อภิญญา กับ วิชชาธรรมกาย

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย สมถะ, 12 พฤษภาคม 2016.

  1. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    <marquee direction=left scrollamount=45 height=300><img src='http://f.ptcdn.info/065/007/000/1373382810-1jingjok-o.jpg' width=60></marquee>
     
  2. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,160
    ค่าพลัง:
    +1,231
    การฟื้นฟูพรพพุทธศาสนาที่ถูกเผาตำรับตำราจนสูญหายไปหมดแล้วให้กลับมาฟื้นฟูอีกครั้ง คงต้องเป็นเรื่องของพระอรหันต์ผู้มากบารมี และเป็นผู้รอบรู้
    คำสั่งสอนของพระพุทธศาสนา ซึ่งผมเอง คงไม่มีความสามารถทำได้

    สิ่งที่ทำได้เพียงอย่างเดียวก็คือ แค่ภาวนา และหวังว่าอย่าให้มันเกิด

    ผมคงทำได้แค่นั้น
     
  3. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,160
    ค่าพลัง:
    +1,231
    หรือตอบอีกอย่างคือ จำได้แค่ อริยสัจจ์ ๔ และ มรรคมีองค์ ๘ แค่นั้นพอไหม

    แต่เราจะต้องไปห่วงอะไร เพราะเว็บนี้มีคนเชื่อว่า พระศรีอาริย์จะลงมาจติ และฟื้นฟูพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาอีกครั้ง
    แสดงว่า พระพุทธศาสนาจะไม่สูญหายไปจากประเทศไทยภายในเร็วๆนี้แน่....:boo:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กรกฎาคม 2016
  4. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    ตอบ อัตตานัย เนาะ ดังนั้น สุญคะแนะ เต็ม ฮิววววส์

    มี ภิกษุถาม พระพุทธองค์ว่า ด้วยปัจจัยเท่าไหร่ จึงเรียกว่า พหูสูต

    พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า เคยได้ยินคำ สัทธรรม สองคำ และอธิบาย
    ขยายความ สองคำ นั้นได้(ในทางอริยสัจจ4) เท่านี้เรียกพหูสูต

    ด้วยเหตุเท่าไหร่ จึงเรียกว่า ผู้รู้

    พระพุทธองค์ อธิบายว่า ก็แค่ทำตามสิ่งที่ ตน อธิบายได้ สองคำนั้น
    แล้วเกิดผล ละกิเลส สิ้นกิเลสได้ ย่อมชื่อว่า เป็นผู้สิ้นกิเลส ไกลจากกิเลส หรือ อรหันต์



    ปล. คุงยอสตรอย หากทำได้ตามข้างบน จะเห็นว่า ไม่ต้อง ฝื้นตำรา เป็นเล่ม
    แต่ รักษา ไว้สองคำ เท่าที่ จำได้ พอแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กรกฎาคม 2016
  5. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    อันนี้ เกิน 2 คำ ไปเยอะเลยฮับ

    ถ้า คุณยอสตรอย จำได้เท่านี้ และ ทำได้เท่านี้

    โป้ง โป้ง รวยยยยย ประเทศไทย รวย พระธรรมจะเจิดจรัสฉายแสงอีกครั้งหนึ่ง ทันที !!!




    ปล.ลิง พระสูตรว่าด้วย ปัจจัย พระหูสูต บางตำรา แปล จำสองพระสูตร บางตำราจำสองบท
    บางตำราจำสองบรรทัด บางตำราจำสองคำ บางตำราจำสองอักขระ เช่น พ ธ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กรกฎาคม 2016
  6. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    เกรงว่า จะเผลอไปเข้า เว็บ กรุปวันจันทร์ สมแถ ะ แล้ว ช๊อคตาย

    ตำรา แม่ รง อะไรจะเยอะ ขนาดนั้น เขียนทุกวันนี้ ยังไม่หมด

    ยังสร้าง วิชา ฮา เฮว ออกมาได้เรื่อยๆ
     
  7. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,160
    ค่าพลัง:
    +1,231
    พระพุทธศาสนา ยังมีที่พม่า ลาว เขมร ศรีลังกา ภูฏาน ฯลฯ
    ยังมีอีกเยอะครับ โดยเฉพาะที่ศรีลังกานั้น เป็นพุทธศาสนาที่ไปจากไทย
    ขนาดการสวดมนต์ก็ยังเป็นแบบไทย มีปัญหาอะไรก็ส่งทูตไปขอกับเขาได้
    บางที ถึงวันนั้น ประเทศไทยเรา คงมีพระถังซัมจั๋ง ไปอัญเชิญพระไตรปิฎกกับเขาบ้าง...ไม่มีอะไน่าห่วง...:cool:
     
  8. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    เชย

    ไม่ได้ดูข่าว หรอ

    ผมว่า ผมเห็นนะ ว่า พระธรรมทูตสีลังฯ อะไรเนี่ยะ ออกมา ประท้วง ม.44

    ถ้า ล้มจานบินได้ ก็เท่ากับ ล้ม สีลังฯ ด้วย

    มหาปราชใน เฟสสะบุก เลยกล่าวว่า ไม่ใช่แค่ ไทย ที่จะ อันตรธาน
    แต่จะหมายถึง ทั้งโลก

    ดังนั้น

    อริยสัจจ4 มรรค8 คุณ ยอสตรอย ถามอะไรตอบได้ และ ปฏิบัตได้
    จนเห็นผลหรือยัง

    ุ้ถ้าเห็นผลแล้ว คุณ ยอสตรอย ย่อม มั่นใจว่า รักษาเพียร อริยสัจจ4
    มรรค8 สองคำพอ ไม่ต้องเขียนเพิ่ม

    หญิงซ้าย ชายขวา ภาคเขา ภาคดำ หนาสันติ อะไรอีก !!!

    คุณยอสตรอย นั่นเอง ผู้รักษาธรรม ให้ดำรงค์อยู่ เจิดจรัสหรือไม่ ขึ้นกับ คุณแล้ว !!!

    ฮิวววววววววววววววววววววววววววส์
     
  9. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,160
    ค่าพลัง:
    +1,231
    ไม่ค่อยได้ดูข่าว
     
  10. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,160
    ค่าพลัง:
    +1,231
    ลัทธิจานบิน ผมว่าไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไหร่ เพราะถึงอย่างไร เขาก็ได้ชื่อว่านับถือพระพุทธศาสนาเหมือนกัน ความคิดเห็นมันอาจจะแปลกแยก
    มันก็เหมือนกับการแบ่งออกเป็นนิกายต่างๆ แต่ยังไงเรากับเขาก็ชาวพุทธ
    สิ่งที่สมควรกลัว และต้องระวังให้มาก คือ ลัทธิที่นับถือ เอกเทวนิยม
    ซึ่งถ้าครอบครองอำนาจได้ เขาคงไม่ใจดีใจกว้างอย่างชาวพุทธเรา
     
  11. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    พระพุทธองค์ ตรัสไว้ สิ่งที่จะทำลาย พระพุทธศาสนาได้ ไม่ใช่เกิดจาก
    คนนอกศาสนา เพราะเป็น อฐานะ หมดสิทธิ

    ศาสนาจะอันตรธานหรือไม่

    ตะกี้กล่าวเรื่อง พหูสูต ไปแล้วว่า จดจำ สัทธรรม เพียงสอง อักขระ พอ
    ถือว่า สัทธรรม ยังอยู่ แต่ ศาสนาจะอันตรธาน ก็ต่อเมื่อ คนที่จดจำอักขระ
    ได้ ประพฤติทุศีล บ้านหมุน ประกาศภาคขาว ภาคดำ อะไรงี้

    ทันทีที่ ทุศีล ประกาศภาคขาว ภาคดำ นี่ พระพุทธศาสนา อันตรธาน
    หายไปจากใจแล้ว ตั้งตนเป็น ศาสดา ไปแล้ว พอเขียนอะไรนิดอะไร
    หน่อย แหมกุลีกุจอ โพสบล๊อค กรุปวันจันราย อะไรเงี่ยะ

    นะ

    ศาสดา จะอยู่ในใจท่าน เป็น สรณะ หรือไม่ ขึ้นกับ คุณยอสตรอยแล้ว
    ว่า อริยสัจจ4 มรรค8 แล้วไงต่อ

    ถ้า คุณยสตรอยเห็นการ สิ้นไปของกิเลส

    คุณยอสตรอย จะเห็นหรือว่า คนนอกลัทธิศาสนา จะทำให้
    กิเลสในจิตคุณยอสตรอย กลับมา ....ศาสนาอยู่ตรงไหน ถูกทำลายยังไง หรอ


    " อฐานะ ที่จะเป็นไปได้ "
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กรกฎาคม 2016
  12. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,160
    ค่าพลัง:
    +1,231

    ใครบรรลุธรรมคนเดียว ถึงจะเป็นอรหันต์ เขาไม่เรียกว่าศาสนาหรอก
    ตอนพระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ๆ ก็ยังไม่ถือว่ามีศาสนา
    พระปัจเจกพุทธเจ้าตรัสรู้ ก็ยังไม่เรียกว่าศาสนา
    ศาสนาจะมีก็ต่อเมื่อ มีพระธรรมคำสั่งสอน มีพุทธบริษัท ๔
    หากมีแต่พระไตรปิฎก โดยไม่มีผู้ใดปฏิบัติตามคำสั่งสอนเลย นั่นคือพุทธศาสนาสูญสิ้น
     
  13. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972
    ถ้าคิดว่าศาสนาจะสูญเพราะอัตโนมติเช่นนั้นเช่นนี้

    การมองกันต่างมุม โดยพยายามอธิบายไปตามทิฏฐิที่ตนเห็นว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
    ผมมองว่า เป็นการมองในมุมแคบเกินไป สำหรับคนที่ทำผิดกฏหมายทางโลกหรือพระธรรมวินัยทางธรรม ก็ถ้าเขามีความผิดจริง ก็ต้องจัดการไปตามความผิดนั้น ศาสนาก็จักดำรงอยู่ได้เป็นปกติ

    ส่วนการที่ท่านจะเห็นด้วยหรือเห็นต่างในแนวปฏิบัติที่ไม่ตรงกับจริตของตน โดยใส่อคติลงไป แล้วพยายามชักเหตุผลสมอ้างของตนไปตามทิฏฐิ ตรงนี้ไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะทำให้อะไรๆ ดีขึ้น หรือเห็นพ้องต้องกันได้เลย

    ถ้าท่านเข้ามาอ่านบทความที่ผมนำเสนอ แล้วเกิดอาการอยากแสดงความเห็น ด้วยอคติ หรือด้วยทิฏฐิใดๆ การจะมานั่งสนทนากันบนพื้นฐานการเห็นต่างหรือเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ดี ไม่ถูก จักไม่เป็นการทำให้เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกันได้เลย

    ท่านเอาเหตุคือปัญหาวัดธรรมกาย มาโยงใยสร้างอคติหรือทิฏฐิในประเด็นของท่านไปเรื่อย ซึ่งเป็นการมองในมุมแคบ ผมถือว่า ผมรับฟังเฉยๆ ต่อไปจักพยายามไม่ตอบโต้ใดๆ ผมเป็นผู้ตั้งกระทู้นี้ ก็จะทำหน้าที่ให้ข้อมูลความรู้ต่อไป

    ศาสนาเราจะดำรงอยู่ได้ ด้วยความเข้าใจกัน คนผิด ถ้าเขาผิดจริงก็ให้เป็นไปตา่มโทษที่ควรจักได้รับ แต่ขออย่าได้เหมารวมว่า เมื่อคนนั้นผิด ทุกเรื่องต้องผิดหมด มันคนละประเด็นกัน วิชชาธรรมกายเป็นธรรมภาคปฏิบัติ ถ้าผู้ปฏิบัติเข้าถึงได้จริง จะไม่ก่อเวรสร้างกรรมใดๆ ขอให้ดูประวัติและปฏิปทาของหลวงพ่อวัดปากน้ำ ตลอดจนพระเณรที่ได้เข้าถึงธรรมกายในยุคนั้น ต่างอยู่กันด้วยความสงบ มีความประพฤติงดงาม

    ขอให้มองว่า การปฏิบัติสมาธิวิชชาธรรมกายก็เป็นแนวปฏิบัติหนึ่งที่ใครถูกจริตอัธยาศัยก็มาปฏิบัติกันเถิด ผู้ถูกจริตกับการปฏิบัติแนวอื่นๆ ก็ให้ท่านมุ่งปฏิบัติในแนวนั้นเถิดให้เกิดความสงบสุขเถิด เรื่องว่าพบพระพุทธเจ้า แม้แนวมโนมยิทธิในบอร์ดนี้ท่านก็สามารถทำได้ ไม่ใช่เรื่องที่จักมาอ้างว่า ใครผิดใครถูกโดยเอาบรรทัดฐานของตนเป็นตัวตัดสินเลย ผมจึงเห็นว่าป่วยการที่จะสนทนาในลักษณะนี้

    กระทู้บทความนี้ มุ่งให้ผู้สนใจใคร่ศึกษาในวิชชาธรรมกายได้เข้ามาตักตวงหาความรู้ หรือได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ท่านใดไม่ชอบแนวปฏิบัตินี้ ไม่เห็นด้วยกับแนวปฏิบัตินี้ อ่านข้อมูลแล้วเกิดความไม่พึงพอใจ ไม่ชอบใจ กระผมต้องขออภัยต่อท่านด้วย จึงใคร่ขอร้องให้ท่านหลีกเลี่ยงความขุ่นมัวในใจที่เกิดขึ้น ท่านอาจไม่จำเป็นต้องเข้ามาอ่านเพราะจะทำให้ท่านไม่สบายใจหรือเกิดความขุ่นเคืองใในจิตใจ เพียงเท่านี้ ก็จักทำให้ท่านไม่ต้องวุ่นวายหรือขัดเคืองใจได้แล้ว

    ขอให้เจริญในธรรมที่ท่านชื่นชอบและน้อมนำมาปฏิบัติให้เกิดสันติสุขแห่งจิตใจเถิด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กรกฎาคม 2016
  14. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,160
    ค่าพลัง:
    +1,231

    ในกาลามสูตร พระพุทธองค์สอนว่า"อย่าเชื่อ เพียงเพราะเหตุว่า สมณะนี้เป็นครูของเรา"

    เพราะฉะนั้น ให้ดูจากความจริงดีกว่า
     
  15. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    <a href="http://picture.in.th/id/0ea4a9c931cde26b6539526cae463be0" target="_blank"><img border="0" src="http://image.free.in.th/v/2013/im/160707054707.jpg" alt="images by free.in.th" /></a>

    เขาทำอย่างนั้นแปลว่าอะไร ?

    เขาไม่ทำอย่างนั้นแปลว่าอะไร ?

    เขาพูดอย่างนั้นแปลว่าอะไร ?

    เขาเงียบอย่างนั้นแปลว่าอะไร ?

    เขายิ้มอย่างนั้นแปลว่าอะไร ?

    เขาหน้าตาเฉยอย่างนั้นแปลว่าอะไร ?

    เป็นนักแปลอย่างนี้ เหน็ดเหนื่อยมาก



    #พระอาจารย์ชยสาโร
     
  16. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972
    พึงเป็นผู้มีใจไม่ขุ่นมัว

    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๒ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส



    [๙๖] จิต มนะ มานัส หทัย ธรรมชาติขาวผ่อง อายตนะคือใจ อินทรีย์คือใจ วิญญาณ วิญญาณขันธ์ มโนวิญญาณธาตุ ชื่อว่า ใจ ในอุเทศว่า "มนสานาวิโล สิยา".จิตเป็นธรรมชาติขุ่นมัว ยุ่งไป เป็นไป สืบต่อ หวั่นไหว หนุนไป ไม่สงบ เพราะกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ราคะ โทสะ โมหะ โกธะ อุปนาหะ มักขะ ปลาสะ อิสสา มัจฉริยะมายา สาเฐยยะ ถัมภะ สารัมภะ มานะ อติมานะ มทะ ปมาทะ

    จิต เป็นธรรมชาติขุ่นมัวยุ่งไป เป็นไป สืบต่อไป หวั่นไหว หนุนไป ไม่สงบ เพราะกิเลสทั้งปวง ทุจริตทั้งปวงความกระวนกระวายทั้งปวง ความเร่าร้อนทั้งปวง ความเดือดร้อนทั้งปวง อกุสลาภิสังขารทั้งปวง.


    คำว่า พึงเป็นผู้มีใจไม่ขุ่นมัว ความว่า พึงเป็นผู้ไม่ขุ่นมัว คือ ไม่ยุ่งไป ไม่เป็นไป ไม่สืบต่อไป ไม่หวั่นไหว ไม่หนุนไป สงบแล้วด้วยจิต คือ พึงละ สละ บรรเทา กระทำให้มีในที่สุด ให้ถึงความไม่มีซึ่งกิเลสทั้งหลายอันทำความขุ่นมัว พึงเป็นผู้งด เว้น เว้นขาด ออกไปสลัด สงบ ระงับ หลุดพ้น ไม่เกี่ยวข้องกับกิเลสทั้งหลายอันทำความขุ่นมัว พึงเป็นผู้มีใจปราศจากเขตแดนอยู่ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พึงเป็นผู้มีใจไม่ขุ่นมัวอยู่.​

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กรกฎาคม 2016
  17. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972
    พระทิพย์ปริญญา เล่าเรื่องหลวงพ่อวัดปากน้ำ

    คำนำในการพิมพ์ครั้งที่ 1*

    หนังสือเล่มนี้ ตั้งชื่อว่า ธรรมกาย มิใช่ข้าพเจ้าคิดตั้งเอาเอง ท่านเจ้าของผู้แสดงเรื่องนี้เป็นผู้ตั้ง ท่านเจ้าของที่ว่านี้คือ ท่านพระครูสมณธรรมสมาทาน (สด) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ คลองภาษีเจริญในปัจจุบันนี้ ซึ่งเรียกกันอยู่แพร่หลายในหมู่ศิษย์ที่เคารพนับถือว่า "หลวงพ่อวัดปากน้ำ"

    การแสดงเรื่องธรรมกายนี้ เป็นเรื่องที่ท่านแสดงแก่ภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ในวันพระและวันอาทิตย์ แสดงติดต่อกันเป็นลำดับไป ข้าพเจ้าเป็นผู้หนึ่งที่ฟังได้จดบันทึกเอาแต่หัวข้อใจความไว้ แล้วเรียบเรียงไปขอให้ท่านตรวจเรื่อยๆ มาเริ่มตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ.2488 จนถึงวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ.2489 รวมเป็นเวลา 3 เดือนเศษ จึงจบ จุดมุ่งหมายที่แสดงเป็นเรื่องสมาธิโดยตรง เป็นแต่ท่านยกเอาพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ เป็นหลักแสดง และแสดงหนักไปในแนวทางปฏิบัติ ไว้แนวปริยัติบ้างพอควร แต่เมื่ออ่านดูให้จบแล้วจะจับใจความได้เป็นเรื่องที่เกี่ยวติดต่อกันหมด แต่สำนวนโวหารที่บันทึกไว้นี้รู้สึกอยู่ว่าข้างจะสั้นอยู่มาก โดยยกเอาเทศนาโวหารออกเสีย บันทึกไว้แต่แก่นความ เพื่อให้รวมเป็นแนวปฏิบัติได้ง่าย ไม่ประสงค์ให้อ่านอย่างหนังสือเทศน์ต่างๆ ดังเคยพบเห็นมา อันจะทำให้เสียเวลาอันมีค่าของผู้อ่าน จึงหวังเอาละเอียดหมดจดไม่ได้ ข้อใดที่อ่านแล้วไม่เข้าใจ ก็ขอให้เป็นหน้าที่ของท่านผู้อ่านหาโอกาสไปไต้ถามผู้ที่ปฏิบัติดู เขาจะบอกท่านได้ หรือยังไม่หมดสงสัย จะไปไต่ถามท่านผู้แสดงเองก็ได้ ข้าพเจ้าเคยเห็นมีผู้สนใจในทางปฏิบัติไปไต่ถามท่านเนืองๆ ท่านไม่มีความรังเกียจ

    มูลเหตุที่ข้าพเจ้าจะได้ไปฟังธรรมที่วัดปากน้ำนั้น ก็เพราะเวลานั้นประเทศไทยเราอยู่ในระหว่างสงครามโลก ในพระนครถูกเครื่องบินข้าศึกมาทิ้งระเบิดไม่หยุดหย่อน ข้าพเจ้าได้อพยพหลบภัยไปอยู่ตำบลวัดสิงห์ ข้าพเจ้าฉวยโอกาสนี้เที่ยวไปตามวัดต่างๆ เพื่อศึกษาหาความรู้ในทางพระพุทธศาสนา ไปหลายวัดได้ความรู้แปลกๆ กัน แต่เมื่อหันเข้าหาแนวปฎิบัติแล้ว บางท่านไม่ใคร่ขยายโจ่งแจ้ง สังเกตดูเหมือนจะปิดกัน จนในบางวัด ข้าพเจ้าไปมองเห็นหีบหนังสือเป็นหีบไม้แบนๆ และเขียนเป็นตัวหนังสือขอมบอกไว้ข้างหน้าหีบว่า "วิปัสสนา" ข้าพเจ้าอ่านออกเพราะข้าพเจ้าเคยเรียนหนังสือขอม ใจข้าพเจ้าอยากรู้เหลือเกินว่า ในนั้นจะมีหนังสืออะไร แต่ไม่กล้าจะละลาบละล้วง จึงเป็นแต่กระทบถามท่านในเรืองแนวปฏิบัติบ้างก็ไม่ได้ความ นานๆ เข้าพอจับเค้าได้บ้างว่าทางวิปัสสนามักจะเพ่งของขาว

    วันหนึ่งข้าพเจ้าไปนั่งคุยกับหญิงผู้มีอายุคนหนึ่ง ซึ่งเป็นเพื่อนอพยพ พักอยู่ใกล้กัน มีชายคนหนึ่งมาพูดกับข้าพเจ้าเล่าถึงว่า เขาเคยไปกับแม่ชีธุดงค์คนหนึ่งเคยสอนวิปัสสนาให้ ข้าพเจ้าซักถามก็เล่าว่าให้พิจารณาสังขารร่างกายเทียบกับซากศพ หญิงผู้มีอายุขัดคอขึ้นทันทีว่า อย่างนั้นเขาเรียกว่า ปลงอนิจจัง ไม่ใช่วิปัสสนา ข้าพเจ้าถามว่า วิปัสสนาเป็นอย่างไรเล่า แกเล่าต่อไปว่า วิปัสสนาเขาต้องเรียนเห็นนรก เห็นสวรรค์ เห็นนิพพาน ทั้งต้องไปเที่ยวดูนรก สวรรค์นิพพานได้ด้วย ข้าพเจ้างง ชายคนนั้นก็งง เพราะถ้อยคำเช่นนี้ไม่เคยได้ยิน แม้ข้าพเจ้าจะเคยเรียนพระปริยัติธรรมจนสอบได้ชั้น ป.ธ.6 ก็นึกได้แต่ว่าไปสวรรค์นรก ก็มีเรื่องพระมาลัยและพระโมคคัลลานะ เป็นต้น แต่ข้อว่าไปเที่ยวนิพพานได้นั้น ข้าพเจ้าหมดความคิด ทั้งหมดความรู้ด้วย จึงพูดอะไรต่อไปไม่ได้ หญิงคนนั้นยังท้าว่า เอาเถอะน่า วันหลังจะเอาหนังสือของหลวงพ่อวัดปากน้ำให้ดู เขาเรียนกันอย่างนั้น ส่วนตัวแกว่าได้ลองบ้างเหมือนกัน แต่ไม่ทันรู้ผลอะไร

    ต่อมาวันหนึ่ง ข้าพเจ้าไปที่วัดแห่งหนึ่งในพระนคร พบนายทหารคนหนึ่ง ชื่อหลวงจบฯ คุยให้ฟังว่าเขาเคยมาวัดปากน้ำ ได้ข่าวเล่าลือว่าพาไปสวรรค์นรกได้ เขา 2 คนกับภรรยาไปหา ขอให้พาไปพบพ่อตาที่ตายไปนานแล้วว่าจะไปอยู่ที่ไหน หลวงพ่ออิดเอื้อนแกตัดพ้อต่อว่าต่างๆ นานาว่า ถ้าไม่ท้าให้เห็นจริง เสียงที่เล่าลือนั้นก็เป็นเรื่องไม่มีความจริง ในที่สุด แกว่า หลวงพ่ออดรนทนไม่ได้ จึงให้เรียกพระมา 1 รูป ชี 1 คน และบอกเรื่องที่หลวงจบฯ ต้องการให้ทราบ ทั้งพระและชีก็นั่งเข้าที่ หลวงจบฯ บอกชื่อพ่อตาให้ทราบ สักประเดี๋ยวพระตอบว่าไม่พบ หลวงพ่อบอกว่าขอตรวจดูบัญชีให้ถ้วนถี่ อีกประเดี๋ยวพระบอกว่าพบแล้ว ไปเกิดเป็นเทวดาอยู่ในชั้นยามา หลวงพ่อบอกให้เชิญมา และบอกแม้ชีว่าขอยืมร่างหน่อย ประเดี๋ยวบอกว่ามาแล้ว แม่ชีลืมตา หลวงพ่อก็ถามไปยังแม่ชี แม่ชีบอกว่ามาจากชั้นยามา และบอกว่าเมื่อเป็นมนุษย์อยู่ทางวัดยายร่ม แล้วถามว่าทำบุญอะไรจงไปเกิดเป็นเทวดา แม่ชีนั้นตอบว่าสร้างโบสถ์ หลวงจบฯ ว่า ตอนนี้ชักตะลึง เพราะความจริงพ่อตาได้สร้างโบสถ์ไว้จริง หลวงจบฯ ยังช่วยทำแต่ก็นานมาแล้ว แม่ชีนี้สังเกตดูอายุยังน้อย คะเนว่าจะเกิดไม่ทันเสียอีก แต่ไฉนบอกถูกต้อง แล้วหลวงพ่อซักต่อไปว่า เคยมีลูกกี่คน บอกถูกทั้งลูกผู้หญิงและลูกผู้ชาย แล้วหลวงพ่อชี้ให้ดูหลวงจบฯ กับภรรยา แล้วถามว่านี่ใคร แม่ชีมองดูสักประเดี๋ยว ตาหันตรงมาที่หลวงจบฯ ว่า นี่อ้ายแช่มใช่ไหม หลวงจบ ฯ ว่าใช่ แล้วถามต่อไปอีกว่า นี่นางเครือใช่ไหม ภริยาหลวงจบฯ รับว่าใช่ ที่สุดทั้งตัวหลวงจบฯ และภริยา ร้องไห้โดยคิดถึงบิดา เพราะความจริงแม่ชีนี้ไม่รู้จักชื่อหลวงจบฯ และชื่อภริยาก็ไม่รู้ หลวงพ่อก็ไม่รู้ ไฉนแม่ชีพูดถูกต้อง นี่เป็นเรื่องที่หลวงจบฯ เล่าให้ข้าพเจ้าฟังเองว่าตัวหลวงจบฯ แต่เดิมชื่อแช่ม แต่เป็นหลวงจบฯ มานานแล้ว ไฉนแม่ชีเอามาพูดถูก ในที่สุดหลวงจบฯ ว่าเรื่องที่พบมาเป็นอย่างนี้ จะมีเหตุผลเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ นี่เริ่มเป็นปฐมเหตุให้ข้าพเจ้าครุ่นคิดอยู่ และเวลานั้น มีท่านพระครูองค์หนึ่งอยู่วัดประดู่มานั่งอยู่ที่นั่นพูดขึ้นว่า เมื่อวันวิสาขะนี้มีคนโจษกันมากว่า เวลาเวียนเทียนที่วัดปากน้ำ มีคนเห็นเป็นรูปพระปฏิมาลอยอยู่ ท่านว่าท่านได้ซักถามหลายคนก็รับว่าเห็นจริง ข้าพเจ้างงอีก เพราะคิดไม่ออกว่าอะไร เป็นแต่ข้าพเจ้าได้พูดต่อพระภิกษุที่นั่งอยู่นั้นหลายรูปว่า เรื่องที่เราไม่รู้ไม่เห็น ผู้อื่นเขาจะสามารถรู้เห็นได้หรือไม่ จะมีอะไรเป็นเครื่องวัด ไม่มีใครตอบ

    วันหลังข้าพเจ้าได้ไปสนทนากับแกอีก แกส่งหนังสือให้ดู 3 เล่ม ข้าพเจ้าอ่านดูเป็นเรื่องวิธีเจริญสมาธิของหลวงพ่อวัดปากน้ำ มีภาพคนนั่งสมาธิ และบอกจุดที่ตั้งบริกรรมนิมิตไว้โดยละเอียด และมีคำอธิบายย่อๆ ลงท้ายสุดเรื่องนิพพาน เมื่ออ่านไปความมึนงงของข้าพเจ้าทวีขึ้นอีกหลายเท่า คิดไปต่างๆ นานาว่า นี่อะไรกัน ซ้ำในที่สุดว่าทำได้ตามวิธีนี้แล้ว ยังมีวิชาที่จะต้องเรียนอีกมาก ยิ่งงงใหญ่ ไม่รู้ว่าวิชาอะไร เพราะข้าพเจ้าเรียนปริยัติมาจนสอบไล่ได้ชั้น ป.ธ.6 แล้ว ไม่ได้ความเข้าใจอย่างนี้เลย แต่ในที่สุดข้าพเจ้าได้คิดขึ้นมาว่า คนเราเขาว่ามีวิชาที่จะต้องเรียนเรื่อย ๆ ไปจนตายไม่มีจบ ใครหยุดเรียนเมื่อใด โดยถือเสียว่าตนมีความรู้พอแล้ว เขาว่านั่นคือคนโง่ ทางพระเรียกว่า ทิฎฐิ หากยังปล่อยให้ทิฎฐินี้ฝังแน่นอยู่ในสันดาน ไม่ต้องสงสัยว่าจะต้องเป็นโรคโง่ไปจนตาย สิ่งใดที่เราไม่รู้ ไม่ควรจะไปตั้งมานะทิฎฐิว่า คนอื่นก็คงไม่รู้วิเศษไปกว่าเรา สิ่งใดที่เราดีแล้วก็ไม่ควรจะไปตั้งทิฎฐิว่าไม่มีคนอื่นจะดีกว่าเรา ซึ่งเป็นมูลเหตุให้ข้าพเจ้าต้องสืบเสาะมาหาหลวงพ่อวัดปากน้ำให้จงได้

    เหตุที่ทำให้ข้าพเจ้างงดังกล่าวมาก็เพราะว่า นอกจากแนวปริยัติที่ข้าพเจ้าเคยผ่านมารวมทั้งแนวปฎิบัติที่ท่านผู้รู้ได้เขียนไว้ไนที่ต่างๆ กัน ข้าพเจ้าก็ได้เอาใจใส่ค้นคว้าอ่านดูมามากต่อมากแล้ว มีรูปในทำนองตำราหรือเรียกว่าเป็นแนวทางปรัชญาเป็นส่วนมาก บางฉบับพูดทีแรกเหมือนจะเป็นแนวปฏิบัติ แต่ลงท้ายก็เป็นกล่าวตามตำราไปเสีย คิดไปคิดมารู้สึกว่าจะเป็นแต่คนดูแผนที่เสียแล้ว ถ้าเขาจะให้เดินไปจริงจังตามแผนที่ก็จะไปไม่รอดกระมัง ถ้ากระนั้นก็ควรศึกษาการเดินเองดูบ้าง คงจะได้ความรู้อะไรเเปลกๆ บางฉบับก็วิพากษวิจารณ์หันเหธรรมะลงมาเทียบกับวิทยาศาสตร์ทางโลกจนรู้สึกอึดอัดใจ แต่ส่วนฉบับของหลวงพ่อวัดปากน้ำที่กล่าวมานั้น ข้าพเจ้าอ่านแล้วตันเลย ไม่ใช่เพียงอึดอัด เพราะตามที่กล่าวไว้นั้นสั้นเหลือเกินจนเห็นเป็นของแปลก ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงต้องมาหาให้พบท่านเจ้าของให้จงได้

    วันแรกข้าพเจ้าเข้ามาหาท่านเวลาฉันเพล เห็นมีคนนั่งล้อมรอบ ไปกราบๆ ท่านและบอกชื่อเสียงแก่ท่าน บอกความสนใจในทางธรรม ท่านบอกให้นั่งรออยู่นั่นก่อน (ชี้ไปทางหลัง) ท่านก็ฉันเพลเงียบๆ เวลานั้นก็เห็นแม่ชีคนหนึ่ง อุบาสกคนหนึ่ง มีอุบาสกคนหนึ่ง ควบคุมแนะนำให้คนเหล่านั้นนั่งสมาธิตามๆ กันหมด (ต่อมาได้ความว่าเป็นคนไข้ที่มาขอให้ท่านรักษา) พอเสร็จจากการฉันเพล ท่านก็ให้โอกาสแก่ข้าพเจ้าเข้าไปนั่งใกล้ๆ เมื่อเริ่มสนทนาปราศรัย ท่านก็ยกบทพุทธคุณขึ้นมาพูดเป็นข้อๆ ไป พร้อมทั้งคำแปลคำอธิบาย หูของข้าพเจ้าฟังดูรู้สึกว่ามีรสชาติซาบซึ้งกว่าที่ข้าพเจ้าเคยได้ยินหรือเคยอ่านมาในที่ต่างๆ นั้นมาก ข้าพเจ้าติดใจในอรรถรสมาก แต่นั้นมาก็พยายามไปฟังเวลาท่านลงแสดงธรรมในโบสถ์เสมอ ท่านลงแสดงเองทุกวันพระและวันอาทิตย์ ข้าพเจ้ารู้สึกจับใจมาก ส่วนมากแสดงหนักไปในทางปฏิบัติ ข้าพเจ้านึกเสียดายว่าที่ท่านแสดงนั้นแสดงด้วยปากเปล่า เราฟังแล้วก็มีแต่จะเสื่อมสูญไป เสียดายความเหน็ดเหนื่อยที่ท่านพยายามแสดงจึงคิดหาทางขอบันทึกไว้ ท่านเห็นชอบด้วยจึงได้เริ่มลงมือบันทึก

    เท่าที่ข้าพเจ้าเคยพบปะมา พระที่เป็นฝ่ายสมถะมักไม่ใคร่แสดงธรรม พระที่แสดงธรรมโดยมากเป็นฝ่ายปริยัติ แต่หลวงพ่อวัดปากน้ำนี้ ไฉนจึงชอบแสดงธรรม ได้ความว่าท่านเป็นนักปริยัติมาแต่เก่าก่อนแล้ว ฉะนั้นสังเกตดูแนวการแสดงในเบื้องต้น แต่ละกัณฑ์ๆ ระวังบาลีมิให้คลาดเคลื่อน และแปลเป็นข้อๆ ไปก่อน แล้วจึงจะขยายความชี้แนวปฏิบัติ ท่านแสดงธรรมอยู่ในหลักนี้เสมอ ไม่ใช่นึกว่าเอาตามใจชอบ ถ้าจะยกอะไรขึ้นเป็นต้องอ้างอาคตสถานที่มาแห่งธรรมเหล่านั้นประกอบด้วย

    จริยาของท่าน

    คุมภิกษุสามเณรลงทำวัตร ไหว้พระในโบสถ์ทุกวัน วันละ 2 เวลา คือเช้าหนหนึ่ง เย็นหนหนึ่ง และได้ให้โอวาทสั่งสอนภิกษุสามเณรทั้ง 2 เวลา
    วันพระและวันอาทิตย์ลงแสดงธรรมในโบสถ์เองเป็นนิจ
    ทำกิจภาวนาอยู่ในสถานที่ซึ่งจัดไว้เฉพาะเป็นกิจประจำวัน และควบคุมพระให้ไปนั่งภาวนารวมอยู่กับท่านทั้งกลางวันและกลางคืน ส่วนพวกชีก็ให้ทำกิจภาวนาเหมือนกัน
    ทุกวันพฤหัสบดี เวลา 14.00 น. ลงสอนการนั่งสมาธิแก่ภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ที่ศาลา ซึ่งข้าพเจ้าเคยเห็นมีภิกษุสามเณรต่างวัด อุบาสก อุบาสิกา ต่างถิ่นมาเรียนกันเป็นจำนวนมากๆ ทุกวันพฤหัสบดี สอบถามได้ความว่ามีผู้ไปเรียนกันมากแต่ต้นจนบัดนี้ ไม่ต่ำกว่า 4 หมื่นแล้ว เพราะสอนมากว่า 15 ปีแล้ว
    จัดให้มีครูสอนปริยัติในวัดนี้อีกแผนกหนึ่งด้วย
    นอกจากถ้าเป็นจริงๆ แล้ว ท่านมักไม่ยอมออกจากวัด การสวดมนต์ฉันเช้า ถ้าใครไปนิมนต์ มักจะถูกถามว่าให้พระอื่นไปแทนได้ไหม อย่างนี้โดยมาก เพราะท่านชอบหมกมุ่นอยู แต่กิจภาวนาโดยมาก ออกรับแขกก็เป็นเวลา ตอนเพลครั้งหนึ่งที่ไปพบได้เสมอ ถัดจากนั้นก็เวลา 17.00 น. อีกหนหนึ่ง ออกมานั่งพักผ่อนสนทนาปราศรัย นอกจากนี้ท่านอยู่ในห้องภาวนาซึ่งเรียกว่า โรงงาน ซึ่งใครไม่เข้าใจได้ยินคำว่าโรงงานเลยเข้าใจเป็นอื่นไปก็มี ข้าพเจ้าเองเคยได้ยินเหมือนกันว่า หลวงพ่อมีโรงงานทำบุ้งกี๋ขาย จึงได้เลี้ยงพระได้ทั้งวัด ซึ่งเป็นเสียงอกุศล ข้าพเจ้าได้สอบถามไวยาวัจกรของท่านดูได้ความว่า เดิมเคยมีเจ๊กมาทำบุ้งกี๋ขายอยู่หน้าวัดคราวหนึ่งจริง จึงกลายเป็นข่าวอกุศลนี้ ความจริงวัดไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเลย

    วัดนี้มีโรงครัวหุงอาหารเลี้ยงพระภิกษุสามเณรทั้งวัด รวมทั้งแม่ชีและอุบาสก อุบาสิกา ถ้าวันอุโบสถ พวกที่ได้รับอุโบสถก็ได้รับการเลี้ยงดูด้วย ทำมาดังนี้ 20 ปีเศษแล้ว เช้าเลี้ยงข้าวต้ม เพลเลี้ยงข้าวสวย เฉพาะปีนี้มิภิกษุสามเณรที่จำพรรษา 150 รูป อุบาสกอุบาสิกา 120 คนเศษ มักจะมีผู้เลื่อมใสศรัทธามารับเลี้ยงเนืองๆ เช่นทำบุญวันเกิดหรืออะไรเป็นต้น วิธีทำไม่ยาก เอาเงินไปมอบไวยาวัจกรกำหนดวันไว้ ถึงวันก็ไปแต่ตัว โรงครัวจัดไว้ไห้เสร็จ และมีวิธีนำถวายเป็นแบบสังฆทานและโดยมากมักมีเทศน์ด้วย ซึ่งข้าพเจ้าเคยพบบ่อยๆ ถ้าวันใดไม่มีเจ้าภาพ ก็เป็นส่วนของหลวงพ่อ ข้าพเจ้าเคยสอบถามพระที่วัดนั้นว่า หลวงพ่อเห็นจะมีเงินทุนสำรองมาก ท่านบอกว่าเปล่า ทำหมดไปก็มีมาใหม่อย่างนั้นเอง แต่ไม่ขาด การที่มีคนไข้มารักษาก็ไม่ได้เรียกร้องอะไร ข้าพเจ้าเห็นว่าแปลกกว่าวัดทั้งหลาย จึงนำมาเล่าสู่กันฟังไว้ในที่นี้ด้วย ภิกษุสามเณรในวัดนี้มี 2 ประเภท คือ นักวิปัสสนาประเภท 1 นักเรียนปริยัติประเภท 1 หลวงพ่อเลี้ยงดูทั้งนั้น การขบฉันไม่ต้องกังวล

    เนื่องจากเหตุที่ว่า ผู้ที่หุงอาหารในโรงครัวของวัดนี้ เป็นพวกอุบาสิกาและพวกปฏิบัติธรรม ถึงแม้จะมีอุบาสกปนบ้าง แต่ก็มีอุบาสิกาเป็นส่วนมาก จึงเป็นมูลเหตุให้ข่าวอกุศลอันนำความมัวหมองมาสู่สำนักนี้ขึ้นอีกทางหนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้าก็ได้ยินเข้าหูตั้งแด่ก่อนที่จะได้ไปติดต่อกับวัดนี้ แม้วันแรกที่ไปฟังลาดเลา ก็ได้พบพระรูปหนึ่งในวัดนั้น ท่านพูดขึ้นเองว่า ที่วัดนี้มักมีข่าวอกุศลต่างๆ อยู่ ถ้าได้มาเสียด้วยตนเองดังนี้ดีกว่า ท่านไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านี้ ข้าพเจ้าเองก็ไม่ได้ไต่ถามในเรื่องเหล่านี้ แต่เพื่อพิสูจน์หาความจริง วันหนึ่งข้าพเจ้าไปพบชายมีอายุคนหนึ่งที่วัดสิงห์ แกพูดว่าเคยอยู่วัดปากน้ำมา 2 ปี แต่เดี๋ยวนี้ไปอยู่ที่อื่นแล้ว ข้าพเจ้าเห็นเป็นโอกาสจึงลองกระทบถามดูถึงข่าวอกุศลเหล่านี้ แกหัวเราะ แล้วตอบว่า แกก็เคยได้ยินเข้าหูมามากเหมือนกัน ข้าพเจ้าจึงถามว่า ก็แล้ว ความจริงเป็นอย่างไรเล่า แกว่าไม่เห็นมีวี่แววดังข่าวนั้นเลย ผมก็อยู่ที่นั่นมานาน และยังพูดต่อไปอีกว่า เรื่องอย่างนี้ถ้าเป็นความจริงแล้ว ไม่ต้องคนอื่นว่าดอก ตนของตนย่อมจะติตนเอง ที่ไหนจะทนอยู่ดูหน้าคนทั้งหลายได้ ในที่สุดแกยังท้าว่า ถ้าคุณยังไม่เคยไปก็ไปพิจารณาดูเถิด ท่านพระครูวัดปากน้ำองค์นี้มีผิวพรรณเปล่งปลั่ง และยังกล่าวต่อไปว่า อันภิกษุที่ไม่บริสุทธิ์แล้วย่อมเศร้าหมอง พอจะดูกันออก ข้าพเจ้าถามต่อไปว่า ท่านเทศน์เป็นอย่างไรบ้าง แกตอบว่า พอฟัง ข้าพเจ้านึกในใจว่าตานี่พูดสูงอยู่เหมือนกัน จึงต้องซักแกต่อไปว่า ที่ว่าพอฟังน่ะหมายความว่าอย่างไร แกตอบว่า ฟังที่นี่วันหนึ่งคุ้มกับฟังที่อื่นตั้งปี

    นอกจากนี้ข้าพเจ้ายังเงี่ยหูฟังอีกหลายทาง ตลอดจนเสียงพระเถระผู้ใหญ่บางรูปในพระนครก็ไม่ติฉินประการใด แถมบางรูปยังพูดไปถึงมูลเหตุแห่งข่าวอกุศลเหล่านี้เสียอีกว่า เกิดจากคนที่มุ่งอิจฉา และยังได้ความต่อไปจนถึงว่า พวกทื่อิจฉาเคยใช้คนมาลอบยิงเมื่อท่านไปอยู่ใหม่ๆ เพราะท่านไมใช่คนถิ่นนี้ และถึงกับร้องเรียนเป็นข่าวอกุศลต่างๆ ไปยังสมเด็จพระสังฆราชครั้งกระโน้น ถึงแก่ส่งพระไปอยู่ประจำคอยสังเกตการณ์และตำารวจก็ปลอมตัวไปสอดแนม ในที่สุดก็ไม่ได้ความจริงตามที่กล่าววหา นี่เป็นเรื่องที่ข้าพเจ้าสืบสวนได้ความมา จะสมควรฟังเป็นความจริงได้เพียงใดหรือไม่ แล้วแต่ท่านผู้อ้านจะพิจารณาเอาเอง เพื่อที่จะรู้ว่าข้าพเจ้าผู้สืบสวนและเขียนข้อความเหล่านี้เป็นใคร จึงขอบอกไว้ไห้ปรากฏในที่นี้ว่า ข้าพเจ้าชื่อพระทิพย์ปริญญา (ธูป กลัมพะสุต) ข้าพเจ้าเคยบวชเรียนมาแล้ว มีวิทยฐานะเป็นเปรียญ 6 ประโยค และตอนสุดท้ายเคยรับราชการเป็นผู้พิพากษาอยู่ในชั้นศาลอุทธรณ์ 10 ปี ทั้งนี้เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้อ่านคิดเอาเองว่าข้าพเจ้าจะเชื่ออะไรง่ายยากเพียงใด ข้าพเจ้าสืบได้ความจนถึงต้นตอผู้ที่แพร่ข่าวอกุศล ตลอดทั้งตัว และชื่อผู้ที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงแพร่ข่าวอกุศล ทั้งสาเหตุที่ท่านเหล่านั้นจะคิดอิจฉาด้วยทุกประการ ออกรู้สึกสลดใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ฟังดูทางหลวงพ่อไม่เห็นเอาใจใส่อะไร ไม่กล่าวขวัญถึงใครที่ข้าพเจ้าสืบได้ความดังกล่าวนั้นจากผู้อื่น

    เท่าที่ข้าพเจ้าสืบสวนและสังเกตการณ์โดยใกล้ชิดมาเป็นเวลาเกือบปีแล้ว ได้ข้อเท็จจริงพอแล้วที่จะชี้ขาดว่า ข่าวอกุศลต่างๆ นั้น ไม่มีมูลแห่งความจริงเลย ในทางตรงกันข้าม ข้าพเจ้าเชื่อเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ว่า ท่านเป็นผู้ที่บริสุทธิ์ด้วยประการทั้งปวง และมีภูมิรู้ในทางปริยัติกว้างขวาง เป็นพระธรรมกถึกชั้นเยี่ยม ทั้งเป็นผู้ปฎิบัติอย่างดีเลิศ การปฏิบัติและแนวเทศนาของท่านดำเนินตามหลักในคัมภีร์วิสุทธิมรรคทั้งสิ้น

    เรื่อง ศีล สมาธิ ปัญญา ตามคัมภีร์วิสุทธิมรรคนั้นเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องยาก ผู้ไม่ใช่นักปฏิบัติแล้ว ยากที่จะนำมาแสดงให้แจ่มแจ้งให้เป็นผลปฏิบัติได้ แต่หลวงพ่อวัดปากน้ำแสดงได้แจ้งชัด และชี้ทางปฏิบัติให้โดยตรง จึงสมควรเทิดไว้ในฐานันดรพระธรรมกถึกชั้นเยี่ยม ซึ่งข้าพเจ้าขอกราบแสดงความเคารพอย่างสูงต่อท่านไว้ในที่นี้ด้วย

    ที่ข้าพเจ้าเอาเรื่องของวัดมาพูดโดยยืดยาวเช่นนี้ ความมุ่งหมายก็เพื่อบรรเทาบาปให้แก่ผู้แพร่ข่าวอกุศล เพราะการกล่าวเท็จใส่ไคล้ผู้มีศีลเช่นนี้เป็นบาปหนักหนา เพื่อว่าเขารู้ตัว จะยับยั้งกรรมอันชั่วนี้เสียได้ ข้าพเจ้าก็จะพลอยอนุโมทนา แล้วจะมีส่วนได้บุญอันนับเนื่องในปัตตานุโมทนามัยด้วย

    ท่านทั้งหลาย การที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์นี้ มิได้มาตัวเปล่า ต่างมีบุญและบาปที่ทำไว้ ในอดีตติดมาทุกคน ต่างกันแต่มากบ้างน้อยบ้าง ไม่ช้าเราก็ตายดอก อย่ามาแบกเอาบาปเพิ่มไปอีกเลย ลาภสักการะอันหมุนลงได้เป็นราคาเงินนั้น เป็นสมบัตินอกกายตายแล้วเอาไปไม่ได้ดอก มันเป็นของใช้สอยประจำโลก เราตายแล้วก็ตกเป็นของคนอื่น เขาอาศัยใช้สอยต่อไป ใครจะว่าเป็นของใครไม่ได้ทั้งนั้น โลกมนุษย์เป็นแหล่งกลางสำหรับอาศัยสร้างบุญ สร้างบาป โลกนรก โลกสวรรค์เป็นเพียงโลกที่คอยรับรองผลบุญ-บาปเท่านั้น เราได้มาเกิดอยู่ในโลกอันเป็นแหล่งกลางเช่นนี้แล้ว นับว่าเราได้มีโอกาสที่จะเพิ่มบุญผ่อนบาปให้เบาลง ให้เบาลงกว่าที่เราแบกมาจากอดีตนั้นเถิด อย่าเติมเข้าไปอีกเลย ไหน ๆ เราก็ต้องตายแน่ อย่ามาหอบเอาบาปเพิ่มไปอีกเลย

    อนึ่ง การอ่านหนังสือเรื่องธรรมกายนี้ ถ้าได้รู้แนวทางปฏิบัติบ้างแล้วจะเข้าใจได้แจ่มแจ้งดี เพื่อประโยชน์ดังกล่าวนี้ ข้าพเจ้าจึงเขียนบันทึกแนวสอนวิธีทำสมาธิ โดยย่อของท่านไว้ท้ายหนังสือเล่มนี้ ถ้าต้องการรู้ละเอียดต้องอ่านหนังสืออีกเล่มหนึ่ง ซึ่งท่านเคยแจกกับผู้ไปเรียนสมาธิกับท่าน หนังสือเล่มนั้นเป็นแบบเจริญสมาธิโดยตรง (คือที่ข้าพเจ้าใช้คำว่าตามแบบ)

    แต่ว่าการเรียนสมาธินั้น ถ้าจะเอากันให้ได้ผลจริงจังแล้วต้องมีอาจารย์ จะทำสุ่มไปไม่ใคร่ได้ผล แม้เราจะได้อ่านตำรับตำราในทางนี้ เช่น วิสุทธิมรรค เป็นต้น ถ้าไม่มีอาจารย์แนะนำวิธีปฏิบัติอีกชั้นหนึ่งแล้ว ก็ยากที่จะปฏิบัติให้ได้ผล เพราะมีรายละเอียดปลีกย่อยที่อาจารย์จะพึงแนะนำอีกมากหลาย

    สมาธิเป็นยอดคำสอนในพระพุทธศาสนา ที่ว่ายอดนี้หมายความว่าเป็นหลักสำคัญยิ่ง ในจำพวกคุณธรรม 3 ประการ คือ ศีล สมาธิ ปัญญานั้น ศีลเป็นส่วนประกอบ คือ เป็นเพียงเหตุที่จะให้ดำเนินไปสู่สมาธิ ส่วนปัญญานั้นเป็นผลของสมาธิ จุดมุ่งหมายสำคัญจึงอยู่ที่สมาธิตัวกลางซึ่งต้องทำให้เกิดให้มีขึ้น ดังมีบาลีในวิสุทธิมรรคยืนยันว่า นตฺถิ ฌาน อปญฺญสฺส นตฺถิ ปญฺญา อฌายิโน ซึ่งแปลความว่า ฌานย่อมไม่มีแก่ผู้ไร้ปัญญา ปัญญาย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีฌาน และอานิสงส์ของสมาธินั้นก็มีอยู่ว่า บุคคลผู้ได้สมาธิแล้วย่อมได้รับอานิสงส์ 5 ประการ คือ 1) ความสุขในปัจจุบัน 2) วิปัสสนาปัญญา 3) ฌาน 4) ภพอันวิเศษ 5) นิโรธ ฉะนั้น สมาธิจึงเป็นเรื่องที่เราควรสนใจ

    เท่าที่ข้าพเจ้าได้ฟังมา วิธีปฎิบัติของหลวงพ่อวัดปากน้ำ มีผู้กล่าวออกความเห็นกันไปหลายอย่างต่างๆ กัน พวกหนึ่งว่า เป็นฌานโลกีย์ พวกหนึ่งว่า ติดรูป บางพวกว่า ติดนรกสวรรค์ แต่อีกพวกหนึ่งว่า ท่านเลยเถิดไปถึงนิพพาน ซึ่งมองไม่เห็น

    ข้าพเจ้าเคยนำวาทะเหล่านี้ ไปสนทนากับผู้ปฎิบัติในสำนักหลวงพ่อวัดปากน้ำแล้ว เขาตอบขบขันเหมือนกัน เขาว่าที่ว่าติดรูปนั้นดีนะ ให้มันรู้ว่าติดรูปเถอะ จะได้มีโอกาสแกะรูปออก แต่ข้อสำคัญว่าเราไม่รู้ว่าติดรูปนี่ซิ เมื่อไม่รู้ว่าติดเราก็ไม่รู้จักรูป เมื่อเราไม่รู้ว่าติด เราก็ไม่ได้แกะ เมื่อเราไม่แกะมันจะหลุดได้อย่างไร เหมือนของโสโครกติดหลังเสื้อที่เราสวมอยู เมื่อเราไม่รู้ว่ามันติดเราก็ไม่พยายามเอาออก แล้วมันจะไปไหน ฟังดูก็แยบคายดี

    แต่สำหรับความเห็นข้าพเจ้านั้น เห็นควรรวมวาทะที่ว่าติดรูปกับวาทะที่ว่าเป็นฌานโลกีย์ รวมวินิจฉัยเสียเป็นข้อเดียว เพราะตามที่ว่านี้คงหมายถึงรูปฌาน เมื่อเช่นนั้นทางที่จะปลดเปลื้องความสงสัยของเจ้าของวาทะเหล่านี้ก็ง่ายขึ้น สมเด็จพระบรมศาสดาก่อนที่จะได้ตรัสรู้นั้น พระองค์ผ่านรูปฌาน อรูปฌานหรือเปล่า ข้อนี้จะต้องรับกันว่าผ่าน ก็เมื่อเช่นนี้ ใครจะปฏิเสธได้หรือว่า โลกิยฌานนั้นจะไม่เป็นอุปการแก่พระองค์ในการตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ความข้อนี้ข้าพเจ้าเคยนำไปสนทนาวิสาสะกับพระเถระบางรูป ซึ่งฝักใฝ่ทั้งปริยัติและปฏิบัติ ท่านได้กล่าวอุปมาให้ฟังว่า การข้ามแม่น้ำหรือมหาสมุทร ถ้าไม่ใช้เรือหรือเครื่องบินเป็นพาหนะแล้ว มันจะข้ามไปได้อย่างไร ในที่สุด ท่านยืนยันว่าฌานโลกีย์นั้นแหละ ยังพระองค์ให้ข้ามถึงซึ่งฝั่งโลกุตร เมื่อนำเอาบาลีข้างต้นมาประกอบการวินิจฉัย ความข้อนี้จะแจ่มใสยิ่งขึ้น เพราะคำว่า นัตถิปัญญา อฌายิโน) นั้นเป็นหลักอยู่ซึ่งแปลได้ความอยู่ชัด ๆ ว่า ปัญญาย่อมไม่มี แก ผู้ไม่มีฌาน ดังนี้ เราจะไปยกวาทะ ติฌานโลกีย์อย่างไรกัน

    อันวาทะที่ว่าติดนรกสวรรค์นั้น ข้อนี้น่าเห็นใจผู้สงสัย เธอคงจะไม่ได้มีโอกาสไปฟังการแสดงธรรมของหลวงพ่อวัดปากน้ำเสียเลย เธอคงจะไป ฟังหางเสียงของบางคนที่ฟังไม่ได้ศัพท์ จับเอาไปกระเดียดเข้าแล้ว เพราะการแสดงธรรมนั้น เมื่อพูดถึงเรื่องบาปบุญคุณโทษก็ต้องอ้างเรื่องนรกสวรรค์ท่านมีอะไรพิสูจน์แล้วหรือว่านรกสวรรค์ไม่มี ท่านมีปัญญาพอแล้วหรือว่า นรกสวรรค์นั้นไม่มีผู้รู้เห็น ท่านได้เคยสนใจอ่านวิสุทธิมรรคบ้างหรือเปล่า ท่านเคยสนใจในคําว่า ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ ดีแล้วหรือ ว่ากินความเพียงไร หรือตัวท่านมีภูมิปัญญาเหนือพระคันถรจนาจารย์เหล่านั้น ขอจงใคร่ครวญเอาเอง

    ส่วนวาทะที่ว่าเลยเถิดไปถึงนิพพานนั้น ข้าพเจ้าจะขอพูดแต่โดยย่อ เพราะถ้าจะพูดกันกว้างขวางแล้ว จะเกินหน้ากระดาษหนังสือนี้ จะต้องเป็นอีกเล็มหนึ่งต่างหาก

    ท่านคงจะได้อ่านคำถวายวิสัชนาของพระเถรานุเถระ 18 ความเห็นที่พิมพ์แจกกันแพร่หลายอยู่แล้ว ในหนังสือนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชปุจฉาถึงเรื่อง "นิพพาน" ว่าคืออะไร พระเถรานุเถระ 18 รูปถวายความเห็นด้วยโวหารต่างๆ กัน แต่ในที่สุดมีรูปหนึ่งถวายวิสัชนาหลักแหลม โดยกล่าวว่า แปลคำว่านิพพานนั้นไม่ยาก ข้อยากอยู่ ที่ทำให้แจ้ง ท่านพูดทิ้งไว้เท่านั้นเอง ขอให้เรามาคิดกันดูทีหรือ ทำให้แจ้ง หมายความว่ากระไร นี่ก็จะเห็นได้แล้วว่า เรื่องนิพพานนั้นเป็นของยากหรือง่าย คนซึ่งมีปัญญาอย่างสามัญจะพูดได้ไหม เราก็ต้องรู้ตัวดีว่าไม่สามารถเพราะเป็นวิสัยของมรรคญาณ และการบำเพ็ญให้บรรลุมรรคญาณนั้นทำกันอย่างไร เรารู้ไหม ถ้าเราไม่รู้ จะแปลว่าคนอื่นก็ไม่รู้เหมือนกับเรากระนั้นหรือ สิ่งที่เราก็ไม่รู้ สมควรหรือที่เราจะยกวาทะกล่าวถึงผู้อื่น ในที่สุดข้าพเจ้าเห็นว่า ทางที่ดีที่สุดเราควรปฏิบัติตัวของเราเองให้รุดหน้าไปตามแนวปฏิบัติ ดีกว่าจะมามัววิจารณ์ผู้อื่น อย่าลืมคำว่า สันทิฎฐิโก อกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปนยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ

    การแสดงธรรมของหลวงพ่อวัดปากน้ำนั้น ตามที่ข้าพเจ้าได้ฟังมาอยู่ในเรื่องทาน ศีล ภาวนา นรก สวรรค์นิพพาน แต่โดยมากหนักไปในทางปรมัตถ์ เวลานี้กำลังแสดงพระอภิธรรมว่าด้วยมหาปัฏฐาน อนันตนัยเรียงลำดับบทมาติกาวันพระที่แล้วมา ถึงบทอินทริยปัจจโยแล้ว

    ในที่สุดนี้ขออานุภาพพระรัตนตรัย จงคุ้มครองรักษาท่านผู้ประพฤติธรรมทั้งหลายให้มีความสุขทั่วกัน เทอญ

    พระทิพย์ปริญญา
    บ้านเลขที่ 116 ถนนสูริวงศ์ พระนคร
    13 กันยายน 2489
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กรกฎาคม 2016
  18. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972
    คณะผู้จัดทำได้รวบรวมเนื้อหากระทู้ของคุณสมถะหรือปราชญ์ขยะ
    ที่ได้นำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับความรู้ทั่วไปในพระพุทธศาสนา
    และการปฏิบัติสมาธิภาวนา ในเวปบอร์ดต่างๆ
    นำมาจัดเก็บไว้ ณ ที่นี้ เพื่อให้ผู้สนใจสะดวกในการติดตามอ่านและทำความเข้าใจได้สมบูรณ์ที่สุด เปิดศึกษาที่นี่ : http://www.khunsamatha.com/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972
    ความหมายและอายตนะแบบต่างๆ

    หลวงพ่อวัดปากน้ำได้ให้ความหมายของคำว่า อายตนะ ไว้ว่า หมายถึงดึงดูด หรือบ่อเกิด ท่านกล่าวว่า

    "บ่อเกิดของตาดึงดูดรูป บ่อเกิดของหูดึงดูดเสียง บ่อเกิดของจมูกดึงดูดกลิ่น บ่อเกิดของลิ้นดึงดูดรส บ่อเกิดของกายดึงดูดสัมผัส บ่อเกิดของใจดึงดูดธรรมารมณ์"

    ซึ่งเราสามารถจับคู่ได้ดังนี้

    ตา ดึงดูดกับ รูป
    หู ดึงดูดกับ เสียง
    จมูก ดึงดูดกับ กลิ่น
    ลิ้น ดึงดูดกับ รส
    กาย ดึงดูดกับ สัมผัส
    ใจ ดึงดูดกับ ธรรมารมณ์ หรือธัมมารมณ์


    ท่านขยายความคำว่าอายตนะออกไปอีกว่า อายตนะ มีอยู่ 2 แบบ คือ โลกายตนะ กับธัมมายตนะ โลกายตนะ เป็นอายตนะในภพ 3 โลกันต์ที่ดึงดูดสรรพสัตว์ไปตามภพภูมิต่างๆ ตามอำนาจของบุญและบาป ส่วนธัมมายตนะ คือ อายตนนิพพานที่ดึงดูดสรรพสัตว์ที่หมดกิเลส

    อายตนะ 12 จัดอยู่ในโลกายตนะ ที่ดึงดูดสรรพสัตว์เอาไว้ในภพ 3 นี้ พระมงคลเทพมุนีได้อธิบายไว้ว่า

    "อายตนะภพ 3 มันดึงดูดเหมือนกัน กามภพดึงดูดพวกติดในกาม รูปภพดึงดูดพวกติดรูป ติดรูปแล้วต้องไปอยู่ชั้นนั้น อรูปภพดึงดูดพวกติดอรูป ไปติดไปอยู่ชั้นนั้น"

    "โลกายตนะหรือโลกมันดึงดูด รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส รูปที่ชอบใจมันก็ดึงดูดมาให้ไปติดกับมัน หรือเอาไปติดกับตา หรือเอาไปติดกับรูป เสียงที่ชอบใจมันก็ดึงดูดหู หรือหูดึงดูดเสียงเอามา กลิ่นที่ชอบใจก็ดึงดูดจมูก หรือจมูกก็ดึงดูดกลิ่นเอามา รสที่ชอบใจมันก็ดึงดูดลิ้น หรือลิ้นก็ดึงดูดมันมา สัมผัสที่ชอบใจมันก็ดึงดูดกาย หรือกายไปดึงดูดเอามันมา มันดึงดูดอย่างนี้ มนายตนะส่วนใจ ธรรมารมณ์ที่ชอบใจ มันก็ดึงดูดใจ หรือใจก็ไปดึงดูดเอามันมา นี้มันดึงดูดกันอย่างนี้ ดึงดูดแน่นทีเดียว หลุดไม่ได้ทีเดียว ไม่ว่าแก่เฒ่าชรา หญิง ชาย ภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ชนิดใดละ ถูกอายตนะของโลกดึงดูดเข้าอย่างนี้ก็อยู่หมัด ไปไหนไม่ไหวละ อยู่หมัดทีเดียว อายตนะโลกมันดึงดูดอย่างนี้ ไม่ใช่ดึงดูดพอดีพอร้าย อายตนะดึงดูดเหล่านี้ผิวเผินนะ ดึงดูดลงไปกว่านี้อีกอายตนะของโลก

    ถ้าว่าสัตว์ในโลก มีธรรมดำล้วน ไม่ได้มีธรรมขาวเข้าไปเจือปนเลยเท่าปลายผม ปลายขน ดำล้วนทีเดียว แตกกายทำลายขันธ์ โน่น อายตนะโลกันต์ดึงดูด ต่ำกว่าภพ 3 ลงไปนี้ เท่าภพ 3 ส่วนโลกันต์เท่ากับภพ 3 นี้ แต่ต่ำกว่าภพ 3 ลงไปอีก 3 เท่าภพ 3 นี้นั่นมันอายตนะโลกันต์ดึงดูด ดึงดูดโน่น ไปอื่นไม่ได้ อายตนะโลกันต์มีกำลังกว่า พอถูกกระแสถูกสายเข้าแล้วจะเยื้องยักไปทางอื่นไม่ได้ อายตนะของโลกันต์ก็ดึงดูดทีเดียว ไปติดอยู่ในโลกันต์โน่น กว่าจะครบกำหนดออกน่ะมันไม่มีเวลา เวลาน่ะนานนัก ไม่ต้องนับเวลากันละ เข้าถึงโลกันต์แล้ว กว่าจะได้ออก อจินฺเตยฺโย ไม่ควรคิด ไม่มีกำหนดกัน นั่นแน่น ดึงดูดติดขนาดนั้น นั่นอายตนะโลกันต์หนา

    อายตนะอเวจี ถ้าจะไปตกนรกอเวจี ก็ฆ่าพระพุทธเจ้า ฆ่าพระอรหันต์ ฆ่าพระพุทธเจ้า หรือฆ่าพระอรหันต์ ทำลายโลหิตพระพุทธเจ้าให้ห้อขึ้น ยุยงให้สงฆ์แตกจากกัน เหล่านี้ ปิตุฆาต มาตุฆาต ฆ่าบิดา ฆ่ามารดา เหล่านี้ แตกกายทำลายขันธ์ ต้องไปอเวจี อ้ายนี้อยู่ในภพ ขอบภพข้างล่าง ขอบภพข้างล่างพอดี อเวจี สี่เหลี่ยม เหล็กรอบตัวสี่ด้าน สี่เหลี่ยมทีเดียว ไปอยู่ใน ห้องขังนั้น ในห้องขังอเวจีนั้น แดงก่ำเหมือนกับเหล็กแดงทั้งวันทั้งคืน อะไรไม่ต่างกันละ

    ตัวเทวทัตแดงเป็นเหล็กแดงทีเดียว ไหม้เป็นเหล็กแดงทีเดียว แต่ไม่ตาย กรรมบังคับให้ทนอยู่ได้ นั่นไปตกอเวจีละ ทำถึงขนาดนั้น อนันตริยกรรมเข้า พอแตกกายทำลายขันธ์ กุศลอื่นไม่มีกำลัง สู้อเวจีไม่ได้ อเวจีดึงดูดวูบทีเดียว สู่โยคเผด็จของตน ไปเกิดในอเวจีโน่น หย่อนขึ้นมากกว่านั้น ไม่ถึงกับฆ่ามารดา บิดา ทำลายโลหิตพระพุทธเจ้า ไม่ถึงยุยงพระสงฆ์ ทำลาย พระสงฆ์ ยุยงให้สงฆ์แตกจากกัน ปิตุฆาต มาตุฆาต อรหันตฆาต ฆ่าพระอรหันต์ ยังสงฆ์ให้แตกจากกันเหล่านี้ ไม่ถึงขนาดนั้น หย่อนกว่านั้นลงมาเพียงแต่ว่าเกือบๆ จะฆ่ากันแหละ แต่ว่าไม่ถึงกับฆ่า ไม่ถึงตาย เมื่อแตกกายทำลายขันธ์จากมนุษย์โลก ไปอยู่มหาตาปนรกโน้น

    มหาตาปนรกโน่น มหาตาปน่ะ ร้อนเหลือร้อน แต่ว่าหย่อนกว่าอเวจีหน่อยขึ้นมา

    ถ้าว่าไม่ถึงขนาดนั้นทำชั่วไม่ถึงขนาดนั้น หย่อนกว่ามหาตาปนรก ก็ไปอยู่ตาปนรก นั่นก็ร้อนพอร้อน แต่ว่าร้อนหย่อนกว่านั้นขึ้นมาหน่อย หย่อนกว่านั้นขึ้นมายิ่งกว่าเรื่อยขึ้นไป

    ถ้าว่าทำหย่อนขึ้นไปกว่านั้น ความชั่วหย่อนขึ้นไปกว่านั้น เข้าไปอยู่ในมหาโรรุวนรก ร้อง ได้ร้องครางกันเถอะ ไม่มีเวลาหยุดกันละ มหาร้องไห้ทีเดียว

    ถ้าหย่อนกว่านั้นขึ้นมา อยู่ในโรรุวนรก ก็ร้องไห้ไปเถอะ ไม่มีหยุดเหมือนกัน แต่ว่าถ้าหย่อนกว่า ถ้าไม่ถึงขนาดโรรุวนรก หย่อนกว่านั้นขึ้นมา ก็ไปอยู่สังฆาฏนรก ถ้าหย่อนกว่านั้นขึ้น มาอีก ก็ไปกาฬสุตตนรก หย่อนกว่านั้นขึ้นมาอีก ก็ไปสัญชีวนรก รวม 8 ขุม นี่นรกขุมใหญ่ หรือ มหานรก

    ถ้าหย่อนกว่านั้นขึ้นมา ก็ไปอยู่ในบริวารนรก เรียกว่า อุสสทนรก อยู่รอบมหานรกทั้ง 4 ด้าน ด้านละ 4 ขุม แต่ละมหานรก จึงมีนรกบริวาร หรืออุสสทนรก 16 ขุม มหานรก 8 ขุม ก็มีนรกบริวารรวม 128 ขุม หย่อนกว่านั้นขึ้นมาอีก ก็ไปอยู่ในบริวารนรกซึ่งอยู่รอบนอกของมหานรกออกมาอีก ทั้ง 4 ด้าน เรียกว่า ยมโลกนรก แต่ละด้านของมหานรก ก็จะมียมโลกนรกด้านละ 10 ขุม นรกบริวารรอบนอกของมหานรกทั้ง 8 ขุม จึงมี 320 ขุม

    มหานรก 8 ขุม กับนรกบริวารรอบในคือ อุสสทนรกอีก 128 ขุม และนรกบริวารรอบนอก คือ ยมโลกนรกอีก 320 ขุม รวมเป็น 456 ขุม นี่อายตนะนรกดึงดูดอย่างนี้

    ไม่ถึงขนาดนั้น ความชั่วด้วยกาย ชั่วด้วยวาจา ชั่วด้วยใจ ความชั่วด้วยกายวาจาไม่ถึงนรก แตกกายทำลายขันธ์ ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ที่เราเห็นตัวปรากฏอยู่นี่ นั่นมนุษย์แท้ๆ มนุษย์ทั้งนั้น อ้ายสัตว์เดรัจฉานน่ะ ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานเสีย อ้ายตัวข้างในเป็นมนุษย์ทั้งนั้นแหละ อ้ายกายละเอียดข้างใน แต่ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานน่าเกลียดน่าชังนั่น เพราะทำชั่วของตัวไปเกิดมันดึงดูดอายตนะของสัตว์เดรัจฉานดึงดูด ดึงดูดอย่างไรล่ะ อ้าวก็ดึงดูดเข้าไปเกิดในท้องสุนัขน่ะซี ท้องหมูบ้าง ท้องสุนัขบ้างตามยถากรรมของมันซี ท้องเป็ด ท้องไก่โน้น ดึงดูดเข้าไปอย่างนี้แหละ ดึงดูดเข้าไปได้แรงนักทีเดียว ความดึงดูดนั่น ให้รู้จักอายตนะดึงดูดอย่างนี้ อ้ายที่มันดึงดูดในพวกเหล่านี้

    ถ้าว่าหย่อนขึ้นมากว่านี้ ไปเกิดเป็นเปรต ไฟไหม้ติดตามตัวไป อสุรกายหย่อนกว่านั้นขึ้นมา นี่พวกอบายภูมิทั้งนั้น นรก สัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย 4 อย่าง นี่อบายภูมิทั้งนั้น

    แต่นี้ชั่วไม่ได้ทำ ทำแต่ดี ทำแต่ดีก็อายตนะฝ่ายดีดึงดูด บริสุทธิ์ด้วยกาย บริสุทธิ์วาจา บริสุทธิ์ด้วยใจ ไม่มีร่องเสียเลย อายตนะอื่นดึงดูดไม่ได้ อายตนะมนุษย์ดึงดูด ดึงดูดอย่างไรล่ะ เกิดเป็นมนุษย์กันถมไป นี่อย่างไรล่ะ เห็นโด่ๆ มันดึงดูดเข้าไปติดอยู่ในขั้วมดลูกมนุษย์นั่นแหละ มันดึงดูดอย่างนั้นแหละ นี่อายตนะมนุษย์ดึงดูดเข้ามาติดอยู่ในขั้วมดลูกของมนุษย์ นี่เพราะทำความบริสุทธิ์กาย วาจา ใจ ถ้าว่าบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นไปกว่านั้น อายตนะทิพย์ดึงดูด ติดอยู่ในกำเนิดทิพย์เป็นกายทิพย์ เป็นกายทิพย์เป็นลำดับขึ้นไป จาตุมหาราช ดาวดึงสา ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตตี อายตนะดึงดูดทั้งนั้น นี่ในกามภพ 11 ชั้น คือ อบายภูมิ 4 สวรรค์ 6 เป็น 10 มนุษย์อีก 1 รวมเป็น 11 ใน 11 ชั้นนี่ เรียกว่า กามภพ ทั้งนั้น

    ถ้าว่าจะไปในรูปภพ จะไปเกิดในรูปภพ อายตนะของรูปภพดึงดูดเพราะได้ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน แล้วฌานนั้นไม่เสื่อม เห็นเป็นดวงใสวัดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 วา หนาคืบหนึ่ง กลมเป็นวงเวียน กลมเป็นกงเกวียน กลมเป็นวงเวียนทีเดียว รอบตัวหนาคืบหนึ่ง กลมข้างนอก แต่ว่าไม่กลมรอบตัว กลมเป็นวงเวียน เป็นกงจักรทีเดียว เป็นวงเวียนทีเดียว เป็นแผ่นกระจกชัดๆ หนาคืบหนึ่ง วัดผ่าเส้นศูนย์กลาง 2 วา กลมนั่นปฐมฌาน ติดอยู่กลางกายมนุษย์ ที่ทุติยฌานอยู่ในกลางดวงปฐมฌาน มีตติยฌานอยู่ในกลางดวงทุติยฌาน มีจตุตถฌานอยู่ในกลาง ดวงตติยฌาน เป็นลำดับขึ้นไป

    ฌานเหล่านี้เมื่อไม่เสื่อม แล้วแตกกายทำลายขันธ์ อายตนะของรูปพรหมก็ดึงดูดเป็น ชั้นๆ ไป พรหมปาริสัชชา พรหมปุโรหิตา มหาพรหมา นี่ ปฐมฌานดึงดูด ปริตตาภา อัปปมาณาภา อาภัสสรา นี่ทุติยฌานดึงดูด ปริตตสุภา อัปปมาณสุภา สุภกิณหา นี่ตติยฌานดึงดูด เวหัปผลา อสัญญีสัตตา นี่จตุตถฌานดึงดูดไปติดอยู่ในรูปพรหม อายตนะรูปพรหมดึงดูดไปทางอื่นไม่ได้ อายตนะเหล่านี้ไม่ยอมเด็ดขาด มีกำลังกว่า

    ถ้าว่าสูงขึ้นไปกว่านี้ อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ นี่อายตนะของอรูปพรหม ได้อรูปฌาน ดวงโตเท่ากัน แต่ว่าอากาสา-นัญจายตนะก็กลมขนาดเดียวกัน วิญญาณัญจายตนะก็กลมขนาดเดียวกัน แต่ว่าละเอียดกว่าอากิญจัญญายตนะก็กลมขนาดเดียวกัน เนวสัญญานาสัญญายตนะก็กลมขนาดเดียวกัน แต่ว่าไม่กลมรอบตัวนะ กลมๆ อย่างเดียวกับรูปฌาน นี่เมื่อได้อรูปฌานไม่เสื่อม แตกกายทำลายขันธ์ อรูปพรหมดึงดูดไปเกิดอื่นไม่ได้เด็ดขาด อยู่ในอรูปภพนี่แหละ ออกจากภพนี้ไม่ได้

    นี่อายตนะดึงดูดอย่างนี้นะ ถูกอายตนะดึงดูดอย่างนี้ เขาเรียกว่าโลกายตนะที่กล่าวแล้วนี้โลกายตนะทั้งนั้น โลกันต์โน่น โน่นก็เป็นโลกายตนะ อเวจีตลอดถึง เนวสัญญานา สัญญายตนะขอบภพข้างบน นี่โลกายตนะดึงดูดไปไม่ได้ หลุดไปไม่พ้น"


    จากข้างต้นจะทำให้เรารู้ว่า อายตนะ 12 นั้นมีโทษมากเพราะดึงดูดสรรพสัตว์ให้ถูกขังไว้ ดังนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงแนะนำเราให้ค้นหาธัมมายตนะ คือ อายตนนิพพาน ที่จะพาเราให้พ้นไปจากสังสารวัฏนี้



    สละความยินดีในอายตนะ 6 แล้วได้บุญมาก

    หลวงพ่อวัดปากน้ำได้แนะนำให้เราทำใจให้ออกจากอายตนะเหล่านั้น ซึ่งมีโทษมาก ท่านกล่าวเอาไว้ว่า

    "ทานในพระปรมัตถ์ 6 คือ
    มีอายตนะ 6 คือ ยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ถอนความยินดีในอารมณ์เหล่านี้ออกเสียได้ สละความยินดีในอารมณ์เหล่านี้เสียได้ก่อนเราเกิดมาเขาก็ยินดีกันอยู่อย่างนี้ ในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ กำลังที่เราเกิดมาเขาก็ยินดี ในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์เหล่านี้ ครั้นเราจะตายเขาก็ยินดี ในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์อย่างนี้เหมือนกัน

    ความยินดีเหล่านี้ หากถอนอารมณ์ออกเสียได้ ไม่ให้มาเสียดแทงเราได้ พิจารณาว่านี้เป็นอารมณ์ของชาวโลก ไม่ใช่อารมณ์ของธรรม ปล่อยอารมณ์เหล่านั้นเสีย ไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่ให้เข้าไปเสียดแทงใจ ทำใจให้หยุด ให้นิ่ง นี่เขาเรียกว่า ให้ธรรมารมณ์เป็นทาน ย่อมมีกุศลใหญ่ เป็นทางไปแห่งพระนิพพานโดยแท้ และเป็นทานอันยิ่งใหญ่ทางปรมัตถ์"

    สละโลกายตนะเข้าหาธัมมายตนะ

    หลวงพ่อวัดปากน้ำได้แนะนำให้สละความยินดีในอายตนะ 12 เหล่านั้นเสีย เพราะเป็นทางมาของโลภะ โทสะ โมหะ การสละความยินดีเหล่านั้น ก็ใช้หลักการเดิมคือการทำใจให้หยุดนิ่ง แล้วแสวงหาธัมมายตนะคือพระนิพพานนั้น


    "ราคะ โทสะ โมหะเกิดมาจากจักขุบ้าง รูปบ้าง ความรู้ทางจักขุบ้าง ความสัมผัสทางจักขุบ้าง มันเกิดมาทางนี้ต้องแก้ไขทางนี้ แก้ไขทางอื่นไม่ได้ ต้องแก้ไขทาง ตา หู จมูก สิ้น กาย ใจ ไม่ให้ยินดียินร้าย ในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ที่มากระทบถูกต้องอายตนะทั้ง 6 นั้น

    ให้ทำใจให้หยุด หยุดเสียอันเดียวเท่านั้นดับหมด พอหยุดได้เสีย ก็เบื่อหน่าย
    เบื่อหน่ายใน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์
    เบื่อหน่ายในทางความรู้ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
    เบื่อหน่ายในการสัมผัสทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

    เบื่อหน่ายหมดต้องทำใจให้หยุดอยู่ ณ ศูนย์กลางกาย สะดือทะลุหลัง ขวาทะลุซ้าย กลางกั๊ก ใสเหมือนดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ หยุดนิ่งหยุดทีเดียว พอหยุดก็รู้ว่าใจของเราหยุดแล้ว ที่ว่าใจหยุดก็เข้ากลางของกลาง นิ่งอยู่ที่เดียว กลางของกลางๆ ๆ ไม่ถอย แล้วเข้ากลางของกลาง หนักเข้าไป พอใจหยุดก็เข้ากลางของกลาง ซ้ายขวาหน้าหลังล่างบนไม่ไป กลางของกลางหนักขึ้นทุกทีไม่มีถอยออก กลางของกลางหนักขึ้น พอถูกส่วนเข้าก็จะเห็นดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ นั่นเป็นดวงปฐมมรรค หนทางเบื้องต้นมรรคผลนิพพาน"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 6.gif
      6.gif
      ขนาดไฟล์:
      26.7 KB
      เปิดดู:
      66
    • Why.jpg
      Why.jpg
      ขนาดไฟล์:
      138.9 KB
      เปิดดู:
      35
  20. สมถะ

    สมถะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,091
    ค่าพลัง:
    +972
    ภาพถ่ายครูสอนธรรมกายที่หลวงพ่อวัดปากน้ำ แต่งตั้ง เมื่อปี 2497(ภาพด้านล่าง)


    แม่ชีอาจารย์ในวัดปากน้ำ ( ผู้ทรงอภิญญาตอนที่ 1)



    คำสอนของคุณยายทองสุก สำแดงปั้น

    เรื่อง “ ตาบอดคลำช้าง ”
    เพื่อเอาไปพิจารณา มหาพิจารณา
    จงอย่าทำตนเป็นตาบอดคลำช้าง

    “ …. นานน่ะ กว่าเราจะมองดู กามภพ รูปภพ ให้ชัดเจน นี้เรามองดูให้ชัดเจนดีแล้ว เราหัดพูดกับพระพุทธเจ้าให้คล่อง แคล่วเชียว เราหัดพูดกับพระพุทธเจ้าทีแรกเหมือนยังกับเด็กยัง งั้น แหล่ะ รู้เรื่องมั่ง ไม่รู้เรื่องมั่ง หัดอยู่อย่างนั้นทุกวัน เราเดิน ฌาณสมาบัติ นิโรธ แล้ว เราก็หัดพูดกับพระพุทธเจ้าทุกวัน จน กว่าเราจะรู้เรื่อง หูทิพย์ เราก็ได้ยินถนัดชัดเจน เราได้ยินถนัด ชัดเจนก็เพราะว่า เราต้องใช้ความหยุดตรึก นิโรธ ..หยุดตรึกนิ่ง ให้หนักขึ้น บนพระนิพพาน นั่น เราหัดไปทำวิชาบนพระนิพพาน น่ะ มันจะถนัดท่าไหนล่ะ เราก็ดูขยับเอาในตัวของเราเอง ให้รู้ว่า อย่างไหนถนัดมาก อย่างไหนถนัดน้อย เราต้องหัดให้ชัดเจน พอเราหัดพูดกับพระพุทธเจ้าได้ชัดเจนดีแล้ว เราก็มาหัดพูดกับ ผี กับเปรต เราต้องหัดพูดให้รู้เรื่องรู้ภาษาของเค้าให้หมด เรา ต้องหัดพูดทั้งนั้นนะ กับมด กับสัตว์ กับนกวิหคบินบนอากาศ เราก็ต้องหัดให้รู้จักภาษาสัตว์ ……… ………. ตรัสรู้

    สมมติว่าเราไปเจอสัตว์สักฝูงหนึ่ง สัตว์ตัวนั้นมีบารมีเท่า นั้นมาเกิดใช้ชาติเป็นอย่างนั้น เป็นโพธิสัตว์ หรือไม่ใช่ โพธิสัตว์ หรือจะเป็นเทพบุตร หรือจะเป็นเทวดาอยู่ชั้นไหน ลงมาใช้ชาติ ให้เรารู้ ตรัสรู้ ผุดในรู้ บอกให้เรารู้เรื่องหมด หรือ เราจะเจอะคนสัก 100 คน เดินมา หรือ 10 คน เดินมา คนนั้น จะต้องตายไปตกนรกอยู่ชั้นนั้น คนนั้นจะต้องตายไปอยู่สวรรค์ ชั้นนั้น ให้รู้หมดเชียว เพื่อเราจะดูได้ง่าย เราจะดูด้วยญาณ ด้วย ตาเนื้อ นั่ง นอน ยืน เดิน ตรึกไว้ด้วย ทุกอิริยาบถ

    คนบาปน่ะ ไอ้ห่วงคอมันติดอยู่ที่กายเนื้อ คนไหนบาปมาก ทำความชั่วมาก ห่วงมันก็ติด แต่ตาเนื้อไม่เห็น ตาเนื้อมันเรียก ว่า ตาบอดคลำช้าง มันไม่เห็นน่ะ แต่เราอยู่ในโลกมันโตเต็ม เมือง มันมาเกิดในโลกมันโตเต็มเมือง มันทำความชั่วครั้งหนึ่ง มันก็เอา มันลงโทษตัวมันเอง ทุกคนเหมือนกันหมด ไม่ว่าใคร ทั้งหมด เราไม่รู้หรอกว่าความชั่วของเรามีมากน้อยเท่าใด แต่ ว่าไอ้ห่วงคอมีอยู่ ติดอยู่ในตัวเรา เราเห็นมันลู่ๆ เราก็รู้แล้วว่า อ้ายคนนั้นทำความชั่วมาก ห่วงคอมันใหญ่นัก มันเป็นเหล็ก เครื่องหมายมันมีอยู่อย่างนี้แหล่ะ แล้วเวลาตายนั่น แหล่ะ ไอ้ จำพวกนั้น เวลาเวทนามันเกิด มันจะตายงี้ เวลาเค้ามาเก็บ เค้า กระชากลากเอาไม่ปราศรัย ที่เค้าจะมาเด็ดเอาวิญญาณนั้นน่ะ เค้าตีไปตลอดทาง เรื่องนี้เราก็ต้องดูต้องให้เห็นชัดเจนเลย

    พวกบุญล่ะ! พวกบุญเค้าก็จะมีราชรถมารับ …ราชรถมารับ เวลาจะตายเค้าก็มาลอยอยู่คอยรับ ก็ราชรถนั่นก็มาจากวิมาน ของเค้านั่นแหล่ะ เวลานายเค้าจะกลับบริวารเค้าให้ราชรถมา รับ คนพูดนี่ได้ตรวจเสร็จ ได้สอบเสร็จจึงจะกล้ามาพูด ได้สอบ เสร็จ ได้ดูเสร็จ เวลาเจ้าของเค้าจะกลับจะละจากโลกมนุษย์ ราชรถนั่นก็มาคอยรับ เวลาจะไปผ้าหลุดผ้าลุ่ยมันก็ผ้าหลุดผ้า ลุ่ยไปยังงั้นแหล่ะ มันเหมือนยังกับไอ้ลิงจ๋อบนราชรถ ราชรถ เค้าสวยงาม…. นั่งราชรถไป เหมือนยังกับไอ้ลิงจ๋อ…..นั่งไป เหมือนไอ้ลิงจ๋อนั่นแหล่ะ พอราชรถเค้าไปเทียบวิมานนั่นแหล่ะ ตัวก็ก้าวออกไป… ก้าวลงไปจากรถ ก้าวขึ้นไปเหยียบที่วิมาน… ตัวก็กะเล่อกะล่าเหมือนไอ้คนบ้าลำพองนั่นน่ะ มันก็ไม่รู้เรื่องรู้ ราวอะไร เพราะจิตของมันยังไม่ขาดจากโลก จิตมันยังเกาะอยู่ ในโลก จิตมันยังเกาะผัว เกาะเมีย เกาะพ่อ เกาะแม่ เกาะสมบัติ เกาะลูก เกาะหลาน ไปยังงั้นแหล่ะ ทุกคนเหมือนกันหมด จิตมัน เกาะ มันนึกถึงบุญบ้าง บาปบ้าง เวลาไปนั่นมันก็จิตเกาะสมบัติ เกาะลูก เกาะสามี ภรรยา ไปตามหน้าที่ของมัน ก็ยังไม่รู้ชัดว่า จะเป็นบ้านของใครแน่ มันเป็นวิมานสวยนัก มีหน้ามุข 4 ทิศ เหมือนกันหมดในโลกบนชาวสวรรค์ มันก็กว้างพออยู่ ถ้าบุญ มากเค้าก็มีบริวารแห่ห้อมล้อมเค้า…ห้อมล้อมเค้า มีเครื่อง ดนตรี จับ ดีด สีซอบนสวรรค์ที่วิมานของเค้า ถ้าใครมั่งมีก็มี สมบัติมาก มีบริวารมาก มีเครื่องประดับประดาวิมานสวยงาม อันประณีต ถ้าเราจะดูที่มนุษย์น่ะ เหมือนยังกับขอทาน ยังงั้น แหล่ะ ชาวสวรรค์เค้าสวยงาม แต่จิตมันก็ยังไม่ขาดจากโลก เพราะว่า มันไปใหม่

    ทีนี้เจ้าตายไปใหม่ละจากโลกมนุษย์นี้ไปใหม่ๆ ยมบาล น่ะ เค้าก็เป็นเจ้าหน้าที่ เค้าเอาบัญชีเล็กๆ มาจดมาถามตัวของ ตัวน่ะอยู่ในมนุษย์โลกทำความชั่วไว้เท่าไร ความดีไว้เท่าไร ทำ ไว้มากน้อยเท่าไหร่ เค้ามาสอบสวนมาจดเอาไป แล้วเค้าจด เรียบร้อยเค้าก็กลับไป ตัวก็เสวยบุญอยู่บนวิมานนั่นน่ะ ในฝ่าย ทางความดี ที่อยู่ในมนุษย์โลก เราประพฤติดี ทำดี ประพฤติถูก ทำถูก คิดถูก เห็นถูก รู้ถูก จึงได้ไปเสวยสุขสมบัติอยู่บนสวรรค์ โน่น

    ทีนี้บุญน่ะที่ตัวได้ทำของตัวไว้ ได้บวชบวชหลานได้ทำบุญ ไว้ ไอ้เครื่องที่บวชไว้นั่นแหล่ะ เครื่องอัฐฐะ หรืออะไรทุกชนิด จะทอดกฐิน ผ้าป่านั่นแหล่ะ ไอ้ของหยาบนี่แหล่ะ ถ้าทำ ประณีต มันก็ขึ้นไปประณีตอยู่บนโน้น ถ้าทำไม่ประณีต มันก็ไม่ ประณีตอยู่บนโน้น สวย มันก็ไปสวยอยู่บนโน้น จะทำบุญให้ ทานอะไร ชามปากแตกปากวิ่นอะไร มันก็ไปวิ่นอยู่บนโน้น ถ้า สวย มันก็ไปสวยอยู่บนโน้น ทีนี้ทางฝ่ายลูกหลานทางนี้เค้าก็ทำ บุญไปให้ เค้าทำบุญไปให้ทางโน้นเค้าก็รับรู้ ลูกหลานคนนั้น คนนี้ ได้ทำบุญอุทิศมาให้กับผู้ตาย อย่างนี้ อย่างนั้น ได้รับตาม หน้าที่ของตัว ที่ไปอยู่สวรรค์น่ะ ได้รับส่วนบุญเร็วที่สุด ไวที่สุด ทีนี้ลูกหลานเค้าก็จะให้ศีลนี่สิ นิมนต์พระมาจะให้ศีล ก็ไปเคาะ โลง กุกๆ กุกๆ กุกๆ ไปเคาะโลงจะเรียกให้พ่อแม่ของตนก็ตาม ให้มารับศีล ข้างบนนั้นเค้าก็ได้ยินทีเดียว ว่าลูกหลานร้องเรียก มารับศีล เค้าก็ลงมาทีเดียว บางทีเค้าก็เอาบริวารเค้าลงมา ด้วย เอาลงมานั่งอยู่ที่หน้าศพนั่นแหล่ะ หน้าไอ้สังขารไอ้กาย เน่านี่แน่ะ เอาบริวารมานั่งอยู่หน้าโลงนี่แน่ะ รับศีลกับพระ

    พระเค้าจะสวด คนตายนี้มารับศีล เพราะว่าไปสุข ถึงได้ลง มาได้อย่างนั้น มารับศีล ไอ้ลูกหลานมันก็ไม่รู้ ไอ้ตาบอดคลำ ช้างมันก็ไม่เห็น บริวารเค้ามาด้วยก็ดี หรือไม่มาก็ดี นั่งจ้ำไปนั่น แหล่ะ ไอ้ลูกหลานน่ะ เดินหลีกกันหลีกกันมาก็เตะเค้า เค้าก็หลบ เรา ตนตายน่ะ บางทีนั่งจ้ำไปบนหัวเค้าน่ะนะ เพราะว่ามันไม่ เห็น ไอ้ตาเนื้อน่ะมันตาบอด มันมองไม่เห็น เค้ามารับศีลแล้ว เค้าก็กลับ เค้าไม่อยู่นานหรอก เค้ากลับไป เค้าก็ไปตรวจวิมาน เค้า ยังใหม่อยู่นี่ ตรวจตรงนั้นสวย ตรงนี้ดี ตรงนั้นไม่ดี เหมือน กันแหล่ะ เหมือนยังกับมนษย์เรานี่ สร้างบ้านใหม่ๆ มันก็เห่อไป พักนึง ชาวสวรรค์ก็เช่นเดียวกัน เห่อเหมือนกันแหล่ะ ใหม่ๆๆน่ะ

    พอครบกำหนดมันเลย 7 วันแล้ว มันก็ลืม มันไปยินดี อยู่ ทางโน้นแล้ว มันไปติดอยู่ทางโน้นแล้ว มันลืมโลก มันขาดจาก โลก จิตมันขาดจากโลก ถ้าลูกหลานนึกถึงเค้า ก็ทำบุญอุทิศให้ กับเค้าเค้าก็นึกได้ว่าอ้อลูกหลานเค้าเรียก ทำบุญส่งมาให้ เค้าก็ ให้ศีลให้พร …ให้ศีลให้พรกับลูกหลานเค้า

    ฝ่ายปีศาจ เปรตในโลกนี้ล่ะ! ในมนุษย์ขั้นหยาบนี้ล่ะ พอ ใครเค้าทำบุญกันที่ไหน ไอ้พวกเปรต พวกผีปีศาจน่ะ มันชวน กันอย่างเราอย่างนี้ล่ะ ไปโว้ย ๆ พวกเราไปโว้ย เค้าทำบุญ จะ ได้ไปรับส่วนกุศลเค้าบ้าง มันก็เดินบ่นกันมา ไอ้บ้างกูก็หิวมาก ไอ้บ้างกูก็หิวน้อย ไอ้บ้างข้าก็ไม่ค่อยหิว ทีนี้ไอ้ลูกหลานหรือพี่ น้องวงศ์ตระกูลของตนทำบุญใส่บาตรอยู่ที่วัดนั่นน่ะ มันก็มา ชะเง้อคอยมอง ไอ้พวกผี พวกเปรต พวกปีศาจเหล่านั้น มันมา ชะเง้อคอยมองว่า เค้าจะกรวดน้ำให้เราบ้างมั้ย มันคอยมองอยู่ อย่างนั้นนะ พอเค้ากรวดน้ำให้มัน มันก็ดีไจ ข้าได้กินอิ่ม ลูก หลานข้าอุทิศให้ มันก็ดีใจทีเดียว มันก็ให้ศีลให้พรไป ให้ศีลให้ พรกับลูกหลาน ให้ความเจริญกับลูกหลาน ถ้าเผื่อว่าเค้าไม่ได้ กรวดน้ำให้ล่ะ มันก็บ่นทีเดียว เค้าไม่กรวดน้ำ ไม่อุทิศให้กับเรา หรอกโว้ย เค้าไปนั่งคุยกันซะแล้ว หรือเค้าไปซะแล้ว เค้าไม่ทำ กัน เค้าไม่กรวดน้ำมาให้กับคนตายที่มาคอยชะเง้อส่วนกุศล หรือ คอยชะเง้อกินอาหารของเค้า ก็บ่นพึมพำไป พึมพำไป ก็ ด่ากันแช่งลูกหลานว่ามันใจดำ ที่ไม่ได้มาทำบุญให้กับปู่ย่าตา ยาย และพี่น้องของตน ไอ้ผีที่ตายล่ะ มันก็แช่ง..ใจมันดำ มัน ไม่นึกถึงอะไรต่ออะไร หิวโหยเดินกลับไปเชียวไอ้พวกนั้นน่ะ มันบ่น

    ถ้าเหมือนยังกับพระสวดมนต์หรือเค้ามีงานที่วัดล่ะ ต้อง สอบให้หมดถ้าไม่สอบแล้วเราไม่รู้ความเป็นไปของพวกปีศาจ พวกเปรตเหล่านี้น่ะมันจะอดอยากซักแค่ไหน เราต้องสอบสวน ให้แน่นอนลงไป ตานี้เวลาเค้าทำบุญกันหรือเค้าสวดมนต์หรือ เค้ามีงานในวัด เจ้าพวกผีพวกเปรตนั่นมันก็มากันล่ะ มันมา ชะเง้อรอบศาลาเชียว แล้วมันก็ขึ้นไปดูกันบ้าง ถ้าคนเราไม่แล เห็นมันนี่ เดินไปเหยียบเอาตีนเอามือมันเข้า บางคนมันดุมันก็ เอาเราเหมือนกันนั่นน่ะ ไอ้พวกผีนี่มันเจ็บมันก็เอาเหมือนกัน เพราะไอ้ตาบอดคลำช้างมันไม่แลเห็น

    พอพระท่านสวดมนต์เสร็จมันรับอนุโมทนาพร้อมกันเชียว พอพระวางตาลปัตร มันก็ไปเหมือนกัน มันไปดูละคร ละเมงกัน เหมือนกัน ถ้าเค้ามีงานกันละก็ นี่ผู้พูดได้สอบได้ดูมันมาเหมือน กัน พอพระคว้าตาลปัตรจะสวดมนต์ มันก็ชวนกันอีกแล้ว มัน บอกว่า มาเถอะ พระจะสวดมนต์อีกแล้ว เราจะได้มารับส่วน กุศลกัน มันก็มาออกันอยู่อีก แล้วพวกเปรตพวกปีศาจในพื้น มนุษย์ แล้วไอ้พวกเปรตมันก็อดอยากเหลือเกินเหมือนกัน หมา เน่าตายลอยน้ำหรืออะไรตายที่ไหน มันก็ลากเอามากิน มันยัง เคยเรียกผู้พูดนี่น่ะนะ มันบอกว่าให้ไปกินหมาเน่ากับมัน เสลด น้ำลาย ขี้หมู ขี้หมาไอ้เจ้าพวกเปรตที่พื้นมนุษย์นี่เก็บกิน มัน ลามกนัก ดูแล้วก็น่าทุเรศ!!! เราต้องพิจารณาดูสัตว์จำพวกนี้ เราต้องดูมันต้องสังเกต ต้องพินิจ พิเคราะห์ เพราะงั้นให้นั่ง นอน ยืน เดิน ให้คอยตรึก ………"

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กรกฎาคม 2016

แชร์หน้านี้

Loading...