อยู่อย่างเบิกบานด้วยตนเอง

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมแท้ว่าง, 14 มกราคม 2019.

  1. คนโง่โง่

    คนโง่โง่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2012
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +302
    ต่อครับผม
    ใช่ครับ สติ +สมาธิ สงบเฉย ในธัมมารมณ์เดียวกันครับ
    ครึ่งท่อนบน เป็นตัวกู +สัมปชัญญะ ครับ จะรู้สึกแน่นๆกว่าปกติ แถมยังมีอาการ แสบๆเล็กน้อยหลายๆจุดตามร่างกายส่วนบนครับ
    ครึ่งท่อนร่าง ไม่มีกู มีสติรู้ ว่าเป็นขาเป็นส่วนล่างไม่รู้สึกอะไรครับ
    พยายามแยกให้ออกครับกำลังทำความเข้าใจจุดนี้อยู่ครับผม
    รู้ชัดเฉพาะส่วนหัว ร่า่งกายคือกายกับขอบเขตของกาย ตามนั้นครับ
    ตอนแรกทำไม่ได้ครับ เพราะมันพยายามไปรู้สึกถึงอาการแสบเบาๆ บางส่วนของร่างกายส่วนบนครับ แต่กำหนดเป็นเหรียญ 10 เหรียญ บาท เป็นภาพพอทำได้ครับ แต่มันย่อได้ขยายได้ครับ
    ใช่ครับ ขอยกตัวอย่างนะครับ
    ผมนั่งกินข้าว เจอผู้หญิงที่รู้สึกชอบ รู้สึกเหมือนมีพลังงานบางอย่างเคลื่อนไปหาผู้หญิงคนนั้น เป็นพลังงานที่อ่อนโยน มีเมตตา เข้าไปโอ้โลมปฏิโลม (น่าจะเป็นแบบนี้ครับ)ซึ่งปกติผมจะหยุดตั้งแต่รู้สึกแล้วครับ ท่านธรรม-ชาติให้ลองปล่อยโดยเรานั่งรู้อยู่เฉยๆ ไม่ว่าเขาจะเดินไปไหน(เราจะคอยมองนิดหน่อยเป็นระยะครับ)พลังงานนั้นก็จะตามผู้หญิงคนนั้น โดยพลังงานนัน้ก็ยังเชื่อมต่อกับตัวเรานะครับ และก็ดูเหมือนว่าผู้หญิงคนนั้นเขาก็จะรู้ตัวอยู่หน่อยๆด้วยครับก็จะเดินมาใกล้เราบ่อยๆไม่ทราบตรงอาการที่ท่านธรรม-ชาติกล่าวหรือเปล่าครับ
    และก็ยังมีอาการแปลกๆนิดหน่อยคือเหมือนจิต กำลังพยายามทำอะไรกับตัวกูในศรีษะครับ เหมือนทั้ง2 อย่างนี้กำลังพยายามผลักดันกัน เพราะที่รอบๆจิตที่กลางอกมันจะรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย กับที่กลางศรีษะ และที่หน้าผาก โดยผมก็ รู้ + รู้สึก ในกายนี่ละครับ
    ครับท่านธรรม-ชาติ จะรับไปฝึกซ้อมครับ ขอบคุณมากครับ
     
  2. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ อาการตรงนี้ มันฟ้องในเรื่อง "ลมในท้อง gas" รวมทั้ง กากอาหาร ที่ยังไม่ได้รับ "การปลดปล่อย (ส้วม)"
    +++ มันเป็นอาการ มาตรฐาน ที่เกิดได้กับทุกคน เพียงแต่ "รู้/ไม่รู้" เท่านั้น
    +++ พอขยาย "กู" ให้เต็มกาย แล้วมีอาการนี้เมื่อไร 1. ให้ตั้งกายตรง 2. หายใจลึก ๆ กวาดจาก กระหม่อม ไปถึง ท้องน้อย พร้อมกับ 3. บิดกายนิดหน่อย ในจังหวะเดียวกัน
    +++ อาการ "เรอ" จาก ลมในท้อง จะออกมาเอง ใช้บันเทาอาการ "ลมในกระเพาะอาหาร" ได้

    +++ เมื่อ "ไม่มี" อาการเกี่ยวกับกาย เข้ามาเป็นอุปสรรค ก็ให้ "ขยาย" ให้เต็มกาย และอยู่กับ "สัมปชัญญะ" ต่อไป
    +++ ให้ "รู้สึกทั้งตัว" ก็จะ พบได้เองว่า "ไอเสีย (คล้ายพลังงาน แต่เป็น ไอละเหย mirage)" จากช่วงท้อง ได้รับการ "ปลดปล่อย" ออกมา
    +++ คำว่า "ตื่นรู้" หากนำมาใช้รวม เป็นคำเดียวกัน มันจะ "เกิดข้อจำกัด" ทำให้เข้าใจว่า "เป็นอาการเดียว"
    +++ ต่อไปให้ใช้ภาษาแบบ "แยกอาการ เป็น ตื่นอยู่ รู้อยู่" ตรงนี้เป็นอาการ "ธัมมะวิจัยยะสัมโภชฌงค์"

    +++ จะทำให้สามารถ แยกอาการ "เข้า/ออก (เดินจิต)" ไปมาระหว่าง อาการ "ตื่น VS รู้" และจะออกมาเป็น 2 อาการ
    +++ โดยเฉพาะ "อาการ ตื่น" หาก โอปนยิโก เข้าไป "อยู่" ณ ใจกลางของมันได้ มันจะกลายเป็น "ภาวะตื่นอย่างยิ่ง/ตื่นบริสุทธิ์"
    +++ เมื่อเข้าถึงอาการ "ตื่นอย่างยิ่ง" ได้ ก็จะ "รู้ชัดเจน ถึงอาการที่เรียกว่า ผู้ตื่น" ได้เอง อาการนี้ มันมีอยู่จริง ก่อนถึงอาการ "จิตเดิมแท้"
    +++ การเข้าถึง "จิตเดิมแท้ เป็นประกาย ประภัสสร สว่างไสว (อาภัสระพรหม)" นั้น จะต้องผ่านอาการ "ตื่นอย่างยิ่ง" ก่อนทุกครั้ง
    +++ เมื่อเข้าถึงอาการ "จิตประภัสสร" แล้ว จึงสามารถกล่าวได้ว่า "สมถะฌานสมาบัติ" ถึงที่สิ้นสุด ในฝ่าย "โลกียะ" ตรงนี้

    +++ สำหรับอาการ "ตื่นอยู่/รู้อยู่" ให้พยายาม ใช้ภาษาแบบ "แยกอาการ ออกจากกัน" ให้เป็นนิสัย จึงจะเดินจิตต่อยอดได้ ไม่ยาก
    +++ คำว่า "กู" ไม่สามารถ "ขบคิด ทำความเข้าใจได้ ด้วย ตรรกะ"
    +++ คำว่า "กู" จะไม่เนื่องด้วย "เหตุ/ผล" ทางโลก
    +++ คำว่า "กู" เป็นอาการ "ตั้งอยู่อย่างต่อเนื่อง ใน ไตรลักษณ์"
    +++ คำว่า "กู" หากผู้ฝึก ไม่ "หยั่งลงสู่ สติรู้ แห่งโลกุตระธรรม" จะไม่เห็น "เกิด/ดับ แห่ง กู" ได้เลย

    +++ คำว่า "กู" ณ ขณะที่ "ตั้งอยู่ (ไตรลักษณ์)" จะทำได้แค่เพียง "รู้สึก" เท่านั้น
    +++ คำว่า "กู" จะ "รู้แจ้งถึงอาการ" ได้ ก็ต่อเมื่อ สามารถ "หด/ขยาย" มันได้ เท่านั้น
    +++ คำว่า "กู" จะพ้นอิทธิพล จากมันได้ ก็ ต่อเมื่อ "หดอิทธิพลของมัน" จนไม่เหลือ
    +++ หรือ คำว่า "กู" จะต้อง "โดนสลาย จางคลาย" จนสภาวะ "ตัวกู" สิ้นไป เท่านั้น

    +++ คำว่า "กู" หากโดนขังอยู่ใน "กาย" จะมี "รูป" ตามลักษณะ กาย
    +++ คำว่า "กู" หากไม่โดนขังใน "รูปกาย" จะมีสภาพ เป็น "อรูป" ในทันที

    +++ ต่อไป คุณ จะรู้ได้เอง เมื่อดำเนินการฝึกไปเรื่อย ๆ ทุกคำพูดที่ผมโพสท์มานี้ เป็นจริงทุกประการ
     
  3. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ ดังนั้น "ชัดเจน" ได้แล้วนะ ว่า เมื่อเข้าถึง "กู" เมื่อไร เมื่อนั้น ก็จะเป็น สติ+สมาธิ ในอาการเดียวกัน
    +++ ต่อไป เมื่อสามารถ "จำแนกอาการต่าง ๆ ในกูได้" ก็จะสามารถ "จำแนกสมาธิ ได้ทุก ชนิด/ลำดับชั้น" ใน "ตัวกู" นั่นแหละ
    +++ ตัวอย่างสั้น ๆ ง่าย ๆ คือ จำแนกอาการ "รู้อยู่ ตื่นอยู่" แล้วเข้าสู่อาการ "รู้อยู่" แต่เพียงประการเดียว
    +++ เอาอาการ "รู้อยู่" เป็นลักษณะเด่น ก็จะเข้าถึง "วิญญาณัญจายตนะ" ที่เป็น "อรูป" ได้ในทันที
    +++ และตรงนี้ เนื่องจากฝึก "สติ+สัมปชัญญะ" มาก่อน ก็จะได้ "สติครองฌาน" อย่างเต็ม รูปแบบ/เนื้อหา
    +++ อาการที่มี "สติเต็ม และอยู่เหนือ ฌานทั้งหมด" ตรงนี้เท่านั้นที่นับเป็น "สัมมาสมาธิ ในมรรค 8 ที่มาจาก สติสัมโพชฌงค์"
    +++ คำศัพท์ว่า "แสบ" หลาย ๆ จุดตามร่างกายส่วนบน ที่เกิดขึ้นนี้ "ไม่มี ทุกข์ เจือปน" ใช่หรือไม่
    +++ ดังนั้น คำว่า "แสบ" เป็นการ "ใช้ภาษา ที่ ไม่ตรง ตามอาการ ใช่หรือไม่" เพราะผลลัพธ์ มันชี้ไปที่ "ทุกข์" ใช่หรือไม่

    +++ สำหรับ "บุคคลอื่น" เขาอาจจะ "ไม่จ้ำจี้จ้ำไช หรอไม่ก็ ทอดธุระทิ้งไปเลย" กับคำศัพธ์ภาษาที่ ไม่ตรงอาการ
    +++ แต่สำหรับผมแล้ว ผมถือว่า "ภาษา ณ ขณะปฏิบัติธรรม เป็นเรื่อง คอขาดบาดตาย" และ ผมเอาจริง ในทุกกรณี คนเก่า ๆ ในเวปนี้ รู้ดีอยู่

    +++ หาก "ไม่ทราบ คำศัพท์เฉพาะ" ก็ให้ใช้ "คำศัพท์ ระบุเฉพาะ อาการเดียว มาทีละอาการ ก็ได้" มันจะ "ตรง" กับอาการ และ ไม่ผิด
    +++ ตัวอย่าง ณ อาการนี้ เรียงตามลำด้บที่เกิด ก่อน/หลัง คือ

    1. เป็นอาการยิบ ๆ
    2. สาดซ่าน กระจายออก
    3. แต่ละยิบ เป็น จุดเล็ก ๆ (จะใช้คำว่า อณู ตามพระไตรปิฏก ก็ไม่ผิด)
    4. แต่ละจุด เมื่อสัมผัสผิวกาย จากด้านใน จะ "รู้สึก" ได้
    5. แต่ละจุด เมื่อ "ชำแรก" ผิวกายออกไปด้านนอก จะมีอาการ spark คล้ายประจุไฟฟ้า

    6. อาการนี้ "ไม่มีทุกข์เจือปน" อาการนี้ "จะอยู่อย่างนี้ ก็อยู่ได้"

    +++ หากคุณ ไปตรวจทานกับ พระไตรปิฏก ก็จะพบได้ว่า มันเป็นอาการที่ระบุไว้ในหมวด "สัมปชัญญะ 4 และมีกล่าวใน ปิติ 5" ทั้ง 2 หมวด
    +++ ดังนั้น หากคุณใช้ "คำศัพท์ว่า แสบ" เพียงคำเดียว ก็มีสิทธิ์ที่จะทำให้ "ผู้อ่าน/ผู้ติดตาม หันหลังกลับไปเลย ก็ได้"
    +++ ดังนั้น คำว่าแสบ ตรงนี้ เป็น "ทุ+กฏ" ทำให้ผู้อื่น "เข้าใจผิด ๆ ว่า มันเป็นทุกข์ (ทุกข์+กฏ)"
    +++ ดังนั้น "คำ ๆ เดียว เละ" คงเข้าใจได้ไม่ยากนะ
    +++ "ถูกแล้ว" ณ อาการ "ไม่มี กู ในท่อนล่าง" จะรู้ได้เองว่า "กาย ไม่ใช่ ตน" ตามพระไตรปิฏก
    +++ ณ บริเวณที่ มีแต่ "สติรู้" ย่อมไม่มี "ตัวกู/ของกู" และกล่าวได้ว่า "ไม่มีความเป็น ตน/อัตตา"

    +++ ส่วน "ตัวกู/ของกู" จะมีอยู่ ในบริเวณที่มี สัมปชัญญะ เท่านั้น
    +++ ณ ขณะที่ยังอยู่ในช่วง ปฏิบัตินี้ "ห้าม" ใช้ตรรกะเข้ามาเกี่ยวข้อง
    +++ เพราะมันจะ "ถ่วง/ทำลาย" การปฏิบัติลงได้ง่าย ๆ นะ
    +++ การทำตรงนี้ คือ "หด/ขยาย" ความรู้สึก ตัวกู/ของกู ไป/มา และ "ห้ามคิด" โดยเด็ดขาด
    +++ ให้ทำการ "หด/ขยาย" แต่เพียงอย่างเดียว "ความเข้าใจ" จะเกิดขึ้น "หลังจาก ถอนจิตแล้ว" เท่านั้น
    +++ ตรงนี้ "อาการปิติ" ยังครองอยู่ ให้ถอนจิตออก สู่ปกติ จากนั้นจึง "ควบคุมความรู้สึกใหม่" จะทำได้เอง
    +++ ให้ "กำหนด ความรู้สึกตัว ให้ได้ขนาด เหรียญ 10 หรือ ขนาดมะนาว ลูกเล็ก ๆ ก็ได้"
    +++ แต่สำหรับ "ภาพเหรียญ 10 นั้น มันเป็นอาการ มโน แทรก" ต้องระวังให้มาก

    +++ อาการ "ตัวกู/ของกู" นี้ จะ "ไม่มีภาพเข้ามาแทรกซ้อน" หากทำได้ถูกต้อง
    +++ มันเป็นอาการ "รู้+รู้สึก" เท่านั้น ไม่มีอาการของ "ภาพ+พจน์" ซึ่งเป็นอาการ "ปรุงแต่ง"

    +++ หากเกิดอาการ "ภาพ/เสียง" เข้ามาสอดแทรกในบริเวณนี้ "ให้ถอนจิต" ออกมาก่อน ทันที
    +++ อาการตรงนี้ ผมเรียกมันว่า "มโนแทรก" ตรงนี้แหละ คือ "มายาจิต"
    +++ ที่นักปฏิบัติกว่า 97% หลงทางกันหมด แล้วนึกเอาเองว่าเป็น "ริด" จนมั่วเละเทะ นะ
    +++ ตัวอย่างตรงนี้ เป็น "มโน" เต็ม ๆ ไม่ใช่ "อาการรู้/สภาวะรู้" เลยแม้แต่นิดเดียว มันเป็นอาการ "กิเลส+ตัณหา" เต็มตัว นะ
    +++ หาก "รู้อยู่เฉย ๆ จริง" อาการ "คอยมองเป็นระยะ" จะต้อง "เกิด/ดับ" ณ ปัจจุบัณขณะ ทันที
    +++ อาการ พลังงาน ของคุณตรงกับ "ราคะ" เต็ม ๆ จะโดนตัดขาด ณ ขณะ "ดับ" จะไม่มีอาการ "ต่อเชื่อม" ปรากฏเลย
    +++ 555 ป่าว... ป่าว... ป่าว...
    +++ อาการตรงนี้ ผมเรียกว่า "หลง" และ ไม่ใช่อาการ "รู้" ตามที่ผมกล่าวมาเลย
    +++ มันเป็น "อาการ/ผลผลิต จาก ตัวดู" ทั้งแท่ง นั่นแหละ

    +++ อาการ "รู้" คืออาการที่ "ไม่มีความเป็น ตัวกู ของกู" ณ ขณะฝึกนั่นแหละ

    +++ ให้อยู่กับ "ความรู้สึกทั้งตัว" ให้มาก ๆ ไว้ก่อน นะ
    +++ อย่าเพิ่งไปทดลองกับอะไร ในขณะนี้ เดี๋ยวมันจะ ล้มกลางคัน ทั้ง ๆ ที่ยังอยู่ในระยะ "แรกแริ่ม" อยู่เลย

    +++ จากอาการที่คุณกล่าวมา ผมคงจะ "เพิ่ม" อาการในการฝึก อีกเล็กน้อย เพื่อความมั่นคงของ ฐาน สัมปชัญญะ โดย

    +++ 1. หลังจาก "ทำความรู้สึก/สัมปชัญญะ" ได้ทั้งตัวแล้ว
    +++ 2. ให้กำหนด "ความรู้สึก" ทับซ้อน "ทับ" เข้าไปเลย โดยไม่มีการถอนจิต
    +++ 3. จะรู้ได้เองว่า "ความเข้มข้น ของ สนามพลังแห่งความรู้สึก" จะเพิ่มขึ้น ทันที
    +++ 4. ยิ่งความรู้สึกเพิ่มขึ้นเท่าไร "สติรู้" จะยิ่ง คมกริบชัดเจน มากยิ่งขึ้นเท่านั้น

    +++ เมื่อรู้อาการ ของ "ความเข้มข้น" ได้ชัดเจน ก็ให้ ทำดังนี้

    +++ 5. ให้ "เพิ่มสัมปชัญญะ" จนถึงระดับที่ "เพิ่มไม่ได้อีก (เต็มแล้ว)" ก็ให้รู้ไว้ว่า ตรงนั้น = 100%
    +++ 6. ให้ "ลดสัมปชัญญะ" ลงจน "ไม่เหลือสัมปชัญญะอีก" แต่จะมี "สติรู้" แต่เพียงอย่างเดียว ตรงนี้ = 0%

    +++ 7. จากนั้นให้ "ฝึก เพิ่ม/ลด % ของ สัมปชัญญะ" ไป/มา (ความเข้มข้นของสัมปชัญญะ)

    *** ระวังอย่าไป "สับสน" กับขนาดของ "ตัวกู/ของกู" นะ
    *** ขนาดของ "ตัวกู/ของกู" ถือเป็น "ปริมาณ"
    *** ส่วน "ความเข้มข้นของ "ตัวกู/ของกู"" ถือเป็น "คุณภาพ"
    *** ตรงนี้ "ห้ามสับสน" นะ ไม่งั้น เละเทะ แน่นอน

    +++ จากการที่คุณ "ยกตัวอย่าง" มานั้น ชี้ให้เห็นว่า "ภาคสมถะ" ของคุณ ยังไม่แกร่งเพียงพอ
    +++ ดังนั้น การฝึก "ภาคสมถะ" ที่มั่นคงที่สุด คือการ "เพิ่มลดคุณภาพ ของ สัมปชัญญะ/ตัวกู" ให้ชำนาญเสียก่อน

    +++ อาการของ "ความชำนาญ/อยู่ตัว/พึ่งตนเองได้" จะเป็นอาการ "รู้สึกตัวทั่วถึง ในทุกอิริยาบท"
    +++ ณ ระหว่างดำรงค์ชีพในชีวิตประจำวัน จะมีอาการคล้าย "ท่องเที่ยวไปลำพังตน ประดุจนอแรด" ตามนั้น

    +++ ให้เอา "ความรู้สึกทั้งตัว" เป็น วิหารธรรม ในช่วงการฝึกระยะนี้ นะครับ
     
  4. คนโง่โง่

    คนโง่โง่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2012
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +302
    สวัสดีครับท่านธรรม-ชาติ
    ครับเข้าใจขึ้นมากละครับ เรื่อง รู้ กับตื่นรู้(สัมปชัญญะ)จะพยายามครับ

    ตรงนี้เข้าใจชัดเจนมากครับ
    ครับผมเป็นอาการไม่มีทุกข์เจือปนครับ เป็นข้อ 4 ครับ ผมขอโทษจริงๆผมไม่ได้ฝึกสมาธิแบบจริงๆจังเลยครับเลยไม่รู้ขั้นตอนเกี่ยวกับสมาธิเลย ผมทำแค่พอสงบๆ ผมเดินสติรู้กายอย่างเดียวเลยครับ

    ครับผม จะพยายามเลิกคิด และพยายาม หด/ขยายตัวในระหว่างมีสติรู้ในการใช้ชีวิตประจำวันให้บ่อยขึ้นครับถ้าทำได้

    ครับผมเข้าใจมากขึ้นละครับ ใช้อาการรู้ + รู้สึก ใช้เหรียญมันแบน ผมเลยงง พอบอกเป็นมะนาวเข้าใจละครับ รู้สึกถึงชื่อ ID ยังไงก็ไม่รู้ครับ
    แหะ แหะ เขินเลยครับ แต่ผมไม่เคยคิดจะไปจีบใครหรอกครับ อยู่คนเดียวสบายใจกว่าครับแค่ลองปล่อยให้กิเลสมันออกไปทำงาน แล้วดูอาการมันนี่ละครับ แต่ก็โดนมันน๊อค มาอีกรอบครับ
    จะพยายามทำให้ได้บ่อยๆ ในระหว่างวันตอนที่สงบๆ ครับ
    ครับผมเมื่อรู้ตัวทั่วพร้อม ขนาดของตัวกู ก็คือขนาดของตัวเรา ให้รู้อยู่อย่างนั้น แล้วให้เพิ่มสัมปชัญญะให้เข้มข้นขึ้นครับ
    ถูกต้องครับผมนั่งสมาธิไม่เป็นครับ แต่แนวทางลดเพิ่มสัมปชัญญะถูกจริตผมมากครับ รู้สึกทำได้ง่าย ทำตอนไหนก็ได้ครับ โยกซ้ายย้ายขวาสนุกดีครับ แต่กลับมาที่ความรู้สึกทั้งตัวดีกว่าครับ ความฝันของผมคืออยากรู้ว่าเราจะสามารถมีสติรู้ได้ตลอดเวลา อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านเคยตรัสไหม จากทำไม่ได้เลยตอนนี้ จุดต่อจุดระหว่างวันผมก็สามารถทำได้บ่อยขึ้น แสดงว่ามันมีโอกาสที่จะทำได้เต็มจริงๆครับ
    ขอบคุณในธรรมอันมีค่าที่ท่านธรรม-ชาติเมตตาตอบในทุกๆครั้งครับจะพยายามทำในสิ่งที่ท่านสอนสั่งไว้ครับผม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มกราคม 2019
  5. SegaMegaHyperSuperCyberNeptune

    SegaMegaHyperSuperCyberNeptune "โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านกระทู้ผม"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2011
    โพสต์:
    4,087
    ค่าพลัง:
    +3,394
    ท่านธรรมะชาติโปรดช่วยตอบข้าน้อยทีเถิดว่าอาการคิดไปเรื่อยอยู่ตลอดเวลาเกิดจากอะไร กรรมอันใดทำให้ข้าพเจ้าเป็นดังนี้ พิษงูกัดที่คอลามขึ้นสมองรึเปล่า ธาตุไฟแตกหมดแล้ว ช่วยทีนะ ขอบคุณครับ
     
  6. คนโง่โง่

    คนโง่โง่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2012
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +302
    สวัสดีครับท่านธรรม-ชาติ
    เมื่อคืนก่อนนอนพยายาม เร่งสัมปชัญญะทั่วตัวจน รู้สึกเมื่อยเนื้อเมื่อยตัว ตอนนอนก็พยายามผ่อนคลายให้เหลือรู้กายแบบสบายๆ
    รู้ว่า รู้สึกตัวประมาณ 4.30 นอนตะแคงขวากอดหมอนข้าง รู้สึกเหมือนตัวดูที่อยู่เป็นก้อนแน่นๆกลางศร๊ษะ โดนยิง ไป 2-3 ครั้งขณะที่มันกำลังพยายามจะทำอะไร มันยิงกันเองนะครับ รู้+รู้สึกที่ก้อนกลมๆ ในหัวอย่างชัดเจน แต่ก็มีรู้กายเบาๆ แต่ซักครู่หลังจากเหมือนตัวดูโดนยิง รู้ +รู้สึกเข้าไปประกบหรือแช่ที่ลูกกลมๆ ในศรีษะเลยครับมันแช่อยู่อย่างนั้นนานพอสมควรซึ่งผมไม่ได้ทำอะไรเลยได้แต่ดูมันละครับแต่รู้สึกชัดเลยครับว่าตัวดูในศร๊ษะมันหนาแน่น น้อยลง
    การยิงที่ท่านบอกคือการเข้าไปรู็+รู้สึกที่ก้อนกลมๆในศรีษะหรือเปล่าครับ เพราะผมรู้สึกถึงลูกกลมๆแน่นๆในศรีษะตลอดเวลาครับ แต่ผมไม่ค่อยสนใจมัน
    แต่ผมลองสังเกตุนะครับว่าหลังจากตัวดูเข้าไปจับอะไรแล้วมันจะทิ้งความรู้สึกไว้ตรงจุดนั้นนะครับ ลองมองหูซ้ายรู้สึกหูซ้ายแบบในกลุ่มฝึกดูนะครับ ขอตัวไปพักผ่อนต่อนะครับ
     
  7. คนโง่โง่

    คนโง่โง่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2012
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +302
    สอบถามเพิ่มเติมครับการที่เราเร่งสัมปชัญญะทั่วกาย เราจะรู้สึกปวดเมื่อยเล็กน้อยทั่วกาย ไม่ค่อยสบายตัว แสดงว่าสมถะผมอ่อนเกินไปหรือเปล่าครับ
    กับการที่เรารู้กายทีละน้อยไต่ระดับไปเรื่อยๆจนมีสัมปชัญญะทั่วตัวจะรู้สึกผ่อนคลายสบายกว่าและทำอะไรกับตัวดูได้มากกว่า
    ปัจจุบันผมรู้สึกเหมือนเด็กอยากยกดัมเบลเลยครับ รู้แต่ทำไรไม่ได้เลย
     
  8. คนโง่โง่

    คนโง่โง่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2012
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +302
    เพิ่มเติมระหว่างวันครับท่านธรรม-ชาติ ผมพอเข้าใจมากขึ้นละครับที่ท่านให้รู้กายและรู้สึกกาย ระหว่างวันเพื่อให้รู้ถึงนิสัยของตัวดู ว่าเขามีลักษณะอาการอย่างไร คร่าวๆคือเขาเป็นทุกอย่างที่เราอยากเป็นและปรารถนา และทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเองทั้งให้กำลังใจทั้งทำให้หมดใจ สรุปคือรู้เฉยๆก็พอละครับ อยู่กับวิหารธรรมที่ท่านกล่าวดีกว่า
    และสอบถามเรื่องการนั่งสมาธิเพิ่มเติมครับ ปกติผมนั่งสมาธิคือการดูลม แล้วเป็นลมอย่างที่ท่านกล่าว ผมสงสัยว่าถ้าเรานั่งสมาธิเริ่มจากการ รู้กาย แล้วมันจะไปรู้สึกกายของมันเองโดยอัตโนมัติ แล้วรู้+รู้กายไปเรื่อยๆ มันก็จัดเป็นการทำสมาธิใช่ไหมครับผมจะได้ทำสมาธิโดยเริ่มจากจุดนี้ครับ คือไม่เคยอ่านเจอการทำสมาธิแบบนี้ ผมเลยไม่มั่นใจครับ
    และหลังจากที่รู้สึกกายไปสักพัก มันก็จะไปรู้สึกชัดที่ลูกกลมๆในศรีษะอย่างเดียวเลยครับ โดยเราก็รู้กายอยู่ครับ แต่จะมีอาการปิติยุบยิบ ค้างตามตัวอยู่เล็กน้อยครับ
     
  9. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ ตอบตรง ๆ ตามความเป็นจริง ก็คือ "นิสัย ที่คุณ ทำขึ้นมาเอง" ไม่ได้มีใครทำให้ หรือ บังคับให้ทำ
    +++ กรรมแห่ง "ความชอบคิด โดยเฉพาะ เรื่อยเปื่อย ฟุ้งซ่าน" จนเป็น "นิสัย"
    +++ ตรงนี้ "ต้องให้ หมอ ที่ชำนาญเฉพาะด้าน พิษงูขึ้นสมอง มาวินิจฉัย" เท่านั้น
    +++ หากเป็น "งูจริง" ก็ต้องใช้ "หมอจริง" เท่านั้น
    +++ ธาตุไฟแตก จริง จะต้องมี "อาการพิการ" ทางกายประกอบไปด้วย
    +++ อาการพิการทางกาย จะเกิดหลังจาก ธาตุไฟแตก ณ ขณะนั้นเป็นต้นไป

    +++ คุณ "gaga แยะ" ต้องสำรวจอาการ ตามความเป็นจริงของเหตุการณ์ นะครับ
     
  10. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ สมาธิ = อาการ "ตั้งมั่น" ของจิต ณ สภาวะหนึ่ง ๆ
    +++ สมาธิ = อาการ "อยู่" ของจิต ณ สภาวะหนึ่ง ๆ

    +++ สมาธิ = ไม่ต้องนั่ง ก็ได้ ถ้า อาการ "อยู่" ของจิต ณ สภาวะหนึ่ง ๆ ปรากฏต่อเนื่อง

    +++ เนื่องในโอกาศใกล้ "ตรุษจีน" แล้ว ก็จะถามว่า
    +++ นั่งเล่นไพ่ 3 วัน/คืน จัดว่า "เป็นสมาธิ" หรือไม่
    +++ แล้วถือว่า พวกเล่นไพ่ 3 วัน/คืน "นั่งสมาธิ" เป็นหรือไม่
    +++ จิต "ตั้งมั่น" อยู่กับ "การเล่น" (ทรงฌานไพ่) ได้มั่นคง หรือไม่
    +++ ให้เอาอาการของคำว่า "สมาธิ" อย่างเดียวเท่านั้น ส่วน มิจฉา/สัมมา ไม่เอามาเกี่ยว นะ
    +++ การ ลด/เพิ่ม สัมปชัญญะ อาการนี้ ตามความเป็นจริงแล้วเรียกว่า "วสี 5" แต่ผมขี้เกียจใช้ภาษาพางง
    +++ วสี 5 มีอาการ คือ

    1. อยากเข้าเมื่อไร ก็เข้าได้ (สติ/สัมปชัญญะ/สมาธิ เป็น สภาวะเดียวกัน)
    2. อยากออกเมื่อไร ก็ออกได้ (สติ/สัมปชัญญะ/สมาธิ เป็น สภาวะเดียวกัน)
    3. อยาก เข้า-ลึก อย่างไร ก็เข้าได้ (สติ/สัมปชัญญะ/สมาธิ เป็น สภาวะเดียวกัน) (ฝึก %)
    4. อยาก ถอน-ตื้น อย่างไร ก็ถอยได้ (สติ/สัมปชัญญะ/สมาธิ เป็น สภาวะเดียวกัน) (ฝึก %)
    5. อยาก "อยู่" เท่าไร ก็ "อยู่" ได้ (สติ/สัมปชัญญะ/สมาธิ เป็น สภาวะเดียวกัน) (อยู่ใน %)

    +++ ดังนั้น การฝึก "หด/ขยาย VS เพิ่ม/ลด" สัมปชัญญะ จึงเป็นทั้ง "ปริมาณ+คุณภาพ" แห่ง "สติครองฌาน"
    +++ อย่าเอาไป "เปรียบเทียบ" กับการฝึกสมาธิของการปฏิบัติอื่น ๆ
    +++ เพราะการฝึกตรงนี้ เป็นแบบฉบับของ "สัมโพชฌงค์" เท่านั้น
    +++ มัน "ดี" ทั้งหมด เมื่อยังอยู่ใน ขอบเขตของ "สัมโพชฌงค์"
    +++ การโยก "ซ้าย-ขวา" ต่าง ๆ เป็น "ปิติ ก่อนจะขึ้นสู่ สุข"
    +++ ตรงนี้เป็น "ปิติสัมโพชฌงค์" ผู้ฝึก ควรผ่าน ทุกคน

    +++ ตรงนี้ ผมจะเพิ่มคำศัพท์ใหม่อีกตัวหนึ่งคือ คำว่า "เนื้อสภาวะ" เรียกสั้น ๆ ว่า "เนื้อ" ก็แล้วกัน
    +++ ให้สังเกตุ ตั้งแต่ "เริ่มรู้สึกตัว" เนื้อสภาวะจะเป็นอย่างหนึ่ง
    +++ เมื่อ สัมปชัญญะ เริ่มทรงตัว "เนื้อ" จะเป็นอีกอย่างหนึ่ง
    +++ ปิติ จะเป็น เนื้อชนิดหนึ่ง
    +++ สุข ก็จะเป็นอีก เนื้อหนึ่ง

    +++ บางแห่งจะใช้คำว่า "เนื้อสภาวะ" เรียกแทนว่า "ธาตุ" รวมหมดทั้ง ธาตุ ดิน/น้ำ/ลม/ไฟ/อากาศ แม้กระทั่ง ธาตุรู้
    +++ สำหรับคุณ ให้ "รู้ และใช้คำว่า เนื้อ" อย่างเดียวเท่านั้น หากคุณใช้ ภาษาอื่น เข้ามาเจือปน
    +++ ในเวลาเดินจิตระดับลึก ภาษา จะพาคุณ "ติด" และไปต่อ ไม่ได้ ให้ระวังไว้ด้วย นะ
    +++ พระพุทธเจ้า ท่านทำได้ เหตุเพราะท่าน "พ้น" จาก นิสัย และ วาสนา
    +++ ตั้งแต่ พระสาวก ซ้าย/ขวา ลงมา จะ "ไม่พ้น" ในเรื่อง นิสัย และ วาสนา
    +++ ดังนั้น ทำได้แค่ "ทำสภาวะรู้ ให้เป็น นิสัยใหม่" เท่านั้น
    +++ ใครทำได้เท่าไร ก็คือ เท่านั้น
    +++ "ห้าม" นำไปเปรียบเทียบกับ พระพุทธเจ้า หรือ บุคคลอื่น เด็ดขาด
    +++ แสดงว่า "นิสัยใหม่" กำลังจะเข้ามาเป็น "อินทรีย์ 5 + พละ 5" ในโพธิปักขิยะธรรม 37 ประการแล้ว
    +++ อย่า ปรุงแต่ง มโน คิดเองเออเอง เป็นอย่างอื่น ก็แล้วกันนะ มันจะล้มได้
    +++ ผู้ที่ "ลงมือทำ" เท่านั้น จึงเป็น "ผู้ที่ได้" โอปนยิโก ปัจจัตตังเวทิตัปโปวิญญูฮีติ นั้นแล .....
     
  11. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ ไม่ใช่นะ แต่การ "เข้าไป แล้ว ยึดครอง ตัวดูนั้น" เป็นการ "ทำอธิปัตติปัจจัยโย (มหาปัฏฐานสูตร)"
    +++ ความจริงมันก็ "อยู่ใน ระดับ บริเวณเดียวกัน" นี้แหละ
    +++ แต่จาก การที่คุณ accident เข้ามาทำ "อธิปัตติปัจจัยโย" ได้เองนี้
    +++ ตรงนี้ มัน "บ่งชี้ จริต" อะไรบางอย่างของคุณออกมา เรียบร้อยแล้ว
    +++ จริต ตรงนี้ ระบุชี้ว่าเป็นจริต "ผาดโผน" ไม่ใช่จริต "เรียบร้อย" อะไร
    +++ และสมควรที่จะ มีนิสัยในการ "ฝึกผ่าน มหาปัฏฐานสูตร (เหตุปัจจัยโย)" ด้วย

    +++ แต่ผมจะ "ยังไม่สอน" ในเรื่องนี้ จนกว่าคุณจะ "ยิงตัวดู" ออกไปจาก "สภาวะรู้" ได้สำเร็จก่อน
    +++ เรื่องของ "วิมุติญาณทัศนะ (สภาวะรู้ หลุด/พ้น จากสภาวะ ตัวกู)" นี้ ควรมาก่อน ที่จะ ใช้ตัวดู นะ
    +++ รากฐานที่สำคัญในการฝึก จะเรียงลำดับ ดังนี้
    1. รู้จักอาการของ "สติ/สัมปชัญญะ" ที่แท้
    2. ควบคุม ระดับของ "สติ/สัมปชัญญะ" (ขนาด VS %) (วสี)
    3. รู้จัก "สติ VS ตัวกู"
    4. หลุดพ้นจาก "ตัวกูของกู" (วิมุติ)
    5. ฝึกใช้ "ตัวกู"
    6. สลาย ดับ คลาย "ตัวกู" (นิโรธ)
    7. รู้จักสภาวะ "รู้/แจ้ง/จ้า" (รวมทั้งปรากฏการณ์ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา)
    8. รู้จักการเดินจิต ใน "มหาปัฏฐานสูตร"
    9. รู้จัก "วัฏฏะสสาร" (ภาคอจินไตย หากวาสนาถึง)
    10. รู้จักการ เข้า/ออก วัฏฏะสสาร
    11. รู้จักการ เข้า/ออก อดีต/อนาคต วัฏฏะสสาร
    12. เรื่องใน วัฏฏะสสาร
    13. เรื่องภายนอก วัฏฏะสสาร
    14. กำเนิดจิต ในธรรมชาติ
    15. ระบบของ "ธรรมชาติคู่ขนาน"
    16. โพธิธรรม (หากวาสนาถึง)

    +++ ตั้งแต่ข้อ 8 ลงมา ต้อง "ฝึกแบบสอบจิต ต่อหน้า (เข้ากลุ่มฝึก)" เท่านั้น
     
  12. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ อือ... "ภาษา พาจน" อีกตามเคย
    +++ คำที่บอกว่า "รู้สึกปวดเมื่อยเล็กน้อยทั่วกาย ไม่ค่อยสบายตัว" นั้น "ใช้ภาษา ตรงตามอาการ หรือป่าว..."

    +++ จริง ๆ แล้วมันคล้าย "อาการเกร็ง" ของกล้ามเนื้อ หรือป่าว...
    +++ ให้ทดสอบโดยการ "เอานิ้วจิ้ม" ว่ามันใช่ "กล้ามเนื้อ" หรือป่าว
    +++ หากจิ้มแล้ว ปรากฏว่า "มันยังนิ่ม เหมือนเดิม" มันก็ย่อม "ไม่ใช่กล้ามเนื้อเกร็ง" นะซี...

    +++ เอ... แล้วอาราย มันเกร็งหว่า .... หือ...
    +++ คำเฉลย คือ "มันเป็นอาการ เกร็งตัว ของ กายเวทนา" ที่ไม่ใช่กายเนื้อ
    +++ จนกว่ามันจะเป็น "อิสระ" จากกายเนื้อ แล้วออกมา เพ่นพ่าน นอกกายเนื้อได้
    +++ ตรงนี้เท่านั้น จึงจะเรียกว่า "ถอดกาย (ในระดับ เวทนากาย)" อย่างแท้จริง
    +++ แต่อย่าลืมว่า "ความรู้สึกทั้งตัว เมื่อหดจนเป็น ตัวดู" มันก็เป็น "ตัวเดียวกัน"
    +++ ดังนั้น "การถอดกาย VS การยิงตัวดู" จึงเป็น ตัวเดียวกัน
    +++ ยกเว้น "สติ" ในการ ยิงตัวดู จะแจ่มใสชัดเจนกว่า เอาไว้ภายหลัง นะ
    +++ ตอนนี้ ฝึกตามปกติ ไปก่อน
    +++ ให้เรียงตามลำดับ 16 ขั้นข้างบนเอาไว้ก่อน ถ้าได้จริง เรื่องที่ต้องทำ ยังมีอีกแยะ ไม่ต้องรีบร้อนนะ
     
  13. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ นั่นแล "ตัวกู/ของกู" ตอนนี้รู้จัก "อาการของอัตตา" จนสิ้นสงสัยแล้วนะ

    +++ "รู้เฉย ๆ" ไม่พอหรอก หากปรารถนา 16 ขั้น ตามข้างบนนั้น
    +++ "รู้เฉย ๆ" ไปได้เต็มที่ก็ระหว่างข้อ 4-6 เท่านั้น นะ
    +++ "รู้เฉย ๆ" จัก "ไม่ผ่าน" มาจนถึงข้อ 7
    +++ ดังนั้น "แล้วแต่ คุณ จะเลือกเอา" นะ
    +++ ผมบอกแล้วนะว่า "ภาษา เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย"
    +++ รวมทั้ง ภาษาที่ใช้ "มันจะ กักขังหน่วงเหนียว" การพัฒนาของ ตน ไว้ด้วย

    +++ หากคุณจะใช้แค่ "รู้เฉย ๆ" คุณก็จะได้ในบริเวณ 4-6 เท่านั้น
    +++ แต่หากคุณใช้ "รู้สึกเฉย ๆ" คุณก็จะไปถึง 7 เป็นอย่างต่ำ
    +++ ทั้งหมด "แล้วแต่ การใช้ภาษาของตัวคุณเอง"

    +++ ภาษาที่ทุกคนใช้ จะมีส่วนเกี่ยวข้อง "โดยตรง" กับอาการของ "1. ธรรม 2. อัตถะ 3. นิรุตติ 4. ปฏิภาณ"
    +++ เรื่องภาษา 4 ประการนี้ ให้ "ควบคุมที่ ตัวพูดมาก ตัวเดียว" ก็จะได้ สัมภิทา 4 มาเอง
    +++ ดังนั้น "การเคี่ยวเข็ญ เรื่องภาษา ณ ขณะปฏิบัติธรรม" จึงเป็น เรื่องใหญ่
    +++ จากภาษา 4 มันจะเกี่ยวเนื่องถึง ปาฏิหาริย์ 3 เองโดยแยกจากกันไม่ออก
    +++ หาก "ควบคุมตัวพูดมาก" จนใช้งานมันได้ดังใจแล้ว "อนุศาสนีย์" จะเป็นมาเอง

    +++ ดังนั้น "เรื่องการใช้ภาษา ให้ตรงกับอาการจริง ๆ" จึงเป็นเรื่องที่คุณ "ต้องฝึก" ประกอบด้วยเสมอ นะ

    +++ ต้อง "ควบคุม ตัวดู+ตัวพูดมาก" ได้อย่างแท้จริงเท่านั้น จึงจะถึง ข้อ 16 ได้
    +++ แม้ว่า บุคคล "ในกลุ่มฝึก" จะควบคุม ไอ้ 2 ตัวนี้ได้ แต่ก็ยังไปไม่ถึงข้อ 16 ก็มี
    +++ หลายคนก็ ทุลักทุเลมาก กว่าจะ "เข้าถึง" ข้อ 16 ได้ ดังนั้น "อย่านึกว่า ไม่มีอะไร" ก็แล้วกันนะ
    +++ การฝึกที่ผมสอนนี้ จะ "ข้าม กรรม-ฐาน 40" ไปเลย
    +++ ไปเอาตรง "ผลลัพธ์ที่เกิดจาก กรรม-ฐาน 40" ตรง ๆ

    +++ สมาธิทั้งหลาย หากยังไม่ "ลงตัวที่ โภชฌงค์" ก็ถือว่า "ยังไม่ได้ผล" ไม่ว่าจะ "กี่อสงไขย" ก็ตาม
    +++ ส่วน "สมาธิที่ เริ่มตรง ๆ ที่โภชฌงค์" เลย จะอยู่ในส่วนของ 7 วัน/เดือน/ปี ตามพระไตรปิฏก นั่นแล...
    +++ คุณ จะไปฝึกอะไรก็ตาม ทั้ง 40 กอง หากมัน "ไม่ยอมลงมาที่ ความรู้สึกตัวทั่วถึง" มันก็ยังฝึกไม่เสร็จ นั่นแล...
    +++ ตรงนี้ ผมจะ "ไม่เสียเวลาไปนั่งอธิบายอะไรนะ" ผู้ที่ผ่านมาแล้ว "จะรู้เอง" ดังนั้น ไม่ต้องอธิบายแยะ มันเสียเวลา นะ
    +++ จนกว่า "ไอ้ตัวดู" จะมีเสถียรภาพ เหลือเพียง "อาการเดียว" เท่านั้น "จึงเหมาะสม ต่อ การฝึกต่อไปได้"
    +++ ดังนั้น "จนกว่า มันจะเป็น อาการเดียว ที่เหลืออยู่" จึงได้เวลาฝึกต่อ นะครับ
     
  14. คนโง่โง่

    คนโง่โง่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2012
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +302
    ครับผม ได้ความรู้มากเลยครับอยู่ดีๆก็มาอยู่ตรงนี้แบบ งงๆ เพราะทำมาแค่2 อย่างคืออริยบทย่อย กับ ดูลม ครับ
    ครับผมจะพยายามแก้ไขครับ และเนื้อก็ไม่เหมือนกันจริงๆครับ
    ครับผมสมัยก่อนผมแค่อยากรู้ลมให้ได้ตลอดเวลาครับ ตอนนี้ก็พยายามรู้กาย+รู้สึกกาย เท่าที่รู้ตัวครับ
    ครับสมัยก่อนลองผิดลองถูกมาเยอะ พะงาบๆ มาหลายครั้งสร้างเรื่องวุ่นวายกับภพภูมิต่างๆหลายคราทั้งที่ยังไม่รู้ไม่เห็นอะไรครับจึงมีความตั้งใจว่า ตราบใดที่ยังมีใจเบียดเบียน ขออยู่แบบไม่รู้อะไรนอกจากตัวเองดีกว่าครับ คือรู้แล้วทำให้ธรรมชาติวุ่นวาย ขอไม่มีอะไรดีกว่า
    ดูแล้วน่าสนุกครับ มีอะไรให้ทำเยอะแยะเลยแถมไม่ต้องวุ่นวายกับใครด้วย อยู่กับตัวเองเป็นหลัก ก็ต้องปฏิบัติครับทำไปเรื่อยๆ (แต่ข้อฝึกใช้ตัวกูน่าสนุกครับ เพราะเราไม่มีอะไรเลย - - )
    เศร้าจังเลยครับ ผมไม่เคยศึกษาหรือรู้อะไรพวกนี้เลยจริงๆ แต่ตอนนี้พอเข้าใจละครับในอดีตเคยปฏิบัติผิดๆ จนกายเวทนารุ่งริ่ง ร่อแร่ นี่เองถึงได้ทรมาณมากมายขนาดนั้นโดยที่กายหยาบก็ยังไปทำงานได้
    จะพยายายามระมัดระวังให้มากขึ้นกว่านี้ครับ
    ครับผมได้แนวทาง รู้แนวทางที่ถูกต้องไม่มีลังเลสัยก็ลุยต่อละครับ
    ขอบคุณอีกครั้งที่เมตตาสั่งสอนครับ ตัวกูรู้แล้วเข้าใจแล้วจะพยายามต่อไปครับขออภัยที่พูดมากถามมากแต่ตัวกูสงสัยจริงๆขอบคุณมากๆ (ให้เขาได้ออกมาระบายหน่อยครับเดี๋ยวเขาจะไม่สบายใจที่ไม่ได้กล่าวด้วยตัวเองครับ)
     
  15. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ ตัวกู "รู้แล้วเข้าใจแล้ว" แต่ก็ต้อง ระวัง "ตัวกู ลืม" เอาไว้ด้วย
    +++ เมื่อถึงเวลาจำเป็น "อาการของ ตัวกูลืม" มันจะปรากฏอยู่เสมอ
    +++ จนกว่าจะ "ได้นิสัย" เมื่อเวลาจำเป็น "ตัวกูจะ ทำได้ อัตโนมัติ"
    +++ ตรงนี้ เป็น "นิสัยยะปัจจัยโย" ที่เป็น "สัญชาติญาณ ของ ตัวกู"

    +++ การที่จะ "ใช้ตัวกู" ให้ทำงานอย่างได้ผล
    +++ "ตัวกู" จะต้อง "รู้ เหตุก่อนการเดินจิต" ที่ส่งผล (สภาวะที่ต้องเดินจิตก่อนเป็นเหตุ ปุเรชาตะปัจจะโย) (วิธีเข้า เนื้อสภาวะ)
    +++ "ตัวกู" จะต้อง "รู้ ผลของการเดินจิต" ที่ตามมา (สภาวะที่เกิดตามมาเป็นผลลัพธ์ ปัจฉาชาตะปัจจะโย) (เนื้อสภาวะ ส่งผล)
    +++ "ตัวกู" จะต้อง "รู้ วิธีของการเดินจิต เข้าไปอยู่" (วิธีการเข้าไปในสภาวะ อาเสวะนะปัจจะโย) (เข้าสู่ เนื้อสภาวะ)
    +++ "ตัวกู" จะต้อง "รู้ วิธีการทำงาน ณ ขณะที่อยู่" (การทำงานในเนื้อสภาวะ กัมมะปัจจะโย) (ทำงานใน เนื้อสภาวะ)
    +++ "ตัวกู" จะต้อง "รู้ ผลลัพธ์จากการทำงาน ในเนื้อสภาวะ" (ผลลัพธ์ของการทำงานในเนื้อ วิปากาปัจจะโย) (เนื้อสภาวะ ส่งผลอย่งไร)
    +++ "ตัวกู" จะต้อง "รู้ ว่า ทำอย่างไร จึงอยู่ได้" (วิธีดำรงค์เนื้อสภาวะ อาหาระปัจจะโย ) (เนื้อสภาวะ ดำรงค์ได้อย่งไร)

    +++ ให้สังเกตุให้ดี ๆ ว่า "มหาปัฏฐานสูตร ทั้ง 6 ประการนี้" เป็นอาการเดียวกันกับ การทำ % ในสัมปชัญญะ
    +++ ตรงนี้ "อยู่ใน sector ของการ ควบคุม ตน/กู/สติ/สมาธิ/สัมปชัญญะ" ณ ที่เดียวกัน
    +++ ดังนั้น "ตรงนี้จึงเป็น ภาคปัญญา ในพระพุทธศาสนา" เป็น ปัญญาในเนื้อของ "สภาวะธรรม"

    +++ รู้การ "เข้าสู่ สภาวะธรรม" (เกิดขึ้น)
    +++ รู้การ "อยู่ ของ สภาวะธรรม" (ตั้งอยู่)
    +++ รู้การ "ออกจาก สภาวะธรรม" (ดับไป)

    +++ การฝึกของคุณ "ห้ามท่องจำ" อาการเหล่านี้
    +++ อาการเหล่านี้ "มีไว้ตรวจสอบ เฉลย ผลลัพธ์" ตาม ผลแห่งการปฏิบัติ เท่านั้น

    +++ ขั้นตอนการปฏิบัติของคุณ ณ ขณะนี้ ให้ทำ % ของ "ความรู้สึกตัวทั่วถึง ทั้งตัว"
    +++ การ เพิ่ม/ลด % จะต้อง "พร้อมเพรียงกัน ตลอดแท่ง ทั้งตัว"
    +++ เนื้อสภาวะ จะต้อง "เป็นอันเดียวกัน เป็น เนื้อเดียวกัน ทั้งตัว"
    +++ จาก "กาย 100 ยันกาย 0" จะต้องเสมอภาคกัน ในทุก ๆ %

    +++ แล้ว "ตัวกูจะ รู้" ใน มหาปัฏฐานสูตร ทั้ง 6 ท่อนนั้น "ได้เอง" นะครับ
     
  16. คนโง่โง่

    คนโง่โง่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2012
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +302
    ขอบคุณครับท่านธรรม-ชาติ
    ครับผมเมื่อวานหลังจากจบประโยค เขาก็แสดงอาการต่อเนื่องในอีกรูปแบบเลยครับตามที่ท่านกล่าว
    ให้รู้เกิดอยู่ภายใน ตัวกูจะทำอะไรที่ถูกต้องก็ปล่อยไป ตัวกู พูด คิดอะไรไม่ดี ก็ห้ามเขาหยุดเขา ตัวกูเกิดจากเรา เราก็ต้องรับผิดชอบในทุกสิ่งที่เขาทำเท่านั้นเอง ถ้าจะโทษก็โทษผมเองละที่ไม่ดีพอที่ไม่รู้จักเขาไม่ศึกษาให้ดีปล่อยปละละเลยมากเกินไปด้วยความเพลิน จนเป็นตัวกูที่ครอบงำไปด้วยกิเลสครับ เนื่องจากเคยทำพลาดในอดีตมากมาย ปัจจุบันกลายเป็นตัวกูที่อ่อนน้อมถ่อมตนครับ ถึงแม้ผมจะห้ามตัวพูดมากไม่ได้ แต่พร้อมจะเดินไปพร้อมกับตัวกูคนนี้ครับ

    ครับผม ตอนนี้รู้สึกตัวทั่วถึงทั้งตัวทำได้ครับ ยังทำ 100 เปอไม่ได้ รู้สึกพอทำไปเรื่อยๆมันออกไปรอบๆตัวครับจะต้องควบคุมให้มันอยู่ในกายหรือเปล่าครับ จะพยายามๆฝึกบ่อยๆครับผม
    ระหว่างวันผมก็พยายามเพิ่มเปอร์เซ็นด้วยครับแต่อาจจะไม่ 100 เปอร์ครับ แล้วก็ปล่อยกลับมา 0 เปอร์แบบนี้นะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มกราคม 2019
  17. คนโง่โง่

    คนโง่โง่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2012
    โพสต์:
    483
    ค่าพลัง:
    +302
    พอทำได้แล้วครับ นั่งขัดสมาธิทำจนรู้สึกรอบๆกายเราอุ่นๆ แต่ในส่วนกลางๆตัวเนื้อยังไม่หนาแน่นเท่ารอบๆตัวครับ
    จะลองนอนทำดูครับแล้วจะแจ้งอาการอีกครั้งครับ
    นอนทำ รู้สึกได้ทั่วถึงกว่าเนื้อเท่าๆกันทั้งกาย แต่ความอุ่นที่สัมผัสได้น้อยกว่าพอควรครับ จะพยายามฝึกบ่อยๆจะได้ละเอียดขึ้นกว่านี้ครับ ขั้นตอนของการรู้ ยังหยาบๆอยู่ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มกราคม 2019
  18. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ ตัวพูดมาก จะหยุดทำงาน ก็ต่อเมื่อ "รู้วิธีทำ ให้หยุดต่อเนื่อง" เท่านั้น
    +++ "ตัวกู" จักต้อง "ฝึก" จนกว่าจะ "เป็นที่พึ่งได้ (ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน)"
    +++ ซึ่งในภาคนี้ ต้องฝึกให้รู้ "ขั้นตอน/วิธีการ ดับ/ทำลาย ดัวดู"
    +++ รวมทั้ง การเปลี่ยนจาก "ตัวดู มาเป็น สภาวะรู้ โดยไร้การระลึก"
    +++ หลังจากนั้น จึง "ฝึก รู้จัก การก่อกำเนิด ตัวดู (ปฏิจจสมุปบาท)" ฯลฯ
     
  19. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ ตรง 100 % ควรทำให้ได้ก่อน เพื่อทำความรู้จักกับ "ธาตุ ดิน/น้ำ/ลม/ไฟ ฯลฯ"
    +++ แต่ถ้า ไม่ได้จริง ๆ ก็ข้ามไปก่อนก็ได้ หาก "ไม่ปรารถนา ของเล่น" ก็ข้ามได้
    +++ ธรรมชาติของมันนั้น จะไม่ "โดนกักขัง ในกรอบรูป (กาย)"
    +++ เพราะตามความเป็นจริง "มันเป็น อรูป" อยู่แล้ว

    +++ การฝึกแบบ "ออกทะเลกว้าง แห่ง สภาวะธรรมหลายหลาย"
    +++ ล้วนเป็น "การฝึกเดินจิต ในสภาวะอรูป ทั้งสิ้น"

    +++ การฝึกในสภาวะ "อรูป" จะล้มเหลวสิ้นเชิง หากไม่มีประสพการณ์ใน "รูป/กาย" มาก่อน
    +++ ดังนั้น ให้ฝึก "จำกัดขอบเขต เฉพาะ ในรูป/กาย" ก่อน จนกว่าจะชำนาญนะ
    +++ ถูกแล้ว 100-0 จัดเป็น มาตรฐาน "เบื้องต้น" เท่านั้น
    +++ เมื่อชำนาญแล้ว การฝึกแบบ +200 ถึง +500 หรือ -100 ถึง -500 จะทำได้ไม่ยาก
    +++ หากปรารถนาที่จะ "รับทราบ" สภาวะของ "ความเป็นจิต" ทั้ง "ใน และ นอก ภพ/ภูมิ"
    +++ ก็ต้องฝึก "ม้างกาย (ลด % จนต่ำกว่า 0)" จนติดลบ
    +++ แล้วจะรู้เรื่อง "กายละเอียดต่าง ๆ" ใน ชั้น/ภูมิ ได้ เมื่อเรา "ม้างกายเสมอกัน (สัมปะยุตตะปัจจัยโย)"
    +++ หากทำได้ ก็จะ "เลิกสนใจ การท่องเที่ยว ต่างประเทศ ในโลกมนุษย์ (ทัวร์เจ้ง)" แน่นอน
    +++ อย่าเพิ่งไปทำ "ผ้าห่มไฟฟ้า (ความอบอุ่น ห่อหุ้ม ทั้งกาย)" ตรงนั้น ในขณะนี้
    +++ แม้มันจะ "มีอยู่ ตามความเป็นจริง ก็ตาม" หาก "ติดใจ" กับมัน มันจะออกไปที่ "ติดสุข" ได้
    +++ ผลลัพธ์ จะเป็นการ "จมอยู่ใน ปิติ/สุข" โดยทิ้ง "สัมปชัญญะ" ไปสู่ "พรหมลูกฟัก" เสียเวลาได้
    +++ อีกประการหนึ่ง คือ "อานิสสงค์" ของมันยังเทียบไม่ติดฝุ่น เมื่อเทียบกับ "สัมปชัญญะ" ตรงนี้
    +++ เมื่อได้ "ความทั่วถึง จนเป็นเนื้อเดียวกัน ทั้งกาย" แล้ว
    +++ ให้ "รักษา ความเป็น เนื้อเดียวกันนั้น" ให้ได้ใน ทุกอิริยาบท
    +++ ไม่ว่าจะเป็น "การใช้ชีวิต ตามปกติ" ไม่จำกัดอิริยาบท ทุกเมื่อ
    +++ ยามใดที่ "รู้ว่า ขาดช่วง" ก็ให้ กำหนดกลับมาทั้งตัว ในทันที
    +++ แล้ว รักษา อาการให้ต่อเนื่อง ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้
    +++ เมื่อยามใด ที่ความรู้สึก "ลดลง" ก็ให้ทำ "เพิ่มขึ้น" ในทันที
    +++ จนกว่า "ขั้นตอนนี้" จะเป็น "สัญชาติญาณ" อัตโนมัติ
    +++ อย่าเพิ่ง "อยู่" กับความอบอุ่น (ผ้าห่มไฟฟ้า) ในขั้นตอนนี้
    +++ ให้อยู่กับ "วสี 5" เอาไว้ก่อน ไม่งั้นเวลา "ต่อยอด" จะยุ่งยากมาก
    +++ ให้ค่อย ๆ สังเกตุเอาเองว่า "มันเริ่มที่จะ พัฒนาไปเป็น สัญชาติญาณ ของ รู้" แล้วหรือยัง นะครับ
     
  20. ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ

    ผู้ไม่มีตัวตนรู้เราสงบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2018
    โพสต์:
    6,005
    ค่าพลัง:
    +8,391

    ก๊าก กั๊กๆๆๆๆๆๆ

    (ขออภัยทุกท่าน..แค่แวะเข้ามาขำ)



    ตรงตามชื่อกระทู้...
    "อยู่อย่างเบิกบานด้วยตนเอง"
     

แชร์หน้านี้

Loading...