อยากทราบคติธรรม ธรรมะที่คุณหมั่นระลึกนึกถึง และใช้อยู่ เพื่อจะได้อนุโมทนาบุญกันบ้าง

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย NUI, 30 กรกฎาคม 2005.

  1. NUI

    NUI เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    389
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +983
    อยากทราบคติธรรม ธรรมะประจำใจ ธรรมะที่คุณหมั่นระลึกถึงบ่อยๆ ธรรมที่ใช้ในชีวิตประจำวันหรือทำเสมอๆ ฯลฯ อย่างหนึ่งอย่างใดก็ได้ ( สำหรับผู้สนใจธรรมะทั่วไป )

    และอยากทราบว่าผู้ที่ปารถนาพุทธภูมิที่เกิดมาในชาตินี้และอยู่ในเว็ปฯนี้ กำลังสร้างกุศลอะไรกันอยู่ค่ะ และ แต่ละท่านหมั่นระลึกถึงธรรมข้อไหนอยู่บ่อยๆ และจะทำอะไรต่อไป ( ผู้ปารถนาพุทธภูมิ )
    ถ้าผู้ปารถนาพุทธภูมิอยู่ บอกวงเล็บไว้ด้วยนะคะว่าปารถนาพุทธภูมิ

    จุดประสงค์เพื่อให้ผู้อื่นได้อนุโมทนาบุญกับคุณบ้าง ได้แบบอย่าง หรือได้ข้อคิด ได้แรงกระตุ้นในการคิดดีทำดี เป็นต้น จะมีคติธรรมซ้ำๆกันก็ไม่เป็นไร แสดงว่ามีศรัทธาเสมอๆกัน

    เช่น เจ้าของกระทู้ ( สนใจธรรมะทั่วไป)
    ๑.มีความ ตั้งใจว่าจะหมั่นระลึกนึกถึงคุณพระรัตนตรัยสม่ำเสมอ
    ๑.๑ระลึกถึงพระพุทธคุณของพระพุทธเจ้าผู้เป็นศาสดา ผู้ตรัสรู้ธรรม ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ชี้นำทางพ้นทุกข์ให้แก่สรรพสัตว์ ทั้งหลายทั้งปวง
    ๑.๒. ระลึกนึกถึงพระธรรม ธรรมะที่พระผู้มีพระภาคเจ้าท่านได้ตรัสรู้ว่ามีทางพ้นออกจากกองทุกข์
    ๑.๓. ระลึกนึกถึงคุณของพระสงฆ์สาวกของพระพุทธองค์ ว่าท่านเป็นผู้เจริญรอยตามทางพระพุทธเจ้า
    เพื่อการพ้นทุกข์ และเป็นผู้สืบทอดพระพุทธศาสนาให้ชนรุ่นหลังๆได้ทราบและปฏิบัติตาม

    ๒.ถือศีล๕
    ศีลข้อ๑. ห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต รังแก หรือทรมานสัตว์ ตั้งใจรักษาไว้ด้วยการใช้ความเมตตา
    ศีลข้อ๒.ห้ามลักทรัพย์ ตั้งใจละความโลภ ด้วยการให้ ยิ่งหวงมากก็ต้องยิ่งให้ ให้มาก ยิ่งอยากได้มากก็ต้องยิ่งให้ให้มากๆ เท่าที่มีให้ได้โดยเราไม่เดือดร้อน และได้รับความทุกข์เพราะการให้ นั้น ( จะลดความโลภลงได้ ทำให้สามารถรักษาศีลข้อนี้ได้เหมือนกัน ) แต่ ถ้าให้แบบหลงงมงายหวังบุญจนเกินตัวลืมห่วงความเป็นอยู่ของตัวเองก็จะเกิดทุกข์ได้
    ศีลข้อ๓. ห้ามผิดลูกเมียผู้อื่น เป็นชู้ หรือทำลายครอบครัวผู้อื่นหรือ ครอบครัวตัวเองก็ตาม ข้อนี้คิดถึงใจเขาใจเรา ความสูญเสีย ความเสียใจของผู้อื่น ปัญหาต่างๆ ( ของ ของใครของใครก็ห่วง ของใคร ใครก็ต้องหวง.....)
    ศีลข้อ๔. ห้ามพูดโกหก (โกห้าได้ อิๆๆ) ห้ามพูดส่อเสียด เสียดสี เพ้อเจ้อเหลวไหล ฯลฯ ข้อนี้มีผิดพลาดบ้างตรงไม่ค่อยมีสัจจะ เช่นว่าจะทำ... แต่ก็ขี้เกียจเสียก่อนก็เลยไม่ได้ทำ เป็นต้น
    ศีลข้อ๕. ห้ามดื่มสุราเมรัย เสพยาบ้า สิ่งทำให้มึนเมาขาดสติ เป็นต้น ข้อนี้ห่างไกลมากเพราะไม่ชอบอยู่แล้ว
    ( เป็นอุบายในการรักษาศีล๕ที่ตนทำอยู่ ) แล้วคนอื่นๆมีอุบายในการรักษาศีลอย่างไรบ้าง

    ๓.ใคร่ครวญตริตรองถึงพระไตรลักษณ์ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ช่วยคลายความทุกข์ความเศร้าหมองเมื่อยามมีปัญหาลงได้
    ๔.ใคร่ครวญตริตรองถึงกิเลส๓ตัวใหญ่ที่ทำให้เกิดทุกข์ แก่ตนเองและผู้อื่น คือความโลภ ความโกรธ ความหลง ทำให้มีเจ้ากรรมนายเวร เวียนว่าตายเกิด คิดแล้วปลง
    ๕.ต้องคอยระมัดระวัง การก่อกรรมทาง กาย วาจา ใจ ( ซึ่งก็ยังผิดพลาดอยู่บ่อยๆเพราะขาดสติ เฮ้อ...)
     
  2. chanin

    chanin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2005
    โพสต์:
    675
    ค่าพลัง:
    +1,331
    ธรรมะที่พระพุทธเจ้าให้พวกเราระลึก คือ อนุสติ ๑๐ ครับ

    อนุสติ ๑๐ (ความระลึกถึง, อารมณ์อันควรระลึกถึงเนืองๆ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. chanin

    chanin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2005
    โพสต์:
    675
    ค่าพลัง:
    +1,331
    หรือจะเอาแบบให้พิจารณาบ่อยๆ ๕ ข้อ ก็ได้ครับ คือ
    อภิณหปัจจเวกขณ์ ๕


    อภิณหปัจจเวกขณ์ ๕ (ข้อที่สตรีก็ตาม บุรุษก็ตาม คฤหัสถ์ก็ตาม บรรพชิตก็ตาม ควรพิจารณาเนืองๆ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 สิงหาคม 2005
  4. NUI

    NUI เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    389
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +983
    ขอบคุณมากค่ะคุณ chanin
     
  5. อบเชย

    อบเชย Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +37
    ทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้ผ่องใส ครับ

    (ปรารถนาพุทธภูมิ)
     
  6. lotte

    lotte เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    726
    ค่าพลัง:
    +4,545
    ผมเอาตัวอย่างพระมหาโพธิสัตว์องค์นี้ครับ

    พระมหาโพธิสัตว์บารมีสูงที่สุดในโลกในด้านเมตตา พระมหาโพธิสัตว์บารมีสูงที่สุดในโลกในด้านเมตตา ทรงพระนามว่าพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ ท่านบารมีเต็มแล้วท่านจะมาตรัสรู้ก็ต่อเมื่อสัตว์นรกหมดไปจากโลก ท่านตอนนี้ท่านทำหน้าที่คอยสั่งสอนสัตว์นรกให้ดวงตาเห็นธรรมและแผ่เมตตาให้สัตว์นรก เปรต อสูรกาย จิตของท่านนั้นเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม ท่านจะแผ่เมตตามาก็ทุกวันๆละหลายครั้งตั้งแต่ 1 อสงไขยผ่านมาจนถึงปัจจุบันนี้ อสงไขยก็มีเลขศูนย์ถึง 9 ล้านตัวลองคำนวณดูนะครับว่าท่านแผ่เมตตามากี่ครั้งแล้ว ท่านเเผ่เมตตาสอนสัตว์นรกพ้นจากสัตว์นรกมาเป็นพันๆล้าน ส่วนอาจารย์วีระพงษ์ แซ่เตี้ยเวลาท่านจะแผ่เมตตาทีท่านนั้นอธิษฐานให้จิตพระพุทธเจ้า สังฆเจ้าทุกดวงจงรวมตัวเป็นตบะเดชะเมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย และท่านแสดงความรู้สึกดี(ท่านทรงอารมณ์อรหันต์ ไม่มีการพอใจยินดี หรือมีกิเลสพอใจในตัวบุคคล สถานที่แต่อย่างใด แต่ท่านแสดงความรู้สึกดีไม่เอาบุญกับคนอื่น เพียงเท่านี้ท่านก็ได้บุญจากพระพุทธเจ้าทั้งสองแสนล้านองค์ พระสง อรหันต์ อนาคามี พระมหาโพธิสัตว์และฯลฯ ท่านได้บุญมากแล้วท่านก็นึกว่าท่านเป็นคนไม่มีอะไรในตัวเอง ไม่ยึดติดบุญท่านเลยได้บุญมาก เวลาท่านแผ่เมตตาทีท่านจะนึกว่าสัตว์นรกเป็นญาติของเรา ท่านแผ่เมตตา อาราธนาบารมีพระพุทธองค์ให้โปรดสัตว์ นรก เปรต อสูรกาย ทีรอดพ้นกันเป็นกุรุด ท่านบารมีสูงทำตามปณิธานของท่านกษิติครรภ์โพธิสัตว์ และพยายมราช(ผู้มีปณิธานกันคนไม่ให้คนลงนรก ) เวลาท่านอาจารย์วีระพงษ์แผ่เมตตาท่านจะฝากบุญให้พยายมราช กับท่านกษิติครรภ์ นำบุญไปให้สัตว์นรกนั้นๆโดยตรง เพราะเป็นอำนาจพิเศษที่จะสามารถช่วยเหลือสัตว์นรกนั้นๆให้ได้บุญแล้วพ้นจากการทรมานได้ -------------------------------------------------------------------------------- "พระโพธิสัตว์" คือ ผู้ซึ่งจะได้มาตรัสรู้เป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต ท่านอธิษฐานจิตถึงพระพุทธภูมิ ทุ่มเทปฏิบัติธรรม ช่วยผู้อื่นทั้งทางโลกและทางธรรม สะสมบารมี ๑๐ ทัศ ทุกๆคนเป็นพระโพธิสัตว์ได้ทั้งนั้น ถ้าหากว่าเขาผู้นั้นเป็นผู้มีจิตเมตตาประจำใจ ทำแต่คุณประโยชน์ช่วยเหลือคนทุกข์ยาก ไม่ประพฤติเบียดเบียนสนับสนุนผู้อื่นในทางผิดศีลธรรม คุณธรรมหลักของผู้ตั้งความปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ คือ "มหาเมตตา" แปลว่า ปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข พระโพธิสัตว์จึงมีคุณธรรมอื่นๆต่อเนื่องกันคือ มหากรุณา คือความปราณีต่อสรรพสัตว์(หมายรวมมนุษย์) ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง สงสารผู้ยากลำบากทั้งหลาย เฝ้าตามช่วยแนะเพื่อความสุขของเขา เป็นความยินดีกรุณาของพระโพธิสัตว์ทั้งลาย มหาปัญญา คือเป็นผู้มีความรู้หรือศึกษาหาวิชาใส่ตัว ได้เป็นประโยชน์ส่วนตนเอง ส่วนผู้อื่นช่วยเหลือผู้อื่นต่อไปให้รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว มหาอุบาย คือรู้ในวิธีนำตนและผู้อื่นให้พ้นภัยและสัมฤทธิผลเข้าถึงในคุณธรรมต่างๆที่มีประโยชน์ ความหมายของคำว่า "พระโพธิสัตว์" โพธิสัตว์ หรืออาจจะเขียนได้ว่า โพธิสัตต์ มาจากคำว่า โพธิ + สัตต "โพธิ" แปลว่า ความตรัสรู้หรือความรู้แจ้ง "สัตต" ตามบาลีไม่ได้หมายถึงสิ่งมีชีวิต (สัตวะ) หรือมนุษย์เพียงอย่างเดียว แต่เป็นการใช้ความหมายคล้ายคลึงกับ "สัตวัน" (Sattavan) ในคัมภีร์พระเวทของพราหมณ์ ซึ่งหมายถึง ผู้ทรงพลัง ผู้นำ นักรบ "สัตต" ในคำว่า "โพธิสัตต์" จึงหมายถึง ผู้นำ หรือผู้มีใจเด็ดเดี่ยว กล้าหาญ องอาจ เยี่ยงนักรบ ซึ่งให้ความหมายเดียวกับคำว่า โพธิสัตต์ ในภาษาทิเบต คือ byan chub sems-dpah โดยคำว่า byan chub หมายถึง โพธิ (bodhi), sems หมายถึง จิต (mind) และ dpah หมายถึง วีรบุรุษ ผู้กล้า หรือผู้เข้มแข็ง "โพธิสัตต์" จึงแปลว่า ผู้มีใจยึดมั่นในสัมมาสัมโพธิญาณอย่างเด็ดเดี่ยว มหาปณิธานของพระโพธิสัตว์ ๑. เราจะละกิเลสทั้งหลายให้หมด ๒. เราจะต้องตั้งใจศึกษาพระะรรมทั้งหลายให้เจนจบ ๓. เราจะไปโปรดสรรพสัตว์ทั้งหลายให้สิ้น ๔. เราจะบำเพ็ญตนให้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ทศภูมิของพระโพธิสัตว์ ทศภูมิของพระโพธิสัตว์ คือภูมิจิตของพระโพธิสัตว์ มี ๑๐ ภูมิดังนี้ ๑. มุทิตาภูมิ พระโพธิสัตว์มีความยินดีในความไร้ทุกข์ของสัตว์ (ภูมินี้บำเพ็ญหนักในทานบารมี) ๒. วิมลาภูมิ (ปราศจากมลทิน) พระโพธิสัตว์ละมิจฉาจริยาได้เด็ดขาด ปฏิบัติแต่ในสัมมาจริยา (ภูมินี้มีศีลบารมีเป็นใหญ่) ๓. ประภาการีภูมิ (มีความสว่าง) พระโพธิสัตว์ทำลายอวิชาได้เด็ดขาด มีความอดทนทุกประการ (ภูมินี้มีขันติบารมีเป็นใหญ่) ๔. อรรถจีสมดีภูมิ (รุ่งเรือง) พระโพธิสัตว์มีความเพียรในการบำเพ็ญธรรม (ภูมินี้มีวิริยะบารมีเป็นใหญ่) ๕. ทุรชยาภูมิ (ผู้อื่นชนะยาก) พระโพธิสัตว์ละสภาวะสาวกญาณ กับปัจเจกโพธิญาณ ซึ่งเป็นธรรมเครื่องกั้นพุทธภูมิ (ภูมินี้มีญาณบารมีเป็นใหญ่) ๖. อภิมุขีภูมิ (มุ่งหน้าต่อทางนิพพาน) พระโพธิสัตว์บำเพ็ญยิ่งในปัญญาบารมี เพื่อรู้แจ้งเห็นชัดในปฏิจจสมุปบาท (ภูมินี้มีปัญญาบารมีเป็นใหญ่) ๗. ทูรังคมาภูมิ (ไปไกล) พระโพธิสัตว์มีอุบายอันฉลาดแม้บำเพ็ญกุศลน้อย แต่ได้ผลแก่สรรพสัตว์มาก (ภูมินี้มีอุบายบารมีเป็นใหญ่) ๘. อจลาภูมิ (ไม่คลอนแคลน มั่นคง) พระโพธิสัตว์บำเพ็ญหนักในปณิธานบารมี ๙. สาธุบดีภูมิ พระโพธิสัตว์แตกฉานในอภิญญา และปฏิสัมภิทาญาณ (ภูมินี้บำเพ็ญหนักในพลบารมี) ๑๐. ธรรมเมฆภูมิ พระโพธิสัตว์บำเพ็ญหนักในญาณบารมีมีจิตอิสระ ไม่ติดในรูปธรรม นามธรรม (บำเพ็ญหนักญาณบารมี) เมื่อพระโพธิสัตว์บำเพ็ญทศภูมิเต็มบริบูรณ์แล้ว ย่อมมีพระคุณเทียบเท่าพระพุทธเจ้า เหลืออีกชาติเดียวก็จักตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เช่นเดียวกับพระศรีอริยเมตตไตรยโพธิสัตว์ จริยธรรมของพระโพธิสัตว์ ๑๐ ประการ ๑. พระโพธิสัตว์ ไม่ปรารถนาเลยว่า ร่างกายจะไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ๒. พระโพธิสัตว์ ครองชีวิตโดยไม่ปรารถนาเลยว่า จะไม่มีภยันตราย ๓. พระโพธิสัตว์ ไม่ปรารถนาเลยว่า จะไม่มีอุปสรรคในการชำระจิตให้บริสุทธิ์ ๔. พระโพธิสัตว์ ไม่ปรารถนาเลยว่า จะไม่มีมารมาขัดขวางการปฏิบัติภารกิจ ๕. พระโพธิสัตว์ คิดว่าจะทำงานให้นานที่สุด โดยไม่ปรารถนาจะให้สำเร็จผลเร็ว ๖. พระโพธิสัตว์ จะคบเพื่อน โดยไม่ปรารถนาจะได้รับผล ๗. พระโพธิสัตว์ จะไม่ปรารถนาว่า จะให้คนอื่นต้องตามใจตนเองเสมอทุกอย่าง ๘. พระโพธิสัตว์ จะทำความดีกับคนอื่น โดยไม่ปรารถนาสิ่งตอบแทน ๙. พระโพธิสัตว์ เห็นลาภแล้ว ไม่ปรารถนาจะมีหุ้นส่วนด้วย ๑๐ พระโพธิสัตว์ เมื่อถูกใส่ร้ายป้ายสี ติเตียน นินทาแล้ว ไม่ปรารถนาจะโต้ตอบ หรือฟ้องร้อง อุดมการณ์โพธิสัตว์ มีหน้าที่หลัก ๒ ประการ ๑. โพธิสัตว์นอกจากจะมุ่งช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์แล้ว ยังมุ่งในความสุขและความเป็นอยู่ที่ดีในโลกนี้ ๒. โพธิสัตว์ปรารถนาให้สรรพสัตว์ได้บรรลุนิพพาน โดยตนเองปฏิเสธการเข้าถึงนิพพานของตน เพื่อที่จะได้ยังมีโอกาสรับใช้ช่วยเหลือผู้อื่น แม้ว่าจะต้องยังอยู่ในที่แห่งความทุกข์ยาก เพื่อสร้างคุณความดีช่วยเหลือสรรพสัตว์ ซึ่งนับว่าเป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่โดยตั้งปณิธานสำคัญว่า "ข้าฯจะไม่เข้าสู่ปรินิพพานจนกว่าสรรพสัตว์ทั้งหลายจะพ้นทุกข์ ข้าฯจะยังคงอยู่ที่นี่ตราบจนวัฏสงสารจะสิ้นสุดลง แม้ว่าข้าฯยังจะต้องอยู่ที่นี่อีก แม้เพียงชีวิตใดชีวิตเดียว" ยาน (yanas) หรือเส้นทางซึ่งนำไปสู่การบรรลุโพธิ แบ่งเป็น ๓ ประเภท ๑. สาวกยาน คือ ยานของพระสาวกที่มุ่งเพียงอรหันตภูมิ ซึ่งรู้แจ้งในอริยสัจ ๔ ด้วยการสดับจากพระพุทธเจ้า ๒. ปัจเจกยาน คือ ยานของพระปัจเจกพุทธเจ้า ได้แก่ ผู้รู้แจ้งในปฏิจจสมุปบาทด้วยตนเอง แต่ไม่สามารถแสดงธรรมสั่งสอนสัตว์ให้บรรลุมรรคผลได้ ๓. โพธิสัตวยาน คือ ยานของพระโพธิสัตว์ ซึ่งได้แก่ผู้มีจิตใจเมตตา ใจคอกว้างขวาง ประกอบด้วยมหากรุณาในสรรพสัตว์ ไม่ต้องการอรหันตภูมิ ปัจเจกภูมิ แต่ปรารถนาพุทธภูมิ เพื่อโปรดสัตว์ได้กว้างขวาง และเป็นรู้แจ้งในสุญญตธรรม โพธิสัตว์จะต้องมีจรรยา ๔ คือ ๑. โพธิปักขิยจรรยา คือ ปฏิบัติเพื่อความรู้แจ้ง อันประกอบด้วยคุณธรรม ๓๗ ประการ คือ ๑.๑ สติปัฏฐาน ๔ ได้แก่ กาย เวทนา จิต ธรรม ๑.๒ สัมมัปปธาน ๔ คือ ความเพียรอันบุคคลตั้งไว้ชอบ ได้แก่ สังวรปธาน(เพียรระวังไม่ให้บาปเกิดขึ้นในสันดาน), ปหาปธาน(เพียรละบาปที่เกิดขึ้นแล้ว), ภาวนาปธาน(เพียรให้กุศลเกิดขึ้นในสันดาน) และอนุรักขนาปธาน(เพียรรักษากุศลที่เกิดขึ้นแล้วไม่ให้เสื่อม) ๑.๓ อิทธิบาท ๔ ได้แก่ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ๑.๔ อินทรีย์ ๕ ๑.๕ พละ ๕ ได้แก่ สัทธา, วิริยะ, สติ, สมาธิ และปัญญา ๑.๖ โพชฌงค์ ๗ ได้แก่ สติ(ความระลึกได้), ธัมมวิจยะ(ความเฟ้นหาธรรม), วิริยะ(ความเพียร), ปีติ(ความอิ่มใจ), ปัสสัทธิ(ความสงบใจ), สมาธิ(ความมีใจตั้งมั่น), อุเบกขา(ความมีใจเป็นกลางเพราะเห็นตามความเป็นจริง) ๑.๗ มรรค ๘ ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ, สัมมาสังกัปปะ, สัมมาวาจา, สัมมากัมมันตะ, สัมมาอาชีวะ, สัมมาวายามะ, สัมมาสติ, สัมมาสมาธิ ๒. อภิญญาจรรยา คือ การปฏิบัติความรู้ทั้งมวล ๓. ปารมิจาจรรยา คือ ปฏิบัติเพื่อการสร้างสมบารมี ซึ่งในทางเถรวาทจะกล่าวถึงทศบารมี ๑๐ ประการ แต่ฝ่ายมหายานจะกล่าวถึงบารมีหรือปารมิตาที่สำคัญ ๖ ประการ ได้แก่ ทาน ศีล ขันติ วิริยะ ฌาน ปัญญา โดยสาระที่แท้จริงแล้วก็คือการพัฒนาหลัก ศีล สมาธิ ปัญญา นั่นเอง ส่วนเนกขัมบารมี ซึ่งแม้จะไม่ได้ระบุไว้ในบารมีของฝ่ายมหายาน แต่เมื่อพิจารณาในรายละเอียด จะพบว่า ในการบำเพ็ญฌานบารมีนั้น เมื่อปฏิบัติในขั้นสูง ผู้ปฏิบัติจะรักษาพรหมจรรย์ ซึ่งใกล้เคียงกับการออกบวชในประเด็นที่เป็นผู้ออกจากกามเช่นกัน ๔. สัตตวปริปาจรรยา คือ การอบรมสั่งสอนสรรพสัตว์ ประเภทของพระโพธิสัตว์ ในทางพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน แบ่งพระโพธิสัตว์ออกเป็น ๒ ประเภท คือ ๑. พระฌานิโพธิสัตว์ เป็นพระโพธิสัตว์ซึ่งกำหนดไม่ได้ว่ามาเกิดในโลกมนุษย์เมื่อใด แต่เกิดขึ้นก่อนกาลแห่งพระศากยมุนีพุทธเจ้า ซึ่งพระโพธิสัตว์เหล่านี้ ท่านได้บรรลุพุทธภูมิแล้ว แต่ทรงมีความกรุณาในหมู่สัตว์ ทรงตั้งพระทัยไม่เข้าสู่พุทธภูมิ ประทับอยู่เพื่อโปรดสัตว์ในโลกนี้ต่อไป ดังเช่น - พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ เป็นพระโพธิสัตว์แห่งปัญญา ในหัตถ์ขวาทรงถือพระขันธ์เป็นสัญลักษณ์ในการทำลายล้างกิเลสตัณหาและอวิชาทั้งปวง และในหัตถ์ซ้ายถือคัมภีร์บนดอกบัว - พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ เป็นพระโพธิสัตว์ที่ทรงไว้ด้วยความกรุณา และได้ทรงตั้งปณิธานว่าจะช่วยสรรพสัตว์ให้พ้นจากกิเลสความผูกพันทั้งปวง หน้าที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือการรื้อสัตว์ ขนสัตว์จากนรก - พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ เป็นพระโพธิสัตว์แห่งความเมตตา จะลงมาจุติในโลกมนุษย์เป็นครั้งคราว เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ให้พ้นภัย ความเมตตาของพระองค์แผ่ไปไกลและลึกแม้กระทั่งในดินแดนนรก ในประเทศจีนพระอวโลกิเตศวรเป็นที่รู้จักกันในปางสตรีคือ "เจ้าแม่กวนอิม" และชาวธิเบตเชื่อว่าองค์ประมุขทไลลามะ เป็นอวตารของพระโพธิสัตว์พระองค์นี้ - พระมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์ ทรงปัญญาเป็นเยี่ยม และทรงใช้ปัญญานี้เป็นเครื่อง บั่นทอนอวิชา - พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ ทรงตั้งปณิธานที่จะช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ยาก และเจาะจงช่วยโดยเฉพาะแก่เด็กและมิจฉาชน - พระเมตไตรยโพธิสัตว์ (พระศรีอริยเมตไตรย มหาโพธิสัตว์) เชื่อว่าเป็นองค์อนาคตพุทธเจ้า และจะลงมาตรัสรู้ในกาลข้างหน้า เป็นผู้เปี่ยมด้วยความเมตตา ๒. มนุษิโพธิสัตว์ คือ ผู้ปฏิบัติตนเพื่อบรรลุเป็นพระโพธิสัตว์ ปฏิบัติตนอยู่ในความบริสุทธิ์ ประกอบการบุญ เจริญศีล ทาน ภาวนา ทำประโยชน์แก่มวลมนุษย์ ช่วยชีวิตคนและสัตว์โลกให้พ้นจากกองทุกข์ กระทำกัลยาณวัตร และบำเพ็ญกุศลเพื่อบารมีแต่ละชาติไป โดยมุ่งหวังบรรลุพระโพธิญาณในขั้นสุดท้าย เช่น อดีตชาติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนั้นโพธิสัตว์ จึงเป็นอุดมการณ์ของชาวพุทธมหายาน ที่พยายามดำเนินรอยตามแนวทางพระยุคลบาทสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อครั้งทรงเป็นมนุษิโพธิสัตว์ เพื่อให้ได้ถึงพุทธภูมิในที่สุด และอุดมการณ์โพธิสัตว์นี้ยังมีสมบัติเป็นตัวเชื่อมทำให้ไม่มีช่องว่างมากนักระหว่างบรรพชิตกับฆราวาส เนื่องจากผู้ที่จะเป็นโพธิสัตว์ ไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นบรรพชิต แม้ฆราวาสเองก็เป็นโพธิสัตว์ได้ (ไม่ใช่ด้วยความอยากจะเป็น) เช่นกัน โดยหัวใจของการเป็นโพธิสัตว์นั้นขั้นแรกต้องมี โพธิจิต คือจิตตั้งมั่น ยึดพุทธภูมิเป็นจุดมุ่งหมายของชีวิต มีศรัทธาในโพธิ หรือความรู้แจ้งว่าเป็นอุดมการณ์สูงสุด และมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าในการที่จะช่วยเหลือสรรพสัตว์
     
  7. Tanakorn

    Tanakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    619
    ค่าพลัง:
    +1,537
    ผมรักษาศีล 5 ครับ

    ผมขอทำน้อย ๆ แต่มีประสิทธิภาพครับ
     
  8. NUI

    NUI เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    389
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +983
    อนุโมทนาบุญค่ะคุณอบเชยและคุณdhamma และขอขอบคุณและอนุโมทนาบุญกับคุณlotteด้วยค่ะ
     
  9. โอมพุทโธกิเตศวร

    โอมพุทโธกิเตศวร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +198
    ............................เปิดทวารใจ ไปทุกที่ ให้ความทุกข์ของทุกชีวิตที่สัมผัส เป็นสิ่งกระตุ้น
    เตือนเราเสมอว่า ชีวิตมากมายยังอยู่ในทะเลทุกข์........
     
  10. วิทย์

    วิทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,036
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,439
    ผมเน้นเรื่องความเห็นครับไม่ว่าจะเป็นการช่วยตนเองหรือช่วยผู้อื่น เป้าหมายคือพยายามให้ตั้งอยู่ในความเห็นที่ถูกต้องให้ได้ เพราะเมื่อมีความเห็นถูกต้องแล้ว ความดีอย่างอื่นก็จะเกิดการพัฒนาด้วยตัวของแต่ละคนขึ้นมาเองครับ
    ปล.ถ้าพิจารณาให้ดีจะเห็นว่าการที่คนเรายังก่อกรรมที่เป็นอกุศลกันอยู่นั้นก็มีสาเหตุสำคัญมาจาก "ความเห็น" นี่แหล่ะครับ
     
  11. cwyp

    cwyp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    270
    ค่าพลัง:
    +529
    คติของผมมีว่า นัตถิ กิญจิ อะไรนิดนึงก็ไม่มี คือ เมื่อเราไม่มีอะไรที่อยากมีแล้ว ก็จะไม่ทุกข์ใจเพราะความไม่แน่นอนครับ ความไม่มีเป็นความสงบทางใจที่หาได้ยากยิ่ง
     
  12. NUI

    NUI เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    389
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +983
    สาธุค่ะคุณโอม...

    คุณwit บอกความเห็น เห็นถูกก็เดินทางถูก เห็นผิดก็เดินทางผิด (เสียเวลาและจมปักอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์ทรมานมาก จนกว่าจะมีผู้มาช่วยชี้ทางให้เห็นถูกหรือบุญเก่าจะฉุดดี) สาธุค่ะ

    คุณcwyp ว่าไม่มีอะไรที่อยากมีแล้วก็ไม่มีทุกข์ มีทุกข์เพราะอยากมีอะไรหรือไม่อยากมีอะไร สาธุค่ะ
    ( ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา )
     
  13. วิทย์

    วิทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,036
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,439
    ปัจจัยให้เกิดสัมมาทิฎฐิ 2 (ทางเกิดแห่งแนวความคิดที่ถูกต้อง , ต้นทางของปัญญาและความดีงามทั้งปวง)

    1.ปรโตโฆสะ (เสียงจากผู้อื่น การกระตุ้นหรือชักจูงจากภายนอก คือ การรับฟังคำแนะนำสั่งสอน เล่าเรียน หาความรู้ สนทนาซักถาม ฟังคำบอกเล่าชักจูงของผู้อื่น โดยเฉพาะการสดับสัทธรรมจากท่านผู้เป็นกัลยาณมิตร)
    2.โยนิโสมนสิการ (การใช้ความคิดถูกวิธี ความรู้จักคิด คิดเป็น คือ ทำในใจโดยแยบคาย มองสิ่งทั้งหลายด้วยความคิดพิจารณา รู้จักสืบสาวหาเหตุผล แยกแยะสิ่งนั้นๆ หรือปัญหานั้นๆออก ให้เห็นตามสภาวะและตามความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัย)

    จากหนังสือพจนานุกกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม โดยพระธรรมปิฎก(พระพรหมคุณาภรณ์) (ป.อ.ปยุตฺโต)
     
  14. NUI

    NUI เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    389
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +983
    ขอบคุณค่ะคุณwit คุยตอบด้วยสองเว็ปเลย
     
  15. วิทย์

    วิทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,036
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,439

แชร์หน้านี้

Loading...