พระองค์ก็แสดงถึงนิพพานมากมาย
อยากบรรลุธรรมเข้ามา
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย newamazing, 13 ธันวาคม 2012.
หน้า 40 ของ 59
-
-
นิพพานไม่ใช่การเข้าใจบทกวีร้อยแก้วร้อยกรองใดๆ เป็นสภาวะที่เราจะต้องไปให้ถึงเป็นสภาวะที่อยู่เหนือรูปนาม เป้นสภาวะของการไม่เกิด ไม่ดับ ไม่มีที่มา ไม่มีที่ไป จึงว่าด้วยเรื่องสูญญตาเท่านั้น
-
-
เฮ้อ!!จริตอย่างนี้จะเผยเเพร่ธรรมไหวเรอะ
กลัวจะเหมือนกระสอบทรายในค่ายมวย
จุดจบของนักวิปัสนึก คงใกล้เข้ามาเเล้ว
ยังไงก็พิทักษ์รักษาคุณธรรมเเละภูมิธรรมของครูบาอาจารย์
ของตัวเราไว้ดีกว่า ยิ่งเหวี่ยงงวงเหวี่ยงงามากเท่าไร
ก็เข้าเนื้อครูอาจารย์มากเท่านั้น
หยุด!!เเล้วกลับไปขอโทษครูอาจารย์ ก่อนที่จิตจะชำรุดมากกว่านี้ -
แถมยังไม่พยายามทำลาย "ผม" แต่ยังพยายามกอด พยายามยึด "ผม" ให้มันติดแน่นเข้าไปอีก โดยการจินตนาการเสริมเข้าไปว่า สิ่งที่ปฏิบัติมาทั้งหมด
ทำให้ "ผม" ดีขึ้น ทำให้ "ผม" ได้อะไรๆ มากขึ้น ทำให้ "ผม" เห็นสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น ทำให้ "ผม" กลายเป็นผู้ที่ทำทานมากกว่าคนอื่น ทำให้ "ผม" ไม่สนใจผู้อื่นรอบๆ ตัว
สังเกตไหม? คำว่า "ผม" มันไม่ได้หายไปไหนเลย และยิ่งชัดเจนขึ้นกว่าเมื่อก่อนอีก เพราะแยกตัวออกมาจากสังคม แยกตัวออกมาจากวิถีชีวิตมนุษย์ปกติไปแล้ว -
สุญญตา เวลา ธรรมก๊อปปี้ เอามาพูด มันจะ สะดุด
เนื่องจาก ภูมิจิต ภูมิธรรม มันมีไม่จริง พูดเจื้อยๆ แบบประมาท สำคัญว่า
มั่นใจว่ารู้เมื่อไหร่ สัญญาวิปลาสจะรับประทานกันให้เห็นโต้งๆ
นิพพาน เนี่ยะ ไม่สูญหรอกครับ อย่าไปปล่อยไก่กล่าวว่า "นิพพาน
เป็นสุญญตา"
สุญญตาเนี่ยะ หาก สติ สัมปชัญญะ อยู่ครบ จะรู้ว่า มันคือ สภาวะสมาธิ
สำหรับการกล่าวยก มรรคา เป็นนัย
ส่วนสุญญตนิพพาน เวลาอธิบายเขาจะอธิบายที่ กิเลส กับ ขันธ์ ไป
หากระโถนที่กล่าวเรื่องนี้ก็ได้ คนที่ปฏิบัติจริงเนี่ยะ จะมีความอัศจรรย์
ในการ กล่าวธรรมแล้วจะ ลงกันสนิทกับ คำพระตถาคต
แต่ถ้า ของปลอม คำกล่าวแม้จะให้สั้นๆ พลาดยาก มันยังพูด ขัดกันเองเลย ดูจิ
ไปแล้ว ไม่ได้มรรคผลอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว โพล่งออกมาเอง แล้วยัง
ไม่ทันมันอีกนะ แปลกดี
อันนี้แหละเขาเรียกว่า อาการ สัญญาวิปลาสรับทาน โต้งๆ เลย -
-
-
-
แหม ก็จะให้ ทำยังไงหละคะ
ก็ คุณพี่ มาเปิดกระทู้ หมายเอาที่ มาทำหน้าที่ ชักชวน ให้คนสนใจธรรมะ
แต่ ทว่า ตอนนี้ ไม่ได้สนใจแล้วว่า คนมาฟังธรรมะหนะ ภูมิไม่มีอยู่แล้ว แต่
มามุ่งประเด็นว่า " กูเนี่ยะ มีธรรมมะ แต่ มะอึงหามีไม่ "
เรียกว่า หน้าที่ที่จะเข้ามา ตอนนี้ ผลิกจาก หน้าแฮนด์เป็นหลังฟุตส์ ไปแล้ว
ดังนั้น
" ล้มประดา ตาย " ที่ หนูหมายถึงเนี่ยะ ไม่ใช่เรื่อง ภูมิจิตการภาวนาอัน
เป็นสมบัติส่วนตน
แต่หมายถึง ความไม่เข้าใจในความเป็นมะนุดที่ ตัวเองพัฒนา มาได้อย่างไร
พอไม่เข้าใจ ตรงนี้เขาเรียกว่า ตัวสะท้อน ความสามารถ ในการภาวนาว่า ภาวนา
มาด้วยตัวเองจริงหรือไม่จริง
ปัจจัตตัง กับ ปัดกันจัง ยก ธรรมกูเข้าว่าเพื่อหน้าตากู กับ พร้อมเสมอที่จะตะล่อม
ให้คนที่ไม่มีทรัพย์ค่อยๆมีทรัพย์อย่าง คนรู้ถ้วนในรูปนาม มันต่างกัน เยอะ หนะค่ะ
แล้วอันที่จริง คนภาวนาเป็น แม้จะไม่ บรรลุธรรม แต่ ภาวนาถูกทางเนี่ยะ
เขาไม่ อ้ำอึ้ง แบบนี้หลอกค่ะ แค่พอภาวนาเป็นเนี่ยะ เชื่อได้ว่า จะสอนได้
ดีกว่า จขกท กระทำอยู่มากมาย
นี่ เมื่อสองสามวันก่อน มีหน้าใหม่ เข้ามา จั่วเปิดกระทู้ พอโดนทัก รายนั้น
งัด นกเขากูไม่ขัน คายน้ำไม่เป็น เอามาเป็นประเด็น
เนี่ยะ เชื่อไหมว่า ลีลาการ เปิดกระทู้ เพื่ออวดตน เนี่ยะ มันเหมือนกัน
เหมือนกับ จขกท ที่มา จั่ว แล้ว งัดกะลาทาน มาโชว์ ( จริงๆ มีงัดของ
ลับอีก สองระดับ ด้วย )
ซึ่ง อะไรแบบนี้ แค่ อ้าปาก ก็เห็นร ลิ้นไก่แล้วหละ
คนที่เขาภาวนาเป็น เห็นปั๊ป รู้เลย มาอีกและ พวก วิปัสสนาแบบนึกๆคิดๆ
เอา กิเลสมาอวดว่าเป็น ธรรมะ -
-
อ้อ อีกอย่าง นะคะ
ฝาก จขกท อ่านพระสูตร มหากัมมวิภังค์ โต้ย
เพราะว่า
พระสูตรนี้ จะหมายเอา พวก สัญญาวิปลาสบางจำพวกโดยเฉพาะ
พวกสัญญาวิปลาส โมฆะบุรุษ ที่เข้ามาแอบ เรียนธรรมะ แต่ ทว่า เอากิเลสมาเข้าว่า
เวลามาเรียน จะสุกเอาเผากิน เช่น
เห็นว่า " ทาน ศีล ฌาณ ปัญญา " หากมี 4 ตัวนี้แล้ว ชีวิตใครมี 4 ธรรมเหล่า
นี้แล้ว พวกศึกษาด้วยกิเลส มีสัญญาวิปลาส จะ หลุด จะเข้าใจผิด จะใช้คำ
สอนธรรมะผิด เข้าทำนอง " สัญญาว่าจะให้ สัญญาว่าจะได้ " ภาษาสมัย
ใหม่เห็นมีการใช้คำว่า " แชร์นิพพาน "
ซึ่งสำนวนง่ายๆ ที่ใช้ดูพวกนี้คือ
"หากมี 4 อย่าง นี้แล้ว ย่อมได้ ดี แน่นอน " ตรงเนี่ยะ เขาเรียกว่า พวกรู้
เห็นไม่จริง จะกล่าว เพราะความที่ไม่ได้ประกอบธรรมมาเลย ไม่เคยเห็น
ตามความเป็นจริงเลย จะกล่าวทำนอง " ย่อมได้แน่นอน "
แต่ถ้าเป็น คนปฏิบัติธรรมมาจริงเนี่ยะ ต่อให้มีทาน มีศีล มีฌาณ มีสติ มีปัญญา
อะไรเหล่านี้ ก็ ยังสามารถตกนรกได้
ลองไปอ่านดูหน่าคะ แล้ว จะเห็นเลยว่า ไอ้ที่คุณทำอาการรับรอง โน้น นั่นนี่
โดยอาศัย การหยิบประเด็น ธรรมที่เป็นกุศล มากล่าวเจื้อยๆ เนี่ยะ โง่ ชัดๆ !!
และ ยังโง่อยู่มากด้วยซ้ำ -
^_^ พี่เล่ายาว พี่ทริกทานข้าวกันยัง เที่ยงแล้วครับ
อ้อลืม คุณนิวทานข้าวยังครับ -
-
-
-
ขอโทษนะ!!ที่เคยบอกว่าให้กลับไปขอโทษครูอาจารย์
เพราะไม่เเน่ใจว่าใครคือครูอาจารย์ของท่าน
เเต่ตอนนี้พอมีเค้าลางว่าพระรูปนี้ สอนภาวนาเเบบ
ไม่เอา"สมาธิ"ทำให้ผู้ฝึกหลงตามจิตชำรุดเกินเยียวยา
เข้าขั้นเพี้ยนไปหลายรุ่ยเเล้ว อยู่เเถวศรีราชา ชลบุรี
จึงเเนะนำว่าควรถอยออกห่างๆ ส่วนจิตที่ชำรุดไปต้องซ่อมเอา
เอง เป็นกรรมวิบากมาจากอะไรพอมองออกเพราะผมเคย
ติดตามอาชีพที่คุณทำช่วงที่เคยรุ่งเรือง หลายกิจกรรมมันเป็นอกุศลกรรม
ที่ทำสำเร็จไปเเล้ว เเละขณะนี้กำลังส่งผล
ไม่น่าเชื่อ!!เเต่เป็นไปเเล้ว -
-
ถ้า ความโง่ ความฉลาด ในพระสูตร คือ การจดจำได้ อ่านมาเยอะ กล่าวได้
หลายชื่อพระสูตร ได้หลายบัญญัติ อันนี้ก็สะท้อนได้อีกว่า เข้าถึง ธรรมมา
ไม่จริง
เพราะ คนที่เข้าถึงธรรมจริง แม้ พระสูตรจะมีหลากหลาย แต่ให้ศึกษา
ตะแคงซ้าย ขวา ท่าไหน ความรู้สึก โง่ ฉลาด จะมีเท่าเดิม
และความที่มันเท่ากัน เวลาท่านเหล่านั้น กล่าวธรรมด้วย พระสูตรหนึ่ง พอ
กล่าวไปอีกสักแป๊ป ก็จะผลิกไป ผลิกมา แต่ ความผลิกไปผลิกมา ยังคง
"กระแส" หรือ วิถีการภาวนา ตามวาระจิตเดิม ไม่มีการกระโดด อรรถทางธรรม
ดูข้างนอก อาจจะเห็นว่า ธรรมกระโดดไปกระโดดมา ในบัญญัติ ในการใช้
ศัพท์ แต่ ในทาง อรรถสาระภายใน จะอยู่ใน กระแสเดิม แต่.....อุบาย
ในการเห็นมีความร่างเริงมาก แง่มุมในการเข้าไปเห็นนั้น มีหลายทาง
แต่ต่อให้มีหลายทาง ความโง่ ความฉลาด จะเหมือนเดิม ไม่มีความแตก
ต่างขึ้นมา ถ้า มีความแตกต่างขึ้นมา ก็จะถือว่า อาสวะบางอย่างละไม่
หมด ซึ่งหากมันไม่เสียหาย เขาก็ไม่ว่ากัน เป็นไปตาม ธาตุ
แต่...........จขกท เวลาเจอพระสูตร โอย ฉลาด โอย โง่ อย่างงั้นอย่างงี้
แหม.....................อุปทานไปโน้นเลย -
หน้า 40 ของ 59