อาการนี้ชอบเป็นบ่อยตอนนั่งสมาธิ เพิ่งเป็นเมื่อประมาณ2ปีที่ผ่าน เวลาไม่นั่งบางทีก็เป็น อยากทราบจากผู้ที่พอจะรู้ว่าน่าจะเป็นเพราะสาเหตุอะไร ข้องใจมานานมากแล้วครับ ขอบพระคุณครับ
อยากทราบว่าอาการตึงตรงแน่นๆตรงหน้าผากเหนือหว่างคิ้วประมาณ1นิ้ว
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย LightLine, 14 มิถุนายน 2014.
หน้า 1 ของ 2
-
ทางปฏิบัติถือว่าเป็นคนที่มีทิพยจักขุมาก่อนในอดีตชาติครับ.
และถ้านั่งสมาธิแล้วรู้สึกว่าแค่ตึงๆเฉยๆ และไม่มีอาการปวดศรีษะ
หรือตึงศรีษะร่วมด้วย ของศรีษะส่วนบนนะครับ.
นอกจากจะเคยมีทิพยจักขุมาก่อนแล้วยังถือว่าสมาธิสะสมดีในระดับหนึ่งครับ..
สังเกตุดูครับตอนแรกมันจะคล้ายๆหน่วงๆดันๆจากใต้ผิวหนังเล็กน้อย
ถ้าเราสมาธิดีหน่อยมันก็จะหมุนวนขวาคล้ายๆใบพัดลมครับและมันจะ
เหมือนดันๆออกมาเล็กน้อยแต่การหมุนมันจะสม่ำเสมอทั้งระยะที่เรา
รู้สึกดันๆกับความเร็วในการหมุนครับ.และการหมุนคล้ายๆพัดลม
แบบนี้ในเวลาปกติทั่วๆไปมันก็หมุนได้ของมันเอง
แต่ไม่มีผลเสียหายอะไรครับ
และปกติคนมีอาการแบบนี้มักจะได้เห็นหรือสัมผัสหรือมีความรู้สึก
ในเรื่องนามธรรมต่างๆเป็นปกติครับ
แต่ถ้าการหมุนมันถึงขั้นได้ผลมันจะหมุนเหวี่ยงเหมือนคลื่นงวงช้าง
และหมุมม้วนลงเข้ามาในศรีษะครับส่วนส่งผลด้านไหนค่อยว่าอีกที
.และถ้าเราฝันนะครับบางทีเรา
จะเห็นภาพจากจุดนี้ด้วยครับ แสงจะออกจากจุดนี้คล้ายเครื่องฉายสไลด์
ส่วนมากจะเห็นแบบสภาพแวดล้อมเหมือนกลางวันปกติด้วยครับและมัน
มักจะเป็นเหตุการณ์ในอนาคต...ส่วนจะเห็นเรื่องอะไร หรือว่าจะปฏิบัติอย่างไร
ถ้าสนใจมากกว่านี้ค่อยว่ากันครับ.. -
ขอบพระคุณมากครับ มันตึงเหมือนมีอะไรดันตามนั้นจริงๆครับ เพียงแต่ไม่มีอาการปวดศรีษะ และยังไม่ถึงขั้นหมุน ควรเน้นตรงจุดไหนดีครับ ตอนบวชพระเวลานั่ง มันจะตึงแน่นแล้วเหมือนตัวเองไปนั่งอยู่ในที่โล่งทั้งๆที่อยู่ในกุฏิ แต่อาการนี้หายไปซักพักหลังบวช ตอนบวชเคร่งมากถือว่าบวชเข้ามาแล้วต้องทำให้จริง แต่พอสึกออกมา กลายเป็นว่านานๆจะได้นั่งซักครั้ง อาการนั่งแล้วเหมือนไปอยู่อีกที่ก็ได้หายไปด้วย ช่วยชี้ทางบอกทีว่าผมควรเน้นตรงไหนต่อไป เป็นพระคุณมากครับ
-
แต่อาการตึงแน่นทุกวันนี้ยังคงอยู่ครับ
-
ผมก็เป็นเหมือนกันครับตึงๆหน่วงๆที่กลางหว่างคิ้ว ชีวิตประจำวันตอนไม่ได้ภาวนายังเป็นเลยครับ เข้ามาขอความรู้อีกคนครับ
-
เด่วเล่าให้ฟัง ขอกล่าวคลอบคลุมทั้ง ๒ คนเลยนะครับ.
เพราะอาการคล้ายๆกัน คือเป็นได้ปกติในชีวิตประจำวัน
และไม่ปวดศรีษะ.ความจริงถือว่าดีนะครับ.แต่ประโยชน์
ในระดับนี้นะครับ.ถ้าเราเอาจิตไปจับไว้ตรงหน้าฝากแล้ว
ภาวนาไป.จะเป็นการสร้างสติทางธรรมไปในตัว
แบบฐานอยู่ที่กาย ไม่ทำให้จิตใจเราวอกแวกด้วยครับ.
และถ้าเกิดเราง่วงๆหรือขี้เกียจในขณะทำงานนะครับ.
จะเป็นการกระตุ้นความรู้สึกให้กลับมาได้อีก.
จะทำให้เราทำงานได้อีกต่อไป
และมีสมาธิดีขึ้นด้วยครับ..ตรงจุดนี้ลองพิสูจน์ดูได้ครับ
ประเด็นข้างบนคือ การใช้ในชีวิตประจำวันนะครับ..
ส่วนถ้าจะพัฒนาในเรื่องการปฏิบัติ จนถึงขั้นที่หมุน
เป็นวงกลมวนขวา หมุนแบบเป็นงวงช้างได้. จะต้อง
ทำการไปเปิดจักระตรงสมองส่วนกลาง หรือกลางกระโหลก
ศรีษะ ตรงศรีษะที่ขีดแล้ววัดลงมาตรงกับหูครับ ให้ได้ก่อน
เป็นอันดับแรกถึงจะมีการพัฒนาต่อไปได้ครับ.ด้วยการ
กำหนดจิตไปให้ถึงกลางกระโหลกศรีษะให้ได้ แรกๆยังจะ
ยังไม่ไม่ถึงตรงจุดกลางกระโหลกครับจะติดๆอยู่ต้องโคนผม
ที่ศรีษะก่อน ค่อยๆทำไปเรื่อยๆ จนกว่ามันจะย้ายไปหน่วง
ที่กลางกระโหลกศรีษะครับ.และพอถึงจุดนี้ มันจะมีความรู้สึก
ว่าวงการหมุนเริ่มจะมีวงกว้างเป็นวงกลมได้ และจะขยายรอบ
กระโหลกศรีษะเรา..ถ้าตรงจุดนี้ทำได้แล้ว ตรงเหนือระหว่าง
คิ้วมันก็จะเกิดการหมุนได้ครับ และไม่ต้องกลัวครับ
เพราะกลางกระโหลกเป็นการเชื่อมกับระดับภพภูมิดีๆ
ระดับสูงด้วยครับ. และจะรู้สึกว่าเบากว่านี้
และก็จะสามารถเปิดจักระจุดอื่นๆตามมาได้เอง
.และจะสามารถใช้งานด้าน
ทิพยจักขุในแบบหลับตาได้. สร้างสติทางธรรมได้
ในเวลาปกติ ระลึกสติเพื่อการทำงานได้..
และสามารถเชื่อมหรือสื่อสาร
กับพลังงานภายนอกต่างๆได้หรือสื่อถึงบุคคลอื่นๆได้ด้วยครับ..
แต่ให้ระวังจุดท้ายทอยนะครับอย่าไปยุ่งตอนนี้.เด่วเอาเท่านี้ก่อน
ประเด็นอื่นๆปลีกย่อยค่อยว่ากัน หรือถ้ายังสงสัยประเด็นไหน
ก็ลองถามดูครับ
ปล.อาการนั่งๆแล้วเหมือนไปปรากฏอีกทีหนึ่ง
ลักษณะเหมือนว่าสถานที่นั้นๆเลื่อนเข้ามาหาเราเอง
แสดงว่าเรามีครูบาร์อาจารย์หรือทางภพภูมิท่าน
เมตตาสอนเราอยู่ตอนนั้นครับ... -
ขอบคุณ ท่านnopphakanมากครับที่ได้เข้ามาให้ความรู้ และการปฏิบัติในเรื่องของจักระ โดยส่วนตัวก็ยังไม่ค่อยเข้าใจในเรื่องของจักระเท่าไหร่ แต่ก็ได้เคยอ่านศึกษามาบ้างครับ แล้วถ้าไม่ไปเปิดจักระ ปฏิบัติไปเรื่อยๆนี้จักระจะเปิดเองได้ไหมครับ
-
สาธุๆๆ ขออนุโมทนาในธรรมทาน
ของคุณ nopphakan ด้วยนะครับ -
ปฏิบัติไปเรื่อยๆจะเปิดได้ครับ..ตามจุดที่คุณเคยๆได้อ่านมานั่นหละครับ.
เพียงแต่จักระ ๑ กับ ๗ เป็นเสมือนประตูในการเชื่อมกับพลังงานภายนอก
ทั้งนี้ทั้งนั้นควรมีกำลังสติและสมาธิสะสมพอสมควร
และเคยเดินปัญญาเพื่อลดละกิเลสมาบ้างเพื่อไม่ให้ยึดติดกับความ
สามารถพิเศษต่างๆและรู้เท่าทันจิตตนเองไม่ให้หลงไปกับกิเลสต่างๆ
.และรู้จักการถ่ายเทพลังงานตกค้างเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบ
กับร่างกายต่างๆที่จะตามมา
ก่อนที่จะเข้าไปเกี่ยวพันธ์กับเรื่องนี้แบบเปิดหมดทุกจุดครับ
ความจริง ๗ จุดเป็นแค่พื้นฐานเท่านั้น.ยังมีสายวิชา ๙ จุด
๑๒ จุดและถ้าทำต่อไปจะเปิดได้ ทั้งที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า และสามารถ
เปิดได้ทั้งตัวด้วยครับคือเชื่อมทางผิวหนังได้เค้าเรียกว่าส่วน
วิญญานธาตุครับ....ซึ่งแล้วแต่แนวทางการปฏิบัติของแต่ละสาย
ครูบาร์อาจารย์ที่เราจะได้พบเจอทั้งทางโลกและทางภพภูมิ
และแนวทางการนำไปใช้งานทางด้านต่างๆที่เป็น
ประโยชน์ในทางธรรมด้วยครับ..ซึ่งเรื่องทำนองนี้ถ้าไม่ได้
มีประสบการณ์ด้วยตัวเองก็ยากที่เข้าใจหรือจะอธิบายให้
บุคคลอื่นๆเข้าใจได้ยากเช่นกัน เผลอๆเราอาจจะโดน
ปรามาสได้ครับ.เพราะเครื่องรู้บางอย่างมันหาไม่ได้จาก
ตำราบนโลก เป็นการสอนจากครูบาร์อาจารย์ทางภพภูมิครับ
เพียงแต่ถ้า ๒ จุดสำคัญยังไม่เปิด อาการหน่วงๆตามจักระต่างๆก็จะเปิดได้เอง
แต่ไม่ใช่การเปิดแบบถาวรหรือการเปิดที่สามารถนำไปเพื่อการใช้งานด้าน
อื่นๆที่มีประโยชน์ได้ หมายถึงเปิดในระดับหมุนเป็นคลื่นงวงช้าง(มันกำลังดูด)
นะครับและอีกกรณีจะเป็นการหมุนรับพลังงานภายนอกคือหมุนคล้ายๆใบพัด
แต่เป็นใบพัดคล้ายๆตัวอินฟินิตี๊ หรือเลขแปดสากลแบบแบนๆ
.หาก ๒ จุดสำคัญไม่เปิดมันก็จะปิดของมันเองได้เพราะ
แต่บางคนจุดที่ ๗ หรือ ๑ เค้าเปิดเองได้แบบไม่รู้ตัว.เลยทำให้จุดๆอื่นเค้าเปิด
ตามมาโดยบางครั้งเจ้าตัวก็ไม่รู้สาเหตุนั่นเองครับ.
เพราะจะมีพลังงานธาตุอากาศจากภายนอกมาหนุน
จากอากาศธาตุภายนอกตัวนี้ จึงส่งผลให้คนที่จักระเปิดส่วนมาก
จะมีความรู้สึกรับรู้เกี่ยวกับพวกอากาศและลมได้ดีเป็นปกติครับ..
แต่สุดท้ายถ้าเราไม่ได้มารูปแบบที่จะต้องใช้พลังงานตรงนี้เพื่อประโยชน์
ทางด้านอื่นๆ.เราปฏิบัติของเราไปปกติก็ไม่มีปัญหาอะไรครับ.
ขอให้หลักๆอยู่ใน ทาน ศีล สมาธิ และปัญญา เป็นใช้ได้
แต่หากว่าเราต้องเข้าไปเกี่ยวข้องไม่ว่าจะเหตุใดก็ตาม
เราก็ควรที่จะต้องเรียนรู้และอยู่กับมันในสภาพชีวิตปกติ
และเพียงแต่ว่าจุดกลางกระหม่อนที่ได้แนะนำไปก่อนหน้านั้น.
เป็นจุดที่ไม่มีอันตรายไม่ส่งผลกระทบกับร่างกาย.
ซึ่งจะช่วยในเรื่องทิพยจักขุซึ่งหากเรามีตรงนี้
จะทำให้ความเข้าใจในส่วนนามธรรม การส่งผลต่อ
ความเชื่อที่ส่งผลต่อการปฏิบัติของเราชัดเจนยิ่งขึ้น
ดีกว่าการที่เราเพียงแต่ ได้ยิน ได้อ่านมา.
มันก็พอจะมีประโยชน์ในการปฏิบัติที่เราจะได้รับ
จากองค์ความรู้ต่างๆที่เราสัมผัสได้.
ที่จะเป็นประโยชน์ในการปฏิบัติตามความเหมาะสมเฉพาะเราได้
และจักระที่กลางศรีษะเป็นช่องทางสื่อสารช่องทางหนึ่ง
จากภพภูมิระดับสูงๆหรือครูบาร์อาจารย์ทางธรรมรูปแบบหนึ่งด้วยครับ.
.ปล.ประมาณนี้ครับแบบทั่วๆไป -
พยายามย้ายจุดดูครับ บังคับได้แล้วก็ทำให้นิ่งต่อไป ทำให้มันหยุดหมุน มันเป็นนิมิต ถ้าไปเพ่งแถวนั้นผมว่าไม่ดีเท่าไหร่ หากว่าถ้ากายทิพย์หลุดออกมาก็จะตกใจ พยายามสวมเข้าไปที่กายเนื้อ สวมทั้งตัวยังไม่ได้ก็ให้แขนขยับได้ก่อนก็ได้ครับ แค่นี้ก็คืนร่างเดิมได้แล้ว
มีไร pm มาได้ครับ เพราะตอนเด็กๆผมเป็นมาก่อน อ่านข้อความที่นี้ระวังให้มากครับ คนที่เขาเป็นเหมืนกันมาอ่านจะเข้าใจผิด เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปต่อความครับ ดีที่สุด -
เพิ่มเติมอีกนิดไม่รู้จะได้มาตอบอีกไหม ก็คือทำให้หยุดหมุนได้แล้วต่อไป ถ้าไม่เรียกนิมิตนี้มาก็ไม่ปรากฏนะครับ ต้องการให้ปรากฏก็ปรากฏได้ เท่านี้ก็พอล่ะครับ ต่อไปอยากทำอะไรด้านสมาธิก็ทำตามปรกติได้
-
ขอบคุณครับ อนุโมทนาในธรรมทานที่ท่าน nopphakan ได้เข้ามาให้ความรู้ ตอนนี้ยังไม่ถึงไหนเลยครับแต่จะพยายามทำตามที่ท่านแนะนำครับ
-
ให้ ****กำหนด*** ***รู้*** ***ทุกข์*** ในความสงสัย
ไม่ว่าสงสัยอะไรให้ ***กำหนด*** ***รู้*** ***ทุกข์***
ในความสงสัยนั้นๆ
จนกว่าคุณจะพบว่าสงสัยก่อนหน้านี้ ปัจจุบัน และถัดไปเป้นคนละสงสัย
เป้นคนละ อัตตะ อัตตะ อัตตะ
และ
จนกว่าคุณจะพบว่า ไม่มี สงสัยก่อนหน้า ปัจจุบันและถัดจากนี้
เพราะเรา ***กำหนด*** ***รู้*** ***ทุกข์*** ***ใน*** ***ลังเลสงสัย***
ทุกข์จะเป็ฯสารสื่อประสาท ทุก ****อัตตะ*** จะรวมตัว จะแยกตัวกันเอง -
ในเบื้องต้น เราจะไม่สามารถทรงฌาน
ไม่สามารถทำอัปปนา่สมาธิได้
ทุกข์จะมี อันก่อนหน้า อันปัจจุบัน อันถัดไป
และถ้าโชคดีคุณกำหนดรู้ทุกข์ตั่งก่าก่อนทรงฌาน นานๆทรงฌานได้จิ๊ดนึงก็พอ
พอเข้าฌาน มีอัปนาสมาธิ บังเอิญก็ได้ แต่กำหนดรู้ทุกข์นอกฌานไง
พอเข้าฌานบังเอิญ มั้ง คุณจะยังเห็นทุกข์อยู่
แต่ไม่มีอันก่อนหน้านี้ ไม่มีอันปัจจุบัน และไม่มีอันถัดไป
กำหนดรู้ทุกข์ในอริยะสัจจะ สี่
อวิชชาประกอบด้วย
ราคะ
และ
ฉันทะ -
จุดมโนทวาร
อยู่ตรงกลางระหว่างคิ้ว ตรงดั้งจมูกหัก จุดนี้เป็นทางออกของกระแสความคิด เมื่อสติดีขึ้นซึ่งเป็นผลจากการปฏิบัติ ก็จะเห็นความตรึง ณ ที่จุดนี้หรือบริเวณข้างเคียงกับจุดด้วย
การเพ่งฌานก็จะเพ่งเข้าที่จุดนี้ จุดมโนทวารนี้หลวงปู่สาวกโลกอุดรเป็นผู้ค้นพบและปฏิบัติเพ่งฌานจนบรรลุธรรม ดังนั้นจุดมโนทวารจะไม่ปรากฏในตำราใดๆ แม้นในพระไตรปิฎกก็ไม่มี จะมีเฉพาะตำราที่หลวงปู่สาวกโลกอุดรแต่งหรือแสดงธรรมไว้เท่านั้น
จุดของคุณเป็นตำแหน่งเหนือคิ้ว จุดนี้เพ่งไม่ได้นะครับ หากเพ่งจะเสียสติเพราะจุดนี้เป็นเส้นประสาท อาการตรึงสามารถเกิดได้ทั้งรอบบริเวณจุดมโนทวาร เช่นหน้าผาก ที่ดวงตาหรือที่บริเวณโพรงจมูก แต่ตัวจุดจริงๆเขาจะไม่ตรึงหากไม่เพ่งเข้า จุดอื่นเกิดขึ้นเหมือนหลอกให้หลง
แสดงเท่าที่รู้ เชื่อหรือไม่ ก็ไม่ว่ากันครับ -
ขอฝากแนวคิด : ห้างสยามพารากอน มีคนเข้าไปนับล้าน มีซักกี่ท่านที่จะทราบว่า
1. มีห้องน้ำกี่ห้อง มีไฟกี่ดวง ขนาดกว้างยาวเท่าไหร่ ฯลฯ
2. คนเข้าไปทุกคน เห็นสัมผัส เหมือนคุณที่ได้พบบางอย่างด้วยตนเอง
3. แต่คุณไม่ทราบใ่ช่ไหมครับรายละเอียดดังกล่าว
เรื่องคร่าว ๆ สิ่งที่คุณเจอ ถ้าให้เงินทุนไปซัก 100 ล้าน คุณจะทำวิจัยเรื่องนี้อย่างไรครับล่ะครับ ข้อความเพ้อเจ้อ ฟุ้งซ่านจับโน้นผสมนี้ ให้ระมัดระวังให้มากที่สุดนะครับ ข้อมูลบางอย่างอ่านแล้วดูที่มาที่ไปว่า มาได้อย่างไร ได้มาแบบนี้แล้ว จะต้องไปทำอะไรได้มา ไม่ใช่ว่า อ่านหนังสือหรือจิตนาการไป ผมเรียกว่าเพ้อเจ้อ หรือฟุ้งซ่านครับ -
เพิ่งเสร็จงานกลับมาอ่าน สับสนมากมายครับ แต่ยังไงขอขอบคุณทุกๆท่านในความหวังดีครับ วันนี้ผมเจอแต่เรื่องแย่ๆ อยากกลับไปบวชจัง อยากหาที่ๆสงัด เบื่อทางโลกที่แสนจะวุ่นวายเหลือเกิน ฝันไว้ว่าอยากบวชตลอดชีวิต แต่ต้องดูแลครอบครัว ผมเองก็ลูกคนเดียวอยากให้ทางครอบครัวสบายทั้งกายและใจก่อน คงต้องมีวันนั้นซักวัน
-
เพ่งมากเกินไปครับถ้าไม่อยากให้เกิดขึ้น ตอนนั่งสมาธิให้ เอาจิตไล่ไปตามลมหายใจเข้าออกให้รู้ว่าลมกระทบจมูกผ่านลำคอเอาไปที่ปอดผ่านลงท้อง แล้วไล่จากท้องขึ้นมาปอดผ่านลำคอ ออกจมูก ทำไปเรื่อย ๆ ซักพักอาการนี้จะหายน่ะครับ นั่งสมาธิไม่ต้องหวังจะเห็นอะไรครับให้มีสติรู้อยู่ตลอดก็พอ ส่วนเรื่องอยากบวชนั้นรอให้หมดภาระหน้าที่ก่อนก็ได้ครับช่วงนี้ก็บวชใจถือศีล 5 ศีล 8 อยู่บ้านวันพระก็ชวนครอบครัวไปทำบุญที่วัดก็ได้ครับ
-
ขอให้คณบอกมาให้กระจ่างทีครับ ขอบคุณครับ
-
รอคุณ ส่องตน มาตอบอีกคนครับ
หน้า 1 ของ 2