>>> อวดรู้ (รู้แล้วได้อะไร) <<<

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย nouk, 19 กรกฎาคม 2012.

  1. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ขอบคุณนะที่รักและคิดถึงเรา เราก็รักเพื่อนทุกคนและคิดถึงเพื่อนๆ เช่นเดียวกัน อย่าคาดหวังกับการพบเจอเราเลย เราไม่ต้องการให้ใครมายึดติดกับเรา วันหนึ่งข้างหน้ายังไงเราก็ต้องจากกันอยู่ดี ความรู้สึกดีๆ ที่มีให้กันเราเข้าใจนะ แต่ความผูกพันมันเป็นสิ่งที่ละออกได้ยาก ดังนั้นเราจึงไม่อยากให้ใครต้องมาทุกข์ทรมานกับความผูกพัน

    มาๆ หายๆ ดีกว่า จะได้ชินกับการไม่ต้องมีใครให้คิดถึงดีมั้ย?

    เราไม่ลืม ISSA หรอกนะ จริงๆ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เราไม่ได้เก่งธรรมอะไรมากมาย แค่เอาตัวรอดจากภัยของกิเลสตัณหาอุปาทานได้ก็พอแล้ว

    วันนี้ดีใจนะที่เข้ามาแล้วได้เจอเพื่อนที่ยังน่ารักเหมือนเดิม ดูคุณเหงาๆ เศร้าๆ ไปนะ มีอะไรในใจหรือเปล่า?
     
  2. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,353
    ค่าพลัง:
    +6,491
    คุณนุ้กระวังไอสาให้ดีๆนะคะ เธอมุขเยอะค่ะ:eek::eek::eek::eek::eek::eek:
     
  3. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ไม่ต้องห่วงนะคะ เพื่อนดิฉันไม่ใช่คนธรรมดาค่ะ เธอมีอภิญญาแปลงกายได้หลากหลาย 555
     
  4. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,353
    ค่าพลัง:
    +6,491
    [Embarrass[Embarrass[Embarrass[Embarrass[Embarrass[Embarrass
     
  5. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,353
    ค่าพลัง:
    +6,491
    อิฉันมีความลับค่ะ.(เกี่ยวกับไอสา)แต่จะมาเล่าวันหลังนะคะ คุณนุ้กอย่าไว้ใจเธอมากนะคะ
    สมญานามที่คนรู้จักตั้งให้คือ..ตลกหน้าตาย..ค่ะ:love:
     
  6. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เอ....เป็นหน้าเดียวกันกับโชติกะหรือเปล่าหนอ หุหุ
    เราไม่อยากรู้อ่ะ ความลับถ้านำมาเปิดเผยมันก็ไม่ลับซิหนอ ให้มันลับต่อไปเถอะ คริคริ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ตุลาคม 2014
  7. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,353
    ค่าพลัง:
    +6,491
    :p:p:p
     
  8. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    รู้แล้วไม่น้อมนำก็ไม่เกิดประโยชน์

    พุทธศาสนสุภาษิต : กิเลส

    เยน สลฺเลน โอติณฺโณ ทิสา สพฺพา วิธาวต ตเมว สลฺลํ อพฺพุยฺห น ธาวติ น สีทติ
    บุคคลถูกลูกศรใดแทงแล้ว ย่อมแล่นไปทั่วทิศ ถอนลูกศรนั้นแล้ว ย่อมไม่แล่นและไม่จม

    ยา กาจิมา ทุคฺคติโย อสฺมึ โลเก ปรมฺหิ จ อวิชฺชา มูลกา สพฺพา อิจฺฉาโลภสมุสฺสยา
    ทุคติในโลกนี้และโลกหน้า ล้วนมีอวิชชาเป็นราก มีอิจฉาและโลภเป็นลำต้น

    ปรวชฺชานุปสฺสิสฺส นิจฺจ ํอุชฺฌานสญฺญิโน อาสวา ตสฺส วฑฺฒนฺติ อาราโสอาสวกฺขยา
    คนที่เห็นแต่โทษผู้อื่น คอยแต่เพ่งโทษนั้น อาสวะก็เพิ่มพูน เขายังไกลจากความสิ้นอาสวะ

    นิทฺทํ น พหุลีกเรยฺย ชาคริยํ ภเชยฺย อาดาปี ตนฺทึ มายํ หสฺสํ ขิฑฺฑํ เมถุนํ วิปฺปชเห สวิภูสํ
    ผู้มีความเพียรไม่พึงนอนมาก พึงเสพธรรมเครื่องตื่น พึงละความเกียจคร้าน มายา ความร่าเริง การเล่น และเมถุนพร้อมทั้งเครื่องประดับเสีย

    กุหา ถทฺธา ลปา สิงฺคี อุนฺนฬา จาสมาหิตา น เต ธมฺเม วิรูหนฺติ สมฺมาสมฺพุทฺธเทสิเต
    ผู้คนหลอกลวง เย่อหยิ่ง เพ้อเจ้อ ขี้โอ่ อวดดี และไม่ตั้งมั่น ย่อมไม่งอกงามในธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว

    โกธสฺส วิสมูลสฺส มธุรคฺคสฺส พฺราหฺมณ วธํ อริยา ปสํสนฺติ ตญฺหิ เฉตฺวา น โสจติ
    พราหมณ์ พระอริยเจ้าย่อมสรรเสริญผู้ฆ่าความโกรธ ซึ่งมีโคนเป็นพิษ ปลายหวาน เพราะคนตัดความโกรธนั้นได้แล้ว ย่อมไม่เศร้าโศก

    โลโภ โทโส จ โมโห จ ปุริสํ ปาปเจตสํ หึสนฺติ อตฺตสมฺภูตา ตจสารํว สมฺผลํ
    โลภะ โทสะ โมหะ เกิดจากตัวเอง ย่อมเบียดเบียนผู้มีใจชั่ว ดุจขุยไผ่ฆ่าต้นไผ่ ฉะนั้น

    โกธํ ชเห วิปฺปชเหยฺย มานํ สญฺโยชนํ สพฺพมติกฺกเมยฺย ตนฺนามรูปสฺมึ อสชฺชมานํ อกิญฺจนํ นานุปตนฺติ ทุกฺขา
    บุคคลพึงละความโกรธ พึงเลิกถือตัว พึงก้าวล่วงสังโยชน์ทั้งปวง (เพราะ) ทุกข์ทั้งหลาย ย่อมไม่ติดตามผู้ไม่ข้องอยู่ในนามรูป ไม่มีกังวลนั้น

    ตญฺหา ชเนติ ปุรสํ จิตฺตมสฺส วิธาวติ สตฺโต สํสารมาปาทิ ทุกฺขา น ปริมุจฺจติ
    ตัณหายังคนให้เกิด จิตของเขาย่อมวิ่งพล่าน สัตว์ยังท่องเที่ยวไป จึงไม่พ้นจากทุกข์

    ตณฺหา ชเนติ ปุริสํ จิตฺตมสฺส วิธาวติ สตฺโต สํสารมาปาทิ กมฺมํ ตสฺส ปรายนํ
    ตัณหายังคนให้เกิด จิตของเขาย่อมวิ่งพล่าน สัตว์ยังท่องเที่ยวไป จึงยังมีกรรมนำหน้า

    อิจฺฉาย พชฺฌตี โลโก อิจฺฉาวินยายุ มุจฺจต อิจฺฉาย วิปฺปหาเนน สพฺพํ ฉินฺทติ พนฺธนํ
    โลกถูกความอยากผูกพันไว้ จะหลุดได้เพราะกำจัดความอยาก เพราะละความอยากเสียได้ จึงชื่อว่าตัดเครื่องผูกทั้งปวงได้

    อิจฺฉา นรํ ปริกสฺสติ อิจฺฉา โลกสฺมิ ทุชชหา อิจฺฉาพุทฺธา ปุถู สตฺตา ปาเสน สกุณี ยถา
    ความอยากย่อมชักลากนรชนไป ความอยากละได้ยากในโลก สัตว์เป็นอันมากถูกความอยากผูกมัดไว้ ดุจนางนกถูกบ่วงรัดไว้ ฉะนั้น

    อุเปกฺขโก สทา สโต น โลเก มญฺญตี สมํ น วิเสสี น นีเจยฺโย ตสฺส โน สนฺติ อุสฺสทา
    ผู้วางเฉยมีสติทุกเมื่อ ไม่สำคัญตนว่าเสมอเขา ดีกว่าเขา หรือต่ำกว่าเขาในโลก ผู้นั้นชื่อว่า ไม่มีกิเลสเฟื่องฟูขึ้น

    วิสุทฺธิ สพฺพเกฺลเสหิ โหติ ทุกฺเขหิ นิพฺพุติ
    ความหมดจดจากกิเลสทั้งปวง เป็นทางดับทุกข์ทั้งหลาย

    ตณฺหาย อุฑทิโต โลโก ชราย ปริวาริโต มจฺจนา ปิหิโต โลโก ทุกฺเข โลโก ปติฏฺฐิโต
    โลกถูกตัณหาก่อขึ้น ถูกชราล้อมไว้ ถูกมฤตยูปิดไว้ จึงตั้งอยู่ในความทุกข์

    นิราสตฺตี อนาคเต อตีตํ นานุโสจติ วิเวกทสฺสี ผสฺเสสุ ทิฏฺฐีสุ จ น นิยฺยติ
    ผู้ไม่คำนึงถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ย่อมไม่เศร้าโศกถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว ผู้เห็นความสงัดในผัสสะทั้งหลาย ย่อมไม่ถูกชักนำไปในทิฏฐิทั้งหลาย

    ยสฺส นตฺถิ อิทํ เมติ ปเรสํ วาปิ กญฺจนํ มมตฺตํ โส อสํวินฺทํ นตฺถิ เมติ น โสจติ
    ผู้ใดไม่กังวลว่า นี้ของเรา นี้ของผู้อื่น ผู้นั้น เมื่อไม่ถือว่าเป็นของเรา จึงไม่เศร้าโศกว่าของเราไม่มี ดังนี้

    ลุทฺโธ อตฺถํ น ชานาติ ลุทโธ ธมฺมํ น ปสฺสติ อนฺธตมํ ตทา โหติ ยํ โลโภ สหเต นรํ
    ผู้โลภย่อมไม่รู้อรรถ ผู้โลภย่อมไม่เห็นธรรม ความโลภเข้าครอบงำคนเมื่อใด ความมืดมิดย่อมมีเมื่อนั้น
     
  9. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    คำพูดใด การกระทำใด ผู้พูดและผู้กระทำย่อมรู้เองในใจว่าจริงหรือเท็จ
    กรรมดีและกรรมชั่วย่อมตกอยู่ที่ผู้พูดและผู้กระทำ โดยไม่ต้องมีใครมากระตุ้นเตือนทั้งสิ้น

    การเสแสร้งเป็นแค่เรื่องชั่วคราว เพราะอะไรมันจึงชั่วคราว ก็เพราะมันต้องมีสักวันที่ความจริงจะปรากฏ ว่าทุกสิ่งที่ทำมานั้นเป็นการเสแสร้งเพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งเชื่อถือ จากปฏิสัมพันธ์ต่างๆ ที่มันสอดคล้องกันหรือว่าขัดแย้งกัน นี่กรรมมันแสดงให้เห็นแบบนี้
     
  10. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    อ่านเจอมาค่ะ ก็เลยเอามาฝาก

    บอกบุญ ออกแรง แต่ไม่ออกเงิน จะได้บุญหรือบาป

    โดย พระไพศาล วิสาโล
    วันที่ 29 ธันวาคม 2012
    จากหน้า พระไพศาล วิสาโล - Phra Paisal Visalo

    ปุจฉา ๑ - กราบเรียนถามพระอาจารย์ค่ะ ถ้าเราอยากทำบุญแต่มีเงินน้อย แล้วเราไปบอกบุญคนอื่นที่เค้าอยากร่วม เช่น งานบุญนี้ซื้อของไป 800 บาท คนอื่นช่วยมา 700 เราออกแค่ 100 หรือไม่ออกเลย แต่เราออกแรงทุกอย่าง ทั้งค่าติดต่อ ค่ารถ และร่วมแรงด้วยใจ แบบนี้เราจะบาปไม๊คะ เพราะคนที่ร่วมบุญไม่ถามรายละเอียดเลย เราก็ไม่ได้บอก แต่เราไม่ได้เอาเงินไปทำอย่างอื่นเลยนะคะ เพียงแต่ไม่มีเงินมากพอที่จะทำน่ะค่ะ พระอาจารย์ช่วยอธิบายได้ไม๊คะ เพราะจะทำแบบนี้มานานแล้ว รู้สึกกังวลใจว่าเราบาปน่ะค่ะ กราบขอบพระคุณค่ะ

    วิสัชนา

    การทำบุญนั้นทำได้หลายอย่าง นอกจากออกเงินแล้ว ออกแรงก็ได้บุญ เช่น ไวยาวัจมัย คือบุญที่เกิดจากการขวนขวายทำกิจส่วนรวม สิ่งที่คุณทำนั้นจัดว่าเป็นไวยาวัจมัยได้ ที่จริงถึงคุณจะไม่ได้ออกแรงหรือออกเงินเลย(เพราะขัดสน) เพียงแค่คุณยินดีในบุญที่คนอื่นทำ ก็ได้บุญเช่นกัน เรียกว่า ปัตตานุโมทนามัย

    มีเรื่องเล่าว่า ครั้งหนึ่งนางวิสาขาสร้างมหาวิหารถวายสงฆ์ เมื่อเพื่อนคนหนึ่งรู้เข้าก็อนุโมทนา เธอใส่ใจในการอนุโมทนาอย่างจริงจัง ไม่นานก็ตาย ปรากฏว่าอานิสงส์ดังกล่าวส่งผลให้นางไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ บางคนเพียงแค่บอกทางไปทำบุญ อานิสงส์นั้นก็ส่งผลให้ไปเกิดในสวรรค์ ดังนั้นจึงควรเข้าใจว่าการทำบุญนั้นไม่ต้องใช้เงินก็ได้ สิ่งสำคัญก็คือใจที่เป็นบุญ เป็นกุศล เช่น มีเมตตา ความปรารถนาดี
     
  11. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ปุจฉา ๒ - กราบเรียนถามพระอาจารย์เจ้าค่ะ งานทอดกฐินที่ผ่านมา (กฐินสามัคคี) ดิฉันเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการหาเงินไปทอดในครั้งนี้ แต่ดิฉันไม่ได้ถือผ้าไตรและประเคนพระสงฆ์ตามความตั้งใจ คนถือเป็นสามีดิฉัน ดิฉันตั้งใจมากในการทอดกฐินในครั้งนี้ แต่ดิฉันกลัวว่าจะไม่ได้อานิสงส์ในครั้งนี้ค่ะ พระอาจารย์ให้ความกระจ่างด้วยเจ้าค่ะ

    วิสัชนา - บุญจะมีอานิสงส์มากหรือน้อย อยู่ที่การวางใจเป็นสำคัญ แม้คุณไม่ได้ออกเงิน แต่อนุโมทนาที่ผู้อื่นได้ออกเงินถวายทาน คุณก็ได้บุญแล้ว เรียกว่า ปัตตานุโมทนามัย หรือบุญที่เกิดจากการยินดีในความดีที่ผู้อื่นได้ทำ ดังนั้นถึงแม้คุณไม่ได้ถือผ้าไตรและประเคนถวายพระสงฆ์ คุณก็ได้บุญแล้ว หากมีใจปีติยินดีที่ได้ทำบุญ

    ความเป็นห่วงว่าจะได้บุญหรือไม่ต่างหาก ที่ทำให้ใจเศร้าหมอง บุญย่อมลดลงตามส่วน หรือทำบุญแล้วอยากได้อานิสงส์มาก ๆ บุญก็น้อยลงไปด้วย เพราะใจนั้นมีกิเลสเจือปน ตรงข้าม หากทำบุญแล้ว มุ่งประโยชน์แก่ผู้รับ ไม่ปรารถนาหรือคาดหวังประโยชน์ที่จะเกิดแก่ตนเลย คือทำบุญด้วยใจปล่อยวางอย่างแท้จริง กลับจะได้บุญมาก

    ใครที่ทำบุญแล้วอยากได้โน่นได้นี่ หรือเป็นนั่นเป็นนี่ พึงพิจารณคำสอนของพระสารีบุตรที่ว่า “บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมไม่ให้ทานเพราะเห็นแก่อุปธิสุข(โลกียสุข) ย่อมไม่ให้ทานเพื่อภพใหม่ แต่ บัณฑิตเหล่านั้นย่อมให้ทานเพื่อกำจัดกิเลส เพื่อไม่ก่อภพต่อไป”

    http://www.visalo.org/QA/Q551229_3.htm
     
  12. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    โลกและธรรมเป็นของคู่กัน เพราะอยู่ในกันและกัน

    บางคนเห็นแต่โลกไม่เห็นธรรม
    บางคนเห็นแต่ธรรมไม่เห็นโลก
    บางคนเห็นทั้งโลกและธรรม

    ประเภทแรก เห็นแต่โลกไม่เห็นธรรม มักจะหลงโลก มัวเมาไปในกิเลสตัณหา กามราคะ ประเภทนี้ส่วนใหญ่จะเจ้าเล่ห์เพทุบาย ฉลาดแกมโกง หรือไม่ก็ระทมทุกข์สุดๆ

    ประเภทที่สอง เห็นแต่ธรรมไม่เห็นโลก ประเภทนี้อยู่ทางโลกลำบาก เพราะจะถูกเบียดเบียนอยู่ตลอดเวลา ยอมเค้าไปซะหมด

    ประเภทที่สาม เห็นทั้งโลกและธรรม ประเภทนี้ยอดเยี่ยมที่สุด เพราะมีความสมดุลทางอารมณ์ รู้จักพลิกแพลงได้ทันตามสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงต่างๆ จิตสงบ
     
  13. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    พึงพิจารณา ถามตัวเองบ่อยๆ ว่านั่งกรรมฐานเพื่ออะไร

    ทุกวันนี้ก็ยังไต่สมาธิกันอยู่เลยนะ วนเวียนกันอยู่แต่นิมิตสมาธินั่นแหละ ไปตรงไหนก็พบเจอแต่เรื่องนิมิตที่เกิดจากสมาธิ เกิดจากจิตมาแสดงให้ดู แต่ปัญญายังไม่เกิด
    มันจะเกิดได้อย่างไร ในเมื่อจิตยังหลงปรุงแต่งไปตามนิมิตที่เห็น ไม่ยอมก้าวขึ้นไปพิจารณาธรรมข้อไตรลักษณ์ ยังหลงกันอยู่ว่านิมิตต่างๆ เหล่านั้น คืออิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เป็นสิ่งวิเศษที่เกิดจากจิตที่วิเศษกว่าคนอื่น หลงไปว่าเป็นคนวิเศษไม่ธรรมดา เห็นเทวดา เห็นนางฟ้า เห็นพญานาค เป็นต้น เอากันเข้าไป บางคนก็เที่ยวไปส่องคนโน้นคนนี้ด้วยพลังทางจิต

    เห็นแล้วได้อะไร ถามหน่อยซิ เห็นแล้วหลุดพ้นจากทุกข์ จากกิเลสตัณหาหรือเปล่า? เท่าที่ดูๆ มา แต่ละคนที่เห็น พอเห็นแล้วก็หลงเข้าไปยึดติดหนักกว่าเดิมซะอีก เป็นเรื่องเป็นราวกันไปเลย

    ก็ได้เห็นจากตัวเองนี่แหละ ไม่งั้นจะพูดถูกรึ เมื่อก่อนก็เคยติดนิมิต แต่ไม่ได้ค้นหาเรื่องเท็จจริงของนิมิต แต่ติดที่มันสวยงาม มันมีความสุขตรงนั้น มันเป็นอีกโลกหนึ่งที่ไม่มีอยู่ในโลกของความเป็นจริง ติดอย่างนี้ก็ทำให้ไม่ก้าวหน้าเช่นกัน เพราะเอาจิตไปวางไว้ในเรื่องความสุข ติดสมาธิอยู่กับการนั่งสมาธิเป็นเวลาสิบกว่าปี ไม่ไปไหนเลย มองหาธรรมก็ไม่เห็น ธรรมมันอยู่ตรงไหนว้าาาาา ตอนนั้นนะคิดอย่างนี้

    เราก็ปฏิบัติถูกต้องตามที่ครูบาอาจารย์เคยสอนทุกอย่าง ลำดับฌานก็เป็นไปตามที่เคยเรียนรู้มาทุกอย่าง แต่ทำไมไม่เห็นธรรมสักที มันต้องมีวิธีซิน่า ไม่งั้นพระพุทธองค์หรือครูบาอาจารย์ท่านจะสำเร็จกันได้ยังไง เสียเวลานะ สิบกว่าปีกับสมถสมาธิที่ไม่ก้าวหน้าเนี่ย

    การที่จะเห็นธรรมได้ จิตต้องอยู่ในฌานแล้วพิจารณาธรรมด้วยการเจริญวิปัสสนา ไม่ว่านิมิตใดจะเกิดก็น้อมเข้ามาพิจารณาให้เห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป พิจารณาซ้ำๆ จะเห็นธรรม บรรลุธรรม จิตต้องอยู่ในฌานสี่เท่านั้น ไม่ใช่แค่ขณิกะแล้วเห็นนิมิตก็คิดว่าใช่ มันไม่ใช่ จิตที่อยู่ในระดับของขณิกะสมาธิ นิมิตนี้ถือว่าเป็นนิมิตปลอมเกิดจากจิตปรุงแต่ง เพราะจิตมันยังไม่นิ่งเลย ยังมีการซัดส่าย

    อีกอย่างคือความลำเอียงเข้าข้างตัวเองนี่แหละ ที่ทำให้ยึดติดกับสภาวะต่างๆ ที่เกิดจากการนั่งสมาธิแต่ยังไม่ถึงสมาธิ ก็ทึกทักว่านั่นคือสมาธิ
     
  14. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ธรรมชาติไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ก็มีความเท่ากันในการเกิด แก่ เจ็บ ตาย

    กายสังขารถูกย่อมาจากธรรมชาติใหญ่ๆ จากจักรวาล จากโลก มีกระบวนการต่างๆ ที่เหมือนกัน ไม่แตกต่างกันเลย เฉกเช่นเดียวกันกับขั้นตอนกระบวนการทำงานของงานบริการหรือขาย ขององค์กรใหญ่ๆ ไปจนถึงองค์กรเล็กๆ

    ขั้นตอนการทำงานก็เหมือนๆ กัน เท่าๆ กัน แตกต่างกันที่จำนวนบุคลากรเท่านั้นเอง เมื่อมีจำนวนมากรายละเอียดปลีกย่อยก็มากตามไปด้วย วิธีการทำงานจึงมีรายละเอียดเพิ่มตามไปด้วย แต่ขั้นตอนยังคงเดิม เท่าเดิม

    ดังนั้น กายสังขาร จะเรียกว่า จักรวาลหรือโลกก็ได้ มีองค์ประกอบของธาตุทั้งสี่ คือดิน น้ำ ลม ไฟ เหมือนกัน มีการเกิด การแก่ การเจ็บ การตายเหมือนกัน ถ้าผู้ที่ได้ศึกษาตามตำราเรื่องโลกและจักรวาลมาทั้งหมดแล้วก็คงจะเห็นตามนี้

    ในก้อนดินหนึ่งก้อน ก็ประกอบไปด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ
    ในก้อนหินหนึ่งก้อน ก็ประกอบไปด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ
    ในต้นไม้หนึ่งต้น ก็ประกอบไปด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ
    ในร่างกายมนุษย์ ก็ประกอบไปด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ

    ตลอดจนวัตถุอื่นๆ ถ้ายกขึ้นมาพิจารณา ก็จะเห็นว่ามันคือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เช่นกัน

    ดังนั้น เมื่อเรารู้ธรรมชาติ ศึกษาธรรมชาติจากภายนอกแล้วน้อมเข้ามาสู่ภายใน มันจึงไม่เป็นเรื่องยากในการที่จะเข้าไปรู้ธรรมชาติของกายและจิตตน

    ทีนี้ เราลองมองอย่างผู้บริหารระดับซีอีโอกัน โดยเป็นผู้กำหนดนโยบายเป็นหลัก เราจะปฏิวัติเลิกเป็นลูกน้อง เลิกเป็นลูกจ้างกันแระ เราหันมามองและพิจารณาธรรมที่เป็นหลักๆ ไม่ดีกว่าหรือ?

    ด้วยรักและห่วงใย...

    สามแดนโลกธาตุ

    ตัวสะกดและความหมายชัดเจนมาก ไม่ว่าโลกไหนๆ ก็มีเพียงธาตุ และธาตุต่างๆ ก็เป็นเพียงนามกับรูป นามกับรูปล้วนอยู่ในกฏไตรลักษณ์ มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ย่อมเป็นที่ชัดเจนเข้าไปอีกว่าไม่มีสิ่งใดเลยที่จีรังยั่งยืนในสามแดนโลกธาตุนี้

    พากันละออกจากความยึดมั่นถือมั่นกันเถอะ ยกเอามายาที่ห่อหุ้มใจนี้ออกไปซะ สิ่งใดที่มีอายุล้วนไม่เที่ยง

    คำว่า "อายุ" ไม่มีในที่ใด? รู้กันหรือไม่?

    เราเรียนเพื่อรู้....เรารู้เพื่อละ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ตุลาคม 2014
  15. kimberly

    kimberly เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,627
    ค่าพลัง:
    +5,233
    เยี่ยมเพื่อนสุดlovess (f)(f)(f)
     
  16. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ขอเล่าแบบหยาบๆ
    เขียนไว้เมื่อวันที่ 17-10-2014

    วันนี้พิจารณาเรื่องอาหารเก่า อาหารใหม่

    ทานข้าวมื้อเช้าเวลาสิบโมง

    ตักข้าวใส่จาน 1 ทัพพี ราดด้วยแกงเผ็ดไก่ใส่มะเขือพวง เอาช้อนคลุกกับข้าวและข้าวจนกลมกลืนกันดีแล้ว จากนั้นก็เอาช้อนตักข้าวเข้าปาก เคี้ยวๆๆๆๆ ฟันกรามขบบดอาหาร จนอาหารในปากละเอียดดีแล้ว กลืนลงไปในคอ เมื่อกลืนแล้วก็ตักใส่ปากใหม่ ทำเหมือนเดิมไปเรื่อยๆ จนอาหารที่อยู่ในจานหมด อาหารถูกย้ายลงไปอยู่ในพุงแระ 555

    ดื่มน้ำสามสี่อึก รู้สึกอิ่ม นั่งดูทีวีสักพัก อาการง่วงกำเริบ เอนตัวลงบนเตียง ครึ่งนั่งครึ่งนอน ทอดสายตามองทีวี ทีวีอยู่ปลายเตียง ดูทีวีก็ดูไปอย่างนั้นเอง ไม่รู้เรื่องหรอก แต่ก็ดู เป็นละครย้อนหลังเรื่องพราว

    จิตไปจับอยู่ที่พุง สักพักอาหารที่กลืนลงคอไป มันตีขึ้นมา ก็มองดูมันพร้อมๆ กับดูละครไปด้วย ในละครเป็นตอนที่พราวถูกผู้ชายสองคนเข้าไปทำร้ายในห้อง ดูบ้างไม่ได้ดูบ้าง บางทีก็ฟังเสียงอย่างเดียว จิตมองอาหารที่ตีขึ้นมาแล้วก็ไหลลงไปกองในกะเพาะอาหารเหมือนเดิม มันยังไงล่ะ มันเห็นอ่ะ เห็นอาหารที่กลืนกินลงไปแช่อยู่ในกะเพาะ รอการย่อยจากระบบย่อยอาหารของร่างกาย เม็ดข้าวที่เราคิดว่าเคี้ยวจนละเอียดดีแล้ว มันก็มีบางเม็ดที่ยังหยาบอยู่ พอมันลงไปรวมกับน้ำและน้ำลายแช่อยู่ในกะเพาะ ก็พองตัวขึ้นมา นึกถึงสุนัขที่อาเจียรอาหารออกมา อาหารในพุงเหมือนอย่างนั้นเลย

    จิตบอกว่ามีแต่ของเน่าอ่ะ ในร่างกายนี้ ถ้ากะเพาะและลำไส้ไม่ย่อยอาหารด้วยสาเหตุใดก็ตาม อาหารที่กินเข้าไปและแช่อยู่ในนั้น ก็กลายเป็นของบูดของเน่า

    จิตแยกออกจากกาย จิตบอกว่านี่ไม่ใช่เรา กายเนื้อนี้ไม่ใช่เรา กายเนื้อก็คือกายเนื้อ ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ก็มันเน่าอ่ะ มีแต่ของบูดของเน่าทั้งนั้น ตาก็ดูทีวี พิจารณาตามทีวีด้วย แหมๆ คนอะไรสามารถหลาย 555 เอาตัวเองเข้าไปเปรียบเทียบกับละคร แล้วถามตัวเองว่า....................... จบ

    เล่ามากบ่ได้ บ่ดี มันดูโอเวอร์แอคติ้ง อิอิ

    การพิจารณาอาหารมีประโยชน์อย่างนี้นี่เอง เมื่อก่อนก็สงสัยว่าทำไมพระท่านต้องพิจารณาอาหารก่อนที่จะฉัน และพิจารณาตลอดทุกอิริยาบถจนกลืนอาหารลงไป
    "อัชชะ มะยา อะปัจจะเวกขิตวา โย ปิณฑะปาโต ปะริภุตโต
    โส เนวะทวายะ นะ มะทายะ นะมัณฑะนายะ นะ วิภูสะนายะ
    ยาวะเทวะ อิมัสสะ กายัสสะ ฐิติยา ยาปะนายะ วิหิงสุปะระติยา
    พรัหมจะริยานุคคะหายะ อิติ ปุราณัญจะ เวทะนัง ปะฎิหังขามิ
    นะวัญจะ เวทะนัง นะ อุปปาเทสสามิ"

    ปล. เรื่องที่ไม่ได้เล่าคือเรื่องการพิจารณากามราคะ รอให้แน่ใจกว่านี้อีกสักหน่อยจะมาเล่าให้ฟังแล้วกันนะ
     
  17. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    รู้จัก วิปัสสนูปกิเลส กับดักขวางการปฎิบัติ และทางแก้ไข โดย หลวงปู่ดูลย์ อตุโล


    ในการปฏิบัติพระกัมมัฏฐานนั้น ในบางครั้งก็มีอุปสรรคขัดข้องต่างๆ รวมทั้งเกิดการหลงผิดบ้างก็มี ซึ่งหลวงปู่ดูลย์ อตุโล แห่งวัดบูรพาราม จ.สุรินทร์ เคย อธิบายเรื่องนี้ว่า เมื่อได้ทำสมาธิจนสมาธิเกิดขึ้น และได้รับความสุขอันเกิดแต่ความสงบพอสมควรแล้ว จิตก็ค่อยๆ หยั่งลงสู่สมาธิส่วนลึก นักปฏิบัติบางคน จะพบอุปสรรคสำคัญอย่างหนึ่ง เรียกว่า วิปัสสนูปกิเลส เกิดแก่ผู้ปฏิบัติวิปัสสนาอันต้องมีสมาธิหรือฌานเป็นบาทฐานนั่นเอง

    ** ข้อสำคัญ วิปัสสนูปกิเลสนี้เป็นกับดักขัดขวาง เกิดขึ้นตลอดสายของการปฏิบัติ ! **

    ตลอดเส้นทางวิปัสสนา ถึงแม้ว่าปฎิบัติวิปัสสนาอย่างถูกต้อง วิปัสสนูปกิเลสนี้ก็ยังสามารถเกิดขึ้นได้ แต่เบาบางและเป็นไปในลักษณะลดน้อยถอยลงไปทุกขณะตามภูมิรู้ภูมิญาณที่เกิด ขึ้น แต่เมื่อใดที่การปฏิบัตินั้นเป็นไปอย่างผิดๆหรือเป็นมิจฉาสมาธิ เมื่อ นั้นวิปัสสนูปกิเลสจะรุนแรงและเฟื่องฟูขึ้นตลอดเวลาในลักษณะเพิ่มพูนสะสมจน เป็นอันตรายต่อตนเองอย่างรุนแรงโดยไม่รู้ตัว เพราะการถูกครอบงำของจิต ดังคำหลวงปู่ดูลย์กล่าวว่า


    "สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ (วิปัสสนูปกิเลส) ว่าถึงประโยชน์ก็มีประโยชน์เหมือนกัน มีส่วนดีอยู่เหมือนกัน

    คือจะได้เป็นบรรทัดฐานเป็นเครื่องนำสติ มิให้ตกสู่ภาวะนี้อีก เป็นแนวทางตรงที่จะได้นำมาประกอบการปฏิบัติ ให้ดำเนินไปอย่างมั่นคง ในแนวทางตรงต่อไป”
     
  18. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    รู้จักวิปัสสนูปกิเลส

    วิปัสสนูปกิเลส แปลว่า อุปกิเลสแห่งวิปัสสนา, เครื่องทำให้วิปัสสนาเศร้าหมอง คือ อารมณ์ที่เกิดขึ้นแก่ผู้ปฏิบัติกรรมฐานและได้เสวยผลแห่งวิปัสสนาอ่อน ๆ ก็เกิดความเข้าใจผิดคิดว่าตนเองได้บรรลุมรรคผล จึงหลงเพลิดเพลินอยู่แล้วหยุดบำเพ็ญเพียรเสีย ทำให้ไม่ได้รับความก้าวหน้าในวิปัสสนาญาณต่อไป จัดเป็นสิ่งขัดขวางไม่ให้บรรลุธรรมชั้นสูง


    วิปัส สนูปกิเลส เป็นอารมณ์ของสมถะไม่ใช่อารมณ์วิปัสสนา มักเกิดจากการหลงเน้นปฏิบัติแต่ ฝ่ายสมถะหรือสมาธิจนเสียการ โดยขาดการนำไตรลักษณ์มากำกับสภาวะที่เกิดขึ้นเท่าที่ควรเสียนั่นเอง ซึ่งเกิดได้ตลอดสายของการปฎิบัติวิปัสสนากรรมฐาน

    จะเริ่มเกิดขึ้น เมื่อเข้าอุทยัพพยานุปัสสนาญาณ หรือญาณที่ 4 ใหม่ ๆ อัน เมื่อช่วงผู้ปฏิบัติวิปัสสนาสามารถยกเอารูปธรรมและนามธรรมทั้งหลาย ขึ้นมาพิจารณาเป็นหมวด ๆ ตามแนวไตรลักษณ์ที่ละอย่าง ๆ จนเริ่มมองเห็นความเกิดขึ้น และความเสื่อมไปแห่งสังขารทั้งหลายอัน เป็นญาณเกี่ยวกับการเห็นการเกิดขึ้นและดับไปของขันธ์ 5 หรือสังขารในปัจจุบันจิตหรือปัจจุบันธรรม ในขณะที่เริ่มเกิดขึ้นใหม่ๆนี้ เรียกย่อยลงไปว่า ดรุณวิปัสสนา (วิปัสสนาญาณอ่อน ๆ ) ถ้ารู้เท่าทันผ่านพ้นไปได้ ไม่ไปติดไปยึดในสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น

    ฉะนั้น เมื่อวิปัสสนูปกิเลสเกิดขึ้นก็ให้พิจารณาให้ดีและให้มีสติ อย่าหลงอยู่ในวิปัสสนูปกิเลสเหล่านี้เป็นอันขาด เพราะจะทำให้การปฏิบัติหยุดชะงักไม่ก้าวหน้าถึงญาณเบื้องสูง
     
  19. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    วิปัสสนูปกิเลสจะเกิดขึ้นกับผู้ใด ? และไม่เกิดกับผู้ใดบ้าง ?

    วิปัสสนูปกิเลส มิใช่สิ่งเลวร้ายแต่จะเกิดขึ้นตลอดทางเมื่อเริ่มเข้าสู่เส้นทางวิปัสสนา และจะเกิดขึ้นแก่ผู้ปฏิบัติโดยชอบ ประกอบความเพียร ผู้เริ่มต้นบำเพ็ญวิปัสสนาแล้วเท่านั้น จึงเป็นสัญญาณให้ผู้ปฎิบัติได้ทราบว่า ได้เข้าสู่หนทางสายวิปัสสนาซึ่งจะเริ่มเห็นไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

    จึง ถือว่าเป็นอุปสรรคเพื่อให้ติดความเผลอเพลิน ทำให้ไม่ได้รับความก้าวหน้าใน วิปัสสนาญาณต่อไป จัดเป็นสิ่งขัดขวางไม่ให้บรรลุธรรมชั้นสูง

    แต่วิปัสสนูปกิเลสจะไม่เกิดขึ้นแก่

    1. พระอริยสาวก ผู้บรรลุปฏิเวธแล้ว

    2. ผู้ปฏิบัติผิด (เริ่มต้นมาแต่ศีลวิบัติ)

    3. ผู้ละทิ้งกรรมฐาน

    4. บุคคลเกียจคร้าน (แม้ปฏิบัติถูกมาแต่เริ่มต้น) แม้จะปฏิบัติถูก ต้องมาตั้งแต่เริ่มต้น เมื่อวิริยะความเพียรน้อยก็ทำให้มีกำลังสมาธิอ่อน เพราะว่าอารมณ์ในวิปัสสนูปกิเลสนั้นเกิดขึ้นจากกำลังสมาธิ
     
  20. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    วิปัสสนูปกิเลส 10 ได้แก่

    1. โอภาส - แสงหรือภาพ เห็น แสงสว่างสุกใสหรือนิมิต เห็นแสงต่าง ๆ ภาพต่าง ๆ เห็นแสงสว่างรอบ ๆ สิ่งหนึ่งสิ่งใด เช่น พระพุทธรูปที่เป็นกสิณ หรือเห็นเจิดจ้าสว่างไสวไปทั่ว หรือแสงออกจากร่างกายตน รูปนิมิตต่างๆ แล้วไปน้อมเชื่อด้วยอธิโมกข์อย่างเป็นจริงเป็นจัง ว่าเป็นจริงอย่างนั้นจริงแท้แน่นอน

    ซึ่งความจริงแล้ว สิ่งเหล่านี้ต้องเกิดขึ้นอันเป็นปกติตามธรรมชาติของจิตเมื่อเป็นฌานสมาธิโดย เฉพาะในระยะแรกๆ แต่เมื่อผู้ปฏิบัติเข้าใจผิดไปน้อมเชื่อในความตื่นตา ตื่นใจ จึงน้อมคิดปรุงแต่งไปต่าง ๆ นานา ว่าเป็น บุญ อิทธิปาฏิหาริย์ อันตื่นตา ตื่นใจ ไปยึดมั่นหมายมั่นพึงพอใจหรือน้อมเชื่ออย่างรุนแรงด้วยความไม่รู้ตามความ เป็นจริง ว่าโอภาสหรือนิมิตต่างๆที่เกิดขึ้นนั้นด้วยอวิชชา จึงทําให้ติดเพลิน(นันทิ -อันคือตัณหา)



    เมื่อเกิดนันทิอันคือตัณหา ย่อมเกิดอุปาทาน ภพ(รูปภพ) ชาติ คือการเกิดขึ้นของกองทุกข์ตามมาโดยไม่รู้ตัว และเกิดความคิดนึกปรุงแต่ง ต่างๆนาๆไปทางฤทธิ์ ทางเดช ทางบุญ ทางกุศลโดยไม่รู้ตัว ทำให้เกิดอาการที่เรียกกันทั่วๆไปว่า ติดนิมิต
     

แชร์หน้านี้

Loading...