คิดเอาอีกแล้ว ว่าผมหลงไหลทำกาละอะไรนั้น เฮ้อๆ ผมไม่มีความรู้สึกหลงหรอก เพียงนิมิตนิดๆหน่อยๆ เห้นในความวิเศษของธรรมะของพระพุทธองค์เอามากล่าวไว้เพื่อคนที่กำลังศึกษา เป็นเครื่องตรวจทานอะไรได้บ้างเท่านั้นเอง ผมชื่นชมทุกคนนะ
อยากบรรลุธรรมเข้ามา
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย newamazing, 13 ธันวาคม 2012.
หน้า 20 ของ 59
-
-
เพราะไอ้ทานแบบอื่นหนะ มันเป็นทานที่ไม่ทำให้หลุดพ้น เป็นทานที่ยังเอื้อให้คนหลงในโลกียะต่อไป
นี่อยู่ดีๆ มาบอกว่า "ข้าพเจ้าฮานาก้าแล้ว"
แต่ดันบอกว่า "ไม่อยากขวนขวายให้ธรรมทานคนอื่น ใครได้อะไรเท่าที่เขี่ยเศษๆ ให้ได้นิดหน่อย ก็เอาไปเท่านั้น"
เพราะ "ข้าพเจ้าไม่ใช่ครู"
แล้วก็ทะลึ่งพรวดไป "แต่ข้าพเจ้าจะขวนขวายทำทานในแบบที่ไม่เอื้อให้คนหลุดพ้นอย่างเต็มที่"
มันสะดุดขากันเองหกล้มไหมเนี่ย?
ความเหมาะสมอยู่ที่ไหน คิดเอาเอง...
ยอดแห่งทานทั้งมวล คือธรรมทาน ไม่ขวนขวายจะทำ
เศษๆ ทาน นี่กระเหี้ยนกระหือรือ อยากจะทำเหลือเกิน... -
คำว่า " หลงไหลทำกาละ " ก็หมายถึง " หลงไหลนับวันนับคืนรอความตาย "
อาการของคน หลงไหลทำกาละ หรือ หลงไหลนับวันนับคืนรอแล้วก็รอ
เมื่อไหร่จะตาย ระหว่างที่ไม่ตาย ก็จะ ขยันในเรื่องไม่เป็นเรื่อง
มักจะอินกับความเก่ง ความสามารถ ที่ไม่เป็นเรื่อง เป็น สันดานแอบแฝง
ไอ้ตอนแสดงออกมา ไม่รู้ตัว
เช่น บอกว่า กูเก่งตีกบได้200 เป็นต้น .............
[ ประโยชน์ของการกล่าวไม่มี แต่ผู้กล่าวแฮปปี้มาก ]
********************
อาการหลงไหลทำกาละ ก็จะคล้าย กระต่ายกับเต่า ที่กระต่ายสำคัญว่า
ถึงที่หมายๆ และก็เลยเย็นใจ ประมาท หาสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์มาทำ
สำคัญว่ามีประโยชน์ เช่น นอนพัก ทำทาน ทำกุศล เก็บกำลัง!! แต่พอ
ถึงเวลา ใช้ได้นะ ใช่ว่าจะไม่เกิดผล ไม่เกิดกำลัง แต่ พอเข้าเส้นชัย
แล้วไง .............ก็เส้นชับโลกๆ ยังไม่พ้นไปไหนเลย -
-
แทนที่จะเพียรสร้างปัญญาต่อไป ดันไปกอด "ปัญญามีเท่านี้นี่" ซะแน่นไม่ยอมเดินหน้าต่อเลย แล้วเมื่อไหร่ "ปัญญามีเท่านี้นี่" มันจะกลายเป็น "ปัญญามีเท่านี้นี่ + 1" หละ? -
-
ในแง่ พุทธศาสนา จะเรียก ผู้หลงไหลทำกาละว่า พวก " ทิฏฐิวิบัติ "
ซึ่ง แก้ไม่ได้ ไม่สามารถแก้ให้ ดีขึ้นได้
แต่ พวกนี้ สอนให้ไห้วพระสงฆ์ พระพุทธ พระธรรม ได้ไหม ก็จะพบว่า
สอนได้ เขาจกจำได้ด้วย แล้วก็ มีกริยา ปฏิปทาแบบดูแล้ว เหมือน
นักปฏิบัติชั้นเลิศได้ด้วย แต่ทว่า.................
ไม่สามารถบรรลุธรรมอะไรได้
จะได้รับแต่อานิสงค์ของการบูชาพระพุทธศาสนา เช่น รวย มีวาสนาดี สลับ จน
หรือ ลำบาก สุดขั้ว
แต่พอจะเอา สมบัติทางปฏิเวธ แล้ว ไม่มี ไม่สามารถมีได้
เช่นนี้เรียกว่า พวกทิฏฐิวิบัติ ทั้งนี้ เพราะตอนเข้ามาอาศัยพระพุทธศาสนา
กลับแฝงความไม่จริงใจ จริงจัง แอบๆ ซ่อนๆ บางอย่าง ทำให้ อุบาทว์ใน
พรหมจรรย์ของธรรมวินัยนี้ บังเกิดขึ้น เป็นผล ซึ่งจะร้ายแรงกว่า คนนอก
ศาสนาหลายร้อยเท่าแสนทวี
เรียกว่า จักรวาลแตกดับไปกี่แสนกี่หมื่น พระพุทธศาสนาผ่านไปกี่สมัย
พวกนี้ก็ยังมี ประพฤติเช่นนี้ ดังเดิมทุกประการ -
แล้วที่เรื่องตีกบนั้น 200หลาขอบอกไม่ได้เก่งหรือไม่เก่ง จะบอกอะไรให้มันไม่เกี่ยวเลยกับเก่ง ถ้าท่านเข้าใจแล้วจะรู้ว่ามันเกิดขึ้นมาได้ไง? หรือจะเรียกให้ปวดหัวว่าตามเหตุปัจจัย
-
-
-
จับธรรมไปกระเดียด เนาะ
คงจะอาศัย บทที่ว่า " ฉันทะต่างกัน การแสวงหาต่างกัน ฯ "
แต่ ปัญญามีไม่พอ ก๊อปปี้ไม่ได้ในส่วนที่ " วิมุตติเหมือนกัน "
ทีนี้ ฟังดีๆนะ
ปัจจัย หรือผัสสะ ของแต่ละคน ซึ่งจะเป็น ปัจจัยไปสู่ฉันทะตามครรลอง
คลองธรรม ฉันทะจึงต่างกัน ถูกไหม
ปัจจัย ในส่วนที่เป็นการ แสวงหาก็ต่างกัน ถูกไหม
แต่
เฮ้ย !!!
ปัจจัยของ วิมุตติ คุณว่า ต่างกันไหม ฮะเอ่อ
หากไม่มี วิมุตติ ไม่ต้องตอบผมก็รู้ว่า คุณก็ต้องตอบว่า
" ปัจจัยของวิมุติต่างกันแน่นอน "
นี่ถ้าตอบแบบนี้ ไม่ต้องตอบนะ ถ้าตอบมาแบบนี้แปลว่า
ยังรู้ไม่ถึง ฐานจิต ไม่เคยเห็น ฐีติวิญญาณ เลย ซื่อบื้อเชื่อ
ตามสิ่งที่เห็น แล้วตอบว่า ต่างกัน
แต่ถ้า ริจะตอบว่า " ปัจจัยในการวิมุตติเหมือนกันนะ "
ไหนบอกมาสิว่า ทำไมเหมือนกันหละ
( คำตอบแนะนำ : ไม่ต้องตอบ อยู่องค์กรอิสระ-NGO ก็ได้ ) -
-
-
ตกลง เข้าถึงการสดับธรรมเป็น กับเขาบ้างไหมนี่
คุณคร้าบ คุณอย่าไปอินกับเนื้อเรื่อง ที่ผมยกมาสิคร้าบ คุณไปอิน
ไปจับ ผิด จับ ถูก เปรียบเทียบ เอาตาม ความสามารถของจิตคุณ
คุณก็ ปฏิเสธไม่รับ เป็นธรรมดาแหละคร้าบ
ดังนั้น คนฟังธรรมเป็นหนะ เรื่องราวเป็นอย่างไร เขาฟังได้หมด
จริงเท็จอย่าไร นั่นมันเรื่องของตัวหนังสือ มันเป็น สื่อที่ช่วยให้
ฟังธรรมอีกชนิดหนึ่งได้ ซึ่งธรรมนั้นจะอยู่ในกายในใจตน เข้า
มาที่ฐีติจิต ฐีติธรรม ธรรมเขาจึงฟังที่มันแสดงออกจากในๆนั่น
โดยอาศัย เรื่องราวข้างนอกพาเคลื่อนเป็นอุบายอีกที
หลวงปู่มั่นจึงบอกว่า พระไตรปิฏก เก็บเข้าตู้ก็ได้
แต่ถ้าใครฟังธรรมนั้นเป็น ฟังจากฐีติจิต ฐีติวิญญาณเป็น พระไตรปิฏก
จะเป็นอย่างไร ถูกหรือไม่ถูก จริงหรือไม่จริง สอบทานได้หรือไม่ได้
ไม่ได้เกี่ยวกับ ธรรมแท้ที่ฟังเอาจากข้างใน เลย -
-
จะให้มากกว่านั้นก็ได้ จะให้เป็นเรื่องขยันจริงจัง
พระไตรปิฏกสอบทานไม่ได้ เชื่อไม่ได้ เล่นมุขเดียว
กันกับกระทู้นู้นเป๊ะ ก็ได้
แม้แต่จะบอกว่า ภาวนาให้มากๆ คุณก็พูดได้
แต่ทว่า ...............ปฏิเวธ เนี่ยะ มันจะไม่มีตามความเป็นจริง
ตราบชั่วกัลปวสาน หากคุณ ยัง ง้องแง้งๆ เล่นเอาเถิด ชงการ
" ชูธรรม " น่ารักดีอยู่
แต่เล่นเอา หน้าตนแหวกออกมาจากกลีบเนื้ออยู่แบบนี้ ละก็ ปฏิเวธธรรม
เนียะ ไม่มีหรอก ยากส์ -
-
ก็นั่นแหละ ผมถึงบอกว่า สุดแห่งทิฏฐิของคุณ
มันอยู่ตรง หลงไหลการทำกาละ ไง
คนเป็น หรือ ภาวนาเป็นเนี่ยะ เขาตายกันเป็นว่าเล่น
หาก ภาวนาเป็นจริงๆ เขาตายกัน ชั่วเวลาดีนิ้วดังเปาะ ตายไป
แล้วแสนโกฏครั้ง แต่.....เอาแค่ ทุกลมหายใจเข้าออก ก็พอ -
-
ฮึย เวลา หมามันกระแด่วแห้ว มันก็มีจิตหลุดจากกายเหมือนกัน หู จมูก ปาก
เหลือดไหลผลั๊กๆ 5ทวารดับ ว่างั้นเหอะ
แล้ว หมามัน ...................... ด้วย อะเป่า
หน้า 20 ของ 59