เอ่อ คือว่า เอ่อ........
การจะเสวนาตรงนี้ให้ เข้าใจกันและกันได้ ต้องมา แยกแยะ จำแนก
สิ่งหนึ่งก่อน ไม่งั้น ก็จะโยนกันไป ท้วงกันมา โดยที่อีกฝ่ายก็ งง ว่า
เอ...ทำไมเขาไม่เข้าใจหว่า ในเมื่อมันก็ คอมมอนเซนต์
อันแรกเลย
ก็ต้องมาดูที่ พระสูตร เรื่อง กลองตะโพน เรื่องกลองตะโพนนั้น
อันนี้ต้องให้นำหนักมาที่การ ปรักปรำ สาวกภาษิต ว่าเป็นดั่ง ผู้ทำลาย
เป็นดั่งไส้ศึก ทีเดียว
เพราะ เนื้อหาที่อุปมาอุปไมยเข้ามาคือ " กลองศึก " กลองศึกนี้หาก
จะให้เข้าใจต้องเคยดูหนังเรื่อง " จามอง " น่ารัก มาบ้าง ก็จะพึงทราบ
หน้าที่ของ " กลองศึก " ของเมืองหนึ่ง กับ กษัตริย์ อีกเมืองหนึ่ง
กลองศึกนั้น มีหน้าที่ บอกสัญญาณการรบ ดังนั้น กษัตริย์อีกเมืองหนึ่ง
เวลาต้องการเอาชนะอีกฝ่าย มันมีหลายวิธี วิธีที่ไม่ฉลาด คือ เข้ามาทำ
ลายกลองศึกทิ้ง แต่ถ้า ฉลาดกว่านั้น คือ เอาลิ่มมาตอกใส่เนื้อกลอง
เวลาตีเนี่ยะ อานัติสัญญาณมันจะดังไม่เท่าระยะเดิม หรือไม่ก็เสียงเพี้ยน
ไปเลย ทำให้ ฝ่ายที่ ตีกลองศึกที่คิดว่า ส่งสัญญาณได้แจ่ม ก็ไม่รู้ตัว
ว่า ส่งสัญญาณไม่ได้แล้ว
เรียกว่า ฉิบหายกันทั้งเมือง โดยไม่รู้ตัว
ดังนั้น สาวกภาษิตที่ปรากฏในพระสูตรนี้ คือให้หมายเป็น พาหิรกา " ไส้ศึก "
ที่พาให้ ศาสนาอันตรธาน ฉิบหาย
ทีนี้ ก็มีอีกส่วนเดียว ที่จะต้องเน้นเข้ามาว่า คือ ส่วนไหน
ก็ต้องบอกว่า ต้องหมายเอา เฉพาะ ตำรา ที่เขียนเป็นตำรา เพราะ พระพุทธองค์
ใช้คำว่า " อักขราวิจิต "
ทีนี้ " อักขราวิจิต " ก็จะต้องแบ่งอีก ว่าเป็น งานเขียนประเภทไหน
ถ้าเป็น อรรถกถา เชิงอรรถกถา อันนี้ ยกเว้น เพราะ การอธิบายจะมีการ
อัญเชิญ อักขระ ของพระพุทธองค์เข้าไปร่วมด้วย ก่อนอยู่แล้ว ด้วยอำนาจ
ของอักขระของพระพุทธองค์ ย่อมมี ธรรมฤทธิ์เหลือแหล่ในการ ปกคลุมงาน
เขียนนั้นทั้งหมด
ก็เลย ต้องขอ อนุญาติ ฟันธงลงไปว่า
งานเขียน ที่ถือว่า เป็น สาวกภาษิต ที่ร้ายแรงขนาด ถือว่า เป็นไส้ศึก
ก็ให้หมายเอางานเขียน ที่ เขียนแบบ กลอน กาพย์ ลอยๆ เขียนแบบ
เอาเนื้อหา ที่เป็น ชีวิตส่วนตัว ส่วนตน ของ สาวกนั้นๆ ล้วนๆ
เช่น ...เอ่อ.....พระวัดป่ามะม่วง พระเจ้าตาก พระเจ้าเด่นดวงเดือนดาว มักกะโรนีผล
เจ้าค่ะ เจ้าครับ อะไรนั่น เป็นต้น ( หากจะให้ชี้ลงไปอีก ก็ต้องเอา เดรัจฉานกถา 10
เข้ามา พิจารณาร่วม เช่น การกล่าวเรื่องกษัตรย์ เรื่องการรบ เรื่องสถานที่ เรื่องยา การกิน
การธุดงค์ไปยัง..... ฯ )
*************
แต่ถ้าเป็น อรรกถา หรือ เป็นการเสวนาธรรม ที่ไม่ได้เจตนาจะเขียนเป็น อักขระ
หนังสือ แต่ศิษย์ ไปทะลึ่ง ออดอ้อนขอพิมพ์ เพราะหวัง บุญ อันนี้ ก็ให้ยกเว้น
ไม่นับเข้าเป็น งานเขียนตามพระสูตร คือ ไม่ถือว่าเป็นการแอบเข้ามา ตอกลิ่ม
เพื่อ บ่อนทำลาย พระศาสนา.... เพราะไม่ได้เจตนา
แต่......เจตนาของ ศิษย์ อันนี้ก็ต้อง ดูกันอีกที เจตนาเลวทราม ย่อมมี
การบิดเบือนเพิ่มเติม หรือ ตบแต่ง เข้าไปอีก อันนี้ ยังไงก็ ถือว่าไม่ใช่
และจัดเป็น ภัยของศาสนา ไป
อย่าเลยพระพุทธเจ้า อย่าเลยครูอาจารย์
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ปุณฑ์, 28 มีนาคม 2013.
หน้า 27 ของ 38
-
อย่าง เรื่อง ไซอิ๋ว นี่ ก็ต้องจัดเข้าพวก " พาหริกา สาวกภาษิต "
เพราะไม่ใช่งานเขียน เชิงอรรถกถา
เห็นเรื่องนี้ แล้ว ฮี้ ฮี้ ฮี้ ฮี้ ทำให้นึกถึง กะลา ขัน คว่ำ ฮิววววส์ -
ไอเดียบรรเจิด ได้ตลอด..
-
..พี่มากขา..อย่าเยอะ..อิอิ:boo:
-
ก็ใครขานชื่อให้ " เล่าปัง " บุคคลที่ถือว่า " ไร้สัจจ มีเล่ห์เหลี่ยมที่สุด "
มาช่วยแปลหละ ให้ เล่าปัง แปล ก็ต้องได้ความตามนั้น
อยู่ดีๆ กลองเมืองหนึ่ง กษัตริย์อีกเมืองหนึ่ง จะไปยุ่มยาม กะ กลอง
ของอีกเมืองหนึ่งทำไม
แล้วงานนี้ ยุ่มยามแล้ว ก็มีทิศทางไปทาง ทำลาย ชนิด ลึกซึ้ง ก็ต้อง
แปลออกไปทางนี้แหละ
ฮี้ ฮี้ ฮี้ ฮี้ -
-
ที่ว่า.คำตถาคตกบอกไปแล้วว่าคำที่ออกจากปากสาวกนั้นแหล่ะแต่เป็นคำของพระองค์
ถ้ารับมาจากคุณนิว นี่ ..ขอพระวจนะยกมายืนยันด้วย.. -
สิ่งที่บัญญัติไว้แล้ว, จักสมาทานศึกษาในสิกขาบทที่บัญญัติไว้แล้วอย่างเคร่งครัด
อยู่เพียงใด, ความเจริญก็เป็นสิ่งที่ภิกษุทั้งหลายหวังได้ ไม่มีความเสื่อมเลย อยู่เพียงนั้น.
ทรงห้ามแต่งใหม่เพิกถอน เมื่อห้ามอย่างนี้ แต่งใหม่ได้มั้ย สาวกมีคำของตัวเองได้มั้ย
บอกทางแก้ให้เพราะวันเวลาเปลี่ยนไปดังกลอง อานกะ
๑. (หากมี) ภิกษุในธรรมวินัยนี้กล่าวอย่างนี้ว่า ผู้มีอายุ ! ข้าพเจ้าได้สดับรับมาเฉพาะ
พระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่า “นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำาสอนของพระศาสดา”...
๒.(หากมี) ภิกษุในธรรมวินัยนี้กล่าวอย่างนี้ว่า ในอาวาสชื่อโน้นมีสงฆ์อยู่พร้อมด้วย
พระเถระ พร้อมด้วยปาโมกข์ ข้าพเจ้าได้สดับมาเฉพาะหน้าสงฆ์นั้นว่า “นี้เป็นธรรม
นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำาสอนของพระศาสดา”...
๓. (หากมี) ภิกษุในธรรมวินัยนี้กล่าวอย่างนี้ว่า ในอาวาสชื่อโน้นมีภิกษุผู้เป็นเถระอยู่
จำานวนมาก เป็นพหุสูต เรียนคัมภีร์ ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา ข้าพเจ้าได้สดับมา
เฉพาะหน้าพระเถระเหล่านั้นว่า “นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำาสอนของพระศาสดา”...
๔.(หากมี) ภิกษุในธรรมวินัยนี้กล่าวอย่างนี้ว่า ในอาวาสชื่อโน้นมีภิกษุผู้เป็นเถระอยู่
รูปหนึ่ง เป็นพหุสูต เรียนคัมภีร์ ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา ข้าพเจ้าได้สดับมา
เฉพาะหน้าพระเถระรูปนั้นว่า “นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำาสอนของพระศาสดา”...
เธอทั้งหลายยังไม่พึงชื่นชม ยังไม่พึงคัดค้านคำากล่าวของผู้นั้น พึงเรียนบทและ
พยัญชนะเหล่านั้นให้ดี แล้วพึงสอบสวนลงในพระสูตร เทียบเคียงดูในวินัย
ถ้าบทและพยัญชนะเหล่านั้น สอบลงในสูตรก็ไม่ได้ เทียบเข้าในวินัยก็ไม่ได้
พึงลงสันนิษฐานว่า “นี้มิใช่พระดำารัสของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นแน่นอน และ
ภิกษุนี้รับมาผิด” เธอทั้งหลาย พึงทิ้งคำานั้นเสีย
ถ้าบทและพยัญชนะเหล่านั้น สอบลงในสูตรก็ได้ เทียบเข้าในวินัยก็ได้ พึงลง
สันนิษฐานว่า “นี้เป็นพระดำารัส ของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นแน่นอน และ
ภิกษุนั้นรับมาด้วยดี” เธอทั้งหลาย พึงจำามหาปเทส... นี้ไว้.
มหา. ที. ๑๐/๑๔๔/๑๑๓-๖
ให้ตรวจกับคำพระองค์อย่างเดียว คำสาวกมีสิทธิ์มั้ย ตรวจกับคำสาวกได้มั้ย
และตำราเราก็มีอยู่ที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่จะหาได้ ทุกตำรากอ้างมาจากนั้น ทำไมไม่ศึกษาที่ตำราที่ทุกคนอ้าง ผมล่ะงงจัง -
-
ตรงที่ให้ตอบกับไม่ตอบตรงที่อธิบายให้เข้าใจกับไม่เข้าใจ ตอบมาซิ โสฬส ญาณเอามาจากไหน แต่งใหม่ใช่ป่าว
-
ส่วนมหาปเทสสี่ ไม่ต้องหรอก
เพราะชัดอยู่แล้ว ว่าใครอ้างว่าเป็นพุทธพจน์ให้ตรวจสอบ -
ก็คำของพระสาวกจะไปเหมือนได้เทียวหรือ..
ส่วนพระวจนะหากยกมา ก็ควรยกมาให้สมบูรณ์ .. -
-
ยกมาตรง อริยสัจ 5 ด้วยอ่ะจ๊ะ -
-
-
สิ่งที่บัญญัติไว้แล้ว, จักสมาทานศึกษาในสิกขาบทที่บัญญัติไว้แล้วอย่างเคร่งครัด
อยู่เพียงใด, ความเจริญก็เป็นสิ่งที่ภิกษุทั้งหลายหวังได้ ไม่มีความเสื่อมเลย อยู่เพียงนั้น.
แค่นี้ก็น่าจะรูเรื่องทั้งหมดแล้วนะครับ -
ภิกษุทั้งหลาย ! พวกภิกษุในธรรมวินัยนี้ เล่าเรียนสูตรอันถือกันมาถูก ด้วยบท
พยัญชนะที่ใช้กันถูก ความหมายแห่งบทพยัญชนะที่ใช้กันก็ถูก ย่อมมีนัยอันถูกต้อง
เช่นนั้น. ภิกษุทั้งหลาย ! นี่เป็น มูลกรณีที่หนึ่ง ซึ่งทำาให้พระสัทธรรมตั้งอยู่ได้
ไม่เลอะเลือนจนเสื่อมสูญไป...
ภิกษุทั้งหลาย ! พวกภิกษุเหล่าใด เป็นพหุสูต คล่องแคล่ว ในหลักพระพุทธวจน
ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา (แม่บท) พวกภิกษุเหล่านั้น เอาใจใส่ บอกสอน
เนื้อความแห่งสูตรทั้งหลายแก่คนอื่นๆ, เมื่อท่านเหล่านั้นล่วงลับไป สูตรทั้งหลาย
ก็ไม่ขาดผู้เป็นมูลราก (อาจารย์) มีที่อาศัยสืบกันไป. ภิกษุทั้งหลาย ! นี่เป็น มูลกรณี
ที่สาม ซึ่งทำาให้พระสัทธรรมตั้งอยู่ได้ไม่เลอะเลือนจนเสื่อมสูญไป...
*** ในที่นี้ยกมา ๒ นัยยะ จาก ๔ นัยยะ ของมูลเหตุสี่ประการ ที่ทำาให้พระสัทธรรมตั้งอยู่ได้ไม่เลอะเลือนจนเสื่อมสูญไป -
อานนท์ ! ความขาดสูญแห่งกัลยาณวัตรนี้ มีในยุคแห่งบุรุษใด บุรุษนั้นชื่อว่า
เป็นบุรุษคนสุดท้ายแห่งบุรุษทั้งหลาย.... เราขอกล่าวย้ำากะเธอว่า... เธอทั้งหลายอย่า
เป็นบุรุษพวกสุดท้ายของเราเลย. -
หากจะอ้าง ว่านี่ เป็นบทห้ามสาวกแต่งคำสอน ต้องกล่าวตามพระวัจนะ
หน้า 27 ของ 38