะไรกิน แต่บุญรักษาเติบโตขึ้นมาได้โดยไม่ต้องกินอาหาร
ต่อมาวันหนึ่งเดินเข้าไปชายป่า เห็นคนเขาเอาอะไรมาฝังไว้ เป็นลูกเขาออก เอารกมาฝังก็แอบดู พอเขาไปแล้ว ก็ย่องเข้า ไปขุดเห็นรกเด็กเลยนำรกมากิน ในชีวิตเขาได้กินเท่านั้นอย่างเดียว นี่การขาดทานบารมี หลังจากนั้นก็เดินไปเดินมาเห็น พระท่านมีความสุข เลยขอบวชพระอุปัชฌาย์ก็ให้บวช
ในเมื่อบวชแล้ว เวลาบิณฑบาตรตอนเช้า พระใหม่ก็ต้องเดินข้างหลังตามระเบียบ เพราะเดินตามอาวุโส ชาวบ้านใส่บาตร จากหน้า พอจะถึงองค์หลัง ข้าวหมดพอดี นี่อานิสงส์ของการไม่ให้ทาน ท่านก็เดือดร้อน ไม่ได้กินข้าว อุปัชฌาย์ต้องแบ่งให้ ถึงอุปัชฌาย์จะแบ่งให้ หาเองไม่ได้ใจก็ไม่สบาย
วันที่สอง ท่านอุปัชฌาย์ บอกว่า " วานนี้เขาใส่หน้าไม่ถึงหลัง วันนี้คุณเดินข้างหน้า ทุกคนใส่จะต้องถึงคุณ "
แต่ความจริงพระอุปัชฌาย์เป็นพระอรหันต์อย่างต่ำก็น้องเป็นวิชาสามหรืออภิญญาหกแน่ เพราะรู้เรื่องในใจดีรู้กฎของกรรมดี ท่านต้องการพิสูจน์ผลว่า คนไม่ให้ทานนั้นมันมีผลเป็นอย่างไร
วันที่สอง ชาวบ้านบอกว่า " วานนี้เราใส่หน้าไม่ถึงหลัง วันนี้รวมกันใส่ จากหลังมาหาหน้า "
พอจะถึงองค์หน้าข้าวหมดพอดีแต่ความจริงเขาตั้งใจจะให้ถึง แต่กฎของกรรมมันบันดาลให้ตักข้าวหมด
วันที่สาม พระอุปัชฌาย์บอกว่า " เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน คุณยืนกลางเขาจะใส่ทางไหนมันพอทั้งนั้น " เป็นอันว่าท่านยืนกลาง
วันที่สาม ชาวบ้านบอกว่า " วันต้นใส่หน้าไม่ถึงหลัง วันที่สองใส่หลังไม่ถึงหน้า วันนี้เราแบ่งเป็นสองพวก ใส่จากข้างหน้ามาหนึ่งพวก ใส่จากข้างหลังมาหนึ่งพวก " เขาก็ทำตามนั้นปรากฎว่า ทั้งสองพวกพอจะถึงองค์กลางข้าวหมด พอดี
วันที่สี่ พระอุปัชฏาย์บอกว่า " ยืนรองฉัน มันใส่แบบไหน ถึงทั้งนั้น " ในวันต่อมาเขาใส่บาตรตามระเบียบ ใส่บาตรที่ 1 เขาไม่เห็นบาตรที่ 2 ไปใส่บาตรที่ 3
พอวันต่อมาพระอุปัชฌาย์บอกว่า " คุณยืนรองฉัน " ท่านเอามือจับบาตรไว้ เขาจึงเห็นบาตรของท่าน
นี่การให้ทานถ้าบารมีไม่เต็มจริง ๆ ถ้าไปโดนเข้าแบบนี้ เราจะถูกความหิวทรมานขนาดไหน แต่นั้นบังเอิญเป็นบารมีของ ท่านเต็มจะได้เป็นพระอรหันต์ ยังต้องถูกทรมานจิตใจแบบนั้น เห็นโทษเห็นทุกข์แห่งการเกิด พระอุปัชฌาย์แนะนำไม่นานนัก ท่านก็เป็นอรหันต์ เมื่อเป็นอรหันต์แล้วชาวบ้านก็เห็นบาตร เพราะเป็นผู้บริสุทธิ์แล้ว
นี่การให้ทานน่ะ มีความสำคัญอย่างนี้นะ จงอย่าคิดว่า เราต้องการเฉพาะ พระนิพพาน เราไม่ให้ทาน เราเอาเฉพาะศีลภาวนา อันนี้ไม่ได้ ท้องไม่อิ่มนี่ มันภาวนาไม่ไหว มันจะตายเอา ดีไม่ดีมันเป็นโจร
การให้ทานของบรรดาท่านพุทธบริษัท เราจะต้องให้ ถ้าบุญบารมีของเรา ยังไม่เต็มเพียงใด เราก็เอาละ เราจะต้องใช้ต้องกิน แต่ถ้าบุญบารมีเต็ม เราก็จะมีความอุดมสมบูรณ์ อย่างตัวอย่าง ท่านสีวลี
ท่านพระสีวลีนี้ ชาติหนึ่งเป็นชาวป่า วันนั้น เป็นวันที่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระพุทธกัสสป เทศน์บอกว่า
คนใดให้ทานด้วยตนเอง เมื่อตายไปชาติหน้า จะมีโภคสมบัติมาก แต่ไม่มีบริวารสมบัติ (ตามที่เล่ามาแล้ว)
บุคคลใดชักชวนบุคคลอื่น แต่ไม่ให้ทานเองจะมีพวกมากแต่ว่ายากจน
ให้ทานเองด้วย ชวนบุคคลอื่นด้วย เกิดไปชาติหน้าเป็นคนรวยด้วย มีพวกมากด้วย
แล้วก็ไม่ให้ทานด้วยตนเองด้วย ไม่ชักชวนชาวบ้านด้วย เกิดเป็นคนยากจน ไม่มีคนคบหาสมาคม ขอทานก็ยาก
ชาวบ้านจึงตั้งใจถวายทานกันอย่างหนัก มีทุกอย่าง แต่มันขาดน้ำผึ้งสดหาเท่าไรก็ไม่ได้ ตั้งคนไว้ที่ประตู เมือง 4 ประตูให้ เงินไว้ 1,000 กหาปณะ (เท่ากับ 4,000 บาทสมัยนี้) บอกว่า " ถ้าใครเอาน้ำผึ้งสด มานำรวงผึ้งสดมาจะซื้อ จาก 1 กหาปณะไปจนถึง 1,000 กหาปณะ "
พอดีท่านสีวลี เป็นชาวป่า ท่านจะมาหาเพื่อน ในเมืองไม่มีอะไรติดมือมา ก็เลยเอาผึ้งมารวงหนึ่ง พอพวก นั้นเห็นเข้า ก็ขอ ซื้อตั้งแต่ 1 กหาปณะถึง 1,000 กหาปณะ ท่านบอกว่า " ฉันจะเอาไปให้เพื่อน " ก็สงสัยว่า ผึ้งรวงนี้จริงๆ ราคาไม่ถึง 1กหา ปณะ แต่เจ้าคนนี้ ให้มากๆ คงจะสติไม่ดี หรือ อาจจะมีเหตุใดเหตุหนึ่งเกิดขึ้น มีความจำเป็น จึงถามว่า " ทำไมพวกท่าน สติไม่ดีรึ ไอ้ผึ้งรวงหนึ่งราคาตั้ง 1,000 กหาปณะใครเขาซื้อเขาขายกัน ราคามันไม่ถึง 1 กหาปณะ "เขาก็บอกว่า" พวกเรา จะทำบุญ แต่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีหมด มันขาดอยู่น้ำผึ้งสด อย่างเดียว เราต้องการมีทุกอย่าง " ท่านก็บอกว่า " ถ้าซื้อไม่ขาย แต่จะเอาไปให้เพื่อน แต่ว่าท่านจะให้ฉันร่วมบุญด้วยฉันให้ " ท่านสีวลีก็ให้ เป็นการปิดรายการ ครบถ้วนพอดี เขาขาด อย่างนั้นท่านปิดพอดี มันก็ปิดให้เต็ม
หลังจากชาตินั้นมาแล้ว ท่านมาพบองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว เกิดในชาตินี้ มาเกิดในชาติหลังนี่เขาบอกว่า ท่านพระสีวลี นี่ไม่เคยมีโรคเลย โรคภัยไข้เจ็บไม่เคยมี เป็นพระที่มีลาภจริง ๆ จะไปไหนก็ตาม คนก็ดี เทวดาก็ดีปรารภพระสีวลี ถ้าพระสีวลีไปด้วยไม่มีคำว่าอด จะมีความอุดมสมบูรณ์ แม้แต่เดินเข้าในป่าที่ไม่มีบ้าน
ในสมัยที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารจะเข้าไปเยี่ยม พระเรวัต ในป่าสะแก ที่ว่าเป็นน้องพระสารีบุตร อายุ 7 ปี เป็นพระอรหันต์ ปฏิสัมภิทาญาณ เวลาเดินเข้าไป ตอนจะไปเจอะถึงทาง 2 แพร่ง พระพุทธเจ้าจึงได้
ถามพระอานนท์ว่า " อานนท์ทางไปหาพระเรวัตไปทางไหน " ความจริงท่านทราบ พระอานนท์บอกว่า " ถ้าไปทางอ้อมทาง นี้เดินทาง 60 โยชน์มีบ้านบิณฑบาตตลอด ทางนี้เป็นทางตรงไป 30 โยชน์ไม่มีบ้านใส่บาตร " สมเด็จพระบรมโลกนาถจึง ตรัสถามว่า " สีวลีมาหรือเปล่า " แต่ความจริงท่านรู้ว่ามา แต่ต้องการจะประกาศความดี พระอานนท์ก็กราบทูลว่า " มาพระพุทธเจ้าข้า "
พอพระพุทธเจ้าตัดสินใจว่า จะไปทางตรงบรรดารุกขเทวดา และอากาศเทวดาทั้งหลาย ต่างคนต่างปรารภว่า เวลานี้ หลวงพ่อสีวลีของเรามา ความจริงพระโมคคัลลาน์ พระสารีบุตรก็ไป พระพุทธเจ้าเสด็จด้วย แต่เทวดาไม่ได้ปรารภถึงเลย ปรารภเฉพาะท่านพระสีวลี จึงเนรมิตเรือนแก้ว กุฏิเป็นที่พัก วัดเป็นที่พัก สำหรับพระ 5,000 รูป เป็นเรือนแก้วไว้แต่ละโยชน์ๆ 1 โยชน์มี 1 วัด สร้าง 30 วัดเป็น 30 โยชน์ เมื่อพระพุทธเจ้าไปถึงวัดต่างๆ เขาก็แสดงตนเป็นคนธรรมดาพระพุทธเจ้าท่าน รู้ นิมนต์พักวัดท่านก็พัก ตอนเช้าท่านนำอาหารการบริโภคเนรมิตจากจิตใจของเทวดาไม่ต้องหุง ถวายพระอิ่มหนำสำราญ แต่การที่เขาถวายน่ะ เขาปรารภพระสีวลีว่า " เราจะนำอาหารไปถวายหลวงพ่อสีวลีของเรา " เป็นอย่างนี้จนกระทั่งถึงสำนัก ของพระเรวัต
นี่แหละบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณร และญาติโยมพุทธบริษัท ท่านพระสีวลี ให้ทานด้วยรวงน้ำผึ้งรังเดียว ปิดรายการ แต่ชาติ หลังท่านมีความอุดมสมบูรณ์ คนที่มีความอุดมสมบูรณ์จะปฏิบัติธรรม มันก็ดีทำอะไรก็ดีทุกอย่าง มีการคล่องตัวรวมความว่า มีความปราถนาสมหวัง แม้แต่จิตใจ คนบางประเภทก็ซื้อได้ แต่บางประเภท เราก็ซื้อใจเขาไม่ได้นะ เงินน่ะ แต่บางประเภท เวลานี้ฟุ่มเฟือยมาก การซื้อก็ซื้อด้วยเงินสะดวก อันนี้มีประโยชน์มาก ฉะนั้นขอบรรดา ท่านพุทธบริษัท หรือ เพื่อนภิกษุสามเณรจงสนใจในการให้ทานให้มาก เพราะว่า การให้ทานนี่ไม่ใช่จะหวังเฉพาะการร่ำรวยอย่างเดียว การให้ทานเป็น ปัจจัยของความสุข ทั้งโลกนี้และโลกหน้า
การให้ทานนี่ ขอพูดถึงอานิสงส์ของทาน ในชาติปัจจุบันเราจะเห็นได้ชัดๆจริงๆนั่นก็คือว่า ผู้ให้ ย่อมเป็นที่รักของบุคคล ผู้รับ คือว่า คนผู้ให้มีโอกาสชื่นใจว่า เราได้ให้ทานแต่ว่า บางคนน่ะบางพวก จอมอกตัญญู ไม่รู้คุณคนนี่เยอะ เหมือนกันนะ อย่าลืมว่าผมโดนมาแล้ว โดนมาตลอดชีวิต ให้แล้วมันก็กัดแต่ ผมก็ไม่ได้ผูกใจเจ็บ
ผมถือว่า เป็นความชั่วของเขาผมไม่ยอมชั่วด้วย ไอ้ผมนั้นก็เลวอยู่แล้ว ถ้าจะไปโกรธเขาเข้า มันจะเลวมากขึ้น มันจะแบก ไม่ไหวเอาแค่ความเลวที่มีอยู่ มันก็เดินตุปัดตุเป๋ไปแล้ว เขาคิดจะฆ่าผม คิดจะไล่ผม เขาชุมนุนกันเยอะแยะ เวลาที่พูดอยู่นี่ ก็ยังมีร้องเรียนไปที่ไหนๆ ไปลงหนังสือพิมพ์ด่าบ้าง ฟ้องไปทุกระดับ จนกระทั่งสำนักนายก เขาหาว่า คนของผมโหดร้าย แต่ผมไม่เคยแตะต้องอะไรเขาเลย แต่พวกนี้เป็นอย่างไร ได้ประโยชน์มากเลย คิดว่าถ้าผมไปเสียแล้ว เขาจะได้ประโยชน์ จากผม หมายความว่า คนจะมาหาเขา เขาจะร่ำรวย เขานึกว่า ผมรวยก่อสร้างต่างๆนานา ญาติโยมท่านให้สร้าง ญาติโยมท่านให้เก็บ แต่จริงๆ การก่อสร้างนี่ เหน็ดเหนื่อย หนักใจ หนักกาย แต่เพื่อความดีของญาติโยม ผมไม่เหนื่อย ไม่หนัก ผมปลื้มใจเพราะญาติโยมทำความดีทุกคนเขาจะพ้นทุกข์กัน ฉะนั้นเราจะกักให้เขาอยู่ในแดนความทุกข์ยังไง ต้องสนองสนับ สนุนตามที่พระพุทธเจ้าสนับสนุนแบบไหน เราทำกันแบบนั้น
นี่แหละ บรรดาเพื่อนภิกษุสามเณร ทุกท่าน ต้องจำไว้ว่า การให้ทานน่ะ มันก็มีการสะดุดแบบนี้ แต่เราจงอย่าคิด คิดอย่างเดียวว่า จิตใจของเราเป็นสุข สุขเพราะการเกื้อกูลแก่เพื่อน ในเมื่อเราให้เขา ไอ้คนรักเรามากๆ ก็มี ไม่ใช่เลว คนเลวมัน น้อยกว่าคนดี ให้ทานแก่บุคคลที่รู้คุณคนนี่มี แต่เราอย่าไปคิด คิดอย่างเดียว ให้ทานเพื่อเป็นการสงเคราะห์ เรามีน้อยเราให้น้อย เรามีมากเราให้มากให้พอควร อย่าให้เกินพอดี อย่าให้เบียดเบียนตนเอง อย่าให้ถึงกับตัวมีทุกข์
ผลแห่งการให้ทานจริงๆ มันก็มีประโยชน์ใหญ่ ไปที่ไหนมีแต่คนรู้จัก ความจริงเราไม่รู้จัก จำเขาไม่ได้หรอก จำเขาไม่ได้ จริงๆ อย่างพวกท่านก็เคยไปกับผม ไปถึงญาติโยมก็มาหากันไปถึงก็หลวงพ่อหลวงปู่ หลวงน้า ผมมองหน้าผมจำไม่ได้ แต่ว่าท่านมาด้วยความดี ผมปลื้มใจ ผมก็ดีใจ บางคราวท่านมากันมาก ในที่บางแห่งจนกระทั่งผมฉันข้าวไม่ได้ ฉันข้าวไม่ได้ ไม่ใช่ญาติโยมจะมากวนใจผมหรอก ผมปลื้มใจ ในความดีของญาติโยม
นี่แหละบรรดาเพื่อนภิกษุ สามเณรทั้งหลาย การให้ทานน่ะชาติปัจจุบันเราก็มีความสุขมาก ทั้งนี้เพราะอะไร มีคนเขา สนใจเรามาก ประคับประคองเรามาก ป้องกันอันตรายให้ แต่อันตรายถ้ามันจะเกิดจากกฎของกรรม ก็อย่าไปโทษว่า ทาน ไม่ช่วยน่ะ คิดไว้เสมอว่า กรรมที่เราทำไว้ ในชาติก่อนมันตามมาเล่นงานเรายังไงก็ช่างมัน ชาตินี้ทำหนีมันไป ให้ได้ อันดับแรก เอาทานบารมีเข้าชนกับมันก่อน เป็นปัจจัยส่วนหนึ่ง ที่ทำให้เราพอมีความสุข คนที่เขาดี มีความกตัญญู รู้คุณเขาก็ให้ การประคบประหงมเรา ให้ความสนิทสนมกับเรา เป็นที่รักของเรา เราก็ชื่นใจในความสุข เว้นไว้แต่ คนจังไร ที่มีความอกตัญญูไม่รู้คุณ เขามีความทุกข์ ปล่อยให้เขาทุกข์ไปฝ่ายเดียว เราอย่าทุกข์กับเขา ถ้ากำลังใจของเรา อย่างนี้ก็ถือว่า เป็นทานที่มีกำลังยิ่งใหญ่ ชาตินี้มีความสุข ชาติหน้าจะยิ่งสุขยิ่งไปกว่านี้ ถ้าบังเอิญบารมีของเรา ยังไม่ถึงที่สุดในชาตินี้ ก็อาจจะไปตกในชาติหน้าอย่างท่าน เมณฑกเศรษฐี กับคณะก็ได้
คัดลอกมาจาก หนังสือธัมมวิโมกข์ (วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี) ฉบับที่ 52 เรื่อง บารมี 10
. -
ยันฮี
(เล่าเมื่อ 16 พฤศจิกายน 2516)
ที่ตรงยันฮีนี้ เป็นที่มีความสำคัญอยู่เยอะ พระพุทธเจ้าเคยเสด็จผ่านมาหลายพระองค์
หนึ่ง พระพุทธทีปังกร
สอง พระปทุมุตตระ
สาม พระกุกุธสันโท
สี่ พระโกนาคม
ห้า พระพุทธกัสสป
หก พระสมณโคดม
ท่านบอกว่า เขาลูกที่สามจากนี้ไปน่ะ เป็นแดนที่ประทับของพระพุทธเจ้า ที่ท่านเสด็จมาโปรด อีแถวนี้มันเจริญ ไม่ใช่ป่า ตอนนั้นเป็นเมืองใหญ่ เจริญมากนะ
เวลาพอจะขึ้น "ปุริมทิสังราชา..." จะหัวเราะให้ได้เลย เพื่อนมิสเตอร์เหม่เขามาเป็นคนที่เคยฟาดฟันกันมานะ เขามาชี้บอกว่า "ไอ้ระยำนี่น่ะฟันหัวมันไม่ได้สักที มันหลบเก่ง แล้วมันใช้ผ้าโพกหัวหนาๆ ฟันทีไร ติดผ้าทุกที" วันนี้มากันหมื่นกว่า แต่ว่าเขาไม่ได้จองเวรนะ เลยไม่ได้พูดถึงเรื่องเวรกรรมกัน พอพูดเสร็จแล้ว ท่านท้าวมหาราชก็มากางบัญชีกัน บอกว่า พวกเราที่ต้องทำบุญอุทิศให้เขานี่น่ะ ตั้งแต่สมัย พระเจ้าศรีทรงธรรม แล้วก็สมัย พระเจ้าขุนรามคำแหง ไล่ฆ่าเขาแถวนี้ เขามากันหมื่นเศษ ถามเขาว่า เวลาทำ บุญที่วัดทำไมไม่ไปทวงเอาที่โน่นล่ะ เขาบอกว่า กฎของกรรมมันปิด ไปไม่ได้ ก็เลยถามเขาต่อไปว่า คนที่มาอยู่ที่ยันฮีนี่ก็มาก พวกแกไม่ได้บุญบ้างเรอะ เขาบอกว่า ไม่ได้ ส่วนมากเขามาสนุกกันครับ ไม่ได้มาทำบุญ (นี่เป็นคำตอบจากพวกชั้นหัวหน้า ๆ สัก 100 กว่า ที่ท้าวมหาราชท่านอนุญาตให้เข้ามานะ) เขาก็แหงอยู่อย่างนี้ คอยจะเอาอะไร จากคนอื่นมันก็ไม่ได้ เห็นพวกท่านมาวันนี้ แหม ผมดีใจจังเลย ถามเขา ว่ามาทวงหนี้เรอะ ? ตอบว่า ไม่ทวงหรอกครับ เรื่องของสงคราม ไม่ทวงหรอก สงครามนี่ส่วนใหญ่ ไม่มีเจตนาฆ่าฟันกัน เป็นการทำตามหน้าที่เพื่อรักษาพื้นที่กันทั้งสองฝ่าย
ทีนี้เลยถามว่า พวกเรานี่ ใครเคยเกิดในสมัยสุโขทัยกันบ้าง สมเด็จฯ ท่านมาท่านก็ดุเอาเลยว่า จะพูดอะไรกันล่ะ เรื่องสมัยน่ะ เรื่องบุญเรื่องบาป ควรจะพูด ไม่พูดกันเลย ควรจะพูดอย่างเดียวว่า ชาตินี้เป็นชาติ สุดท้ายที่เราจะพึงอยู่ แล้วท่านก็เล่าว่า ดินแดนแถวนี้พวกเราเคยมาบำเพ็ญทานบารมีกันมาก ตั้งแต่สมัย สมเด็จพระพุทธทีปังกรโน่นแน่ะ เวลานั้น พวกเรากินแดนไปถึงอินเดีย แต่ตอนนั้นไม่ใช่ชาติไทยนะ ชาติอะไรก็ไม่รู้ ปลายสุดอยู่ที่ตาก เป็นเมือง 10 เมือง เป็นสัมพันธมิตรกันด้วยธรรมสามัคคี คือ เขามาขอขึ้นด้วยไม่ใช่เที่ยวไปไล่ตัดหัวเขานะ เห็นจะเป็นด้วยเขาอยากจะมาขอทองคำไปใช้กันนั่นแหละ
สมัยนั้นพวกเราบำเพ็ญกันหนักในด้านทานบารมี แต่ท่านตำหนิอยู่นิดหนึ่งว่า ที่ใครต่อใครทำบุญกันตอนนั้นน่ะ ที่ตั้งปรารถนาที่จะนิพพานในชาตินั้นกันน่ะไม่มีเลย มีแต่ขอกันว่า " ให้ได้พระนิพพานในชาติอนาคตกาลเถิด" กันหมด นี่ไหมล่ะ ถึงได้ถูกเตะโด่ง มาจนถึงเวลานี้ ท่าบอกว่า ถ้าปรารถนานิพพานในชาตินั้น มันก็จะได้นิพพานในชาตินั้นกันเยอะแล้ว นี่สมเด็จพระพุทธทีปังกรยืนยันเองนะ
ต่อมาในสมัยสมเด็จพระปทุมุตตระ พวกเราก็เกิดอีก พอปรารถนาพวกเราก็เกาะหางตามกันมาเรื่อยเลย ไม่ได้นิพพานกันสักที ต่อมาสมัยพระกุกุธสันโท พระโกนาคม พระพุทธกัสสป ก็เกิดทันกันมาทุกสมัยจน ถึงสมัยพระสมณโคดมนี่ ส่วนใหญ่ก็ทำด้านทานบารมีกันแล้ว ก็มาขอให้นิพพานในอนาคตกาลกันอีกฉัน ก็โง่แบบนั้น แล้วก็ "ราชาช้าง" ด้วย ไม่ใช่ฉันคนเดียวหรอก
ทีนี้ก็ทูลถามท่านว่า ถ้ายังงั้นเวลานี้ หากทุกคนเขามีความตั้งใจไปนิพพานกัน จะมีหวังไหม ท่านก็หัวเราะ บอกว่า
เอ ฉันก็พูดแล้วนะว่า ถ้าปรารถนาพระนิพพานตั้งแต่ชาติโน้นมันก็ได้ ชาตินี้ถ้าตั้งใจจริงๆ ทำไมจะไม่ได้ล่ะได้แน่ ขอให้เราตั้งใจจริงหวังจริงๆ เถอะ
แล้วทำเพื่อตัด ไม่ใช่ทำเพื่อเกาะ จะไปสาวประวัติ กันทำไมว่า ใครเป็นสุโขทัย ใครเป็นลพบุรี ฯลฯ
เพื่อนตาเหม่ ที่เขามาชี้หน้าน่ะ ขาว ๆ สวย เจ้าคนนี้สวยมาก รูปร่างหน้าตาสวยจริง ๆ ขาวค่อนข้างโปร่ง ไม่สูงนัก ท่าทางคล่อง แล้วก็มีคู่สงครามของเจ้ากรมคนหนึ่ง บอกว่า แทงพุงหลายหนไม่เข้าสักที เหนียว เหนียวมาก อีตาราชาช้างนี่เหนียว ขัดคอแกว่า หอกแกไปติดเกราะเข้ากระมัง เขาตอบว่า ไม่ใช่ครับ ไอ้ หอกประเภทนี้ เวลาจะแทงเขาจะต้องรู้จังหวะ จะก้มหรือหงายเกราะ จะเปิดตรงไหน พวกนี้รู้กัน ปั๋งเข้าก็ ถูกเนื้อทุกที แต่ไม่เคยเข้า ถามว่า จองเวรเขาหรือเปล่า ตอบว่า ไม่จองครับ สงคราม
มีเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่ง คือ เจ้าพวกนี้ รวมกันขอพระ 14 นิ้วองค์เดียว จะสร้างได้ไหมนี่ ช่วยกันนะ ต้องฉัน ด้วยหัวโจกใหญ่ ที่เขาขอพระนี่ ไม่ใช่เราใช้หนี้นะเราสงเคราะห์น่ะ ท่านบอกว่าเจ้าพวกนี้คอยเรามานาน ไอ้เราก็มากันจนได้นะ คนที่ไม่ตั้งใจจะมาก็มา นี่มันเกี่ยวข้องกันมา ตั้งแต่สมัย พระเจ้าพรหมมหาราช แล้วก็สมัยรบพม่าอีก
ถามท่านว่าไอ้10 เมืองนี้น่ะมันมีอะไร ถึงได้มีทองมากมันต้องมีดีซี ไม่งั้นทองมัน มารวมกันไม่ได้หรอก ท่านบอกว่า ถอยหลังไปอีกไปสืบสาวราวเรื่องเอาตั้งแต่ พระพุทธเจ้าองค์ ที่ 5 ที่ 6 นี่ พวกเรามักจะทำบุญ กันด้วยเครื่องประดับ คือ ถอดเครื่องประดับทั้งหมดออก ถวายเป็นพุทธบูชา ตอนนั้นเป็นพระราชากันบ้าง เป็นเศรษฐีกันบ้าง ใหญ่โตมาก เวลาฟังเทศน์พระพุทธเจ้าแล้ว มีสร้อย มีทองคำ มีเพชร อะไรต่ออะไร ก็ ถวายไปเป็นพุทธบูชา ปรารถนาพระนิพพานในอนาคตกาล อาศัยบารมีอันนั้นแหละ เป็นเหตุให้เกิดทรัพย์ สินมหาศาลขึ้น ด้วยอำนาจบุญญาธิการ ทองซึ่งเป็นทรัพย์แผ่นดิน มันจึงมารวมตัวกันมาก ได้แจกจ่ายกัน เป็นการใหญ่ ไปขุดกันเอาเองไม่รู้จักหมด
นี่ที่เราได้พบพระพุทธเจ้า มาหลายองค์ นี่ก็แสดงว่า เราไม่ได้ตกนรกกันมานานแล้ว แต่ไม่ใช่ว่า พบพระพุทธเจ้าแล้วจะตกนรกไม่ได้นะ บางทีเสด็จลงไปเยี่ยมเขาเหมือนกัน หนาวๆหน่อย ก็ย่องลงไปผิงไปเสียที แต่ที่ไม่ตกนรก ก็กว่า 1,000 ชาติแล้ว
วันนี้พระพุทธเจ้า เสด็จมา 3 พระองค์ ท่านบอกว่า ไม่ต้องห่วงพวกนี้ ทำใจให้สงบ พระอินทร์ท่านก็บอกว่า ควรสงเคราะห์เราสงเคราะห์เขา เราเองก็คล่องขึ้น เพราะเมื่อ เราสงเคราะห์เขา เขาก็สงเคราะห์เรา เราจะมีเทวดาเป็นพวกมาก
ที่ว่า 3 องค์ ตะกี้นี้ ก็มี พระพุทธทีปังกร พระพุทธกัสป พระพุทธกุกุสันโท หลวงพ่อกุกุธสันโท ไม่เคยมาเลยนะ ท่านชี้บอกว่า ภูเขาลูกที่ 3 เป็นแดนที่ประทับ ท่านทำให้เห็นภาพ บ้านเมืองสวยงาม บ้านสูงปรี๊ด อุดมสมบูรณ์ มีนักบุญมาก ทูลถามท่านว่า ชมภูทวีปมีเขตถึงไหน ท่านตอบว่า แถวๆ นี้แหละ
เออ เมื่อวานนี้จับผู้ร้ายได้ 2 คน ที่มากับ ที่มากับหมอสุพจน์นั่นแหละ เวลาเป่ากระหม่อม ลงไปคนหนึ่งก็ บอกเขาว่า "อ้าว นี่มาจากที่ดีนี่ แต่กำลังจะดำเนินปฏิปทา ไปในทางที่ผิดแล้วก็ทำเสียให้ถูกนะ"
เขาถามว่า เป็นยังไงครับ ตอบเขาว่า "เอ เรามาจากสำนักพระอินทร์นี่ พระอินทร์ ท่านลงมาบอกว่า ไอ้นี่ มันลูกศิษย์ผมนี่ แต่ว่าเวลา นี้มันกำลังเดินผิดทาง มันจะกลับไปที่เก่าไม่ได้ ให้มันเดินเสียให้ถูกทาง"
ต่อมา อีกหนหนึ่ง พอเป่า ๆ ท้าวมหาราชชมภู ท่านมาบอกว่า ไอ้นี่ขโมยพระเขามา เลยถามเขาว่า "เคย ขโมยพระเขามาหรือเปล่านี่" เขาตอบว่า เคยครับ แล้วรับสารภาพว่า เห็นจะเป็นพระกึ่งพุทธกาลที่เขาให้ มาบรรจุกระมัง ดูกันไปดูกัน มาเลยลิบของเขามา 5 องค์
ท่านสั่งมาเลยว่า ให้ชำระหนี้สงฆ์ 500 บาท ที่วัดไหนก็ได้ กำชับเขาว่า เอาไปให้ที่วัดอื่นนะเดี๋ยวจะหาว่า ข้าหาเงิน เขาบอกว่า ไม่เอาครับวัดอื่น ไม่เลื่อมใส ถวายที่หลวงพ่อ นี่แหละ
ก็เลยบอกว่า ให้ตั้งใจชำระหนี้สงฆ์นะ ไม่ใช่ให้ฉัน เสร็จแล้วมารู้ที หลังว่าเขาเป็นคริสเตียนทั้งคู่
แล้วก็มี สารวัตรใหญ่ สารวัตรเล็กมาอีก สารวัตรใหญ่ เป็นสารวัตรกำนัน ตัวแกใหญ่สารวัตรเล็ก เป็นสารวัตรตำรวจ แล้วมีอีกคนหนึ่ง ตัวผอมๆ สูงๆ เข้าไปเป่าหัว หลวงพ่อปานบอกว่า "อือ รักษาศีลให้บริสุทธิ์นะ มันจะดี ต้องให้มันดีจริง ๆ อย่าเอาหางหมามาใส่อีก"
สารวัตรตำรวจแกก็บอกว่า ไอ้นี่เวลาไม่กินเหล้าก็ดีหรอกครับ แต่เวลากินเหล้าแล้วเหมือนหมาจริง ๆ
หลวงพ่อพูดตรง ก็เลยบอกเขาว่า ฉันไม่ได้พูดเอง หลวงพ่อปานท่านบอก ท่านว่า กินเหล้าเข้าไปแล้วเป็นไงรู้ไหม มันเหมือนหมาอยู่ครึ่งตัว มันเหลือแต่เสื้อ กางเกง ถอดทุกที เจ้าตัวหัวร่อก๊าก แล้วบอกว่า ผมจะต้องมาอีก ไม่มีใครพยากรณ์ผมตรงเผงยังงี้เลย ต้องสั่งแกว่า แกอย่าไปเที่ยวเบ่งกับชาวบ้าน ว่าฉันพยากรณ์ตรงนะ ถ้าหลวงพ่อท่านไม่พูดมา ฉันก็ไม่รู้หรอก จะว่าฉันเก่งยังงี้ยังงั้นไม่ได้ เดี๋ยวเขามากันแล้ว หลวงพ่อไม่มาบอก ฉันก็แย่
เขาถามว่า เมื่อชาติก่อนเคยเป็นอะไรกันมา ตอบเขาว่า วันนี้พูดไม่ได้ ท่านไม่พยากรณ์ ถามท่านแล้วท่าน บอกว่า ไม่เอา แค่นี้พอให้มันเลิกเป็นหมูเป็นหมากันเสียก่อน
พูดถึง "เก่ง" นี่ เมื่อ 20 ปีก่อนก็ทำเก่งเหมือนกัน แต่เวลานี้ไม่เอาแล้ว ไม่ใช่ฉันเก่ง ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็ ต้องพระพุทธเจ้าเก่ง พระปัจเจกพุทธเจ้าเก่ง พระอรหันต์ทั้งหมดเก่ง เทวดาเก่ง เพราะท่านเป็นคนทำ เช่นอย่างธงแดง เป็นต้น ท่านปู่ใหญ่ท่านมาคุมเอง มีคนหนึ่งกะด๊งกะเด๊ง เขาไม่เชื่อ ก็เลยถามเขาว่า ธงแดงลอยหรือจมน้ำวะ? เขาบอกว่า จม เอ้าไปเอามาซิ โยนต๋อม....จม ให้เขาไปหยิบมาใหม่ โยนไปอีกที คราวนี้ลอยป่องถาม เขาว่า ทำไมลอยล่ะ ธงผืนเดียวกัน ไปเอามาใหม่อีกผืนซิ โยนไป จม เอ้า เอามานี่ เรา โยนบ้าง ลอย เลยบอกเขาว่า นี่เห็นไหม อาศัยจิตศาสตร์ ไอ้พวกวิทยาศาสตร์ยังโง่จัด โง่กว่าพระ อย่างนี้ความจริงฉันไม่ได้ทำ พ่อปู่ทำ
พ่อปู่เอาเสียหลายหน บางทีเรานั่งอยู่ตรงที่รับแขก คนเขามาเขาก็มอง ๆ ๆ มองแล้วก็ไม่พูดเดินกลับไป อีกคนหนึ่งเขามา เขาก็เห็นว่า เรานั่งอยู่ที่นั่น เขาร้อง อ้าว! ไหนว่า ไม่อยู่ ฉันบอกว่า ฉันก็อยู่ตรงนี้แหละ เห็นเขามามองอยู่ ตอนเขามาฉันก็เห็นนี่ พวกนั้นเลยเอาไปลือกันว่า ฉันหายตัวได้ นี่พ่อปูท่านแสดง ตอนนั้นเอาหนัก เพราะ กำลังสร้างวัดเป็นการใหญ่ หลวงพ่อสิงห์บ้าง หลวงพ่อสมัยบ้าง บางที ก็ให้เห็น เป็นสีเขียวบ้าง เหลืองบ้าง ขาวบ้าง สลับกันอยู่นั่นแหละ อย่างนี้ก็มี อย่างคราวหนึ่ง ไปราชบุรี ไปสร้างโบสถ์ วันแรก หาเงินให้เขาได้ห้าหมื่น พอวันที่สองฝนตกเสียจนลืมหูลืมตาไม่ขึ้น ตกตั้งแต่เช้ามืดยันเที่ยงคนก็มา ไม่ได้ ไอ้เรานั่งรับแขกอยู่ พวกบางนมโคก็ไปยืนมอง ไม่รู้มองอะไร พอถึงตอนเที่ยง ไม่รู้ใจนึกยังไง ร้อง ออกไปว่า เฮ้ย! นี่มันจะตกไปถึงไหนวะ เขาจะทำบุญกัน เลิกเสียทีซี แกล้งชาวบ้านเขานี่หว่า เท่านั้นแหละ ฝนหยุด ขาดเม็ดไม่มีเปาะแปะเลย นี่เป็นเรื่องของหลวงพ่อสิงห์ท่านทำ
ส่วนพวกบางนมโคกลับไปถึงวัด ไปบอกกันว่า โอ้โฮ ทำไมคนจะไม่ติดท่าน ไม่เหมือนอย่างที่วัดนี่ พรรคพวกถามว่า ทำไมล่ะ เขาตอบว่า อยู่วัดลงรักไม่ได้ปิดทอง ไปที่โน่นเนื้อเหลืองยังกะทองทา ปากแดงเชียว ไอ้เราก็นึกว่า เอาแล้ว สมเด็จองค์ปฐมปัจจุบันลงละ เงินเข้าวัดละ ที่จริงเราเองก็ไม่รู้ว่า เราเหลืองนี่ อี ตอนต้น ๆ ชอบสนุก ท่านก็สนับสนุนกันหลายองค์ ท่านไม่ต้องช่วย ไม่งั้นก็ไม่ไหว มันเป็นการดึงคน เพื่อให้เกิดศรัทธา ไม่ใช่เพื่อให้เกิดความร่ำรวยนะ ดึงเพื่อสร้าง
(เล่าเมื่อ 17 พฤศจิกายน 2516)
ที่ถามว่า สมเด็จองค์ปฐมทรงพระนามว่า พระพุทธสิกขี แต่ในพระไตรปิฎกตอบว่า พระพุทธสิกขี ตรัสรู้ในกัปหลังๆ น่ะ ความจริงพระนามของพระพุทธเจ้าซ้ำกันก็มี ในพระไตรปิฎก ที่ท่านกล่าวถึงไว้น่ะ กล่าวถึงแค่ 500 องค์หลัง นี่ เท่านั้น สมเด็จพระพุทธสิกขี องค์หนึ่งดำ องค์หนึ่งขาว เมื่อกี้นี้ ก็เสด็จมาด้วยกัน องค์หลังนี่ขาวสวย คือ พระพุทธเจ้า ท่านสวยตามสมัยเหมือนกัน สมัยไหน เขาชอบแบบไหน ท่านก็สวยที่ สุดตามแบบนั้น รูขัปปมานิกาใช่ไหม?
รูขัปปมานิกา มีรูปร่างสวย มีลักษณะอาการ 32 ครบถ้วน มีพยัญชนะเล็ก ๆ 80 ครบถ้วน คนเห็นแล้วก็ รู้สึกว่า สวย ถ้าคนชอบสวยเห็นแล้วจะติดใจในความสวย
รูอัปปมานิกา พระพุทธเจ้ามีความเศร้าหมอง คือ ทรงใช้จีวรเศร้าหมอง โกนศีรษะ ถ้าคนเขาพอใจความเศร้าหมอง เห็นความเศร้าหมองเข้าก็จะเกิดศรัทธา
โฆสัปปมานิกา เสียงของพระพุทธเจ้าจะเพราะอยู่ตลอดเวลา จับใจคน
ธัมมัปปมานิกา เทศน์ถูกใจคน คนเข้าใจง่าย ลักษณะของพระพุทธเจ้า 4 อย่างนี้ ความจริงฉันลืมแล้ว ท่านมาเตือนเมื่อตะกี้
(ถามว่า มีพระสอนว่า ไม่มีอะไรว่างหมด จะอธิบายอย่างไร)
แหม ไม่รู้จะว่ายังไง พระพุทธเจ้า ท่านก็เทศน์ไว้ดีแล้ว มีอยู่แล้ว ไม่ต้องไปสร้างคำสอนขึ้นใหม่จะดีกว่ากระมัง พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสไว้ทั้ง 4 แบบแล้วนี่ สุกขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทัปปตโต เราจะชอบแบบไหน ก็เลือกกัน ตามสบาย ๆ จะกินอาหารไทย อาหารเจ๊ก อาหารฝรั่ง อาหารแขก กินได้ ตามอัธยาศัย
ถ้าเราจะเป็น พระอรหันต์ แบบ สุกขวิปัสสโก ก็ไม่ต้องหา อะไร กระจุกกระจิก เพียงทำด้าน วิปัสสนาญาณ ควบคุมสมาธิไปเล็กน้อยจนกระทั่งเข้าถึง ปฐมฌาน จิตก็สามารถตัดกิเลส ได้ใช่ไหม อันนี้สบาย
เขยิบมาอีกนิดหนึ่ง ถ้าเราเป็นคนนิสัยจุกจิก เห็นห่อของแล้วต้องแก้ดู เห็นกล่องต้องเปิดกล่องดูพวกนี้ ทำสบาย ๆ แบบนั้นไม่ได้ ต้องมาศึกษาด้าน วิชชาสาม ให้เข้าใจเลยช้าไปหน่อย เพราะว่า วิชชาสาม จะต้องทรงกสิณให้ได้ถึง แต่ว่า วิชชาสาม ขั้นต้นทาง ด้านโลกีย์นะ ทำกสิณถึง อุปจารสมาธิ ได้ ปฏิภาคนิมิต อันนี้ ยังไม่ถึง ปฐมฌาน นะ ถ้าสามารถทรงได้สัก 5 นาที 3 นาทีก็นับว่าพอ เพราะทรงนานไม่ได้ เราอยากจะเห็นสวรรค์ เห็นนรก เห็นพรหมโลก เห็นว่า ใครอยู่ที่ไหน เราก็จับ ภาพกสิณ ให้แจ่มใส เมื่อจับให้แจ่มใสได้ เต็มที่ของเราแล้ว ก็นึกว่า ขอภาพกสิณนี้ จงหายไป ขอให้ภาพนั้นๆที่อยากเห็น ปรากฏภาพ นั้นก็จะปรากฏ มีความผ่องใสเท่ากับภาพกสิณ คือ ถ้าเราเห็นกสิณภาพนั้นก็มัว ถ้าเห็นภาพกสิณแจ่มใส ภาพนั้นก็จะใส
พูดถึง ปฏิภาคนิมิต นี่ ถ้าเราเห็นภาพแล้วคุยกับผู้ที่ปรากฏ บางทีพูดคำหนึ่งสองคำอ้าว ภาพหายไปเสียแล้ว เพราะสมาธิ มันตั้งอยู่ไม่นาน เราต้องนึกภาพ ขึ้นใหม่ อย่างนี้ความจริงเขาไม่ได้หายไปไหนหรอก ไอ้เรามันหายเอง คือ อารมณ์ที่เป็นทิพย์ของเรามันตกไปเอง อย่างนี้เราก็ต้องเร่งรัดตัวเอง ถ้าอยากคุยนาน ๆ วิธีเร่งคือ คุมกำลังจิตประเดี๋ยว ก็เข้าฌาน 4 พอถึงฌาน 4 ก็หัดทรงเวลา ตั้งเวลาไว้ 5 นาที 10 นาที ไป จนถึง 1 ชั่วโมง 2 ชั่วโมง ทรงฌานได้นานเท่าไร เราเห็นใครเราก็คุยกับเขาได้นานเท่านั้น
ทำได้อย่างนี้เรียกว่าได้ ทิพจักขุญาณ แยกได้ 8 อย่าง แต่ถ้าเราอารมณ์เข้มได้ จุตูปปาตญาณ แล้ว ญาณ 8 นี่พูดเมื่อกี้นี้ ไม่ต้องไปทำหรอก มันได้หมด คือ พอ จุตูปปาญาณ มา เจโตปริยญาณ มันก็มาเอง ไม่ต้องไปเชิญ ก็ไอ้ตัวนั้นแหละมันสร้างตัว ทิพจักขุญาณ ตัวเดียวนั่นแหละ
เจโตปริยญาณ เราจะรู้ได้ยังไง ? มันก็ต้องรู้ใจตัวเองก่อน ดูใจของเรานี่ แหม ถ้าได้ตัวนี้แล้ว มันวิ่งดีจังเลย กรรมฐานนี่ ดูใจของเราเองนะว่า เวลานี้มันเป็นสีอะไร ใจมันมีอยู่ 3 สี ความจริงมันมีอยู่ 6 สีนะ แต่มันจำยาก เอามันแค่ 3 พอ ถ้าใจเป็นทุกข์มันก็มี สีดำ หรือ สีมัว ทุกข์มากดำมาก ทุกข์น้อยดำน้อย ทุกข์ นิด ๆ หน่อย ๆ ก็เป็นเทา ๆ ถ้ามีความสุข ดีอก ดีใจ ใจมันก็มีสีแดง ถ้าใจสบายอารมณ์ว่าง จากนิวรณ์ใจ มันก็มีสีใส
ทีนี้ ไอ้ 2 สี คือ สีดำก็ดี สีแดงก็ดี นักเจริญกรรมฐานเขารังเกียจ เพราะ มันเป็นสีไม่ดีทั้งคู่ ดีใจมันก็เกาะ ติดสีที่ดีจริง ๆ คือ สีใส เป็นสีของอุเบกขา เป็นสีของฌาน 4 อันนี้ต้องรักษาไว้
ถ้าเราเห็นใจเราได้ เราก็เห็นใจคนอื่นได้ ถ้าเราต้องการดูใจใคร เราก็ดูจากใจเราก่อน ถ้าไม่เห็นใจเรา เราก็เห็นใจคนอื่นไม่ได้ แต่เราต้องชำระจิตของเรา ให้ดีก่อนนะ ให้เป็นอุเบกขาจริง ๆ คือ สามารถทรง ฌาน 4 ทรงอุเบกขาสบาย อย่าไปยอมรับนับถืออุปาทาน
ไอ้ตัวเจโตปริยญาณน่ะ มันมีอีกชั้นหนึ่ง รวมเป็น 2 ชั้นแนะ คือว่า ถ้าเรามีกำลังสูงขึ้น แทนที่จะเห็นจิตเป็นดวง ไม่ว่าจะเป็นจิตของคนอื่น หรือจิตเราเองนะ ก็เลยเห็นกายทั้งหลาย ที่เรียกกันว่า สมานกาย หรือ กายทิพย์ พวกได้ฌานจะเห็นรูปร่างภายในได้เลยว่า คน ๆ นี้น่ะตายแล้ว จะเป็นอะไรกันแน่ ถ้าหากเขาตายไป ในเวลานั้น เพราะว่า ไอ้กายข้างในมันบอกชัด ถ้าเขาจะเป็นพรหม สภาวะกายข้างในก็เป็นพรหม ถ้าเขาจะเป็นเทวดา ไอ้กายข้างในก็จะเป็นเทวดา ถ้าเราจะลงนรก กายข้างในก็เป็นสัตว์นรก ถ้าตายขณะนั้น ก็ต้องไปตามนั้น นี่มันชั้นที่ 2 นะ
เมื่อได้ เจโตปริยญาณ แล้วก็มา บุพเพนิวาสานุสติญาณ การระลึกชาติได้ มันก็ของกล้วยๆธรรมดา ไม่ต้องไปสร้างใหม่ เว้นแต่พวก อาทิกัมมิกะ ก็ต้องสร้างใหม่ เพราะไม่ได้ทำ ไว้แต่ชาติก่อน
ถ้าเราขึ้น ทิพจักขุญาณ ก่อน บุพพเพนิวาสานุสติญาณ ก็ไม่ต้องทุกข์ คือ เมื่อมี จุตูปปาตญาณ มา แล้ว บุพเพนิวาสานุสติญาณ ก็ได้เลย แต่จะคล่องหรือไม่คล่อง ก็อยู่ที่การฝึกซ้อม การระลึกชาติต้องค่อยๆ ระลึกถอยหลังไป
คราวนี้มา อตีตังสญาณ รู้เรื่องราวในอดีต อย่างเรานั่งอยู่ตรงนี้แหละที่เขายันฮีนี่เดิมมัน เป็นอะไรบ้าง ก็แบบเดียวกับบุพเพนิวาสานุสติญาณ รู้เรื่องของสถานที่ หรือบุคคล ส่วน อนาคตังสญาณ เราจะรู้ตัวว่า เราจะไปทางไหน คนอื่นจะไปทางไหนถ้าตายไปแล้ว
ปัจจุบันนังสญาณ ก็รู้ว่า เวลานี้น่ะที่เขาว่า มีการรบกันที่ชายแดนมันจริงหรือไม่จริง เช่นเขาว่า ประเทศ เจ๊กเวลานี้ โอ้โฮ มีพระแยะเชียวแต่ ไปดูเข้าจริงๆ เห็นพระไถนากันเป็นแถว เวลาไปเยี่ยม ไปดู เขาก็เอา พระพวกนั้น มาห่มจีวรเข้า อย่างนี้เราก็รู้ได้
มาถึง ยถากัมมุตาญาณ ตัวท้าย นี่เป็นตัวรู้กฎของกรรมว่า คนเราที่เกิดมาแล้วนี่น่ะ มีสุขมีทุกข์เพราะ อาศัยอะไรเป็นปัจจัยเดิม
นี่เป็นเรื่องของ วิชชาสาม เขาก็ฝึกแบบนี้ แต่ถ้าเข้มขึ้นไปอีกนิดหนึ่ง เราไม่ตั้งนิมิตภายนอก อย่างที่วัดปากน้ำท่านสอน ให้ต้งนิมิตให้เห็นภาพพระในอก นี่ก็เป็นลักษณะ หนึ่งของวิชชาสาม แต่กึ่งอภิญญา เพราะสามารถจะยกร่างกายภายใน ไปเที่ยวตามภพต่างๆ ได้ แต่ความจริงจะไปได้หรือไม่ได้ มีค่าเท่ากัน เรานั่งอยู่ตรงนี้ก็คุยกับเทวดาได้ คุยกับพรหมก็ได้ คุยกับสัตว์นรกก็ได้ กับพญายมก็ได้ และถ้าจิตของเราเข้าถึง โคตรภูญาณ เราจะคุยกับพระอรหันต์ หรือพระพุทธเจ้าที่นิพพานไปแล้วก็ได้ แต่ถ้าจิตยังไม่ถึง โคตรภูญาณ ห้ามพูดเลยเรื่องนิพพาน ปิดปากไว้ก่อน เพราะถ้าจิตยังไม่ถึงโคตรภูญาณ เรื่องของนิพพานรู้ไม่ได้ เดี๋ยวก็กลายเป็น สูญโญ ท่านที่ว่า พระนิพพานสูญ ก็คือ ท่านผู้นั้น เป็นผู้สูญจากพระนิพพาน ที่จะเข้าใจ เรื่องของนิพพานได้นั้น ต้องเข้าถึงวิชชาสามเสียก่อนนะ พวกสุกขวิปัสสโกอธิบายไม่ได้หรอก วิชชาสามนี่ พอถึง โคตรภูญาณ เห็นนิพพานได้ แจ๋วเลย เห็นแล้วก็เลยไม่อยากดูอะไร ดูแต่นิพพาน สนใจแต่นิพพาน เพราะนิพพานสวยสดงดงาม จัดเป็นทิพย์พิเศษ ไม่ใช่ว่าสูญ
ไอ้ที่ว่าสูญก็คือ สูญไปจากอำนาจ กิเลส ตัณหา อุปาทาน และ อกุศลกรรม
นี่เรียกว่า คนขยันหน่อยนะ ถ้าขยันมากกว่านี่อีกนิด ก็ต้องเล่นอภิญญา 6 เรื่องนี้ฉันไม่อธิบายมาก
(ขอให้อธิบายโคตรภูญาณ)
โครภูญาณ จิตมันอยู่ระหว่าง โลกีย์ กับ โลกุตตระ คือ ความเป็นคนกับความเป็นพระอริยเจ้า ท่านเปรียบเหมือนกับ ลำรางเล็ก ๆ น่ะ คือ ขาหนึ่งยืนอยู่นี่ อีกขาหนึ่งฝ่ายโลกีย์ ยังยกไม่ขึ้น
ทีนี้อารมณ์ของโคตรภู เราต้องรู้ว่า ขณะใด เราเข้าถึงโคตรภู ไอ้พูด ตามตำรานี่ มันพูดได้ ไม่ยากหรอก แต่ตัวเข้าถึงนี่ซี ถ้าเราเป็นฝ่ายวิชชาสามนะ มันเห็นชัด คือ เวลาที่เราถอดจิตขึ้นไป ตามปกติเราจะท่อง เที่ยวแต่เฉพาะในส่วนของโลกีย์ใช่ไหม จะเป็นเมืองมนุษย์ก็ดี อบายภูมิก็ดี เทวดา พรหมก็ดี แต่ส่วนโลกุตตระเราจะเข้าไม่ได้ ไม่สามารถจะเห็น แต่ถ้าอารมณ์ของจิตเข้าถึงโคตรภู เราจะเห็นพระนิพพานชัด
ถ้าพูดถึงอารมณ์ อันดับแรก อารมณ์มันจะยึดตัว "ธรรมดา" คือ ใครด่า เขาด่าก็ว่าเป็นธรรมดา เกิดมาต้องมีคนเขาด่าว่า อันที่จริงก็โมโหเหมือนกันนะ แต่โมโหแล้วมันปล่อยไม่เกาะอยู่ ถ้ายังไม่ได้ อนาคามี อย่านึกว่า ไม่มีโมโห โทโส มีโกรธ เหมือนกัน โกรธเดี๋ยวเดียว แต่ไม่ไปอาฆาต ไม่ไปทำร้ายเขาแล้วมัน ก็หายไป เห็นอะไรๆ มันก็ธรรมดา ถ้าไปเจอะคน ตายมันก็วาบหวิวไปนิดหนึ่ง ประเดี๋ยวตัว "ธรรมดา" มันก็ปรากฏ
ถ้าอารมณ์เข้มขึ้น มันก็ยัน "ธรรมดา" อยู่เสมอ แต่ก็ยังมีสะท้านอยู่บ้าง ในขณะเดียวกัน ก็มีอารมณ์รักพระนิพพานเป็นที่สุด ใครจะพูดเรื่องอะไร ก็ฟังได้ แต่ฉันไม่เอาด้วย ฉันจะไปนิพพาน นี่สำหรับพวกมี วิชชาสาม ส่วนพวกสุกขวิปัสสโก ก็ต้องสังเกตอารมณ์ เอาว่ายึด "ธรรมดา" และรักพระนิพพานเพียงใด ถ้ารักมากก็ชื่อว่าเข้าถึง โคตรภู ต้องสังเกตตรงนี้ ไม่ใช่ว่าเราไปแกล้ง "ธรรมดา" นะ ต้อง "ธรรมดา" นะ ของมันเป็นปกติ จิตจะรักพระนิพพานเป็นอารมณ์จริง ๆ แต่ถ้าไปนิพพานไม่ได้อย่างอื่นก็ต้องการ คือ จะไปพักสวรรค์พักพรหมโลก พักเพื่อหวังนิพพาน จะทำอะไรก็ตามไม่หวังผลตอบแทนฉันหวังจะไปนิพพาน นี่คือ อารณ์โคตรภู
ถึงโคตรภูแล้วสงสัยว่าเราจะเป็น พระโสดาบัน ก็มานั่งไล่เบี้ย สังโยชน์สาม ดูว่า สักกายทิฏฐิ เราเป็นอย่างไร เรารู้หรือเปล่าว่า ร่างกายมันจะพัง ตัวของเรา ตัวของคนอื่นน่ะ รู้หรือเปล่าว่ามันจะพัง มันจะตาย รู้ว่าจะตาย ความจริงก็มีจิตห่วงนั่นห่วงนี่บ้าง พระโสดาบันนี่ยังห่วง แต่ว่าห่วงไม่มาก ถ้ามันจะตายจริงๆก็ เอวังกิ่ม ฉันจะไปนิพพานนะ
สังโยชน์ที่สอง วิจิกิจฉา เราไม่สงสัยในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ที่ว่า "ไม่สงสัย" นี่ไม่ใช่ว่านึกเอา นะต้องปฏิบัติด้วย ต้องแน่ใจว่า เกิดแก่เจ็บตายนี่เป็นของมีจริงใช่ไหม เชื่อเหลือเกินว่า เราเกิดมานี่ต้องแก่ ไอ้การป่วยไข้ไม่สบายนี่ มันต้องมีแน่ ถ้ามันมีขึ้นมา เราก็ไม่ตกใจ การรักษาพยาบาล ถือเป็นของ ธรรมดา เพราะถือเป็นการระงับเวทนา แม้พระพุทธเจ้า แม้พระอรหันต์ทุกองค์ท่านก็ต้องรักษา แต่ในระหว่างรักษาตัว ก็นึกว่า จะระงับได้หรือไม่ได้ จะทรงอยู่ได้ หรือไม่ได้ก็ตามใจมัน ถ้าเกิดทุกเวทนามาก รักษาพยาบาลแล้ว อาการมันไม่ลด ก็ตามใจมันซี ฉันจะทนให้แกทรมาน ประเดี๋ยวเดียว แล้วฉันก็จะไปนิพพาน อารมณ์มันตัดตรงนี้นะ
ทีนี้มาสังโยชน์ข้อที่ 3 ศีล 5 ไม่ต้องระวังจะทรงไว้เป็นปกติ อันนี้เป็น พระโสดาบัน กับ สกิทาคามี แต่ ว่าพระโสดาบัน ก็ยังมีลูกมีหลานได้อย่างคนทั่วไป กิเลสมันไม่ได้ตกไป กามราคะไม่ได้ตกไป ยังมีความรัก ความโลภ ความโกรธ แต่ว่า ไม่เป็นภัยแก่คนอื่น โกรธน่ะโกรธ แต่ไม่ฆ่าใครจริง ทำท่าย๊องแย๊งๆไปยังงั้น ความรักก็ยังรักอยู่ แต่ว่า เวลามันจะไปจริง ๆ ก็คลายได้ ความหลงก็ยังมีอยู่ว่า เอ๊ะ นี่กูนี่หว่า ไอ้นั่นก็ของกู ไอ้นี่ก็ของกู ยังมีอยู่ แต่ว่าหลงไม่หนัก
มาถึง สกิทาคามี ตัวนี้ซียุ่ง ถ้าคนที่เข้าถึง สกิทาคามี ไม่รู้ตัวจริงๆ ละก็นึกว่าตัวเป็น พระอนาคามี ลักษณะอาการอย่างนี้ เคยไปไล่เบี้ยคนอื่นมาแล้ว ล่อเสียทุกองค์แหละทีแรกนึก ว่า เอ๋ ข้าว่าข้าได้ อนาคามี แล้วนี่หว่า ไปๆ มาๆ ไม่ยักใช่แฮะ เพราะ ไอ้กามารมณ์นี้น่ะ ตัวอยากมันไม่มีเลย ความรักในรูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส หรือเรียกว่า ความต้องการในเพศตรงกันข้าม มันไม่มีอยู่เลย แต่โน่นซี อีตอนอารมณ์ ฌานสบายๆ บางทีโผล่มาแล้ว นั่นแน่! ตัว อนุสัย ตีหัวเข้าบ้านเลย คือโผล่เข้ามานิดหนึ่ง พอเขารู้ตัวเขา ขับมันมันก็วิ่งเปิดไป นี่ตัวอนุสัย นานๆ ก็ย่องมาเสียที จนบางท่านคิดว่า ตัวเป็นอนาคามีไปแล้ว ไม่ใช่บางท่านหรอก ฉันว่า ร้อยเปอร์เซ็นต์เทียวแหละ ถามใครมันก็อีแบบนี้ทุกคน ตอนต้นดีใจ นึกว่าอนาคามีแล้วนะ ที่ไหนได้ 2-3 เดือนพ่อย่องมาโผล่หน้าแผล็บ โผล่ไม่นานนะ นาทีสองนาทีเท่านั้น
เขาคอยสะกิดหลัง บอกว่า ยังไม่ถึงหรอกโว้ย คือ ชักจะปรารภ ไอ้รูปสวยสดงดงาม ไอ้เสียงเพราะ อะไรนี่ มันชักจะต้องการ มีความรูสึกขึ้นมาเอง พอรู้สึกปั๊บ กำลังเขาสูงเสียแล้ว เขาตบหัวแล้วไปเลย จิตก็ตกไป พอรู้ตัวก็ต้องเร่งรัด ต้องเร่ง สักกายทิฏฐิ หากถึง โสดาบัน ได้ มันก็ยึดหัวหน้า ได้แล้วนี่ ยกพลขึ้นบกได้แล้ว โจมตีแหลก มองดูก่อนอีจุดไหนแข็งมาก ก็ยังไม่ตี ล่อหน่วยลาดตระเวนเล็กๆ ไปก่อนจะไปตีฐานทัพใหญ่ เราเห็นจะแหลกเอง
เมื่อถึงสกิทาคามีแล้ว อนาคามีก็ไม่ยากนักหรอก ตัดกามฉันทะความรู้สึกในทางเพศหมดไปเลย หายไปเลย อันนี้ แน่นอน ไม่กำเริบ ทีนี้ไอ้ความโกรธ ความพยาบาท ความกระทบกระทั่ง มันกระทบจิต พับตกเลย คือ ไม่พอใจเหมือนกัน แต่แป๊บเดียวหายเลย ไม่ใช่ไม่รู้สึก
พอถึง อนาคามี แล้ว ไม่ยึดหรอกเรื่อง อรหันต์ ชาตินี้ไม่ได้ เราก็ไปนิพพาน เอาตอนเป็นเทวดา น่น หมดเรื่องกัน เพราะได้อนาคามีแล้ว เขาไม่ลงมาเกิดกันอีก ไม่เป็นเทวดา เป็น พรหมแล้วอยู่นั่นบำเพ็ญ บารมีเป็นอรหันต์ไปเลย สกิทาคามี ยังลงมาอีกครั้งหนึ่ง
โสดาบัน แบ่งเป็น 3 พวก สัตตขัตตุปรมะ โกลังโกละ กับ เอกพิชี ฉันขึ้น สัตตขัตตุปรมะ ก่อน เพราะว่า ถ้ามีบารมีอ่อนอยู่ ก็ต้องลงมาเกิดเป็นมนุษย์อีก 7 ชาติ แช่อยู่แค่มนุษย์นี่แหละ เปรต หรือ นรก ไม่ไป บาปจะมีอยู่เท่าไร ก็ช่างมัน ไอ้เจ้าหนี้ไม่มีทางจะได้หรอกเงินต้น จะได้ก็ได้ดอกของดอกเบี้ย เท่านั้น แค่ดอกเบี้ยก็ไม่เต็มนะ คือมันจะมารบกวน ในขณะที่มีขันธ์ 5 คือเกิดเป็นมนุษย์ ไอ้บาปเก่าๆ มันก็จะทำให้เจ็บป่วยบ้าง ของหายบ้าง ไฟไหม้บ้านบ้าง น้ำท่วมบ้านบ้าง ก็ตามเรื่องตามราวไป
แต่มีเกณฑ์ว่า 7 ชาติเป็นอรหันต์ ถ้าหากว่า โกลังโกละ ก็เกิดอีก 3 ชาติเป็นอรหันต์ ถ้าเอกพิชีก็ 1 ชาติ
คือ ลงมาชาตินั้น ก็เป็นอรหันต์เลย พระสกิทาคามี ก็ลงมาเหมือนกัน แต่เขาบางกว่า สะกิดปั๊บเดียว เป็นอรหันต์เลย แต่ถ้าเป็นพระอนาคามี ไม่ลงมาเกิดเป็นเทวดา หรือพรหมแล้ว บำเพ็ญบารมีไปเลย นี่ว่ากันตามแบบนะ แต่ถ้าเราจะว่ากันอีกแบบหนึ่ง ถึงความเป็นอรหันต์นี่น่ะ ถ้าเราหากินเป็น คือ ฉลาดสักนิดหนึ่ง ชาตินี้ถ้าเราตั้งใจ พอใจธรรมส่วนไหน เช่น เวลานี้เราต้องการ พุทธานุสติกรรมฐาน พุทโธ ๆ ใครไป บ้านไหนเมืองไหนก็ช่าง ใจฉัน พุทโธ พุทโธ ด้วยความเต็มใจมากบ้าง น้อยบ้าง ดีบ้าง ชั่วบ้าง ก็ตามเรื่องของมัน วันนี้ได้ 30 นาที พรุ่งนี้ได้ 5 นาที มะรืนนี้ได้ 3 นาที บางวันได้ชั่วโมงหนึ่งก็ตามเรื่องตามราวแต่ ว่าตั้งใจจริง ๆ ด้วยอำนาจของ พุทโธ หรือ จะใช้อะไรก็ช่าง ฉันไม่จำกัด "พุทโธ" นะ จะ สัมมาอรหัง นะมะพะทะ หรือ นะโมพุทธายะ อะไรก็ตามเถอะ ตั้งใจใน ธรรมะ หรือ ในทานบารมี ศีลบารมี จุดใด จุดหนึ่ง เป็นชีวิตจิตใจ เอาจริง ๆ นะ รักจริง ๆ ตายไป ก็นั่งพักอยู่แค่เทวดา หรือพรหม พอถึงเวลา หมดอายุขัย ก็ลงมาใหม่ แต่ก็ไม่แน่นะ เทวดา หรือพรหม ไม่แน่ว่าจะรอให้หมดอายุ พวกชอบโดดลงมาก่อนก็เยอะ คือ เห็นมีจังหวะจะบำเพ็ญได้ ก็โดดปุ๋ปลงมาทีเดียว ถ้าโดดลงมาพบพระพุทธเจ้า หรือพระอรหันต์ ท่านก็ย่อมรู้นิสัย คือ หมายถึงพระอรหันต์ที่มีวิชชาสามขึ้นไป หรือไม่งั้นพระพุทธเจ้า พอท่านเห็นหน้าท่าน ก็รู้ว่าอีตานี่ "พุทโธ" มาแต่ชาติก่อน ข้ารู้ยายนี่ชอบให้ทานมาตั้งแต่ชาติก่อนข้ารู้ ท่านก็ไม่เทศน์อะไรละ เทศน์ไปแกะไอ้ผลเก่านั่นแหละ อีชาตินั้นละไปเลย เป็นอรหันต์ไม่เห็นยากหากินง่าย ๆ
ถาม - การเห็นจิต เห็นเป็นอย่างไร? เห็นเป็นรูป
จิตนี่นะทีแรกมันจะติดอุปทานก่อน ตอนต้น ฌานต้น ถ้าทิพจักขุญาณอ่อน มันจะติดตัวอุปาทาน คือ คิดว่า ใจมันมีรูปร่าง คล้ายดอกบัว แบบใจเนื้อนะ ทีนี้ อารมณ์มันจะเกิดก่อน เกิดแล้วมันจะเข้าไปถึงดวงจิตอันนั้น มันมีสภาพแบบนั้นะ แล้วจิตของคน ถ้าเห็นเป็นสภาพก้อนเนื้อ นั่นเป็นปุถุชนแท้ คือ สีเหมือนก้อนเนื้อ นะไม่ใช่ เนื้อหัวใจ ที่เต้นตุ้บๆ หรอก ถ้าเป็นสีดำเขาก็มีทุกข์ สีแดงเขามีสุข ถ้าจิตของเราใส คือ อารมณ์สบาย
ทีนี้หากว่า เขาได้ฌานนิดหนึ่ง ไอ้เนื้อนี่มันจะมีอาการคล้าย ๆ เคลือบด้วยแก้วเป็นชั้น ๆ ต้องแบ่งเป็น 4 ส่วนนะ เหมือนกับแก้ว เข้ามาเคลือบ ถ้าหากเป็นฌานเล็กๆ สมาธิเล็กๆ แค่อุปจารสมาธิ มันจะเป็นแก้ว บางๆ มองด ูลื่นๆ คล้ายมีแก้ว เคลือบอยู่ นิดๆ สังเกต ดูก็แล้วกัน ถ้าหากว่า ได้ปฐมฌาน มันจะเป็นแก้ว เข้าไป 1 ใน 4 แก้วธรรมดานะ ถ้าฌาน 2 ค่อยเข้าไปครึ่งหนึ่ง ฌานที่ 3 เข้าไปอีกส่วนหนึ่ง จะเห็นว่า จิต นี่มีแกนอยู่ตรงกลาง คือ มันจะเป็นแก้วหมดทั้งดวง แต่มีแกนอยู่กลาง ถ้าฌาน 4 จะเห็นเป็นแก้วล้วน
ทีนี้ถ้าเป็น พระอริยเจ้า เราจะเห็นจิต เป็นประกาย ถ้าคนนี้ได้ วิปัสสนาญาณน้อย ประกายก็น้อย ถ้าเห็น เป็นประกายเข้าไป 1ใน 4 ก็เป็นพระโสดาบัน ประกายเป็นรัศมีออกมาเลยนะแก้ว ถ้าเป็นพระสกิทาคามี ก็เข้าไป 50 เปอร์เซ็นต์ อนาคามีเข้าไป 75 เปอร์เซ็นต์ อรหันต์ก็เป็นดาวเต็มดวงเลย จิตพระอรหันต์เห็น ปั๊บรู้เลย แต่ว่า ถ้าเรายังไม่เป็นพระอรหันต์จะรู้ไม่ได้นะ โดนหลอก ต้องเป็นอรหันต์ด้วย จึงจะรู้จิตของอรหันต์ได้
(สอนหมอคนหนึ่ง)
หัดให้คล่อง ๆ นะ พยายามให้ดี บางทีจะมีผล เมื่อกี้ท่านมาสั่ง ถ้าฉันแรงดี ๆ ก็จะช่วยได้มากในเรื่องการฝึกมโนมยิทธิ เรารู้จุดแล้วหาที่ศึกษาได้สบาย
ที่ว่าที่ศึกษาน่ะ ไม่ใช่หมายถึง เมืองมนุษย์ นี่หรอก ขึ้นแค่ จุฬามุนี ก็พอแล้ว เป็นโรงเรียนใหญ่ พอขึ้น จุฬามุนี ปั๊บ ท่านก็จะทักทันที พอท่านทัก ก็ให้เข้าไปกราบท่านนะ เราตั้งอารมณ์ไว้ผิด หรือ ถูกอย่างไร ท่านก็จะสอนแบบสั้นๆ ทีละจุด ทำไปทีละจุดๆ ตามที่หลวงพ่อปานท่านบอกว่า จะเจริญกรรมฐาน ก็ต้องศึกษาแบบโง่ ๆ ไม่ใช่อวดฉลาด ทำอวดฉลาด มันอาจจะไม่อวดฉลาดจริง ไปอวดโง่เข้า
กรรมฐานก็เหมือนๆ กัน กับเราศึกษาเรียนหนังสือ ก่อนถึงชั้นประถม ก็อนุบาลไปก่อน แ ล้วมาประถมปีที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ไม่ใช่พอสต้าร์ทขึ้นมา ฉันก็จะล่อด๊อกเตอร์เลยทีเดียว การเจริญกรรมฐาน ถ้าจะเอาดี ก็ต้องไปทีละจุดๆ แต่มันไปเร็วนะ ไม่ใช่ช้า ส่วนไหนที่ทำได้ก็ให้ได้ไปจริง ๆ เลย
เมื่อไปหาพระ พระท่าน ก็จะสอนตามจุด เราก็ย่ำต๊อก อยู่ที่จุดนั้น จนกว่าท่านจะรับรองผลว่า เอ้านี่ได้แล้ว ผ่านไปแล้ว แล้วท่านก็สอนใหม่ สอนจุดต่อไป เราก็ว่าจุดใหม่ไปอีก รักษาอารมณ์ใจ ให้ไปตามนั้นทีละจุด เขาเรียกว่า ได้ครูที่ไม่ใช่มนุษย์ ถ้าพวกวิชชาสามขึ้นไป ก็ได้เร็ว ส่วนพวกสุกขวิปัสสโก ต้องถามมนุษย์ด้วยกัน
พอทำๆ ไปแล้ว ก็ต้องเหลียวดูข้างหลังด้วย ดีไม่ดีทางที่คิดว่า ถางเตียนแล้ว กลับรกขึ้นมาอีก ถ้าไม่ดูมัน เกิดรกขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวแล้วร้ายมาก อย่าประมาท ต้องคุมไว้ตลอดเวลา ใช้สติสัมปชัญญะคุมไว้ ถ้าหาก เป็นสมถะ ถ้าเป็นตัววิปัสสนา ก็ใช้สติปัญญาพิจารณาคุมขันธ์ 5 ไว้ มันจะพังหรือไม่พัง อยู่ที่ขันธ์ 5 ตัวเดียว ถ้าเราละขันธ์ 5 ได้โดยเห็นว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เมื่อใด เมื่อนั้นเราก็เป็นพระอริยเจ้าได้
(ตอนต่อไปนี้ เล่าเมื่อ 2 พฤศจิกายน 2519)
การที่เราไปบูชาพระเมื่อตะกี้ ฉันกับหลวงปู่ธรรมไชย เดินกันคนละสาย หลวงปู่ท่านก็เข้าถ้ำไปบ้าง ตามเรื่องของท่าน ฉันอยู่หน้าถ้ำ พอพวกเราเริ่มบูชาพระ รูปพระก็ปรากฏ ในสมัยหนึ่งที่ตรงนี้เป็นเมืองๆหนึ่ง ที่ สมเด็จพระพุทธกัสสป เสด็จเป็นประจำ ถือว่าเป็น เมืองลูกหลวง เทียบกับสมัยปัจจุบันก็คงจะได้กับ เมืองของ พระเจ้าปเสนทิโกศล หรือ เมืองราชคฤห์ ของ พระเจ้าพิมพิสาร ซึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จเป็นปกติ คือ เป็นเมืองอุปัฏฐาก
ก่อนจะลืม ขอบอกไว้ตรงนี้เลยนะว่า ท่านบอกไว้ในตอนท้ายว่า พระศรีอาริยเมตไตรย จะตรัสในที่ตรงออกไปจากนี้ เลยดินแดนไทยปัจจุบันออกไป 10 กม. เป็นที่อุบัติ เป็นเขตพม่า แต่ในสมัยโน้น ก็คงไม่เป็นประเทศพม่าแล้ว เป็นคนละสมัย
เมื่อเช้า ที่ว่ามีพระราชาองค์หนึ่งชื่อ พระเจ้าปทุมมหาราช นั่นก็คือ พระอินทร์องค์ปัจจุบัน นี่เองนะท่านมา ถึงเป็นองค์แรก มาถึงท่านก็ถามว่า ไอ้เจ้าเมืองปาฏลีบุตร มันมาด้วยรึ ไอ้เราก็งง ลืมไปว่า บอกไว้ตั้งแต่ คราวไปบวงสรวงที่เชียงแสนปีก่อนโน้น ถามว่า ใคร ท่านก็ ตอบว่า มันนั่งข้างหลังแกน่ะ ทำไมไม่จำ หลังจากนั้นก็มีพระมาเยอะ พรหม เทวดา ก็เยอะ ตอนที่พวกเราอุทิศส่วนกุศล ขอให้เจ้ากรรมนายเวรอโหสิน่ะ ความจริงวันนี้เจ้ากรรมนายเวรไม่มีมาเลย มีแต่พวกเก่าๆ ที่เรามาคราวก่อนแล้วสร้างพระให้เขา เขามา เป็นหมื่นแต่งตัวสวยแพรวพราว เขาบอกว่า เจ้ากรรมนายเวรไม่มี มีแต่พรรคพวก
ทีนี้ก็เล่าประวัติเดิมของเมือง ที่ปรากฏเป็นภาพ ท่านบอกว่า อาศัยที่พระเจ้าปทุมมหาราช เป็นผู้มีความ เคารพใน พระพุทธกัสสป การเสด็จมา ของพระพุทธกัสสป ก็นานๆ ครั้ง แต่เสด็จครั้งหนึ่ง ก็ไม่ต่ำกว่า 1 เดือน ในเมื่อพระราชาเคารพบูชาพระพุทธเจ้า บรรดาประชาชนทั้งหลาย ก็พากันมีความเคารพตามไปด้วย เมื่อเสด็จมาเป็นครั้งที่ 3 พระเจ้าปทุมมหาราช จึงได้ขอให้ทรงแสดงอะไรสักอย่างหนึ่ง ไว้เป็นอนุสรณ์ ท่านจึงแสดงเป็น พระรูปฉาย เข้าไว้พร้อมด้วยอัครสาวก และ สาวกหลายองค์ด้วยกัน แต่นี่ได้เลยสมัย มานานแล้ว จึงได้เลือนไป ถ้าเป็นสมัยนั้นก็คงจะมีสภาพ คล้ายพระฉายของเราสมัยนี้ เพียงแค่เดินผ่านก็ จะเห็นเป็นพระพุทธเจ้า คล้ายมีคนมาเขียนไว้ แต่นูนขึ้นมานิดหน่อยให้เห็นได้ชัดนอกจากนี้ก็ แสดงรอย พระพุทธบาท แต่ถูกหินทับไปหมดแล้ว
ที่แสดงภาพพระ ไว้ใกล้แม่น้ำก็เพราะว่า เป็นความต้องการของพระเจ้าปทุมมหาราชว่า เป็นที่มีน้ำไหล มีความเย็น เวลาว่างในตอนเย็น ๆ เช้า ๆ ก็พากันมาไหว้อนุสรณ์ ที่ระลึกถึงพระพุทธเจ้า เป็นอันว่ าคนในสมัยนั้น มีความเคารพกันมากในพระพุทธเจ้า และ เป็นนักบุญมาก นักบุญในสมัยนั้น ก็มาเกิดในสมัยนี้ อีกบ้าง ที่เดินมาเป็นแถวๆ นี่ละ ที่ยังมาไม่ครบก็ยังมีอีกมาก
เมื่อพระท่านมา ท่านก็เดินตรวจ ทุกองค์ท่านเดินตรวจ พวกเทวดากับพรหมก็อยู่ห่างออกไป ล้อมอยู่รอบ ๆ โดยเฉพาะพวกที่เราสร้างพระให้ เขาอยู่ทางแถบริมน้ำไกลลิบ มีแสง แพรวพราว เหมือนกับเพชร ที่ต้องแสงอาทิตย์ ตอนหลังสุด พระพุทธกัสสป ท่านก็ทรงพยากรณ์บอกว่า คนที่มาที่นี่ทั้งหมด ให้แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ส่วนหนึ่ง ตายแล้วไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดในชาตินี้ ท่านใช้คำว่า "ฉันเอาไป 1 ส่วน" แล้วที่เหลืออีก 2 ส่วนให้แบ่งใหม่เป็น 3 ส่วนเหมือนกัน เมื่อตายแล้วไปสวรรค์ไม่ได้กลับเสีย 1 ส่วน ส่วนที่ 2 จะไปหมด ในสมัย พระศรีอาริย์ ส่วนที่เหลือ ก็เตะโด่งไปอีกนิดหนึ่ง เพราะว่า มีส่วนในการปรารถนาพุทธภูมิ แล้วท่านก็ขมวดท้ายเข้าไปอีกทีว่า คำว่า "มรรคผล" นี่ไม่มีใครสามารถจะพยากรณ์ได้จริงจัง คนที่ว่า จะล้าหลังก็ไม่แน่ ถ้ารวบรวมกำลังใจเข้มข้น ก็ไปได้หมดเหมือนกัน ถ้าใช้จังหวะเวลาให้ถูกต้อง ใช้กำลังใจให้ถูกต้อง คือ ไม่เคร่งเครียดเกินไป ไม่ย่อหย่อนเกินไป ทำใจสบาย จับสักกายทิฏฐิ เป็นปกติ ทุกคนก็อาจจะไปได้หมดในชาตินี้
พวกเราที่มานั่งทั้งหมดนี้ ก็เป็นคนสมัยนั้น คนสมัยนั้นเขาแต่งตัวสวย แล้วก็ร่ำรวย รวยเพราะอะไรเพราะ มี พุทธานุสติ ธรรมานุสติ สังฆานุสติ เป็นปกติ เป็นเมืองนักบุญ แต่ว่า เวลาจะทำบาป ก็ทำกันเต็มที่เหมือนกัน เพราะใครมาข่มเหงเราก็รวมตัวกัน ไม่ว่า ผู้หญิง ผู้ชาย ถือดาบ ถือธนู ต่อสู้กันหมด ปรากฏว่า เราถูกรุกรานหลายวาระ เราก็ใช้วิธี ปราบแบบปัจจุบัน ยันหน้ายันหลัง ใช้เป็นกำลังของกองโจรบ้าง ถ้าไม่สำเร็จก็ยกทัพใหญ่เข้าประชิด แล้วหักล้างข้าศึกได้ทุกคราว เพราะ เราเป็นนักบุญด้วยนักบาปด้วย ถึงไปนิพพานไม่ได้ มานั่งป๋ออยู่นี่
ในเวลารบ เราแต่งตัวเหมือนกันหมด ทั้งผู้หญิงผู้ชาย ตัดผมเหมือนกันหมด แต่ในยามปกติ ผู้หญิงจะนุ่ง ผ้าถุงยาวขลิบหน้า ใส่เสื้อแขนกระบอก พวกเราฉลาด ในการสร้างผ้า โดยมากมีแพรกับไหม เป็นผ้าที่มี ราคาแพงที่สุด เป็นที่นิยมของโลก อย่างเดียวกับสมัยพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน เขาถือว่า แคว้นกาสี เป็นผ้าเนื้อดี ราคาแพงที่สุด นอกจากนั้นเราก็ฉลาดในการหาทองคำกัน กับหาเงินใช้ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดินแดนแห่งนี้มีทั้งทอง ทั้งเงิน เวลานี้น้ำท่วมไปเสียเยอะแล้ว
วันนี้เราไปนั่งกรรมฐานกันประเดี๋ยวเดียว แต่ถือว่าเป็นคุณค่ามหาศาล การเจริญพระกรรมฐานเราก็ต้อง ฝึกใจให้เข้าถึงพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ ให้เข้าถึงความดี เวลาเรานั่งฝึกเจริญพระกรรมฐาน
เราจะใช้เวลามากน้อยอันนี้ไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่คุณภาพของจิต
ถ้าจิตของเราสงบสงัดจากกิเลส แม้แต่เพียงวินาทีเดียว พระพุทธเจ้าก็ทรงสรรเสริญว่า บุคคลนั้นเป็นผู้มี จิตไม่ว่างจากฌาน จะนั่งหลับตา จะเดินอยู่ จะนั่งลืมตา จะทำการงานอยู่ กำลังเขียนหนังสือจิตจับอารมณ์ นึกถึงพระพุทธเจ้า จิตสบายนิดหนึ่ง ชั่วขณะนั้นก็ใช้ได้ เป็นอานิสงส์ใหญ่
ที่แนะนำ เรื่องพระพุทธเจ้า ก็เพราะว่า พวกเรานี้ติดอำนาจ ของพุทธานุสติมาหลายแสนกัป ถ้าทิ้งพุทธานุสติเมื่อไร พวกเราก็พลาดทางเมื่อนั้น การที่พวกเรายึดพุทธานุสติเป็นปัจจัย มีความมุ่งมั่นกัน ในขณะนั้น คือ ในหลายสมัยที่ผ่านมา อยากเป็นพระพุทธเจ้า ตัวนี้แหละสำคัญมาก การที่จะเป็นพระพุทธเจ้าได้ นั้นต้องบำเพ็ญบารมีเป็นระยะยาว เมื่อใช้เวลาบำเพ็ญบารมีมาก การสั่งสมบารมีก็มีมาก มาในสมัยนี้เราเห็นว่า การเป็นพระพุทธเจ้านั้นลำบาก แต่เมื่อเข้าถึงขนาดนี้แล้ว ต้องมองมาดูตัวว่า เวลานี้ตุ่มน้ำ คือบุญ มันก็ใกล้จะเต็ม จนถึงปากแล้ว เราถ่ายมาลงตุ่มพระสาวกเสีย มันก็จะเต็ม หรือ ถ้าจะขาดบ้างก็เล็กน้อย เพราะฉะนั้น เราจึงกลับใจกันเสียใหม่ บำเพ็ญเป็นแค่สาวกกันดีกว่า ซึ่งความจริงถ้าเราตั้งใจแค่ พระสาวก เราก็ไปเสียนานแล้ว พวกรุ่นเดียวกับเรานี่ ที่เขาไปนิพพานกันแล้วก็นับไม่ถ้วน
ดินแดนแห่งนี้ก็ดี ภาคเหนือก็ดี เป็นดินแดนดั้งเดิม ของพวกเรา ฉะนั้นจึงเห็นว่าการเดินทางน่ะ เรามักจะสายเหนือ กันเป็นส่วนมาก
พวกเรามาจากไหน? มาจากกรุงราชคฤห์มหานคร กับ เมืองพาราณสี คนสองเผ่านี้เข้ามาทางสายเหนือ ของประเทศไทย และ เข้ามาก่อนพุทธกาล ประมาณสองพันปีเศษ องค์แรก ที่เข้ามา ก็มีพระนามว่า พระเจ้าอาทิตราช เป็นเครือของ กรุงราชคฤห์ สมัยนี้เราพูดกันว่า พวกราชคฤห์เป็นพวกแขก ความจริงไม่ใช่ สมัยโน้นไม่ใช่แขกครอง แต่พวกไทยอาหมครอง เมืองเวสาลี เมืองสาวัตถี กับ เมืองราชคฤห์ มีไทยมากในสมัยนั้น แล้วก็สืบเชื้อสายลงมาจนถึง พระเจ้าพังคราช อย่างที่มีปรากฏในเรื่องเชียงแสน แล้วนั่นแหละ
. -
ดอยอินทนนท์
(เล่าเมื่อ 30 ธันวาคม 2516)
ตอบคำถามเรื่องที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาประทับที่ดอยอินทนนท์
ท่านบอกให้เอาเข็มทิศวัดไปจากเครื่องเรดาร์ตรงไปทางทิศเหนือครึ่งกิโลเมตร ประทับอยู่ตรงนั้นพอดี เสด็จมา 3 ครั้ง ก็ประทับตรงนั้นแหละ ท่านมาพักกับพระอรหันต์อีก 4 องค์ มีพระโมคคัลลาน์ พระสารีบุตร พระมหากัสสป พระมหากัจจายนะ และพระอานนท์ พระอานนท์ตอนนี้ ยังไม่เป็นพระอรหันต์ แต่ว่ามาได้เพราะ เป็นพระอภิญญา เมื่อมาพักตรงนี้ ที่ตรงนี้จึงถือว่า เป็นมงคลใหญ่ เสด็จมาโปรด แถวจอมทอง 3 ครั้ง แล้วก็บอกว่า จะไม่มาอีก เพราะที่นั่นมีพระอรหันต์ขึ้นแล้ว ต่อไปมีแต่ พระสาวกจะมาแทน องค์ที่มาบ่อย คือ พระมหากัสสป ท่านธุดงค์มาถึงที่นี่ เล่นกับท่านได้รึ พระปฏิสัมภิทาญาณ ชวนลูกน้อง เดินแค่ 2-3 นาทีก็ถึง
เทวดาที่รักษาดอยอินทนนท์ เวลานี้ องค์ใหญ่ที่สุดชื่อ จันทรเทพ เรียกย่อ ๆ ว่า เทวดาจันทร์ ก็แล้วกัน ท่านอยู่ชั้นมายา แต่องค์แทนน่ะ ใครก็ได้นะ มีลูกน้องเยอะ เทวดาตัวจริง ที่รักษาเฉพาะ ตรงที่พระพุทธเจ้าประทับ ไม่ว่าจะประทับที่ไหน ชื่อ มหาสักขา มีศัดกาใหญ่อำนาจมาก ท่านเป็นเจ้าของแดน
เทวดาจันทร์รูปร่างขาวใหญ่ สวย ใจดี ตะกี้นี้อยู่ตรงนี้ตลอด ท่านเล่าว่า สมัยพระพุทธเจ้ากัสสป ทรงอุบัติขึ้นในโลก พวกเราตั้งดินแดนอยู่ที่นี่ ความจริงดินแดนของฉันจริง ๆ เดิมตั้งอยู่ที่ลำพูนนี่ เป็นเมืองเล็กๆ เขตกินไปถึงเมืองลพบุรี ตอนนั้นยังเป็นชายทะเลอยู่ แล้วไปถึงนครปฐม
พ่อเมืองใหญ่ชื่อ ศรีธรรมวราบดี คือ พระอินทร์องค์ปัจจุบัน
พระบรมราชินีชื่อว่า ศิริจันทราราชเทวี คือ พระชายาองค์ ปัจจุบันของพระอินทร์
แล้วลูกเมืองก็ชื่อ ศรีทรงธรรม กับ พรรณวดีศรีโสภาค อาณาจักรข้างเหนือ ไปยันเชียงตุง ยันนะ ไม่ใช่เล็กเหมือนกัน
อีกเมืองหนึ่ง ราชาช้าง กินตั้งแต่ เชียงตุง ถึง อิมพัน ในเขตอินเดียโน่น เวลานั้นชื่อ พระเจ้าธรรมเสนา พระบรมราชินีชื่อว่า พระนางอินทรมหาปชาบดี
แล้วอีกเมืองหนึ่งชื่อว่า ปทุมวดี พระชายาชื่อ แสนหวี จำสร้อยไม่ได้ ถามว่าทำไมจึงชื่อ แสนหวี ตอบว่า มีหวีมาก เรื่องหวีนี่เลือกจริงๆ ยายคนนี้มีหวีเป็นกรุเลย จะไปงานโน้นต้องหวีชนิดนี้ ไปงานนี้ต้องหวีชนิดนั้น อันนี้เขากินเขตแดนต่อไปถึงญวนทั้งหมด
สามเมืองนี้เป็นพันธมิตรกัน มีอะไรก็ช่วยกัน ส่วนมากก็ทำการค้าขายกับกสิกรรม 2 อย่าง เป็นเมืองที่มีความอุดมสมบูรณ์มาก มีความเป็นอยู่เป็นสุข โดยมากอยู่กันโดยธรรม ไม่รุกรานใคร แต่ทว่า มีพวกแขก อาบังนี่น่ะ อยู่ต่อจากอิมพันออกไป พวกนี้นิสัยไม่ดีเกกมะเหรก ถือว่า มีพวกมากกว่า ก็จะมารุกราน เรียกว่า ชาวปาฐะ เมื่อมันโกงเรา ก็รวมกันสู้ตีกันไป มันสู้ไม่ได้ เราก็ยึดเรื่อยไป พอตีแดนนี้หมด เลยได้เครื่องจักรพรรดิ คราวนี้เลยไม่ต้องตี เหาะได้แล้ว ทีนี้ใคร ๆ ก็มาขอขึ้น
ท่านบอกว่า การเกิดชาตินี้ เป็นการชำระกรรมครั้งสุดท้าย ของพวกนี้ทั้งหมด คือ พวกถวายเครื่องประดับ กับพระพุทธเจ้านี่แหละ จากชาตินี้ก็ยกล้อกันแล้ว คือ ตายไปแล้วไปเป็นเทวดาบ้าง เป็นพรหมบ้างบางคน ก็จะไปนิพพานในชาตินี้บ้าง พวกที่ไปเป็นเทวดา เป็นพรหมน่ะ เกิดอีกชาติเดียวก็นิพพานไม่มีเหลือ เพราะ อำนาจการถวายเครื่องประดับเป็นพุทธบูชา
. -
ทรัพยากร
(เล่าเมื่อ 18 มิถุนายน 2517)
พระผู้ใหญ่มาเล่าเรื่อง ทรัพยากรของประเทศไทย แล้วหลวงพ่อบันทึกเทป เล่าถ่ายทอดตามคำบอกไว้ จะคัดมาแต่เฉพาะใจความสำคัญดังนี้
" น้ำมันส่วนใหญ่ของประเทศ จุดใหญ่จริงๆ ที่ฝรั่งก็เคยคิดพิสูจน์นั้นมีอยู่ ในผืนแผ่นดิน ตั้งแต่... ผ่าน... และ วกไปทาง... เป็นโค้งมีรัศมีไกลจนถึงเขต... สายนี้เป็นสายที่มีส่วนลึกมาก มีปริมาณสูง ถ้าจะใช้จริงๆ เฉพาะสายนี้ใช้เลี้ยงทั้งโลกประมาณ 4,000 ปี ความสูญเสียของน้ำมันในบ่อนี้ ยังลดไป ไม่ถึง 1 ใน 10 จัด ว่า เป็นสายที่ยาวและใหญ่มากที่สุดในโลก ปริมาณเปรียบเทียบกับตะวันออกกลางแล้วยังมากกว่า
บริเวณ... จะมีแร่สำคัญ ที่มีรังสีร้ายแรง ใช้ได้ทั้งทางทำลาย และทางสันติภาพมากมาย ที่เราเรียกกันว่า แร่ใส แต่แร่นี้ ถ้าจะค้นได้ ก็ต้องหลังจาก ค้นหาน้ำมันได้ก่อน เพราะว่า ทางนี้ยังไม่มีใครสนใจการใช้แร่นี้ และวิธีที่จะนำมาใช้เป็นประโยชน์ ก็ใช้กรรมวิธีคล้ายคลึงกันกับ แร่ยูเรเนียม แต่ว่า วิธีต่างกันเล็กน้อย แร่นี้มีมูลค่ามาก จะเป็นทรัพยากรของประเทศ
ต่อจากนี้ไปขอพูดถึงทรัพยากรที่เป็นทองคำ ทรัพยากรส่วนที่เป็นทองคำนี้ มีกระจายอยู่ทั่วประเทศ ส่วนที่คนโบราณรวบรวมเป็นแท่งไว้แล้วก็มี สำหรับทรัพยากรส่วนที่เป็นทองคำนี้ จะหาจุดให้ใหม่ตามแผนที่ แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับกาลเวลา
สรุปแล้ว ทรัพยากรส่วนน้ำมันก็ดี ทรัพยากรส่วนที่เป็นทองคำก็ดี ทรัพยากรส่วนที่เป็นแร่ใสก็ดี ทั้งสามนี้ น้ำมันเป็นตัวชูโรง และเป็นทรัพยากรที่หาได้ก่อน ทั้งนี้ เพราะว่า คนต้องการน้ำมันก่อน ทรัพยากรที่จะปรากฏทีหลัง คือ ทองคำ ทองคำนี้มีจุดตั้งแต่เหนือถึงใต้ แต่ก็เป็นส่วนที่มีความลึกมาก คนที่สนใจมีน้อย เพราะนึกว่าทองคำไม่มี แต่เมื่อได้น้ำมันแล้วก็ไม่เป็นไร ทรัพยากรส่วนที่เป็นทองคำ ต้องใช้แรงงานสูง เพราะว่า บางจุดเดินเข้าไปอยู่ใต้ภูเขาเสียมาก ส่วนที่อยู่บนพื้นราบก็อยู่ไม่สู้ไกลจากภูเขา ถ้าจะบุกเบิกตามวิธีการที่เราใช้กันในสมัยปัจจุบัน คือ ใช้น้ำฉีด หรือขุดด้วยเรือ ก็รู้สึกว่าจะได้ผลไม่มากนัก ทองคำบางส่วน ก็ปนอยู่กับแหล่ง วูลแฟรม แต่อยู่ลึกกว่า ถ้าอาศัยการค้นคว้าด้วยดาวเทียม ก็รู้สึกว่า จุดที่จะแสดงให้เห็นได้ง่าย เวลานี้ฝรั่งมีความรู้ในการค้นคว้าด้านนี้ใกล้ความเป็นจริงมาก
รวมความว่า ทรัพยากรของประเทศ จะเข้าถึงเวลามั่งคั่งสมบูรณ์จริงๆ รวมทั้งน้ำมันที่เป็นทรัพยากรที่จะหาได้ก่อนเพื่อน ก็รู้สึกว่า ใช้เวลาไม่มากนัก เลขที่จะพึงใช้ไม่ถึง 2 ตัว คือ หมายถึงเวลาที่จะค้นคว้าน้ำมัน ที่ปริมาณ 1 ใน 10 ของทรัพยากรที่จะค้นคว้าได้ ส่วนน้ำมันปริมาณสูงในเขตของไทยก็อยู่ในเกณฑ์ 17 ปี ขึ้นไป นี่คือน้ำมันที่จะเป็นที่พอใจที่ใช้กันไม่รู้จักหมด
ต่อจากนี้ไป มาว่ากันถึง แร่ใส เท่าที่เห็นเวลานี้ก็มีความลึกสักหน่อย ต่อไปเมื่อถึงเวลาอันสมควร เรากล่าวว่า อยู่ในเกณฑ์ 20 ปี ไม่ถึง 30 ปี แร่นี้จะมีความอ้วนขึ้น หนาตัวขึ้น อีกอย่างหนึ่งจะพูดว่า เป็นเพราะการ ดูดน้ำมันมากๆ หรือ จะพูดว่า แผ่นดินยุบลงไป หรือจะพูดว่า แร่ลอยขึ้นมา ก็ไม่ถูกส่วน ที่ถูกควรจะพูดว่า แร่เลื่อนขึ้นมา เนื่องจาก การเคลื่อนไหวของแผ่นดิน ทำให้ใกล้หน้าพื้นดินมากขึ้นในระยะ 20 ถึง 30 ปี ข้างหน้า ผิวของแร่จะอยู่บนดิน
แร่ใสนี้เทียบปริมาณกับแร่อื่นแล้ว นับว่าไม่มากนัก แต่ถ้าขุดนำมาใช้ประโยชน์แล้ว ใช้ไปเจ็ด-แปดร้อยปี ก็ยังหมดไปไม่ถึง 30 หรือ 31 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณแร่ที่มีอยู่ เพราะต้องใช้ความพยายามนิดหน่อย แร่อันนี้จะสร้างเงินตรา และทรัพยากร หรือทรัพย์สิน ให้เกิดความมั่งคั่งมาก
เรามาพูดกัน ถึงน้ำมันดีกว่า แร่ใสก็ดี แร่ทองคำก็ดี จะมีได้ต้องใช้เวลานาน ส่วนน้ำมันเวลานี้ ทั้งคนไทย และฝรั่งเหยียบกันไป เหยียบกันมา ในกาลต่อไป ทรัพยากรส่วนนี้ จะเป็นทรัพยากรใหญ่ สร้างผลกำไรให้ แก่ประเทศมหาศาล ฉันกำหนดให้ใช้เวลาสูงสุดไม่เกิน 32 ปี แต่อาจจะค้นคว้าได้ในระยะเร็วเท่าใดก็ได้ สุดแล้วแต่ปัญญาของคน แค่น้ำมันอย่างเดียวก็เหลือกินเหลือใช้
แต่ว่า ความพอใจของมนุษย์ มันไม่สิ้นสุดลง แค่จะพึงหาทรัพยากรได้เพียงเท่านั้น เมื่อมีทุนมากความดิ้นรนก็มาก เมื่อมีกำลังมากก็ต้องการใช้แรงงานให้มาก เมื่อความอยากมีมาก ความขยันหมั่นเพียรก็มาก ความแก่ของคนไม่มี ความเหน็ดเหนื่อยของคนไม่มี เพราะความอยากเป็นสำคัญ การค้นคว้าจะค่อยทำค่อยไป การหาจุดต่างๆ ฉันจะยังไม่บอกละเอียด ถึงแม้จะบอกไปก็ไม่มีประโยชน์ มันจะเป็นโทษ สำหรับกำลังใจ เพราะทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกาลเวลาเป็นสำคัญ
คำว่า "กาลเวลา" ก็หมายถึงว่า บุญญาธิการของคน ทรัพยากรต่าง ๆ ที่จะเข้าหาจุดพบ ก็ต้องอาศัยบุญของคน ประสมประสานกันกับวิชาความรู้
ในเมื่อกรรมที่เป็นอกุศล ยังหยั่งลงสู่จิตของบุคคลผู้บริหารประเทศ หรือมีส่วนในการบริหารประเทศยังมีมากเพียงใด โมหะที่ทำให้ใจบอด ก็ยังจะปรากฏทำให้ลบเลือนปิดบัง ทำให้ค้นพบทรัพยากรนั้นโดยยาก
ถึงแม้ฝรั่งผู้ค้นคว้าเองก็ตาม ถ้ายังหวังเอาเปรียบแก่เจ้าของประเทศมากอยู่ โดยมีปริมาณที่ต้องการเอาเปรียบตั้งแต่ 30 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป การค้นคว้าทรัพยากรในประเทศ ก็จะเป็นไปด้วยความยาก
แต่ถ้าคนในประเทศ คือ ฝ่ายบริหารและบุคคลผู้รับช่วง เป็นไท ก็อาจค้นหาทรัพยากรนั้น ง่ายขึ้น คำว่า "ไท" หมายถึงว่าจิตใจที่เต็มไปด้วยอิสรภาพ
ไม่เป็นทาสของความโลภ
ไม่เป็นทาสของความเห็นแก่ตัว
ไม่เป็นทาสของความอยากใหญ่
ที่มีกำลังใจ ต้องการให้ประเทศชาติเจริญ ไม่ขายประเทศ เพราะว่า ได้ทรัพยากรมาแล้วจะหวังประโยชน์ส่วนตัว คือ เปอร์เซ็นต์ส่วนตัวมากเกินไป หมายความว่า แทนที่บุคคลผู้ ค้นพบจะต้องจ่ายเงินให้แก่ ประเทศชาติมาก คนประเภทนี้ ก็ตัดรายรับของประเทศลง มีความประสงค์ เพียงรางวัลของตัว ประเทศชาติจะได้รับประโยชน์น้อยไป ถ้ายังมีบุคคลที่มีความคิดตามที่กล่าวมานี้ อยู่ในส่วนการบริหารประเทศ ตั้งแต่เป็นรัฐบาล ลงมาถึงข้าราชการชั้นผู้น้อย คำว่า "น้อย" ในที่นี้ก็ไม่น้อยมาก หมายถึง อันดับผู้มีวาสนาบารมี อยู่ในเกณฑ์ปานกลางหรือสูง ทรัพยากรหรือก็พอจะหลบหน้าคุณอยู่ได้ เพราะกำลังใจของบุคคลประเภทนี้ยังมีโมหะ แต่ที่ทรัพยากรทั้งหลายกำลังจะปรากฏขึ้นก็เพราะอาศัย
บุญญาธิการของพระมหากษัตรย์องค์ปัจจุบัน
มีมากพอสมควรเพียงพอที่จะเป็นผู้วางรากฐาน ให้ปรากฏพบแหล่งน้ำมัน ขึ้นในประเทศ เป็นอันดับแรก สำหรับในกาลต่อไปก็อาศัยพื้นฐานความดีของพระองค์ และข้าราชการบางส่วน ที่มีความดีก็จะเป็นเหตุให้ ได้น้ำมันขึ้นมาใช้สอย แต่ได้แร่ธาตุบางอย่างที่มีคุณค่าสูงมาบ้างตามสมควร
ทีนี้เรามาพูดถึง ข้าราชบริพาร นับตั้งแต่ฝ่ายบริหาร มีคณะรัฐมนตรีเป็นต้น ที่จะมีกำลังใจ เป็นไทจริง ๆ เวลานี้ก็มีอยู่บ้างแล้ว แต่ก็ยังหาคน ที่เป็นไทจริง ๆ ยาก ปริมาณคนที่มีจิตมีความเป็นไท ไม่ใช่ทาสของความโลภ ที่มีเกียรติในการบริหารก็มีมากพอสมควร แต่คนที่รับบัญชาไปปฏิบัติ ยังมีอารมณ์เนื่องอยู่ในความเลวมาก
ในเมื่อกาลแห่งความยุ่งยากนี้ผ่านไป (อีกไม่นาน ใช้เวลาประเดี๋ยวเดียว) คนดีจะปรากฏทีละน้อยๆ เพราะ อาศัยพระราชจริยาวัตรของพระมหากษัตริย์ เป็นผู้นำ คนเลวจะค่อยๆสลายตัวไป คนดีจะค่อยๆรวบรวมกำลังกันขึ้นนำ แต่ทว่า วันเวลา ก็เป็นเรื่องสำคัญ ทั้งนี้ต้องถือว่า เป็นกาลที่ประเทศ กำลังจะมีโชคดี ด้วย เวลาที่ใช้ ก็ไม่นานปีเกินไป จนเกินวิสัย ที่เราจะคอยกันได้ เมื่อกาลนั้นปรากฏ เราชาวไทยที่มีจิตใจเป็นไท จะรวบรวมตัวกันมากมีกำลังหนัก คล้ายสมัยเมื่อ พระเจ้าตากสินมหาราช รวบรวมกำลังคนไทย ให้มีใจเข้ามาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน คนเลวทั้งหลาย หรือว่า คนดีในปัจจุบัน ก็จะพยายามค่อยๆ ดีขึ้นกว่าเดิม เพราะว่า ไม่สามารถนำความชั่วร้าย มาใช้กับประเทศได้ การรวมตัวเป็นปึกแผ่นของคนดีอันนี้ ก็จะเป็นเหตุให้พระและเทวดาที่มีอานุภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระและเทวดาไทยๆ ที่มีใจเป็นไท
ฉันพูดเรื่องไทๆ เขาจะพากันหัวเราะ บอกว่า ทุกคนเป็นไทย แต่ฉันว่า ไม่ใช่ คนส่วนใหญ่ใจเป็นทาส ไม่ใช่ไท ไทต้องมีน้ำใจอิสระ มีความผ่องแผ้วของใจ มีอารมณ์สดใส ถึงแม้ว่า จะมีกิเลสก็มีกิเลสอยู่ในขอบเขต คือ ขอบเขตของกิเลส รู้ว่านี่ส่วนตัว นี่ส่วนรวมของประเทศชาติ ถ้าอารมณ์รู้ และแยกความรู้นั้นไปใช้ เป็นส่วนเฉพาะได้ นั่นเราเรียกกันว่า "ไท"
เมื่ออารมณ์ของคน "ไท" ในประเทศไทยรวมตัวกันได้มากเมื่อไร ตอนนั้นแหละ ความศิวิไลของประเทศ จะปรากฏ คือ จะเป็นประเทศที่มั่งคั่งสมบูรณ์ เป็นประเทศที่คนอื่นให้เกียรติ เป็นประเทศที่ทุกคนคือ ชาวโลกทั้งหมดยอมรับนับถือ เพราะมีความอุดมสมบูรณ์
แต่ว่า ไทยที่พูดไทยไม่ชัด แล้วก็คิดว่า เป็นคนไทย อยู่ในประเทศ บุคคลประเภทนี้ ไว้วางใจอะไรไม่ได้ มีทางเดียว คือเอาเปรียบ และหวังยึดกรรมสิทธิ์ ในฐานะที่ตนเข้ามาอาศัย แต่ว่าในเวลานั้นประเทศไทยก็เป็น ประเทศที่รุ่งเรืองไปด้วยอำนาจ ถึงแม้ว่าจะมีคนน้อยสรรพาวุธน้อย แต่ว่าคนส่วนใหญ่ของโลก หวังที่จะพึงมีประโยชน์ จากน้ำมันเป็นสำคัญ เขาจะใช้กำลังของเขา ป้องกันเรา โดยเราไม่ต้องออกปากใช้ เขาก็จะช่วย
ความจริงเขาไม่ได้ช่วย เขาช่วยผลประโยชน์ของเขา แต่ว่า ให้ผลในทางที่เรามีอิสรภาพ มีอำนาจ มีสิทธิ ก็เหมือนกับเขาช่วยเรา
เรื่องที่ฉันพูดให้ฟังนี้ก็เพื่อจะให้เป็น กำลังใจ กับคนที่มีความคิดปรารถนา ต้องการให้ประเทศชาติร่มเย็น เป็นสุข อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพย์สิน แล้วเด็ก ๆ รุ่นลูก ๆ หลาน ๆ ของคนพวกนี้โตขึ้น มีอำนาจวาสนา เมื่อไรจะเห็นว่า ตอนนั้นแหละ ประเทศไทย เต็มไปด้วยความรุ่งเรือง เพราะว่าอะไร เพราะว่า คนไทยเดิมมาเกิดมาก และที่คนไทยเดิมมาเกิดมาก ก็เพราะว่า ถึงกาลสมัยที่คนไทย ต้องทำให้ประเทศไทย เป็นแหลมทองตามเดิม คำว่า "ทอง" หมายถึง ดี มีค่าสูง ฉันไม่ได้คิดว่าประเทศไทยจะรวยด้วยทองคำ แต่สิ่งเหล่านี้จะปรากฏขึ้นภายหลัง หลังจากที่ได้น้ำมันแล้ว ภูเขาบางลูกจะต้องถูกทำลาย เพราะทองคำอาศัยอยู่ในภูเขามาก
สำหรับแร่ใส ฉันจะยังไม่พยากรณ์ให้เป็นที่แน่ใจ เพราะแร่ใสอยู่ในความลึกมาก แต่พูดไว้สักหน่อยก็ได้ว่า แร่ใสจะได้มาในเวลาควบคู่กับทองคำ ตอนนั้นเมื่อทองคำปรากฏ แร่ใสปรากฏ คนเลวน้อยลงแล้ว คนเลวภายในก็น้อยลง คนไทยที่เขาว่า
เป็นไทยแต่พูดไทยไม่ชัด มีเกลื่อนกลาดอยู่ในประเทศไทย ก็หมดกำลังที่ปรารถนาจะยึดประเทศไทยเป็นของเขา ก็จะมีใจเป็นไทยขึ้น
คือหวังว่า การเข้าเป็นหุ้นส่วนจะดีกว่าการคิดประทุษร้าย ในตอนนั้นไทยจะเป็นอิสระเต็มที่ เอาละ สำหรับวันนี้ก็พอกันทีนะ แต่ว่า ฉันก็ยังไม่ได้หมายความว่าจะกลับ จงคิดว่าเราจะมีประเทศเป็นทองคำ ก็ดี จะมีประเทศเป็นน้ำมันก็ดี จะมีประเทศเป็นแร่ใสก็ดี
ทุกคนจะคิดว่าเราจะตาย จงอย่าเอาจิตใจ ไปเกาะไอ้น้ำมัน และแร่ธาตุให้มากนัก
คิดว่า เราทำเพื่อความเป็นอยู่ของคนทั้งมวล แต่เราไม่ทำเพื่อหวังอยู่ตลอดกาล ตลอดสมัยของชีวิต มีจิตใจตั้งตรงอยู่เฉพาะพระนิพพาน แล้วทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เจ้าเด็กหนุ่ม ๆ ที่มันมารวมตัว เป็นลูก เป็นหลาน กับยังมีกลุ่มคนดีอีกหลายกลุ่ม คนพวกนี้ถ้าคิดว่า สามารถจะสกัดจิตของตน ให้เป็นคนไท ไร้ความเป็นทาสทางด้านจิตใจ คือ โล ภะ โทสะ โมหะ ก็หมายถึงว่า นั่นคือ การเป็นศัตรูของประเทศ โมหะให้เบ ลงมา คิดแต่เพียงว่า เราต้องตาย แต่จำต้องอาศัยทรัพย์สินเพื่อหวังความสุข นี่เป็นเรื่องของคนธรรมดาถ้า จิตใจของคนชำระความชั่ว เข้ามาสู่ความดี ได้ถึงขนาดนี้ ประเทศไทยจะเป็นไทสมบูรณ์บริบูรณ์ และเพียบพูนไปด้วยทรัพย์สิน ประเทศไทยจะเต็มไปด้วยความสุข ประเทศไทยจะเต็มไปด้วยสรรพาวุธที่บุคคลอื่น เขาหามาแลกน้ำมัน แม้แต่สรรพวุธที่ประหัตประหารโลกทั้งโลก ด้วยเพียงจุดๆ เดียวก็จะพึงมี ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า เขาให้แก่ประเทศไทยโดยรู้ว่า ประเทศไทยไม่ทำลายเขา
แล้วในกาลต่อไป พระราชาองค์นี้ ก็จะเป็นที่พึ่งของคนไทยต่อไป ความราบเรียบสงบเงียบ จากอันธพาล จากคนที่ขายชาติ จะค่อย ๆ มีขึ้นทีละน้อย จิตใจของคนจะเป็นไท ขึ้นมาทีละหน่อย ๆ ในเมื่อพระมหากษัตริย์ ทรงอยู่ใน ทศพิธราชธรรม และข้าราชบริพารรู้จักความเป็นไท ไทยเก่าๆ จะเข้าสิงใจไทยปัจจุบัน ให้ทำการให้ประเทศไทย เพื่อไทย การคิดล้มล้างชาติไม่มีผล สำหรับคนทั้งหลายที่คิด พวกเขาจะต้องสลายตัวไปตามกาลสมัย
เอาละ ฉันจะกลับ บอกทุกคนว่า ฉันโมทนาที่ทุกคนมีเจตนาดีเพื่อไทย และทำใจให้เป็นไท คนใดเมื่อมีจิตใจเป็นไท คนนั้นในเวลานั้นอารมณ์ใจจะผ่องใส จะเข้าถึงธรรมโดยง่าย คือ โลกไม่ช้ำธรรมไม่เสีย
เมื่อเป็นคนก็เป็น คนดี ตายแล้วก็เป็น ผีดี พ้นจากผีก็เป็นเทวดา เข้า นิพพาน ได้อย่างดี ในที่สุดนี้ของ จงบอกเขาว่า ฉันดีใจกับความดีของคนไทยทุกคน... สวัสดี
(ท่านขุนช้างเล่าให้หลวงพ่อฟัง ประมาณ 5 เมษายน 2521 เป็นการเพิ่มเติม)
น้ำมันนี่กว่าจะเจาะลงไปถึงมันกี่พันกี่หมื่นฟุต หรือว่ากี่พันกี่หมื่นเมตร เจาะลงไปแล้วก็ได้น้ำมันขึ้นมาไอ้น้ำมันนี่มันก็มีเหตุอยู่ 2 ประการที่จะได้น้ำมัน คือ
1. ฟางเน่า หญ้าเน่า สัตว์เน่า หอยเน่า คนเน่า สะสมกัน ไอ้ความเน่ามันเกิดเป็นแกส กระแสที่ไหลไปจาก น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนองพวกนั้น สะสมกับน้ำธรรมชาติ เพาะตัวขึ้นมาอาศัยแกสผสมขึ้นมา ก็เกิดเป็น น้ำมันจุดไฟติด นี่อย่างหนึ่ง
2. อาศัยแร่ธาตุที่มันเป็นหิน หินที่มีความชื้นที่เขาเรียกว่า หินน้ำมัน คือ มันไม่ใช่หินจริง ๆ มันเป็นสิ่งเนื้อหนังผสมกันกับธาตุดิน มีความเน่าของบางจุด เข้าผสมกันมีความชื้น เป็นน้ำมันอีกอย่างหนึ่ง
น้ำมันที่ว่าจะเจาะลงไปพบนี่ เป็นน้ำมันผิวต้น ถ้าเจาะลงไปๆ ดึงดูดเอาความชื้นขึ้นมา แล้วมีปัญญาเจาะลงไปอีก มันก็จะไปเจาะน้ำมันอีก ชั้นของน้ำมันมีตั้งหลายชั้นสมมติว่า จะสูบน้ำมันขึ้นมาจริง ๆ โอ้โฮ มัน มีตั้งเยอะแยะ นี่ความจริง ดินแดนแผ่นนี้ ที่เรียกกันว่า แหลมทอง และเป็นเมืองทองก็เพราะ มีทรัพยากรมาก นอกจากน้ำมัน ก็ยังมีแร่มีหิน มีเพชรนิลจินดา มีเงินมีทอง มีแร่ธาตุต่าง ๆ ที่มีค่า คนที่มีปัญญา ยังจะใช้ได้อีกนาน แต่ว่า ถ้าคนมีกำลังใจเป็นพาล คือ ความโง่
ชอบเห็นคนอื่นดีกว่าพวกของตน และขนของ อกไปเป็นส่วนของตนมาก เมืองของตนรวยไม่ชอบ ชอบไปให้เมืองชาวบ้านอื่นเขารวย ขนทรัพย์ขนสินไปให้ชาวบ้านอื่นเขารวย
ถ้ายังมีน้ำใจอยู่อย่างนี้ละ ของที่มีค่า มีราคาดี มันก็ยังปรากฏน้อย
ถ้าคนทุกคนในเขตนี้ ที่เรียกกันว่า คนไทย มีใจรักชาติ มีความซื่อสัตย์สุจริต หวังความเจริญของบ้านเมือง ต้องการให้บ้านเมือง เจริญจริงๆ ทรัพยากรจะได้มากยิ่งกว่านี้ ไอ้ที่เขาว่ายังไม่ขึ้นมาๆ นี่
ไม่ใช่เทวดากันไว้ ไม่ใช่ผีกันไว้ ไม่ใช่อย่างงั้น มันเป็นไอ้มนุษย์ ที่ยังมีชีวิตอยู่นั่นแหละที่กันอยู่
เช่น อย่างว่า มีทุนมีงบประมาณเท่านี้ เขาให้ไปทำเท่านี้ มันก็กันเสีย ไปทำเท่าโน้น ไม่พอดิบพอดีกับเงินที่จ่ายไปแล้ว ผลประโยชน์นั้น จะได้สมบูรณยังไง ที่ท่านได้ฟังมาจากคนก่อนว่า ถ้าคนไทยดีขึ้นมาเมื่อไร ทรัพยากรทั้งหลายมันก็จะปรากฏมากเท่านั้น
ถ้ามีดีเต็มที่มันก็เกิดขึ้นมาเต็มที่ ดีน้อยมันก็เกิดน้อย
ไอ้คำว่า "ดี" ในที่นี้ ที่ว่าทรัพย์มันจะขึ้นมามากนั้น ไม่ใช่มันลอยขึ้นมาเอง แต่เป็นด้วยการใช้ปัญญาของตนเอง หรือปัญญาที่ศึกษามาจากในต่างประเทศ ใช้ปัญญานั้นให้มันครบถ้วน ไม่ใช่ว่าไปเรียนกันมาแล้ว อยากจะได้เงินเดือน อยากจะได้เงินพิเศษ เงินกินบ้าง เงินโกงบ้าง เงินยักบ้าง เงินยอกบ้าง เงินแป๊ะเจี๊ยะ บ้าง เงินเก๊าเจี๊ยะบ้าง เป็นต้น อย่างนี้ ของดีมันก็ผุดขึ้นมาไม่ได้
ถ้ากำลังใจของคนมันดีจริงๆ ซื่อสัตย์ต่อประเทศชาติโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้ามีปัญญามาก เงินก็ใช้น้อย จะได้ผลเป็นของดีขึ้นมามาก คนที่มีปัญญามากนี่ เขาใช้เงินน้อย คือ ใช้ปัญญาช่วยด้วย ใช้แรงงานของ คนช่วยด้วย ใช้อย่างอื่นแทนเงิน
อย่างคนโบราณนี่ เขาก็รู้จัก เอาทองหยอง ขึ้นมาใช้ รู้จักเอาน้ำมัน ขึ้นมาใช้ เขามีตะเกียงใช้เหมือนกัน แล้ว ก็เป็นตะเกียงน้ำมัน จะว่าใช้น้ำมันหมู ก็เอาหมูที่ไหน มาฆ่าตั้งเยอะแยะ จะว่าใช้น้ำมันมะพร้าว โรงกลั่นน้ำมันมะพร้าวก็ยังไม่มี น้ำมันตั้งแต่โยนกนคร หรือ สุโขทัย หรือกรุงศรีอยุธยานี่ เขายังไม่ได้ใช้น้ำมันต่างประเทศ
ทองในประเทศนี่ เขายังส่งไปขายนอกประเทศด้วยซ้ำ เงินก็เหมือนกันเขาใช้ เงินในประเทศ ไม่ได้ซื้อ เงินนอกประเทศ แล้วเขาจะเอาเงินนี้ไปต่างประเทศ แลกเอาสิ่งของที่เราไม่มีเข้ามา ของทั้งหลายเหล่า นี้มันมีมาแล้วแต่อดีตกาล เขาใช้มาแล้วแต่อดีตกาล แต่คนสมัยนี้ไม่ได้ใช้ปัญญาอย่างคนในสมัยนั้น อะไรๆ ก็ต้องให้เป็นชาวต่างประเทศมาค้นคว้าหาทั้งหมด
จึงปรากฏว่า มันขึ้นมาไม่ได้ ถึงขึ้นมาได้ เขาก็ต้องหากำไร ยกเอาไปบ้านเขามากกว่า ที่เราจะพึงได้ สมัยผม (ขุนช้าง-ขุนแผน) เขาก็หาน้ำมันกันได้ จะบอกวิธีก็ได้
น้ำมันนี่ เขาหากันตามเชิงเขา วิธีการหาน้ำมันก็เป็นของไม่ยาก เขาไปดูแหล่งเฉพาะวัตถุที่จุดไฟได้ดี หรือต้นไม้ที่มีการไวไฟเป็นต้น
คนเขามีปัญญา เมื่อเจอะเหตุทั้งสองประการอย่างนี้ เขาก็หาแหล่งน้ำมันกัน น้ำมันที่จะพึงได้มาก็เป็นน้ำมันข้น บางจุดก็เป็นน้ำมันสีดำ บางจุดก็เป็นน้ำมันสีแดง แล้วเขาก็ใช้วิธี เกรอะ ตามวิทยาการ
การหาแหล่งน้ำมันก็ดี แหล่งทองก็ดี เวลานั้นเขาใช้ผีช่วยบ้าง ใช้คนทิพย์ช่วยบ้างชี้บอกจุด ชี้บอกทางการ เจาะ การสกัดมันก็เป็นของไม่ยากนัก การใช้น้ำมันสมัยนั้น มันไม่มาก เหมือนสมัยนี้ ไม่มีรถยนต์ แต่ปีหนึ่งก็ใช้เป็นหมื่นๆ ถังเหมือนกัน การที่จะใช้แรงงานคน โดยเฉพาะใช้ปัญญา มากกว่าทรัพย์ ก็สามารถหาน้ำมัน ได้ขนาดนั้น เวลานี้ เราใช้ทั้งปัญญาด้วย ทั้งแรงเครื่องจักรด้วย ถ้าหาแบบนั้น มันจะได้มากกว่านี้มาก
(เพิ่มเติม เมื่อ 24 มีนาคม 2522)
น้ำมันในประเทศไทยนี้เกิดจากสามแหล่งใหญ่ ๆ คือ
1. สายจากพม่า เป็นน้ำมันใสเกรดดี วกมาจากด้านมะริด
2. สายจากประเทศจีน เป็นน้ำมันขุ่นหยาบ น้ำมันสายนี้ ไหลผ่านแร่ชนิดหนึ่งเรียกว่า ยูเรเซียม ซึ่งเป็น แร่ ที่นักวิทยาศาสตร์ไม่รู้จัก มีลักษณะดำเป็นมันเลื่อม และมีความร้อนสูง แร่นี้เป็นเชื้อทำให้ เกิดภูเขาไฟ เมื่อน้ำมันข้นนี้ ไหลผ่านแร่ ก็จะถูกความร้อน ทำให้น้ำมันมีคุณภาพดีขึ้น คือ ใสมากกว่าเดิม
3. สายในประเทศเอง คือ เกิดเองในประเทศ เช่นที่ นครสวรรค์ และ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ น้ำมันจากประเทศจีนไหลมารวมกับสายพม่า ที่บริเวณนครสวรรค์ ทำให้เป็นน้ำมันคุณภาพดี แล้วเผยกว้าง เป็นอ่าวไหลผ่านลงมาทางใต้ ออกไปยังอ่าวไทย บ่อน้ำมันบนดินที่ตื้นมากที่สุดอยู่ทางทิศเหนือ
. -
กรวดน้ำ
น้ำไม่ต้องไปกรวดมันหรอก กรวดน้ำทำยังไง? ก็ต้องไปดู ดูว่าน้ำในถังมันเหลือเท่าไหร่ ในคลองมันแห้ง ลาไปหรือมากขึ้นมา อย่างนั้นกระมัง เพราะสำรวจกับตรวจ มันศัพท์เดียวกัน ไอ้ "กรวด" ก็ไม่ถูกอีกน่ะแหละ สำนวนทางศาสนาเขาเรียก "อุทิศ" แปลว่า เจาะจง คือ ไม่เห็นต้องใช้น้ำ การ "กรวดน้ำ" มันเริ่มสมัยเปรต มาทวงขอบุญกุศล จากพระเจ้าพิมพิสาร พระพุทธเจ้า ทรงบอกวิธีทำให้ว่า ให้พระองค์ ถวายภัตตาหาร กับพระสงฆ์แล้วอุทิศส่วนกุศลให้ซี ท่านก็ทำแบบนั้น อีตอนอุทิศส่วนกุศล ท่านเป็นคนมาจาก พราหมณ์ ที่มีธรรมเนียมว่า จะให้ของใคร ก็ต้องเอาน้ำราดมือผู้รับ แสดงเป็นอาการว่า ยกให้ ท่านก็เอาน้ำในคนโท เทราดพระหัตถ์พระพุทธเจ้า เลยรับกันต่อๆ มาว่า อุทิศส่วนกุศลต้องราดน้ำด้วย
อุทิศ นี่แปลว่า เจาะจง เราทำบุญเจาะจงไปให้ ถ้าไปใช้น้ำก็เจ๊ง เพราะใจมัวเป็นห่วงน้ำ ห่วงมือ ใจก็แกว่ง ใช้ไม่ได้หรอก เสียผลตั้งเยอะ เคยเห็นผีมาหลายรายแล้ว ที่มารับส่วนกุศล แต่ไม่ได้กิน บางครั้งเวลาทำบุญนะ คนที่นำอุทิศส่วนกุศลน่ะ มันให้แต่ เฉพาะญาติ พวกที่ไม่ใช่ญาติ ก็เดินร้องไห้ไปเลย น้ำตาไหล เพราะไม่ใช่ญาติ ไม่มีโอกาส นี่เป็นยังงี้ เป็นผีแล้วมันแย่งกันกินไม่ได้
ทีหลังไม่ต้อง "กรวดน้ำ" นะ ตั้งใจเฉยๆ มีผลกว่าตั้งเยอะ ฉันไม่ใช้เลยแหละ แล้วเวลาอุทิศส่วนกุศลจริงๆ นี่ใช้ภาษาบาลีไม่ดีหรอก เพราะอะไรรู้ไหม เพราะบางทีไอ้ภาษาบาลีนี่ มันไม่ตรงกับเจตนาที่จะให้
อย่างฉันเจริญกรรมฐานกับหลวงพ่อปานนี่ คืนที่ 3 มีผีมานั่งอยู่ตรงหน้า ยายคนหนึ่งอ้วนยังกะพ้อม มีไอ้เจ้าคนหนึ่งผอมกะหงองก๋อง ยายนั่นแกบอก เอ้า จะพูดอะไรก็พูดซี จะขออะไรท่านก็ขอ ไอ้เราก็มองดู เอ...ไอ้นี่ มันคงอด อาจารย์ฉัตรท่านเคยบอกว่า ถ้าไม่ขอก็อย่าให้ แต่มานึกดูว่า เอ๊ ไอ้นี่มันพูดไม่ได้เราจะไปรอให้ มันขอทำไม ก็เลยให้เวลาให้ก็ "อิมินา" เข้าให้ อิมินาปุญญกุเม อุปัชฌาย์ ฯลฯ แปลไปเถอะไม่ได้ ตรงกับหมอนั่นเลย ไปให้เอาครูอาจารย์ ที่ไหนก็ไม่รู้ ไอ้คนนั่งตรงหน้า ไม่ได้ให้ ว่าไปไม่ถึงครึ่ง พวกมาแล้วโซ่คล้องคอหมับ ลากไปเลย
ตอนเช้าไปบิณฑบาตกลับมา ก็ฉันข้าว หลวงพ่อปาน โดยปกติสังเกตได้ ถ้าไม่มีเรื่องอะไรจะพูด ฉันข้าวเสร็จ ท่านต้องเช็ดบาตร เช็ดช้อน เช็ดชามของท่าน พระอื่น ก็ต้องทำเหมือนกัน แล้วข้าวแกง ที่กินหมด แล้วก็ไม่ใช่โยนให้เด็กล้าง พระต้องล้างเองเช็ดเอง เช็ดถ้วยเช็ดชามเสร็จ ท่านก็จะยถาทันที วันไหนเช็ดชามเสร็จยังไม่ยถา วันนั้นแปลว่า มีเรื่องแล้ว อีวันนั้น มองไปมองมา พอเจอะหน้ากัน ท่านก็พยักหน้าถามว่า
ยังไงพ่ออิมินาคล่อง แล้วมันจะได้แดกรึ?
แล้วกัน เอาเราเข้าแล้ว รู้เสียด้วยนะ ท่านอยู่ในกุฏิเราอยู่ใน ป่าช้า โกหกท่านไม่ได้ ผีพวกนั้นน่ะมันไปเร็วมาเร็ว ต้องใช้เวลาเร็วๆ ถามว่า ทำยังไง ท่านบอกว่า เอางี้ พอเห็นหน้ามันปั๊บ ก็ตั้งใจเลยว่า
ฉันบำเพ็ญกุศลมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ บุญบารมีจะมีแก่ฉันเพียงใด เธอจงโมทนาและมีประโยชน์อย่างเดียวกับที่ฉันจะพึงได้รับ
เอาแค่นี้ อย่าให้ยาวกว่านี้ ถ้าสั้นกว่านี้ได้เท่าไรยิ่งดี เพราะว่า มันคอยนานไม่ได้
ถาม - คนไปนิพพานแล้วอุทิศให้ได้หรือไม่?
ได้ แม้แต่พระพุทธเจ้าเราก็ควรอุทิศให้ได้ เพราะเป็นการสนองคุณ แสดงความกตัญญูกตเวที ความจริง ท่านไม่ต้องการหรอก ของท่านมีจนล้นแล้ว ถึงแม้ท่านจะไม่รับ แต่อย่าลืม อย่างเราเป็นพ่อแม่เขาน่ะ ถ้าไอ้ลูกมันอยู่บ้านไกล นานๆ มาหาที เอาของอะไรมาให้ ถึงแม้ว่าของนั้นไม่มีค่าอะไรเราก็ยังดีใจ ใช่ไหม เห็นว่า ลูกน่ะมีน้ำใจ มีกตัญญูรู้คุณ อันนี้ ก็เหมือนกัน ถ้าหากว่า เราอุทิศส่วนกุศลให้พระพุทธเจ้า ก็แสดงว่า เรากตัญญูรู้คุณของพระพุทธเจ้า การบูชาคุณของพระพุทธเจ้าด้วยกตัญญูรู้คุณนี่
เป็นเหตุให้เราไม่ลงนรก ท่านจะรับหรือไม่รับนี่ไม่สำคัญ สำคัญที่ว่า ให้ใจของเราตามระลึกถึงอยู่เสมอก็แล้วกัน
. -
จานบิน
(28 ตุลาคา 2516)
เมื่อคืนนี้มีใครถามว่า จานบินมีจริงหรือเปล่าน่ะ ตอนตี 4 เลยฝันว่าขึ้นไปข้างบนตั้งใจจะไปหาโยม พอดี สมเด็จองค์ปัจจุบัน ท่านเสด็จไปถึง ท่านก็ถามว่า สงสัยเรื่องจานบินหรือ ทูลตอบท่านว่าสงสัย แต่ไม่กล้า ถามเกรงจะเป็นเรื่องเหลวไหล ท่านก็บอกว่า เรื่องอย่างนี้เป็นความรู้ ถามได้ไม่เหลวไหล แล้วท่านอธิบายว่า จานบินที่มาเมื่อเร็ว ๆ นี้มาจาก 2 แห่ง แห่งหนึ่งเป็นดาวเล็กๆ เลยพระศุกร์ไปทางซ้ายเล็กน้อยเรียก ว่า จามรทวีป อยู่ในจักรวาลเดียวกับเรา เป็นจานบิน ขนาดสูงไม่เกิน 4 เมตร สีเขียว ๆ ใช้เวลามาบ้าน เรา 8 ชั่วโมง แล้วสมเด็จก็พาไปที่นั่น ไปนั่งอยู่นอกประตูเมือง ให้เขาเห็นรูปคนธรรมดา แถวนั้นมีเพชร แก้วเกลื่อนกลาด เป็นของไม่มีค่า เอามาประดับตามโต๊ะเก้าอี้ก็มี ท่านบอกว่า ประเดี๋ยวจะมีผู้หญิงเดินมา ก็มีมาจริง ๆ
คนของจามรทวีปผิวขาว เนื้อเต็ม สวย ผู้หญิงแต่งกางเกงรัดเหนือเข่า เสื้อแขนสั้น รัดแขนเป็นสีเขียว ๆ มีลายทางดิ่ง คนเมืองนี้ไม่มีอาวุธสำหรับประหัตประหาร มีวิทยาการก้าวหน้ามาก ที่เขามาโลกเราเพราะ อยากเที่ยวไปทุกแห่งในจักรวาล แต่ที่ไปอเมริกาก็เพราะเห็นว่า ปล่อยจรวดบ่อย ๆ คิดว่า จะติดต่อด้วยได้ ที่เขาจับคนไปบ้างนั้น ก็เพื่อตรวจดูอารามณ์ด้วย เครื่องตรวจอารมณ์ ตรวจแล้วก็บอกว่า มีความโลภอยู่มาก ระยะทางของเขาอยู่ห่างจากเราเป็นแสนๆ โยชน์ ผู้หญิงที่เดินมานั้นเขามองเห็นเรา ก็ยิ้มแต่ไม่ได้ พูดว่าอะไร
สำหรับที่ตัวดาวพระศุกร์เองนั้น มีอยู่หลายบริเวณ ตอนหนึ่งเป็นเขาหัวโล้น ร้อนจัดมาก อีกตอนหนึ่งหนาว มีหิมะ ไม่มีคนอยู่แต่มีสัตว์ ขนยาวกว่าชะนี อาศัยอยู่มากในแดนอบอุ่นที่มีต้นไม้
ส่วนอีกแห่งหนึ่ง อยู่ทางทิศพระอาทิตย์ขึ้น เยื้องไปทางซ้าย เล็กน้อย เรียกว่า สูตู คนในโลกนั้น มีผิวคล้ำ ยานของเขา มีขนาดสูงไม่เกิน 10 เมตร มีสีเหลือง ๆ ใช้เวลาเดินทางมาโลกเรา 17 ชั่วโมง ในจานบิน ดูแล้วไม่เห็นมีอะไรนี่ มีลูกอะไรกลม ๆ ใส ๆ เป็นแหล่งกำลังงานอยู่อย่างเดียว
. -
สัตว์ในล็อคเนส
(เล่า 19 กันยายน 2519)
เมื่อตอนที่ คุณเกสรี บูลสุข กับ ม.ล. สารภี ไปเที่ยวที่ สก็อตแลนด์ ประเทศอังกฤษ ได้ไปเช่าแฟล็ตอยู่ริมทะเลสาบ ล็อคเนส ที่ร่ำลือกันว่า มีสัตว์โบราณ มาโผล่ อยู่หลายครั้ง จนตั้งชื่อ กันว่า เนสซี่ นั้น วันหนึ่ง ม.ล. สารภี ลองทำสมาธิดู ก็ปรากฏภาพสัตว์ประหลาดนี้ขึ้น บอกว่า มีหลังหยักเหมือนอูฐ คอยาวหัวเล็ก หนังสีดำเหมือนช้าง อยู่ชิดภูเขาใต้น้ำ แต่มองเห็นได้ยาก เพราะสีกลืนกับหินของภูเขา ประกอบกับแสงสว่างไม่มี น้ำก็ขุ่นอยู่ ในที่มีความลึก ประมาณ 8,000 ฟุต ชอบขึ้นมาข้างบน เวลามีพายุและฝนตกหนัก
เรื่องนี้เวลาว่างๆ ปลอดคน คุณเสริมก็ถ่ายทอดให้หลวงพ่อฟัง หลวงพ่อก็บรรยายต่อตามที่เทวดาท่านมาทำภาพให้ดู จะผิดหรือถูกก็ต้องมอบให้เทวดาท่านนั้นรับไป ท่านเพิ่มเติมมาดังนี้ (เอาแต่ใจความเพราะ ไม่ได้อัดเทป)
สัตว์นี่ ไม่ได้มีอยู่ตัวเดียว มีอยู่เป็นฝูง จำนวนกว่า 100 ตัว เป็นสัตว์ที่มีมาคู่กับโลก ถ้าคนไม่ลงไปทำลายมัน หรือไม่มีโรค มันจะไม่มีวันสูญพันธ์ จำนวนที่มีจะมากขึ้นบ้าง น้อยลงบ้างตามกาล เป็นสัตว์ประเภทปลาโลมา มีตีนคล้ายเป็ด ออกลูกเป็นตัว หลังของมันหยักคล้ายอูฐ มี 3 หยัก ส่วนขนาดของมันนั้นเปรียบได้ยาก สำหรับ ตัวที่มี ขนาดใหญ่ที่สุดนั้น ตะโหงกที่หลังของมัน 1 ตะโหงกมีขนาดเท่าควายขนาดใหญ่ สัตว์นี้ มีคอยาว หัวเล็ก หน้าเหมือน จิ้งจก แต่จมูกโตเหมือนจมูกควาย หางของมัน คล้าย จรเข้ แต่ตอนปลาย มีครีบทางตั้ง คล้ายหางปลา ฟาดหางได้แรงมาก เคลื่อนที่ในน้ำได้ประมาณ 4 ไมล์ต่อชั่วโมง
อาหารประจำของมัน คือ ปลา ลักษณะคล้ายปลาช่อน รูปร่างเหมือนเสามีความยาว ประมาณ 2 เมตรการ กิน 1 อิ่มของมัน มีปริมาณเท่าปลาทู 300 ตัว ปลาตัวหนึ่ง สัตว์นี้กิน 2-3 ตัวก็อิ่ม และแต่ละ 2-3 วันจึงจะกินทีหนึ่ง อาหารอีกอย่างหนึ่ง เป็นพืชคล้ายๆ หน่อไม้ที่ปอกเปลือก มักจะส่ายไปมาตามกระแสน้ำ
โดยปกติสัตว์นี้ นิสัยไม่ดุร้าย เว้นแต่จะถูกรังแก ตามธรรมดา มักชอบนอนกลิ้งเกลือกอยู่บนพื้นท้องทะเล ตาของมันเห็นได้ในที่มืด เพราะฉะนั้น จึงไม่กล้าสู้ กับแสงสว่าง ถ้าจะขึ้นมาข้างบน ก็ขึ้นเพื่อเที่ยวเล่น เวลาอยู่ในน้ำ จะหายใจทางหู ซึ่งมีอวัยวะ เหมือนเหงือกปลา สำหรับช่วยในการหายใจ วิธีล่าเหยื่อของมัน คือพ่นน้ำออกไป ด้วยความแรง และปล่อยน้ำพิษจากต่อมทั้ง 2 ข้างออกไปด้วย พิษนี้ร้ายแรงมากถ้าถูกคนจะปวดแสบปวดร้อน ไปถึงกระดูก และผิวหนังจะมีสีเขียว ทีอยู่ของมันคือ ถ้าในภูเขาหินใต้น้ำ แต่เมื่อประกอบกับความขุ่นของน้ำด้วยแล้ว ถ้าลงไปก็จะมองเห็นได้ยาก เพราะมันจะถอยไปติดผนังถ้ำ ทำให้มองไม่เห็นเพราะสีกลืนกัน
ถัดจากที่อยู่ ของสัตว์เหล่านี้ ไปทางเหนือประมาณ 10 ไมล์ เป็นสุสานของมัน อยู่ในระหว่างหุบเขา เวลา สัตว์ตัวหนึ่งตายไปในสุสาน ตัวอื่นก็จะกินเป็นอาหาร อายุของสัตว์นี้ตามธรรมชาติประมาณ 200 ปี
ใกล้ๆ กับสัตว์นี้ยังมีสัตว์อีกประเภทหนึ่ง มีรูปร่างคล้ายกบ แต่หลังเป็นกระดองเกลี้ยงเหมือนกระดองเต่า ตัวที่ใหญ่ที่สุดมีความกว้างของหน้าอกประมาณ 4 เมตร ตัวธรรมดากว้างประมาณ 2 เมตร ออกลูกเป็นตัว และ มีสุสานเหมือนกัน มีจำนวนอยู่ร้อยกว่าตัว ไม่ทำร้ายซึ่งกันและกัน กับสัตว์พวกแรก วิธีหาอาหาร ของมันคือ ใช้ตาที่มีพิษ มองแล้วเหยื่อหมดแรงไปไหนไม่ได้ ใกล้ๆ กันนั้น มีปลาอีกฝูงหนึ่งรูปร่างเหมือน ปลากะโห้ ที่ตัดครึ่งตัว
เรื่องเหล่านี้ เป็นเกล็ดที่ท่านเล่า ให้คุณอ๋อยและศิษย์อื่นฟังตามจะมีเวลาว่าง ที่ท่านเล่าก็ด้วยแน่ใจแล้วว่า ผู้ฟังมีความเข้าใจในเรื่องทิพจักขุญาณแล้ว ผู้อื่นที่ไม่มีความเข้าใจในเรื่องนี้ อ่านแล้วอาจเข้าใจว่าเป็น การอวดอุตริ มนุสธรรม แต่หลวงพ่อท่านบอกว่า สำหรับผู้เจริญกรรมฐาน เช่นพวกเรา พระท่านเรียกเป็น พระโยคาวจร อนุโลมว่าเป็นพระได้ นอกจากนั้น เรื่องที่เล่านี้ ก็มีการสอนเรื่องต่าง ๆ ผสมอยู่ด้วยทั้งนั้น
ถ้าหากว่า การสอนลูกศิษย์จะพูดอะไรไม่ได้เลย แล้วการสอน จะดำเนินไปได้อย่างไร ท่านผู้อ่านโปรดระลึกว่า
เรื่องต่างๆ นี้ หลวงพ่อเล่าให้ศิษย์ฟังเป็นวงในเท่านั้น ที่นำมาเผยแพร่นี้ ก็เป็นเรื่องของศิษย์ทำเองหลวงพ่อไม่เกี่ยวข้องด้วย
. -
ประวัติชาติไทย
ประวัติของชาติไทย เดิมเข้าใจกันว่า อยู่ในประเทศจีน แล้วถอยร่นลงมาแต่พอค้นกันไปชักจะเกิดความ เห็นว่า อาจเป็นพวกที่อพยพ มาจากอินโนีเซีย ขึ้นไปข้างบน ก็เป็นได้ ลองฟังจากเทปของหลวงพ่อ ที่บันทึกเมื่อ 22 เมษายน 2521 ดูบ้าง ดังนี้
วันนี้ ตื่นเช้าพอจะมีเวลาก็ปรากฏว่า หลังจากตื่นนอนพักผ่อนตอนเช้า 9 นาฬิกา 40 นาทีเศษมีสัญลักษณ์ พิเศษเกิดขึ้น คำว่า สัญลักษณ์ก็คือ ความเตือนถึงประวัติภูมิประเทศในกาลที่ผ่านมา
การเดินทาง ผ่านมา ตั้งแต่ จังหวัด อุทัยธานี ถึง นครศรีธรรมราช ก็ปรากฏ ประวัติ ปัจจุบัน ใกล้ปัจจุบัน อนาคตใกล้ปัจจุบัน และอนาคตไกลปัจจุบัน จะขอนำมาเล่าย่อ ๆ สู่กันฟังไม่เยิ่นเย้อนัก โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งเขตจังหวัดอุทัยธานีที่เราอยู่กันนี้ คือเป็นที่ตั้งของวัดท่าซุงน่ะ เขตนี้ท่านบอกว่า เป็นเขตเมืองสุโขทัยเก่า แล้วก็สำหรับด่านที่ยันกับกรุงศรีอยุธยา ก็ได้แก่เมืองนครสวรรค์ เป็นด่านของสุโขทัยแล้วฝ่ายอยุธยา ก็มีเมืองชัยนาทเป็นเมืองด่าน เป็นอันว่า เมืองไทยสมัยนั้นดูแล้วเป็นประเทศ 2 เมืองทั้งนี้จะว่าเป็นของดีก็ไม่ได้ เลวก็ไม่ได้ เป็นไปตามกฏของธรรมชาติ เป็นไปตามสมัย จะกล่าวกันไป สุโขทัยเป็นเมืองแม่ เกิดขึ้นก่อนกรุงศรีอยุธยามาก แต่ทำไมคนไทยจึงตั้งกรุงศรีอยุยาขึ้นอีก ? ก็เพราะว่า หลังจากเมืองแม่สุโขทัย เกิดขึ้นแล้ว คือ เมืองไทยเกิด ขึ้น 2 จุด ในตอนต้น ตอนต้นจริง ๆ เป็น เขตของโยนกนคร เป็นเมืองไทย ที่ตั้งเอกราชจากขอม ถ้าจะกล่าวกันไปจริง ๆ ละก็ คนไทยสายเหนือ ที่เข้ามาจากประเทศจีนนั้น จะถือตามประวัติศาสตร์ที่บอกว่า คนไทยอยู่ ประเทศจีน อันนี้ก็ไม่จริง ตามสัญลักษณ์แห่งนิมิต ท่านบอกว่า สมัยนั้นคนไทย อยู่เรี่ยราด กันไปหมด พื้นฐานถิ่นเดิมจริง ๆ คนไทย อยู่ชายทะเล ฝั่งแหลมทอง แล้วก็ เรี่ยราดกันไป หากินกันเรื่อยไป ในที่สุดก็ไปตั้งถิ่น ฐานใหม่เป็นการขยายเขต อยู่แถวประเทศจีน คือไปจากเขตเดิมแต่ก็ไม่ได้ไปหมด
เป็นแต่เพียงไปหากินกันเท่านั้น เวลานั้นยังไม่รวมกลุ่ม ยังไม่รวมก้อน จัดเป็นเมืองเป็นแต่เพียงคนบาง เผ่าบางพวก ถือสัญชาติ ถือพรรค ถือพวกมีสัญชาติเดียวกัน พูดเหมือนกัน มีวัฒนธรรมอย่างเดียวกันถ้า จะกล่าวไปอีกที ก็เรียกว่า เป็นคนตระกูลเดียวกัน ขยายเขตนี้ ไปถึงประเทศจีน เมื่อทางโน้นหากินไม่ดี เกิดความเป็นอยู่ไม่เป็นสุข ก็ขยับขยายลงมา แต่มัน เป็นเวลาหลายร้อยปีนี่ คนเก่าที่ เป็นผู้อพยพไป ก็ตายหมด ทีหลังก็เลย มาคิดกันว่า คนไทยนี้ เดิมอยู่ในประเทศจีน แต่ว่า คนไทยท่านกล่าวว่า ที่ เรียกว่า ไทยมุง เป็นคนไทยที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาก่อนมาก
เป็นอันว่าในระยะหลังนี้ คนไทยแยกเป็น 2 พวก คือเขตสุโขทัยหลังจากโยนกนครต้องสลายตัวเพราะคน ที่เขามีกำลังมากกว่า มีอำนาจมากกว่าเข้ายึดครอง ต่อมาก็ตั้งถิ่นฐานขึ้นใหม่รวมกำลังกันขึ้นยึดอำนาจจากขอม ความจริงขอมก็ไม่ใช่เขมร และขอมก็ไม่ใช่เจ้าของพื้นที่เดิม เป็นแต่เพียงว่าเวลานั้นเขามีอำนาจมากกว่า เรารวมตัวกันไม่ติด อมิตรจึงได้ทำลายพวกเราให้กลายเป็นทาสของเขา หลังจากพวกคนไทยกลุ่มน้อย คือ พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ กับ พ่อขุนผาเมือง รวมกำลังกันขึ้นมาได้ ก็ยึดอำนาจจาก ขอมเป็นเขตของไทยโดยเฉพาะ ไม่ยอมเป็นทาสของขอม หลังจากนั้นมา อาณาจักรของไทยก็หย่อนอำนาจลง คือ หลังจากโยนกนคร เมื่อพระเจ้าพรหมมหาราชมีอำนาจปกครอง แล้วตอนหลังลูกๆ กลับไม่มีความเข้มแข็งพอ ต้องเสียเขตให้แก่คนพวกหนึ่งไป แล้วต่อมา สุโขทัยจึงได้ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาใหม่ และในตอนต้น ก็มีกำลังใหญ่เหมือนกัน สมัยพ่อขุนรามคำแหง มีกำลังใหญ่ สามารถปราบปราม ขยายเขตประเทศได้ถึงสิงคโปร์ แล้วมะริด กับทวายของมอญ ก็เป็นของ เรารวมอาณาจักเดียวกัน กับอาณาจักรของไทย แต่ว่าลูกของพระเจ้าพรหมมหาราช คนหนึ่งมาตั้งเชื้อสายขึ้น ที่อำเภออู่ทองที่เขาเรียกว่า เมืองอู่ทองในเขตของทวาราวดี เป็นอันทราบว่า เมืองอุทัยธานีเดิมทีเป็นเขตของสุโขทัยหรือประเทศสุโขทัย ชัยนาท เป็นเขตของกรุงศรีอยุธยา อุทัย ฯ เป็นเมืองด่านของสุโขทัย ชัยนาทเป็นเมืองด่านของกรุงศรีอยุธยา มีพระเจ้าสามพระยาเป็นนายด่านเป็นลูกของกษัตริย์
(จากเทปอีกตอนหนึ่ง เล่าตอนเดินผ่านจังหวัดเพชรบุรี ขุนช้างหรือพระยาภานุมาศมาเล่าให้ฟัง)
จังหวัดเพชรบุรีนี่ คนชาวไทยที่ไปอยู่เขตแดนของจีน คือ เมืองปา ในจีนน่ะ ความจริงเป็นเมืองของคนไทย คนไทยไปจับที่ดินทำกินก่อน คนอีกเผ่าหนึ่งเข้ามาทีหลัง แต่ทว่าเป็นเผ่าที่มีใจแคบ ชอบอาศัยคน อื่นแล้วก็เบียดเบียนคนอื่น พอมีกำลังวังชา ขึ้นมาแล้ว ก็มักจะถือว่า ฉันเป็นเจ้าของบ้าน รักเฉพาะพวก เฉพาะพ้อง มีใจแคบกว่าคนไทย แย่งกันไป เบียดกันมา ผลที่สุดคนไทยก็รำคาญ เดินทางทำกินเขยิบ เรื่อยลงมา ๆ จนกระทั่งถึงพม่า จนกระทั่งถึง เมืองมะริด เมืองทวาย ในเมื่อดินแดนแถบนั้น คับแคบเกินไป ก็ขยับมาจนถึงแถวเพชรบุรี
พวกนี้เรียกได้ว่า กลับถิ่นฐานเดิม แต่ไม่ใช่คน พวกที่อพยพไปหรอก คนที่อพยพ ไปมันตายมาหลายชั่วคนแล้ว พวกนี้เป็นคนรุ่นใหม่ เดินทางลงตามที่ปู่ย่าตายาย เล่านิยายไว้ ถึงว่า เดิมอยู่แถวนี้ แล้วเดินทางไปแถวโน้น พวกนี้เกิดรำคาญ คนเผ่าที่ว่า ขึ้นมาก ก็เลยเดินทางลงมา แถวนี้ จนถึงเพชรบุรี ถ้าจะนับว่า เป็นเวลาเท่าใด ก็ต้องตอบว่า ก่อนที่พระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นประมาณ สามพันปีเศษ ถามว่า สำหรับคนไทยเดิมตั้งแต่ครั้งยังไม่ได้เรียกว่า คนไทยนั้น เคยตั้งอยู่แถวนี้สักกี่ล้านปีท่านเจ้าคุณ (ภานุมาศ) ท่านก็ ตอบว่า ไอ้ถิ่นฐานแถวนี้จริงๆ น่ะนะ เวลากัปปริวรรต เปลี่ยนแปลงใหม่ พื้นที่ส่วนใหญ่มันเป็นทะเลแล้ว ก็มีเกาะมีแก่งมาก แผ่นดินมันงอกเข้ามาทีละหน่อยๆ อย่างจังหวัดนครปฐมนี่ก็ดี จังหวัดสระบุรีก็ดีตอน นั้นเป็นจังหวัดชายทะเล ถ้าจะว่ากันจริง ๆ แล้ว คนที่อยู่แถวนี้อยู่แล้ว ไอ้ที่ฝรั่งเขาค้นพบว่า ที่นั่นก่อนที่นี่ ที่นี่ก่อนที่นั่นน่ะ ไม่จริงหรอก ไอ้ที่นี่มันก่อนไปกว่าที่ฝรั่งเข้าใจตั้งเยอะ ขุดกันให้ดี ค้นกันให้ดีเพราะปีหนึ่ง ๆ แผ่นดินมันสูงขึ้นมาเท่าไหร่ มันทับถมสิ่งทั้งหลายที่ตายไปแล้ว ผุพังไปแล้วลึกเท่าไหร่
. -
พระพุทธศาสนาเข้ามาในประเทศไทย
(คัดจากเทปเล่าเรื่องไปภาคใต้ เดือนเมษายน 2521 หลายตอน)
ถอยหลังลงไปตั้งแต่ สมัยพระพุทธเจ้า ยังทรงพระชนม์อยู่ ก็มีพระจำพรรษา ตั้งแต่ภาคใต้ของประเทศไทย ถึงภาคเหนือ ภาคเหนือจริงๆ ก็เป็นส่วนหนึ่ง ที่พระมหาโมคัลลามาคุม คือ เป็นสายของพระมหาโมคัลลาแดนเหนือ ออกไปด้านเชียงตุงติดต่อประเทศจีน แล้วก็ในเขตจีนเป็นสายของพระมหากัสสป ความจริง ก็ไม่ไกล กันนักแต่ มันเดินยาก แต่ท่านผู้นั้น ท่านเหาะ แล้วสำหรับใต้ล่องลงมานี่ นับตั้งแต่ จังหวัดสุพรรณบุรี มาถึง จังหวัดนครปฐม เพชรบุรี เป็นต้นแล้วก็แดนประจวบคีรีขันธ์ ตอนนี้เป็นสายของพระมหากัจจายนะ กับพระอนุรุทธ มักจะมากันเสมอ ๆ ต่ำลงมาจากประจวบคีรีขันธ์ ถึงจังหวัดชุมพร จังหวัดสุราษฎร์ธานี สายนี้ก็เป็นสายพระโสณะกัณณะ ที่มากันเป็นปกติ สายใต้ลงไปจากนั้น ก็เป็นสายลูกศิษย์ของพระพวกนั้น ที่กล่าวมาแล้ว ที่สอนต่อๆ กันมาเป็นอันว่า ประเทศไทยรับคำสอน ของพระพุทธศาสนามาก่อน ที่เราคิดว่า รับพระพุทธศาสนาเข้ามาประเทศไทย
เวลานั้น ไอ้เมืองมันมากอยู่กันเป็นหย่อมๆ มีพระราชาที่เขาเรียกว่า พ่อเมือง คนก็มีหลายเผ่าด้วยกัน คนไทยเวลานี้มาเรียกว่า ไทยๆ สมัยนั้นเขาก็ได้เรียกว่า ไทย รวมความว่า เป็นเผ่าคล้ายคลึงกันคนในดินแดน แผ่นนี้จะเรียกเป็นเผ่าใหญ่ๆ จริงๆ แล้วมันมีอยู่ 7 เผ่าด้วยกัน เวลาจะพูด ต้องพยายามเรียนภาษากันอยู่เจ็ดเผ่าด้วยกัน นับตั้งแต่โน่นแน่ะ เชียงตุงมานั่นแหละ จนกระทั่งปลายเขตแดน ของสิงคโปร์ มี 7 เผ่าที่ เป็นเผ่าใหญ่ แล้วเผ่ากระจอกงอกง่อย ก็มีอีกตั้งเยอะแยะ แต่บางทีก็เป็นเผ่าไทยด้วยกัน แต่เรียกชื่อ ต่างกันเสียอีก แต่ว่า พูดกันรู้เรื่องว่า ฉันพวกเผ่านายดำ ฉันพวกเผ่านายเขียว ฉันพวกเผ่านายขาว เนื้อแท้มันพูดเหมือนกันจริยาอาการต่างๆ วัฒนธรรมเหมือนกัน มันก็เผ่าเดียวกัน แต่ก็ยัง ไม่ยอมรวมกันถือว่า อยู่กันเป็นหมู่บ้าน เมืองสมัยนั้น ก็เป็นหมู่บ้าน ที่มีความสำคัญเพียงเท่านี้
ในช่วงนั้น ที่มีพระอรหันต์มาเรื่อย ๆ หมออาชีวกโกมารภัจ ก็เคยมาเที่ยว ถ้าจะถามว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เคยเสด็จไหม ก็ต้องตอบว่า เวลานั้น พระพุทธเจ้ามาในเขตนี้หลายวาระ แล้วก็คราวหนึ่งทำให้คนสำเร็จอรหันต์ไปไม่น้อย การเสด็จมาของพระองค์ ใช้เวลาเดินนานหน่อย เพราะนาน ๆ จะได้เดิน ส่วนมากท่านเหาะมา มาคราวหนึ่ง ก็มีพระติดตามไม่น้อยกว่า 500 รูป ที่มากันอย่างนั้น ก็เพื่อเป็นกำลังใจของคน คือ เวลาก่อนหน้า นั้นหมอผี มันมีมาก ดินแดน ดินเดียเขาเล่น สมาธิจิตกัน เล่นกำลังจิต แต่ดินแดนแห่งนี้ เขาเล่นผีกัน นับถือผีอยู่ก่อน ให้ผีเป็นเจ้า ผีเป็นนาย ทำอะไรก็ต้องเชื่อผี จนกระทั่ง มีการตั้งศาลพระภูมิขึ้นมา อันนี้เราก็เรียกว่า ผีเหมือนกัน เพราะว่า กำลังใจของคนพวกนี้ ยอมรับนับถือผี มาเป็นตัวอย่าง เป็นเหตุ
เมื่อองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์เสด็จมา ก็เอาผีพวกนี้ มาแสดงตัวให้ปรากฏ สมเด็จพระบรมสุคต ให้บุคคลทั้งหลายเห็นว่า ผีที่เขาบูชานั้น เป็นตัวเป็นตนขึ้นมา อันนี้ เราก็เรียกว่า ผีเหมือนกัน เพราะว่า กำลังใจของคนพวกนี้ ยอมรับนับถือผีมา เป็นตัวอย่างเป็นเหตุ เมื่อองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์เสด็จมา ก็เอาผีพวกนั้นมาแสดงตัวให้ปรากฏ สมเด็จพระบรมสุคต ให้บุคคลทั้งหลายเห็นว่า ผีที่เขาบูชานั้น เป็นตัวเป็นตนขึ้นมา เห็นกันจนผีเห็นคน คนเห็นผี ในเมื่อผีเหล่านั้น เห็นพระพุทธเจ้าก็มากราบพระพุทธเจ้า และแสดงว่า ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า อันนี้ เองเป็นเหตุให้ผู้ได้เห็น เกิดมีใจเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า ฉะนั้นเมื่อพระพุทธเจ้าเทศน์อะไรลงไปเขารับฟังทันที สมเด็จพระชินสีห์เทศน์จึงมีผลให้คน เป็นพระอริยเจ้า
หลังจากที่ พระพุทธเจ้านิพพานแล้ว มีพราหมณ์ คนหนึ่ง ชื่อว่า โสณะพราหมณ์ เป็นพราหมณ์อยู่ที่ กุสินารามหานคร ชื่อเก่าของเขานะ โสณะพราหมณ์ ไอ้โสณะ พราหมณ์ นี่ จะแปลว่าอะไร ไม่ต้องพูด แต่ว่า เป็นพราหมณ์ ที่บอกอรรถปัญหาแก่พระราชา เป็นปุโรหิต เป็นคนมีความรู้ดี พ่อแม่ ให้นามว่า โสณะ ๆ ต่อมา คนเรียกกันว่า โทณะพราหมณ์ โทณะเขาแปลว่า ทะนาน ตอนที่ตวงพระบรมสารีริกธาตุ แบ่งกันกับพระราชาเมืองอื่น ปรากฏว่า โทณะพราหมณ์ซ่อนพระเขี้ยวแก้ว ไว้ในผม พระอินทร์เห็นว่า ไม่สมควรกับโทณะพราหมณ์ จึงเอา พระเขี้ยวแก้ว ไปบรรจุที่พระจุฬามุนีเจดีย์สถาน บนชั้นดาวดึงส์เทวโลก ในเมื่อแจกของหมด แกก็มาคลำดู เห็นหายไปจากมวยผม จึงได้ขอทะนาน ที่ใช้สำหรับตวงพระบรมสารีริกธาตุเอาไปบูชา เป็นทะนานทอง ทะนานนี้ภาษาบาลี เขาเรียกว่า โทณะ เมื่อตาพราหมณ์คนนี้ แกรับทะนานมาแล้ว เขาจึงให้ชื่อว่า พราหมณ์ทะนาน หรือว่าพราหมณ์ผู้รับทะนาน ความจริงเมืองนครปฐม ที่เราเรียกกันว่า ทวาราวดี รู้จักกับพระพุทธเจ้า รู้จักกับพระอรหันต์ รู้จักกับพระพุทธศาสนา มาตั้งแต่พระพุทธเจ้ายังอยู่ การเดินไปเดินมาจาก กรุงกบิลพัสดุ์มหานคร ถึงจังหวัดนครปฐม หรือทวาราวดี ใช้เวลาเดินจริงๆ ไม่เกิน 17 วัน พ่อค้าใช้เวลาเดินประมาณเดือนเศษๆ นับว่า ใช้เวลานานเพราะ มีน้ำหนักมาก ถ้าลองนึกดูว่า คนสมัยนี้ กับสมัยตอนที่ท่านเป็นหนุ่ม ใครมันเดินสู้กันได้ และ สมัยที่ท่านเป็นหนุ่ม ก็เดินสู้คนเก่าๆ เขาไม่ได้ เขาเดินกันเป็นปกติ เป็นอันว่า การรอนแรมมาเป็นของไม่ยาก
โทณะพราหมณ์ เมื่อได้รับทะนานทองแล้ว ก็เดินทางมาสู่เมือง ทวาราวดี เพราะโดยปกติแกมาเสมอๆ มีที่หมู่บ้านหนึ่ง เขาเรียกว่า บ้านพราหมณ์ใกล้ ๆ กับพระประโทน นั่นแหละ หมู่บ้านพราหมณ์ ก็เป็นหมู่บ้าน ของอีตาโทณะพราหมณ์นั่นเอง เมื่อได้มาแล้ว แกก็ทำเจดีย์ ขึ้นเป็นองค์ย่อมๆ บรรจุทะนาน ที่ตวงพระบรมสารีริกธาตุไว้ ณ ที่นั้นแล้วก็ทำการบูชาเป็นอันว่า พระประโทนนี่ก็ก่อนพระปฐมเจดีย์องค์ใหญ่
การที่พระอริยสงฆ์ สมัยพระมหินทร์ ประกาศพระศาสนา ก็เดินทางมาขึ้นที่ จังหวัดนครปฐมก่อน เป็นจุดแรกที่พระพวกนั้น มาปักหลัก นำพระพุทธศาสนาเข้ามาเผยแพร่ แต่ความจริง พระพุทธศาสนา ได้มีมาก่อนนั้นอย่างที่เล่ามาแล้ว เป็นแต่เพียงท่านทั้งหลาย เอาพระไตรปิฎกที่เขียนเป็นหนังสือมายืนยันว่า คำสอนของพระพุทธเจ้าน่ะมี ตำรา ไม่ใช่จำกันเฉยๆ แล้วบรรดาพระอรหันต์เหล่านั้น ก็มาประกาศชักจูงให้ เจริญความดี ตามคำสั่งสอน ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความจริงการเอาความดี มาเสริม ความดีที่มีอยู่แล้วมันก็เป็นของไม่ยาก ถ้าจะพูดกันไปจริงๆ ในเขตสุวรรณภูมิส่วนนี้ ก็ถือว่า มีพระสำรองอยู่แล้ว คือ พระอรหันต์ และพระอริยะเจ้าทั้งหลาย เมื่อ พระอรหันต์ มาพบพระอรหันต์ด้วยกันเข้า ของมันก็ไม่ยาก อ่านตำรับตำราทบทวนกันเดี๋ยวเดียวเห็นว่าใช้ได้ ต่างคนต่างก็ลอกเอาเป็นแบบเป็นแผนไป เพื่อให้เป็นพื้นฐาน แน่นอน เพื่อสอนแก่บรรดาประชาชนทั้งหลาย และคนส่วนใหญ่ในเมืองนี้ ก็นับถือพระพุทธศาสนาอยู่แล้ว ดังนั้น จังหวัดนครปฐมจึงต้องถือว่า เป็นเมืองแม่ในการประ กาศพระศาสนา
. -
พระอภิญญา
ปีนั้นเป็นปีที่ หลวงพ่อปาน บอกว่า ถ้าแกบวชครบ 20 พรรษา จะต้องออกจากวัด ท่านไล่ไว้ ตั้งแต่วันบวช แล้ว ไม่ใช่มาไล่ทีหลังหรอก ตอนบวชใหม่ ๆ ท่านสั่งสององค์นั่นบอกว่าไอ้ 2 ตัวนี่ 10 พรรษาต้องเข้าป่า ไปแล้วห้ามเข้าเมืองจนกว่าจะตาย ไอ้ตัวนี้ 20 พรรษาต้องออกจากวัดแต่เข้าป่าไม่ได้นะเป็นหนี้เขามาก ไอ้เราก็ นึก เอ๊ เป็นหนี้ ใครมาละหว่า เกิดมาชาตินี้ ก็ไม่ได้ยืมสตางค์ใคร มีแต่ขโมยสตางค์ยายเราไม่ได้ยืมนี่ เราขโมยต่างหาก แปลก
ก็เป็นอันว่า 2 องค์นั้น 10 พรรษาเขาเข้าป่าตามสั่งเขาบอกศาลาเลย นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป การเข้ากลุ่มชนจะไม่มีสำหรับเขา แต่มันก็ไม่ใช่ของแปลก เพราะเขาเป็นพระอภิญญาใช่ไหม อภิญญาก็ครบ 6 เสีย ด้วย ไม่ใช่ 5 สำหรับพระอภิญญา ไปอยู่ป่านี่ ถ้าจะถามว่า มิต้องไปสร้างกุฏิอยู่เรอะ ก็ตอบได้ว่า จะสร้าง อะไรกับมัน ฝนตกมันก็บอกว่า ไปตกที่อื่นเถอะ ที่กูห้ามตกนะ มันก็ไม่ตก ตกได้รอบๆ ตัว แต่ที่เขาไม่ ตกหรอก อากาศหนาว บอกแก ไปหนาวที่อื่น ตัวข้าห้ามหนาว มันก็ไม่หนาว ใช่ไหม มันเรื่อง เล็กๆ น่ะ แล้วไอ้หมอ 2 คนมันก็ขยันซน ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก
เมื่อปีที่แล้ว ไปที่ ป่าสุโขทัย คุณอ๋อยไปด้วย ไปกับท่านหญิงวิภาวดีด้วย แหม มันหนาวจับใจ ความจริงหนาวต้องคิดทีเดียว ไอ้ผ้าที่ติดตัวไป มันก็น้อย แต่คิดว่า หนาวก็หนาว อยากตาย ให้มันตายไป ขี้เกียจหนาว พอดึกขึ้นมา มันก็หนาวขึ้นทุกที ลุกขึ้นมา นึกว่า เอ มันจะหนาวถึงไหนหว่า พักหนาวเสียเถอะมัน ก็เบาหนาว พอเบาหนาวเจ้า 2 ตัว เอ้ย 2 องค์ แต่ไม่เป็นไรพวกเดียวกัน พวกโยมละอย่าไปเรียกเข้านา คนละพวก เจ้า 2 ตัว เขาโผล่มา ก็ถามว่า เฮ้ย มึงมาทำไมวะ เขาตอบว่า กูมาเที่ยวส่ง ถามว่า เอ มากี่ ตัววะ เขาบอกว่า กู 2 ตัว แล้วอยู่ ข้างนอกอีก 5 ตัว เป็นอันว่า พระอภิญญาของเรานี้ เวลานี้ในป่ามีเยอะ เขาบอกว่า เวลานี้มา 7 องค์ด้วยกัน ไอ้ที่ไปพักน่ะ มันเป็นที่ระหว่าง วงเขาล้อมแคบๆ นะบริเวณนั้นก็จะ มีเนื้อที่สัก 1,000 ไร่นอก นั้นเป็นเขาล้อมหมด ถามว่าอีก 5 องค์อยู่ไหนเขาตอบว่า อยู่บนยอดเขาริมๆ ถามว่า หนาวไหม เขาบอก ฮึ เรื่อง หนาว เรื่อง ร้อน เรื่อง เล็ก เราอยากหนาว มันก็หนาวมาก เราอยาก หนาวน้อย มันก็หนาวน้อย อยากร้อน มากก็ร้อนมาก เขาก็เบ่งส่งเดชแต่เบ่งได้เสียด้วยซี
เป็นอันว่า เขาก็มานั่งคุย คุยไปคุยมาถามว่า อยู่ในป่า เป็นสุขไหม เขาว่า ในป่าดีกว่าในเมือง ถามต่อไป ว่า แกเข้าเมืองบ้าง หรือเปล่า ตอบว่า ตอนนี้ไปบ่อยโว้ย ถามว่า ไปคนเดียวรึ หรือว่า 2 องค์ เขา บอกว่า ไม่ใช่หรอก ถามอีกว่า ในป่ามีเท่าไหร่ล่ะ ไอ้พวกลิง ๆ แบบนี้น่ะ ตอบว่า เยอะหลายตัว คณะเขาที่ตั้งกลุ่มกันอยู่ ประมาณสัก 30 ตัวกว่า พวกลิงนะ ไอ้ที่เขาไม่ลิงต่างหาก คือ พวกลิงหมายความว่า พวกซน เล่นอภิญญามีเยอะนะ แต่พวกนี้เข้ามาในเเมืองไม่ได้นะ ถ้าเขามาละ พวกเราตกนรกกันเป็นแถว ถ้าเข้ามา ประจันหน้ากับคนนะ ดีไม่ดีเข้ามาแบบนี้เดี๋ยวทำพระพุทธ ลอยเล่นหรือนั่งเอาหัวลง เอาก้นขึ้น เสียแล้ว เราเห็นก็จะว่า เอ พระองค์นี้ เล่นกลนี่หว่า บ้าๆ บอๆ เสร็จเลยเรา 500 ชาติ ว่าท่านบ้าๆ บอๆ เราก็ไปจวกบ้าเสีย 500 ชาติ นี่เขาต้องหลบ เพราะเหตุนี้นะ ท่านที่ทรงอภิญญาจริง ๆ แล้วก็ชอบซนนี่ แต่อภิญญาที่ไม่ซนเขามีนะ อภิญญาที่ไม่ซน และสู้หน้าคนเขามีอยู่ ถ้าอภิญญานี่ ต้องเข้าป่าหมด
ท่านบอกว่า เข้ามาในเมืองบ่อยเพราะเวลานี้ เข้ามาบ่อยได้ ที่เข้ามาบ่อยได้ เพราะอะไร เพราะจิตใจ ของบุคคลที่ รักพระนิพพาน มีมากขึ้น แต่ว่า ลักษณะการมาของเขาน่ะ พวกเราไม่รู้หรอก แล้วแต่เขาชอบใจใคร บางทีพระบิณฑบาต เขาก็เดิน ตามมาเรื่อย ๆ ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ถ้าเรามีโอกาสใส่บาตร เขาหน่อย ก็รู้สึกมีคุณค่ามาก เพราะถ้าเขามาเขาต้องทรงอภิญญา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาเป็นพระอรหันต์ด้วย เวลาจะเข้าอภิญญาสมาบัติ สมาบัติมันต้องเต็มที่ ถ้าไม่เต็มที่ มันมาเร็วไม่ได้ เพียงแค่ลัด นิ้วมือเดียว มันช้าไปช้ากว่า ตามพระบาลี บอกว่า แค่ลัดนิ้วมือเดียว ไม่รู้จะเอาอะไร เร็วกว่านั้น ใช่ไหม แต่เนื้อแท้แล้วทำจริงเร็วกว่านั้นมาก นี่ก็ชื่อว่า เป็นบุญของบรรดาประชาชน ที่พระอภิญญาในป่าเข้ามาเยี่ยมบ่อย ๆ แต่ทว่าเราจะรู้จักท่านไม่ได้ นอกจากว่า ท่านจะแสดง อะไรสักอย่างหนึ่ง อย่างคุณหมอนั่น ที่ว่าแกเห็นนั่นน่ะใช่ ที่ว่า มาบิณฑบาตแกเห็นอยู่ดีๆ พอเปิดจีวรก็บาตรลูกเบ้อเริ่ม เลยแกก็สงสัยว่า พระองค์นี้ทำไมบาตรโต ไอ้เวลาเดินมาเห็นเท่าธรรมดานะแต่เวลาใส่ บาตรแล้วบาตรใหญ่ พอใส่บาตรแล้ว เงยหน้าขึ้นมาเจอะกัน ท่านบอกว่า โยม ขอกระติกน้ำร้อนลูกหนึ่ง แน่ะ ดันเสือกขอเอาด้วย พระนี่ไม่ใช่ญาติไม่ได้ปวารณาไว้นี่ เขาห้ามขอนะ ถ้าขอเป็นอาบัติ แกก็รับว่า ครับ วันนั้น เป็นวันเสาร์ แกเลยบอกว่า วันจันทร์นิมนต์มารับ พอกลับมาจากใส่บาตร แกก็ให้ลูกชายไปซื้อกระติกสีเขียว มาเพราะ แกชอบสีเขียว อ้อ คุณหมออุดม ถ้าหากเป็น พระธรรมดา ขอให้ได้สีอื่น พอลูกชาย เอากระติกน้ำร้อน มาก็กลาย เป็นสีเขียวจริง ๆ แกบอกว่า ไม่ได้ตั้งจิตบังคับลูกชายหรอก แต่คิดว่าพระองค์นี้สำคัญ
พอวันจันทร์ แกก็เตรียมเครื่องใส่บาตร เป็นกรณีพิเศษ สำหรับใส่บาตร ปกติแกก็ให้คนอื่นใส่ แกเองไม่ใส่ คอยนั่งจ้อง เอาน้ำร้อน น้ำชา มาใส่กระติกเสร็จ จัดอาหาร เป็นกรณีพิเศษ นั่งคอย จนพระบิณฑบาตหมดก็ ไม่เห็นพระองค์นั้นมา แกคอยจ้องดูกลัวจะจำไม่ได้ เดี๋ยวท่านจะผ่านไปโดยไม่เห็น แกก็คิดว่าถ้า 8 โมงเช้า แล้วไม่มาก็เป็น อันไม่มาแน่ ก้มลงมองดูนาฬิกา 8 โมง พออยากจะลุกก็โผล่ถึงพอดีแกก็เลย ถวายของไป ถวายกระติกน้ำไป
พอต่อมาหมออุดมมาเล่าให้ฟัง ก็นึกในใจว่า ไอ้เสือนี่มาเล่นเขาเข้าแล้ว ตกกลางคืนพบกับเขา ก็ถามว่า นี่แกไปหลอกเขาหรือ ตอบว่า ฮึข้าไม่ได้หลอกนี่หว่า ค้านว่า ไม่ได้หลอกทำไมถึงบาตรใหญ่ อ้าวถ้าบาตรไม่ใหญ่ ก็ไม่สงสัย น่ะซี เออ เขาไม่ได้หลอก เขาทำให้สงสัย ว่าเขาไม่ได้นะ เลยถามว่า แล้วแกไปขอ กระติกน้ำ เขาทำไม ธรรมดาคนที่ไม่ใช่ญาติ ไม่ได้ปวารณาแกไปขอเขามาเป็นอาบัติ เขาก็เถียงว่า แกรู้เรอะว่า ข้าไม่ได้เป็นญาติกับหมอน่ะ บอกว่า จะเป็นญาติยังไง หมอกับแกไม่เคยรู้จักกันมาก่อน อายุอานามก็ไล่เรียงกันถ้าเป็นญาติของแก ข้าก้ต้องรู้จัก เพราะว่า อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก เขาบอกว่า ชาติ นี้ ไม่ใช่ญาติ ก็ชาติก่อน เป็นญาติ นี่หว่า ถามว่า ทำไม แกก็ตอบว่า เห็นหมออุดมเป็นคนดี มีจิตใจเข้าถึงธรรม ก็ถามว่า หมออุดมนี่ มีกำลังถึง อรหันต์ไหม เขาก็เลยบอกว่า ถ้าหมออุดมไม่ยั้งตัวก็ถึงอรหันต์ นี่ เป็นอันว่า เขามากันบ่อย ๆ
คราวหนึ่ง อาตมาเขียนไว้ ในหนังสือแล้ว ที่ไปพบเขาที่วงเวียนใหญ่ จะไปซื้อยาสักหน่อย หลายปีมาแล้ว กำลังเดินๆอยู่ เจอะนาย 2 เตื้อเดินมาพอดี ถามว่า มาทำไม แกก็บอกว่า มาที่เมืองกาญจนบุรีมีผู้หญิงคนหนึ่ง แกถามว่า จะไปกรุงเทพ ฯ ไหม ก็เลยบอกว่า มา แกก็ซื้อตั๋วให้เสร็จ แกก็นั่งมาในรถ อีตอนนั้น สงครามโลกเสร็จใหม่ ๆ ตอน กึ่งพุทธกาลใหม่ ๆ นั่นแหละ วิปัสสนา เริ่มเกิดใหม่ เกิดเป็นดอกเห็ดทีเดียว กำลังเฟื่องวิปัสสนากันซี ตอนนั่งมาในรถแกก็เลยถามว่า ท่านบวชกี่พรรษา เขาก็ตอบว่า 30 พรร ษากว่าๆ เคยวิปัสสนาไหม ? แหม มดไปถามเอาช้างเข้า แกก็เลย ถามกลับไปว่า โยม วิปัสสนาเขาทำยังไง คือไม่ได้บอกว่า ทำหรือไม่ทำ ยายนั่นแก ก็เลยนั่งสอนวิปัสสนา มาตั้งแต่เมืองกาญจนบุรี จนถึงท่ารถสายใต้ เขาก็บอก แหม เดี๋ยวนี้ อาจารย์วิปัสสนา มันเยอะจังว่ะ ถามว่า ทำไมล่ะ ตอบว่า แหม ข้านั่งรับการอบรม มาตั้งแต่กาญจนบุรี จนถึงท่า รถสายใต้เลย แต่คนสนใจธรรมะเขาก็พอใจแล้ว
ไอ้วันนั้น ก็เดินไปเดินมา เวลามันก็จะเพล ถามว่า วันนี้แกจะกินเพลไหมล่ะ ตอบว่ากิน ถามกินที่ไหนล่ะ เขาบอกเดี๋ยว เดินไปเดินมาก่อน หาที่เหมาะๆ ค่อยกิน พอถึงร้านหนึ่ง เขาก็ชวนเข้าไป บอกว่า กินร้าน นี้แหละ ถามว่า แกมีสตางค์เรอะ บอกว่า ไม่มีหรอก อ้าว งั้นกินไงล่ะ เขาบอก กินส่งไปเถอะ ไอ้เราก็ไม่แปลก เรามีสตางค์นะ เวลานั้น มีสตางค์ ก็ไม่มาก ติดไป 20 บาท เป็นอัตราประจำ วันไหนมีถึงร้อย วันนั้นครึ้มมาก เริ่มงานวัดคราวไหนมีเงิน 100 บาทติดตัว ทายกยิ้มแป้น บอกว่า เฮ้ย วันนี้มีตั้ง 100 โว้ย เข้าไปในร้าน ก็สั่งอาหารตามชอบ ขณะฉันอาหารมีผู้หญิงคนหนึ่งอายุประมาณสัก 30 แต่งตัวเรียบร้อย หน้าตาดี นั่งอยู่หน้าร้าน พวกเราก็ไม่ได้สนใจ ฉันข้าวกันเรื่อยไป พออิ่ม เรียกเจ๊กมา ให้คิดเงิน ก็ไม่กี่สตางค์ สักสิบบาทกระมัง ฉัน นิด ๆ หน่อย ๆ ฉันไม่มาก ปรากฏว่า เจ๊กบอกว่า ไม่ต้องจ่ายหรอก ผู้หญิงคนนั้นเข้าจ่ายแล้ว แล้วเขาไปแล้ว เลยถามไอ้สองเตื้อนั่นว่า เฮ้ย ผู้หญิงคนนั้น เป็นอะไร เขาตอบว่าเป็น แม่กูว่ะ กูรู้ว่า แม่กูจะมา ถามว่า แม่ชาติไหน เขาตอบถอยหลังไปสัก 100 ชาติได้ เขาตั้งใจมาโปรดแม่ เขาถามว่า ทำไมต้องพร้อมสามเขาบอกว่า ต่างก็เคยเป็นลูกกันมา ส่วนแม่เดี๋ยวนี้ไม่รู้หายไปไหน "แม่" คนนี้อ่อนกว่าฉันหลายปี ตอนนั้นฉัน อายุ 50 เศษแต่แม่อายุ 30
นี่เรื่องต้องคิด การเข้ามานี่ไม่ใช่แต่ 2 องค์นี้ หลายๆ องค์เขาก็เข้ามากัน บางคราวเรา ก็พบไอ้พบนี่มัน มีอารมณ์สะดุด สะดุดง่าย คือว่า กระทบแรง แล้วก็ดีใจว่า ทุกท่านนี่น่ะ สนใจกับสมณธรรมของคนทั้งหมด จะเป็นสำนักไหนก็ตาม เพราะว่า คนที่เข้าไปทุกสำนักนั้น เป็นคนดีทั้งหมดไม่งั้นเขาจะเข้าไปทำไม เขาอยู่บ้าน เขาดีกว่า แต่ผู้สอน จะสอนถึงระดับไหน นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง อีกอย่างหนึ่ง การเจริญพระกรรมฐานที่เราศึกษากัน พวกเรามาเจริญกรรมฐานที่นี่แล้ว ไปฟังที่อื่นไม่รู้เรื่องน่ะ อย่าว่าท่านนะ
อย่าไปว่าสำนักนั้นสอนไม่ดี เพราะเราไม่ได้ตามกันมา คือจะต้องตามกันมาถึงจะพูดรู้เรื่อง
คนที่เขาศรัทธา ในสำนักอื่นก็เหมือนกัน มาสำนักเราเขาอาจจะฟังไม่รู้เรื่อง เพราะไม่ได้ติดตามกันมา ไม่ใช่ว่า เขาไม่ดี เขาก็ดีเหมือนกัน
คนที่จะพูดให้คนทุกประเภทรู้เรื่องได้น่ะ มีพระพุทธเจ้าองค์เดียว
แต่สำหรับพวกสาวกนี่ ต้องอาศัยเป็นคนที่ติดตามกันมาแต่ในอดีตชาติ ทำบุญร่วมกันมาแบบนี้แหละ ฉันก็เกิดเป็นพระเรี่ยไรญาติโยม อยู่ตลอดเวลา ยังงี้มันน่าเกิดทุกชาตินะ แต่มันไม่อย่างงั้นน่ะซี บางชาติก็พาพวกไปรบกับเขาสนุกสนาน ไอ้ฉันก็หัวโจก ผู้หยงผู้หญิงก็คว้าดาบ เข้าฟันกับเขา ตีกับเขา โอ๊ สนุก เผลอๆ ก็ลงนรกกันสนุกเสียที แต่คิดว่า พวกเรานี่ คงจะไม่ลงนรก มาประมาณ 1,000 ชาติแล้วนะ แล้วอย่ากลับไปอีกเลย ถ้าหัวหน้าไม่ลง ลูกน้องก็ไม่ลงหรอกใช่ไหม
ความจริง อาตมาไม่รู้เอง มีอยู่คราวหนึ่ง เมื่อคราว พ.ศ. 2497 ปีนั้น นั่งนึกๆ ดู เอ ไอ้กูนี่ตายแล้ว จะไปไหนดีหว่า มานั่งคิดบัญชีตั้งแต่เกิดมา มันทำบาปมากกว่าทำบุญ รู้ตัวว่า ทำบาปมาเยอะ แต่การทำบาป ก็เป็นสาธารณประโยชน์ ถึงเป็นสาธารณประโยชน์ก็จริง แต่ไอ้การฆ่าเขานี่ มันก็บาป ถึงแม้ว่า เขาจะเป็นโจร เป็นผู้ร้าย ก็มานั่งคิดว่า น่ากลัวจะไปนรก เล่นสบายๆ นั่งเลือกเอาสักขุม ขุมไหนก็ช่างมันเถอะ รำพึงดูว่า จะเปลื้องตัวเองให้พ้นนรกจะทำยังไง การเจริญพระกรรมฐานน่ะจริง เจริญมาตั้งแต่วันบวช แต่ก็เกรงกำลังใจว่า เวลาตายถ้าจิต เราเสียนิดหนึ่ง อาจจะไปนรก พอคิดถึงตอนนี้ก็มีเสียงไม่แว่วหรอก ดังชัดเสียงถามว่า จะไปขุมไหนดีล่ะ เสียงจากข้างบน ถ้ามาจากข้างล่างล่ะยุ่งแน่ เสียงเพราะนะเหมือนเสียงเด็ก ก็ไม่ใช่เป็นเสียงเด็ก กับเสียงผู้หญิงบวกกัน เสียงประเภทนี้มาจาก 2 แห่ง คือ จากพรหม หรือ จากนิพพาน แต่ตอนนั้น เข้าใจว่า จะเป็นเสียงจากพรหม ถามว่า จะไปขุมไหนดี ตัดสินใจแล้วหรือยัง ตอบไปว่า ยังหาที่เลือกไม่ได้ แล้วเสียงนั้น ก็ตอบมาบอกว่า จะไปได้ยังไง ในเมื่อท่าน ไม่ไปมา 1,000 ชาติแล้ว เราเลยนึกว่า แกโกหกน่ะซี 1,000 ชาติ ถอยหลังไป โอ้โฮ ขนาดหนักเลย ฆ่านับหัวไม่ถ้วน รบทัพจับศึกนี่ฆ่ากันมาเท่าไหร่
ก็ถามว่า มันจะแน่ได้ยังไงไม่ตกนรก 1,00 ชาติ แกบอกว่า ถอยหลังไปดูซี ทุกชาติเล่นฌานสมาบัติรบก็รบกัน เวลาเลิกจากรบก็ทำบุญสุนทร์ทาน สร้างวัดสร้างวา ให้ทาน เจริญกรรมฐาน
ก็ใช้กำลังฌาน หนีนรกมาทุกชาติ
แล้วทำไมชาตินี้ จึงจะไปล่ะ เอ ชักครึ้มๆ ค่อยยังชั่วหน่อย ก็เลยร้องถามไป ถ้าฉันตายเวลานี้ไปอยู่ที่ไหน อี ตอนนั้นความจริง ยังไม่ถอนจาก พุทธภูมิ เขาเลยตอบว่า ชาตินี้ก็เลือกเอาซี อยากจะไปอยู่กับพรหม หรืออยู่ดุสิต ก็เลย นั่งนึก นอนนึก จะไปไหนดีหว่า จะไปอยู่ ชั้นดุสิต ผู้หญิงมากนี่ ดูท่าจะไม่ไหว เพราะอี ตอนนั้นข้างๆ วัดแกทะเลาะกันเรื่อย พูดกันแค่คนละคำเราก็แย่แล้ว ถ้าจะไปอยู่พรหม ก็นานเกินไป เลยคิดว่า เอ้า อยู่ไหน ก็ช่างมันเถอะ ใช้ได้ ถ้าเขาพูดกันมากนัก เราทำเฉย ๆ เสีย มันก็หมดเรื่อง
ต่อมาปี พ.ศ. 2503 หลายปีนะ ปีนั้นนั่งอยู่คนเดียว พระเขาไปหากินผีกันหมด เขานิมนต์ไปมาติกา บังสุกุลหมดวัด ฉันมันเป็นคนขี้เกียจนี่ ถ้าไม่มาป้อนถึงวัด ก็ไม่ค่อยจะเอาหรอก แล้วก็เป็นห่วง ถ้าไปกันหมด เดี๋ยวขโมยลักวัด เลยนั่งอยู่คนเดียว ประมาณสัก 4 โมงเช้า ลองนึกดู เออ ไอ้กูมันเกิดเป็นคนมากี่ชาติหนอ แล้วเป็นสัตว์มากี่ชาติ นึกเท่านี้ ก็มีเสียงกังวานมาก เสียงเพราะมาก เสียงผู้หญิงบวกผู้ชายเหมือนกัน แต่กังวานมาก นี่เป็นเสียงจากนิพพาน แต่ฟังชัดมากเหมือนกับเราคุยกันใกล้ ๆ บอกว่า คุณอยากจะรู้หรือว่า เกิดเป็นคนกี่ชาติ เกิดเป็นสัตว์กี่ชาติ ก็เลยตอบว่า พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าอยากจะทราบ ท่านก็บอกว่า ดูข้างหน้านี่ซิ ก็มองไปข้างหน้าไอ้ชาติที่เกิดเป็นคนนี่ นอนเรียงกันยาวสัก 10 กว้าง 10 นี่ นะเรียงขึ้นไป มันเลย เขาพลอง ตั้ง 2 เท่า ส่วนภาพแสดงชาติ ที่เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นอีก 4 เท่า จากสัตว์เล็กถึงสัตว์ใหญ่ สูงเท่า ๆ กันแหละ คิดเฉลี่ยแล้ว เป็นสัตว์ มากกว่า เป็นคนมาก แหม เรามีบุญ เยอะ ท่านก็เลยบอกว่า นี่แค่สัตว์กับคนนะ นรกยังไม่ได้คิด แหม ขนาดนรกยังไม่ได้คิด ท่านก็เลยบอกว่า เราทิ้งอัตภาพมาขนาดนี้แล้ว ร่างกายเต็มไปด้วยความทุกข์ ขณะที่เราเกิดเราก็คิดว่า เราไม่ตาย แต่ทุก ชาติเราก็ตาย ทำไมชาตินี้เราจะห่วงใยอะไรต่อไปอีกรึ ยังคิดว่าเราจะเกิดต่อไปรึ เห็นไหม แต่ละอัตภาพ ที่เกิดมาน่ะ มันก็เต็มไปด้วยความทุกข์ แล้วการเกิดแต่ละชาติมันไม่ใช่ เป็นมนุษย์เสมอไป ไปเป็นสัตว์ เดรัจฉาน จากสัตว์เล็ก ไปถึงสัตว์ใหญ่ก็มี เป็นพรหมก็มี เป็นสัตว์นรกก็มี แต่ ไอ้เทวดากับพรหมน่ะ มัน น้อยกว่าสัตว์นรก และสัตว์เดรัจฉาน
แล้วคุณจะหวังเกิดมาทำไมล่ะ เราก็นั่งตาปริบ ๆ ๆ ไอ้เราก็ไม่อยากจะเกิด แต่มันก็เกิดจะไปว่ายังไงมัน เลยถามท่านว่า ถ้าอย่างนั้นละจะไม่เกิดได้ไหม ท่านบอกว่า ไม่เห็นมันยาก นี่แน่ะพูดกับคนไม่ยาก นี่พูดกับคนที่ไม่รู้จักเกิด ก็ "ไม่ยาก" ถามว่า ไม่อยากจะทำยังไง ไอ้ที่ทำอยู่นี่ก็เพื่อความไม่เกิด แต่ว่ากำลังใจ ยังไม่ได้ตัดสินแน่นอนนัก ยังมีจังหวะห่วงหน้าห่วงหลัง มีจุดหนึ่งที่คิดว่า เราต้องการจะสงเคราะห์ประชาชน ให้มีความสุขเพราะอาศัยพุทธภูมิเป็นสำคัญ จิตอีกดวงหนึ่งคิดว่า ทำบาปขึ้นมานี่เป็นพระอรหันต์ ไปนิพพานเสียดีกว่า ท่านบอกอย่า ให้มันแย่งกันซี เอาด้านใดด้านหนึ่ง ถามว่า ถ้าด้านใดด้านหนึ่ง ใช้เวลานานไหม ท่านบอก "ไม่นาน" ถามว่า เท่าไหร่ ท่านก็ตอบ แต่จะไม่บอก นะ ว่าท่านบอกว่าไง ท่านก็กะเวลาให้ อ๋อ เรื่องเล็ก ๆ แต่ว่า ต้องเป็นนักเรียนทุน พอเรียนจบแล้ว ต้องทำงานใช้หนี้ 12 ปี ก็ทำตามท่าน รู้สึกว่าง่าย ที่ง่ายเพราะอะไร เพราะว่าอันดับต้นที่บวชใหม่ ๆ เล่นสมาบัติ 4 ถึงสมาบัติ 8 พอถึง สมาบัติ 8 อาศัยที่ปรารถนาพุทธภูมิ มันก็ยั้งตัวอยู่แค่นั้น ก็ฟัดกัน เรื่องสาธารณประโยชน์ คือ พวกพุทธภูมินี่ห่วง คนอื่นมากกว่าห่วงตัว ตัวเองจะมีกิน หรือไม่มีกินไม่สำคัญ ขอให้สาธารณชน เขามีความสุข จิตใจมันขยายไป แบบนั้นนะ ไอ้ที่นอนก็เป็นเสื่อขาด ๆ เก่าๆ ของใหม่ไม่มีในกุฏิ เวลานี้ที่วัดมีของดีๆ มาก ชาวบ้านเขาให้ ถ้าชาวบ้านเขาให้ชนิดไม่จำกัดละ หมด แจกเรียบ เวลานี้ เขาบอกว่า ไม่ได้หลวงพ่อต้องใช้ เลยเอาของเขามาแจกไม่ได้ ถ้าทำก็เป็นการทำลายศรัทธาเขา พระพุทธเจ้าปรับโทษ เมื่อก่อนนี้ ไม่มีใครเขากำชับ ของดี ก็แจกเรียบ พระผู้ใหญ่ ไปมีเสื่อขาด ๆ รับ จะนั่งได้ ก็ได้ ไม่ได้ ก็ แล้วไป เรื่องเล็ก เพราะไม่ต้องการ ยศฐาบรรดาศักดิ์ นี่ขนาด เจ้าคณะ มณฑล ไปเอาเสื่อขาดหน่อยหนึ่งรับ ท่านก็แน่เหมือนกัน ถามว่า มีเท่านี้รึเสื่อ ตอบว่า มีดีกว่านี้อีก คือ ขาด มากกว่านี้ ปรากฏว่า ท่านกลับไปถึงวัด ส่งเสื่อไปโหลหนึ่ง อานิสงฆ์เสื่อขาด ท่านเดินเข้าไปดูในที่ ๆ นอก ถามว่า โอ๋ แกมีเท่านี้แหละหรือ ไอ้ป้าน น้ำดี ๆ ของแกไม่มีบ้างหรอกหรือ ตอบว่า มีแต่แจกหมดแล้ว ทอดกฐินทอดผ้าป่าหมด ท่านรู้ว่า เป็นนักเทศน์ ของเยอะไป แต่ว่า ทุกปีพอถึงเดือนเกิด เรียบแจกไปหมดไม่เหลือ จะเก็บไว้ทำเกลืออะไร เดี๋ยวขโมยลักเปล่า ๆ แล้วผ้าใหม่ ๆ ไม่ใช้หรอก ของดีไม่ใช้ เขาถวายมาครองไตรขึ้นเทศน์ พอกลับมา รีบซักเก็บ ถึงปีทอดกฐินหมด โละต้นทุน ยิ่งโละ ยิ่งมาหนัก มาเท่าไร ก็โละใหญ่ โละไปโละ มาเดี๋ยวนี้ โละไม่ทันแฮะ อันนี้อานิสงส์โละจริงๆ นะ ตั้งแต่บวชพระมานี่ ปีไหนไม่เป็นหนี้ไม่มีหรอก แจ๋ว ไอ้ เป็นหนี้นี่ กันไว้จุดหนึ่งคือ กันการสะสมทรัพย์ ไม่ใช่ว่า จะอวดว่า หาเงินใช้หนี้เก่ง ไม่ใช่ยังงั้น ถ้าเงินมันชักเหลือเป็นส่วนตัวใจมันชักเริ่มไม่เป็นพระ ใจมันมัวหมองที่เป็นหนี้ก็หนี้งานก่อสร้าง หนี้งานสาธารณกุศล ยอมเป็นหนี้เพราะ ไม่ไว้ใจตัวเอง จะไว้ใจตัวเองไม่ได้ ถ้ามันไม่ตายใช่ไหม
ถ้าเรายังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด ถ้ายังหายใจอยู่อย่าเพิ่งคิดว่าเราดี นี่เป็นเรื่องสำคัญ
เรื่องใจตัวเองนี่ เวลานี้ก็ถือภาษิตว่า อัตตนา โจทยัตตานัง จงกล่าวโทษ โจทก์ความผิดของตัวเองไว้ สมอ ชำระใจของตัวเองเป็นสำคัญ คนอื่นใครเขาจะดี ใครเขาจะชั่วน่ะ มันเป็นเรื่องของเขา เราเท่านั้น จะเป็นผู้ชำระใจตนเองได้ เราเอาตัวรอด เท่านั้นเป็นพอ นี่ปกติ อาตมา เป็นอย่างนี้นะ ปกติเวลานี้ เป็นอย่างนี้ แต่เมื่อก่อนไม่ใช่อย่างนี้หรอก ชอบเสือก เขาบอกว่า ยาย ก. อยู่ที่โน่นขั้วโลกเหนือ แกดี เราเป็นต้องปั๊บแกดีแค่ไหนหว่าจิตใจแกแค่ไหน เวลานี้แกได้อะไรบ้าง รู้ ถ้าพระขอไปอยู่วัดนั้นๆ เอาเชียวองค์นี้ได้อะไรหว่า เสือกน่ะ ไอ้เสือก รู้หนักเข้าๆ เอ๊ นี่มันเรื่องของชาวบ้านไม่ใช่เรื่องของกู แต่อีตอนนั้นมัน เครื่องวัดตัวเองกับเขา คือ เขาออกชื่อ ใครมาว่าดี แล้วก็จับโดยอารมณ์ของจิตมันเป็นของง่ายๆไม่ยาก พอรู้ชื่อปั๊บ รู้ทันที การวัดจิตเขา กับจิตเรานี่ ถ้าจิตของเรา สู้เขาไม่ได้นะ เปิดไม่ช้าหรอก ถึงไปขอเรียน ไม่ใช่ไปแข่งกับเขานะ ไปขอเรียนต่อจากเขา ถ้าเขา บอกองค์นั้นดี วัดดูแล้ว เออ ท่านต่ำกว่า ก็ไม่ว่าอะไรท่าน ท่านก็เหมือนกับเราแหละ ต่ำกว่าคนอื่น ถ้าเขาดี กว่าต้องยกให้เป็นครู แต่ว่า บางทีไปดูแล้ว โอ้ โฮ ไม่ไหวเลย ดูข้างนอกนะพ่อเยี่ยวรดกุฏิเหม็นหมด มีหลายองค์ เยี่ยวบนพื้นนี่แหละ บางทีก็เยี่ยวใส่กระโถนพราด ๆ เราเข้าไป แหม น้ำอบไทยกลิ่นมันแจ๋วจริง ๆ ถามว่า หลวงพ่อ ทำไมทำยังงี้ล่ะ เฮอะ แกมานี่ ยังดีนะ ให้เด็กมัน ถูเสียหน่อยแล้ว ถามว่า ทำไม ตอบว่า คนมันมากวุ่นว่ะ มาขอหวยบ้างอะไรต่ออะไร สมัยโน้นหวย ก ข น่ะ ไล่เท่าไร ก็ไม่ไป เลยเยี่ยว ราดพื้น ให้มันเหม็น แต่คนมันก็ทน ทนก็เยี่ยวใส่ กระโถน ราดมันตรงหน้าเลย มันถึงได้ไป พอเราไปท่านบอกเดี๋ยวๆ ข้าไปเอาน้ำร้อนมาราดๆ เสียหน่อย มันฉุนจัด แล้วก็คุยกัน ถามเราว่า แกมาทำไม ตอบไปว่าเขาลือกันว่าหลวงพ่อดี เอ๊อ แกไปเชื่อ ไอ้คนมันบ้า ข้าดี ที่ไหน บอกท่านว่า จริง ๆ ครับ ผมมานี่ผมดูแล้วหลวงพ่อดีกว่าผม ดียังไงวะ เยี่ยวก็เหม็น ขี้ก็เหม็น เอาแล้ว ชักออกฤทธิ์ออกเดชแต่ไป ๆ มา ๆ ท่านก็ยอม ยอมเราก็ขอเรียน ท่านก็ให้เรียน ความจริงการ เรียนนี่ท่านฉลาดมาก จับจุดเฉพาะจุดที่เราพร่อง ที่ท่านจะแก้ไขได้ ท่านบอกไป ! อยู่เปลืองข้าว ข้าไม่มีอะไรจะสอนแล้ว เราก็กลับ กลับไป ก็หาใหม่อีก ใครเขาลือ กันที่ไหนนะ พอเขาลือ เราก็ใช้ เจโตปริยญาณ จับจิต มันไม่ยากหรอกพอ เขาพูดก็รู้ทันที ไอ้เวลานั้นใช้มากนะ ใช้เป็นปกติจนคล่อง เวลานี้เลิกขี้เกียจ ใครจะไปเหนือไปใต้ก็ช่างเขา นอนสบายหมดเรื่อง ถ้าเราไปยุ่งกับชาวบ้านมันจะแย่ เราควรจะยุ่งกับใจเราเองเป็นสำคัญถึงจะดี ใครจะด่า เราก็เฉย
ไอ้เรื่องด่านี่ เคยชนะยาย ยายแกขี้บ่น ของแกนี่ ใครหยิบ ไม่ได้จริงๆ นะของๆท่าน วางไว้ ใครไปยกขึ้น แล้ววางให้ตรงมุม อย่างเก่า กลับมาก็รู้ โอ้โฮ เก่งจริงๆ แต่ก็ช่างเถอะ ยายไม่อยู่เมื่อไร สตางค์หายเมื่อ นั้นแหละ สตางค์หายไม่โทษใครหรอก ไอ้เล็กเอาของกู คนอื่นไม่มีใครเอาของกูหรอก แล้วก็พึมพำๆ ไปตามเรื่อง เราไปกินก๋วยเตี๋ยวแล้ว อยากด่าก็ด่าไป เราก็นั่งหัวเราะเรื่อย อีวันหนึ่งเอามากหน่อย สมัยโน้น 10 บาท ตัดเสื้อกางเกงโก้เลย หมวกเสร็จ พอโพล่มา ไอ้เล็ก เอ็งลักสตางค์ ยายไปใช่ไม๊ ครับ เอา ไปทำไม บอกนี่ครับ เครื่องแต่งตัวนี่ แกทำไมไม่ขอฉัน ขอยายไม่ให้ครับ คราวนี้ ก็ขึ้น กัณฑ์มหาราช อีคราวนี้ ยาวหน่อย เราก็ถอดเสื้อพับ แล้วก็ กราบๆ กราบ แล้วก็นอน แล้วก็หลับ พอตื่นมา อ้าวเลิกด่าไปแล้วไอ้เล็กหิวข้าวหรือเปล่าล่ะ หิวครับ ยายทำไว้ให้แล้ว แกงเกิงไปกินเสียไป อ้าวยายไปทำเมื่อไหร่ครับ เห็นหลับข้าก็เลยไปทำ ขี้เกียจด่าแม่มัน ด่ามันก็หลับ เราเลยชนะ สู้เราไม่ได้ ทีหลังเข็ดสั่งว่าเอาสตางค์ ไปกี่บาทก็เขียนไว้นะ คราวนี้ตามสบาย ถ้าขอละก็ไม่ค่อยให้หรอก ซักนั่น ซักนี่ สอนให้เราขโมยเรื่องฉัน มันเยอะไอ้เรื่องเด็กๆ
ตอนอายุซัก 15-16 ได้ละมัง เขาไปปลูกบ้านให้หลังหนึ่ง สองชั้น สองห้อง อยู่คนเดียว ของเต็มหมด 2 ห้อง ทำอะไรเล่น น้าชายก็สนับสนุน เล่นไปเล่นมา จนขโมยไฟฟ้าเขาได้ แต่ความรู้นี่ให้ไม่ได้น่ะ ถ้าไฟฟ้าแรงสูง ห่าง 1 กิโลใช้ได้สบายเลย ไฟแสงสว่างนะ ไฟแสงสว่างนี่ ใช้เท่าไหร่ ก็ได้ แต่ใช้แรงงาน ไม่ได้นะ แต่ไม่สอนใคร พระพุทธเจ้า บอกว่า วิชาที่ตถาคตรู้ มีมากกว่านี้ แต่ไม่เป็นไป เพื่อความพ้นทุกข์ ตถาคตไม่สอน วิชานี้สอนแล้วตกนรก จะสอนทำไมล่ะ
มีหลายเรื่อง ตอนเด็กๆเรือเขาใช้ใบจักรกัน เราก็ใช้เรือยนต์ไม่ต้องใช้ใบจักร เอาเครื่องสูบน้ำเป่าให้ท่อ มันจมไปลึกๆ มันก็วิ่ง น้าก็ตามใจจริงๆ ยายก็ด่าน้า บอกไอ้นอบ ไอ้เนียบ ความจริงเขามีบรรดาศักดิ์ทั้งนั้น ไม่เรียก เรียกชื่อ บอกว่า ตามใจหลานนัก สองคุณน้าบอก คุณแม่ครับ สตางค์ส่วน คุณแม่ ผมให้แล้ว ทุกเดือนนะครับ นี่มันสตางค์ ส่วนของผมนี่ แต่พอเรา ทำสำเร็จ แกก็เอาสิทธิ ไปขาย ได้สตางค์มาทุกทีแหละ ไอ้เราก็ซน นักวิทยาศาสตร์โกงๆ แบบนี้ ไม่มีหลักสูตร เออนี่ 3 ทุ่มแล้ว สมาทานกรรมฐาน กันดี กว่านะ
. -
เณรเดินดง
เรื่องเณรเดินดงนี้ เรียกให้ดูครึ้มๆความจริงก็คือ ไปธุดงค์นั่นเอง เณรองค์นี้ เป็นเณรที่อยู่ วัดใหม่วังตะกู ที่พิจิตร เป็นศิษย์ของท่านอาจารย์สุรินทร์ จะมีความเก่งกล้าสามารถขนาดไหนไม่มีคำลือมาถึง จึงเข้าใจว่า คงเป็นประเภท นึกเลื่อมใสในการธุดงค์ ก็ออกไปลองดูสักตั้งหนึ่ง ปฏิปทาของเณรองค์นี้ ดำเนินตามสาย ของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค เณรองค์นี้ เคยมาที่วัดท่าซุง ใน พ.ศ. 2521 ปลายปี มีผู้ซักถามท่านเข้า แล้วผู้ซักถาม อัดเทปไว้ ฟังชัดบ้าง ไม่ชัดบ้าง ขาดๆ วิ่นๆ บ้าง หลวงพ่ออนุญาต ให้เอาลงในหนังสือ เรื่องจริงอิงนิทาน 3 ได้ ต่อไปนี้เป็นข้อความ คัดจากเทปที่เณรเล่าให้ผู้ซักถามฟัง (หลวงพ่อไม่เกี่ยวข้องด้วย)
"ออกจากวัดใหม่ ผ่านไปถึงวังหินแลง พอถึงวังหินแลง ก็มีควายไล่ขวิด มีควายฝูงหนึ่ง วิ่งเข้าใส่ ผมตกใจ ไม่รู้จะไปทางไหน สองฟากข้าง เป็นน้ำมีป่าข้าว มองไปใกล้ๆ มีชาวนาหลายคน กำลังเกี่ยวข้าว ควายนั้น ดิ่งเข้าใส่ ผมตกใจมาก ควายตัวหนึ่งไม่ทราบว่าตัวผู้หรือตัวเมีย วิ่งนำหน้าฝูงดิ่งเข้าใส่ ใช้เขาตักเข้าที่ขาผมแขวนกับเขาควาย ตอนนั้น ผมจำได้ว่า ผมหงายท้องลงกับพื้นถนน กลดไปทางหนึ่ง บาตรไปทางหนึ่ง ควายนั้นวิ่งเข้ามารวมตัว หมายจะซ้ำ ผมตกใจกลัวจะตาย ถ้าตายตอนนั้น คิดว่า จะไปไหน ? คิดว่า ไปสวรรค์ จึงภาวนาว่า พุทโธ พอนึกว่า พุทโธปั๊บ พระพุทธรูป ก็ปรากฏ พอภาพพระปรากฏแล้ว จึงยกรูปพระนั้น ไปประจันหน้ากับควาย ควายนั้นก็ชะงัก ก้มหัวลงถอยหน้าถอยหลังประมาณสัก 3-4 ครั้ง แล้วก็หยุดนิ่ง สงบ ชาวนาใกล้ๆ เห็นเข้า ก็ร้องโวยวาย แล้ววิ่งมาที่ๆเกิดเหตุ อีกคนหนึ่ง ใช้เคียวตีที่เขาควาย เคียวนั้นหัก แกไล่ควายนั้นออกไป ถามผมว่า เป็นอะไรหรือเปล่าครับ หลวงพ่อ ผมตอบว่า ไม่เป็นอะไรหรอกโยม ควายมันโมโห โยมโมโหควาย จึงคว้าไม้จะตีควาย ผมจึงบอก อย่าไปตีมันเลยโยม มันเป็นสัตว์พูดไม่รู้ เรื่องหรอก คนพูดกันรู้ภาษา ยังพูดไม่ค่อยรู้เรื่องเลย ผมจึงลาโยมแถวนั้นไป โยมเดินไปด้วยคุยไป พลางถามว่า หลวงพ่อจะไปถึงไหนครับ ผมตอบว่า ไม่รู้หรอกโยม ไปเรื่อย ๆ
ออกจาก วังหินแลงก็เข้า วังเดือน พอเข้าวังเดือน ก็เข้าเขตบ้านน้อย ผมก็ปักกลดที่บ้านน้อย โยมแถววังเดือนพูดว่า แถววังเดือนมีถ้ำมีของใช้หลาย ๆ อย่าง ผมอยากรู้ โยมบอกว่าในสมัยก่อนมีถ้ำ แล้วมีของใช้ โยมเคยไปขอยืมของใช้ในถ้ำนั้น แล้วมีโยมคนหนึ่งเกิดโกง ถ้ำจึงมีหินย้อยมาปิดปากถ้ำ ผมคิดว่า ถ้าไม่เหลือวิสัย ก็จะแวะดู สักหน่อยหนึ่ง คิดว่ายังงั้นนะ จึงลาโยมไปที่ถ้ำที่เขาวังเดือนนั้น พอถึงถ้ำเขาวังเดือน ก็พบว่า ปากถ้ำหันทางทิศตะวันออก หน้าถ้ำมีต้นมะตูมต้นหนึ่ง บนต้นนั้น มีผลมะตูม อากาศเย็น เริ่มหนาว ตะวันใกล้ตกดิน ผมเข้าไปในถ้ำ ใช้ไฟฉายส่องปากถ้ำพอเห็น เข้าไปในถ้ำ จึงใช้คบไฟส่องดู ก็พบว่า ในถ้ำนั้น มีของใช้หลายๆ อย่าง โต๊ะบูชาพระ พระพุทธรูปก็มี มีเงินทองเป็นก้อน ๆ กองอยู่ระเกะระกะ อย่างไม่มีค่า ผมลาออกจากถ้ำนั้นมาก็มัวตา จึงดิ่งไปที่กลด พอถึงกลดก็สวดมนต์ภาวนา
ตอนเช้า ก็ออกเดิน จากวังเดือน ถึงตลิ่งชัน จากตลิ่งชัน ขึ้นไปไม่กี่กิโลเมตรนัก เห็นเขาแม่แก่ อยู่รอบ ๆ ผมจึงอุตส่าห์บากบั่น ถึงเขาแม่แก่ ห่างเขาไม่กี่กิโล โยมบอกว่า เขาแม่แก่นี่ เคยมีพระธุดงค์ไปแล้วหายไปเลย บอกว่ามีถ้ำมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์หลาย ๆ อย่าง ผมคิดอยากจะลองจึงขึ้นไปที่เขาแม่แก่ ปักกลดอยู่บนชะโงกเขา โยมมาคุยด้วยหลายคน คุยตั้งแต่ประมาณคิดว่า ทุ่มเศษ ๆ จนถึงสี่ทุ่ม พอโยมกลับ ผมเหนื่อยจึงนอน พอล้มตัวลงนอนก็คิดได้ว่า มาทำกรรมฐานจึงลุกขึ้นนั่ง พอลุกขึ้นนั่ง ก็ปรากฏว่า ทับขอนไม้หรือแขนของคนอันแข็ง ๆ จึงเลิกผ้ายางดู ก็ไม่มีอะไร จึงฉายไฟไปรอบ ๆ ใจชักเต้นแรงขึ้นแล้ว พอนั่งลงไปอีกที ก็ปรากฏว่า เหมือนทับกลางตัวคน ใจเต้นแรงขึ้นเรื่อย ลุกขึ้นมา พยายามว่า เป็นไรเป็นกันน่ะ จึงเลิกภาวนาเลย พอนั่งอีกทีหนึ่ง ดินตรงก้นก็นูนขึ้น หัวผมทิ่มกับพื้น ตกใจกลัวสุดขีด ใจสั่นหายใจไม่ทั่วท้อง จึงตั้งใจภาวนานึกถึง บารมีพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆเจ้า ให้ท่านช่วย แล้วสวดมนต์ภาวนา เหตุการณ์ก็หายไป
ผมจึงผ่านแม่แก่ไปทางสมอทอด ย้อนจากสมอทอดไปทางเขาทราย ผ่านเขาทรายย้อนกลับมาอีกทีหนึ่ง ขึ้นมาทางเพชรบูรณ์ มาทางเขาชะโงก เขาชะโงกตีนเขามีวัดๆ หนึ่งไม่ใหญ่นัก คิดจะเข้าไป ในถ้ำแบบภาวนากรรมฐาน แต่แล้วเห็นมีวัด จึงไม่กล้าเข้าไป มองไปห่าง ๆ ก็มีชะโงกอีกลูกหนึ่งเรียกว่า ชะโงกลูกเหนือ บนชะโงกนั้น เหมือนกับลานบ้านคน เตียนหินเสมอกัน คิดว่า น่าปลูกวัดนะตรงนี้ แต่มันเล็กมาก จึงปักกลดอยู่ เย็นก็มีโยมมาคุยด้วยคนหนึ่ง ไม่ทันมืดเท่าไหร่ โยมก็ลากลับไป จึงสวดมนต์ภาวนา เพราะว่า ไม่ค่อยไว้ใจแล้วตอนนี้ เหตุการณ์ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมหลับไปตื่นหนึ่งครึ่งหลับครึ่งตื่น จะนอนก็ไม่หลับ มันร้อนไปหมดทั้งตัว เหงื่อแตกที่หน้าเม็ดโต ๆ สักพักหนึ่ง ลมก็พัดแรง กิ่งไม้หัก เสียงโครมคราม แกรกกราก เข้ามาใกล้ ๆ จนใกล้ ๆ กลดตัวชักสั่น ความกลัวจับเข้าขั้วหัวใจ หยิบไฟฉาย ฉายไป เบื้อง หน้าพบว่า งูเหลือมขนาดยักษ์ใหญ่มาก ขนาดเด็กรุ่น ๆ มีขา 4 ขาเลื้อยดิ่งเข้ามาแลบลิ้น ลิ้นงูเหลือมนั่นมี 2 แฉก ชูหัวดิ่งเข้าที่กลด ความตกใจกลัว เรียกหลวงปู่ปาน หลวงพ่อเขียน หลวงพ่อมหา ให้ท่านช่วย ทั้งหลวงพ่อพระครูสุรินทร์ ให้ช่วยด้วย ตอนนั่นไม่ทราบว่า ท่องคาถาอะไร ว่าอะไรไม่รู้ รู้แต่ว่าท่อง ท่องส่ง ๆ ไปยังงั้นเอง จนกระทั่งงูนั้น บ่ายหน้าหนีไป
จึงผ่านจาก เขาชะโงกมาทางนี้ ดงขุย จากดงขุยเข้าเขตท่าข้าม ชนแดนถึงทับคล้อ ตะพานหิน พิจิตร พอเข้าเขต พิจิตร ถึงโค้ง หนองหมู (?) บ้านกล้วย ข้างสวนแตง เป็นโค้งมรณะ มีรถคว่ำชนกันตาย หลายต่อหลายศพ โยมพูดว่า อาทิตย์ ๆ หนึ่ง ไม่ต่ำกว่า 4 ศพ จึงเดินผ่านไป โยมขอร้องให้ ช่วยเหลือ จึงคิดว่า จะช่วยโยม แต่ไม่ทราบ เหมือนกันว่า จะช่วยด้วยยังไง ปักกลดอยู่ ตรงโค้งหนองหมู โยมบอกว่า ช่วยทีเถอะ พ่อคุณเอ๋ย จะเอาอะไร ก็จะให้แล้ว กลางค่ำ กลางคืน ญาติโยม ไม่กล้าผ่านเลย ใจมันพอง เห็นเขาเรียก "พ่อคุณ" เข้าหน่อย ใจมันพองขึ้นสูง จึงดิ่งไปว่า โยมพาไปดูที่ โค้งดีกว่า จึงทำน้ำมนต์ แบบธรณีสาร ทำเสร็จสรรพแล้วก็พรม ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหตุการณ์ก็ยังเงียบเช่นเคย
ปักกลด อยู่ได้คืนหนึ่ง ตอนเช้าก็เดินจากโค้งหนองหมู ขึ้นมากำแพง พอเข้าเขตกำแพงก็เย็นมาก จะปักกลดก็หาที่ปักไม่ได้ เพราะมันเย็น เย็นจนมืด มองทางไหนก็มีแต่ใกล้บ้านคน ตามกฏธุดงค์ นั้นมีว่า ต้องห่างบ้านคนเส้นหนึ่ง หรือกิโลหนึ่ง จึงหาที่ว่างไม่เจอะเห็นมีต้นสนสูง ๆ ต้นโพธิ์ใหญ่ ๆ ที่ มันว่างมากตอน นั้นก็เหยียบเข้า สองทุ่มหรือทุ่มหนึ่งไม่ทราบ ผมจึงปักกลดแถวนั้น ปักกลดเสร็จ ก็เริ่มสวดมนต์ พอสวดมนต์ก็มีเสียง กึกกัก ๆ เหมือนคนเดิน แต่ไม่ได้ลืมตา สักพัก ภาพนั้นก็ปรากฏ ทั้งหลับตา เห็นมีญาติโยม มาฟังเทศน์กันหลายคน ทั้งหญิง ทั้งชาย แต่ละคนที่มานั้น ไม่นุ่งผ้ามาสักคนหนึ่ง จึงสวดมนต์ไปเรื่อย ๆ คิดว่า ไม่ใช่คนแน่แบบนี้ จึงสวดไปจนจบ พวกนั้น ก็ไม่มีอาการ อะไรเกิดขึ้น ผมลืมตาขึ้น ก็เสียงร้องกรี๊ด มองดู ตัวสูงลิบลิ่ว สองข้าง เป็นมือ ห้อยโยน โนงเนง ๆ ย้อยมาที่กลด ผมตกใจกลัว สุดขีด แต่ก็ไม่กระไร เพราะเคยผ่านมาบ้าง จึงตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้ แบบแผ่เมตตา เจ้าอสุรกายร้ายนั่น ก็ค่อย ๆ หย่อนลงมา ต่ำลงมาจนเป็นคนธรรมดา บอกว่า โยมจ๊ะอยากไปเกิดไหม ตอบว่า อยากไปแต่ไม่ใครมาโปรดสักที ถามว่าที่นี่ที่ไหน ตอบว่า เป็นป่าช้าวัดร้างเก่ามานาน ที่ตรงนี้มีต้นโพธิ์ ต้นสนนี่ก็เป็นเขตของวัด ไม่มีใครกล้าผ่าน เพราะเป็นวัดเก่า วัดร้าง พอผมรู้อย่างนั้นก็บอกว่า เอ้า ตั้งใจ ผีอสุรกายแถวนั้น ก็พนมมือกันขึ้นตอน นั้นไม่ทราบว่า กลิ่นธูปควันเทียนมันมาแต่ไหนทั้ง ๆ ที่มองไปก็ไม่เห็น จึงตั้งใจ ชักบังสุกุลตายถึง 3 จบร่าง กลุ่มนั้นก็หายไป
พอเช้า ก็ออกบิณฑบาต โยมก็เอาบาตรมาให้ เอาข้าวมาใส่บาตร คือว่าที่นี่มันเป็นป่าช้าวัดเก่า ไม่ค่อยมี ใครเขามาอยู่หรอก พระเคยมาอยู่แล้วก็ไป อยู่ไม่ได้หรอก วัดมันแรง จึงผ่าน จากกำแพง เข้าจังหวัดตาก ก่อนจะถึงตาก ก็เข้าจังหวัด พิษณุโลก ในเขตจังหวัดพิษณุโลก มีอำเภอพรหมพิมาร เข้าเขตบ้านผึ้ง มีป่า เขามากจึงเดินไปเรื่อย ๆ อากาศก็ชักเย็นขึ้น เพราะเข้าเขตเหนือ มันเป็นดอย เขาสูง ๆ มีป่าไผ่มากกว่า ป่าไม้ เสียงแกรกกรากข้างหน้า ไม่ทราบว่าอะไร แล้วก็เงียบเชียบไปหมด เสียงจักจั่นเรไรก็ไม่ร้องสักพัก เดินไปเรื่อย ๆ มันเหม็นสาบ อะไรก็ไม่ทราบ แล้วก็มาเจอะอย่างกะใคร เอาน้ำมาราดดินสักกระแป๋ง หรือ สักหาบสองหาบเลย แต่ก็ไม่รู้ว่าน้ำอะไร มันเหม็นสาบ ๆ เดินไปเรื่อย ๆ แล้วเสียงแว๊ดพร้อมกับกอไผ่ข้าง ๆ ราบลงมาราวกับว่า ช้างไม่ใช่น้อย ตอนนั้นไม่ได้ นับว่ากี่ตัว ความตกใจกลัวกลดที่บ่า เลื่อนลงมาอยู่ใน มือทำท่าวันทา ทำท่าพนมมือ แบบพระวันทา ที่หน้าโบสถ์ ตอนนั้น คิดถึงความตาย นึกถึงบารมีหลวงพ่อ ท่านช่วย อยู่ไม่ขาด เรียกกันอยู่ ทุกลมหายใจ ภาวนาว่า "อย่า ๆ อย่าเลย" แต่ไม่ทราบว่า อย่าทำไม ตอนนั้นหายใจ หรือเปล่าก็ไม่รู้ ปรากฏว่า ช้างนั้นเดินดิ่ง ๆ เข้ามาถึงตัว ก่อนที่จะถึงตัวมันก็ชูงวงขึ้นสูง งองวง ขึ้นงา 2 ข้างโผล่ออกมา ดิ่งเข้าใส่ คิดว่า อกเป็นเป้า ของงาช้างแน่วันนี้ ตัวสั่นจะหนีไปทางไหนก็ไปไม่ได้เหมือนถูกตรึงอยู่กับที่ ช้างนั้นมาถึงตัวแล้วก็ถอยหน้าถอยหลัง ร้องเสียงคำรามลั่น แล้วก็ก้มลงเอางวงงอขึ้นบนฟ้า แล้วค่อย ๆ ราบลงบนพื้นดิน ถึงสามหน ก็หันหลังพาโขลงกลับไป ตอนช้างกลับออกไปนี่ใจมันชื้น มันไม่ฆ่าแน่ จึงยืนนับว่า ช้างโขลงนั้นมี 17 ตัว
พอผ่านอำเภอพรหมพิรามไปก็เดินมาอีกไม่ไกลนัก เจอโยมจูงช้างมาเลี้ยง ขี่ด้วยจูงด้วย มี 4 ตัวเป็นโยม ผู้ชายวัยกลางคน อายุ 30 เศษ
เขาถามว่า หลวงพ่อ มากี่องค์ครับ ?
ตอบว่า มาองค์เดียว
มาจากวัดไหน ครับ ?
ก็บอกไปตามตรงว่ามาจากวัดใหม่ ตำบลวังตะกู
โยมบอกว่า ไม่กลัวหรือครับ มาองค์เดียว ?
ตอบว่า กลัว
กลัวแล้วมายังไงครับ ?
บอกไม่รู้เหมือนกัน
ถามว่า เป็นพระหรือเป็นเณร ?
ก็ตอบว่า เป็นเณร
เป็นเณรธุดงค์ได้รึ ?
ได้ซีโยม
โยมว่า หลวงพ่อบวชเมื่อไรครับ ?
อ๋อ ไม่มีกำหนด หรอกโยม ถ้าบวช บอกผมด้วย นะครับ ผมจะเอาช้าง ไปช่วยแห่ ช้างผมเคยแห่นาคมาหลายรายแล้ว
ผมก็ขอบอกขอบใจโยม พอสมควรแล้วลาโยมแถวนั้นไป ก็เข้าเขตตาก พอถึงตาก ก็มีโยมเอาอาหาร มาถวายตอนเช้า ผมนอนหลับตื่นสาย มีเด็กมาด้วย เด็กนั้นไม่ได้เดินมา แต่คลานมา เด็กเป็นอัมพาตขาอ่อน พูดได้ แต่ไม่ชัด ติดกึก ๆ กัก ๆ โยมเอาอาหารมาถวาย ผมกินไป ท่องอิติปิโสไปจนกระทั่งอิ่ม อิ่มแล้ว ก็เอาข้าวนั่นให้เด็กกิน เด็กนั้นก็กิน
โยมว่า หลวงพ่อ พอจะมียารักษาให้หายไหมครับ มันเป็นมาแต่กำเนิดแล้ว
เอ มันเป็นยังไงล่ะโยม
แต่ตอนนั้นความเมตตานันจับขั้วหัวใจว่า เมตตาเด็กมาก จึงหยิบก้านธูปที่จุดบูชาพระมา 2 ก้านอธิษฐานจิต หักก้านธูปแล้ว ขอให้เท่ากับนิ้วชี้เด็ก ถ้าจะหาย พอหักไปแล้ว มันก็เท่ากับนิ้ว ชี้เด็ก จึงวัดเท่ากับนิ้วชี้เด็ก แล้วก็หยิบก้านธูปออกมา อธิษฐานว่า ถ้าจะหาย ขอให้ก้านธูปนี้ ยาวกว่านิ้วแล้ว ก็ไปวัดแล้วมันก็หาย ตอนนั้น จึงตั้งใจว่า หายแน่โยม รับปากโยมแล้ว ก็ทำน้ำมนต์ให้เด็กกิน ไม่ทราบว่า บทอะไรท่องไปยังงั้นเอง รู้แต่ว่าจบ จบแล้วก็พอเด็กนั้นก็กินบ้าง ทาบ้าง สักพัก เด็กร้องไห้ เหมือนถูไฟลวก ดิ้นทุรนทุราย แกร้องไห้เป็นภาษาคนใบ้อ้อแอ้ ๆ สักพักแกก็พูดเป็นคนธรรมดาว่า ร้อนจัง ๆ สักประเดี๋ยวแกก็ดิ้นหกหัวหกหางแล้วก็เดินได้พูดได้ โยมคิดว่า ผมเป็นหมอวิเศษแน่ จึงถวายลูกแกให้เป็นลูก ผมก็ไม่เต็มใจรับแต่ว่า โยมเต็มใจถวายจึงนำเด็กนั้นไปด้วย
ผ่านจากจังหวัดตาก เข้าเขตจะเป็นเถินหรือลำพูนลำปางอะไรนี่ เพราะไม่เจอหมู่บ้านมีป่ามากป่าทึบหนา ผมอยู่บนยอดดอย มองลงไปข้างล่าง เห็นเป็นที่เตียน ๆ เป็นป่าข้าว อยู่ในเหวตื้น ๆ มองลงไปมันลึกมาก จึงพยายามลงไปยังที่เตียน ปักกลดที่ ๆ เตียนนั้นเย็น ๆ ก็ไม่เห็นใคร คิดว่า เอ พรุ่งนี้จะบิณฑบาตรบ้านใคร มันเย็นมากแล้ว จึงปักกลดภาวนาไปเรื่อย ๆ ประมาณสักเที่ยงคืนเศษ ๆ ได้ยินเสือร้องคำรามอยู่ในป่า สักพักหนึ่ง ก็เงียบหายไป แล้วก็มาร้องใกล้ ๆ ตัวอีกที ตอนนี้ใจชักไม่ค่อยดีแล้ว สักพัก เหม็นสาบเสือ ขึ้นเรื่อย ๆ ดินสะเทือน เพราะ เสือมันเดินมาเรื่อย ๆ ตอนนี้เองโยม ไม่ทราบจะทำยังไง คิดถึงแต่หลวงปู่ หลวงพ่อ หลวงพี่ทั้งหลาย กี่องค์ๆ ทั้งหมดที่นับถือมาก สวดนต์ไปเรื่อย ๆ คิดว่าหลวงปู่ปาน หลวงปู่ปานมาตอนเช้านะ หลวงปู่ปาน หลวงปู่ปานแหละ เรียกมากกว่าเขา เสือนั้นก็เข้ามาเรื่อย ๆ เหม็นสาบคลุ้ง ได้ยิน เสียงหายใจของเสือมันหายใจแรง จึงแผ่เมตตาให้เสือ เสือนั้นไม่รู้ทำยังไง เพราะไม่ได้ลืมตามองเพราะความกลัว ได้ยินเสียงเสือ หายใจแรง ๆ จึงลืมตา เสือนั้นคุกเข่าหมอบลง แล้วคลานเข้ามา ใช้เท้าแหย่มาในกลด ใจสั่นระรัว ว่า คราวนี้ มันเอาแน่ละ คราวนี้เอาแน่ เสือนั้น ทำตีนพะงาบ ๆ เห็น เล็บยาว ตีนเสือ เหมือนกับตีนลิง อุ้งตีนเสือเป็นวงกลม ๆ อย่างกะกลางใจ จึงสวดมนต์แผ่เมตตาให้สักพัก เสือก็หายไป
ตอนเช้าจึงเก็บ กลดเดินทางต่อไป แต่ก็ยังหาข้าวกินไม่ได้ จนถึงหมู่บ้าน
โยมถามว่า ท่านมาจากไหน
ตอบว่า มาจากบนยอกเขาโน้น
โยมร้องอู้ฮู แล้วเมื่อคืนอยู่ยังไงได้
ก็บอกว่า อยู่ตรงกลางแปลงนาที่เห็นตรงโน้นแหละ
โยมก็บอกว่า นิมนต์ก่อนค่ะท่าน โยมแถวนั้น เป็นลาว พูดไม่ค่อยชัด เอาข้าวเหนียวมาใส่บาตรให้ มีเนื้อเค็มชิ้นหนึ่ง ผมจึงเดินจากบ้านโยม ไปเจอห้วยน้ำไหล ห้วยนั้น ไม่กว้าง ประมาณวาเศษ มีหินก้อนโต ๆ หล่นระเกะระกะอยู่ข้าง ๆ นั่งบนหิน เอากลดพิงหิน แล้วก็ฉันข้าว ฉันข้าวเสร็จ ข้าวเหนียวเหลือ จึงปั้นเป็นก้อน จึงลองทำคาถา ที่เรียนมาบ้างที่รู้มาบ้างเมื่อก่อนธุดงค์ ว่าตอนนี้จะใช้ได้ผลไหม จึงใช้คาถา ทำแบบ นะเมตตา ทำเสร็จแล้วก็ปั้นข้าว เป่าข้าวแล้วโยนไว้ บนชะโงกหิน กาเก็บกิน 3 ตัว กินเสร็จสรรพแล้วก็บิน วนไปวนมา แต่ไม่ทราบว่า จะไปไหน กานั้นบินวนอยู่สักครู่หนึ่ง คิดว่าได้ผลแน่คาถานี้ ชี้มือว่า ไปทางโน้น ! กานั้นก็ไป
จึงลาจากห้วยนั้นเดินไป เรื่อย ๆ ยิ่งมีป่าลึกขึ้นเรื่อย ๆ นาน ๆ จะเจอะบ้านคนสักหลังหนึ่ง บ้านคนนั้นปลูก สูง สูงเทียม ๆ ยอดไม้เข้าใจว่า จะเป็นห้าง เข้าเขตไม่ทราบว่า จะเป็นเถิน ลำพูน หรืออะไรไม่รู้แน่ ก็เดิน ๆ ไปเรื่อย ๆ มีป่าลึกมาก เจอชาว บ้าน 3-4 คน แล้วมองไปไกล ๆ สักกิโล หรือ ไม่ถึงกิโล มองเห็นบ้าน คนเรียง ๆ ราย ๆ อยู่
โยมเล่าให้ฟังว่า แถวนี้แหละมันน่าดู
เอ๊ะ มันน่าดูยังไงโยม ? ก็ถามดูบ้าง
เคยมีคนอยู่ไฟ แล้วคนเฝ้าไฟก็นั่งหลับ เมียตายไม่รู้ตัว สภาพของศพนั้นถูกผ่าท้อง เครื่องในหายหมดคอเหวะ เหมือนถูกสัตว์กัด บอกว่า เอ ชักใจเต้นเสียแล้ว ตอนนี้โยม ไม่รู้จะทำยังไง ก็บอกโยมว่า ชักใจเต้น เป็นยังไง ?
โยม บอกว่าผีกองกอย ผีกองกอยรูปร่างยังไง
โยมก็บอกว่า ไม่เคยเห็น เคยเห็นแต่สัตว์หาย วัวควายหายไปเป็นตัว ๆ ไก่หายเป็นเล้า ๆ
กลัวก็กลัว แต่ปักกลด แล้วคิดว่า ถ้าไม่สู้แล้วจะหนีไปไหน จึงจำเป็นต้องอยู่ ปักกลดข้าง ๆ เขา เย็นโยมก็แห่กันมาเยอะ นิมนต์ให้อยู่ที่นี่ ช่วยสักทีเถอะน่าหลวงพ่อ ก็ไม่รู้จะ ช่วยยังไง จึงรับปากโยมไปทั้งๆ ที่ไม่รู้จะช่วยยังไง เพราะว่าจะเป็นต้องอยู่ โยมกำนันหรือผู้ใหญ่บ้านไม่ทราบแต่งตัวฐานะดี เตือนลูกบ้านหาฟืน มาสุมกันเข้า เป็นกองสูง ๆ มีต้นไม้ใหญ่ ห่างกลดประมาณ 5 วาหรือ 10 วา แสงสว่างนั้น เห็นกลดสบาย พอมืดสักพัก ก็มีเสียงนกร้อง เสียงสัตว์ในป่าร้อง เสียงอะไร ต่ออะไรทั้งหลายอย่าง อื้ออึงไปหมด หมอกก็เริ่มลงเม็ด มองไปมัวตาหมด ไม่เห็นป่า มันมืด เสียงใบไม้ซัดกันผัวะผะ ต้นไม้แต่ละต้นใหญ่ขนาด 2 คน 3 คนโอบ สักพักใหญ่ๆ ผมก็สวดมนต์ไปกระทั่งจบ แล้วก็นอนหลับ
ประมาณสักเที่ยงคืนเศษหรือสองยาม มันหนาวจัด นอนยังไงก็ไม่หลับ อากาศหนาว หนาวจนกระทั่งเหงื่อออก เหงื่อออกตามหน้าตามตา ใจก็เต้นแรง หูได้ยินเสียงกระซิบ อย่างกับใครมาปลุกให้ลุกขึ้น แต่ก็หาตัวไม่ได้ สักพักหนึ่ง ก็มีนกแสกร้องแคว๊ก ๆ อย่างตกใจอยู่ประมาณสักพักหนึ่ง ก็มีเสียงนก หล่นดังพลั่กข้าง ๆ กลด หยิบไฟฉาย ๆ ไปดู ก็เห็นเลือดแดง เห็นปีกนก เห็นหัวนก แต่ตัวนก ขานกไม่มี แล้วก็เสียง อย่างใครเอากระเบื้อง หรือจานร่อนไปในอากาศ ดังวื้ดแล้วก็ตุ้บ ตอนนั้น กองไฟยังไม่ดับ มองๆไปข้างหน้าเห็นร่างใหญ่อย่างกับคน สูงพอ ๆ กับคน มีขนดำ หน้าอย่างกะลิง เอนไปทางหลัง ขาไม่ใหญ่นักแต่มือยาวแล้ว ร่างนั้นก็ปาฏิหาริย์ โดดแว๊บขึ้นไปบนกกไม้ จะเป็นกกไม้ หรือกลางต้นไม่รู้ สักพัก ก็มีเสียงสัตว์ บนต้นไม้ ร้องหวีดหวิว อย่าเจ็บปวดตกใจ อยู่มา ครู่หนึ่งก็หล่นตุ้บลงมา ฉายไฟไปดูอีกทีหนึ่งก็เห็นเป็นบ่าง หางบ่าง ยาวเป็นพวง เหลือแต่หางกับหัว กับกระดูกสันหลัง ตัวนั้น ไม่รู้หายไปไหน คิดว่า เอ๊ะ คงบารมีหลวงปู่หลวง พ่อท่านมาช่วยแล้ว ท่านมาปลุกให้ลุก ก็เลยนั่งกรรมฐาน แต่นั่งไม่หลับตา ลืมตาดู เพราะความหวาดกลัว ต่อมาไม่ช้า ไม่นาน ร่างนั้นก็ปรากฏ ที่หน้ากลด แยกเขี้ยวออกยาว แบบมันยิ้ม ยิ้มอย่างพอใจลิ้นสีเขียว ๆ เลียปากสองข้างเดินดิ่งเข้ามา ใจเต้นว่า จะออกหนี จะหนีหรือไม่หนี ? แต่คิดว่าไม่หนี จึงหลับตา ๆ ๆ คิดว่า หลับตาภาวนาอะไรก็ไม่รู้ แต่ท่องเป็นคาถา จำได้ว่า "อิติ อิตะ" หรือ "อิตะ อิตุ" อะไรนี่ จำไม่ได้ แต่ก็ท่องไปเรื่อย ๆ สัตว์นั้นโถมเข้ามาที่กลด แล้วก็กระเด็นออกไปอย่างกับมีใครเขาผลัก โถมเข้ามาอีกทีหนึ่ง กระเด็นออกไป ตอนที่มันจะกระเด็น ก็มีเสียงร้องของสัตว์ ก่อนจะกระเด็น ก็ร้องเหมือนกับใครตีหรือตบออกไป มันก็พยายามโถม เข้ามาเรื่อย ๆ คิดว่า ไม่ดีแน่นแล้ว ขืนปล่อย ไว้ยังงี้มันเอาเข้าจนได้แน่ จึงหยิบลูกประคำ ปลดออกจากคอ บริกรรมนึกถึงเจ้าของลูกประคำ อธิษฐานว่า สาธุ ถ้าดินแดนท่าเหมือนนี้ หลวงปู่ปานก็ดี หลวงปู่เขียนก็ดี หลวงพ่อมหาก็ดี เป็นพระอริยเจ้าแล้ว โปรดมาช่วยลูกช้างด้วยเถอะ ถอดลูกประคำมาตอนนั้น ไม่ทราบว่า สวดอะไร แต่จำได้เลา ๆ ว่าเป็นบทสวดบท อกรณี ฯ สักพักหนึ่ง ก็มีแสงพุ่ง ออกจากง่ามมือ พุ่งเข้าใส่สัตว์ร้ายนั้น เป็นไฟลุกท่วมตัวสักพักหน่งก็เป็นควันขาวพุ่งออกไป
ตอนเช้าโยมมา เอาอาหารมาให้ บอกว่า หลวงพ่อ ๆ ตอนนั้นผมหลับ โยมมาถึงก็เปิดกลดออกไป คุยกับโยมเพราะแดดส่องสว่างจ้า
โยมถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่าครับ ?
บอกไม่เป็นไรหรอกโยม
ตัวพรรค์นั้นมันมาหาหลวงพ่อหรือเปล่าครับ ?
บอกไม่มีหรอกโยม ไม่รู้ว่า ตัวอะไร ผีกองกอยหรือ เปล่าก็ไม่รู้ จึ้งชี้ไปที่ซากของนกเค้าแมว กับซากบ่าง ตัวนั้น โยมเห็นบ่างกับนกเค้าแมวต่างพากันทำ ปากจู๋ตกใจ ทำตาโปน ๆ เห็นตาขาว ตาดำไม่มี กระเถิบ มาใกล้ ๆ
บอกว่า นี่แหละหลวงพ่อ แบบนี้แหละ ที่มันกินไก่กินหมูที่หมู่บ้านละ
น่ากลัวใช่กระมังโยม
ถามว่า หลวงพ่อครับมันไปทางไหน ?
ไม่รู้มันไปทางไหน หายไปเลยโยม
โยมนิมนต์ให้อยู่
บอกเขาว่า อยู่ไม่ได้หรอกโยม
ตะวันก็สาย ขึ้นเรื่อย ๆ ฉันอาหารแล้วก็ลาโยมแถวนั้นไป
เข้าเขตเถินแน่ตอนนี้ เพราะเจอป้ายว่า เถิน เขาเขียนว่า กองสงวนป่าเขตเถิน เพราะเป็นป่าใหญ่ ๆ เดิน ไป ๆ ก็เจอถ้ำ ๆ หนึ่ง ถ้ำนั้น ก็ใหญ่มาก ไม่รู้ว่าอะไรดลใจ อยากเห็น อยากรู้ในถ้ำ จึงเข้าไปในถ้ำ เข้าไป ๆ ตอนปาก ๆ ถ้ำก็มืดหรอกเข้าไปกลาง ๆ ถ้ำมีแสงสว่างแสงสว่างนั่นเกิดขึ้นมาจากบ่อน้ำ บ่อน้ำในถ้ำนั้น มีหินสามก้อน ก้อนหนึ่งสีแดงแช้ด ก้อนหนึ่งสีชมพู อีกก้อนหนึ่งสีเขียว หินแต่ละก้อน มีแสงสว่างพุ่งถึงเพดานถ้ำ พอเห็นแสงสว่างจากหินนั้น ผมก็เข้าใจว่า ไม่ใช่เพชรก็เป็นอะไร สักอย่างหนึ่ง แล้วยังเห็นมีบาตรใบหนึ่งเป็นบาตรแบบธุดงค์ ใหญ่มากข้าง ๆ นั้นก็เป็นแบบเงิน ทองเพชรนิลจินดา เพชรนั้นเป็นสีเขียว ๆ สีแดงก็มี แต่พลอยนั้นเป็นพลอยสีเขียวแต่สีมัวๆ วาง ไว้อย่างกับก้อนดิน หรือก้อนกรวดก้อนทรายไม่มีค่า พอเห็นว่า เป็นเพชรเป็นทองใจมันพองรวยแน่ แล้ว รวยแน่ แต่ก็ไม่อยากได้ อธิษฐาน เอ ไอ้บาตรใบนี้มัน น่าใช้หนอ คิดว่างั้น จึงเอามือไปลูบ ๆ คลำ ๆ เปิดดู มันก็สวยดี สลกบาตรนั้น เป็นแบบไหม แต่คาดทอง ลายทองระยิบระยับ สายบาตรก็สวย คิดว่าใช่แน่แล้ว สวยแน่ จิตมันตอบตัวเองว่า ของเรามัง ? จึงคว้าเอาออกมา เดินผ่านปากถ้ำออกมา
พอพ้นปากถ้ำ ก็มีลมฝน กระหน่ำ มาอย่างใหญ่ ต้นไม้ใหญ่ หักโค่นลงมา ฟ้าร้องครืนคราน ฝนเริ่มลงเม็ด ตก มองหากลดก็ไม่เห็น ตอนนี้เองใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้ออยู่ตัว แล้วคิดว่า หาประโยชน์จากถ้ำดีกว่า หันเข้าหาถ้ำ ถ้ำนั้นก็หาไม่เจอ หาภูเขาก็ไม่รู้ว่า เขาหายไปทางไหน เป็นทางมืดไปหมด หาร่มไม้ใหญ่ บังฝน ก็ไม่เจอ เหลือองค์เดียว อยู่กลางแม่น้ำ น้ำไหล มาจากบนยอดเขา ท่วมตาตุ่ม ท่วมเข่า ท่วมหน้าแข้ง ท่วมตะโพกท่วมเอว ท่วมพุง ท่วมอก จนกระทั่งท่วมคอ ตอนนี้เองใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว คิดว่า จะไปทางไหนตายแน่ ๆ คิดแต่ว่า ตายแน่ จนกระทั่งน้ำนั้นท่วมหัว ผมต้องว่ายน้ำ ว่ายจนเหนื่อย แต่ก็ไม่มีกำลัง จะต้านทานน้ำได้ เพราะน้ำมันไหลแรง ต้นไม้ใหญ่ ๆ ถอนรากถอนโคนไหลตามน้ำมา กิ่งก้านกวาดเข้าที่ผม จมน้ำลงไป โผล่ขึ้นมาก็สำลักน้ำ ตอนจม น้ำลงไปนั่นแหละ คิดว่าตายแน่ แต่ก็ไม่ตาย โผล่ขึ้นมาอีก จมลงไป อีกทีหนึ่ง ก็หมดกำลัง เพราะน้ำในบาตรมันเต็ม บาตรมันใหญ่ จึงปลดบาตรทิ้ง พอปลดบาตรทิ้ง ก็คิดว่า ตายแน่แล้ว จะภาวนาว่าอะไร ตายต้องไปเกิดในสวรรค์นะ นึกในใจ ภาวนาพุทโธ พอพุทโธปั๊บ ภาพพระก็ปรากฏ ภาพพระปรากฏ จึงภาวนาใหญ่ ผมหายสำลักน้ำมาอีกทีก็ลืมตา มองไปเห็นกลดอยู่ไกล ๆ มองไป เห็นเขาเห็นปากถ้ำ ก็มองมาที่ตัว ปากน่ะมีแต่ต้นหญ้า ขี้ฝุ่นเต็มตัว มือขาถลอกหมดเพราะว่ายดิน ตกใจกลัวรีบไปที่กลด ถอนกลดไปจากที่นันเลย อากาศก็เย็น เพราะมืดแล้ว มองไปข้างหน้ามีกองไฟ แวม ๆอยู่ คิดว่า ต้องเป็นพวกลักลอบตัดไม้มานอนแรมอยู่ในป่า จึงตั้งใจจะไปปักกลดข้าง ๆ เพราะความกลัวมันจับขั้วหัวใจแล้ว ตอนนี้ ตั้งหน้า ตั้งตา เดินเข้าไปๆ ยิ่งจ้ำยิ่งไกล ยิ่งจ้ำยิ่งไกล ไม่ถึงสักที คิดอยู่ในใจว่า มันทำไมจึงไม่ถึง แต่ก็ไม่ทราบว่า เหตุการณ์ อะไรเกิดขึ้น มองไปที่กองไฟ เห็นไฟลุกสว่างอยู่ มองไป ก็ไม่ไกล เสียงคนคุยเฮาฮา ๆ อย่าง ชอบอก ชอบใจ เดินเข้าไป ก็ไม่ถึง คิดว่า โป่งป่าหรือผีป่าเล่นงานแน่ จึงไม่ไปแล้ว ปักกลดในควนแล้ว ตายเป็นตายเถอะ มาองค์เดียว จะขอความช่วยเหลือจากใครก็ไม่ได้ จึงปักกลด รีบกางกลด ผ้ายางก็ไม่คลุม ปูก็ไม่ปู นังบน ก้อนหินก้อนกรวด รีบสวดมนต์ ภาวนาใหญ่ สักพักไฟนั้นก็ดับ พอไฟดับป่าก็มืดตื้อ
ประมาณ สักพักใหญ่ ๆ ก็มีหญิงสาวสวย เดินมาหา แกว่า หลวงพี่คะหลวงพี่ โยมแม่หลวงพี่ไม่ค่อยสบาย พอพูดจบคำ เห็นร่างโยมแม่ เดินโซซัดโซเซมาหา ร้องห่ม ร้องไห้ว่า มาก็ไม่ร่ำไม่ลา ใจอยากจะออกไป ประคองแม่แต่ก็ไม่กล้า เพราะความกลัว กลัวแสงไฟแลบ กลัวที่ว่ายน้ำ จึงคิดว่า ไม่ใช่โยมแม่แน่ อีกอย่าง หนึ่งการแต่งกายของโยมแม่แน่ อีกอย่างหนึ่งการแต่งกายของโยมแม่และผู้หญิง คนนั้นมันไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนกับ มนุษย์ธรรมดาสมัยนี้ นุ่งผ้าจีบทับตรงสะเอว เสื้อก็ไม่ใส่ ใช้ผ้าห่อนมทั้งสองข้าง มีผ้าเคียนหัว อยู่ในชุดสีเขียวแบบใบไม้ แต่กายนั้นสวยมาก คิดไปคิดมา เอ เป็นยังไง บอกว่า โยมจ๊ะ ออกไปไม่ได้หรอก หลวงพ่อว่า ไม่ให้ออก มืดแล้วออกไปไหนไม่ได้ ให้อยู่แต่ในกลด บอกว่า พาโยมแม่ไปบ้านคุณโยม ก่อนเถอะ พรุ่งนี้เช้าผมจะไปหา คิดว่ายังงั้น หญิงสาวคนนั้นก็หายไป พร้อมด้วยร่างของโยมแม่ สักพักหนึ่ง แกก็มาอีกที ตอนนี้แหละ โยมเอ๋ย ใจชักไม่ค่อยดีแล้ว แกมาหา แกทำท่าเหมือนไม่ใช่คน ทำท่าเหมือนคนอดโซกิเลสนาน ๆ แกพูดว่า แกรัก แกอยากมีผัว เปิดผ้าที่โพกหัวออก เห็นหน้าขาวนวล ใจเต้นแรงพอ เอาผ้าโพกนมออก ใจเต้นแรง ตัวลอย หลังร้อน ใจหวิว คิดว่า สึกหรือไม่สึก
อีตอนนี้ ถามว่าสึกไหม ?
ตอบว่า ไม่สึกหรอกโยม
ไม่สึก ลองดูนี่อีกทีซี พอแหงะออกไปเงยหน้าขึ้นดู แกก็โป๊หมดทั้งตัว ใจเต้นสั่นระรั่ว กิเลสจับขัวหัวใจ แต่ไม่รู้ว่า อะไรดลใจ คล้าย ๆ ว่า มากระซิบที่หูว่า เขาลองเราอย่าไปเชื่อเขานะ มันลองเรา พอคิดอย่างนั้น จึงไม่ออก ไล่ให้กลับไป พออ้าปากไล่ ร่างนั้นก็ตกใจ ตกใจเหมือนถูกอะไรถีบหรือผลัก ร้องกรี๊ด แล้วโดดหาย ไปในกอไม้ข้างๆ เป็นไม้ป่าสูงเพียงเข่า ร่างนั้นโดดลงไปแล้วก็หาย โดดออกไปห่าง แต่แปลกใจว่า ผู้หญิงทำไม ถึงได้โดดได้ตั้ง 5 วา โดดทีเดียว ร่วม 5 วา พอลืมตาฉายไฟไป ก็เห็นเสือขนาดใหญ่ เป็นเสือลายพาดกลอน หางยาวห้อยแกว่งส่ายไปมา ตาเหลือกไปมา ตาเสือเขียว หนวดกาง หน้าต่ำลงร้องโฮกใจสั่นระรัว ตอนนี้ กิเลสไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน ความกลัวจับขั้วหัวใจเข้ามาแทน จึงตั้งหน้าตั้งตา เรียกบารมีหลวงปู่ปาน หลวงพ่อมหา ไม่ทราบว่า จะยึดใคร นึกถึงหลวงพ่อพระครูสุรินทร์ด้วย ตอนนั้น จึงตั้งใจสวด สวดจนกระทั่ง ปากสั่นมือสั่น ไม่รู้ว่าสวดอะไร แต่จำได้ว่า สวดตอนนั้น อกรณีบทหนึ่ง ยันทุนนิมิตตัง อเสวนา สวดหัว สวดท้าย กลางไม่รู้ไปทิ้ง ตรงไหน ได้หัวได้ท้ายแล้วจมหัวท้าย ๆ จม เสือนั้นโจนโฮกเข้ามาอีกทีหนึ่ง โจนโฮก เข้ามาแล้วก็กระเด็นออกไป จึงว่า เออ หลวงปู่หลวงพ่อท่านช่วยแน่ละตอนนี้ เพราะเห็นเหมือนกับไอ้สัตว์ ตัวลิงตัวนั้น เขาเรียกอาการ ของเสือโดดเข้ามาแล้ว เหมือนถูกใครถีบ หรือผลักออกไป เหมือนกับผีกองกอย ตอนนั้น ใจเริ่มชื้น ขึ้นมาว่า ไม่ตายแล้ว หลวงปู่ หลวงพ่อ ท่านช่วยแน่ เสือโดดเข้ามา แล้วก็หายไป โดดเข้ามาแล้วก็หายไป ไม่ใช่หายออกไปเลย กระเด็นออกไปอยู่ห่าง ๆ พยายามอยู่ยังงั้นแหละ นึกว่า เอ จะทำยังไงดีหนอ จึงแผ่เมตตาให้เสือ ๆ นั้น ยืนสงบนิ่ง ถอยหน้า ถอยหลังแล้ว ยืนสงบนิ่งค่อย ๆ ก้มหัวลง แล้วก็เงยหน้าขึ้น ก้มลงแล้ว ก็เงยหน้าขึ้น ประมาณ 4-5 หน แล้วก็เดินจากไป อย่างไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ผมตกใจแต่ก็ใจชื้น เพราะเสือไม่ทำอันตราย จนกระทั่งแสงสว่างเริ่มขึ้นมา
ตอนกลางวันก็เดินไปเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่อาหารสักเม็ดหนึ่งก็ไม่ได้เข้าปาก ความหิวโหย ทั้งหิวน้ำ น้ำก็หาไม่ได้ เดินไปเรื่อย ๆ พบต้นกล้วยป่า ก็ฉีกกาบกล้วยขึ้นมา แล้วก็กินน้ำกล้วย น้ำมันก็ฝาด เดินไปเจอสำเลียงป่า ก็รูดในสำเลียงขึ้นมาเคี้ยว ๆ ดูดน้ำแล้วก็พ่นใบทิ้ง ทำอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งอิ่ม แล้วก็เดินไปเรื่อยๆ จน กระทั่งถึงแม่น้ำหนึ่ง แม่น้ำนั้นกว้างมาก จึงดีใจ อยากจะอาบแต่ก็ไม่ทราบว่า มีอะไรดลใจไม่ให้กล้าลงไป มองไปเห็นคนขุดเรือกัน โป๊กเป๊กๆ ประเดี๋ยวเดียวก็เสร็จ ขุดเป็นเรือลำเล็กๆ ประมาณ 2 คน หรือ 3 คน ไปได้ โยมขุดเสร็จแล้ว ก็หันมามองหน้า บอกผมถวาย หลวงพ่อ บอก เออ ดีโยม ๆ อายุ วรรณัง สุขัง พลัง ก็ว่ายังงี้ แต่ก็ไม่ได้ให้พรอะไร แต่สายตา ของโยมทุกคน เหมือนมีอะไร แฝงอยู่ในดวงตา ผมก็ลงเรือ เรือนั้นก็ไสลงน้ำ มือหนึ่งถือกลดอีกมือหนึ่งก็พลุ้ยเรือไป มองเห็นตลิ่งอยู่ใกล้ ๆ พุ้ยไม่กี่ที พยายามพุ้ยยังไง ๆ ยิ่งไม่ถึง ยิ่งพุ้ยเรือมันยิ่งถอยหลัง เอ มันยังไงหนอ คิดว่าอีกแล้ว เจออีกแล้ว จึงภาวนาถึงพุทโธ พอนึกถึงพุทโธ ภาพพระก็ปรากฏ จับภาพพระนั้น ยกขึ้นเทินบ่าเทินไหล่ เทินหัว ตอนยกภาพพระไว้เบื้องหน้า ก็พบว่าตัวเอง นั่งอยู่บนก้อนหิน สองมือพุ้ยน้ำเล่นอยู่งั้นแหละ ขาอยู่บนหิน หินสองข้าง ก็ไม่รู้ประกบขาไว้ ยังไง พยายามเอาออก ก็ไม่ออก เอ มันยังไง คิดยังไงก็ไม่ออก แต่บอกเสียก่อนว่า ดินติดหลัก กลดน่ะศักดิ์สิทธิ์ หลวงปู่หลวงพ่อธุดงค์มาละก็ ขอดินหลักกลดไว้ให้ได้ ไม่รู้ว่าอะไรมาดลใจจึง แคะดินที่ติดหลักกลดเล็ก ๆ น้อย ๆ ปั้นเป็นก้อนแล้วค่อย ๆ หย่อนลงไปในน้ำหินนั้นก็ละลายออกเป็นน้ำ ตอนนั้นจำได้ว่า น้ำน่ะเป็นแอ่ง เล็ก ๆ ไม่ใช่แอ่งใหญ่ ผมอยู่ในแอ่ง ได้ยังไงก็ไม่รู้ ทีรู้ทีแรกนะ มันเป็นแม่น้ำใหญ่ จึงรีบเดินไปจากที่นั่น ความกลัวก็เริ่มขึ้นแล้วว่า ป่าที่นั่นมันเฮี้ยน แล้วก็มันดุ โป่งป่าคงแรงแน่
พอเดินไป ๆ ก็เสียงดังแหว๊ก ! ชักตกใจอีกแล้ว ตอนนี้ไม่รู้ว่าอะไร เสียงแก็กอีกแล้วก็นึก เอ๊ จั๊กจั่นเรไร ก็ไม่ร้อง เงียบทั้งป่าเลย เสียงอะไรก็ไม่มี ยืนหันหน้า หันหลัง จะไปก็กลัวเจอแม่น้ำอีก จะไปข้างหน้าก็ยังกลัว แล้วนึกว่า จะตายก็ให้ตาย นึกถึงหลวงปู่ หลวงพ่อท่านเรื่อย เสียงก็ยังเงียบ เดินไปเรื่อยๆ สักพักหนึ่ง ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เดินไปอีก ก็ไม่มีอะไร เอ มันหายไปยังไงหนอ เดินไป เสียงโครมคราม ต้นไม้ใหญ่ ๆ หักกลางต้นอย่างกับคนเลื่อย ทำอยู่ยังงั้นแหละหลายๆ หน ใจขวัญหนีดีฝ่อ แต่มั่นใจว่า ไม่ตายแล้ว เจอมามากกว่านี่ ยังไม่ตาย แค่นี้ไม่กลัวมึงหรอก มันก็หัก อยู่ยังงั้นแหละ สักพักหนึ่งก็หาย
เดินมาจนกระทั่งเย็น อากาศเย็น เพราะทางเหนือนี่ หมอกมาก เพียง 6 โมงเศษ ๆ เท่านั้นเองหมอกขาว มองไม่เห็นต้นไม้ ได้ยินแต่เสียงใบไม้ใหญ่ ๆ ฟาดกันเสียงดังผัวะผะ มองไปเหมือนทะเล มันขาวไปหมด มีร่างดำตะคุ่ม ๆ อยู่ข้างหน้าจึงว่า โยมจ๊ะ รออาตมาด้วยซี จะอาศัยทางไปด้วยมันมืดแล้ว โยมก็เดินเรื่อย มองเห็น ใบบัวขาว ๆ คลุมหัวอยู่ เอ โยมก็ไม่รอ เดินไปใกล้ ๆ มองดูเห็นใบบัวคลุมหน้า เจาะเป็นลูกตา 2 รู เรียกก็ไม่พูด เดินจนกระทั่งทัน บอกว่า โยมจ๊ะ ทำไมไม่รอ อาตมา โยมร้องครอก ตกใจ ใช้มืดปัดใบบัว ใบบัวหล่นจากหัว เห็นว่า ไม่ใช่คน เป็นหมี แต่เป็นหมีคนขนาดใหญ่ หมีนั้น ตกใจวิ่งไปข้างหน้า ผมก็หันหลัง ทำท่าจะวิ่ง แต่ก็ไม่กล้าวิ่ง ใจชื้นที่เสียง มันตุ้บ ๆ ออกไป ไกลแล้ว จึงเดินเรื่อย ๆ เดินมา จนกระทั่งถึงหมู่บ้าน ห่างหมู่บ้านนั้น มีถนนลาดยางมะตอย
โยมบอก หลวงพ่อมาก็ดีแล้ว พวกเรารอความช่วย เหลือมานาน อะไรล่ะโยมใครเป็นอะไร โยมบางคนก็ พาลูกพาหลาน ที่ไม่ค่อยสบาย เอามาให้รักษา มีหยูกมียาติดไปก็ให้กิน โยมนิมนต์ให้อยู่ ถึงไม่นิมนต์ก็จำเป็นต้องอยู่ โยมมาคุยด้วยหลายคน โยมเล่าเหตุการณ์ ให้ฟังว่า โค้งตรงนี้น่ะเคยมีคนตาย นับตั้งแต่เป็นถนนดิน จนกระทั่งเป็นถนนลาดยางมะตอย นี่ 100 ศพ หรือ 30 ศพนี่นับไม่ได้ แต่โยมรู้ว่า ตายแน่ ตายมากด้วย จึงไม่ค่อยเชื่อโยม คิดว่า คงจะหรอกให้กลัว จะดูว่าเราเป็น พระธุดงค์มาจริงไหม หรือปลอมมา เพราะเขตนั้น มีพวกคอมมิวนิสต์ปลอมแปลงมา พวกที่คิดก่อการร้าย บอกว่า โยมพาไปดูดีกว่าโยม กลดก็ไม่ได้ปักแต่วางพิง ไม่ทราบว่า พิงก้อนหินหรือพิงอะไรไว้ โยมพาไปใช้ไฟฉายฉายอยู่กับพื้นดินเห็นเลือด หยดเป็นกอง ๆ เลือดดำ เหมือนน้ำมันเครื่องราดถนนเป็นกลุ่ม ๆ กลุ่มละ 5 ที่ 3 ที่ 2 ข้าง ๆ นั้นมีลูกกรง เหล็ก เป็นเสาปูนล้อมเอาไว้ มีทาสีดำสีขาวพาดไว้เหล็กนั้นบุบ ๆ พัง ๆ บางครั้งก็หัก บางเสาก็บิ่น เพราะรถมันชน โยมเล่าให้ฟังว่ามีรถมอเตอร์ไซค์นั่งมา 2 คน เตรียมเงินมาหลายหมื่น จะไปซื้อมอเตอร์ไซค์ รถเครื่องชนกระเด็นไปตายบนแง่หินโน้น
ตอนนั้น อากาศชักเย็นขึ้น ๆ เพราะมันมืดแล้ว หมอกเริ่มขาว แต่ยังมีแสงสว่าง ญาติโยม แห่กันมาเยอะ ถามว่า โยมใครจะไปตลาดได้ล่ะ ไม่ทราบว่า อะไรมันดลใจให้พูดไปยังงั้น
จะไปทำไม ? ไปซื้อ ตะปู
จะเอามาทำไมล่ะหลวงพ่อ ?
พูดไปว่า จะเอามาสะกด เผลอปากพูดออกไป
นึกว่า เอ เราจะ เอาบทไหนสะกดหนอ นึกไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งโยมมา
โยมมา ก็ให้เอาน้ำมัน เอาขันมา เอาเทียน จุดเข้าทำน้ำมนต์ ไม่รู้ตัวว่า สวดอะไร ประมาณสักพักหนึ่ง ก็เอาตะปูใส่ขันลงไป ตะปูดังแก๊ก กระโดดออกมาเก๊งอยู่กับถนน ทำอยู่งั้นตั้งหลายต่อหลายหน ตะปูไม่ยอม อยู่ในขันธ์สักที เอ มัน ยังไงหนอ จึงอาราธนาบารมีหลวงปู่ปาน บารมีหลวงพ่อเขียน บารมีหลวงพ่อพระมหาวีระ แถมท้าย ยังนึกถึงหลวงพ่อพระครูสุรินทร์ด้วย แล้วปลดลูกประคำที่ติดตัวไป พระเครื่องเป็นพระเหรียญ เหรียญหลวงปู่ปาน เหรียญหลวงพ่อมหา เหรียญหลวงปู่แหวน ใส่ลงไป ในขันน้ำมนต์ ตะปูนั้นก็อยู่เฉย น้ำก็เกิดปาฏิหาริย์ คือ เดือดขึ้นมา อย่างกับตั้งน้ำร้อน โยมแห่กันเข้ามาดู เหม็นกลิ่นปาก เหม็นกลิ่นลมหายใจจากญาติโยม สักพักหนึ่ง ตั้งจิตเป็นสมาธิ เกิดสมาธิแล้ว ก็เป่าลงไปในขัน น้ำนั้นก็เบาแล้วก็หาย(เดือด) จึงมั่นใจว่า ช่วยได้แน่ จึงเดินไปอีก โยมก็เดินตามไป ตอนนี้โยมไม่รู้มาจากไหน มากันมากเกือบ ๆ ร้อย คนไฟฉายจากญาติโยม ส่องกันให้เกลื่อนกลาดไปหมด เจอที่กลุ่ม หนึ่งมี 5 ที่ จึงเอาตะปู ตอกกับพื้นยาง มะตอยกลางถนน เอาขวานตอก ก่อนจะตอก เขียนตัวขอม กับตะปูว่า นะ มะ พะ ทะ จะ พะ กะ สะ งอ ออ กอ อะ นะ อะ กะ อัง เขียนต่อไป จนกระทั่ง รอบตัวหมดทั้ง 9 ตัว เขียนเยอะหลายที่ แต่ไม่ทราบว่า เขียนไป ยังไง เขียนหรือเปล่า หรือไม่เขียน แต่รู้ว่า มีตัวขอมติด แล้วก็ตอกลงไป เข้าใจว่า คงเป็นเทพเจ้า หรือบารมีหลวงปู่ หลวงพ่อท่าน เมตตา ท่านรักหน้า ไม่อยากฉีกหน้าว่างั้น พอตอกตะปู จิ่มลงไปหน่อยหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงคนร้อง หวีดหวิว แบบโอดครวญเจ็บปวด ทั้งมีเสียงคำราม ร้องไห้หวีดหวิว ดังเย็นยะเยือก ความกลัวจับขั้วหัวใจ ญาติโยมทั้งหลาย พากันมายืนอยู่ข้างหลังผม ที่อยู่หน้าก็พากันถอยมา เลือดทะลักออกมา เลือดแดงฉานเหม็นคาวคลุ้ง ยืนสงบนิ่งสักพัก เลือดนั้นก็ค่อยเดือดปุด ๆ ขึ้นมาตามรูตะปู จึงแข็งใจ ตอกลงไปไม่สงสาร ทีแรกก็สงสาร เพราะมีเสียงร้องออกมา ตอกลงไป ๆ จนมิด ทุกที่ ๆ ตอกลงไป จะมีเสียงร้องแบบโอดครวญ แล้วมีเลือดทะลักออกมาหมดทั้ง 9 ที่ จึงกลับไปที่กลด ปักกลดแล้วตอนนี้
พอปักกลด คืนนั้นหลายหลายมาก ญาติโยมไม่รู้ มาจากไหน คุยกันประมาณเที่ยงคืน โยมก็ลากลับไป ตอนนั้นความกลัวไม่กล้าประมาท สวดมนต์ไปสวดได้ ก็ไม่ต้องกาง แบบสวดไม่ได้กางหนังสือ เป็นพิธีสวดกันถึงครึ่งเล่มทั้ง ๆ ที่อ่านไม่ค่อยออก แต่ก็พยายามสวด เพราะความกลัว สักพักหนึ่ง ก็มีโยมมาคุยด้วยประมาณสัก 20 คนได้ แต่ก็สงสัยเหมือนกัน ได้ยินเสียงโยมพูดมันสั่นเครือ บอกว่า เดี๋ยวก่อนนะโยม กิจยังไม่สำเร็จ จึงสวดมนต์ไปเรื่อย ๆ จิตมัน ตอบว่า ไม่ใช่คนแน่ จึงถามดัก ๆ ว่าโยมนี่ ต้องการอะไรล่ะ มาต้องการส่วนบุญส่วนกุล ทีนี้ความเย็นเยือกเข้าจับขั้วหัวใจเลยว่า ใช่แน่แล้ว ใช่แน่ พออย่างนั้นเอง ภาพปรากฏตรงหน้าก็ลืมตา เห็นมีเป็นภาพซากศพของ คนแบบตายใหม่ ๆ เลือดเกรอะกรัง แขนขาด ขาขาด หัวขาด พุงทะลัก เก็บมากอง ๆ กันไว้ อย่างกับกองดุ้นฟืน มองเห็นศพเกลื่อนกลาดระเกะระกะ จึง เอ๊ะยัง ไม่ยอมอีกกระมังหว่า นึกในใจ จึงตั้งใจสวดแบบอกุสลา สวดจนจบแต่ก็ไม่ทราบว่า ท่องผิดหรือถูกแต่รู้ว่า จบ แกก็ยังไม่ยอมหาย จึงว่า เอ มันยังไงหนอ จึงสวดแบบ อุตติ อุตตะ มหาอุปัต มหาอุปัต กัตตามิติ อันนี้ ก็ไม่รู้คิดมายังไง พอสวดจบ ร่างนั้ก็กลายเป็นมนุษย์ธรรมดา พนมมือกันแต้ กลิ่นธูปควันเทียนหอมให้คลุ้ง ไปหมด
ก็ถามโยมอีกทีว่า โยมจ๊ะอยากไปเกิดกันไหมตอนนี้
โยมอีกคนหนึ่งเป็นชายนั่งออกหน้าเขาหมด บอกว่า อยากไปซี อยากไป
อยากไปก็ให้ตั้งใจ ก่อนที่จะถามว่า อยากไปเกิดไหมน่ะ ถามว่า โยมมาอยู่ที่นี่น่ะกินอะไรจ๊ะโยม โยมไม่มีกินหรอก
อยู่ทำไมล่ะ ?
อยู่ไปยังงั้นเองแหละ เคืองมัน มันปล่อยให้ตาย
แล้วโยมทำเขาได้อะไรล่ะ ?
บอกได้ซี ได้ความแค้นยังไงล่ะ เคืองเขาว่า ปล่อยให้ตายจึงคิดว่า เอามันมั่ง ปรากฏว่า ตายหลายต่อหลายศพ
จึงตั้งใจบอกว่า โยม ถ้าอยากไป เกิดจริง ๆ ละจงตั้งใจนะ ร่างปีศาจเหล่านั้นก็พนมมือกัน ตอนนั้นจำว่า มันมีกลิ่นเหม็น เหม็น มากจนแทบหายใจไม่ออก แต่ก็ตั้งใจ ชักบังสุกุลตาย 3 หน ร่างนั้นก็หายไปหมด
เช้าตื่นขึ้นมาสาย เพราะมันนอนหลับดึก โยมเอาสำรับมา จำไม่ได้ว่ากี่สำรับ แต่ตั้งใจว่า สำรับ ตั้งแต่หน้าข้าพเจ้า ประเคนติด ๆ กัน ยาวประมาณ 5 วา แต่กว้างเท่าไหร่ไม่รู้ คิดว่าต้อง 5 วาแน่ สำรับนั้นมาก จึงยกบาตรไปตั้ง บอกว่า โยมมานี่ก็ดีแล้ว เอาข้าวนี่ใสบาตรโยมเอาอาหารใส่บาตรจึงถามว่า หลวงพ่อ แล้วแกงกับขนมนี่จะทำยังไงล่ะ ใส่ไปปนกันแหละโยม โยมทำปากจู๋ ทำท่าแบบกินไม่ได้ จึงบอกว่าใส่ไปเถอะ โยมทำตาเหลือก ๆ จะกลัวหรือเกรงใจไม่ทราบ โยมจึงนั่งกินข้าว กินไปด้วยโยมก็เล่าให้ฟังว่า โค้งตรงนี้ ศักดิ์สิทธิ์ มีคนตายมาหลาย ๆ คน มีรถปิคอัพ มาคันหนึ่ง 5 คน ครอบครัวหนึ่ง ชนกับกำแพงตายหมด รถมอเตอร์ไซค์มาก็ตาย รถเก๋งมาเป็น ครอบครัว ของปลัดอำเภอพร้าว ย้ายกลับสู่กรุงเทพก็มาตาย รถ10 ล้อ ขับเลยไปลงเขาไปเลย ก็ตายหมด โยมเล่าว่า รถ 10 ล้อ ชนคนขับรถมอเตอร์ไซค์กระเด็นไปตายบนม่อน กลางคำากลางคืน คนจะไม่กล้าผ่านเลย คนต่างถิ่นขับรถผ่านมา รถนั้นก็จะถูกทำจนกระทั่งเครื่องดับบาง ทีก็มาเสียตรงนั้น หรือน้ำมันหมด แล้วจะมีเหตุการณ์ให้เห็นแบบนี้ ญาติโยมที่ผ่านมา บางคนก็จับไข้ ถึงขนาดหัวโกร๋น บางคนที่เห็นเหตุการณ์ เมื่อวานนี้ ก็กลัวจะไม่สบาย ก็ทำน้ำมนต์รดโยมตรงนั้นเอง จำได้ว่าท่องนะโม 8 บท ท่องเสร็จแล้วก็รด รดเสร็จโยมก็นิมนต์ให้อยู่ที่นั่น ว่าจะสร้างเป็นห้องให้อยู่ ตอบว่า อยู่ไม่ได้หรอกโยม ยังไม่ถึงที่อยู่ จึงลาโยมแถวนั้นไป โยมนั้นพากันเดินไปด้วย บางคนก็ขับรถไปด้วยแล้วคุยไปนิมนต์ขึ้นรถ ใจอยากจะขึ้นเหมือนกันแต่ว่า ขึ้นไม่ได้ตอนนี้ ไม่ทราบว่าอะไรมัน สะกิดใจจึงไม่ขึ้น โยมนั้นไปกันหลายคน ไปส่งผมไกลมาก ไกลพอดู โยมจึงลากันกลับ แล้วบอกว่า โชคดีนะหลวงพ่อ ไปดีมาดี ขากลับละ แวะโปรดพวกผมอีก คิดไว้ว่า ขากลับจะมาแวะ แล้วก็เดินไป อีกเลยตอนนี้ ไม่ทราบว่าเข้าเขต อะไร คิดว่าคงเป็นเมืองเชียงใหม่ มีเขามาก เขามากมายพอดู
คิดเอาเองว่า เอ แถวนี้จะมีวัดไหมหนอ มองหาวัดก็ไม่เจอ มีแต่ทิวเขาขุนเขามากมาย น้อยใหญ่ ระเกะระกะ เดินไปบนเขา ขึ้นไปสูง ข้างล่างเป็นป่า ป่าเล็ก ๆ แล้ว ก็ล้มป่าแบบจะปลูกป่าสัก ขึ้นไปแล้วก้าวพลาด กลิ้งลงมาจากยอดเขาถึงกกเลย ก่อนจะกลิ้งลงมานั้น กลดกลิ้งออกหน้ามาอีก ทางหนึ่ง ไม่ทราบว่า บาตรที่สะพานอยู่ หลุดออกมายังไง กลดนั้นไปพิงกับไม้ ที่เขาบาก เป็นปากฉลามเข้าไว้ แล้วบาตรก็พิงอยู่ ผมกลิ้งลงไปจึงไปปะทะที่กลดและบาตร พอรู้สึกตัวก็แหงะดูข้าง ๆ คิดว่า เออ ถ้ากลดไม่ช่วยตายแน่ ไม้ปากฉลามนี่มันคงเสียบทะลุแน่ จึงค่อย ๆ ไต่ลงมา ไม่ให้ขึ้นไปก็ดีแล้ว จึงเดินไปข้างล่าง เดินไปเรื่อย ๆ เสียงนกหวีดเป่าปรี๊ดขึ้น เอ เสียงอะไร เสียงนกหวีด มองไปบนยอดไม้สุด เห็นยอดไม้กิ่งไม้หวั่นๆ สักประเดี๋ยว ก็มีพวกแม้วมากลุ่มหนึ่ง แต่งตัวแบบนุ่งกางเกงจีน มีอาวุธครบมือ อาวุธปืนแบบทันสมัยบอกว่า หยุดก่อน นะท่านเข้ามาตายแน่ พูดแบบภาษาคนไทย ถามว่า ท่านมาจากไหน เป็นใคร ชื่ออะไร ก็บอกไปตามความจริง แล้วควักใบสุทธิให้แกดูแกก็ดู ๆ ๆ ๆ พลิกไปพลิกมา เข้าใจว่า อ่านหนังสือไม่ออก บอกว่า เข้าไปได้ จะไปที่ไหนตอบว่า ไม่มีจุดหมายหรอก แล้วไปยังไง เข้าได้ออกไม่ได้ ผมก็เดินผ่านหมู่บ้านนั้นไป พวกแม้วนั้นเดินไปส่ง กลัวผมจะเป็นอันตราย จากสัตว์ร้ายในป่า เดินไปก็เจอไก่ป่าอยู่บนกิ่งไม้ พอเห็นผมมัน ก็ดีอกดีใจ เอาปีกกระพือดังพึ่บ ๆ ๆ ๆ เอกอี๋เอ้กเอ้ก แม้วยกปืนขึ้นยิงปัง ไก่นั่นก็ตกลงมา แต่ไม่ได้ตกลงมาสู่พื้นดิน เพียงแต่หล่นลงมา เอาตีนเกาะกิ่งล่างอยู่ หัวห้อยลงมาข้างล่าง แม้วยกปืน แล้วก็เล็งแล้ว ก็ยิงปังไป ผมก็หยุดดู เลือดไก่หยดสาดลงมา แต่ไก่นั้นไม่ยอมหล่น ยิงกระทั่งหมดแม็ก ฯ แม็ก ฯ ปืนยาวประมาณคืบ ไก่ก็ไม่ยอมหล่น
จึงถามว่า มันเป็นอะไร อีกคนตอบว่า ไม่รู้ซี ถามหลวงพ่อดีกว่า
ผมก็ตอบว่า เจ้าป่าเขาไม่เต็มใจให้ละมัง โยม ขอซีจะได้
แม้วนั้นก็ยกมือขึ้นพนม บอกขอเฮาเถอะ สักประเดี๋ยว ไก่ก็หล่นตุ้บลงมา
แล้วก็เดินทางไปเรื่อย ๆ เลยหมู่บ้านไปเข้าเขตเขา เจอเอารถไม้ แม้วใช้รถ ไม่ใช่ 10 ล้อ ปิคอัพหรือรถเก๋งหรอก แต่ใช้รถใช้ไม้เป็นลูกกลม ๆ ขึ้น เอาไม้อันใหญ่แข็งแรง เจาะเป็นล้อรถ ข้างหน้า ข้างหลัง 4 อัน แล้วเอามือจับ โยกซ้าย โยกขวา รถนี้ใช้วาง แล้วไหลไป จากยอดดอยได้ ขับรถลง มาเห็นผมกำลังจะปักกลด บอกว่า นิมนต์เถอะครับ นิมนต์เถอะ อยู่ตรงนี้ไม่ได้หรอก เคยมีบ้านคนอยู่ แล้วถูกรื้อ คนก็ตาย มีไร่ อ้อยก็ทำไม่ได้ ทำมาหากิน แถวนี้ ไม่ได้เลย ทำไม่เล่าโยม ? ช้างมันรังควานหมด แต่ใจคิดว่า ไอ้หมอนี่ โกหกแน่ ไม่เต็มใจอยู่หรอก จึงปักกลดไม่เชื่อมัน ปักกลดเสร็จสวดมนต์ประมาณ 3 ทุ่ม 4 ทุ่ม ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนกระทั่งนั่งหลับพิงกลด แต่ไม่ยอมนอน ตอนนี้จะนอน มันก็นอนไม่หลับ หนึบหนับ ๆ แต่ก็ง่วงนอน แต่ก็ไม่ยอมหลับ ประมาณสักเที่ยงคืนเศษ เสียงต้นไม้ น้อยใหญ่ในป่า หักโครมคราม ๆ เสียงร้อง แปร๊ด หรือเสียงแว๊ด ๆ อย่างกับคนตกใจ เสียงแบบ ลูกวัวร้องเรียกแม่ สักประเดี๋ยวเดียวร่างดำ ๆ ใหญ่ ๆ ก็พามา เรียงคิวเข้ามา หูสองข้าง กระพือแบบ เอากระด้งฝัดข้าว งวงชูขึ้นสูง ดิ่งเข้าใส่ พอดิ่งเข้าใส่ มันวิ่ง เข้าใจว่า จะเป็นหัวหน้าฝูง เป็นช้างยาว ตัวยาวใหญ่ กระดูกสันหลังสูงเหมือนช้างขนของ ดิ่งเข้าใส่ ผมตกใจกลัว กลัวจนกระทั่งตัวแข็ง ไม่รู้จะพูดอะไร พูดอะไรหรือเปล่าก็ไม่รู้ ภาวนาก็ไม่ได้ภาวนา ช้างนั้นดิ่งเข้าใส่ จนจะถึงกลด ช้างเดินวน ๆ แล้วก็จับภาพพระพุทธรูปได้ ก็จับภาพพระพุทธรูป มาตั้งบนหน้าตัก ขึ้นบนบ่า ยกขึ้นเทินหัว ตั้งบนยอดกลด ช้างนั้นถอยหลังออกไป ถอยหน้าถอยหลังอยู่สักพัก ช้างลูกโขลงก็พากันวิ่งมา ดินสะเทือน สั่นหมดตอนนั้น ดินก็สั่น ตัวก็สั่น ปากก็สั่น ใจก็สั่น หลับตาก็เห็นภาพช้าง ก็คิดว่า ลืมตา แหละดี เห็นภาพชัดดี ตายเป็นตาย ช้างตัวนั้น ก็เก่งจัง ยืนขวาง อยู่หน้ากลด ช้างฝูงในโขลง วิ่งมาถึง ใช้งวดดันให้ช้างวิ่งเลยไป จนกระทั่งถึงตัวสุดท้าย เป็นช้างไม่มีงา มีแต่งวง ร้องแปร๊ด ส่งเสียงคำรามดิ่งเข้าใส่ ช้างตัวนั้นใช้งวงดัน กลดเอนเข้ามาอีก เอนเข้ามา ประมาณ 2-3 หน ช้างตัวนั้น ยกงวงขึ้นสูง แล้วกด ตุ้บลงไป กลางหลังไอ้ตัวนั้น เสียงร้องแปร๊ด ออกมาอีกที เหเข้ามาอีกที จวกเข้าไปอีกที เสียงดัง ตุ้บใหญ่ ถ่ายอุจจาระออกมา พรูดเป็นกองใหญ่ ใหญ่กว่าแปลงข้าวกล้าเล็ก ๆ ฉายไฟดู มีหนามไผ่ระเกะระกะเป็น หญ้าเขียว ๆ บ้างใบไผ่เขียว ๆ ขี้ช้างหยาบจริง ๆ ใบไผ่ทอนสามสี่ อ้อยป่าทอนสามทอนสี่ ก้านกล้วยเพียง แต่ฉีก ๆ เท่านั้นเอง มันขี้ออกมา
ตอนเช้าโยมเอาอาหารมาให้ โยมเห็นชี้ช้างแล้วผมไม่เป็นอันตราย พากันมาดูเยอะหมด เอาอาหารมาให้ นิมนต์จะให้อยู่ ผมบอกว่า รับปากไม่ได้หรอกโยม จึงเดินเข้าป่าลึกไปอีก อีตอนนี้ก็ ประมาณสักเที่ยงวันได้ ถูกแดดนึกง่วงนอน จึงปักกลดกลางวันเลย ปักกลดแล้วจะนอน พอนั่งหลับตาจะนอน ก็มีเสียงกึก ๆ ๆ ๆ กลดหวั่น เอ๊ะ มันเป็นอะไร กลดถึงได้หวั่น ลืมตาไปก็เสียงแกร๊ก ๆ มองไม่เห็นตัว เห็นแต่ใบไม้หวั่น ๆ อยู่บนยอดไม้อะไรเอาอีกแล้ว นึกว่าอย่างนั้น ก็ทำท่า หลับตาอีก อีตอนนี้เห็นเลย ลิงหัวโต ๆ ค่อย ๆ ไต่ลงมา โจนพรึ่ม มาบนยอดกลด แล้วเอามือเขย่า ๆ ยอดกลดหวั่น ๆ เอ๊ ไอ้ลิงตัวนี้มันยังไง มันลงมาโจนพรึ่ม มาบนยอดกลด แล้วเอามือเขย่า ๆ ยอกกลอหวั่น ๆ เอ๊ ไอ้ลิงตัวนั้นี้มันยังไง มันอยู่อย่างงั้น หลายหน จนผมชักโมโห จึงหยิบข้าวก้นบาตร เป็นข้าวเหนียวปั้นเป็นก้อน ๆ แกล้งโยนไปที่กกไม้ พอโยนไป ความไวของลิง โดดแพล้บมารับข้าวแล้ว โดดขึ้นไป เอาขึ้นไปกินบนยอดไม้ สักพักรูดใบไม้ลงมาข้างหน้า ขี้ลงมาบ้าง โยนใบไม้บ้าง แล้วก็ไต่ลงมาอีก โยนไปอีกก้อน ก็รับไปกินอีก ลิงทั้งหมด หลายตัวเป็นฝูง รับเอาไป แล้วก็ไปแย่งกันกิน ประมาณสักสามก้อน ใจไม่ค่อยดี มันจะทำร้ายหรือเปล่าก็ไม่รู้ มันมองตาแป๋ว จึงว่า เข้ามาซี เอ้า เข้ามาก็เข้ามา ไม่รู้ว่า อะไรมาดลใจ จึงเปิดกลด ลิงนั้นก็มุดเข้ามา ลูกน้องก็วนอยู่ข้างนอก เข้ามาได้ มานั่งอยู่ห่าง ๆ ไม่รู้ว่า จะทำยังไง มันก็เอามือโหนหลักกลดขึ้นไป ใช้สองมือรั้งเส้นลวดแล้วก็โยนไปโยนมา เลยเอามือตีตูดมันปั๊บ มันแยกเขี้ยวร้องครอก ทำตาเขียวแล้วมันก็ค่อย ๆ ลงมา แล้วมันก็ขึ้น อยู่ยังงั้นแหละ จึงไล่มันบอกว่า ออกไป แล้วตลบมุ้งขึ้น ลิงค่อย ๆ ไต่ออกไป ผมลาลิงไป ลิงฝูงนั้นก็เดินตามไป แต่ตามไม่ไกล ตามไปตัวเดียว ตามไปเรื่อย ๆ
เดินไปอีกไม่ไกลนัก ก็พบช้างนอนซุกอยู่กับก้อนหิน ช้างนั้นถูกตอไม้สวนตีนเข้า มีหนองมองเห็นเนื้อใส ๆ มองเห็นหนาม ที่สวนเข้าไปดำ ๆ ยาวประมาณใกล้ศอก ช้างพยายามจะยกขาหนี แต่ก็หนีไม่ได้ เอางวงชู ขึ้นร้องแว๊ก ๆ แล้วก็ฟาดกับดิน เสียงดังบีก ๆ ผมก็ว่า ไม่ต้องหนีหรอก ไม่ทำอันตรายหรอก จะช่วย คิดว่า จะช่วยก็เอาขวานที่ติดไปไปพันเปลือกไม้ขึ้น เอาเปลือกไม้มาวาง รองตีนช้าง แล้วก็ใช้ขวานนั้นแหละ ผ่าที่ปากแผล ถูกหนาม หนองทะลักออกมาขาวจั๊วะ เอามือรั้ง ก็ไม่ออก ช้างนั้น ก็ยกตีนขึ้น เพราะความปวด จึงใช้ปากกัด หนองทะลักใส่หน้า ใส่จมูก แต่ตอนนั้นไม่คิดอะไร เหม็น แต่ตั้งใจจะช่วย ใช้ปากกัด กัดรั้ง จนฟันเจ็บมันก็ไม่ยอมออก จึงใช้ขวานเถือน้ำมันเน่าติดมาเป็นยวงๆ พอหลักมันหลุดเป็นคล้ายๆ หลักไผ่ หลุดออกมามีเนื้อช้างติดออกมาด้วย อย่างกับเปลือกกล้วยเขาปอกเปลือกนั่นแหละ ออกมาทั้งยวงเลย จึงเอาเปลือกไม้ห่อหน้าตีนช้าง ใช้เถามัด ช้างก็เป๋ไปเป๋มาจึงให้เด็กที่ไปด้วย ตัดต้นกล้วยป่ามา เอากล้วยให้ ช้างกิน ช้างกินกล้วย สักพักหนึ่ง พยายามจะลุกขึ้นลุกไม่ไหว ส่งกระบอกน้ำให้ช้างช้างเอางวงจับกระบอก น้ำเทลงไปใต้งวง สักพักหนึ่ง ช้างพยายามลุกขึ้น ช้างนั้น ผอมกระดูกเป็นซี่ ๆ ผิวเป็นโครง อย่างกะไม้ซีก ผมไม่รู้จะช่วยช้างยังไง ช้างนั้น ก็พยายามเดิน ผมบอกว่า ลาก่อนนะไอ้เพื่อนยาก ถ้าไม่ตายก็กลับมา พบกันอีก
ผมก็เดินมาสัก 3-4 วัน ก็เข้าเขตมีขุนเขามาก แต่ว่าไม่ไกลหรอก จะถึงวัดหลวงปู่ครูบาธรรมไชย เอ มัน เขตอะไรหนอ ก็ไม่ทราบว่า เขตอะไร รู้แต่ว่า เขตเชียงใหม่ ถามว่า แถวนี้เรียกดอยอะไร เขาบอกว่า ดอยสุเทพ ถึงดอยสุเทพ มันเกิดแบบว่า เมื่อยอีกทีหนึ่ง จึงปักกลด ปักแต่ไม่กาง นั่งพิงหลักกลด อยู่ใต้ร่มไม้ หลับตา ความเหนื่อย ทำให้ผมหลับจนลืมตัว ฝนตกลงมากลางวันแสกๆ ผมก็ไม่รู้ว่า ฝนตก รู้ตัวอีกที พอลืมตาปรากฏว่า อยู่บนยอดดอยสุเทพ มีคนนุ่งขาวผมยาว เขาเรียกว่า เนกขัมมะนารี
ถามว่า โยม ผมขึ้นมาไงล่ะโยม
โยมตอบว่า มีแม้ว 2 คน ผัวเมีย อุ้มท่านขึ้นมา ท่านมาจากไหนล่ะ ?
ก็บอกโยมไปตามตรงว่า มาจากวัดใหม่วังตะกู โยมร้อง โอ้โฮ มาไกล มากี่วัน เล่า
ตอบว่า ไม่รู้ ไม่ได้นับหรอก
โยมชวนให้อยู่ที่นั่น มีโยมหลายคน เป็นคนนุ่งขาวห่มขาว แต่ไม่โกนหัวเยอะไปหมด จึงมาดอยสุเทพ ปักกลดที่นั่นคืนหนึ่ง ตอนเช้าหิวข้าว แต่ก็ไม่ได้บิณฑบาต แต่มันก็ไม่หิวมาก จึงเดินลงมาข้างล่าง มาเจอบ้านญาติโยม เจอคนหนึ่งถือขัน ไม่รู้ว่า รู้ยังไงว่า ผมจะลงไป ถือขันคอย ท่าอย่างกับตักบาตรเทโว ยืนกันเป็น แถว ๆ หยิบอะไรไม่ทราบเป็นก้อนๆ ใส่บาตรลงไป เราก็เปิดฝาบาตรรับ แล้วก็ไปฉัน ฉันเสร็จแล้ว ก็เดินไปเรื่อย ๆ เดินไป 2 ฟากทาง เป็นถนนลาดยางมะตอย ถนนตัดผ่าน กลางขุนเขา มองไปเห็นมี รถเก๋งสีขาว อีกคันหนึ่งสีชา จอดอยู่ข้างๆ มีญาติโยม เยอะไปหมด โยมว่า รถหลวงปู่ครูบาธรรมไชย หรือ หลวงปู่แหวน ความดีใจ จึงรีบเดินลงมา หมายจะมากราบท่าน พอเดินมาถึง ท่านก็เปิดประตูรถ จึงกราบท่าน ที่หน้าต่างประตูรถ กราบท่าน ๆ ก็ให้พร ไปดีมาดี นะลูกนะ นักมวยน่ะ คู่ชกน่ะ เขาต้องดูคู่ชก ให้สมตัวกัน มวยแก่ก็ต้องเอาคู่แก่มาชก ไปกราบหลวงปู่ครูบาธรรมไชย ท่านก็ อวยชัยไห้พร จึงเดินลาออกไป ประมาณ 5 วาเศษ มองมาดู อีกทีก็ไม่มีรถ จึงเดินมา จนกระทั่งถึงวัดหลวงปู่แหวน
ดิ่งขึ้นไป วัดหลวงปู่แหวน เจอพระกำลังขุดอิฐ จะเอาไปทำที่โบสถ์ ให้มันสำเร็จ เจอท่านอาจารย์หนู แล้วก็ เดินย้อนเข้าไปอีกที ท่านบอกเข้าไม่ได้หรอก ทางนี้ไม่ให้เข้า ผมจึงเดินย้อนมาเข้าทางนี้ เขาเขียนว่าทางขึ้น พอเดินมาอีกที ก็เห็นหลวงปู่แหวน แต่ไม่รู้ว่า เป็นหลวงปู่แหวนหรอก เป็นพระองค์ แก่ ๆ ใช้ไม้ง่าม เป็นสามง่าม ค้ำพื้นเดิน กระโดกกระเดกลงมา โอ ลูกเณรมายังไงลูก พอพูดจบคำก็กลิ้งผล็อย ๆ ลงไปในเหวระกำข้าง ๆ มองดู บนยอดระกำ หนามยาว ประมาณนิ้ว โผล่ขึ้นจากพื้น หลวงปู่แหวน หล่นลงไปในนั้น ตกใจตายแล้ว หลวงตาแก่องค์นี้ตายแน่ แต่คิดว่า เป็นหลวงปู่แหวน ตอนที่เห็น บนรถไม่มีไม้เท้า ตอนนี้มี ไม้เท้า เห็นบนรถ คอก็ไม่เอียง แต่ตอนนี้คอเอียง จึงขึ้นไปจะไปตามพระบนวัด ให้มาช่วย หลวงตาตกลงไปในเหว พอขึ้นไปอีกทีจิตนึกว่า หลวงปู่แหวนแน่ ยืนขวางหน้ายิ้ม ๆ ผมจะเดินตามไป ก็ปวดท้องเบา จึง แวะไปเบาในส้วม เดินตามขึ้นไป เจออาจารย์หนูขวางหน้าอีก เข้าไม่ได้ หลวงปู่แหวนจำวัด ท่านตื่นเสียก่อน จึงจะเข้าไปได้ อาจารย์หนูพูดยังงั้น แล้วก็มีพระเณร มาอีกหลายองค์ กำลังขุดอิฐอยู่ก็หยุดถามว่า มาจากไหน บอกตามตรง อาจารย์หนูพูดเสียงดังว่า ไม่ยอมให้เข้า สักพักเสียงประตูก็เปิดขึ้น หลวงปู่แหวนใช้ ไม้เท้ายื่นมาข้างหน้า แล้วก็ใช้ไม้ค้ำ ๆ ๆ พูดว่า เออ มาไง ลูกเณร เข้ามาข้างในก่อนซีลูก ผมดีใจมาก ที่ท่านเปิดประตูมารับ จึงรีบเข้าไป อาจารย์หนูหันหลังให้ เดินไปกุฏิ เปิดประตู ปิดฝาประตูดังปึง ผมเข้าไปคุยกับหลวงปู่แหวนสัก 2 ชั่วโมง เอ ถึงหรือไม่ถึง คิดว่า คงถึงไม่ถึงก็กว่า ไม่กว่าก็ถึง 2 อย่าง จึงลาหลวงปู่แหวน หลวงปู่แหวนบอกว่า ตั้งใจนะลูกนะเอาจริง ๆ จัง ๆ บอกว่า พระอรหันต์น่ะ ตั้งแต่บัดนี้ไป จน... จะ เกิดนะ จะมีพระอรหันต์มาก เท่าสมัยพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น ความดีใจ มีกำลังใจ ที่หลวงปู่ให้ธรรมะ ขอธรรมะ หลวงปู่ท่าน ให้มา 5 อย่าง คือ เกศา โลมา นขา ทันตา ตโจ บอกว่า ทำได้ให้กลับไปหาท่าน ต้องการฤทธิ์ ต้องการเดช ท่านจะให้ ก็ดีใจ คิดว่า คงไม่เหลือวิสัยหรอก เกศา โลมา นี่ ถามหลวงปู่ท่าน ก็บอกว่า เกศา ผม บอกไปจนถึง อันดับสุดท้าย กลับลงมา เห็นอาจารย์หนู คุยอยู่กับโยมที่ข้าง ๆ โบสถ์ ตอนลงอ้อมไปทางโบสถ์โน่น ตัวอาจารย์หนู คุยกับโยม ก้มลงกราบท่านอาจารย์หนู อาจารย์หนู เหลือบเห็นผมกราบ จึงเดินพรึ่ด ๆ หนีไป โยมถามว่า อ้าว ท่านอาจารย์หนู ไม่รับกราบเณรเล่า โยมคนหนึ่งพูดอย่างนั้น รู้ว่าผมเป็นเณร เพราะหลวงปู่ทัก ท่านก็เงียบ ผมกราบถึง 3 หนแล้วก็เดินลาออกไป ลงไปจากวัดหลวงปู่ก็ไม่ไกล นักประมาณสักกิโลเศษ ๆ โยมบอกว่า แถวนี้เจดีย์เยอะ แต่ผมก็ไม่เห็นเจดีย์ โยมถามว่ามา จากไหน ผม บอกว่า มาหา ที่ศักดิ์สิทธิ์ โยมว่า โน่นธาตุกาหลงโน่น คนทางเหนือ เจดีย์ เขาเรียกว่า ธาตุ ธาตุกาหลงน่ะ ศักดิ์สิทธิ์ แต่กาบินไปเกาะ ยังบินไปไม่ได้เลย มันหลง อิฐบางก้อน บางคนเอาไปบูชา แล้วเหนียว อยู่ยงคงกระพัน ทำงานค้าขาย ก็ได้กำไรรวยดี บางคนเอาไปแล้วเกิดอุบัติ (เหตุ) รถคว่ำรถชนถึงความตาย หินนั้นก็ต้องเอากลับมาคืน จึงเดินดิ่งไปที่ธาตุกาหลงนั้น
พอถึงธาตุกาหลง ก็ไปกราบ มองเห็นธาตุเก่าประมาณพันปี ยอดทำด้วยทองแท้ทองนั้นสีแดง ถูกแสงอาทิตย์ส่องแสงเหลืองอร่าม ไปกราบที่ธาตุ มองดูที่ธาตุ ทำเป็นลูกกรง หรือกำแพงสี่เหลี่ยม มีพระพุทธรูปหัก เหลือแต่หน้าอก แขนขาหัวศีรษะไม่มี มีแต่หน้าอกมีพระพุทธรูป 4 องค์ มีหน้าต่าง เจดีย์ 4 บานพระพุทธ รูป 4 องค์ เป็นพระทำด้วยทอง เข้าใจว่า เป็นทองเหลือง เพราะยังเหลืออยู่ ตอนนั้น ผมก็ก้มลง กราบอธิษ ฐานจิตว่า ถ้าข้าพระพุทธเจ้า มีบุญกุศลอยู่บ้างแล้วให้ (สามารถ) ทะนุบำรุง ที่นี่เถอะ ให้สร้างวัดได้เถอะ คิดยังงั้น ผมจึงเดินมาข้างล่างอีก มาเห็นแต่เกศพระกับหน้า แต่หน้านี้นะโยมถูกันจนเอี่ยมแล้วข้าง ๆ มี ดอกไม้ บุหรี่ เมี่ยง เยอะหมด เป็นของสักการ แบบภาคเหนือ ตอนเช้าโยม มาคุยด้วย ผมบอกว่า โยม ผม ว่าขุดดีกว่า ดูองค์พระข้างล่าง โยม แถวนั้นเชื่อทางไสยศาสตร์แกจึงพากันมาเยอะ ถือจอบบ้าง เสียมบ้าง แต่จอบนั้น ไม่ใช่จอบอย่างเรา เป็นจอบงอน ๆ ขุดไปสักพักเจอไหล่ จากไหล่เป็นเอว จาดเอวเจอข้อศอก ข้อศอกนั้นพังมีแต่ลวด เจอมือมือหัก หน้าอกถูกทะลุ เจอแผ่นทองเหลือง ลงด้วยตัวขอมเป็นยันต์ เป็นอัก ขระมากมายทั้งหมดมี 9 แผ่น แล้วขุดไปเจอฐานข้างล่าง เป็นแบบกลีบดอกบัว ขุดกันประมาณตั้งแต่เช้า จนกระทั่งบ่าย จนสำเร็จ พระนั้น หน้าอก กว้างประมาณ ไม่ 3 ศอกก็ 4 ศอก ฐานกว้าง 5 ศอก ถึง 8 ศอก ความสูง กะเอาว่า 8 ศอกนั้น คงหนีไม่พ้นหรอก ความสูงของพระ ขุดลงไปแล้ว ญาติโยมแถว นั้นก็พากัน มาเยอะมาดูกัน แล้วก็มีอาจารย์ทองห่อ วัดหลวงปู่แหวน วัดดอยแม่ปั๋ง เป็นอาจารย์ ช่างปั้นพระ ท่านลงมา ลงมาก็ใช้ให้ญาติโยมเขาเรียกว่า แก่หลวง พอคิดว่า จะปั้นพระ ตอนเช้าก็มี รถเก๋งชาวกรุงเทพ ฯ และคนแถวนั้นพากันไปดู บางคนก็เอาแต่ปากมาช่วย บางคนก็จะปั้นพระ อาจารย์ทองห่อท่านมาคุยกับผม พอถึง ผมก็ก้มลงกราบท่าน ท่านบอกว่า ไม่ต้องกราบ ท่านจะกราบผม ผมก็บอกว่า อย่ากราบ ด้วยผมเป็นเณร ท่านก็หยุดแค่นั้น โยมเอาเสื่อมาปูอีกผืนหนึ่ง เอาคนโทใสน้ำให้ เขาเรียกว่า น้ำต้ม เอาเที่ยงมาให้อมผม ก็อมเมี่ยง เอาชาเป็นยอดเมี่ยง ทำเป็นน้ำชาเอามาให้ ผมก็ฉัน
พอฉันสักพัก อาจารย์ทองห่อ ก็ลงมือปั้น แต่งหน้าแต่งศีรษะ เอาแผ่นทองเหลือง ยัดไว้อย่างเก่า ปั้นเรียบร้อยพอวันที่ 2 ก็ทาสี วันทาสีนั้น โยมบอกว่า หมู่เฮา มาช่วยกันถาง ดีกว่า ประมาณ จนเพล ก็ถางไปกะว่า 13 ไร่ ถางกันเตียน แล้วคนหนึ่งก็มาพูดว่า หมู่เฮาจะมาปรึกษาท่านอยากจะจัดผ้าป่าทอด ทำเป็นวัดเป็นวิหาร จะตกลงไหม เอ้า ตามใจโยมซีผมน่ะไม่มีอะไรหรอก ตามใจโยม ขอนิมนต์ท่าน อยู่เป็นกำลังใจหมู่ เฮานานๆ นะ คนหนึ่งว่า เอาแหละจะหาผ้าป่ามาทอด คิดจะไปไหน จะไปในเมืองเชียงใหม่ พอพูดจบโยม ก็ไปในเมือง มีรถผ่านไปผ่านมา ก็แวะมาดูกัน บางคนเรียกว่า วัดทุ่งหลวง บางคนเรียกว่า วัดพ่อเณร เพราะผมไปอยู่ใหม่ โยมทำกุฏิ ให้อันหนึ่ง เป็นไม้ครึ่ง เป็นฟากครึ่ง บนหลังคาก็เป็นแฝกบ้างตองบ้าง มุงกันจนอยู่ได้ โยมช่วยกันขุดบ่อน้ำขึ้น เป็นบ่อบาดาล แล้วเอาปูนโบกตัวถังขึ้นแบบตัวถังส้วม ทำตั้งแต่ก้น จนถึงปาก ทำศาลาพักร้อน เขียนป้ายว่า อุทิศให้แก่พ่อขุนคำ... เพราะ ท่านเป็นคนพบที่นี่ มาก่อน มีคนถ่ายรูป ถ่ายก็ไม่ติด ต้องขอขมาเสียก่อน จึงถ่ายติด เรียกว่า พระเจ้าพ่อหลวง มีคนมาสักการบูชาเยอะ
ถึงวันกำหนดมีผ้าป่ามาทอดไม่ทราบว่า มาจากไหนบ้างทั้งหมดมี 7 กอง การทอดผ้าป่านั้นโยมมานิมนต์ ไปนั่งเป็นประธาน ก็ไม่ทราบว่า ไปนั่งเฉย ๆ แล้วก็มีอาหารมาถวาย โดยมากเป็นเมี่ยงบ้าน น้ำชาบ้าง น้ำอัดลมบ้าง น้ำส้มบ้าง ก็กินกันไปเรื่อย ๆ โยมก็คุยบ้าง แต่ไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะผมฟังภาษาภาคเหนือ ไม่ค่อยรู้เรื่อง รู้เป็นบางคำ ประมาณสัก 4 โมงเศษ มีรถแบบ ๆ รถธนาคาร เอาซอมา มี 7 คน พอซอมาแล้ว ถึงผูกพิธี ปลูกเป็นปะรำพิธี เล็ก ๆ ใช้ไม้ข้าง ๆ นั้น ต้องการไม้ก็ไปตัด ๆ เอามา แล้วก็ฝังหลุม ทำหลังคากัน ประเดี๋ยวเดียวก็เสร็จ หลังคาเอามากัน คนละแผ่นสองแผ่น ก็ไม่ใช่หลังคาที่ไหนหรอก เป็นหลังคาของบ้านเขานั่นแหละ รื้อกันมาก่อน มาทำพิธี เสร็จแล้ว เขาก็รื้อกันกลับไป มีซอขึ้นแล้วก็มีการฟ้อน แบบเซิ้ง บ้องไฟภาคเหนือ มีหมู่แม้ว 4 หมู่ มีหมู่เผ่ามูเซอ เผ่าลีซอ เผ่าอีก้อ เผ่ากันเจียง แต่ละหมู่ จัดการฟ้อนรำ มาหมู่ละแบบ ๆ รำ กันก็สวยดี ยอมรับว่าสวย สาวแม้วนั้นสวยกว่าสาวไทย ผิวกายจะว่าดำ ก็ไม่ดำแต่มีกลิ่นหน่อย ๆ ตอนเย็น ทำพิธีจุดบ้องไฟ จุดเสียงดังปึง แล้วขึ้นไปสูง แล้วตกลงมา เป็นไฟแหลม ๆ แล้วก็มีการ ประกวดกันด้วย แล้วเสียงโห่ร้อง ของชาวบ้านเยอะ กลางคืน ก็มีหนัง ฉาย 2 เรื่อง ทราบว่า เป็นหนังสาขาแม่ริมมาช่วย ผมก็นั่งเป็นประธาน จนกระทั่ง ตอนเย็นถวายผ้าป่า โยมนิมนต์ไปรับผ้าป่า ผมท่องไม่ได้ ก็กางตำรา ท่องเสร็จสรรพแล้วกระบองนั้น ไปไว้วัดอื่น เพราะผมไม่ต้องการ ผ้าสาม ผืนที่ต้องการก็ได้แล้ว เขาถวายปัจจัย บอกไม่รับหรอกโยม
ตอนกลางคืน มีหนังผมไม่รู้จะทำอะไร ถามว่า โยมดอยลูกโน้นเห็นมีแดง ๆ น่ะปากถ้ำหรือไง โยมบอกว่า ใช่ ดอยผาแดง เอ จะทำยังไงดี บอกว่า โยม พรุ่งนี้ ผมขอตัวไปเที่ยวดอยผาแดง พักหนึ่งนะ เพราะ มองดูจากที่นั่นไม่ไกลสัก 7 กิโล เดินไปก็คงจะถึงตอนเที่ยงวันได้
ขึ้นไปบนดอยผาแดง บ่อแบบ บ่อหมาเลีย ข้าง ๆ ก็มีบ่อ พรานล้างเนื้อ กว้างประมาณสักคืบหนึ่ง ลึกแค่นิ้ว คนจิ้มถึง กอบกินน้ำสักเท่าไหร่ ๆ ก็ไม่แห้ง บ่อพรานล้างเนื้อนั้น เห็นคาวมาก คาวแบบ คาวเลือด น้ำสีแดง ๆ แบบน้ำคาวเลือด เหม็นคาว ข้างล่างมีถ้ำ ลงไปในถ้ำ ถ้ำนั้นมีขี้ค้างคาวมาก ท่วมตาตุ่มเหม็นหึ่ง เข้าไป เที่ยวสักพัก ก็ออกมา เดินไปอีก ห่างจากนั่นสักสามสี่กิโล เรียกว่า ถ้ำโอ เหม็นกลิ่นโอ่จริง ๆ อยู่ไม่ไกลบ้านโยมเท่าไหร่ พอไปถึงปั๊บ โยมก็เอาเสื่อ เอาอะไรมา คนภาคเหนือเขาเลื่อมใสในพระศาสนา สำหรับพระธุดงค์ แล้วจะเลื่อมใสเป็นพิเศษ เอาน้ำเอายามาให้ไม่ใช่ยาสูบแต่เป็นยาฝิ่น ผมเข้าใจว่า ต้องเป็นฝิ่นเพราะ มันก้อนดำ ๆ เหมือนชันแต่มันเหนียว ๆ ถามว่า อะไรโยม ตอบว่า ฝิ่น ท่านฉันไหม ตอบว่า ไม่ฉันหรอกโยม กลางคืนผมก็ลากลับมาที่วัด
กลางคืนโยมเอาข้าวเหนียว มันต้มมันเชื่อม และขนมหลายอย่าง มาประเคน อ้าวพระฉันได้เรอะกลางคืน นี่ พระท่านเป็นอะไรล่ะ เป็นมหานิกาย ไม่ใช่เรอะ เห็นเด็กบอกว่ายังงั้น ใช่ โยม มหานิกาย มหานิกายฉันได้ เขาฉันกัน แถวนี้น่ะ ผมตกใจ บอกว่า โยมลองแน่แล้วแบบนี้ ตอบว่า ไม่ฉันหรอกโยม โยมมาคุยด้วยเยอะ เป็นชาวเหนือมาก ชาวแม้วบ้าง กระเหรี่ยงบ้าง มาคุยกัน บางคนก็เอาดอกไม้ธูปเทียน มาอาราธนาให้เทศน์ ไม่ทราบว่า เทศน์ยังไง ฟังอาราธนาเทศน์แล้วขำ เพราะเสียงเหมือนลิเกร้องกลอน
ถามว่าอะไร ?
อาราธนาศีล ก็ให้ศีลไป
เสร็จแล้ว ก็เทศน์ เทศน์ ไม่กี่คำหรอก เป็นการคุย กันมากกว่า เทศน์ ดึกแล้ว ก็เอวัง เอวังเสร็จ โยมก็คุยด้วยอีกนาน โยมมากันเยอะ ตอนประมาณสัก 4 โมงวันใหม่ โยมจึงอธิษฐานมาก่อขึ้น ทำเป็นถังเป็นอ่าง อาบน้ำ อ่างน้ำ กว้าง วาหนึ่ง ยาววาเศษ ๆ ใช้ปูนโบก เย็นจนหนาว ในหมู่บ้าน กระเหรี่ยงบ้าง คนไทยบ้าง แม้วบ้าง ตักน้ำมาให้อาบ เต็มอ่างนั่นแหละ อาบบ้าง ซักบ้าง คือ แกสร้างกุฏิ ให้อยู่อีกหลังหนึ่ง ก็อยู่ในนั้นแหละ โยมบอกอยู่นาน ๆ อยู่ไป ไม่ช้าไม่นาน โยมเล่าว่า บนดอยหินไหล มีธาตุแต่ธาตุพัง ที่ดอยหินไหลนี่ เป็นหมู่บ้านแม้ว โดยตรงเลย เขาเรียกว่า อู่แด้ เป็นแม้วหลาย ๆ หมู่ ตั้งใจว่า จะไปเที่ยวพระธาตุหินไหล เดินผ่าป่าไป โยมบอกว่า ไป 5 วัน 5 คืนก็ถึง ผมเดินไป 2 วันคืนหนึ่ง ตอนเช้าก็โผล่ป่า แต่เดินไปเหนื่อยก็พัก พักไปในป่า มีกำลังใจ ลิงและช้างตัวหนึ่งเดินไปห่าง ๆ ตอนพักจุดธูปนึกถึงเมื่อไร ช้าง และลิงจะมา มาที่กระท่อม มาที่กุฏิเสมอ เพราะกุฏินั้น เป็นป่าล้อมรอบไปหมด ถ้านึกถึงจุดธูปแล้วจะมา แถวนั้น ป่าแรงมาก เดินไปเรื่อย ๆ จนมาถึง ม่อนหินไหล คนว่า ม่อนหินไหลนี่ศักดิ์สิทธิ์นัก ถ้าคนมีบาปละขึ้นไม่ไหวหรอก ถ้าขึ้นไป หินมันจะไหลลงมา ผมขึ้นไป มันก็ไหลลงมา เอ ไอ้เรานี่บาปเยอะ นึกในใจ แต่ก็พยายามขึ้นจนถึงยอด บนยอดม่อนหินไหลนั่น เขาว่า มีพระอยู่ ขึ้นไปก็ไม่เจอ เจอแต่เขาเรียกว่า พระละม่อม ท่านบอกว่า ท่านมาจากวัดท่าซุง เปลี่ยนชื่อ ชื่อละม่อม ท่านได้ ฌานโลกีย์ ลงคนมาหา หนีไปอยู่ก้นเขาก็ได้ ไม่เต็มใจรับ แล้วมีอาจารย์คนหนึ่ง ชื่ออาจารย์ศักดิ์สิทธิ์ อยู่เขาห่าง ๆ กับที่พระธาตุนั่นแหละ พระธาตุใหญ่มาก เจ็ดวันจะลงไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน หนหนึ่ง หรือ 15 วันจะลงไปครั้งหนึ่ง ท่านไม่ฉันข้าว ผมก็คุยกับท่านบ้าง ขอธรรมะท่านบ้าง ท่านบอกไม่มีหรอก ผลัดกันคุยไปคุยมา ถึงประสบการณ์ ก็ไม่ได้ ถามอะไร ถามท่าน ผมเป็นฝ่ายถาม บางทีผมไม่ได้ถาม ท่านก็เล่าให้ฟัง คุยกันไป คุยกันมา ท่านก็บอกว่า เดี๋ยว ๆ นะ ท่านกลับเดี๋ยวจะไม่ทันนะ ผมบอกว่าไม่ทันแล้ว ผมจะไปส่ง พอท่านบอกว่า จะมาส่งผม ก็เดินนำหน้า ท่านเดินตามท่านออกหน้าผมตามตูด ผมเดิน 2 วันกับอีกพักหนึ่งไปถึงในตอนเช้า ท่านมาส่งผมตอนเย็น ๆ ราว 4 โมง ถึงวันที่ผมอยู่ไม่เท่าไหร่เลย แพล็บเดียวถึงเลย ไม่ทราบว่า มายังไง ผมก็เดินธรรมดาท่าน ก็เดินดิน ท่านก็ลาผมกลับ ผมก็กราบท่านแล้วก็กลับ ท่านก็ยิ้ม ๆ
อยู่ที่นั่นตอนเช้าก็บิณฑบาต บางวันก็ไม่บิณฑบาต โยมเอาอาหารมาถวายหลาย ๆ เป็นสาวในหมู่บ้านนั้น เป็นกะเหรี่ยง เป็นแม้ว สังเกตได้ง่าย หมู่แม้วนั้น ถ้ายังโสด จะปัก ดอกดำแล้วก็ขาว ถ้าแต่งงาน แล้ว ไม่แดงก็เขียว แกทำอยู่งั้น จนวันหนึ่ง ผมไปข้างห้วย เป็นห้วยน้ำไหล น้ำตกลงมา วักน้ำล้างหน้าล้างตา อย่างสบายใจ เสียงหัวเราะคิก ๆ ไปดู เห็นพวกแม้วเปลือยกายลงไปแช่ในน้ำ ผมก็ล้างหน้า อย่างสบาย ลืมตาดู เอ มันทำไมทำอย่างนั้น แกก็ถามว่า ท่านมาจากไหนล่ะ ขึ้นไปยืนบนชะง่อนหิน แทนที่จะเอาผ้าปิดกาย ก็ไม่ปิด นึกเอ พวกนี้มันยังไงวะ จึงเดินย้ายมา ไม่ยอมมอง กลับวิ่งตามมาอีกว่า ท่าน ท่านมาจากไหน แข็งใจบอกว่า มาจากวัดลุ่มโน่น แกบอก เดี๋ยวหนู จะไปเที่ยว เดี๋ยวแจ๊ะ จะไปเที่ยว แจ๊ะ เขาแปลว่า หนู กลางคืนแกก็พากันมาหลาย ๆ คน คุยกันไปคุยกันมา บิณฑบาตตอนเช้าแม้วก็ลงมาใส่ข้าว
อยู่มาผมจะกลับ บอกว่า โยม อาตมาจะลาโยมกลับละนะ ตอนนี้ฉันข้าวตอนเช้าไม่คิดว่าจะกลับหรอกโยม ว่า โฮ้ โอ ท่านจะกลับยังไงล่ะนี่ ยังทำไม่เสร็จเลย บอกไม่เป็นไรหรอกโยม ผมอยู่ก็ไม่ได้ช่วยโยมทำ โยมทำกันเองเถอะ พอมาผมลาเสร็จ ญาติโยมก็ช่วยเก็บของ ตอนมาโยมนั่งกันเป็น แถว ๆ ประนมมือกัน ผมก็เดินมาเรื่อย ๆ พอเดินมาเรื่อย ๆ พอเดินมาหน่อย โยมก็เอาช้างมารับ นิมนต์ให้ขึ้นช้าง พอผมขึ้นช้าง ปั๊บโยมพากันร้องไห้โฮ เพราะความสนิสนม ความใกล้ชิดกันทำให้คิดถึง โยมร้องไห้ ผมบอกว่า โยม ยังไม่ตาย จะกลับมาใหม่ อีกเที่ยวหนึ่ง โยมเอาช้างมาส่งถึงถนน ผมก็เดินดุ่มมาเรื่อย ๆ โยมก็ลากลับ ผมก็เดินมาถึงเข้าเขตตัวเมืองเชียงใหม่ หรือเถิน นี่ผมไม่ทราบ เจอรถทัวร์คันหนึ่ง จอดขวางหน้าอยู่ แล้วมีรถเก๋งอีกคันหนึ่ง ผมเดินลงจากยอดดอย เสียงคนเถียงกันว่า ใช่ ไม่ใช่ ใช่ ไม่ใช่ แล้วเสียงหลวงปู่ครูบาไชย ว่า ใช่แล้ว แกจึงได้ เอาผ้ายางปู อีกผืนหนึ่ง มีเบาะฟองน้ำปู แล้วมีขนสัตว์ปู ท่านนั่งบนขนสัตว์ ท่านก็บอก ว่า อ้อลงมาเร็วพวกเรา พวกนั้น ก็พากันลงมา รถทัวร์คันใหญ่ รถเก๋งคันหนึ่ง ลงมาแล้ว ก็นั่งพนมมือ กันเต็มหมด บอกว่า เอาของมาถวายเลย ๆ ถาดหนึ่ง มีรูปหลวงพ่อครูบาไชย มีดอกไม้ล้อมรอบ อีกถาดหนึ่ง มีธูปเทียน มีไตรจีวร อีกถาดหนึ่ง เป็นเครื่องอุปโลกน์ เช่น น้ำปลา ปลากระป๋อง แล้วก็ยารักษาโรค เทียน สบู่ ยาสีฟัน ขนมปัง นมกระป๋อง ก็เต็มถาด ไปด้วยกันเอามาวาง แล้วหลวงพ่อบอกว่า กราบพระเถอะพวกเรา หลวงพ่อครูบาธรรมไชย จึงนำเป็นภาษาไทย อรหังสัมมา ฯ ไปบูชาพระ เสร็จสรรพแล้ว แกจึงเอาของ มาประเคน ก่อนจะประเคน แกบอกแบบจำได้ว่า ถวายสังฆทาน ท่านถวายเสร็จสรรพ ผมก็ตัวสั่น เอ๊ะจำทำ ยังไง เล่าย้อนไปถึง ที่นั่งพรม จะนั่งดีไหมหนอ ท่านปูให้แล้ว บอกว่า นั่งซี ๆ เอ้า นั่งก็นั่ง ท่านนิมนต์ให้เทศน์ ใจสั่นหมด ความกลัว ปากก็สั่น มือก็สั่น ตัวก็สั่น แต่ไม่รู้อะไร ดลใจฮึดสู้ จึงเทศน์ เทศน์ไม่กี่คำหรอก เทศน์พอเป็นสังเขป หลวงพ่อก็ยิ้ม ๆ เทศน์จบก็เอวัง เอาของประเคนท่าน บอกขอพรหลวงปู่หน่อย ท่านจึงหยิบแก้วน้ำมา เอาจานมาวางไว้ ท่านกรวดน้ำไป เสียงท่านอุทิศกุศลว่า ขอกุศลที่ข้าพเจ้า ถวายจีวรนี้ จงให้แก่ในหลวง และถวายเป็นปัจจัย ให้แก่ท่านในภายภาคหน้า ผมก็ให้พรแก่ท่าน ยถาสัพพี เป็นภาษาไทย พอยถาสัพพีจบ จ้างรถสองคัน สามคัน สี่คัน ห้าคัน เพราะมันติดถนน ญาติโยมพาแห่ กันมาจะมากราบหลวงปู่ครูบาธรรมไชย เห็นผมกราบหลวงปู่ครูบาธรรมไชย ความอายจนหน้าชา บอกว่า หลวงปู่ครับ ผมจะลาหลวงปู่แล้ว หลวงปู่จึงสั่งให้คนเป็นผู้หญิง เป็นคนทางกรุงเทพฯ เอาของใส่ถุงย่ามผม ลูกนั้นก็ลูกใหญ่มาก จึงหนักตื้อไปหมด ใส่เสร็จแล้ว ยกมาประเคน ผมก็ลาหลวงปู่ รีบเดินจากที่นั้นมา เพราะความ อาย คนแถวนั้นมองย้อนไปจนสุดสายตา บางคนก็ไม่สนใจ บางคนก็สนใจ ผมจึงเดินมาเรื่อย ๆ เข้าเมืองเชียงใหม่ วันที่หลวงปู่ครูบาธรรมไชยถวายจีวรนั้น เป็นวันที่ 5 วันที่ 6 เดินมาถึงเข้าเขตพิษณุโลกจากพิษณุโลกวันที่ 7 ก็ถึงวัดใหม่
ก่อนจะถึงวัดใหม่ ถึง บางมูลนาค เจอนายหย่งนิมนต์ให้ขึ้นรถ บอกว่า เณรมาเชิญครับ นิมนต์ขึ้นรถ ขอบุญผมหน่อยเถอะ ก็ขึ้นรถ รถนั้น ขับเข้าไปในวัดเกาะแก้ว เอาไฟฟ้าไปส่ง แล้วย้อนกลับมาวังตะกู ถึงวังตะกู เอาของวาง ความดีใจ ความคิดถึงเห็นหลวงพี่ลื่มองค์แรก จึงดิ่งเข้ากอดกัน องค์ที่สองก็หลวงพี่จวบ องค์ที่สามหลวงพี่สังวรณ์ หาหลวงพ่อกับหลวงพี่ไม่เจอ คิดว่า อยู่ในโบสถ์ จึงดิ่งไปที่โบสถ์ เจอโยมแถวสำนัก นั่งกันอยู่ในโบสถ์ จึงไปกราบหลวงพ่อ เจอเณรจวบแล้วขึ้นไป หาหลวงพี่ ถึงตอนนี้เอง ความดีใจคิดว่า มาถึงวัดไม่ตายแล้ว แต่ก่อนจะมาตั้งใจว่า จะมารับพระหลวงพี่บุญถึง ท่านเป็น ช่างแบบ ช่างก่อสร้าง จะเอาท่านไปช่วยทางโน้น สร้างวิหารให้สำเร็จ แต่มาก็ไม่สำเร็จ ตั้งใจจะมารับท่าน แต่ตอนจะไปนี้ผมก็อัดเทป ไว้ว่า อันตรายไป 2 คน รู้ด้วยญาณ อันทรามๆ ว่า ถ้าไป 2 คนแล้วจะเจอเสือสมิง ในภายภาคหน้า จะปลอมกายเป็นผมไปหา หลวงพี่ออกจากกลดไปแล้วจะตายสอง ถ้าออกไปแล้วผมตาย หลวงพี่ก็ถึงก็ตาย จะตายทั้งคู่ ผมจึงตัดสินใจว่า จะขอหนีหลวงพี่ถึงไป ไม่ว่า ทิ้งข้อความนี้ไว้ แล้วก็หนีท่านไป จึงขอขมาท่านไว้ใน เทปนี้ด้วย จบอวสานเพียงเท่านี้
. -
เณรเดินดง
เรื่องเณรเดินดงนี้ เรียกให้ดูครึ้มๆความจริงก็คือ ไปธุดงค์นั่นเอง เณรองค์นี้ เป็นเณรที่อยู่ วัดใหม่วังตะกู ที่พิจิตร เป็นศิษย์ของท่านอาจารย์สุรินทร์ จะมีความเก่งกล้าสามารถขนาดไหนไม่มีคำลือมาถึง จึงเข้าใจว่า คงเป็นประเภท นึกเลื่อมใสในการธุดงค์ ก็ออกไปลองดูสักตั้งหนึ่ง ปฏิปทาของเณรองค์นี้ ดำเนินตามสาย ของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค เณรองค์นี้ เคยมาที่วัดท่าซุง ใน พ.ศ. 2521 ปลายปี มีผู้ซักถามท่านเข้า แล้วผู้ซักถาม อัดเทปไว้ ฟังชัดบ้าง ไม่ชัดบ้าง ขาดๆ วิ่นๆ บ้าง หลวงพ่ออนุญาต ให้เอาลงในหนังสือ เรื่องจริงอิงนิทาน 3 ได้ ต่อไปนี้เป็นข้อความ คัดจากเทปที่เณรเล่าให้ผู้ซักถามฟัง (หลวงพ่อไม่เกี่ยวข้องด้วย)
"ออกจากวัดใหม่ ผ่านไปถึงวังหินแลง พอถึงวังหินแลง ก็มีควายไล่ขวิด มีควายฝูงหนึ่ง วิ่งเข้าใส่ ผมตกใจ ไม่รู้จะไปทางไหน สองฟากข้าง เป็นน้ำมีป่าข้าว มองไปใกล้ๆ มีชาวนาหลายคน กำลังเกี่ยวข้าว ควายนั้น ดิ่งเข้าใส่ ผมตกใจมาก ควายตัวหนึ่งไม่ทราบว่าตัวผู้หรือตัวเมีย วิ่งนำหน้าฝูงดิ่งเข้าใส่ ใช้เขาตักเข้าที่ขาผมแขวนกับเขาควาย ตอนนั้น ผมจำได้ว่า ผมหงายท้องลงกับพื้นถนน กลดไปทางหนึ่ง บาตรไปทางหนึ่ง ควายนั้นวิ่งเข้ามารวมตัว หมายจะซ้ำ ผมตกใจกลัวจะตาย ถ้าตายตอนนั้น คิดว่า จะไปไหน ? คิดว่า ไปสวรรค์ จึงภาวนาว่า พุทโธ พอนึกว่า พุทโธปั๊บ พระพุทธรูป ก็ปรากฏ พอภาพพระปรากฏแล้ว จึงยกรูปพระนั้น ไปประจันหน้ากับควาย ควายนั้นก็ชะงัก ก้มหัวลงถอยหน้าถอยหลังประมาณสัก 3-4 ครั้ง แล้วก็หยุดนิ่ง สงบ ชาวนาใกล้ๆ เห็นเข้า ก็ร้องโวยวาย แล้ววิ่งมาที่ๆเกิดเหตุ อีกคนหนึ่ง ใช้เคียวตีที่เขาควาย เคียวนั้นหัก แกไล่ควายนั้นออกไป ถามผมว่า เป็นอะไรหรือเปล่าครับ หลวงพ่อ ผมตอบว่า ไม่เป็นอะไรหรอกโยม ควายมันโมโห โยมโมโหควาย จึงคว้าไม้จะตีควาย ผมจึงบอก อย่าไปตีมันเลยโยม มันเป็นสัตว์พูดไม่รู้ เรื่องหรอก คนพูดกันรู้ภาษา ยังพูดไม่ค่อยรู้เรื่องเลย ผมจึงลาโยมแถวนั้นไป โยมเดินไปด้วยคุยไป พลางถามว่า หลวงพ่อจะไปถึงไหนครับ ผมตอบว่า ไม่รู้หรอกโยม ไปเรื่อย ๆ
ออกจาก วังหินแลงก็เข้า วังเดือน พอเข้าวังเดือน ก็เข้าเขตบ้านน้อย ผมก็ปักกลดที่บ้านน้อย โยมแถววังเดือนพูดว่า แถววังเดือนมีถ้ำมีของใช้หลาย ๆ อย่าง ผมอยากรู้ โยมบอกว่าในสมัยก่อนมีถ้ำ แล้วมีของใช้ โยมเคยไปขอยืมของใช้ในถ้ำนั้น แล้วมีโยมคนหนึ่งเกิดโกง ถ้ำจึงมีหินย้อยมาปิดปากถ้ำ ผมคิดว่า ถ้าไม่เหลือวิสัย ก็จะแวะดู สักหน่อยหนึ่ง คิดว่ายังงั้นนะ จึงลาโยมไปที่ถ้ำที่เขาวังเดือนนั้น พอถึงถ้ำเขาวังเดือน ก็พบว่า ปากถ้ำหันทางทิศตะวันออก หน้าถ้ำมีต้นมะตูมต้นหนึ่ง บนต้นนั้น มีผลมะตูม อากาศเย็น เริ่มหนาว ตะวันใกล้ตกดิน ผมเข้าไปในถ้ำ ใช้ไฟฉายส่องปากถ้ำพอเห็น เข้าไปในถ้ำ จึงใช้คบไฟส่องดู ก็พบว่า ในถ้ำนั้น มีของใช้หลายๆ อย่าง โต๊ะบูชาพระ พระพุทธรูปก็มี มีเงินทองเป็นก้อน ๆ กองอยู่ระเกะระกะ อย่างไม่มีค่า ผมลาออกจากถ้ำนั้นมาก็มัวตา จึงดิ่งไปที่กลด พอถึงกลดก็สวดมนต์ภาวนา
ตอนเช้า ก็ออกเดิน จากวังเดือน ถึงตลิ่งชัน จากตลิ่งชัน ขึ้นไปไม่กี่กิโลเมตรนัก เห็นเขาแม่แก่ อยู่รอบ ๆ ผมจึงอุตส่าห์บากบั่น ถึงเขาแม่แก่ ห่างเขาไม่กี่กิโล โยมบอกว่า เขาแม่แก่นี่ เคยมีพระธุดงค์ไปแล้วหายไปเลย บอกว่ามีถ้ำมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์หลาย ๆ อย่าง ผมคิดอยากจะลองจึงขึ้นไปที่เขาแม่แก่ ปักกลดอยู่บนชะโงกเขา โยมมาคุยด้วยหลายคน คุยตั้งแต่ประมาณคิดว่า ทุ่มเศษ ๆ จนถึงสี่ทุ่ม พอโยมกลับ ผมเหนื่อยจึงนอน พอล้มตัวลงนอนก็คิดได้ว่า มาทำกรรมฐานจึงลุกขึ้นนั่ง พอลุกขึ้นนั่ง ก็ปรากฏว่า ทับขอนไม้หรือแขนของคนอันแข็ง ๆ จึงเลิกผ้ายางดู ก็ไม่มีอะไร จึงฉายไฟไปรอบ ๆ ใจชักเต้นแรงขึ้นแล้ว พอนั่งลงไปอีกที ก็ปรากฏว่า เหมือนทับกลางตัวคน ใจเต้นแรงขึ้นเรื่อย ลุกขึ้นมา พยายามว่า เป็นไรเป็นกันน่ะ จึงเลิกภาวนาเลย พอนั่งอีกทีหนึ่ง ดินตรงก้นก็นูนขึ้น หัวผมทิ่มกับพื้น ตกใจกลัวสุดขีด ใจสั่นหายใจไม่ทั่วท้อง จึงตั้งใจภาวนานึกถึง บารมีพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆเจ้า ให้ท่านช่วย แล้วสวดมนต์ภาวนา เหตุการณ์ก็หายไป
ผมจึงผ่านแม่แก่ไปทางสมอทอด ย้อนจากสมอทอดไปทางเขาทราย ผ่านเขาทรายย้อนกลับมาอีกทีหนึ่ง ขึ้นมาทางเพชรบูรณ์ มาทางเขาชะโงก เขาชะโงกตีนเขามีวัดๆ หนึ่งไม่ใหญ่นัก คิดจะเข้าไป ในถ้ำแบบภาวนากรรมฐาน แต่แล้วเห็นมีวัด จึงไม่กล้าเข้าไป มองไปห่าง ๆ ก็มีชะโงกอีกลูกหนึ่งเรียกว่า ชะโงกลูกเหนือ บนชะโงกนั้น เหมือนกับลานบ้านคน เตียนหินเสมอกัน คิดว่า น่าปลูกวัดนะตรงนี้ แต่มันเล็กมาก จึงปักกลดอยู่ เย็นก็มีโยมมาคุยด้วยคนหนึ่ง ไม่ทันมืดเท่าไหร่ โยมก็ลากลับไป จึงสวดมนต์ภาวนา เพราะว่า ไม่ค่อยไว้ใจแล้วตอนนี้ เหตุการณ์ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมหลับไปตื่นหนึ่งครึ่งหลับครึ่งตื่น จะนอนก็ไม่หลับ มันร้อนไปหมดทั้งตัว เหงื่อแตกที่หน้าเม็ดโต ๆ สักพักหนึ่ง ลมก็พัดแรง กิ่งไม้หัก เสียงโครมคราม แกรกกราก เข้ามาใกล้ ๆ จนใกล้ ๆ กลดตัวชักสั่น ความกลัวจับเข้าขั้วหัวใจ หยิบไฟฉาย ฉายไป เบื้อง หน้าพบว่า งูเหลือมขนาดยักษ์ใหญ่มาก ขนาดเด็กรุ่น ๆ มีขา 4 ขาเลื้อยดิ่งเข้ามาแลบลิ้น ลิ้นงูเหลือมนั่นมี 2 แฉก ชูหัวดิ่งเข้าที่กลด ความตกใจกลัว เรียกหลวงปู่ปาน หลวงพ่อเขียน หลวงพ่อมหา ให้ท่านช่วย ทั้งหลวงพ่อพระครูสุรินทร์ ให้ช่วยด้วย ตอนนั่นไม่ทราบว่า ท่องคาถาอะไร ว่าอะไรไม่รู้ รู้แต่ว่าท่อง ท่องส่ง ๆ ไปยังงั้นเอง จนกระทั่งงูนั้น บ่ายหน้าหนีไป
จึงผ่านจาก เขาชะโงกมาทางนี้ ดงขุย จากดงขุยเข้าเขตท่าข้าม ชนแดนถึงทับคล้อ ตะพานหิน พิจิตร พอเข้าเขต พิจิตร ถึงโค้ง หนองหมู (?) บ้านกล้วย ข้างสวนแตง เป็นโค้งมรณะ มีรถคว่ำชนกันตาย หลายต่อหลายศพ โยมพูดว่า อาทิตย์ ๆ หนึ่ง ไม่ต่ำกว่า 4 ศพ จึงเดินผ่านไป โยมขอร้องให้ ช่วยเหลือ จึงคิดว่า จะช่วยโยม แต่ไม่ทราบ เหมือนกันว่า จะช่วยด้วยยังไง ปักกลดอยู่ ตรงโค้งหนองหมู โยมบอกว่า ช่วยทีเถอะ พ่อคุณเอ๋ย จะเอาอะไร ก็จะให้แล้ว กลางค่ำ กลางคืน ญาติโยม ไม่กล้าผ่านเลย ใจมันพอง เห็นเขาเรียก "พ่อคุณ" เข้าหน่อย ใจมันพองขึ้นสูง จึงดิ่งไปว่า โยมพาไปดูที่ โค้งดีกว่า จึงทำน้ำมนต์ แบบธรณีสาร ทำเสร็จสรรพแล้วก็พรม ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหตุการณ์ก็ยังเงียบเช่นเคย
ปักกลด อยู่ได้คืนหนึ่ง ตอนเช้าก็เดินจากโค้งหนองหมู ขึ้นมากำแพง พอเข้าเขตกำแพงก็เย็นมาก จะปักกลดก็หาที่ปักไม่ได้ เพราะมันเย็น เย็นจนมืด มองทางไหนก็มีแต่ใกล้บ้านคน ตามกฏธุดงค์ นั้นมีว่า ต้องห่างบ้านคนเส้นหนึ่ง หรือกิโลหนึ่ง จึงหาที่ว่างไม่เจอะเห็นมีต้นสนสูง ๆ ต้นโพธิ์ใหญ่ ๆ ที่ มันว่างมากตอน นั้นก็เหยียบเข้า สองทุ่มหรือทุ่มหนึ่งไม่ทราบ ผมจึงปักกลดแถวนั้น ปักกลดเสร็จ ก็เริ่มสวดมนต์ พอสวดมนต์ก็มีเสียง กึกกัก ๆ เหมือนคนเดิน แต่ไม่ได้ลืมตา สักพัก ภาพนั้นก็ปรากฏ ทั้งหลับตา เห็นมีญาติโยม มาฟังเทศน์กันหลายคน ทั้งหญิง ทั้งชาย แต่ละคนที่มานั้น ไม่นุ่งผ้ามาสักคนหนึ่ง จึงสวดมนต์ไปเรื่อย ๆ คิดว่า ไม่ใช่คนแน่แบบนี้ จึงสวดไปจนจบ พวกนั้น ก็ไม่มีอาการ อะไรเกิดขึ้น ผมลืมตาขึ้น ก็เสียงร้องกรี๊ด มองดู ตัวสูงลิบลิ่ว สองข้าง เป็นมือ ห้อยโยน โนงเนง ๆ ย้อยมาที่กลด ผมตกใจกลัว สุดขีด แต่ก็ไม่กระไร เพราะเคยผ่านมาบ้าง จึงตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้ แบบแผ่เมตตา เจ้าอสุรกายร้ายนั่น ก็ค่อย ๆ หย่อนลงมา ต่ำลงมาจนเป็นคนธรรมดา บอกว่า โยมจ๊ะอยากไปเกิดไหม ตอบว่า อยากไปแต่ไม่ใครมาโปรดสักที ถามว่าที่นี่ที่ไหน ตอบว่า เป็นป่าช้าวัดร้างเก่ามานาน ที่ตรงนี้มีต้นโพธิ์ ต้นสนนี่ก็เป็นเขตของวัด ไม่มีใครกล้าผ่าน เพราะเป็นวัดเก่า วัดร้าง พอผมรู้อย่างนั้นก็บอกว่า เอ้า ตั้งใจ ผีอสุรกายแถวนั้น ก็พนมมือกันขึ้นตอน นั้นไม่ทราบว่า กลิ่นธูปควันเทียนมันมาแต่ไหนทั้ง ๆ ที่มองไปก็ไม่เห็น จึงตั้งใจ ชักบังสุกุลตายถึง 3 จบร่าง กลุ่มนั้นก็หายไป
พอเช้า ก็ออกบิณฑบาต โยมก็เอาบาตรมาให้ เอาข้าวมาใส่บาตร คือว่าที่นี่มันเป็นป่าช้าวัดเก่า ไม่ค่อยมี ใครเขามาอยู่หรอก พระเคยมาอยู่แล้วก็ไป อยู่ไม่ได้หรอก วัดมันแรง จึงผ่าน จากกำแพง เข้าจังหวัดตาก ก่อนจะถึงตาก ก็เข้าจังหวัด พิษณุโลก ในเขตจังหวัดพิษณุโลก มีอำเภอพรหมพิมาร เข้าเขตบ้านผึ้ง มีป่า เขามากจึงเดินไปเรื่อย ๆ อากาศก็ชักเย็นขึ้น เพราะเข้าเขตเหนือ มันเป็นดอย เขาสูง ๆ มีป่าไผ่มากกว่า ป่าไม้ เสียงแกรกกรากข้างหน้า ไม่ทราบว่าอะไร แล้วก็เงียบเชียบไปหมด เสียงจักจั่นเรไรก็ไม่ร้องสักพัก เดินไปเรื่อย ๆ มันเหม็นสาบ อะไรก็ไม่ทราบ แล้วก็มาเจอะอย่างกะใคร เอาน้ำมาราดดินสักกระแป๋ง หรือ สักหาบสองหาบเลย แต่ก็ไม่รู้ว่าน้ำอะไร มันเหม็นสาบ ๆ เดินไปเรื่อย ๆ แล้วเสียงแว๊ดพร้อมกับกอไผ่ข้าง ๆ ราบลงมาราวกับว่า ช้างไม่ใช่น้อย ตอนนั้นไม่ได้ นับว่ากี่ตัว ความตกใจกลัวกลดที่บ่า เลื่อนลงมาอยู่ใน มือทำท่าวันทา ทำท่าพนมมือ แบบพระวันทา ที่หน้าโบสถ์ ตอนนั้น คิดถึงความตาย นึกถึงบารมีหลวงพ่อ ท่านช่วย อยู่ไม่ขาด เรียกกันอยู่ ทุกลมหายใจ ภาวนาว่า "อย่า ๆ อย่าเลย" แต่ไม่ทราบว่า อย่าทำไม ตอนนั้นหายใจ หรือเปล่าก็ไม่รู้ ปรากฏว่า ช้างนั้นเดินดิ่ง ๆ เข้ามาถึงตัว ก่อนที่จะถึงตัวมันก็ชูงวงขึ้นสูง งองวง ขึ้นงา 2 ข้างโผล่ออกมา ดิ่งเข้าใส่ คิดว่า อกเป็นเป้า ของงาช้างแน่วันนี้ ตัวสั่นจะหนีไปทางไหนก็ไปไม่ได้เหมือนถูกตรึงอยู่กับที่ ช้างนั้นมาถึงตัวแล้วก็ถอยหน้าถอยหลัง ร้องเสียงคำรามลั่น แล้วก็ก้มลงเอางวงงอขึ้นบนฟ้า แล้วค่อย ๆ ราบลงบนพื้นดิน ถึงสามหน ก็หันหลังพาโขลงกลับไป ตอนช้างกลับออกไปนี่ใจมันชื้น มันไม่ฆ่าแน่ จึงยืนนับว่า ช้างโขลงนั้นมี 17 ตัว
พอผ่านอำเภอพรหมพิรามไปก็เดินมาอีกไม่ไกลนัก เจอโยมจูงช้างมาเลี้ยง ขี่ด้วยจูงด้วย มี 4 ตัวเป็นโยม ผู้ชายวัยกลางคน อายุ 30 เศษ
เขาถามว่า หลวงพ่อ มากี่องค์ครับ ?
ตอบว่า มาองค์เดียว
มาจากวัดไหน ครับ ?
ก็บอกไปตามตรงว่ามาจากวัดใหม่ ตำบลวังตะกู
โยมบอกว่า ไม่กลัวหรือครับ มาองค์เดียว ?
ตอบว่า กลัว
กลัวแล้วมายังไงครับ ?
บอกไม่รู้เหมือนกัน
ถามว่า เป็นพระหรือเป็นเณร ?
ก็ตอบว่า เป็นเณร
เป็นเณรธุดงค์ได้รึ ?
ได้ซีโยม
โยมว่า หลวงพ่อบวชเมื่อไรครับ ?
อ๋อ ไม่มีกำหนด หรอกโยม ถ้าบวช บอกผมด้วย นะครับ ผมจะเอาช้าง ไปช่วยแห่ ช้างผมเคยแห่นาคมาหลายรายแล้ว
ผมก็ขอบอกขอบใจโยม พอสมควรแล้วลาโยมแถวนั้นไป ก็เข้าเขตตาก พอถึงตาก ก็มีโยมเอาอาหาร มาถวายตอนเช้า ผมนอนหลับตื่นสาย มีเด็กมาด้วย เด็กนั้นไม่ได้เดินมา แต่คลานมา เด็กเป็นอัมพาตขาอ่อน พูดได้ แต่ไม่ชัด ติดกึก ๆ กัก ๆ โยมเอาอาหารมาถวาย ผมกินไป ท่องอิติปิโสไปจนกระทั่งอิ่ม อิ่มแล้ว ก็เอาข้าวนั่นให้เด็กกิน เด็กนั้นก็กิน
โยมว่า หลวงพ่อ พอจะมียารักษาให้หายไหมครับ มันเป็นมาแต่กำเนิดแล้ว
เอ มันเป็นยังไงล่ะโยม
แต่ตอนนั้นความเมตตานันจับขั้วหัวใจว่า เมตตาเด็กมาก จึงหยิบก้านธูปที่จุดบูชาพระมา 2 ก้านอธิษฐานจิต หักก้านธูปแล้ว ขอให้เท่ากับนิ้วชี้เด็ก ถ้าจะหาย พอหักไปแล้ว มันก็เท่ากับนิ้ว ชี้เด็ก จึงวัดเท่ากับนิ้วชี้เด็ก แล้วก็หยิบก้านธูปออกมา อธิษฐานว่า ถ้าจะหาย ขอให้ก้านธูปนี้ ยาวกว่านิ้วแล้ว ก็ไปวัดแล้วมันก็หาย ตอนนั้น จึงตั้งใจว่า หายแน่โยม รับปากโยมแล้ว ก็ทำน้ำมนต์ให้เด็กกิน ไม่ทราบว่า บทอะไรท่องไปยังงั้นเอง รู้แต่ว่าจบ จบแล้วก็พอเด็กนั้นก็กินบ้าง ทาบ้าง สักพัก เด็กร้องไห้ เหมือนถูไฟลวก ดิ้นทุรนทุราย แกร้องไห้เป็นภาษาคนใบ้อ้อแอ้ ๆ สักพักแกก็พูดเป็นคนธรรมดาว่า ร้อนจัง ๆ สักประเดี๋ยวแกก็ดิ้นหกหัวหกหางแล้วก็เดินได้พูดได้ โยมคิดว่า ผมเป็นหมอวิเศษแน่ จึงถวายลูกแกให้เป็นลูก ผมก็ไม่เต็มใจรับแต่ว่า โยมเต็มใจถวายจึงนำเด็กนั้นไปด้วย
ผ่านจากจังหวัดตาก เข้าเขตจะเป็นเถินหรือลำพูนลำปางอะไรนี่ เพราะไม่เจอหมู่บ้านมีป่ามากป่าทึบหนา ผมอยู่บนยอดดอย มองลงไปข้างล่าง เห็นเป็นที่เตียน ๆ เป็นป่าข้าว อยู่ในเหวตื้น ๆ มองลงไปมันลึกมาก จึงพยายามลงไปยังที่เตียน ปักกลดที่ ๆ เตียนนั้นเย็น ๆ ก็ไม่เห็นใคร คิดว่า เอ พรุ่งนี้จะบิณฑบาตรบ้านใคร มันเย็นมากแล้ว จึงปักกลดภาวนาไปเรื่อย ๆ ประมาณสักเที่ยงคืนเศษ ๆ ได้ยินเสือร้องคำรามอยู่ในป่า สักพักหนึ่ง ก็เงียบหายไป แล้วก็มาร้องใกล้ ๆ ตัวอีกที ตอนนี้ใจชักไม่ค่อยดีแล้ว สักพัก เหม็นสาบเสือ ขึ้นเรื่อย ๆ ดินสะเทือน เพราะ เสือมันเดินมาเรื่อย ๆ ตอนนี้เองโยม ไม่ทราบจะทำยังไง คิดถึงแต่หลวงปู่ หลวงพ่อ หลวงพี่ทั้งหลาย กี่องค์ๆ ทั้งหมดที่นับถือมาก สวดนต์ไปเรื่อย ๆ คิดว่าหลวงปู่ปาน หลวงปู่ปานมาตอนเช้านะ หลวงปู่ปาน หลวงปู่ปานแหละ เรียกมากกว่าเขา เสือนั้นก็เข้ามาเรื่อย ๆ เหม็นสาบคลุ้ง ได้ยิน เสียงหายใจของเสือมันหายใจแรง จึงแผ่เมตตาให้เสือ เสือนั้นไม่รู้ทำยังไง เพราะไม่ได้ลืมตามองเพราะความกลัว ได้ยินเสียงเสือ หายใจแรง ๆ จึงลืมตา เสือนั้นคุกเข่าหมอบลง แล้วคลานเข้ามา ใช้เท้าแหย่มาในกลด ใจสั่นระรัว ว่า คราวนี้ มันเอาแน่ละ คราวนี้เอาแน่ เสือนั้น ทำตีนพะงาบ ๆ เห็น เล็บยาว ตีนเสือ เหมือนกับตีนลิง อุ้งตีนเสือเป็นวงกลม ๆ อย่างกะกลางใจ จึงสวดมนต์แผ่เมตตาให้สักพัก เสือก็หายไป
ตอนเช้าจึงเก็บ กลดเดินทางต่อไป แต่ก็ยังหาข้าวกินไม่ได้ จนถึงหมู่บ้าน
โยมถามว่า ท่านมาจากไหน
ตอบว่า มาจากบนยอกเขาโน้น
โยมร้องอู้ฮู แล้วเมื่อคืนอยู่ยังไงได้
ก็บอกว่า อยู่ตรงกลางแปลงนาที่เห็นตรงโน้นแหละ
โยมก็บอกว่า นิมนต์ก่อนค่ะท่าน โยมแถวนั้น เป็นลาว พูดไม่ค่อยชัด เอาข้าวเหนียวมาใส่บาตรให้ มีเนื้อเค็มชิ้นหนึ่ง ผมจึงเดินจากบ้านโยม ไปเจอห้วยน้ำไหล ห้วยนั้น ไม่กว้าง ประมาณวาเศษ มีหินก้อนโต ๆ หล่นระเกะระกะอยู่ข้าง ๆ นั่งบนหิน เอากลดพิงหิน แล้วก็ฉันข้าว ฉันข้าวเสร็จ ข้าวเหนียวเหลือ จึงปั้นเป็นก้อน จึงลองทำคาถา ที่เรียนมาบ้างที่รู้มาบ้างเมื่อก่อนธุดงค์ ว่าตอนนี้จะใช้ได้ผลไหม จึงใช้คาถา ทำแบบ นะเมตตา ทำเสร็จแล้วก็ปั้นข้าว เป่าข้าวแล้วโยนไว้ บนชะโงกหิน กาเก็บกิน 3 ตัว กินเสร็จสรรพแล้วก็บิน วนไปวนมา แต่ไม่ทราบว่า จะไปไหน กานั้นบินวนอยู่สักครู่หนึ่ง คิดว่าได้ผลแน่คาถานี้ ชี้มือว่า ไปทางโน้น ! กานั้นก็ไป
จึงลาจากห้วยนั้นเดินไป เรื่อย ๆ ยิ่งมีป่าลึกขึ้นเรื่อย ๆ นาน ๆ จะเจอะบ้านคนสักหลังหนึ่ง บ้านคนนั้นปลูก สูง สูงเทียม ๆ ยอดไม้เข้าใจว่า จะเป็นห้าง เข้าเขตไม่ทราบว่า จะเป็นเถิน ลำพูน หรืออะไรไม่รู้แน่ ก็เดิน ๆ ไปเรื่อย ๆ มีป่าลึกมาก เจอชาว บ้าน 3-4 คน แล้วมองไปไกล ๆ สักกิโล หรือ ไม่ถึงกิโล มองเห็นบ้าน คนเรียง ๆ ราย ๆ อยู่
โยมเล่าให้ฟังว่า แถวนี้แหละมันน่าดู
เอ๊ะ มันน่าดูยังไงโยม ? ก็ถามดูบ้าง
เคยมีคนอยู่ไฟ แล้วคนเฝ้าไฟก็นั่งหลับ เมียตายไม่รู้ตัว สภาพของศพนั้นถูกผ่าท้อง เครื่องในหายหมดคอเหวะ เหมือนถูกสัตว์กัด บอกว่า เอ ชักใจเต้นเสียแล้ว ตอนนี้โยม ไม่รู้จะทำยังไง ก็บอกโยมว่า ชักใจเต้น เป็นยังไง ?
โยม บอกว่าผีกองกอย ผีกองกอยรูปร่างยังไง
โยมก็บอกว่า ไม่เคยเห็น เคยเห็นแต่สัตว์หาย วัวควายหายไปเป็นตัว ๆ ไก่หายเป็นเล้า ๆ
กลัวก็กลัว แต่ปักกลด แล้วคิดว่า ถ้าไม่สู้แล้วจะหนีไปไหน จึงจำเป็นต้องอยู่ ปักกลดข้าง ๆ เขา เย็นโยมก็แห่กันมาเยอะ นิมนต์ให้อยู่ที่นี่ ช่วยสักทีเถอะน่าหลวงพ่อ ก็ไม่รู้จะ ช่วยยังไง จึงรับปากโยมไปทั้งๆ ที่ไม่รู้จะช่วยยังไง เพราะว่าจะเป็นต้องอยู่ โยมกำนันหรือผู้ใหญ่บ้านไม่ทราบแต่งตัวฐานะดี เตือนลูกบ้านหาฟืน มาสุมกันเข้า เป็นกองสูง ๆ มีต้นไม้ใหญ่ ห่างกลดประมาณ 5 วาหรือ 10 วา แสงสว่างนั้น เห็นกลดสบาย พอมืดสักพัก ก็มีเสียงนกร้อง เสียงสัตว์ในป่าร้อง เสียงอะไร ต่ออะไรทั้งหลายอย่าง อื้ออึงไปหมด หมอกก็เริ่มลงเม็ด มองไปมัวตาหมด ไม่เห็นป่า มันมืด เสียงใบไม้ซัดกันผัวะผะ ต้นไม้แต่ละต้นใหญ่ขนาด 2 คน 3 คนโอบ สักพักใหญ่ๆ ผมก็สวดมนต์ไปกระทั่งจบ แล้วก็นอนหลับ
ประมาณสักเที่ยงคืนเศษหรือสองยาม มันหนาวจัด นอนยังไงก็ไม่หลับ อากาศหนาว หนาวจนกระทั่งเหงื่อออก เหงื่อออกตามหน้าตามตา ใจก็เต้นแรง หูได้ยินเสียงกระซิบ อย่างกับใครมาปลุกให้ลุกขึ้น แต่ก็หาตัวไม่ได้ สักพักหนึ่ง ก็มีนกแสกร้องแคว๊ก ๆ อย่างตกใจอยู่ประมาณสักพักหนึ่ง ก็มีเสียงนก หล่นดังพลั่กข้าง ๆ กลด หยิบไฟฉาย ๆ ไปดู ก็เห็นเลือดแดง เห็นปีกนก เห็นหัวนก แต่ตัวนก ขานกไม่มี แล้วก็เสียง อย่างใครเอากระเบื้อง หรือจานร่อนไปในอากาศ ดังวื้ดแล้วก็ตุ้บ ตอนนั้น กองไฟยังไม่ดับ มองๆไปข้างหน้าเห็นร่างใหญ่อย่างกับคน สูงพอ ๆ กับคน มีขนดำ หน้าอย่างกะลิง เอนไปทางหลัง ขาไม่ใหญ่นักแต่มือยาวแล้ว ร่างนั้นก็ปาฏิหาริย์ โดดแว๊บขึ้นไปบนกกไม้ จะเป็นกกไม้ หรือกลางต้นไม่รู้ สักพัก ก็มีเสียงสัตว์ บนต้นไม้ ร้องหวีดหวิว อย่าเจ็บปวดตกใจ อยู่มา ครู่หนึ่งก็หล่นตุ้บลงมา ฉายไฟไปดูอีกทีหนึ่งก็เห็นเป็นบ่าง หางบ่าง ยาวเป็นพวง เหลือแต่หางกับหัว กับกระดูกสันหลัง ตัวนั้น ไม่รู้หายไปไหน คิดว่า เอ๊ะ คงบารมีหลวงปู่หลวง พ่อท่านมาช่วยแล้ว ท่านมาปลุกให้ลุก ก็เลยนั่งกรรมฐาน แต่นั่งไม่หลับตา ลืมตาดู เพราะความหวาดกลัว ต่อมาไม่ช้า ไม่นาน ร่างนั้นก็ปรากฏ ที่หน้ากลด แยกเขี้ยวออกยาว แบบมันยิ้ม ยิ้มอย่างพอใจลิ้นสีเขียว ๆ เลียปากสองข้างเดินดิ่งเข้ามา ใจเต้นว่า จะออกหนี จะหนีหรือไม่หนี ? แต่คิดว่าไม่หนี จึงหลับตา ๆ ๆ คิดว่า หลับตาภาวนาอะไรก็ไม่รู้ แต่ท่องเป็นคาถา จำได้ว่า "อิติ อิตะ" หรือ "อิตะ อิตุ" อะไรนี่ จำไม่ได้ แต่ก็ท่องไปเรื่อย ๆ สัตว์นั้นโถมเข้ามาที่กลด แล้วก็กระเด็นออกไปอย่างกับมีใครเขาผลัก โถมเข้ามาอีกทีหนึ่ง กระเด็นออกไป ตอนที่มันจะกระเด็น ก็มีเสียงร้องของสัตว์ ก่อนจะกระเด็น ก็ร้องเหมือนกับใครตีหรือตบออกไป มันก็พยายามโถม เข้ามาเรื่อย ๆ คิดว่า ไม่ดีแน่นแล้ว ขืนปล่อย ไว้ยังงี้มันเอาเข้าจนได้แน่ จึงหยิบลูกประคำ ปลดออกจากคอ บริกรรมนึกถึงเจ้าของลูกประคำ อธิษฐานว่า สาธุ ถ้าดินแดนท่าเหมือนนี้ หลวงปู่ปานก็ดี หลวงปู่เขียนก็ดี หลวงพ่อมหาก็ดี เป็นพระอริยเจ้าแล้ว โปรดมาช่วยลูกช้างด้วยเถอะ ถอดลูกประคำมาตอนนั้น ไม่ทราบว่า สวดอะไร แต่จำได้เลา ๆ ว่าเป็นบทสวดบท อกรณี ฯ สักพักหนึ่ง ก็มีแสงพุ่ง ออกจากง่ามมือ พุ่งเข้าใส่สัตว์ร้ายนั้น เป็นไฟลุกท่วมตัวสักพักหน่งก็เป็นควันขาวพุ่งออกไป
ตอนเช้าโยมมา เอาอาหารมาให้ บอกว่า หลวงพ่อ ๆ ตอนนั้นผมหลับ โยมมาถึงก็เปิดกลดออกไป คุยกับโยมเพราะแดดส่องสว่างจ้า
โยมถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่าครับ ?
บอกไม่เป็นไรหรอกโยม
ตัวพรรค์นั้นมันมาหาหลวงพ่อหรือเปล่าครับ ?
บอกไม่มีหรอกโยม ไม่รู้ว่า ตัวอะไร ผีกองกอยหรือ เปล่าก็ไม่รู้ จึ้งชี้ไปที่ซากของนกเค้าแมว กับซากบ่าง ตัวนั้น โยมเห็นบ่างกับนกเค้าแมวต่างพากันทำ ปากจู๋ตกใจ ทำตาโปน ๆ เห็นตาขาว ตาดำไม่มี กระเถิบ มาใกล้ ๆ
บอกว่า นี่แหละหลวงพ่อ แบบนี้แหละ ที่มันกินไก่กินหมูที่หมู่บ้านละ
น่ากลัวใช่กระมังโยม
ถามว่า หลวงพ่อครับมันไปทางไหน ?
ไม่รู้มันไปทางไหน หายไปเลยโยม
โยมนิมนต์ให้อยู่
บอกเขาว่า อยู่ไม่ได้หรอกโยม
ตะวันก็สาย ขึ้นเรื่อย ๆ ฉันอาหารแล้วก็ลาโยมแถวนั้นไป
เข้าเขตเถินแน่ตอนนี้ เพราะเจอป้ายว่า เถิน เขาเขียนว่า กองสงวนป่าเขตเถิน เพราะเป็นป่าใหญ่ ๆ เดิน ไป ๆ ก็เจอถ้ำ ๆ หนึ่ง ถ้ำนั้น ก็ใหญ่มาก ไม่รู้ว่าอะไรดลใจ อยากเห็น อยากรู้ในถ้ำ จึงเข้าไปในถ้ำ เข้าไป ๆ ตอนปาก ๆ ถ้ำก็มืดหรอกเข้าไปกลาง ๆ ถ้ำมีแสงสว่างแสงสว่างนั่นเกิดขึ้นมาจากบ่อน้ำ บ่อน้ำในถ้ำนั้น มีหินสามก้อน ก้อนหนึ่งสีแดงแช้ด ก้อนหนึ่งสีชมพู อีกก้อนหนึ่งสีเขียว หินแต่ละก้อน มีแสงสว่างพุ่งถึงเพดานถ้ำ พอเห็นแสงสว่างจากหินนั้น ผมก็เข้าใจว่า ไม่ใช่เพชรก็เป็นอะไร สักอย่างหนึ่ง แล้วยังเห็นมีบาตรใบหนึ่งเป็นบาตรแบบธุดงค์ ใหญ่มากข้าง ๆ นั้นก็เป็นแบบเงิน ทองเพชรนิลจินดา เพชรนั้นเป็นสีเขียว ๆ สีแดงก็มี แต่พลอยนั้นเป็นพลอยสีเขียวแต่สีมัวๆ วาง ไว้อย่างกับก้อนดิน หรือก้อนกรวดก้อนทรายไม่มีค่า พอเห็นว่า เป็นเพชรเป็นทองใจมันพองรวยแน่ แล้ว รวยแน่ แต่ก็ไม่อยากได้ อธิษฐาน เอ ไอ้บาตรใบนี้มัน น่าใช้หนอ คิดว่างั้น จึงเอามือไปลูบ ๆ คลำ ๆ เปิดดู มันก็สวยดี สลกบาตรนั้น เป็นแบบไหม แต่คาดทอง ลายทองระยิบระยับ สายบาตรก็สวย คิดว่าใช่แน่แล้ว สวยแน่ จิตมันตอบตัวเองว่า ของเรามัง ? จึงคว้าเอาออกมา เดินผ่านปากถ้ำออกมา
พอพ้นปากถ้ำ ก็มีลมฝน กระหน่ำ มาอย่างใหญ่ ต้นไม้ใหญ่ หักโค่นลงมา ฟ้าร้องครืนคราน ฝนเริ่มลงเม็ด ตก มองหากลดก็ไม่เห็น ตอนนี้เองใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้ออยู่ตัว แล้วคิดว่า หาประโยชน์จากถ้ำดีกว่า หันเข้าหาถ้ำ ถ้ำนั้นก็หาไม่เจอ หาภูเขาก็ไม่รู้ว่า เขาหายไปทางไหน เป็นทางมืดไปหมด หาร่มไม้ใหญ่ บังฝน ก็ไม่เจอ เหลือองค์เดียว อยู่กลางแม่น้ำ น้ำไหล มาจากบนยอดเขา ท่วมตาตุ่ม ท่วมเข่า ท่วมหน้าแข้ง ท่วมตะโพกท่วมเอว ท่วมพุง ท่วมอก จนกระทั่งท่วมคอ ตอนนี้เองใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว คิดว่า จะไปทางไหนตายแน่ ๆ คิดแต่ว่า ตายแน่ จนกระทั่งน้ำนั้นท่วมหัว ผมต้องว่ายน้ำ ว่ายจนเหนื่อย แต่ก็ไม่มีกำลัง จะต้านทานน้ำได้ เพราะน้ำมันไหลแรง ต้นไม้ใหญ่ ๆ ถอนรากถอนโคนไหลตามน้ำมา กิ่งก้านกวาดเข้าที่ผม จมน้ำลงไป โผล่ขึ้นมาก็สำลักน้ำ ตอนจม น้ำลงไปนั่นแหละ คิดว่าตายแน่ แต่ก็ไม่ตาย โผล่ขึ้นมาอีก จมลงไป อีกทีหนึ่ง ก็หมดกำลัง เพราะน้ำในบาตรมันเต็ม บาตรมันใหญ่ จึงปลดบาตรทิ้ง พอปลดบาตรทิ้ง ก็คิดว่า ตายแน่แล้ว จะภาวนาว่าอะไร ตายต้องไปเกิดในสวรรค์นะ นึกในใจ ภาวนาพุทโธ พอพุทโธปั๊บ ภาพพระก็ปรากฏ ภาพพระปรากฏ จึงภาวนาใหญ่ ผมหายสำลักน้ำมาอีกทีก็ลืมตา มองไปเห็นกลดอยู่ไกล ๆ มองไป เห็นเขาเห็นปากถ้ำ ก็มองมาที่ตัว ปากน่ะมีแต่ต้นหญ้า ขี้ฝุ่นเต็มตัว มือขาถลอกหมดเพราะว่ายดิน ตกใจกลัวรีบไปที่กลด ถอนกลดไปจากที่นันเลย อากาศก็เย็น เพราะมืดแล้ว มองไปข้างหน้ามีกองไฟ แวม ๆอยู่ คิดว่า ต้องเป็นพวกลักลอบตัดไม้มานอนแรมอยู่ในป่า จึงตั้งใจจะไปปักกลดข้าง ๆ เพราะความกลัวมันจับขั้วหัวใจแล้ว ตอนนี้ ตั้งหน้า ตั้งตา เดินเข้าไปๆ ยิ่งจ้ำยิ่งไกล ยิ่งจ้ำยิ่งไกล ไม่ถึงสักที คิดอยู่ในใจว่า มันทำไมจึงไม่ถึง แต่ก็ไม่ทราบว่า เหตุการณ์ อะไรเกิดขึ้น มองไปที่กองไฟ เห็นไฟลุกสว่างอยู่ มองไป ก็ไม่ไกล เสียงคนคุยเฮาฮา ๆ อย่าง ชอบอก ชอบใจ เดินเข้าไป ก็ไม่ถึง คิดว่า โป่งป่าหรือผีป่าเล่นงานแน่ จึงไม่ไปแล้ว ปักกลดในควนแล้ว ตายเป็นตายเถอะ มาองค์เดียว จะขอความช่วยเหลือจากใครก็ไม่ได้ จึงปักกลด รีบกางกลด ผ้ายางก็ไม่คลุม ปูก็ไม่ปู นังบน ก้อนหินก้อนกรวด รีบสวดมนต์ ภาวนาใหญ่ สักพักไฟนั้นก็ดับ พอไฟดับป่าก็มืดตื้อ
ประมาณ สักพักใหญ่ ๆ ก็มีหญิงสาวสวย เดินมาหา แกว่า หลวงพี่คะหลวงพี่ โยมแม่หลวงพี่ไม่ค่อยสบาย พอพูดจบคำ เห็นร่างโยมแม่ เดินโซซัดโซเซมาหา ร้องห่ม ร้องไห้ว่า มาก็ไม่ร่ำไม่ลา ใจอยากจะออกไป ประคองแม่แต่ก็ไม่กล้า เพราะความกลัว กลัวแสงไฟแลบ กลัวที่ว่ายน้ำ จึงคิดว่า ไม่ใช่โยมแม่แน่ อีกอย่าง หนึ่งการแต่งกายของโยมแม่แน่ อีกอย่างหนึ่งการแต่งกายของโยมแม่และผู้หญิง คนนั้นมันไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนกับ มนุษย์ธรรมดาสมัยนี้ นุ่งผ้าจีบทับตรงสะเอว เสื้อก็ไม่ใส่ ใช้ผ้าห่อนมทั้งสองข้าง มีผ้าเคียนหัว อยู่ในชุดสีเขียวแบบใบไม้ แต่กายนั้นสวยมาก คิดไปคิดมา เอ เป็นยังไง บอกว่า โยมจ๊ะ ออกไปไม่ได้หรอก หลวงพ่อว่า ไม่ให้ออก มืดแล้วออกไปไหนไม่ได้ ให้อยู่แต่ในกลด บอกว่า พาโยมแม่ไปบ้านคุณโยม ก่อนเถอะ พรุ่งนี้เช้าผมจะไปหา คิดว่ายังงั้น หญิงสาวคนนั้นก็หายไป พร้อมด้วยร่างของโยมแม่ สักพักหนึ่ง แกก็มาอีกที ตอนนี้แหละ โยมเอ๋ย ใจชักไม่ค่อยดีแล้ว แกมาหา แกทำท่าเหมือนไม่ใช่คน ทำท่าเหมือนคนอดโซกิเลสนาน ๆ แกพูดว่า แกรัก แกอยากมีผัว เปิดผ้าที่โพกหัวออก เห็นหน้าขาวนวล ใจเต้นแรงพอ เอาผ้าโพกนมออก ใจเต้นแรง ตัวลอย หลังร้อน ใจหวิว คิดว่า สึกหรือไม่สึก
อีตอนนี้ ถามว่าสึกไหม ?
ตอบว่า ไม่สึกหรอกโยม
ไม่สึก ลองดูนี่อีกทีซี พอแหงะออกไปเงยหน้าขึ้นดู แกก็โป๊หมดทั้งตัว ใจเต้นสั่นระรั่ว กิเลสจับขัวหัวใจ แต่ไม่รู้ว่า อะไรดลใจ คล้าย ๆ ว่า มากระซิบที่หูว่า เขาลองเราอย่าไปเชื่อเขานะ มันลองเรา พอคิดอย่างนั้น จึงไม่ออก ไล่ให้กลับไป พออ้าปากไล่ ร่างนั้นก็ตกใจ ตกใจเหมือนถูกอะไรถีบหรือผลัก ร้องกรี๊ด แล้วโดดหาย ไปในกอไม้ข้างๆ เป็นไม้ป่าสูงเพียงเข่า ร่างนั้นโดดลงไปแล้วก็หาย โดดออกไปห่าง แต่แปลกใจว่า ผู้หญิงทำไม ถึงได้โดดได้ตั้ง 5 วา โดดทีเดียว ร่วม 5 วา พอลืมตาฉายไฟไป ก็เห็นเสือขนาดใหญ่ เป็นเสือลายพาดกลอน หางยาวห้อยแกว่งส่ายไปมา ตาเหลือกไปมา ตาเสือเขียว หนวดกาง หน้าต่ำลงร้องโฮกใจสั่นระรัว ตอนนี้ กิเลสไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน ความกลัวจับขั้วหัวใจเข้ามาแทน จึงตั้งหน้าตั้งตา เรียกบารมีหลวงปู่ปาน หลวงพ่อมหา ไม่ทราบว่า จะยึดใคร นึกถึงหลวงพ่อพระครูสุรินทร์ด้วย ตอนนั้น จึงตั้งใจสวด สวดจนกระทั่ง ปากสั่นมือสั่น ไม่รู้ว่าสวดอะไร แต่จำได้ว่า สวดตอนนั้น อกรณีบทหนึ่ง ยันทุนนิมิตตัง อเสวนา สวดหัว สวดท้าย กลางไม่รู้ไปทิ้ง ตรงไหน ได้หัวได้ท้ายแล้วจมหัวท้าย ๆ จม เสือนั้นโจนโฮกเข้ามาอีกทีหนึ่ง โจนโฮก เข้ามาแล้วก็กระเด็นออกไป จึงว่า เออ หลวงปู่หลวงพ่อท่านช่วยแน่ละตอนนี้ เพราะเห็นเหมือนกับไอ้สัตว์ ตัวลิงตัวนั้น เขาเรียกอาการ ของเสือโดดเข้ามาแล้ว เหมือนถูกใครถีบ หรือผลักออกไป เหมือนกับผีกองกอย ตอนนั้น ใจเริ่มชื้น ขึ้นมาว่า ไม่ตายแล้ว หลวงปู่ หลวงพ่อ ท่านช่วยแน่ เสือโดดเข้ามา แล้วก็หายไป โดดเข้ามาแล้วก็หายไป ไม่ใช่หายออกไปเลย กระเด็นออกไปอยู่ห่าง ๆ พยายามอยู่ยังงั้นแหละ นึกว่า เอ จะทำยังไงดีหนอ จึงแผ่เมตตาให้เสือ ๆ นั้น ยืนสงบนิ่ง ถอยหน้า ถอยหลังแล้ว ยืนสงบนิ่งค่อย ๆ ก้มหัวลง แล้วก็เงยหน้าขึ้น ก้มลงแล้ว ก็เงยหน้าขึ้น ประมาณ 4-5 หน แล้วก็เดินจากไป อย่างไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ผมตกใจแต่ก็ใจชื้น เพราะเสือไม่ทำอันตราย จนกระทั่งแสงสว่างเริ่มขึ้นมา
ตอนกลางวันก็เดินไปเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่อาหารสักเม็ดหนึ่งก็ไม่ได้เข้าปาก ความหิวโหย ทั้งหิวน้ำ น้ำก็หาไม่ได้ เดินไปเรื่อย ๆ พบต้นกล้วยป่า ก็ฉีกกาบกล้วยขึ้นมา แล้วก็กินน้ำกล้วย น้ำมันก็ฝาด เดินไปเจอสำเลียงป่า ก็รูดในสำเลียงขึ้นมาเคี้ยว ๆ ดูดน้ำแล้วก็พ่นใบทิ้ง ทำอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งอิ่ม แล้วก็เดินไปเรื่อยๆ จน กระทั่งถึงแม่น้ำหนึ่ง แม่น้ำนั้นกว้างมาก จึงดีใจ อยากจะอาบแต่ก็ไม่ทราบว่า มีอะไรดลใจไม่ให้กล้าลงไป มองไปเห็นคนขุดเรือกัน โป๊กเป๊กๆ ประเดี๋ยวเดียวก็เสร็จ ขุดเป็นเรือลำเล็กๆ ประมาณ 2 คน หรือ 3 คน ไปได้ โยมขุดเสร็จแล้ว ก็หันมามองหน้า บอกผมถวาย หลวงพ่อ บอก เออ ดีโยม ๆ อายุ วรรณัง สุขัง พลัง ก็ว่ายังงี้ แต่ก็ไม่ได้ให้พรอะไร แต่สายตา ของโยมทุกคน เหมือนมีอะไร แฝงอยู่ในดวงตา ผมก็ลงเรือ เรือนั้นก็ไสลงน้ำ มือหนึ่งถือกลดอีกมือหนึ่งก็พลุ้ยเรือไป มองเห็นตลิ่งอยู่ใกล้ ๆ พุ้ยไม่กี่ที พยายามพุ้ยยังไง ๆ ยิ่งไม่ถึง ยิ่งพุ้ยเรือมันยิ่งถอยหลัง เอ มันยังไงหนอ คิดว่าอีกแล้ว เจออีกแล้ว จึงภาวนาถึงพุทโธ พอนึกถึงพุทโธ ภาพพระก็ปรากฏ จับภาพพระนั้น ยกขึ้นเทินบ่าเทินไหล่ เทินหัว ตอนยกภาพพระไว้เบื้องหน้า ก็พบว่าตัวเอง นั่งอยู่บนก้อนหิน สองมือพุ้ยน้ำเล่นอยู่งั้นแหละ ขาอยู่บนหิน หินสองข้าง ก็ไม่รู้ประกบขาไว้ ยังไง พยายามเอาออก ก็ไม่ออก เอ มันยังไง คิดยังไงก็ไม่ออก แต่บอกเสียก่อนว่า ดินติดหลัก กลดน่ะศักดิ์สิทธิ์ หลวงปู่หลวงพ่อธุดงค์มาละก็ ขอดินหลักกลดไว้ให้ได้ ไม่รู้ว่าอะไรมาดลใจจึง แคะดินที่ติดหลักกลดเล็ก ๆ น้อย ๆ ปั้นเป็นก้อนแล้วค่อย ๆ หย่อนลงไปในน้ำหินนั้นก็ละลายออกเป็นน้ำ ตอนนั้นจำได้ว่า น้ำน่ะเป็นแอ่ง เล็ก ๆ ไม่ใช่แอ่งใหญ่ ผมอยู่ในแอ่ง ได้ยังไงก็ไม่รู้ ทีรู้ทีแรกนะ มันเป็นแม่น้ำใหญ่ จึงรีบเดินไปจากที่นั่น ความกลัวก็เริ่มขึ้นแล้วว่า ป่าที่นั่นมันเฮี้ยน แล้วก็มันดุ โป่งป่าคงแรงแน่
พอเดินไป ๆ ก็เสียงดังแหว๊ก ! ชักตกใจอีกแล้ว ตอนนี้ไม่รู้ว่าอะไร เสียงแก็กอีกแล้วก็นึก เอ๊ จั๊กจั่นเรไร ก็ไม่ร้อง เงียบทั้งป่าเลย เสียงอะไรก็ไม่มี ยืนหันหน้า หันหลัง จะไปก็กลัวเจอแม่น้ำอีก จะไปข้างหน้าก็ยังกลัว แล้วนึกว่า จะตายก็ให้ตาย นึกถึงหลวงปู่ หลวงพ่อท่านเรื่อย เสียงก็ยังเงียบ เดินไปเรื่อยๆ สักพักหนึ่ง ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เดินไปอีก ก็ไม่มีอะไร เอ มันหายไปยังไงหนอ เดินไป เสียงโครมคราม ต้นไม้ใหญ่ ๆ หักกลางต้นอย่างกับคนเลื่อย ทำอยู่ยังงั้นแหละหลายๆ หน ใจขวัญหนีดีฝ่อ แต่มั่นใจว่า ไม่ตายแล้ว เจอมามากกว่านี่ ยังไม่ตาย แค่นี้ไม่กลัวมึงหรอก มันก็หัก อยู่ยังงั้นแหละ สักพักหนึ่งก็หาย
เดินมาจนกระทั่งเย็น อากาศเย็น เพราะทางเหนือนี่ หมอกมาก เพียง 6 โมงเศษ ๆ เท่านั้นเองหมอกขาว มองไม่เห็นต้นไม้ ได้ยินแต่เสียงใบไม้ใหญ่ ๆ ฟาดกันเสียงดังผัวะผะ มองไปเหมือนทะเล มันขาวไปหมด มีร่างดำตะคุ่ม ๆ อยู่ข้างหน้าจึงว่า โยมจ๊ะ รออาตมาด้วยซี จะอาศัยทางไปด้วยมันมืดแล้ว โยมก็เดินเรื่อย มองเห็น ใบบัวขาว ๆ คลุมหัวอยู่ เอ โยมก็ไม่รอ เดินไปใกล้ ๆ มองดูเห็นใบบัวคลุมหน้า เจาะเป็นลูกตา 2 รู เรียกก็ไม่พูด เดินจนกระทั่งทัน บอกว่า โยมจ๊ะ ทำไมไม่รอ อาตมา โยมร้องครอก ตกใจ ใช้มืดปัดใบบัว ใบบัวหล่นจากหัว เห็นว่า ไม่ใช่คน เป็นหมี แต่เป็นหมีคนขนาดใหญ่ หมีนั้น ตกใจวิ่งไปข้างหน้า ผมก็หันหลัง ทำท่าจะวิ่ง แต่ก็ไม่กล้าวิ่ง ใจชื้นที่เสียง มันตุ้บ ๆ ออกไป ไกลแล้ว จึงเดินเรื่อย ๆ เดินมา จนกระทั่งถึงหมู่บ้าน ห่างหมู่บ้านนั้น มีถนนลาดยางมะตอย
โยมบอก หลวงพ่อมาก็ดีแล้ว พวกเรารอความช่วย เหลือมานาน อะไรล่ะโยมใครเป็นอะไร โยมบางคนก็ พาลูกพาหลาน ที่ไม่ค่อยสบาย เอามาให้รักษา มีหยูกมียาติดไปก็ให้กิน โยมนิมนต์ให้อยู่ ถึงไม่นิมนต์ก็จำเป็นต้องอยู่ โยมมาคุยด้วยหลายคน โยมเล่าเหตุการณ์ ให้ฟังว่า โค้งตรงนี้น่ะเคยมีคนตาย นับตั้งแต่เป็นถนนดิน จนกระทั่งเป็นถนนลาดยางมะตอย นี่ 100 ศพ หรือ 30 ศพนี่นับไม่ได้ แต่โยมรู้ว่า ตายแน่ ตายมากด้วย จึงไม่ค่อยเชื่อโยม คิดว่า คงจะหรอกให้กลัว จะดูว่าเราเป็น พระธุดงค์มาจริงไหม หรือปลอมมา เพราะเขตนั้น มีพวกคอมมิวนิสต์ปลอมแปลงมา พวกที่คิดก่อการร้าย บอกว่า โยมพาไปดูดีกว่าโยม กลดก็ไม่ได้ปักแต่วางพิง ไม่ทราบว่า พิงก้อนหินหรือพิงอะไรไว้ โยมพาไปใช้ไฟฉายฉายอยู่กับพื้นดินเห็นเลือด หยดเป็นกอง ๆ เลือดดำ เหมือนน้ำมันเครื่องราดถนนเป็นกลุ่ม ๆ กลุ่มละ 5 ที่ 3 ที่ 2 ข้าง ๆ นั้นมีลูกกรง เหล็ก เป็นเสาปูนล้อมเอาไว้ มีทาสีดำสีขาวพาดไว้เหล็กนั้นบุบ ๆ พัง ๆ บางครั้งก็หัก บางเสาก็บิ่น เพราะรถมันชน โยมเล่าให้ฟังว่ามีรถมอเตอร์ไซค์นั่งมา 2 คน เตรียมเงินมาหลายหมื่น จะไปซื้อมอเตอร์ไซค์ รถเครื่องชนกระเด็นไปตายบนแง่หินโน้น
ตอนนั้น อากาศชักเย็นขึ้น ๆ เพราะมันมืดแล้ว หมอกเริ่มขาว แต่ยังมีแสงสว่าง ญาติโยม แห่กันมาเยอะ ถามว่า โยมใครจะไปตลาดได้ล่ะ ไม่ทราบว่า อะไรมันดลใจให้พูดไปยังงั้น
จะไปทำไม ? ไปซื้อ ตะปู
จะเอามาทำไมล่ะหลวงพ่อ ?
พูดไปว่า จะเอามาสะกด เผลอปากพูดออกไป
นึกว่า เอ เราจะ เอาบทไหนสะกดหนอ นึกไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งโยมมา
โยมมา ก็ให้เอาน้ำมัน เอาขันมา เอาเทียน จุดเข้าทำน้ำมนต์ ไม่รู้ตัวว่า สวดอะไร ประมาณสักพักหนึ่ง ก็เอาตะปูใส่ขันลงไป ตะปูดังแก๊ก กระโดดออกมาเก๊งอยู่กับถนน ทำอยู่งั้นตั้งหลายต่อหลายหน ตะปูไม่ยอม อยู่ในขันธ์สักที เอ มัน ยังไงหนอ จึงอาราธนาบารมีหลวงปู่ปาน บารมีหลวงพ่อเขียน บารมีหลวงพ่อพระมหาวีระ แถมท้าย ยังนึกถึงหลวงพ่อพระครูสุรินทร์ด้วย แล้วปลดลูกประคำที่ติดตัวไป พระเครื่องเป็นพระเหรียญ เหรียญหลวงปู่ปาน เหรียญหลวงพ่อมหา เหรียญหลวงปู่แหวน ใส่ลงไป ในขันน้ำมนต์ ตะปูนั้นก็อยู่เฉย น้ำก็เกิดปาฏิหาริย์ คือ เดือดขึ้นมา อย่างกับตั้งน้ำร้อน โยมแห่กันเข้ามาดู เหม็นกลิ่นปาก เหม็นกลิ่นลมหายใจจากญาติโยม สักพักหนึ่ง ตั้งจิตเป็นสมาธิ เกิดสมาธิแล้ว ก็เป่าลงไปในขัน น้ำนั้นก็เบาแล้วก็หาย(เดือด) จึงมั่นใจว่า ช่วยได้แน่ จึงเดินไปอีก โยมก็เดินตามไป ตอนนี้โยมไม่รู้มาจากไหน มากันมากเกือบ ๆ ร้อย คนไฟฉายจากญาติโยม ส่องกันให้เกลื่อนกลาดไปหมด เจอที่กลุ่ม หนึ่งมี 5 ที่ จึงเอาตะปู ตอกกับพื้นยาง มะตอยกลางถนน เอาขวานตอก ก่อนจะตอก เขียนตัวขอม กับตะปูว่า นะ มะ พะ ทะ จะ พะ กะ สะ งอ ออ กอ อะ นะ อะ กะ อัง เขียนต่อไป จนกระทั่ง รอบตัวหมดทั้ง 9 ตัว เขียนเยอะหลายที่ แต่ไม่ทราบว่า เขียนไป ยังไง เขียนหรือเปล่า หรือไม่เขียน แต่รู้ว่า มีตัวขอมติด แล้วก็ตอกลงไป เข้าใจว่า คงเป็นเทพเจ้า หรือบารมีหลวงปู่ หลวงพ่อท่าน เมตตา ท่านรักหน้า ไม่อยากฉีกหน้าว่างั้น พอตอกตะปู จิ่มลงไปหน่อยหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงคนร้อง หวีดหวิว แบบโอดครวญเจ็บปวด ทั้งมีเสียงคำราม ร้องไห้หวีดหวิว ดังเย็นยะเยือก ความกลัวจับขั้วหัวใจ ญาติโยมทั้งหลาย พากันมายืนอยู่ข้างหลังผม ที่อยู่หน้าก็พากันถอยมา เลือดทะลักออกมา เลือดแดงฉานเหม็นคาวคลุ้ง ยืนสงบนิ่งสักพัก เลือดนั้นก็ค่อยเดือดปุด ๆ ขึ้นมาตามรูตะปู จึงแข็งใจ ตอกลงไปไม่สงสาร ทีแรกก็สงสาร เพราะมีเสียงร้องออกมา ตอกลงไป ๆ จนมิด ทุกที่ ๆ ตอกลงไป จะมีเสียงร้องแบบโอดครวญ แล้วมีเลือดทะลักออกมาหมดทั้ง 9 ที่ จึงกลับไปที่กลด ปักกลดแล้วตอนนี้
พอปักกลด คืนนั้นหลายหลายมาก ญาติโยมไม่รู้ มาจากไหน คุยกันประมาณเที่ยงคืน โยมก็ลากลับไป ตอนนั้นความกลัวไม่กล้าประมาท สวดมนต์ไปสวดได้ ก็ไม่ต้องกาง แบบสวดไม่ได้กางหนังสือ เป็นพิธีสวดกันถึงครึ่งเล่มทั้ง ๆ ที่อ่านไม่ค่อยออก แต่ก็พยายามสวด เพราะความกลัว สักพักหนึ่ง ก็มีโยมมาคุยด้วยประมาณสัก 20 คนได้ แต่ก็สงสัยเหมือนกัน ได้ยินเสียงโยมพูดมันสั่นเครือ บอกว่า เดี๋ยวก่อนนะโยม กิจยังไม่สำเร็จ จึงสวดมนต์ไปเรื่อย ๆ จิตมัน ตอบว่า ไม่ใช่คนแน่ จึงถามดัก ๆ ว่าโยมนี่ ต้องการอะไรล่ะ มาต้องการส่วนบุญส่วนกุล ทีนี้ความเย็นเยือกเข้าจับขั้วหัวใจเลยว่า ใช่แน่แล้ว ใช่แน่ พออย่างนั้นเอง ภาพปรากฏตรงหน้าก็ลืมตา เห็นมีเป็นภาพซากศพของ คนแบบตายใหม่ ๆ เลือดเกรอะกรัง แขนขาด ขาขาด หัวขาด พุงทะลัก เก็บมากอง ๆ กันไว้ อย่างกับกองดุ้นฟืน มองเห็นศพเกลื่อนกลาดระเกะระกะ จึง เอ๊ะยัง ไม่ยอมอีกกระมังหว่า นึกในใจ จึงตั้งใจสวดแบบอกุสลา สวดจนจบแต่ก็ไม่ทราบว่า ท่องผิดหรือถูกแต่รู้ว่า จบ แกก็ยังไม่ยอมหาย จึงว่า เอ มันยังไงหนอ จึงสวดแบบ อุตติ อุตตะ มหาอุปัต มหาอุปัต กัตตามิติ อันนี้ ก็ไม่รู้คิดมายังไง พอสวดจบ ร่างนั้ก็กลายเป็นมนุษย์ธรรมดา พนมมือกันแต้ กลิ่นธูปควันเทียนหอมให้คลุ้ง ไปหมด
ก็ถามโยมอีกทีว่า โยมจ๊ะอยากไปเกิดกันไหมตอนนี้
โยมอีกคนหนึ่งเป็นชายนั่งออกหน้าเขาหมด บอกว่า อยากไปซี อยากไป
อยากไปก็ให้ตั้งใจ ก่อนที่จะถามว่า อยากไปเกิดไหมน่ะ ถามว่า โยมมาอยู่ที่นี่น่ะกินอะไรจ๊ะโยม โยมไม่มีกินหรอก
อยู่ทำไมล่ะ ?
อยู่ไปยังงั้นเองแหละ เคืองมัน มันปล่อยให้ตาย
แล้วโยมทำเขาได้อะไรล่ะ ?
บอกได้ซี ได้ความแค้นยังไงล่ะ เคืองเขาว่า ปล่อยให้ตายจึงคิดว่า เอามันมั่ง ปรากฏว่า ตายหลายต่อหลายศพ
จึงตั้งใจบอกว่า โยม ถ้าอยากไป เกิดจริง ๆ ละจงตั้งใจนะ ร่างปีศาจเหล่านั้นก็พนมมือกัน ตอนนั้นจำว่า มันมีกลิ่นเหม็น เหม็น มากจนแทบหายใจไม่ออก แต่ก็ตั้งใจ ชักบังสุกุลตาย 3 หน ร่างนั้นก็หายไปหมด
เช้าตื่นขึ้นมาสาย เพราะมันนอนหลับดึก โยมเอาสำรับมา จำไม่ได้ว่ากี่สำรับ แต่ตั้งใจว่า สำรับ ตั้งแต่หน้าข้าพเจ้า ประเคนติด ๆ กัน ยาวประมาณ 5 วา แต่กว้างเท่าไหร่ไม่รู้ คิดว่าต้อง 5 วาแน่ สำรับนั้นมาก จึงยกบาตรไปตั้ง บอกว่า โยมมานี่ก็ดีแล้ว เอาข้าวนี่ใสบาตรโยมเอาอาหารใส่บาตรจึงถามว่า หลวงพ่อ แล้วแกงกับขนมนี่จะทำยังไงล่ะ ใส่ไปปนกันแหละโยม โยมทำปากจู๋ ทำท่าแบบกินไม่ได้ จึงบอกว่าใส่ไปเถอะ โยมทำตาเหลือก ๆ จะกลัวหรือเกรงใจไม่ทราบ โยมจึงนั่งกินข้าว กินไปด้วยโยมก็เล่าให้ฟังว่า โค้งตรงนี้ ศักดิ์สิทธิ์ มีคนตายมาหลาย ๆ คน มีรถปิคอัพ มาคันหนึ่ง 5 คน ครอบครัวหนึ่ง ชนกับกำแพงตายหมด รถมอเตอร์ไซค์มาก็ตาย รถเก๋งมาเป็น ครอบครัว ของปลัดอำเภอพร้าว ย้ายกลับสู่กรุงเทพก็มาตาย รถ10 ล้อ ขับเลยไปลงเขาไปเลย ก็ตายหมด โยมเล่าว่า รถ 10 ล้อ ชนคนขับรถมอเตอร์ไซค์กระเด็นไปตายบนม่อน กลางคำากลางคืน คนจะไม่กล้าผ่านเลย คนต่างถิ่นขับรถผ่านมา รถนั้นก็จะถูกทำจนกระทั่งเครื่องดับบาง ทีก็มาเสียตรงนั้น หรือน้ำมันหมด แล้วจะมีเหตุการณ์ให้เห็นแบบนี้ ญาติโยมที่ผ่านมา บางคนก็จับไข้ ถึงขนาดหัวโกร๋น บางคนที่เห็นเหตุการณ์ เมื่อวานนี้ ก็กลัวจะไม่สบาย ก็ทำน้ำมนต์รดโยมตรงนั้นเอง จำได้ว่าท่องนะโม 8 บท ท่องเสร็จแล้วก็รด รดเสร็จโยมก็นิมนต์ให้อยู่ที่นั่น ว่าจะสร้างเป็นห้องให้อยู่ ตอบว่า อยู่ไม่ได้หรอกโยม ยังไม่ถึงที่อยู่ จึงลาโยมแถวนั้นไป โยมนั้นพากันเดินไปด้วย บางคนก็ขับรถไปด้วยแล้วคุยไปนิมนต์ขึ้นรถ ใจอยากจะขึ้นเหมือนกันแต่ว่า ขึ้นไม่ได้ตอนนี้ ไม่ทราบว่าอะไรมัน สะกิดใจจึงไม่ขึ้น โยมนั้นไปกันหลายคน ไปส่งผมไกลมาก ไกลพอดู โยมจึงลากันกลับ แล้วบอกว่า โชคดีนะหลวงพ่อ ไปดีมาดี ขากลับละ แวะโปรดพวกผมอีก คิดไว้ว่า ขากลับจะมาแวะ แล้วก็เดินไป อีกเลยตอนนี้ ไม่ทราบว่าเข้าเขต อะไร คิดว่าคงเป็นเมืองเชียงใหม่ มีเขามาก เขามากมายพอดู
คิดเอาเองว่า เอ แถวนี้จะมีวัดไหมหนอ มองหาวัดก็ไม่เจอ มีแต่ทิวเขาขุนเขามากมาย น้อยใหญ่ ระเกะระกะ เดินไปบนเขา ขึ้นไปสูง ข้างล่างเป็นป่า ป่าเล็ก ๆ แล้ว ก็ล้มป่าแบบจะปลูกป่าสัก ขึ้นไปแล้วก้าวพลาด กลิ้งลงมาจากยอดเขาถึงกกเลย ก่อนจะกลิ้งลงมานั้น กลดกลิ้งออกหน้ามาอีก ทางหนึ่ง ไม่ทราบว่า บาตรที่สะพานอยู่ หลุดออกมายังไง กลดนั้นไปพิงกับไม้ ที่เขาบาก เป็นปากฉลามเข้าไว้ แล้วบาตรก็พิงอยู่ ผมกลิ้งลงไปจึงไปปะทะที่กลดและบาตร พอรู้สึกตัวก็แหงะดูข้าง ๆ คิดว่า เออ ถ้ากลดไม่ช่วยตายแน่ ไม้ปากฉลามนี่มันคงเสียบทะลุแน่ จึงค่อย ๆ ไต่ลงมา ไม่ให้ขึ้นไปก็ดีแล้ว จึงเดินไปข้างล่าง เดินไปเรื่อย ๆ เสียงนกหวีดเป่าปรี๊ดขึ้น เอ เสียงอะไร เสียงนกหวีด มองไปบนยอดไม้สุด เห็นยอดไม้กิ่งไม้หวั่นๆ สักประเดี๋ยว ก็มีพวกแม้วมากลุ่มหนึ่ง แต่งตัวแบบนุ่งกางเกงจีน มีอาวุธครบมือ อาวุธปืนแบบทันสมัยบอกว่า หยุดก่อน นะท่านเข้ามาตายแน่ พูดแบบภาษาคนไทย ถามว่า ท่านมาจากไหน เป็นใคร ชื่ออะไร ก็บอกไปตามความจริง แล้วควักใบสุทธิให้แกดูแกก็ดู ๆ ๆ ๆ พลิกไปพลิกมา เข้าใจว่า อ่านหนังสือไม่ออก บอกว่า เข้าไปได้ จะไปที่ไหนตอบว่า ไม่มีจุดหมายหรอก แล้วไปยังไง เข้าได้ออกไม่ได้ ผมก็เดินผ่านหมู่บ้านนั้นไป พวกแม้วนั้นเดินไปส่ง กลัวผมจะเป็นอันตราย จากสัตว์ร้ายในป่า เดินไปก็เจอไก่ป่าอยู่บนกิ่งไม้ พอเห็นผมมัน ก็ดีอกดีใจ เอาปีกกระพือดังพึ่บ ๆ ๆ ๆ เอกอี๋เอ้กเอ้ก แม้วยกปืนขึ้นยิงปัง ไก่นั่นก็ตกลงมา แต่ไม่ได้ตกลงมาสู่พื้นดิน เพียงแต่หล่นลงมา เอาตีนเกาะกิ่งล่างอยู่ หัวห้อยลงมาข้างล่าง แม้วยกปืน แล้วก็เล็งแล้ว ก็ยิงปังไป ผมก็หยุดดู เลือดไก่หยดสาดลงมา แต่ไก่นั้นไม่ยอมหล่น ยิงกระทั่งหมดแม็ก ฯ แม็ก ฯ ปืนยาวประมาณคืบ ไก่ก็ไม่ยอมหล่น
จึงถามว่า มันเป็นอะไร อีกคนตอบว่า ไม่รู้ซี ถามหลวงพ่อดีกว่า
ผมก็ตอบว่า เจ้าป่าเขาไม่เต็มใจให้ละมัง โยม ขอซีจะได้
แม้วนั้นก็ยกมือขึ้นพนม บอกขอเฮาเถอะ สักประเดี๋ยว ไก่ก็หล่นตุ้บลงมา
แล้วก็เดินทางไปเรื่อย ๆ เลยหมู่บ้านไปเข้าเขตเขา เจอเอารถไม้ แม้วใช้รถ ไม่ใช่ 10 ล้อ ปิคอัพหรือรถเก๋งหรอก แต่ใช้รถใช้ไม้เป็นลูกกลม ๆ ขึ้น เอาไม้อันใหญ่แข็งแรง เจาะเป็นล้อรถ ข้างหน้า ข้างหลัง 4 อัน แล้วเอามือจับ โยกซ้าย โยกขวา รถนี้ใช้วาง แล้วไหลไป จากยอดดอยได้ ขับรถลง มาเห็นผมกำลังจะปักกลด บอกว่า นิมนต์เถอะครับ นิมนต์เถอะ อยู่ตรงนี้ไม่ได้หรอก เคยมีบ้านคนอยู่ แล้วถูกรื้อ คนก็ตาย มีไร่ อ้อยก็ทำไม่ได้ ทำมาหากิน แถวนี้ ไม่ได้เลย ทำไม่เล่าโยม ? ช้างมันรังควานหมด แต่ใจคิดว่า ไอ้หมอนี่ โกหกแน่ ไม่เต็มใจอยู่หรอก จึงปักกลดไม่เชื่อมัน ปักกลดเสร็จสวดมนต์ประมาณ 3 ทุ่ม 4 ทุ่ม ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนกระทั่งนั่งหลับพิงกลด แต่ไม่ยอมนอน ตอนนี้จะนอน มันก็นอนไม่หลับ หนึบหนับ ๆ แต่ก็ง่วงนอน แต่ก็ไม่ยอมหลับ ประมาณสักเที่ยงคืนเศษ เสียงต้นไม้ น้อยใหญ่ในป่า หักโครมคราม ๆ เสียงร้อง แปร๊ด หรือเสียงแว๊ด ๆ อย่างกับคนตกใจ เสียงแบบ ลูกวัวร้องเรียกแม่ สักประเดี๋ยวเดียวร่างดำ ๆ ใหญ่ ๆ ก็พามา เรียงคิวเข้ามา หูสองข้าง กระพือแบบ เอากระด้งฝัดข้าว งวงชูขึ้นสูง ดิ่งเข้าใส่ พอดิ่งเข้าใส่ มันวิ่ง เข้าใจว่า จะเป็นหัวหน้าฝูง เป็นช้างยาว ตัวยาวใหญ่ กระดูกสันหลังสูงเหมือนช้างขนของ ดิ่งเข้าใส่ ผมตกใจกลัว กลัวจนกระทั่งตัวแข็ง ไม่รู้จะพูดอะไร พูดอะไรหรือเปล่าก็ไม่รู้ ภาวนาก็ไม่ได้ภาวนา ช้างนั้นดิ่งเข้าใส่ จนจะถึงกลด ช้างเดินวน ๆ แล้วก็จับภาพพระพุทธรูปได้ ก็จับภาพพระพุทธรูป มาตั้งบนหน้าตัก ขึ้นบนบ่า ยกขึ้นเทินหัว ตั้งบนยอดกลด ช้างนั้นถอยหลังออกไป ถอยหน้าถอยหลังอยู่สักพัก ช้างลูกโขลงก็พากันวิ่งมา ดินสะเทือน สั่นหมดตอนนั้น ดินก็สั่น ตัวก็สั่น ปากก็สั่น ใจก็สั่น หลับตาก็เห็นภาพช้าง ก็คิดว่า ลืมตา แหละดี เห็นภาพชัดดี ตายเป็นตาย ช้างตัวนั้น ก็เก่งจัง ยืนขวาง อยู่หน้ากลด ช้างฝูงในโขลง วิ่งมาถึง ใช้งวดดันให้ช้างวิ่งเลยไป จนกระทั่งถึงตัวสุดท้าย เป็นช้างไม่มีงา มีแต่งวง ร้องแปร๊ด ส่งเสียงคำรามดิ่งเข้าใส่ ช้างตัวนั้นใช้งวงดัน กลดเอนเข้ามาอีก เอนเข้ามา ประมาณ 2-3 หน ช้างตัวนั้น ยกงวงขึ้นสูง แล้วกด ตุ้บลงไป กลางหลังไอ้ตัวนั้น เสียงร้องแปร๊ด ออกมาอีกที เหเข้ามาอีกที จวกเข้าไปอีกที เสียงดัง ตุ้บใหญ่ ถ่ายอุจจาระออกมา พรูดเป็นกองใหญ่ ใหญ่กว่าแปลงข้าวกล้าเล็ก ๆ ฉายไฟดู มีหนามไผ่ระเกะระกะเป็น หญ้าเขียว ๆ บ้างใบไผ่เขียว ๆ ขี้ช้างหยาบจริง ๆ ใบไผ่ทอนสามสี่ อ้อยป่าทอนสามทอนสี่ ก้านกล้วยเพียง แต่ฉีก ๆ เท่านั้นเอง มันขี้ออกมา
ตอนเช้าโยมเอาอาหารมาให้ โยมเห็นชี้ช้างแล้วผมไม่เป็นอันตราย พากันมาดูเยอะหมด เอาอาหารมาให้ นิมนต์จะให้อยู่ ผมบอกว่า รับปากไม่ได้หรอกโยม จึงเดินเข้าป่าลึกไปอีก อีตอนนี้ก็ ประมาณสักเที่ยงวันได้ ถูกแดดนึกง่วงนอน จึงปักกลดกลางวันเลย ปักกลดแล้วจะนอน พอนั่งหลับตาจะนอน ก็มีเสียงกึก ๆ ๆ ๆ กลดหวั่น เอ๊ะ มันเป็นอะไร กลดถึงได้หวั่น ลืมตาไปก็เสียงแกร๊ก ๆ มองไม่เห็นตัว เห็นแต่ใบไม้หวั่น ๆ อยู่บนยอดไม้อะไรเอาอีกแล้ว นึกว่าอย่างนั้น ก็ทำท่า หลับตาอีก อีตอนนี้เห็นเลย ลิงหัวโต ๆ ค่อย ๆ ไต่ลงมา โจนพรึ่ม มาบนยอดกลด แล้วเอามือเขย่า ๆ ยอดกลดหวั่น ๆ เอ๊ ไอ้ลิงตัวนี้มันยังไง มันลงมาโจนพรึ่ม มาบนยอดกลด แล้วเอามือเขย่า ๆ ยอกกลอหวั่น ๆ เอ๊ ไอ้ลิงตัวนั้นี้มันยังไง มันอยู่อย่างงั้น หลายหน จนผมชักโมโห จึงหยิบข้าวก้นบาตร เป็นข้าวเหนียวปั้นเป็นก้อน ๆ แกล้งโยนไปที่กกไม้ พอโยนไป ความไวของลิง โดดแพล้บมารับข้าวแล้ว โดดขึ้นไป เอาขึ้นไปกินบนยอดไม้ สักพักรูดใบไม้ลงมาข้างหน้า ขี้ลงมาบ้าง โยนใบไม้บ้าง แล้วก็ไต่ลงมาอีก โยนไปอีกก้อน ก็รับไปกินอีก ลิงทั้งหมด หลายตัวเป็นฝูง รับเอาไป แล้วก็ไปแย่งกันกิน ประมาณสักสามก้อน ใจไม่ค่อยดี มันจะทำร้ายหรือเปล่าก็ไม่รู้ มันมองตาแป๋ว จึงว่า เข้ามาซี เอ้า เข้ามาก็เข้ามา ไม่รู้ว่า อะไรมาดลใจ จึงเปิดกลด ลิงนั้นก็มุดเข้ามา ลูกน้องก็วนอยู่ข้างนอก เข้ามาได้ มานั่งอยู่ห่าง ๆ ไม่รู้ว่า จะทำยังไง มันก็เอามือโหนหลักกลดขึ้นไป ใช้สองมือรั้งเส้นลวดแล้วก็โยนไปโยนมา เลยเอามือตีตูดมันปั๊บ มันแยกเขี้ยวร้องครอก ทำตาเขียวแล้วมันก็ค่อย ๆ ลงมา แล้วมันก็ขึ้น อยู่ยังงั้นแหละ จึงไล่มันบอกว่า ออกไป แล้วตลบมุ้งขึ้น ลิงค่อย ๆ ไต่ออกไป ผมลาลิงไป ลิงฝูงนั้นก็เดินตามไป แต่ตามไม่ไกล ตามไปตัวเดียว ตามไปเรื่อย ๆ
เดินไปอีกไม่ไกลนัก ก็พบช้างนอนซุกอยู่กับก้อนหิน ช้างนั้นถูกตอไม้สวนตีนเข้า มีหนองมองเห็นเนื้อใส ๆ มองเห็นหนาม ที่สวนเข้าไปดำ ๆ ยาวประมาณใกล้ศอก ช้างพยายามจะยกขาหนี แต่ก็หนีไม่ได้ เอางวงชู ขึ้นร้องแว๊ก ๆ แล้วก็ฟาดกับดิน เสียงดังบีก ๆ ผมก็ว่า ไม่ต้องหนีหรอก ไม่ทำอันตรายหรอก จะช่วย คิดว่า จะช่วยก็เอาขวานที่ติดไปไปพันเปลือกไม้ขึ้น เอาเปลือกไม้มาวาง รองตีนช้าง แล้วก็ใช้ขวานนั้นแหละ ผ่าที่ปากแผล ถูกหนาม หนองทะลักออกมาขาวจั๊วะ เอามือรั้ง ก็ไม่ออก ช้างนั้น ก็ยกตีนขึ้น เพราะความปวด จึงใช้ปากกัด หนองทะลักใส่หน้า ใส่จมูก แต่ตอนนั้นไม่คิดอะไร เหม็น แต่ตั้งใจจะช่วย ใช้ปากกัด กัดรั้ง จนฟันเจ็บมันก็ไม่ยอมออก จึงใช้ขวานเถือน้ำมันเน่าติดมาเป็นยวงๆ พอหลักมันหลุดเป็นคล้ายๆ หลักไผ่ หลุดออกมามีเนื้อช้างติดออกมาด้วย อย่างกับเปลือกกล้วยเขาปอกเปลือกนั่นแหละ ออกมาทั้งยวงเลย จึงเอาเปลือกไม้ห่อหน้าตีนช้าง ใช้เถามัด ช้างก็เป๋ไปเป๋มาจึงให้เด็กที่ไปด้วย ตัดต้นกล้วยป่ามา เอากล้วยให้ ช้างกิน ช้างกินกล้วย สักพักหนึ่ง พยายามจะลุกขึ้นลุกไม่ไหว ส่งกระบอกน้ำให้ช้างช้างเอางวงจับกระบอก น้ำเทลงไปใต้งวง สักพักหนึ่ง ช้างพยายามลุกขึ้น ช้างนั้น ผอมกระดูกเป็นซี่ ๆ ผิวเป็นโครง อย่างกะไม้ซีก ผมไม่รู้จะช่วยช้างยังไง ช้างนั้น ก็พยายามเดิน ผมบอกว่า ลาก่อนนะไอ้เพื่อนยาก ถ้าไม่ตายก็กลับมา พบกันอีก
ผมก็เดินมาสัก 3-4 วัน ก็เข้าเขตมีขุนเขามาก แต่ว่าไม่ไกลหรอก จะถึงวัดหลวงปู่ครูบาธรรมไชย เอ มัน เขตอะไรหนอ ก็ไม่ทราบว่า เขตอะไร รู้แต่ว่า เขตเชียงใหม่ ถามว่า แถวนี้เรียกดอยอะไร เขาบอกว่า ดอยสุเทพ ถึงดอยสุเทพ มันเกิดแบบว่า เมื่อยอีกทีหนึ่ง จึงปักกลด ปักแต่ไม่กาง นั่งพิงหลักกลด อยู่ใต้ร่มไม้ หลับตา ความเหนื่อย ทำให้ผมหลับจนลืมตัว ฝนตกลงมากลางวันแสกๆ ผมก็ไม่รู้ว่า ฝนตก รู้ตัวอีกที พอลืมตาปรากฏว่า อยู่บนยอดดอยสุเทพ มีคนนุ่งขาวผมยาว เขาเรียกว่า เนกขัมมะนารี
ถามว่า โยม ผมขึ้นมาไงล่ะโยม
โยมตอบว่า มีแม้ว 2 คน ผัวเมีย อุ้มท่านขึ้นมา ท่านมาจากไหนล่ะ ?
ก็บอกโยมไปตามตรงว่า มาจากวัดใหม่วังตะกู โยมร้อง โอ้โฮ มาไกล มากี่วัน เล่า
ตอบว่า ไม่รู้ ไม่ได้นับหรอก
โยมชวนให้อยู่ที่นั่น มีโยมหลายคน เป็นคนนุ่งขาวห่มขาว แต่ไม่โกนหัวเยอะไปหมด จึงมาดอยสุเทพ ปักกลดที่นั่นคืนหนึ่ง ตอนเช้าหิวข้าว แต่ก็ไม่ได้บิณฑบาต แต่มันก็ไม่หิวมาก จึงเดินลงมาข้างล่าง มาเจอบ้านญาติโยม เจอคนหนึ่งถือขัน ไม่รู้ว่า รู้ยังไงว่า ผมจะลงไป ถือขันคอย ท่าอย่างกับตักบาตรเทโว ยืนกันเป็น แถว ๆ หยิบอะไรไม่ทราบเป็นก้อนๆ ใส่บาตรลงไป เราก็เปิดฝาบาตรรับ แล้วก็ไปฉัน ฉันเสร็จแล้ว ก็เดินไปเรื่อย ๆ เดินไป 2 ฟากทาง เป็นถนนลาดยางมะตอย ถนนตัดผ่าน กลางขุนเขา มองไปเห็นมี รถเก๋งสีขาว อีกคันหนึ่งสีชา จอดอยู่ข้างๆ มีญาติโยม เยอะไปหมด โยมว่า รถหลวงปู่ครูบาธรรมไชย หรือ หลวงปู่แหวน ความดีใจ จึงรีบเดินลงมา หมายจะมากราบท่าน พอเดินมาถึง ท่านก็เปิดประตูรถ จึงกราบท่าน ที่หน้าต่างประตูรถ กราบท่าน ๆ ก็ให้พร ไปดีมาดี นะลูกนะ นักมวยน่ะ คู่ชกน่ะ เขาต้องดูคู่ชก ให้สมตัวกัน มวยแก่ก็ต้องเอาคู่แก่มาชก ไปกราบหลวงปู่ครูบาธรรมไชย ท่านก็ อวยชัยไห้พร จึงเดินลาออกไป ประมาณ 5 วาเศษ มองมาดู อีกทีก็ไม่มีรถ จึงเดินมา จนกระทั่งถึงวัดหลวงปู่แหวน
ดิ่งขึ้นไป วัดหลวงปู่แหวน เจอพระกำลังขุดอิฐ จะเอาไปทำที่โบสถ์ ให้มันสำเร็จ เจอท่านอาจารย์หนู แล้วก็ เดินย้อนเข้าไปอีกที ท่านบอกเข้าไม่ได้หรอก ทางนี้ไม่ให้เข้า ผมจึงเดินย้อนมาเข้าทางนี้ เขาเขียนว่าทางขึ้น พอเดินมาอีกที ก็เห็นหลวงปู่แหวน แต่ไม่รู้ว่า เป็นหลวงปู่แหวนหรอก เป็นพระองค์ แก่ ๆ ใช้ไม้ง่าม เป็นสามง่าม ค้ำพื้นเดิน กระโดกกระเดกลงมา โอ ลูกเณรมายังไงลูก พอพูดจบคำก็กลิ้งผล็อย ๆ ลงไปในเหวระกำข้าง ๆ มองดู บนยอดระกำ หนามยาว ประมาณนิ้ว โผล่ขึ้นจากพื้น หลวงปู่แหวน หล่นลงไปในนั้น ตกใจตายแล้ว หลวงตาแก่องค์นี้ตายแน่ แต่คิดว่า เป็นหลวงปู่แหวน ตอนที่เห็น บนรถไม่มีไม้เท้า ตอนนี้มี ไม้เท้า เห็นบนรถ คอก็ไม่เอียง แต่ตอนนี้คอเอียง จึงขึ้นไปจะไปตามพระบนวัด ให้มาช่วย หลวงตาตกลงไปในเหว พอขึ้นไปอีกทีจิตนึกว่า หลวงปู่แหวนแน่ ยืนขวางหน้ายิ้ม ๆ ผมจะเดินตามไป ก็ปวดท้องเบา จึง แวะไปเบาในส้วม เดินตามขึ้นไป เจออาจารย์หนูขวางหน้าอีก เข้าไม่ได้ หลวงปู่แหวนจำวัด ท่านตื่นเสียก่อน จึงจะเข้าไปได้ อาจารย์หนูพูดยังงั้น แล้วก็มีพระเณร มาอีกหลายองค์ กำลังขุดอิฐอยู่ก็หยุดถามว่า มาจากไหน บอกตามตรง อาจารย์หนูพูดเสียงดังว่า ไม่ยอมให้เข้า สักพักเสียงประตูก็เปิดขึ้น หลวงปู่แหวนใช้ ไม้เท้ายื่นมาข้างหน้า แล้วก็ใช้ไม้ค้ำ ๆ ๆ พูดว่า เออ มาไง ลูกเณร เข้ามาข้างในก่อนซีลูก ผมดีใจมาก ที่ท่านเปิดประตูมารับ จึงรีบเข้าไป อาจารย์หนูหันหลังให้ เดินไปกุฏิ เปิดประตู ปิดฝาประตูดังปึง ผมเข้าไปคุยกับหลวงปู่แหวนสัก 2 ชั่วโมง เอ ถึงหรือไม่ถึง คิดว่า คงถึงไม่ถึงก็กว่า ไม่กว่าก็ถึง 2 อย่าง จึงลาหลวงปู่แหวน หลวงปู่แหวนบอกว่า ตั้งใจนะลูกนะเอาจริง ๆ จัง ๆ บอกว่า พระอรหันต์น่ะ ตั้งแต่บัดนี้ไป จน... จะ เกิดนะ จะมีพระอรหันต์มาก เท่าสมัยพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น ความดีใจ มีกำลังใจ ที่หลวงปู่ให้ธรรมะ ขอธรรมะ หลวงปู่ท่าน ให้มา 5 อย่าง คือ เกศา โลมา นขา ทันตา ตโจ บอกว่า ทำได้ให้กลับไปหาท่าน ต้องการฤทธิ์ ต้องการเดช ท่านจะให้ ก็ดีใจ คิดว่า คงไม่เหลือวิสัยหรอก เกศา โลมา นี่ ถามหลวงปู่ท่าน ก็บอกว่า เกศา ผม บอกไปจนถึง อันดับสุดท้าย กลับลงมา เห็นอาจารย์หนู คุยอยู่กับโยมที่ข้าง ๆ โบสถ์ ตอนลงอ้อมไปทางโบสถ์โน่น ตัวอาจารย์หนู คุยกับโยม ก้มลงกราบท่านอาจารย์หนู อาจารย์หนู เหลือบเห็นผมกราบ จึงเดินพรึ่ด ๆ หนีไป โยมถามว่า อ้าว ท่านอาจารย์หนู ไม่รับกราบเณรเล่า โยมคนหนึ่งพูดอย่างนั้น รู้ว่าผมเป็นเณร เพราะหลวงปู่ทัก ท่านก็เงียบ ผมกราบถึง 3 หนแล้วก็เดินลาออกไป ลงไปจากวัดหลวงปู่ก็ไม่ไกล นักประมาณสักกิโลเศษ ๆ โยมบอกว่า แถวนี้เจดีย์เยอะ แต่ผมก็ไม่เห็นเจดีย์ โยมถามว่ามา จากไหน ผม บอกว่า มาหา ที่ศักดิ์สิทธิ์ โยมว่า โน่นธาตุกาหลงโน่น คนทางเหนือ เจดีย์ เขาเรียกว่า ธาตุ ธาตุกาหลงน่ะ ศักดิ์สิทธิ์ แต่กาบินไปเกาะ ยังบินไปไม่ได้เลย มันหลง อิฐบางก้อน บางคนเอาไปบูชา แล้วเหนียว อยู่ยงคงกระพัน ทำงานค้าขาย ก็ได้กำไรรวยดี บางคนเอาไปแล้วเกิดอุบัติ (เหตุ) รถคว่ำรถชนถึงความตาย หินนั้นก็ต้องเอากลับมาคืน จึงเดินดิ่งไปที่ธาตุกาหลงนั้น
พอถึงธาตุกาหลง ก็ไปกราบ มองเห็นธาตุเก่าประมาณพันปี ยอดทำด้วยทองแท้ทองนั้นสีแดง ถูกแสงอาทิตย์ส่องแสงเหลืองอร่าม ไปกราบที่ธาตุ มองดูที่ธาตุ ทำเป็นลูกกรง หรือกำแพงสี่เหลี่ยม มีพระพุทธรูปหัก เหลือแต่หน้าอก แขนขาหัวศีรษะไม่มี มีแต่หน้าอกมีพระพุทธรูป 4 องค์ มีหน้าต่าง เจดีย์ 4 บานพระพุทธ รูป 4 องค์ เป็นพระทำด้วยทอง เข้าใจว่า เป็นทองเหลือง เพราะยังเหลืออยู่ ตอนนั้น ผมก็ก้มลง กราบอธิษ ฐานจิตว่า ถ้าข้าพระพุทธเจ้า มีบุญกุศลอยู่บ้างแล้วให้ (สามารถ) ทะนุบำรุง ที่นี่เถอะ ให้สร้างวัดได้เถอะ คิดยังงั้น ผมจึงเดินมาข้างล่างอีก มาเห็นแต่เกศพระกับหน้า แต่หน้านี้นะโยมถูกันจนเอี่ยมแล้วข้าง ๆ มี ดอกไม้ บุหรี่ เมี่ยง เยอะหมด เป็นของสักการ แบบภาคเหนือ ตอนเช้าโยม มาคุยด้วย ผมบอกว่า โยม ผม ว่าขุดดีกว่า ดูองค์พระข้างล่าง โยม แถวนั้นเชื่อทางไสยศาสตร์แกจึงพากันมาเยอะ ถือจอบบ้าง เสียมบ้าง แต่จอบนั้น ไม่ใช่จอบอย่างเรา เป็นจอบงอน ๆ ขุดไปสักพักเจอไหล่ จากไหล่เป็นเอว จาดเอวเจอข้อศอก ข้อศอกนั้นพังมีแต่ลวด เจอมือมือหัก หน้าอกถูกทะลุ เจอแผ่นทองเหลือง ลงด้วยตัวขอมเป็นยันต์ เป็นอัก ขระมากมายทั้งหมดมี 9 แผ่น แล้วขุดไปเจอฐานข้างล่าง เป็นแบบกลีบดอกบัว ขุดกันประมาณตั้งแต่เช้า จนกระทั่งบ่าย จนสำเร็จ พระนั้น หน้าอก กว้างประมาณ ไม่ 3 ศอกก็ 4 ศอก ฐานกว้าง 5 ศอก ถึง 8 ศอก ความสูง กะเอาว่า 8 ศอกนั้น คงหนีไม่พ้นหรอก ความสูงของพระ ขุดลงไปแล้ว ญาติโยมแถว นั้นก็พากัน มาเยอะมาดูกัน แล้วก็มีอาจารย์ทองห่อ วัดหลวงปู่แหวน วัดดอยแม่ปั๋ง เป็นอาจารย์ ช่างปั้นพระ ท่านลงมา ลงมาก็ใช้ให้ญาติโยมเขาเรียกว่า แก่หลวง พอคิดว่า จะปั้นพระ ตอนเช้าก็มี รถเก๋งชาวกรุงเทพ ฯ และคนแถวนั้นพากันไปดู บางคนก็เอาแต่ปากมาช่วย บางคนก็จะปั้นพระ อาจารย์ทองห่อท่านมาคุยกับผม พอถึง ผมก็ก้มลงกราบท่าน ท่านบอกว่า ไม่ต้องกราบ ท่านจะกราบผม ผมก็บอกว่า อย่ากราบ ด้วยผมเป็นเณร ท่านก็หยุดแค่นั้น โยมเอาเสื่อมาปูอีกผืนหนึ่ง เอาคนโทใสน้ำให้ เขาเรียกว่า น้ำต้ม เอาเที่ยงมาให้อมผม ก็อมเมี่ยง เอาชาเป็นยอดเมี่ยง ทำเป็นน้ำชาเอามาให้ ผมก็ฉัน
พอฉันสักพัก อาจารย์ทองห่อ ก็ลงมือปั้น แต่งหน้าแต่งศีรษะ เอาแผ่นทองเหลือง ยัดไว้อย่างเก่า ปั้นเรียบร้อยพอวันที่ 2 ก็ทาสี วันทาสีนั้น โยมบอกว่า หมู่เฮา มาช่วยกันถาง ดีกว่า ประมาณ จนเพล ก็ถางไปกะว่า 13 ไร่ ถางกันเตียน แล้วคนหนึ่งก็มาพูดว่า หมู่เฮาจะมาปรึกษาท่านอยากจะจัดผ้าป่าทอด ทำเป็นวัดเป็นวิหาร จะตกลงไหม เอ้า ตามใจโยมซีผมน่ะไม่มีอะไรหรอก ตามใจโยม ขอนิมนต์ท่าน อยู่เป็นกำลังใจหมู่ เฮานานๆ นะ คนหนึ่งว่า เอาแหละจะหาผ้าป่ามาทอด คิดจะไปไหน จะไปในเมืองเชียงใหม่ พอพูดจบโยม ก็ไปในเมือง มีรถผ่านไปผ่านมา ก็แวะมาดูกัน บางคนเรียกว่า วัดทุ่งหลวง บางคนเรียกว่า วัดพ่อเณร เพราะผมไปอยู่ใหม่ โยมทำกุฏิ ให้อันหนึ่ง เป็นไม้ครึ่ง เป็นฟากครึ่ง บนหลังคาก็เป็นแฝกบ้างตองบ้าง มุงกันจนอยู่ได้ โยมช่วยกันขุดบ่อน้ำขึ้น เป็นบ่อบาดาล แล้วเอาปูนโบกตัวถังขึ้นแบบตัวถังส้วม ทำตั้งแต่ก้น จนถึงปาก ทำศาลาพักร้อน เขียนป้ายว่า อุทิศให้แก่พ่อขุนคำ... เพราะ ท่านเป็นคนพบที่นี่ มาก่อน มีคนถ่ายรูป ถ่ายก็ไม่ติด ต้องขอขมาเสียก่อน จึงถ่ายติด เรียกว่า พระเจ้าพ่อหลวง มีคนมาสักการบูชาเยอะ
ถึงวันกำหนดมีผ้าป่ามาทอดไม่ทราบว่า มาจากไหนบ้างทั้งหมดมี 7 กอง การทอดผ้าป่านั้นโยมมานิมนต์ ไปนั่งเป็นประธาน ก็ไม่ทราบว่า ไปนั่งเฉย ๆ แล้วก็มีอาหารมาถวาย โดยมากเป็นเมี่ยงบ้าน น้ำชาบ้าง น้ำอัดลมบ้าง น้ำส้มบ้าง ก็กินกันไปเรื่อย ๆ โยมก็คุยบ้าง แต่ไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะผมฟังภาษาภาคเหนือ ไม่ค่อยรู้เรื่อง รู้เป็นบางคำ ประมาณสัก 4 โมงเศษ มีรถแบบ ๆ รถธนาคาร เอาซอมา มี 7 คน พอซอมาแล้ว ถึงผูกพิธี ปลูกเป็นปะรำพิธี เล็ก ๆ ใช้ไม้ข้าง ๆ นั้น ต้องการไม้ก็ไปตัด ๆ เอามา แล้วก็ฝังหลุม ทำหลังคากัน ประเดี๋ยวเดียวก็เสร็จ หลังคาเอามากัน คนละแผ่นสองแผ่น ก็ไม่ใช่หลังคาที่ไหนหรอก เป็นหลังคาของบ้านเขานั่นแหละ รื้อกันมาก่อน มาทำพิธี เสร็จแล้ว เขาก็รื้อกันกลับไป มีซอขึ้นแล้วก็มีการฟ้อน แบบเซิ้ง บ้องไฟภาคเหนือ มีหมู่แม้ว 4 หมู่ มีหมู่เผ่ามูเซอ เผ่าลีซอ เผ่าอีก้อ เผ่ากันเจียง แต่ละหมู่ จัดการฟ้อนรำ มาหมู่ละแบบ ๆ รำ กันก็สวยดี ยอมรับว่าสวย สาวแม้วนั้นสวยกว่าสาวไทย ผิวกายจะว่าดำ ก็ไม่ดำแต่มีกลิ่นหน่อย ๆ ตอนเย็น ทำพิธีจุดบ้องไฟ จุดเสียงดังปึง แล้วขึ้นไปสูง แล้วตกลงมา เป็นไฟแหลม ๆ แล้วก็มีการ ประกวดกันด้วย แล้วเสียงโห่ร้อง ของชาวบ้านเยอะ กลางคืน ก็มีหนัง ฉาย 2 เรื่อง ทราบว่า เป็นหนังสาขาแม่ริมมาช่วย ผมก็นั่งเป็นประธาน จนกระทั่ง ตอนเย็นถวายผ้าป่า โยมนิมนต์ไปรับผ้าป่า ผมท่องไม่ได้ ก็กางตำรา ท่องเสร็จสรรพแล้วกระบองนั้น ไปไว้วัดอื่น เพราะผมไม่ต้องการ ผ้าสาม ผืนที่ต้องการก็ได้แล้ว เขาถวายปัจจัย บอกไม่รับหรอกโยม
ตอนกลางคืน มีหนังผมไม่รู้จะทำอะไร ถามว่า โยมดอยลูกโน้นเห็นมีแดง ๆ น่ะปากถ้ำหรือไง โยมบอกว่า ใช่ ดอยผาแดง เอ จะทำยังไงดี บอกว่า โยม พรุ่งนี้ ผมขอตัวไปเที่ยวดอยผาแดง พักหนึ่งนะ เพราะ มองดูจากที่นั่นไม่ไกลสัก 7 กิโล เดินไปก็คงจะถึงตอนเที่ยงวันได้
ขึ้นไปบนดอยผาแดง บ่อแบบ บ่อหมาเลีย ข้าง ๆ ก็มีบ่อ พรานล้างเนื้อ กว้างประมาณสักคืบหนึ่ง ลึกแค่นิ้ว คนจิ้มถึง กอบกินน้ำสักเท่าไหร่ ๆ ก็ไม่แห้ง บ่อพรานล้างเนื้อนั้น เห็นคาวมาก คาวแบบ คาวเลือด น้ำสีแดง ๆ แบบน้ำคาวเลือด เหม็นคาว ข้างล่างมีถ้ำ ลงไปในถ้ำ ถ้ำนั้นมีขี้ค้างคาวมาก ท่วมตาตุ่มเหม็นหึ่ง เข้าไป เที่ยวสักพัก ก็ออกมา เดินไปอีก ห่างจากนั่นสักสามสี่กิโล เรียกว่า ถ้ำโอ เหม็นกลิ่นโอ่จริง ๆ อยู่ไม่ไกลบ้านโยมเท่าไหร่ พอไปถึงปั๊บ โยมก็เอาเสื่อ เอาอะไรมา คนภาคเหนือเขาเลื่อมใสในพระศาสนา สำหรับพระธุดงค์ แล้วจะเลื่อมใสเป็นพิเศษ เอาน้ำเอายามาให้ไม่ใช่ยาสูบแต่เป็นยาฝิ่น ผมเข้าใจว่า ต้องเป็นฝิ่นเพราะ มันก้อนดำ ๆ เหมือนชันแต่มันเหนียว ๆ ถามว่า อะไรโยม ตอบว่า ฝิ่น ท่านฉันไหม ตอบว่า ไม่ฉันหรอกโยม กลางคืนผมก็ลากลับมาที่วัด
กลางคืนโยมเอาข้าวเหนียว มันต้มมันเชื่อม และขนมหลายอย่าง มาประเคน อ้าวพระฉันได้เรอะกลางคืน นี่ พระท่านเป็นอะไรล่ะ เป็นมหานิกาย ไม่ใช่เรอะ เห็นเด็กบอกว่ายังงั้น ใช่ โยม มหานิกาย มหานิกายฉันได้ เขาฉันกัน แถวนี้น่ะ ผมตกใจ บอกว่า โยมลองแน่แล้วแบบนี้ ตอบว่า ไม่ฉันหรอกโยม โยมมาคุยด้วยเยอะ เป็นชาวเหนือมาก ชาวแม้วบ้าง กระเหรี่ยงบ้าง มาคุยกัน บางคนก็เอาดอกไม้ธูปเทียน มาอาราธนาให้เทศน์ ไม่ทราบว่า เทศน์ยังไง ฟังอาราธนาเทศน์แล้วขำ เพราะเสียงเหมือนลิเกร้องกลอน
ถามว่าอะไร ?
อาราธนาศีล ก็ให้ศีลไป
เสร็จแล้ว ก็เทศน์ เทศน์ ไม่กี่คำหรอก เป็นการคุย กันมากกว่า เทศน์ ดึกแล้ว ก็เอวัง เอวังเสร็จ โยมก็คุยด้วยอีกนาน โยมมากันเยอะ ตอนประมาณสัก 4 โมงวันใหม่ โยมจึงอธิษฐานมาก่อขึ้น ทำเป็นถังเป็นอ่าง อาบน้ำ อ่างน้ำ กว้าง วาหนึ่ง ยาววาเศษ ๆ ใช้ปูนโบก เย็นจนหนาว ในหมู่บ้าน กระเหรี่ยงบ้าง คนไทยบ้าง แม้วบ้าง ตักน้ำมาให้อาบ เต็มอ่างนั่นแหละ อาบบ้าง ซักบ้าง คือ แกสร้างกุฏิ ให้อยู่อีกหลังหนึ่ง ก็อยู่ในนั้นแหละ โยมบอกอยู่นาน ๆ อยู่ไป ไม่ช้าไม่นาน โยมเล่าว่า บนดอยหินไหล มีธาตุแต่ธาตุพัง ที่ดอยหินไหลนี่ เป็นหมู่บ้านแม้ว โดยตรงเลย เขาเรียกว่า อู่แด้ เป็นแม้วหลาย ๆ หมู่ ตั้งใจว่า จะไปเที่ยวพระธาตุหินไหล เดินผ่าป่าไป โยมบอกว่า ไป 5 วัน 5 คืนก็ถึง ผมเดินไป 2 วันคืนหนึ่ง ตอนเช้าก็โผล่ป่า แต่เดินไปเหนื่อยก็พัก พักไปในป่า มีกำลังใจ ลิงและช้างตัวหนึ่งเดินไปห่าง ๆ ตอนพักจุดธูปนึกถึงเมื่อไร ช้าง และลิงจะมา มาที่กระท่อม มาที่กุฏิเสมอ เพราะกุฏินั้น เป็นป่าล้อมรอบไปหมด ถ้านึกถึงจุดธูปแล้วจะมา แถวนั้น ป่าแรงมาก เดินไปเรื่อย ๆ จนมาถึง ม่อนหินไหล คนว่า ม่อนหินไหลนี่ศักดิ์สิทธิ์นัก ถ้าคนมีบาปละขึ้นไม่ไหวหรอก ถ้าขึ้นไป หินมันจะไหลลงมา ผมขึ้นไป มันก็ไหลลงมา เอ ไอ้เรานี่บาปเยอะ นึกในใจ แต่ก็พยายามขึ้นจนถึงยอด บนยอดม่อนหินไหลนั่น เขาว่า มีพระอยู่ ขึ้นไปก็ไม่เจอ เจอแต่เขาเรียกว่า พระละม่อม ท่านบอกว่า ท่านมาจากวัดท่าซุง เปลี่ยนชื่อ ชื่อละม่อม ท่านได้ ฌานโลกีย์ ลงคนมาหา หนีไปอยู่ก้นเขาก็ได้ ไม่เต็มใจรับ แล้วมีอาจารย์คนหนึ่ง ชื่ออาจารย์ศักดิ์สิทธิ์ อยู่เขาห่าง ๆ กับที่พระธาตุนั่นแหละ พระธาตุใหญ่มาก เจ็ดวันจะลงไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน หนหนึ่ง หรือ 15 วันจะลงไปครั้งหนึ่ง ท่านไม่ฉันข้าว ผมก็คุยกับท่านบ้าง ขอธรรมะท่านบ้าง ท่านบอกไม่มีหรอก ผลัดกันคุยไปคุยมา ถึงประสบการณ์ ก็ไม่ได้ ถามอะไร ถามท่าน ผมเป็นฝ่ายถาม บางทีผมไม่ได้ถาม ท่านก็เล่าให้ฟัง คุยกันไป คุยกันมา ท่านก็บอกว่า เดี๋ยว ๆ นะ ท่านกลับเดี๋ยวจะไม่ทันนะ ผมบอกว่าไม่ทันแล้ว ผมจะไปส่ง พอท่านบอกว่า จะมาส่งผม ก็เดินนำหน้า ท่านเดินตามท่านออกหน้าผมตามตูด ผมเดิน 2 วันกับอีกพักหนึ่งไปถึงในตอนเช้า ท่านมาส่งผมตอนเย็น ๆ ราว 4 โมง ถึงวันที่ผมอยู่ไม่เท่าไหร่เลย แพล็บเดียวถึงเลย ไม่ทราบว่า มายังไง ผมก็เดินธรรมดาท่าน ก็เดินดิน ท่านก็ลาผมกลับ ผมก็กราบท่านแล้วก็กลับ ท่านก็ยิ้ม ๆ
อยู่ที่นั่นตอนเช้าก็บิณฑบาต บางวันก็ไม่บิณฑบาต โยมเอาอาหารมาถวายหลาย ๆ เป็นสาวในหมู่บ้านนั้น เป็นกะเหรี่ยง เป็นแม้ว สังเกตได้ง่าย หมู่แม้วนั้น ถ้ายังโสด จะปัก ดอกดำแล้วก็ขาว ถ้าแต่งงาน แล้ว ไม่แดงก็เขียว แกทำอยู่งั้น จนวันหนึ่ง ผมไปข้างห้วย เป็นห้วยน้ำไหล น้ำตกลงมา วักน้ำล้างหน้าล้างตา อย่างสบายใจ เสียงหัวเราะคิก ๆ ไปดู เห็นพวกแม้วเปลือยกายลงไปแช่ในน้ำ ผมก็ล้างหน้า อย่างสบาย ลืมตาดู เอ มันทำไมทำอย่างนั้น แกก็ถามว่า ท่านมาจากไหนล่ะ ขึ้นไปยืนบนชะง่อนหิน แทนที่จะเอาผ้าปิดกาย ก็ไม่ปิด นึกเอ พวกนี้มันยังไงวะ จึงเดินย้ายมา ไม่ยอมมอง กลับวิ่งตามมาอีกว่า ท่าน ท่านมาจากไหน แข็งใจบอกว่า มาจากวัดลุ่มโน่น แกบอก เดี๋ยวหนู จะไปเที่ยว เดี๋ยวแจ๊ะ จะไปเที่ยว แจ๊ะ เขาแปลว่า หนู กลางคืนแกก็พากันมาหลาย ๆ คน คุยกันไปคุยกันมา บิณฑบาตตอนเช้าแม้วก็ลงมาใส่ข้าว
อยู่มาผมจะกลับ บอกว่า โยม อาตมาจะลาโยมกลับละนะ ตอนนี้ฉันข้าวตอนเช้าไม่คิดว่าจะกลับหรอกโยม ว่า โฮ้ โอ ท่านจะกลับยังไงล่ะนี่ ยังทำไม่เสร็จเลย บอกไม่เป็นไรหรอกโยม ผมอยู่ก็ไม่ได้ช่วยโยมทำ โยมทำกันเองเถอะ พอมาผมลาเสร็จ ญาติโยมก็ช่วยเก็บของ ตอนมาโยมนั่งกันเป็น แถว ๆ ประนมมือกัน ผมก็เดินมาเรื่อย ๆ พอเดินมาเรื่อย ๆ พอเดินมาหน่อย โยมก็เอาช้างมารับ นิมนต์ให้ขึ้นช้าง พอผมขึ้นช้าง ปั๊บโยมพากันร้องไห้โฮ เพราะความสนิสนม ความใกล้ชิดกันทำให้คิดถึง โยมร้องไห้ ผมบอกว่า โยม ยังไม่ตาย จะกลับมาใหม่ อีกเที่ยวหนึ่ง โยมเอาช้างมาส่งถึงถนน ผมก็เดินดุ่มมาเรื่อย ๆ โยมก็ลากลับ ผมก็เดินมาถึงเข้าเขตตัวเมืองเชียงใหม่ หรือเถิน นี่ผมไม่ทราบ เจอรถทัวร์คันหนึ่ง จอดขวางหน้าอยู่ แล้วมีรถเก๋งอีกคันหนึ่ง ผมเดินลงจากยอดดอย เสียงคนเถียงกันว่า ใช่ ไม่ใช่ ใช่ ไม่ใช่ แล้วเสียงหลวงปู่ครูบาไชย ว่า ใช่แล้ว แกจึงได้ เอาผ้ายางปู อีกผืนหนึ่ง มีเบาะฟองน้ำปู แล้วมีขนสัตว์ปู ท่านนั่งบนขนสัตว์ ท่านก็บอก ว่า อ้อลงมาเร็วพวกเรา พวกนั้น ก็พากันลงมา รถทัวร์คันใหญ่ รถเก๋งคันหนึ่ง ลงมาแล้ว ก็นั่งพนมมือ กันเต็มหมด บอกว่า เอาของมาถวายเลย ๆ ถาดหนึ่ง มีรูปหลวงพ่อครูบาไชย มีดอกไม้ล้อมรอบ อีกถาดหนึ่ง มีธูปเทียน มีไตรจีวร อีกถาดหนึ่ง เป็นเครื่องอุปโลกน์ เช่น น้ำปลา ปลากระป๋อง แล้วก็ยารักษาโรค เทียน สบู่ ยาสีฟัน ขนมปัง นมกระป๋อง ก็เต็มถาด ไปด้วยกันเอามาวาง แล้วหลวงพ่อบอกว่า กราบพระเถอะพวกเรา หลวงพ่อครูบาธรรมไชย จึงนำเป็นภาษาไทย อรหังสัมมา ฯ ไปบูชาพระ เสร็จสรรพแล้ว แกจึงเอาของ มาประเคน ก่อนจะประเคน แกบอกแบบจำได้ว่า ถวายสังฆทาน ท่านถวายเสร็จสรรพ ผมก็ตัวสั่น เอ๊ะจำทำ ยังไง เล่าย้อนไปถึง ที่นั่งพรม จะนั่งดีไหมหนอ ท่านปูให้แล้ว บอกว่า นั่งซี ๆ เอ้า นั่งก็นั่ง ท่านนิมนต์ให้เทศน์ ใจสั่นหมด ความกลัว ปากก็สั่น มือก็สั่น ตัวก็สั่น แต่ไม่รู้อะไร ดลใจฮึดสู้ จึงเทศน์ เทศน์ไม่กี่คำหรอก เทศน์พอเป็นสังเขป หลวงพ่อก็ยิ้ม ๆ เทศน์จบก็เอวัง เอาของประเคนท่าน บอกขอพรหลวงปู่หน่อย ท่านจึงหยิบแก้วน้ำมา เอาจานมาวางไว้ ท่านกรวดน้ำไป เสียงท่านอุทิศกุศลว่า ขอกุศลที่ข้าพเจ้า ถวายจีวรนี้ จงให้แก่ในหลวง และถวายเป็นปัจจัย ให้แก่ท่านในภายภาคหน้า ผมก็ให้พรแก่ท่าน ยถาสัพพี เป็นภาษาไทย พอยถาสัพพีจบ จ้างรถสองคัน สามคัน สี่คัน ห้าคัน เพราะมันติดถนน ญาติโยมพาแห่ กันมาจะมากราบหลวงปู่ครูบาธรรมไชย เห็นผมกราบหลวงปู่ครูบาธรรมไชย ความอายจนหน้าชา บอกว่า หลวงปู่ครับ ผมจะลาหลวงปู่แล้ว หลวงปู่จึงสั่งให้คนเป็นผู้หญิง เป็นคนทางกรุงเทพฯ เอาของใส่ถุงย่ามผม ลูกนั้นก็ลูกใหญ่มาก จึงหนักตื้อไปหมด ใส่เสร็จแล้ว ยกมาประเคน ผมก็ลาหลวงปู่ รีบเดินจากที่นั้นมา เพราะความ อาย คนแถวนั้นมองย้อนไปจนสุดสายตา บางคนก็ไม่สนใจ บางคนก็สนใจ ผมจึงเดินมาเรื่อย ๆ เข้าเมืองเชียงใหม่ วันที่หลวงปู่ครูบาธรรมไชยถวายจีวรนั้น เป็นวันที่ 5 วันที่ 6 เดินมาถึงเข้าเขตพิษณุโลกจากพิษณุโลกวันที่ 7 ก็ถึงวัดใหม่
ก่อนจะถึงวัดใหม่ ถึง บางมูลนาค เจอนายหย่งนิมนต์ให้ขึ้นรถ บอกว่า เณรมาเชิญครับ นิมนต์ขึ้นรถ ขอบุญผมหน่อยเถอะ ก็ขึ้นรถ รถนั้น ขับเข้าไปในวัดเกาะแก้ว เอาไฟฟ้าไปส่ง แล้วย้อนกลับมาวังตะกู ถึงวังตะกู เอาของวาง ความดีใจ ความคิดถึงเห็นหลวงพี่ลื่มองค์แรก จึงดิ่งเข้ากอดกัน องค์ที่สองก็หลวงพี่จวบ องค์ที่สามหลวงพี่สังวรณ์ หาหลวงพ่อกับหลวงพี่ไม่เจอ คิดว่า อยู่ในโบสถ์ จึงดิ่งไปที่โบสถ์ เจอโยมแถวสำนัก นั่งกันอยู่ในโบสถ์ จึงไปกราบหลวงพ่อ เจอเณรจวบแล้วขึ้นไป หาหลวงพี่ ถึงตอนนี้เอง ความดีใจคิดว่า มาถึงวัดไม่ตายแล้ว แต่ก่อนจะมาตั้งใจว่า จะมารับพระหลวงพี่บุญถึง ท่านเป็น ช่างแบบ ช่างก่อสร้าง จะเอาท่านไปช่วยทางโน้น สร้างวิหารให้สำเร็จ แต่มาก็ไม่สำเร็จ ตั้งใจจะมารับท่าน แต่ตอนจะไปนี้ผมก็อัดเทป ไว้ว่า อันตรายไป 2 คน รู้ด้วยญาณ อันทรามๆ ว่า ถ้าไป 2 คนแล้วจะเจอเสือสมิง ในภายภาคหน้า จะปลอมกายเป็นผมไปหา หลวงพี่ออกจากกลดไปแล้วจะตายสอง ถ้าออกไปแล้วผมตาย หลวงพี่ก็ถึงก็ตาย จะตายทั้งคู่ ผมจึงตัดสินใจว่า จะขอหนีหลวงพี่ถึงไป ไม่ว่า ทิ้งข้อความนี้ไว้ แล้วก็หนีท่านไป จึงขอขมาท่านไว้ใน เทปนี้ด้วย จบอวสานเพียงเท่านี้
.
หน้า 1 ของ 2