อยากรู้วิธีการฝึกพลังจิต

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ผู้สนใจ, 28 ตุลาคม 2006.

  1. ผู้สนใจ

    ผู้สนใจ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +16
    (deejai) (deejai) สวัสดีค่ะดิฉันเป็นสมาชิกใหม่ อยากรู้วิธีการฝึกพลังจิต ค่ะช่วยบอกทีค่ะ สนใจมากเลยค่ะเรื่องนี้
     
  2. animejanai

    animejanai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    520
    ค่าพลัง:
    +494
    คนเราเมื่อตายไปมีมิจฉาทิจฏิ รู้ได้ยังไงว่าจะไม่กลายเป็นมาร
    เมื่อฝึกฤทธิ์มีมิจฉาทิธฏิ ก็"อาจจะ"หลงในฤทธิ์ เบียดเบียนคนอื่นได้
    พระพุทธองค์ไม่ไดสอนให้ติดในฤทธิ์(ละมั้ง)
    สอนให้ไปนิพพาน
    หารู้ไม่สร้างมาร โดยความไม่รู้...
    แต่ถ้าให้ดี อย่าเพิ่งไปนิพพาน ช่วยคนอื่นก่อน ช่วยผู้ที่ยังไม่เข้าใจในคำสอนของพุทธองค์อย่างแท้จริง(มิน่าถึงไม่มีพระอรหันต์...)<<<(อาจจะโดนมารหลอก)
    ปล.ละมั้ง...นะ
    ปล๒.เดาๆเอา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 28 ตุลาคม 2006
  3. หนูน้อย

    หนูน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +1,038
    ฝึกสมาธิค่ะ อย่างมีสติด้วยนะคะ แล้วจิตจะมีพลังแน่นอน
     
  4. visanu

    visanu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2005
    โพสต์:
    232
    ค่าพลัง:
    +197
    ผมรู้แต่ผึกพลังจิตลามกไห้เพิ่มพูน
     
  5. ลูกหลานหลวงปู่

    ลูกหลานหลวงปู่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    550
    ค่าพลัง:
    +3,587
    ทดลองทำความเข้าใจ กับ พลังแห่งชีวิต ของมนุษย์ดูก่อนนะ พลังจิตเป็นเพียงส่วนหนึ่งของพลังแห่งชีวิต แล้วค่อยสนใจวิธีฝึกนะครับ
     
  6. okilu220

    okilu220 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    312
    ค่าพลัง:
    +2,090
    เอ่อ นั่งสมาธิก็ช่วยฝึกจิตได้ดีนะครับ
     
  7. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,045
    ค่าพลัง:
    +17,915
    พลังไฟฟ้ากับการพัฒนา "พลังสมอง" มนุษย์

    "ผมมีความเป็นห่วงอยู่ลึกๆ ว่า ปัญหาจราจรที่หนักหน่วงอย่างสาหัสในขณะนี้
    จะบั่นทอนพัฒนาการทางสมองของเด็กไทยซึ่งเป็นอนาคตของชาติ"
    คำปรารภของคุณอานันท์ ปันยารชุน
    ในที่ประชุมแห่งหนึ่ง ณ วันที่ 11 ตุลาคม 2536

    ชีวิตคือเอกภาพของสสาร-พลังงาน กับแบบแผนข่าวสารชุดหนึ่ง ความเป็นตัว "เรา" ก็เป็น สสาร-พลังงาน (รูป) ที่คอยค้ำจุน "แบบแผนข่าวสาร" ชุดหนึ่งเอาไว้เท่านั้นเอง และความเป็นตัว "ท่าน"
    ก็คือ สสาร-พลังงาน ที่คอยค้ำจุน "แบบแผนข่าวสาร (นาม)" อีกชุดหนึ่งที่แตกต่างออกไปเช่นกัน

    ถ้าตัดความแตกต่างในเนื้อหาของ "แบบแผนข่าวสาร" (นาม) ออกไป แล้ว คงไม่เป็นการเกินเลยที่จะสรุปว่า ทั้ง "เรา" และ "ท่าน" ต่างก็เป็นกลุ่มก้อนของสสาร-พลังงานเหมือนกัน ทั้ง "เรา" และ "ท่าน" ต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของพลังแห่งเอกภพที่ค้ำจุนความเป็นเอกภพเอาไว้ "เรา" จึงแลเห็น "ความเป็นเรา" ดำรงอยู่ในตัว "ท่าน" และ "ท่าน" ก็ควรแลเห็น "ความเป็นท่าน " ดำรงอยู่ในตัว "เรา" เช่นกัน

    เรากับท่าน เรากับโลก เรากับเอกภพ
    โลกที่เรายึดว่าตัวเราเองเป็นศูนย์กลาง ยังไม่ใช่ตัวเราที่แท้จริง ยังไม่ใช่โลกของเราอย่างแท้จริง
    โลกที่มีท่านเป็นศูนย์กลางต่างหาก จึงเป็นโลกที่แท้จริงของเราตัวท่านต่างหากคือตัวเราอย่างแท้จริง

    เราจึงต้องการท่าน เราจึงมีความปรารถนาดีต่อท่าน มุ่งหวังให้ท่านเปลี่ยนแปลงงดงามสมบูรณ์ยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะท่านคือตัวเราที่แท้จริง ตัวเรายังไม่ใช่ตัวเราที่แท้จริง ตราบใดที่เรายังไม่พบตัวเราในตัวท่าน และเมื่อเราได้พบตัวเราในตัวท่านแล้ว การดำรงอยู่ของเราก็จะมิมีความสำคัญอันใดอีกต่อไป เพระโลกทั้งมวล สรรพสิ่งทั้งปวง เพียงเคลื่อนไหวเป็นวงกลม เป็นวัฏฏะตามกฎแห่งเอกภพเท่านั้น…..

    ในหนังสือ "มวยจีนเพื่อชีวีตที่ดีกว่า" (สำนักพิมพ์หยินหยาง,2533) ของผม ผมได้กล่าวไว้ว่า ลมปราณ (ชี่) อันเป็นบ่อเกิดของกำลังภายในนั้น เป็นพลังงานที่ดำรงอยู่ในจักรวาล ที่ประกอบขึ้นมาจากพลังงาน 6 ชนิดด้วยกันคือ พลังงานที่มาจากความร้อน แสง ไฟฟ้า แม่เหล็ก แรงดึงดูด และจิตสำนึก หลักวิชาทางตะวันออกเชื่อกันว่า พลังงานของลมปราณเหล่านี้เป็น "พลังชีวิต" อย่างหนึ่ง เป็นตัวทำให้มนุษย์และสัตว์โลกทั้งปวง สามารถเคลื่อนไหวและมีชีวิตอยู่ได้ด้วย

    ลมปราณ แม้เป็นสิ่งที่มองเห็นไม่ได้ด้วยตาเปล่า แต่เป็นพลังที่มีอยู่จริงสามารถสัมผัส รู้สึกได้ด้วยการเพ่งพิจารณาโดยจิตที่เป็นสมาธิ เพราะฉะนั้นคนตะวันออกโบราณ (โฮโม-เอ็กเซลเลนส์ รุ่นแรกๆ) จึงยืนยันว่า ถ้าต้องการจะมีอายุยืนยาวนาน และมีสุขภาพที่แข็งแรง มนุษย์จะต้องทำตนให้เป็นอันหนึ่งเดียวกับ "ฟ้า" ให้ได้ โดยผ่านการฝึกหายใจที่ถูกต้อง

    สุขภาพและพลังชีวิต ล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายใจเป็นที่สุด ถ้าหากมนุษย์โฮโม-เซเปียนส์ สามารถปรับปรุงฝึกฝนวิธีการหายใจให้ถูกต้องและเหมาะสม พวกเขาย่อมสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตให้ยั่งยืนไร้โรคได้ ไม่แต่เท่านั้นการฝึกฝนวิธีการหายใจให้ถูกต้องยังทำให้มนุษย์สามารถดูดซับพลังจากจักรวาล หรือจากฟ้ามาช่วยในการพัฒนายกระดับจิตใจของมนุษย์โฮโม-เซเปียนส์ ให้สูงส่งยิ่งขึ้นจนเกิด "มนุษยภาพใหม่" ขึ้นภายในตัวได้

    คำอธิบายต่อไปนี้ของผมซึ่งเกี่ยวกับหลักวิชาว่าด้วยการพัฒนาพลังสมองของคนเรานั้น ผมเอามาจากวิชา "ยืมพลัง" ซึ่งเป็นศาสตร์เก่าแก่ของจีนและเกาหลี และได้ถูกนำมาเผยแพร่โดย RUK BASSAN ในปี ค.ศ. 1980 ในวิชา"ยืมพลัง" นี้ได้แบ่ง "พลังชีวิต" ของมนุษย์ออกเป็นสองประเภทใหญ่ๆ คือ (1) "พลังงานทางเคมี" ที่ได้จากการรับประทานอาหารเข้าไป (ทางจีนเรียกพลังประเภทนี้ว่า " พลังหลังกำเนิด") กับ (2) "พลังไฟฟ้า" ที่ได้รับจากการพักผ่อนนอนหลับ และสะสมเก็บไว้ในสมอง(พลังก่อนกำเนิด)

    ช่องทางของการส่งผ่านพลัง ของ "พลังงานทางเคมี" นั้น เป็น อาหาร -------อวัยวะย่อยอาหาร-------เส้นเลือด ------เซลล์ทุกส่วนในร่างกาย ขณะที่ช่องทางของการส่งผ่านพลังของ "พลังไฟฟ้า"
    กลับเป็น สมอง------เส้นประสาท-------เซลล์ทุกส่วนในร่างกาย

    วิชา "ยืมพลัง" เพ่งความสนใจไปที่การเสริมสร้าง "พลังไฟฟ้า" ที่ถูกอัดประจุไว้ในสมองมนุษย์ยามนอนหลับนี้ วิชา "ยืมพลัง" มิได้มองว่า การที่คนเราต้อง "นอนหลับ" ก็เพราะเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานหรือการละเล่นเท่านั้น แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ คนเราต้อง "นอนหลับ" เพื่อเติมพลังงานที่ได้ใช้ไปในตอนกลางวันโดยที่พลังงานที่ใช้ไปนั้นคือ "พลังไฟฟ้า" ประเภทหนึ่ง ซึ่งสามารถฟื้นฟูขึ้นมาได้ โดยถูกอัดประจุเข้าไปในสมองมนุษย์ในขณะที่มนุษย์กำลังพักผ่อนนอนหลับ

    วิชา "ยืมพลัง" เรียกชื่อ "พลังไฟฟ้า" อันนี้ว่า "ธาตุชีวิน" โดยเห็นว่า "ธาตุชีวิน" นี้แหละที่เป็นพลังงานที่สำคัญที่สุดในการดำรงชีวิตของมนุษย์ (แนวคิด "ธาตุชีวิน "นี้ จึงใกล้เคียงกับ ปราณ หรือ ชี่ เป็นอย่างมากจนอาจกล่าวได้ว่าคือสิ่งเดียวกัน แต่ต่างภาษา ต่างคำอธิบายเท่านั้น ขออย่าไปยึดติดกับสิ่งเหล่านี้มากนัก เพราะถึงอย่างไร ภาษาก็คือสิ่งสมมุติอยู่ดี) และเชื่อว่า "ธาตุชีวิน" (พลังไฟฟ้า) อันนี้แหละที่เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการพัฒนาพลังสมองของมนุษย์ให้กลายเป็นโฮโม-เอ็กเซลเลนส์ได้!!

    หน้าที่การทำงานของ "ธาตุชีวิน" มีดังต่อไปนี้คือ
    (1) เป็นบ่อกำเนิดแห่งพลังงานในร่างกายของมนุษย์
    (2) เป็นตัวขับเคลื่อนให้เซลล์ทุกส่วนในร่างกายทำงาน ไม่ว่าจะเป็นเซลล์สมอง เซลล์ประสาท เซลล์กล้ามเนื้อ เซลล์กระดูก
    (3) เป็นตัวพยุงรักษาสุขภาพ และพละกำลังของมนุษย์
    (4) เป็นตัวทำให้ประสาทสมองทำงาน เป็นตัวกลางแห่งกิจกรรมทางความคิดของมนุษย์
    (5) เป็นตัวกลางแห่งกระบวนการที่แปรการคิดไปเป็นการปฏิบัติโดยผ่านการทำงานของประสาท
    (6) เป็นตัวชักนำประสาทสัมผัสที่ 6 และความทรงจำเก่าๆ ที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ออกมาจากสมอง
    (7) เป็นตัวกลางในการปฏิสังสรรค์ทางจิตสัมผัสระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ระหว่างมนุษย์กับวัตถุ และระหว่างมนุษย์กับเอกภพ

    เพระฉะนั้นในหลักวิชา "ยืมพลัง" ธาตุชีวินจึงไม่เพียงเป็นต้นตอขุมพลังแห่งการเคลื่อนไหวทั้งปวงของร่างกายมนุษย์เท่านั้น แต่ตัวกระแสของธาตุชีวินเองยังกลายเป็นกิจกรรมของร่างกายมนุษย์อีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น หลักวิชา "ยืมพลัง" จะถือว่า การทำงานของเส้นประสาทนั้น ก็คือการทำงานของ
    ธาตุ "ชีวิน" ที่ไหลผ่านเส้นประสาทไปนั่นเอง โดยที่เส้นประสาทเป็นประดุจสายไฟฟ้าที่เป็นตัวนำพากระแสไฟฟ้า ที่มีชื่อว่า "ธาตุชีวิน" ให้ไหลผ่านไปเท่านั้น

    อนึ่ง "ธาตุชีวิน" ไม่เพียงแต่ไหลเฉพาะภายในร่างกายมนุษย์เท่านั้น แต่ยังสามารถปล่อยออกสู่ภายนอก ในลักษณะของพลังงานที่เป็นลูกคลื่นได้อีกด้วย
    เมื่อเราเอามุมมองของ "ธาตุชีวิน" อันนี้มาทดลองใช้อธิบายปัญหาต่างๆที่เกิดกับมนุษย์โฮโม-เซเปียนส์ยุคปัจจุบัน อย่างเช่น ปัญหาความเครียด จะได้คำอธิบายดังต่อไปนี้

    คนที่มีความเครียดสูงนั้น คือคนที่คิดมาก มีเรื่องวิตกกังวลกลุ้มใจมากหงุดหงิดง่าย และไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ดี ที่เป็นเช่นนี้เพราะคนๆนั้น ใช้พลังสมองครึ่งซ้ายมากเกินไป จนกลายเป็น "มนุษย์สมองซ้าย" ถ้าหากแบ่งมันสมองของมนุษย์ออกเป็นซีกซ้ายกับซีกขวา โดยปกติการใช้ความคิดการใช้เหตุผลจะเกิดขึ้นที่สมองซีกซ้าย เมื่อมนุษย์ดำเนินกิจกรรมการคิดก็หมายความว่า มี "พลังไฟฟ้า" ไหลผ่านเซลล์สมองครึ่งซ้ายไป ทำให้เกิดความร้อนและกระแสแม่เหล็กเมื่อ "พลังไฟฟ้า" ไหลผ่าน คนที่มีความเครียดสูงจึงคือ คนที่มีพลังไฟฟ้าไหลเข้าสู่สมองครึ่งซ้ายมากเกินไป จนเสียสมดุลนั่นเอง ทำให้พลังไฟฟ้าแทบไม่ไหลเข้าสู่สมองครึ่งขวา ซึ่งทำงานทางด้านญาณ สัมผัสที่ 6 สมาธิเป็นหลัก คนประเภทนี้ ถ้ายิ่งโหมใช้งานสมองครึ่งซ้ายอย่างหนักต่อไปอีก จะทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของมันสมองโดยรวมเสื่อมถอยโดยเร็ว และก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บตามมามากมาย

    ตามปกติคนทั่วๆไปมักจะใช้วิธีลด "ความร้อน" หรือลดพลังสมองครึ่งซ้าย ด้วยการเปลี่ยนบรรยากาศ ไปทัศนาจรต่างจังหวัด ไปเที่ยวรีสอร์ต ไปเล่นกีฬา หรือไปเที่ยวสถานบันเทิงยามราตรีแทน แต่วิธีการเหล่านี้มีผลต่อการลดพลังสมองครึ่งซ้ายไม่มากนัก เพราะเมื่อทุกคนกลับไปทำงานตามเดิมพลังไฟฟ้าที่ไหลเข้าสู่สมองครึ่งซ้ายจะสูงขึ้นมาอีกตามเดิม

    ไลฟ์สไตล์ของ "ขนชั้นกลาง" ส่วนใหญ่ในปัจจุบันไม่ว่าจะทำอาชีพใด เป็นวิถีการใช้ชีวิตที่จะก่อให้เกิดสภาวะพลังสมองครึ่งซ้ายสูงอยู่ตลอดเวลา ความเครียดจากการแข่งขัน ความทะยานอยากอันแรงกล้า ความรู้สึกโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงา การตรองไม่ตกตัดใจไม่ได้ ล้วนเพิ่มพลังสมองครึ่งซ้าย และบั่นทอนการทำงานของสมองทั้งสิ้น ถ้าเช่นนั้น การเพิ่มเวลาพักผ่อนนอนหลับให้มากขึ้น จะเป็นการช่วยเพิ่มการประจุ "พลังไฟฟ้า" หรือ "ธาตุชีวิน" ให้แก่สมองในขณะนอนหลับได้หรือไม่?

    ถ้าหากการพักผ่อนนอนหลับวันละ 7-8 ชั่วโมง เป็นจำนวนชั่วโมงที่จำเป็นสำหรับการอัดประจุพลังไฟฟ้าเข้าสู่สมองในขณะนอนหลับ ก็เป็นที่น่าเสียใจว่า การเพิ่มเวลานอนหลับให้นานกว่านั้น เช่นเพิ่มเป็นนอนวันละ 14-16 ชั่วโมง ก็หาได้ทำให้ "พลังไฟฟ้า" ที่จะถูกอัดประจุเข้าไปในสมองมนุษย์สามารถเพิ่มเป็นสองเท่าได้ไม่ !! ตรงกันข้าม คนเราถ้าหากนอนมากเกินไปหัวสมองกลับจะไม่แล่น และเกียจคร้านยิ่งกว่าเดิมด้วย

    ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่า ความสามารถในการอัดประจุไฟฟ้าของสมองมนุษย์โฮโม-เซเปียนส์โดยทั่วไปนั้น มีขีดจำกัดอยู่ในระดับหนึ่งนั่นเอง โดยมีความแตกต่างระหว่างไม่มากนัก หลักวิชา "ยืมพลัง" จึงเป็นหลักวิชาที่มุ่งจะยกระดับ สมรรถภาพของมันสมองมนุษย์ ในการอัดประจุพลังไฟฟ้า(ธาตุชีวิน) ให้สูงขึ้นกว่าเดิม โดยผ่านการกระตุ้นสมอง การฝึกฝนจิตประสาทให้แข็งแกร่ง และนำมาซึ่งสุขภาพและพละกำลังที่แข็งแรงในที่สุด

    ด้วยเหตุนี้ "หลักวิชา" ในการเปลี่ยนแปลงมนุษย์โฮโม-เซเปียนส์ ให้กลายเป็นมนุษย์-เอ็กเซลเลนส์ได้นั้น จึงก็คือหลักวิชาแห่งการฝึกฝนตนเองให้มนุษย์สามารถเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับ "ฟ้า" ได้ และสามารถยืมพลังจาก "จักรวาล" มาใช้ในการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์ให้มีความเต็มเปี่ยม สมบูรณ์ในแต่ละขณะจิตได้นั่นเอง


    (จากวิถีมังกร สำนักพิมพ์เคล็ดไทย)
     
  8. weirchai

    weirchai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    393
    ค่าพลัง:
    +1,410
    ฝึกจิยฝึกใจ ฝึกจิตฝึกสมาธิ ตั้งจิตให้มั่น รวบรวมลมปราณผ่านจุดท้องน้อย
    เกร็งพลังวัดเอาไว้ ส่งออกไปที่ปลายนิ้ว แล้วใช้จิตมองเป้าหมายแล้วขับพลังออกไป ส่งออกผ่านนิ้ว วิชานิ้วสุริยะ (อิอิ)
     
  9. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,045
    ค่าพลัง:
    +17,915
    ดัชนีเอกสุริยันใช่ป่ะคับ
     
  10. weirchai

    weirchai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    393
    ค่าพลัง:
    +1,410
    ย๊าก..ฝ่ามือพิชิตมังกร
     
  11. okilu220

    okilu220 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    312
    ค่าพลัง:
    +2,090
    นำจิตมาไว้ที่ฝ่ามือทั้ง2ข้างเลยครับ จากนั้นเร่งพลังปราณมายังนิ้วทั้ง10(ยิ่งพลังปราณลึกล้ำยิ่งดี) นี้คือเคล็ด กรงเล็บกระดูกขาวเก้ามหากาฬขอรับ
    ส่วนด้านกระบวนท่าเค้าห้ามเผยแพร่ อิอิ (เนื่องจากยังนึกม่ายออก)

    ป.ล.แจมด้วยดิ แจมด้วย อิอิ
     
  12. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,045
    ค่าพลัง:
    +17,915
    พลังเคลื่นย้ายจักรวาล
     
  13. aonwit01

    aonwit01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    681
    ค่าพลัง:
    +1,025
    อ๊ะ งั้นก็คงรู้จักวิชาแปรสภาพด้วยสิ บอกหน่อยเค้าทำไง (สายวิชาที่ทำให้ร่างกายอ่อนแอต่อสภาพต่างๆ เช่น ความเย็น ความร้อน แต่ร่างกายจะไม่ป่วยไข้ ถ้าเป็นแผลก็หายเร็ว)
     
  14. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,045
    ค่าพลัง:
    +17,915
    หลวงปู่ : สมาธิลม 7 ฐานของหลวงปู่พุทธะอิสระ


    ถ่ายทอดเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2541…….
    สิ่งที่หลวงปู่รู้นี้ ไม่ได้จำขี้ปากชาวบ้านมา ไม่ได้ลอกเลียนแบบจากตำราเล่มไหนไม่ได้ไปศึกษาจากสำนักใด แต่มันเป็นความรู้ด้วยการถ่ายทอดวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ จิตถึงจิต ธรรมถึงธรรม กายต่อกาย เพราะฉะนั้นคนที่จะเรียนรู้มันจนครบถ้วนกระบวนความจนถึงความหมายของคำว่า 3 ศักดิ์สิทธิ์ได้นั้น ต้องทำให้ครูแน่ใจเสียก่อนว่า ศิษย์ผู้นี้ดูแล้วมีดี แต่ถ้าดูแล้วอัปรีย์ถ่ายทอดไปก็ไม่มีประโยชน์ แถมยังให้โทษอีกต่างหาก

    วิชาลม 7 ฐานเป็นวิชาที่สามารถครอบงำจักรวาลก็ยังได้ สามารถยืดอายุขัยให้ยาวนานก็ยังได้ สามารถจะทำให้คนโง่ที่สุดกลายเป็นคนฉลาดเยี่ยมยุทธ์ที่สุดในโลกก็ได้ สามารถทำให้มนุษย์เป็น "ยอดมนุษย์" ก็ได้ สามารถทำให้เราซึมสิงซึมซับกลิ่นไอบรรยากาศพลังรอบ ๆ ตัวเราเข้ามาสู่ตัวเราก็ได้ เพราะฉะนั้นการจะเรียนรู้วิชาลม 7 ฐานก็ต้องเริ่มต้นจากการจัดโครงสร้างของกายเสียก่อน

    เอาความรู้สึกลึก ๆ สำรวจกาย หลับตาก็ได้ ลืมตาก็ได้ กระดูกทุกข้อต้องตั้งตรงเป็นแนวดิ่งกับพื้น อิริยาบถที่นั่งต้องนั่งด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย ไม่ใช่เกร็งถมึงถึงจนกลายเป็นความตึงเครียด ส่งความรู้สึกสำรวจโครงสร้างของร่างกายตั้งแต่หัวจรดปลายตีน ลูกคลำไขกระดูกและเนื้อกระดูกของตน หลับตาระลึกดูโครงสร้าง กระดูกหัว กระดูกหน้า แก้ม ปาก ต้นคอ ไหล่ ไขสันหลัง กระดูกสันหลัง ท่อนแขน

    เมื่อสำรวจตรวจสอบกระดูกทุกข้อของเราด้วยการส่งความรู้สึกลึก ๆ ลงไปภายในกายได้ดังนี้ ก็จงพยายามให้เกิดความชัดเจนกระจ่างชัดภายในโครงสร้างกระดูก ตรวจสอบไปมา ก็คือ ตรวจขึ้น แล้วก็ตรวจลง ตอนนี้ต้องไม่ปรากฏอารมณ์ใด ๆ นอกจากการตรวจสอบโครงสร้างและกระดูกภายในตนเท่านั้น ไร้ความคิดสิ้นความรู้สึก นึกแต่เพียงโครงกระดูกภายในกายตน

    ความหมายของประโยคที่ว่า "ไร้ความคิด สิ้นความรู้สึก" เป็นเรื่องราวของการจัดระบบและระเบียบแห่งโครงสร้างของตน มันจะเป็นวิธีหนึ่งใน 3 ศักดิ์สิทธิ์ คือ การทำกายให้ศักดิ์สิทธิ์ขั้นพื้นฐาน…… พยายามทำให้เกิดความกระจ่างชัด ระลึกรู้ถึงโครงสร้างกระดูกภายในกายให้ได้ทุกข้อ ถ้ารู้สึกว่าหัวนึกถึงยาก ก็ให้นึกถึงมือก่อนก็ได้ กระดูกมือ กระดูกแขน กระดูกซี่โครง หรือกระดูกสันหลัง

    คนที่มีจิตวิญญาณ กายกับใจผนึกแนบแน่นรวมกันเป็นหนึ่งแล้ว เสียงและความรู้สึกใด ๆ จะไม่ปรากฏขึ้น เมื่อทำได้อย่างนี้ โบราณเขาเรียกว่า "ตบะ" แปลว่า พลังอันศักดิ์สิทธิ์ ไม่ต้องคิดอะไร ไม่ต้องนึกถึงธรรมะ พุทโธ ธัมโม สังโฆใด ๆ นึกแต่ "กายในกาย" สำรวจเพียงแค่โครงสร้างและกระดูกของตนเท่านั้นพอ อย่างที่หลวงปู่เคยเขียนบทโศลกบอกไว้ว่า

    "ลูกรัก ถ้าเจ้าต้องการสมาธิ พบพระพุทธเจ้าต้องฆ่าทิ้ง"
    เห็นพระธรรมต้องเผาทิ้ง เจอพระสงฆ์ต้องหนีให้ไกล"
    เพราะเมื่อใดที่เราไปใส่ใจยุ่งกับสิ่งที่ปรากฏในขณะที่เราต้องการสันติสุขและความสงบ นั่นมันกำลังจะดึงเราออกไปนอกกาย สมาธิจิตและพลังทั้งหลายจะสูญเสียไปกับการได้นึกถึงพระพุทธเจ้า คิดถึงพระธรรม น้อมนำถึงพระสงฆ์อย่างนั้นมันก็ไม่ใช่เป็นตัวเรา ไม่ใช่เป็นของของเรา ไม่ใช่เป็นกายเรา ไม่ใช่อารมณ์เรา ไม่ใช่จิตวิญญาณเรา ไม่ใช่ความรู้สึกเรา มันกลายเป็นของใครไปหมดแล้ว ความรู้สึกนึกคิดและจิตวิญญาณก็จะโลดแล่นหลุดออกไปนอกกายในทันที เพราะฉะนั้นเวลานี้ต้องไม่มีอะไรทั้งหมด นอกจากโครงสร้างภายในกายและตัวเอง

    อารมณ์ที่มันจะได้ มันจะเป็นความเงียบ ๆ ถ้าสำรวจตรวจถึงโครงสร้างของตนพบ มันจะเป็นความสว่าง……ความปล่อยวางของอารมณ์ ความตึงเครียดจะหมดไป อิริยาบถจิตวิญญาณจะผ่อนคลาย ไม่ต้องภาวนาอะไร ไม่ต้องทำความรู้สึกจากอะไรมากไปกว่าการรู้เพียงแค่โครงกระดูกของตนภายในกายมีกี่ข้อ…. หากพวกเธอหัดแล้วเริ่มรู้สึกว่าใจนิ่งขึ้น ก็แสดงว่า พวกเธอเริ่มรู้จักวิธีทำให้กายศักดิ์สิทธิ์แล้ว จากนั้นก็จงหัดทำบ่อย ๆ ทำให้เป็นนิจศีล แล้วเราก็จะรู้ว่า กายของเรามีอำนาจเหนือสรรพสิ่ง

    จงทำให้กายกับจิตวิญญาณและใจรวมกันเป็นหนึ่งเหมือนกับบุรุษผู้แข็งแรงแบกสายยางน้ำซึ่งไม่รั่ว ไม่หล่นไปไหน เอาไปฉีดทำลายภูเขาและหินผา ปล่อยให้น้ำมันพุ่งออกมาอย่างรุนแรง โดยไม่มีรอยรั่วจากสายยาง นั่นถือว่าเรามีพลัง อันเต็มเปี่ยม แต่ถ้าเมื่อใดที่เราปล่อยให้น้ำมันรั่วไหลออกไปจากตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นรับรส กายถูกต้องสัมผัส ตามพระบาทพระศาสดา นึกถึงพระธรรมในตำราใคร่ครวญหาพระสงฆ์ แสดงว่าเราสูญสิ้นพลังไปกับการรั่วไหลนึกคิดเหล่านั้นแล้ว แล้วเราจะใช้พลังอะไรสำหรับการกำกับกาย ? คนโง่เขามักจะสอนกันอย่างนี้ไปชั่วชีวิตแหละ แล้วก็โง่กันอยู่อย่างปัจจุบันนี้ หลาย ๆ สำนักก็ทำกันอย่างนี้

    วิถีทางของพระพุทธะนั้น ขอให้ลองนึกถึงธรรมชาติสิ น้ำอยู่ในตุ่มเต็ม ๆ แล้วอยู่ดี ๆ ปล่อยให้รั่วไหลออกไปตามรูเล็ก ๆ มันจะเหลือให้เราได้ใช้สักกี่วันกัน พลังคือสมาธิ และสมาธิก็คือพลัง คนมีสมาธิคือคนมีพลัง แล้วถ้าพลังมันไหลรั่วไปจากตาเห็น ความรู้สึกนึกคิด อารมณ์ภาวนา หรืออะไรก็ตามที แล้วจะบอกว่ามีพลังได้อย่างไร เพราะฉะนั้น คำว่าสมาธิก็คือ สภาวะแห่งพลังที่รวมกันเป็นกลุ่มก้อนซึ่งมันจะมีประโยชน์ต่อเราได้ก็ต่อเมื่อมันอยู่กับเรา มันไม่ได้อยู่กับพระพุทธ ไม่ใช่อาศัยพระธรรม ไม่ใช่ฝักใฝ่อยู่กับพระสงฆ์

    การที่หลวงปู่พูดเช่นนี้ ฟังดูผิวเผินเหมือนหลวงปู่เป็นกบฏ ไม่เคารพพระศาสดา แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ เพราะอารมณ์สมาธิ ก็คือสภาวะความคิดไม่แตกแยก ความรู้สึกไม่แตกแยก ความเข้าใจไม่แตกแยก มันต้องรวมกับกายนี้ นั่นคือสมาธิ แต่ถ้ามันแตกแยกออกไป มันเป็นกะทิ มันไม่ใช่สมาธิ มันใช้อะไรไม่ได้เพราะสมาธิคือ กายกับใจรวมกันเป็นกลุ่มก้อน เหมือนกับองค์กรแห่งพลังงานที่โดนกักเก็บเอาไว้ในหม้อแบตเตอรี่ ถ้าหม้อมันไม่รั่ว น้ำกลั่นมันไม่แห้ง มันใช้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

    เพราะฉะนั้น ความหมายของการทำให้กายศักดิ์สิทธิ์จึงไม่ใช่เพียงแค่จัดระเบียบของกายเฉย ๆ เท่านั้น หรือทำงานให้เกิดสาระอย่างเดียว แต่มันรวมถึงการรวบรวมพลังทั้งนอกและในให้เป็นหนึ่งเดียวกับกาย คนสมัยโบราณเวลาเขาทำสมาธิ เขาจึงสามารถทนต่อทุกสภาวะได้ เขาจึงสามารถใช้พลังที่มีในการกำราบป้องกันภัยที่เกิดขึ้นรอบข้างได้….. ขอเพียงแค่เรารวบรวมกายกับใจสำรวจพิสูจน์กระดูกทุกข้อภายในกายให้ครบ เมื่อกายศักดิ์สิทธิ์ ธรรมะศักดิ์สิทธิ์จะอุบัติขึ้น จิตศักดิ์สิทธิ์ก็จะเป็นไปเอง แล้วทีนี้ลมทั้ง 7 ฐานก็จะปรากฏขึ้นเฉพาะหน้า เราจะรู้จักเคล็ดวิธีของการเดินลมในฐานทั้ง 7 เทียบเท่ากลุ่มเจ็ดดาวเหนือบนท้องฟ้าในทิศเหนือ

    -----------------------------------------------------------------------------




    "หลวงปู่ครับ ขอความกรุณาช่วยขยายความ การสำรวจโครงสร้างกระดูกของร่างกายให้ละเอียดขึ้นกว่าเดิมด้วยเถอะครับ"

    ขอให้เธอมองเป็นภาพรวม ๆ ก่อนลูก มองในภาพเหมือนกับพวกเธอที่นั่งอยู่ตรงนี้แล้วเห็นหลวงปู่เต็มตา พวกเธอจะสามารถจับภาพได้โดยไม่จำเป็นต้องไปเจาะลึกเอาแว่นขยายไปส่อง ไม่ต้องถึงขนาดนั้น แค่พื้น ๆ มองเป็นภาพรวม ๆ ของโครงสร้างก็พอ โดยเอา "ตาใน" ฉายส่องดู เหมือนสปอตไลท์ที่ไล่เก็บรายละเอียดแบบไม่ค่อยละเอียดนัก แบบหยาบ ๆ ว่า นี่คือกะโหลกศรีษะนะ มันมีรูปร่างแบบนี้นะ

    ถ้าเธอยังนึกแบบนั้นไม่ได้ หลวงปู่จะสอนพระว่า ถ้านึกไม่ออก บอกไม่ได้ เพราะ "ตาใน" ยังไม่สว่างพอ นึกไม่รู้ ดูไม่เห็น ก็ให้ใช้วิธีหลับตาแล้วเอามือคลำกะโหลกศรีษะของตัวเอง แล้วใช้ความรู้สึกจับตามก็ได้ เสร็จแล้วก็เปลี่ยนจากกะโหลกศรีษะลงมาที่ต้นคอ จากต้นคอลงมาที่หัวไหล่ ไล่ลงมาเรื่อย ๆ …. ในขณะที่เรากำลังสำรวจโครงสร้างอยู่นี้ สมองของเราจะค่อย ๆ โล่ง ความคิดจะไม่ปรากฏอารมณ์มันจะไม่ปรุง เมื่อความคิดไม่ปรากฏ อารมณ์ไม่ปรุง แสดงว่า กายกับใจเรารวมกัน สมาธิมันจะเกิดตรงนั้น

    บางครั้งอาการจับจ้องมองภาพภายในมันอาจจะเลือนไป อาจจะเผลอวูบไปคิดถึงเรื่องอื่น ๆ เมื่อเรารู้ตัวเราต้องหยุดหายใจทันที คือไม่หายใจเข้าและไม่หายใจออก จนกว่าร่างกายมันจะทนไม่ได้แล้วจึงเริ่มหายใจใหม่ เพราะอะไร ? เพราะธรรมชาติของกายกับใจมันมีสื่อสัมพันธ์อันแนบแน่นต่อกัน ใจจะกลับมาเพื่อดูแลระวังรักษากาย ถึงเวลานั้นเมื่อเราเลิกหายใจสิ่งที่มันหลุดออกไปก็จะกลับเข้ามามันจะมาเตือนให้เราหายใจ มิฉะนั้นเราจะตาย เราก็จะเริ่มหายใจยาว ๆ สูดเข้ายาว ๆ แบบสุภาพนิ่มนวลและอ่อนโยน เสร็จแล้วก็ค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออกอย่างผ่อนคลาย ปล่อยวาง และหมดจด ทำอย่างนี้สัก 5 ครั้ง 10 ครั้ง พอให้ร่างกายรู้ว่าอย่าออกไปอีกนะ แล้วก็เริ่มจัดโครงสร้างใหม่ต่อ หรือเริ่มต้นใหม่ในการสำรวจโครงสร้าง โดยเธอต้องทำให้เป็นธรรมชาติที่สุด

    การสำรวจร่างกายในวิชาลม 7 ฐานนั้น การนั่งถือว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างลำบาก แต่ถ้าเราค่อยเป็นค่อยไป ทำไปทีละขั้นก็จะก้าวหน้าไปได้เอง วันนี้อาจจะสำรวจได้แค่กะโหลกศรีษะ พรุ่งนี้อาจจะได้หัวไหล่ ต้นคอ มะรืนนี้อาจจะได้หน้าอก สัปดาห์หน้าอาจจะได้ช่องท้องหรือกระดูกสันหลัง ค่อย ๆ เป็นไปอย่างนี้ ค่อย ๆ ที่จะรู้จักหน้าตาแท้ ๆ ของตัวเอง อย่างพินิจพิจารณา ไม่ใช่รู้จักแบบผิวเผิน

    วิธีนั่ง หลวงปู่ชอบที่จะนั่งแบบผ่อนคลาย คือ นั่งในลักษณะสามเหลี่ยมมุมแหลม เราต้องเข้าใจหลักสรีระร่างกายของเราก่อนว่า ทวารที่ผ่อนคลายได้ดี คือทวารที่มันมีรูให้ออก เพราะมันปฏิเสธไม่ได้ว่า รักแร้ของเรามันสามารถผ่อนคลายความร้อน ความถมึงทึงและไออุ่นออกมาได้เหมือนกัน

    เมื่อนั่งแล้วก็ลองโยกตัวไปข้างหลังหน่อยนึง จัดโครงสร้างย้ายไปข้างขวาหน่อยนึง ข้างซ้ายหน่อยนึง เพื่อสำรวจดูว่า กระดูกข้อใดมันบกพร่องในร่างกายแล้วเราจะรู้ว่า เราจะเป็นโรคอะไรด้วย สำรวจดูทั้งหน้าหลังซ้ายขวา เมื่อเห็นว่าทุกอย่างในกายเราไม่มีอะไรบกพร่อง คือวอร์มได้ที่แล้วก็เริ่มนั่ง ทำตัวให้ตรง ตามองลงต่ำ ทอดตาลงต่ำ แต่ไม่ใช่ก้ม คือ คอต้องไม่เสียศูนย์ อย่าเชิดคาง ตาทอดลงต่ำขนาด 90 องศา แล้วค่อย ๆ หรี่เปลือกตาลงอย่างอ่อนโยนและนิ่มนวล ไม่ใช่รีบหลับแล้วเกร็งลูกตาปี๋ จงหรี่เปลือกตาลงอย่างอ่อนโยนนิ่มนวลสุภาพ จากนั้นก็เริ่มส่งความรู้สึกสำรวจตั้งแต่โครงกระดูกของศรีษะลงมา

    ถ้ากายกับใจเรารวมกันจริง ๆ เราจะรู้สึกว่าความร้อน ความง่วง ความเพลีย ความเบื่อ ความเซ็ง ความเครียด ความอึดอัดขัดเคืองมันจะพากันวิ่งออกไปจากตัวเรา มันจะคล้าย ๆ กับผู้ใหญ่ที่เข้ามาในบ้าน เด็กซน ๆ ที่กำลังเล่นอยู่ก็จะหยุดพฤติกรรมโจรขโมยที่อยู่ในบ้านก็จะวิ่งหนีออกไปจากบ้านทันที รวมความแล้วถ้ากายรวมใจจริง ๆ มลภาวะในตัวเราจะหายไปหมด มันจะออกไปทางอะไรที่เรารู้สึกได้ ออกจากตา จากหู จากจมูก จากผิวหนัง ความอุ่น ความร้อน มันจะมีความรู้สึกทันทีว่าความร้อนในกายมันจะพุ่งออกตามผิวหนัง มลภาวะของเสียทั้งหลายมันจะออกตามผิวหนัง ตามทวารทั้งหลาย แม้กระทั่งที่เส้นผมและที่หัว แต่อันนี้เป็นความรู้สึกที่ละเอียดขึ้น ผู้หัดใหม่ยังไม่ต้องสนใจ ให้สนใจแค่โครงสร้างของกายเท่านั้น

    อย่าลืมนะลูก ถ้ารู้สึกว่าตัวเรากับใจมันจะแยกกันแล้ว มันเกิดความคิดขึ้นมาแล้ว ก็จงหยุดลมหายใจเสีย ถ้าไม่คิดเตือนตัวเอง ชาตินี้ก็ไม่มีใครเตือนเราได้หรอกลูก ถ้าไม่สนใจจะรู้จักหน้าตาแท้ ๆ ของตัวเอง แล้วเมื่อไหร่จะได้รู้จัก ถ้าไม่รู้จักวันนี้ รอถึงพรุ่งนี้ก็ไม่มีสิทธิ์แล้วละ เหตุผลก็เพราะ เราไม่รู้ว่ามัจจุราชจะเข้ามาถามหาและดึงเราไปเมื่อไหร่

    ----------------------------------------


    ครั้งใดที่เรารู้สึกท้อแท้ ท้อถอย หมดเรี่ยวแรง ขัดเคือง กลัดกลุ้ม ฟุ้งซ่าน และอึดอัดรำคาญ จงกลับเช้ามาสู่บ้านของตนเสีย แล้วก็ปิดประตูหน้าต่าง อย่าปล่อยให้มารและศัตรูหรือลมพายุร้ายพัดสาดเข้ามาสู่นครกายแห่งนี้ สมัยก่อนหลวงปู่เคยเขียนสูตรไว้สูตรหนึ่งเรียกว่า "นครกาย" ในนั้นหลวงปู่บอกว่า

    "ใจคือเจ้าเมือง หัวและสมอง ความรู้สึกนึกคิด คือมหาอำมาตย์
    อวัยวะทั้ง 32 อย่างก็คือ ทหารดี ทหารเลว และทหารยาม"
    เพราะฉะนั้นถ้าเจ้าเมืองดี มันก็จะสามารถรักษาเมืองนี้ให้อยู่รอดปลอดภัยจากข้าศึกศัตรูที่จะมาจ้องมาปล้นทำร้ายมาโจมตีได้ แต่ถ้าเจ้าเมืองอัปรีย์ กายนี้ก็จะเป็นทาสตลอดกาล

    ทุกครั้งที่เรารู้สึกท้อแท้และท้อถอย จงเฝ้ามองดูตัวเอง ให้กำลังใจตัวเอง สนับสนุนส่งเสริมสถานภาพที่ตกต่ำภายในตัวเองให้ตั้งมั่นขึ้นในกาย ชั่วชีวิตของหลวงปู่ไม่เคยมีความหวัง ไม่เคยมีใครให้กำลังใจ และไม่เคยคิดจะขอกำลังใจและความหวังจากใคร ทุกอย่างมันถูกสร้างและดลบันดาลให้มันเกิดขึ้นในตัวเองตลอด เพราะฉะนั้น ข้าจึงอยู่ได้ในทุกที่ ทุกถิ่น ทุกหนทางอย่างไม่หวาดหวั่น ไม่สะดุ้งผวา ไม่วิตกกังวล ไม่เกรงกลัว และมีชีวิตอยู่อย่างเสรีภาพ เป็นตัวของตัวเอง มีอิสระ แถมมีความสุขอีกต่างหาก

    หลวงปู่จึงเชื่อว่า วิถีชีวิตที่หลวงปู่ทำอยู่นี้ไม่ได้ผิดจุดประสงค์ของพระพุทธองค์ใดในโลกในจักรวาล วิถีชีวิตที่กูกำลังถ่ายทอดให้พวกมึงอยู่นี้ มันเป็นวิถีชีวิตของผู้กล้าในโลก เป็นวิถีชีวิตของนักรบผู้แกร่ง กล้า องอาจและอาจหาญ เป็นผู้สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้ทุกเหตุ และเป็นผู้คงดำรงไว้ซึ่งความเป็นตัวของตัวเอง มีอิสระอย่างสมบูรณ์แบบ ภาษาธิเบตเขาเรียกชีวิตอย่างนี้ว่า "ซัมบาลา" หรือ "นักรบผู้กล้า"

    เราไม่ใช่กล้าที่ไปรบท้าตีท้าต่อยกับใคร แต่เรากล้าที่จะรบและสามารถที่จะชนะในจิตวิญญาณของตัวเอง

    ถึงแม้หลวงปู่จะพูดไม่ไพเราะ กิริยาหยาบกระด้าง แสดงตนเหมือนกับเป็นคนที่ไร้การศึกษา ไม่มีมารยาท แต่ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้น มันมาจากเหตุปัจจัยของเจตนา เพราะเคยมีคำพูดของคนที่รู้จักหลวงปู่จริง ๆ อยู่แค่สี่คนว่า ถ้าหลวงปู่เป็นตัวของตัวเองและทำอย่างที่ตัวเองเป็น นั้นหมายถึงว่า แสดงสิ่งที่ตัวเองเป็นตัวของตัวเองจริง ๆ แล้ว เทวดาอาจตกสวรรค์เพราะมันมาหลงเสน่ห์กู เพราะด้วยความรู้ความสามารถ ด้วยประสบการณ์ที่สะสมมาเนิ่นนาน และด้วยวิธีที่แสดงออกอย่างชาญฉลาด สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องมือทำให้เกิดเสน่ห์ ทุกคนมีสิทธิ์เป็นไม่ใช่เฉพาะหลวงปู่เท่านั้น เสน่ห์ไม่ได้มาจากการลงนะหน้าทอง ไม่ได้มาจากการแขวนพระสมเด็จ แต่มันได้มาจากความรู้ ความสามารถ และการกระทำของตัวเราเอง แต่เพราะหลวงปู่ไม่ได้ปรารถนาจะสร้างเสน่ห์ให้แก่ตัวเอง ก็เลยพยายามจะทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม พยายามจะผลักดันให้ทุกคนได้สิ่งดี ๆ ไปซึ่งสามารถจะนำไปใช้ ไม่ใช่มาหลงใหลในเสน่ห์

    หากต้องการจะทำอะไรแล้วประสบความสำเร็จ ก็จงใช้ชีวิตดั่ง "น้ำ" จงทำตัวให้เป็นน้ำ ใส่ตุ่มก็เป็นรูปตุ่ม ใส่ขวดก็เป็นรูปขวด ใส่แก้วก็เป็นรูปแก้ว คนอื่นดูเราว่าอ่อนโยน อ่อนไหว แต่เราหาใช่อ่อนแอ คนอื่นดูเราว่าไม่เข้มแข็ง แต่เรามากมีไปด้วยพลังมหาศาล ภูเขา แผ่นดิน สามารถละลายได้ด้วยน้ำของเรา ด้วยตัวเรา ไม่มีอะไรที่น้ำอยู่ไม่ได้ เพราะฉะนั้นคุณสมบัติของน้ำที่วิเศษสูงสุดคือ "ความเย็น"

    ถ้าเราทำตัวให้ได้ดั่งน้ำ ในที่ที่ร้อนรุ่ม เราจะสงบและเยือกเย็น ในที่ที่สับสนและวุ่นวายไร้พลังและเสถียรภาพ เราจะมากมีไปด้วยพลังอำนาจและมั่นคงในเสถียรภาพของตน ความหมายของคุณสมบัติแห่งน้ำ ถ้าน้อมนำมาใช้ในชีวิตของตนแค่นี้ก็เป็นสุขแล้ว ไม่ต้องเรียนรู้อย่างอื่นมากไปกว่านี้หรอก

    เพราะฉะนั้น การมีชีวิตอยู่อย่างเสรีภาพและอิสระถือว่าเป็นสูตรสำเร็จของการได้มีลมหายใจ มีชีวิต ได้พลัง ใช้พลัง สร้างสรรค์สาระ หมดลมหายใจ ไร้ชีวิต สิ้นพลัง ขาดสาระ เราจะมีลมหายใจเป็นเจ้าของชีวิต ใช้พลังสร้างสรรค์สาระได้นั้นก็ต่อเมื่อเราต้องมีสิทธิ์อันสมบูรณ์แบบในลมหายใจ ในชีวิต ในพลัง ไม่ใช่มีบ้าง.. ไม่มีบ้าง……เผื่อว่า……อาจจะ….ใช่มั้ง….อยากจะมี……เหล่านี้ยังคุยกันคนละเรื่อง คนละภาษา ยังไม่เหมาะที่จะต้องมาร้องเรียก ร้องเรียนในเรื่องใด ๆ

    คนที่บอกว่าร้องเรียน แสดงออกเพราะต้องการรักษาสิทธิ์ ก็ต้องขอถามกลับไปว่าสิทธิ์ของใคร ? สิทธิ์ของตัวเราเองหรือของผีห่าซาตานที่มาสิงสถิตอยู่ในจิตวิญญาณของเรา ถ้าเป็นสิทธิ์ของตัวเราเองล้วน ๆ นั้นมันต้องเป็นตัวเองที่ผ่านการกำจัดขยะเก่า ไม่มีขยะใหม่ ของดีที่มีอยู่แล้วทำให้ผ่องใสก็มีสิทธิ์ที่จะร้องเรียกร้องเรียนอะไรได้ เหมือนกับถังขยะที่มันเปล่า มันว่างพร้อมที่จะบรรจุขยะหรืออะไรก็ได้ ที่ใครจะใส่มันลงไป แต่ถ้ามันเต็ม แถมยังสกปรก มีฝาปิดต่างหาก หากยังหน้าด้านไปร้องเรียนเรียกร้องสิทธิ์ มันจะดูทุเรศไป มันจะไม่สมบูรณ์ แล้วมันจะกลายเป็นการประณามตัวเองในต่อหน้าและลับหลังสังคม

    ดังนั้นศิลปะในการใช้ชีวิตและรู้จักชีวิต ซึมสิงเข้าใจความหมายของชีวิตอย่างนี้ มันเป็นศิลปะสูงสุดของพระศาสดา พระพุทธะ และพระเป็นเจ้า เราไม่ต้องไปถามว่าใครคือพระศาสดา ใครคือพระพุทธะ หรือใครคือพระเป็นเจ้า แต่เราต้องถามตัวเราว่าเราคือใคร และรู้จักตัวเราที่แท้จริงให้ได้ เท่านั้นก็พอแล้ว

    ลำนำบูชาวิชาลม 7 ฐาน
    โอม มณี ปัทเม ฮุม
    โลกุตตะโร จะ มหาเถโร อะหังวันทามิ ตังสะทา
    โลกุตตะโร จะ มหาเถโร อะหังวันทามิ ตังสะทา
    โลกุตตะโร จะ มหาเถโร อะหังวันทามิ ตังสะทา

    วิชาลม 7 ฐาน คือ การเข้าถึงธรรมอันหมายถึง ธรรมชาติแท้ของจิตวิญญาณ
    วิชาลม 7 ฐาน คือ วิถีทางของการปลุกครูผู้อารีที่หลับใหลอยู่ในห้วงลึกของจิตวิญญาณให้ตื่นขึ้นมาอบรม สั่งสอน กระตุ้นเตือนผู้นั้น จนกระทั่งผู้นั้นกลายเป็นครูที่แท้จริงของตัวเองและผู้อื่นได้

    วิชาลม 7 ฐาน คือ วิชาศักดิ์สิทธิ์ของคุรุผู้ศักดิ์สิทธิ์

    เคล็ดวิชาลม 7 ฐาน แฝงเร้นอยู่ในข้ออรรถธรรมทั้งหลายของบรมครูหลวงปู่เทพอุดรอิสระธรรมมุนี ผู้เป็นพระมหาโพธิสัตว์เจ้า มันเป็นปริศนาในกลบทธรรม ผู้ที่จะสามารถหยั่งรู้ ถึงมันได้ ผู้นั้นจะต้องใช้ปัญญาอันนิ่งของตัวเองเท่านั้น ไม่อาจพึ่งพึงอาศัยถ้อยคำของใครที่ไหนได้

    มานะ ความถือดี ความถือตัวถือตน ความเย่อหยิ่ง คือตัวกางกั้นขัดขวางปัญญาที่จะหยั่งรู้วิชาลม 7 ฐาน อันเป็นกุญแจวิเศษที่สามารถหยั่งรู้ในสรรพวิทยาทั้งปวงได้วิชาลม 7 ฐานจะตกทอดแก่ผู้ที่มีความอ่อนน้อมถ่อมตน พึ่งตนเองได้และทำตนให้เป็นที่พึ่งแก่ผู้อื่นได้เท่านั้น

    ลำตัวตั้งตรง สายตาทอดต่ำ นั่งด้วยความผ่อนคลาย เดินลมหายใจเข้าเบา ๆ ลึก หายในออกนิ่มนวลผ่อนคลาย จนกายกับใจรวมกันเป็นหนึ่ง

    ความสงบที่ได้จากกายรวมใจ เมื่อใช้สยบความวุ่นวายและอึดอัดขัดเคืองคือวิชาขันธมาร ซึ่งเป็นหนึ่งในวิชาของวิชาลม 7 ฐาน

    การส่งความรู้สึกเข้าไปสำรวจโครงสร้างภายในกาย ตั้งแต่กะโหลกศรีษะเรื่อยมาจนถึงกระดูกสันหลังทุกข้อ รวมทั้งกระดูกซี่โครง แขน มือ ขา เท้า คือวิชาย้ายเส้นเอ็น ในวิชาลม 7 ฐาน เพื่อให้ลมปราณแล่นไหลไปในกระดูก ทำให้ร่างกายโล่งโปร่งเบาสบาย

    วิชาลม 7 ฐาน คืออาวุธใน การขับไล่มารซาตานมิให้มามีอำนาจครอบงำตัวเราได้อย่างเด็ดขาด อย่างเด็ดเดี่ยว อย่างผู้รู้ ผู้ตื่น ซึ่งทำให้จิตวิญญาณของเราเข้าถึงความเบิกบานได้

    วิชาลม 7 ฐาน ให้ความสำคัญในสมาธิมากกว่าอภิญญา เพราะอภิญญาเปรียบเหมือนละอองฝน ส่วนสมาธิเปรียบเหมือนน้ำฝน ซึ่งยังประโยชน์ให้แก่เรามากกว่าละอองฝนมากนัก

    สมาธิของวิชาลม 7 ฐาน สามารถทำได้ทุกขณะ ไม่จำกัดเวลาและสถานที่ ไม่จำเป็นต้องหาวิเวกหรือเวลาที่ปราศจากการงานใด ๆ ทั้งสิ้น จึงเป็นสมาธิแบบวิถีของธรรมชาติ เมื่อจิตเป็นสมาธิแล้วใช้จิตพิจารณาความจริงของขันธ์ 5 อันไม่เที่ยงแล้วในที่สุดเมื่อจิตจะเกิดปัญญาญาณทำให้ละวางและเข้าหาความหลุดพ้นได้ การละวางและมีดวงตาเห็นธรรมจึงเกิดจากปัญญาที่ได้จากจิตที่สงบ ปราศจากอารมณ์ปรุงแต่ง มิใช่ได้จากผลแห่งอภิญญาหรือสมถะกัมมัฏฐานอันเป็นช่องทางที่เล็กและแคบเท่ารูเข็ม

    วิชาลม 7 ฐาน คือ การฝึกรวมกายกับใจให้เป็นหนึ่งเดียว ซึ่งจะทำให้ผู้นั้นพ้นจากสภาวะปรุงแต่งของอารมณ์ ทำให้มีพลังและเข้าถึงแหล่งแห่งพลังอันไม่มีวันสิ้นสุดได้

    จิตกับกายที่รวมกันจะทำให้ผู้นั้นเป็นผู้ชนะต่อสรรพสิ่ง เราไม่จำเป็นต้องคอยเวลารวมใจกับกายให้เป็นหนึ่งเดียวในตอนเย็นหรือตอนเช้า แต่เราควรจะรวมกายกับจิตให้เป็นหนึ่งได้ทุกเวลาที่มีโอกาสที่จะทำ และนำพลังนั้นไปสร้างสรรค์กิจกรรมอันมีประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ

    การฝึกจิตให้รวมกับกายเป็นหนึ่งเดียวจะทำให้เกิด 3 ศักดิ์สิทธิ์ คือ กายศักดิ์สิทธิ์ ธรรมศักดิ์สิทธิ์ และจิตศักดิ์สิทธิ์

    วิชาลม 7 ฐาน จึงเป็นสุดยอดวิชาของพระโพธิสัตว์ และเป็นวิชาที่แท้จริงที่จะทำให้ผู้นั้นเป็นพระพุทธะได้ เพราะเคล็ดสุดยอดของสมาธิแบบพระพุทธเจ้าคือกายรวมกับใจ

    วิชาลม 7 ฐานนี้เป็นวิชาหนึ่งที่สมเด็จพระสัมาสัมพุทธเจ้าทรงถ่ายทดให้พระมหากัสสปะและเป็นวิชาเดียวที่พระองค์ทรงยอมรับว่า กัสสปะ เธอมีธรรมอันเสมอเรา แต่วิชานี้ไม่ค่อยปรากฏในตำราเล่มใด ๆ และก็ไม่เคยปรากฏในคำสอนของศาสดา ลัทธิศาสนา หรือคำสอนของเกจิอาจารย์องค์ไหน ๆ เพราะวิชาลม 7 ฐานนี้เป็นเรื่องของการถ่ายทอดกันจากจิตสู่จิต วิญญาณสู่วิญญาณ กายสู่กาย

    ข้าพเจ้า (สุวินัย) มีบุญเหลือเกิน ที่สามารถ "ตาสว่าง" จนหยั่งรู้ในเคล็ดการฝึกวิชาลม 7 ฐาน อย่างกระจ่างแจ้งได้ด้วยตนเอง ในขณะที่กำลังนั่งสมาธิปฏิบัติธรรมอยู่ที่ถ้ำแก้วมังกรทอง (ถ้ำไก่หล่น) ร่วมกับศิษย์สำนักยุทธธรรมและชาวชมรมมังกรธรรม ในตอนบ่ายของวันที่ 2 มกราคม ค.ศ. 1999 ภายหลังจากที่ข้าพเจ้าได้อธิษฐานจิตต่อหน้าเจดีย์เบญจมหาโพธิสัตว์คนเดียวในตอนบ่ายวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1999 เพื่อขอพรและมหากรุณาจากมหาโพธิสัตว์ทั้งห้าให้ข้าพเจ้าสามารถกระจ่างแจ้งในวิชาลม 7 ฐานได้

    ไม่มีพรอันใดประเสริฐสุดเท่ากับการรู้แจ้ง ข้าพเจ้าผู้เป็นศิษย์ของบรมครูหลวงปู่เทพอุดรอิสระธรรมมุนี ขอน้อมกราบลง ณ เบื้องบาทแห่งพระพุทธในความเมตตาอย่างเหลือล้นประมาณที่ให้แก่ "ผู้แสวงธรรม" อย่างผู้น้อยเช่น ข้าพเจ้า

    อิติปิโส ภะคะวา
    อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ
    วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู
    อะนุตตะโร ปุริสะธัมมะสาระถิ
    สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ


    "ชั่วชีวิตหลวงปู่ เวลาจะเรียนรู้เรื่องอะไร หลวงปู่ต้องทำความเข้าใจถึงคนที่จะให้เราเรียนด้วยว่า เขาต้องการอะไรจากเรา แล้วสิ่งที่เราเรียนมันก็ทำให้เรารู้จริงจนแจ่มแจ้ง ไม่ใช่รู้จำแล้วทำไม่ได้"

    หลวงปู่พุทธะอิสระ

    ***********************

    (จากหนังสือนักรบแห่งแสงสว่าง : มังกรจักรวาลภาค 7)
     

แชร์หน้านี้

Loading...