ขอบคุณคุณเอกวีร์ เป็นอย่างยิ่งนะคะ ที่ชี้แนะ
จากที่กล่าวว่า สีชมพูอ่องต่องไปทั่วแบบนี้เนี่ยะ ดูภายนอกแล้ว ไม่น่าจะ....ใช่ใหมคะ
หรือจะต้องสีขาว ตามในรูป ก็คือน้องนิวคนเสื้อชมพู คือคนเดียวกันนั่นแหละคะ
แล้วจะต้องสี อะไรนะ ถึงจะ คิดดี ทำดีได้
อภิญญา ที่เคยได้ในอดีตชาติ
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย nongnewinbkk, 2 มิถุนายน 2015.
หน้า 2 ของ 2
-
ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
กั๊กๆๆๆ โดนหลอกให้ อุปทานไปในสี
พอจิตมันถูกหลอกเข้าไปปักใน " วรรณะ " จิตมันก็ปักลงไปตามนิสัย( อนุเสติ )
คราวนี้ แตกลูก แตกหลาน อุปทานไป สีขาว
สีขาว เนี่ยะ ยกมาแล้ว หากจะหลอกพาไปอุปทานอีก ก็จะ ทักว่า
แหม แต่งสีขาว แต่เวลาถ่ายรูป จะต้องมี prop ครบองค์ประกอบศีลป์ อีกแน๊ !!! [ ออกเสียงจิ๊กๆ จริตจะก้าน น่าหมั่นไส้ ]
พูดถึง สี หากเป็น สีแนว ณักแฉต ผู้ทำตัวเป็นท้าวมหาพรหมดำริว่ารู้วิถีแห่ง
นิยตดพธิสัตว์ อนิตยโพธิสัตว์ อีกหน่อยมันคงดำริแบบผกาพรหมว่า ข้ารู้ศาสตร์
แห่งการเป็นมหาสัตว์ เป็นครูของเหล่ามหาสัตว์ทั้งหลาย พระพุทธเจ้าก็เกิดจาก
การดำริ สรรสร้างจากมัน ก็จะใช้คำว่า " สีเหี...... "
แต่ถ้า สี แนวเชื่อมต่อ ข้างบน ข้างล่าง ซ้าย ขวาแบบ โนะบรากาม ก็ อูยยย
อย่าให้พูดเลยว่า สีอะไรมันเชื่อมต่อข้างล่าง แยกครูแยกศิษย์ไม่ออกเนี่ยะ
ปล. ข้อความท่อน ล่างๆ ไม่เกี่ยวกับ เจ้าของกระทู้ น๊า อย่าอ่าน นี่เตือนแล้ว -
อันที่จริง ของเก่า หรือ พรสวรรค์ ที่กล่าวนี้ น้องนิวไม่ทราบหรอกคะว่า จะมี หรือไม่มี ในชาติปัจจุบันนี้
ไม่มี ก็ไม่เป็นไรคะ
ถ้ามี ก็ไม่รู้อีกว่า มันเป็นแบบใหน จะเอาไปใช้อะไรได้บ้าง (เพราะตอนนี้ยังไม่มี เลยไม่รู้คะ) ถ้ามีแล้วดีจริง ก็แค่คิดว่าจะใช้ไปในทางที่ดี
ทางที่ดีของน้องนิว ก็คือ เพื่อส่วนรวม เพื่อทางศาสนา ถ้าใช้เพื่อส่วนนี้ได้ ก็จะใช้ ถ้าไม่ควรใช้เพื่อส่วนนี้ ก็จะไม่ใช้ แค่คิดๆเท่านั้นเองคะ อาจจะเป็นความคิดของผู้ที่ยังมีปัญญาอันน้อยอยู่
การที่น้องนิวใช้คำพูดว่า เพื่อพระพุทธศาสนา ก็ เพราะว่าน้องนิว รู้สึกรักและศรัทธาในพระพุทธศานา ้หวังว่า จะทำเพื่อสิ่งที่เรารัก เราศรัทธา และก็เพื่อผู้อื่นด้วย อันเป็นส่วนรวม เท่านั้นเองคะ
ถ้าน้องนิวไม่ปารถนา ที่จะหลุดพ้น หรือเพื่อที่จะช่วยเหลือส่วนรวม หรือ ช่วยพระพุทธศาสนา ก็คงไม่เข้ามาอ่านหรือหาข้อมูลในเวปนี้เป็นแน่เลยคะ
ตามที่น้องนิวได้กล่าวไว้ว่า การปฏิบัติของน้องนิว ยังไปไม่ถึงใหน และความรู้ของน้องนิวก็น้อยนิด น้องนิวก็แค่แสดงความคิด ผิดบ้างถูกบ้าง แนะนำด้วยนะคะ
เผลอๆ จะเป็นความคิดของคนบ้า คนหนึ่ง ยังไง ก็ช่วยให้หายบ้าด้วยนะคะ อิอิ.. -
หลอกผู้อื่น บาปหรือเปล่าคะ
อ่านแล้วก็ได้ความรู้เพิ่มมา ผู้มีปัญญาน้อยกว่า มัก ตกเป็นเหยื่อ ผู้มีปัญญามากกว่า (แต่ไม่ใช่ส่วนมากในผู้เจริญ)
เคยดูในหนัง เรื่อง พระพุทธเจ้า มหาศาสดาโลก
แม้แต่พระพุทธเจ้า ในขณะที่พระองค์ทรงบำเพ็ญอยู่ ก็ยังมีมารมาหลอก มาล่อ
น้องนิวเอง ก็เป็นแค่บุคลธรมดาๆๆ โดนหลอกหน่อย ก็ไม่เป็นไรหรอกคะ -
ถ้า บ้า แล้วรู้ว่า บ้า อันนี้ดี
เอาตรงนี้ นี่แหละเป็น " ของเก่า " ที่รื้อฝื้ร รื้อค้น จนเจอ
คนฉลาด มีปฏิภาณ จะหาสิ่งที่เกิดบ่อยๆ กับ จิต
เกิดบ่อยๆเกิ้น แบบลากเราไปเลย ไม่สามารถกำหนดรู้ สภาวะว่าขณะนั้นกำลัง "..." อันนั้น
ไม่เอา เป็นของเก่าเกิดบ่อยๆ แต่เราสู้มันไม่ได้ ไม่สามารถ ยกจิตออกมาเป็น ผู้ดูได้(จิตตื่น เบิกบาน)
แต่ถ้า บ้า เป็นสภาวะธรรม มันเกิดที ก็กุมจิตเราที แต่ มันเกิด เราก็กำหนดรู้ แล้ว แลอยู่
อันนี้จะได้กำไร เพราะ เราพยายาม แยกธาตุ แยกขันธ์ ให้มันเป็นธรรมคนละส่วนกัน
บ้า เป็นธรรม ติดอยู่กับ ขันธ์5 เป็นธรรมของเก่า ใครมี ขันธ์5 ก็ย่อมมี ลูกบ้า ด้วยกัน
ทั้งนั้น เพราะมันเป็น เหตุ ปัจจัย กัน จะให้เป็นอื่นจากนี้ ก็ไม่ได้
แต่ จิตที่ยกแยก ออกมาดูห่างๆ ไม่ได้ถูก บ้า ย้อมติด หากเรากำหนดรู้ได้ลงเป็นปัจจุบัน
เราจะค่อยๆเห็น บ้า มันมีเหตุให้เกิด มันก็เกิด บ้าหมดเหตุ มันก็ดับไป
เรารักศาสนา แต่ รักแล้วก็เกิดอาการ บ้าบุญ บ้ากุศล บ้าศีล บ้าตบะ เราก็ ตามรู้ตามดูไป ไม่
ห้าม เพราะ บ้าแบบนี้ มันบ้าไปทางกุศล
ถ้า บ้าบุญ อวดบุญ บ้าศีล อวดศีล บ้าตบะ อวดจบะ อันนี้ มันมีการคลาดเคลื่อนในการเห็น
สัญญาที่มันเกิด มันดับ รักศีลเกิดศีลแต่ความรักศีลมันเป็นสัญญา มันต้องดับ ดังนั้น ศีล
ก็ย่อมดับ ศีลมันดับไปแล้ว เราไม่รู้ ความไม่รู้ปิดบังอริยสัจจ ทำให้เห็นว่าสัญญาเที่ยง
เลยดำริว่า ตัวเองมีศีล ก็เลยเที่ยวเอาศีลไปอวด ไปข่ม อันนี้เรียกว่า สัญญาวิปลาส บ้า(ในทางธรรม) อันนี้ไม่เอา เห็นแล้วก็ ละเสีย เว้นเสีย ลุกออกจากเสีย เอาตัวรอดไปก่อน
พอ แยกรูป แยกนาม แยกธาตุ แยกขันธ์ ได้ชำนาญพอ การอวดศีลไม่มี อวดตบะไม่มี มีแต่
พูดขึ้นเพียงแค่การระลึก ความเกิด ความดับ พูดขึ้นเพื่อสื่อให้ผู้อื่นตามเห็น ความเกิด
ความดับ อันนี้ บ้าให้สุดๆไปเลย เพราะ เราจะพูดได้เต็มปากว่าเราไม่บ้า ศีลเรายอด ตบะ
เราเยี่ยม แต่ เราไม่ยึดมั่นถือมั่น เพราะเอามาเป็นอุบายตามระลึก ความเกิด ความดับ เพื่อ
สำรอกออกลูกเดียว !!! -
เราจะรับมันได้ทีละของ
เหมือนอาหารแหละ วัว ก็จะขย่อนอาหารเก่าออกมาเคี้ยวเอื้อง
กลายเป้็นว่าของเก่าอยู่ใน
ของใหม่อยู่นอก
ถ้าเราไล่อาหารเก่าออกได้
บางที่เราก็ไม่กินมันซ้ำอีกครั้ง
ไม่ออกทางปากก็ตูดหนะ -
ไหวพริบ ปฏิภาณ มีพอตัว จึง ข้ามข้อความที่เป็น ขยะ รกจิตออกไปได้
ให้ ยกเห็น จิตที่มันพรากออกจาก ขยะ ตรงนั้นไว้ด้วย
แล้ว เห็นการเกิด การดับ ของจิต ที่แยกออกไปนั้นด้วย
แล้วจะเห็นเลย " ทุกสิ่งทุกอย่าง ของเก่าหมด " นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด
นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรดับ สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิด( ก็เก่า) ดับไปเป็นธรรมดา -
คืออายตนะ
มันจะแบ่ง ของออกเป็นข้างในกะข้างนอก
ถ้าเรารู้ เราจะรู้ว่าเกิดจากการหลงผิด
วิญญาณขันธ์มันหลง ว่ามีอันนึงเป็นด้านหนึ่งของเหรียญ
ถ้าเรารู้อยู่ เราจะเลือกอันผิด
เกิดราคะเหมือนวัวที่ขย่อนอาหารเก่า สำรอกออกมากินใหม่
และอาหารใหม่ไปอยู่ข้างนอก -
อาการขย่อนอาหารเก่าออกมาเคียวเอื้อง
คือราคะคืออวิชชา
และอาหารใหม่ไปอยู่ข้างนอก คือร้อยรัด
มันจะสลับที่กันเพราะเราเข้าใจว่าด้านที่หันหน้าเข้าหาอุปปาทานของเรา
คือข้างใน
เราหลง เราต้องการอาหาร -
เราพิจารณาธรรมเหล่านี่เหมือนพิจารณาอาหาร
เห็นเป็นสิ่งปฏิกูล
แล้วเราก็อุทิศกุศลออกไป ให้มันออกไปข้างนอก
เราบูชาพระธรรมเฉยๆ เรายังไม่หลุดไม่พ้น
แต่เราสามารถอุทิศกุศลออกไปได้
ให้ไปอยู่อายตนะนอก
เราต้องการจะพิจารณา อาหาร ในที่นี่คือธรรม -
จะเห็๋ฯว่าผมชอบมาก คือมีฉันทะ
เหมือนติดบุหรี่
ที่จะพิมพ์เองเออเอง
ก็พิจารณา ตามอัตภาพแล้วอุทิศกุศลได้
มันจะวนอย่างนี้แหละเป็นวัฏฏะ
หายก็คืิอหลุดพ้น -
ตัวรู้ของหลายท่าน
คือท่านไม่ดูมันดับไป
ก็ไม่เป็ยไร
ดูที่ทุกข์ดับ ก็ได้
ถ้าเราเห็นความทะยานอยาก
เราจะเห็นอุปปาทาน ว่านี่คือทุกข์ และมีเจ้าของ
ยึดไว้เป็ฯของเราบ้าง ยัดให้คนอื่นบ้าง
ไม่ต้องไปแก้ไขอุทิศกุศลไดเลย
อย่าไปแก้เด็ดขาดห้ามยุ่ง
ให้อุทิศกุศลอย่างเดียว -
ข้างใน
คือความคิดชนิดหนึ่งก็ได้
ถ้าท่านเห็น ว่าอุเบกขาคือคิดชนิดหนึ่ง
และมันต้องการพื้นที่ มันกินอาหาร
ข้างในก็เช่นกัน มันต้องการพื้นที่ มันกินอาหาร
ไม่ต้องไปกังวลว่าจะส่งจิตตะออกนอก
เชื่อดิเดี๋ยวไอ้ข้างในมันกินเองเลย
ชงเองกินเอง
ตั้งเองตบเอง
พูดเองเออเอง
อย่าไปให้อะไรเออ อวยให้มันเด็ดขาด
ดูมันทำเอง
ให้ข้างในขอคืนพื้นที่เอง -
ถ้าให้อธิบายสั้นๆ กระชับๆ
มันก็จะไปโดนพิษของความเข้าใจ
เข้าใจตรงกันนะ อะไรงี้
ก็เลยต้องพิมพ์ดึงๆๆๆๆ
เช่นผู้รู้หนะ เป็นเอกสิทธิของผู้เดียวคือพระพุทธเจ้า
ถ้าสงสัยว่าเสียงในหัว ที่บงการอุปปาทานว่าคนดน้น คนนี้คนนั้น
อยู่คือพระพุทธเจ้าบงการจิงปะ
ให้ถามท่านว่า
ท่านมาจากไหน ท่านจะไปไหน ท่านไม่รู้เหรอ ท่านรู้เหรอ
มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะรู้
ที่จะตื่น
ที่จะเบิกบาน
ผมหนะบุญยง โคกกระทา
ไม่ใช่พระพุทธเจ้า -
ดังนั้นตัวรู้
ผู้รู้
ที่เป็นเราเป็นของเราหรือของใครก็ตาม
ที่อุปปาทานกัน
ที่ยึดไว้ ที่ยัดเยียด
ต้องดับ
เพราะไม่มีใครแถวนี้ไปแอบบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณมาหรอก
คือไปแอบบรรลุ ตรัสรู้ัแบบลับๆ
ไม่ประกาศหนะ -
เรามาดูอุปปาทานที่เราเคยได้ในอดีต
เอ้ย
อภิญญา ที่เค้าถามกันว่าได้กันหรือยังแหละ
คือบางอย่างมันได้พ้นไปแล้ว เคยได้กันมาหลายภพหลายชาติ
มาถึงชาตินี้ไม่ได้กัน
เวลาไปไหนคนก็ถามหาอภิญญา
ต้องคอยหลบหน้าผู้คนกลัวเค้าถามว่าอภิญญาอยู่ไหน
<iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/2TUI1Gkba4Q" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
มันเจ็บ -
หาเพลงมาประกอบได้เหมาะดีคะ อิอิ..
หน้า 2 ของ 2