>>> อวดรู้ (รู้แล้วได้อะไร) <<<

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย nouk, 19 กรกฎาคม 2012.

  1. nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    2. ปีติ - ความอิ่มใจ ความ อิ่มเอิบ ซาบซ่าน อันเกิดขึ้นทั้งต่อกายและใจอันได้จากการปฏิบัติสมถะหรือสมาธิ ปีติมีอยู่ 5 แบบซึ่งก่อให้เกิดความอัศจรรย์ ความสุข ความสบาย ความพิศวง พึงพอใจ หรือลุ่มหลง แปลกใจ ทําให้หลงใหลอยู่ในเวทนาของสังขารขันธ์ชนิดนี้ว่าเป็นของดีของวิเศษ โดยลืมตัวเพราะอวิชชาความไม่รู้

    ความจริงแล้ว สิ่ง เหล่านี้เป็น ธรรมชาติธรรมดา ๆ อันพึงเกิดแก่ผู้ปฏิบัติถูกต้องทั่ว ๆ ไปเป็นธรรมดา เป็นเพียงแค่ทางผ่านของฌานสมาธิ แต่เพราะอวิชชาความไม่รู้ จึงเกิดการติดเพลิน ไปยึดไปอยากด้วยอธิโมกข์

    ทำให้เกิดอาการที่เรียกกันว่า ติดปีติ กล่าวคือ มีอาการจิตส่งไปภายในตน ไปคอยจ้องเสพความอิ่มเอิบต่างๆ อยู่เนือง ๆ ทั้งโดยรู้ตัวและที่สำคัญยิ่งก็คือโดยไม่รู้ตัว
     
  2. nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    3.ญาณ - ความรู้หรือปัญญา แต่ญาณในวิปัสสนูปกิเลสหมายถึงเป็นมิจฉาญาณนั่น เอง คือเป็นความรู้หรือความเข้าใจแบบผิด ๆ เป็นเพียงความรู้สึกว่าตนเองมีภูมิรู้ภูมิธรรมหรือความรู้ความเข้าใจสิ่ง ต่างๆหรือธรรมต่างๆแจ่มแจ้งดีแล้ว ถูกต้องถ่องแท้แล้ว หรือเกิดแต่นามนิมิต (ความคิดหรือความรู้ที่ผุดแสดงขึ้นในใจ อันเกิดแต่ใจหรือสัญญาของนักปฏิบัติเป็นสำคัญ มิได้เกิดแต่ปัญญาหรือเป็นไปตามหลักเหตุผล) เสียงนิมิต(เสียงที่ผุดขึ้นได้ ยินแต่นักปฏิบัติ อันเกิดแต่ใจหรือสัญญาของนักปฏิบัติเป็นสำคัญ) แต่เกิดแต่ความเข้าไม่ถูก ต้องหรือมิจฉาญาณ แล้วน้อมเชื่อด้วยอธิโมกข์

    ดังนั้นเมื่อคิดว่ามี ความรู้ความเข้าใจจากมิจฉาญาณดังกล่าว จึงทำให้เข้าใจผิด หรือหยุดการพิจารณาด้วยปัญญาเสียกลางคัน ก่อนที่จะไปถึงจุดหมายด้วยคิดว่าเข้าใจดีถูกต้องแล้ว หรือคิดว่าได้มรรคผลใดแล้ว

    จึงทําให้เกิดทิฏฐิ ไม่รับฟังความคิดความ เห็นจากผู้รู้หรือ ผู้อื่นที่แนะนําข้อผิดพลาดได้ เพราะหลงคิดและเข้าใจไปว่าตนเองเข้าใจถูกต้องแล้วอย่างแรงกล้าด้วย อธิโมกข์ จึงเกิดการออกนอกลู่นอกทางเป็นโทษโดยไม่รู้ตัวด้วยอวิชชา ทำให้เกิดอาการติดผู้รู้ หรือมิจฉาญาณ คือยึดมั่นเชื่อถือในความเชื่อหรือปัญญาที่เกิดขึ้นอย่างผิดๆขาดปัญญา และเป็นอย่างงมงายถอนตัวไม่ขึ้น
     
  3. nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    4. ปัสสัทธิ - ความสงบกายและจิต จึงเกิดอาการที่เรียกกันว่า ติดสงบ มี ความรู้สึกสงบกาย สงบใจ อันเนื่องจากจิตเป็นสมาธิหรือฌาน จิตย่อมไม่ส่งส่ายออกไปปรุงแต่งให้เกิดการผัสสะกับสิ่งต่าง ๆ นา นา ให้เกิดเวทนาต่าง ๆ ขึ้น จึงย่อมเกิดการผ่อนคลายทั้งกายและใจ จึงไม่ทุกข์ ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่กระวนกระวาย อันเป็นไปตามหลักเหตุและผล หรือเหตุปัจจัยอันย่อมต้องเกิดขึ้นเช่นนี้เป็นธรรมดา แต่ไปติดอยู่ในความสงบสบายเหล่านั้นด้วยเข้าใจผิดว่าสมบูรณ์ดีแล้ว ทําให้หยุดการปฏิบัติด้วยคิดว่า สงบกาย สงบใจดีแล้ว พอใจแล้ว พอพ้นทุกข์แล้ว หรือมีปัญญาแค่นี้ จึงจมแช่อยู่เยี่ยงนั้น ทําให้ตัดทอนโอกาสอันดีงามในการก้าวต่อไปข้างหน้า เกิดการหยุดชงักงัน ไม่ภาวนาให้เจริญต่อไป

    กลายเป็นการติดเพลินจมแช่อยู่ในความสงบ ซึ่งในบางครั้งเกิดจากการจดจ้อง จดจ่อ คือหมกมุ่นหรือแช่นิ่งอยู่กับความสงบที่เกิดขึ้นในกายหรือในจิตตน หรือก็คืออาการจิตส่งในอย่าง หนึ่งนั่นเอง จนไม่สังเกตุรู้สภาวะรอบข้างใดๆอย่างมีสติเท่าที่ควร และทำให้ธาตุขันธ์แปรปรวน เป็นผลของฌานสมาธิอันไม่เที่ยง ซึ่งมีการแปรปรวนเป็นธรรมดา เกิดการครอบงําโดยไม่รู้ตัวด้วยอวิชชา ที่คิดว่าดีแล้ว ถูกแล้วจนขาดการพิจารณา

    อาการนี้มักเป็นมากในผู้ที่ปฏิบัติ ไปในทางมิจฉา สมาธิต่างๆ เช่น นั่งเอาแต่ในความสงบ หรือสวดมนต์หรือบริกรรมซ้ำซ้อนยาวนานแต่อย่างเดียว แต่ขาดการเจริญปัญญา เมื่อถูกกระทบจนความสงบหวั่นไหว ก็มักมีโทสะ หรืออ่อนเปลี้ยทันทีที่จิตหวั่นไหวเลื่อนไหลหลุดออกจากความสงบ แม้ความสบาย
     
  4. nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    5. สุข - ความสบายกายสบายจิต ทำให้เกิดอาการที่เรียกกันว่า ติดสุข เพราะ มีความรู้สึกเป็นสุข ความสบาย ทั้งทางใจและทางกาย สบายกาย สบายใจล้วนแต่เป็นผลจากสมถะอันยังให้เกิดสารคัดหลั่ง จึงทำเกิดการติดเพลิน(นันทิ-ตัณหา)ไปยึดในความพึงพอใจในผลของสุข อันเกิดแต่ฌานและสมาธินี้ทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัวเพราะความไม่รู้

    จึง ทําให้ก่อเกิดโทษต่างๆตามมา อันเป็นผลเสียทั้งต่อกายและต่อจิตอย่างรุนแรง ทําให้การปฏิบัติธรรมต้องหยุดชงักงัน เพราะหลงติดด้วยจิตส่งในไปเพราะความไม่รู้ไม่เข้าใจ (ติดปิติ,สุข,อุเบกขา ในฌาน) และย่อมเกิดอาการของจิตส่งในไปคอยเสพความสุขความสบายที่เกิดขึ้นจากอำนาจของฌานสมาธิเช่นเดียวกับปัสสัทธิ
     
  5. nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    6. อธิโมกข์ - ความน้อมใจเชื่อ เป็น ศรัทธาจึงน้อมใจไปเชื่อแต่ไม่ประกอบด้วยปัญญา กล่าวคือขาดเหตุผลหรืองมงาย ไม่มีที่มาที่ไป หรือไม่มีเหตุมีผลนั่นเอง เนื่องจากประสบผลสําเร็จบางส่วนในการปฏิบัติ ทำให้เกิดผลบางสิ่งขึ้น หรือเกิดความเชื่อตามที่ได้ยินเขาร่ำลือกันต่อๆมา ฯลฯ. จึงทําให้เกิดศรัทธาอย่างแรงกล้า ซาบซึ้ง เลื่อมใส จิตสว่างเจิดจ้าที่หมายถึงหมดความเศร้าหมอง จึงเกิดการหมายยึดเป็นที่พึ่ง ทางใจโดยไม่รู้ตัว แต่เป็นไปแบบขาดปัญญา หรืออย่างงมงายอย่างขาดเหตุผล

    เกิดแต่ความเชื่อ มิได้เกิดแต่ความเข้าใจขั้นปัญญา เช่น อยากสร้างโบสถ์วิหารใหญ่เกินตัวเพื่อทดแทนพระคุณพระศาสนา อยากสอนธรรมะผู้อื่นตามแนวทางตน, อยากให้ผู้อื่นได้ปฏิบัติบ้างเหมือนตน อยากทําบุญทําทานต่างๆเกินฐานะ ทําบุญสะเดาะเคราะห์กรรมต่างๆ น้อมเชื่อในนนิมิตที่เห็นอย่างแน่นแฟ้น น้อมเชื่อปฏิบัติตามคำสอนแต่อย่างงมงาย ซึ่งล้วนแต่เป็นไปในลักษณะของทั้งทิฏฐุปาทานและสีลัพพตุปาทาน คือ อุปาทานชนิดยึดมั่นในกิเลสเพื่อความพึงพอใจในความคิดความเชื่อของตน



    ศรัทธา ที่ถูกนั้นเป็นสิ่งจําเป็นในการปฏิบัติ แต่ต้องไม่เป็นไปอย่างงมงาย ประกอบด้วยเหตุผล จึงดําเนินไปด้วยปัญญา(สัมมาปัญญา)จึงจักถูกต้อง ไม่ใช่ด้วยอธิโมกข์
     
  6. nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    7. ปัคคาหะ - ความเพียรที่พอดี แต่ในวิปัสสนูปกิเลสหมายถึง เพียรมากจนเกินพอดี เกินเหตุชนิดมุทะลุ จึงย่อมตึงเครียดต่อการปฏิบัติมักเนื่องจากปฏิบัติผิดวิธี หรือติดตรึงใจในผลความสุขความสงบความสบาย หรือมีความเข้าใจแล้วต้องการให้บรรลุหรือสมประสงค์โดยไวด้วยความเพียร แต่ลืมทางสายกลาง ทําให้เกินพอดี

    ทําให้เกิดอาการเครียดต่างๆทั้งต่อ จิต และกาย และมักเกิดจากผลที่ดีที่บังเกิดขึ้นในระยะแรกๆจากการปฏิบัติสมถสมาธิอัน เกิดแต่อำนาจขององค์ฌานหรือสมาธิ จึงเป็นแรงขับดันให้เพียรปฏิบัติอย่างมุทะลุลืมตัว โดยไม่รู้ตัว
     
  7. nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    8. อุปัฏฐานะ - สติชัด แต่ที่นี้หมายถึง สติแก่กล้าเกินพอดี สติมากเกินพอดีไปในการปฏิบัติ เช่น จดจ้อง จดจ่อ อย่างต่อเนื่อง อย่างแรงกล้าแต่เฉพาะในสิ่งที่ยึดเป็นอารมณ์ หรือเฉพาะการปฏิบัติที่ปฏิบัติ อยู่แต่เท่านั้น

    นั่นคือ ขาดสติในสิ่งที่ไม่ได้กำหนด จนไม่รู้ผิดชอบชั่วดี หรือไม่รู้ในสิ่งที่ถูกหรือผิด ควรหรือไม่ควร เป็นมิจฉาสติ คือ ตั้งจิตอยู่กับสติตลอดเวลาในอารมณ์เดียวอย่างจดจ้องจดจ่อ (ยึดอารมณ์ หรือวิตก) แต่อย่างเดียว จนในที่สุดเป็นสังขารในปฏิจจสมุปบาทที่ประกอบด้วยอวิชชา แต่กลับขาดสติในสิ่งที่ไม่ได้กำหนด จนไม่รู้ผิดชอบชั่วดี หรือไม่รู้ในสิ่งที่ถูกหรือผิด ควรหรือไม่ควร ทําให้สติล้าตึงเครียด จนเกิดอาการต่างๆเพราะความตึงเครียดจากการปฏิบัติผิดมากเกินไป



    เรียกว่า สติชัดเกินไป จนขาดสัมปชัญญะ ทั้งที่ สตินั้นก็เป็นสังขารขันธ์อย่างหนึ่ง จึงควรรู้เท่าทันถึงความไม่เที่ยงเป็นธรรมดา มีการเกิดดับๆๆเป็นธรรมดา รู้ แต่สิ่งที่สติหรือจิตไปกำหนด(ยึดอารมณ์ หรือวิตก)แต่อย่างเดียวจนเป็นไปใน ลักษณะสมาธิควบไปด้วย จนไม่รับรู้ในสิ่งอันควรอื่นๆด้วยนั่นเอง จนในที่สุดสติอยู่แต่กับสิ่งนั้นๆที่เป็นอารมณ์จนถอนไม่ขึ้น
     
  8. nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    9. อุเบกขา - ความวางจิตเป็นกลาง ยังให้เกิดอาการที่เรียกกันว่า ติดอุเบกขา ติดแช่นิ่ง เพราะติดแช่นิ่งอยู่ภายในเป็นกลางวางเฉยอย่างขาดปัญญา, เป็นกลางวางเฉยแต่ อย่างงมงายผิดๆ, วางเฉยเสียสิ้นโดยขาดปัญญา แต่ย่อมรู้สึกสงบ ไม่ทุกข์ไม่ร้อน จึงไปเข้าใจผิดว่าดีแล้ว ถูกต้องแล้ว แต่เป็นไปในลักษณะแช่นิ่งอยู่ภายในจิต อย่างติดเพลิน เฉื่อยชา ใจลอย ไม่ยินดียินร้าย ไม่นิ่มนวลควรแก่การใช้งาน ขาดความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

    เวลา จิตหวั่นไหวหลุดจากองค์ฌานก็จะโกรธได้ง่ายๆ, แล้วไปเข้าใจผิดว่าเป็นอุเบกขาในโพชฌงค์ (ที่หมายถึงการวางเฉยหรือใจเป็นกลางอันดีงาม คือรู้เห็นตามความเป็นจริงทั้งในคุณในโทษของสภาวะธรรมนั้นๆ แล้ววางใจเป็นกลางอุเบกขา คือวางทีเฉยดูโดยการไม่เอนเอียงไม่แทรกแซงไปปรุงแต่งทั้งในด้านดีหรือด้าน ร้าย,ดีหรือชั่วเช่น เราดี หรือเขาชั่ว เราถูก หรือเขาผิด)

    แต่กลับ กลายเป็นอุเบกขาที่เกิดจากการปล่อยแช่นิ่งอยู่ใน ความสงบของมิจฉาสมาธิหรือฌานแบบผิดๆทั้งในสภาพที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว หรือเกิดจากการปฏิบัติชนิดกดข่มไว้ มิได้เกิดแต่ปัญญาที่เข้าใจ ล้วนแต่เป็นผลของการปฏิบัติสมถะสมาธิและวิปัสสนาผิดวิธีอย่างแน่นอน
     
  9. nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    10. นิกันติ - ความพอใจ มีความพึงพอใจในการปฏิบัติต่างๆของตนที่ผ่านมา พอใจในผลขององค์ฌานหรือสมาธิ เช่น ปีติ สุข อุเบกขา อันยังให้เกิดความสุข ความเบาสบาย, หรือโอภาส-ความสว่าง แสงสีต่างๆ หรือนิมิต, หรือมิจฉาญาณที่ เข้าใจผิดไปว่าได้บุญได้กุศล ตลอดจนพอใจในนิมิตหรือปาฏิหาริย์ต่างๆที่เกิดขึ้น หรือคิดขึ้นภายใต้อํานาจของสมถะที่ปฏิบัติและสารคัดหลั่งบางตัวที่มากเกิน ขนาดจากการปฏิบัติไปติดจมแช่อยู่เป็นระยะเวลานานๆ จะโดยรู้ตัวก็ดี ไม่รู้ตัวก็ดี จึงทําให้เกิดผลร้ายต่อการปฏิบัติอย่าง รุนแรง ทั้งต่อกายอันจะเกิดการเจ็บป่วยได้และต่อจิต, จึงก่อให้เกิดความพยายามปฏิบัติในสิ่งต่างๆเหล่านั้น เพื่อให้คงอยู่ ทำให้เป็นขึ้น อยู่ตลอดเวลา
     
  10. nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    หนทางแก้ไขวิปัสสนูปกิเลส

    อุปกิเลส 10 นี้มิ ใช่จะเป็นโทษแก่วิปัสสนาเท่านั้น ยังสามารถทำให้เกิดวิปลาสต่างๆ จนต้องเสียผู้เสียคนไปก็ได้ แต่จริงแล้ว ไม่ได้เป็นการวิกลจริต แม้บางครั้งจะมีอาการคล้ายคลึงคนบ้าก็ตาม เป็นเพียงสติวิกล อันเนื่องจากการที่จิตตั้งมั่นอยู่กับอารมณ์ภายนอก แล้วสติตามควบคุมไม่ทัน ไม่ได้ส่วนกันเท่านั้น

    ซึ่งหากสามารถแก้ไขได้จน สติตั้งไว้ได้สัดส่วนกัน จิตก็จะสงบเป็นสมาธิลึกลงไปอีก โดยยังคงมีสิ่งอันเป็นภายนอกเป็นอารมณ์อยู่นั่นเอง

    เมื่อ ผู้ปฏิบัติเป็นผู้มีสติอย่างดีเฉียบแหลม ผู้นั้นก็จะผ่านกับดักคือวิปัสสนูปกิเลสไปได้โดยการใคร่ครวญด้วยสติ ปัญญา เห็นเนืองๆ ในโอภาสว่า “โอภาสนี้มิใช่ของเรา เรามิใช่โอภาส โอภาสนี้มิใช่อัตตาของเรา” (การพิจารณา ญาณ ปีติ เป็นต้นก็เป็นไปทำนองเดียวกัน)

    เมื่อผู้ปฏิบัติพิจารณาเห็นอย่างนี้อยู่เสมอเนืองๆ ก็จะสามารถผ่านพ้นวิปัสสนูปกิเลสทั้งหลายได้
     
  11. nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    นั่นคือ หากช่วงเกิดวิปัสสนูปกิเลสแล้วมีสติสัมปชัญญะมั่น จะแก้ไขได้ และจะรู้เท่าทันได้ว่า “วิปัสสนูปกิเลสไม่ใช่ทาง” ให้ หมั่นรู้เท่าทัน เมื่อมันเกิดขึ้น ก็กำหนดพิจารณาด้วยปัญญาแห่งไตรลักษณ์ว่า โอภาสนี้ ญาณนี้ ฯลฯ หรือนิกันตินี้ เกิดขึ้นแล้วแก่เรา แต่ มันเป็นของไม่เที่ยง เกิดจากปัจจัยปรุงแต่ง จะต้องเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดา จิตจึงจะถอนออกจากอุปาทานที่ยึดอุปกิเลสนั้น แล้วกำหนดวิปัสสนาญาณที่ดำเนินถูกทาง ซึ่งจะพึงเดินต่อไป

    ทางปฎิบัติ ต้องคอยระวังจิตอย่าให้จิตน้อมเข้าสู่ความสุขเอกัคคตารวมเป็นหนึ่งได้ และอย่ายึดเอาอารมณ์ใด ๆ อันเป็นความสุขภายในของใจ เปลี่ยนอิริยาบถ 4 ให้เสมอ อย่ารวมอินทรีย์อันเป็นเหตุจะให้จิตรวม แต่ให้มีการงานทำเพื่อให้มันลืมอารมณ์ความสุขสงบเสีย

    แต่ ถ้าจิตรวมลงไปจนเกิดวิปลาสขึ้นแล้ว จิตเข้าไปยึดถือจนแน่นแฟ้นจนสำคัญตัวว่าเป็นผู้วิเศษไปต่างๆ นานา มีทิฐิถือรั้นไม่ยอมฟังเสียงใครๆ ทั้งหมด เมื่อถึงขั้นนี้แล้วก็ยากที่จะแก้ตัวเองได้ อาจารย์มักจะใช้วิธีขู่ขนาบให้กลัวหรือให้เกิดความโกรธอย่างสุดขีดเอาจนตั้ง ตัวไม่ติดยิ่งดี โดยมากมักใช้กับผู้ที่ติดในภาพนิมิตเพื่อให้จิตเคลื่อนออกจากจุดนั้น
     
  12. nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ตัวอย่างเกิดขึ้นจริงของวิปัสสนูปกิเลส

    ในประวัติของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล พอจะเห็นตัวอย่างของวิปัสสนูปกิเลส 2 ตัวอย่าง คือกรณีของท่านหลวงตาพวง และกรณีของท่านพระอาจารย์เสร็จ จะขอยกกรณีของหลวงตาพวงมาเล่าเพื่อประดับความรู้ต่อไป

    ศิษย์ของหลวงปู่ชื่อ หลวงตาพวง ได้มาบวชตอนวัยชรา นับเป็นผู้บุกเบิกสำนักปฏิบัติธรรมบนเขาพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์

    หลวง ตาพวงได้ทุ่มเทชีวิตจิตใจให้แก่การประพฤติปฏิบัติ เพราะท่านสำนึกตนว่ามาบวชเมื่อแก่ มีเวลาแห่งชีวิตเหลือน้อย จึงเร่งความเพียรตลอดวันตลอดคืน

    พอเริ่มได้ผล เกิดความสงบ ก็เผชิญกับวิปัสสนูปกิเลสอย่างร้ายแรง เกิดความสำคัญผิด เชื่อมั่นอย่างสนิทว่าตนเองได้บรรลุอรหัตผล เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งเป็นผู้สำเร็จผู้เปี่ยมด้วยบุญญาธิการ ได้เล็งญาณ (คิดเอง) ไปจนทั่วสากลโลกเห็นว่าไม่มีใครรู้หรือเข้าถึงธรรมเสมอด้วยตนบังเกิดจิตคิด เอ็นดูสรรพสัตว์ทั้งหลาย ใคร่จะไปโปรดให้พ้นจากทุกข์โทษความโง่เขลา เล็งเห็นพระสงฆ์ทั้งหมด ตลอดจนครูบาอาจารย์ ล้วนแต่ยังไม่รู้ จึงตั้งใจจะต้องไปโปรดหลวงปู่ดูลย์ผู้เป็นพระอาจารย์เสียก่อน

    ดังนั้น หลวงตาพวงจึงได้เดินทางด้วยเท้าเปล่ามาจากเขาพนมรุ้ง เดินทางข้ามจังหวัดมาไม่ต่ำกว่า ๘๐ กิโลเมตร มาจนถึงวัดบูรพาราม หวังจะแสดงธรรมให้หลวงปู่ฟัง
     
  13. nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    หลวงตาพวงมาถึงวัดบูรพาราม เวลา 6 ทุ่มกว่า กุฏิทุกหลังปิดประตูหน้าต่างหมดแล้ว พระเณรจำวัดกันหมด หลวงปู่ก็เข้าห้องไปแล้ว ท่านก็มาร้องเรียกหลวงปู่ด้วยเสียงอันดัง

    ตอนนั้นท่านเจ้าคุณพระโพธินันทมุนี ยังเป็นสามเณรอยู่ ได้ยินเสียงเรียกดังลั่นว่า “หลวงพ่อ หลวงพ่อ หลวงพ่อดูลย์...” ก็จำได้ว่าเป็นเสียงของหลวงตาพวง จึงลุกไปเปิดประตูรับ

    สังเกตดูอากัปกิริยาก็ไม่เห็นมีอะไรผิดแปลก เพียงแต่รู้สึกแปลกใจว่า ตามธรรมดาท่านหลวงตาพวงมีความเคารพอ่อนน้อมต่อหลวงปู่ พูดเสียงเบา ไม่บังอาจระบุชื่อของท่าน แต่คืนนี้ค่อนข้างจะพูดเสียงดังและระบุชื่อด้วยว่า

    “หลวงตาดูลย์ ออกมาเดี๋ยวนี้ พระอรหันต์มาแล้ว”

    ครั้นเมื่อหลวงปู่ออกมาแล้ว ตามธรรมดาหลวงตาพวงจะต้องกราบหลวงปู่แต่คราวนี้ไม่กราบ แถมยังต่อว่าเสียอีก “อ้าว! ไม่เห็นกราบ ท่านผู้สำเร็จมาแล้ว ไม่เห็นกราบ”

    เข้าใจว่าหลวงปู่ท่านคงทราบโดยตลอดในทันทีนั้นว่าอะไรเป็นอะไร ท่านจึงนั่งเฉย ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว ปล่อยให้หลวงตาพวงพูดไปเรื่อยๆ

    หลวงตาพวงสำทับว่า “รู้ไหมว่าเดี๋ยวนี้ผู้สำเร็จอุบัติขึ้นแล้ว ที่มานี่ก็ด้วยเมตตา ต้องการจะมาโปรด ต้องการจะมาชี้แจงแสดงธรรมปฏิบัติให้เข้าใจ"

    หลวงปู่ยังคงวางเฉย ปล่อยให้ท่านพูดไปเป็นชั่วโมงทีเดียว สำหรับพวกเราพระเณรที่ไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ ก็พากันตกอกตกใจกันใหญ่ ด้วยไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรกันแน่
     
  14. nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ครั้น ปล่อยให้หลวงตาพวงพูดนานพอสมควรแล้ว หลวงปู่ก็ซักถามเป็นเชิงคล้อยตามเอาใจว่า “ที่ว่าอย่างนั้นๆ เป็นอย่างไร และหมายความว่าอย่างไร"หลวงตาพวงก็ตอบตะกุกตะกัก ผิดๆ ถูกๆ แต่ก็อุตส่าห์ตอบ

    เมื่อหลวงปู่เห็นว่าอาการรุนแรงมากเช่นนั้น จึงสั่งว่า “เออ เณรพาหลวงตาไปพักผ่อนที่โบสถ์ ไปโน่น ที่พระอุโบสถ”

    ท่าน เณร (เจ้าคุณพระโพธินันทมุนี) ก็พาหลวงตาไปที่โบสถ์ ไปเรียกพระองค์นั้นองค์นี้ที่ท่านรู้จักให้ลุกขึ้นมาฟังเทศน์ฟังธรรม รบกวนพระเณรตลอดทั้งคืน

    หลวงปู่พยายามแก้ไขหลวงตาพวงด้วยอุบายวิธี ต่างๆ หลอกล่อให้หลวงตานั่งสมาธิ ให้นั่งสงบแล้วย้อนจิตมาดูที่ต้นตอ มิให้จิตแล่นไปข้างหน้า จนกระทั่งสองวันก็แล้ว สามวันก็แล้ว ไม่สำเร็จ

    หลวงปู่จึงใช้อีกวิธีหนึ่ง ซึ่งคงเป็นวิธีของท่านเอง ด้วยการพูดแรงให้โกรธหลายครั้งก็ไม่ได้ผล ผ่านมาอีกหลายวันก็ยังสงบลงไม่ได้ หลวงปู่เลยพูดให้โกรธด้วยการด่าว่า “เออ! สัตว์นรก สัตว์นรก ไปเดี๋ยวนี้ ออกจากกุฏิเดี๋ยวนี้”

    ทำให้หลวงตาพวงโกรธอย่างแรง ลุกพรวดพราดขึ้นไปหยิบเอาบาตร จีวรและกลดของท่านลงจากกุฏิ มุ่งหน้าไปวัดป่าโยธาประสิทธิ์ ซึ่งอยู่ห่างจากวัดบูรพารามไปทางใต้ประมาณ ๓-๔ กิโลเมตร ซึ่งขณะนั้นท่านเจ้าคุณพระราชสุทธาจารย์ (โชติ คุณสมฺปนฺโน) ยังพำนักอยู่ที่นั่น
     
  15. nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ที่เข้าใจว่า หลวงตาพวงโกรธนั้น เพราะเห็นท่านมือไม้สั่น หยิบของผิดๆ ถูกๆ คว้าเอาไต้ (สำหรับจุดไฟ) ดุ้นหนึ่ง นึกว่าเป็นกลด และยังเปล่งวาจาออกมาอย่างน่าขำว่า “เออ! จะไปเดี๋ยวนี้ หลวงตาดูลย์ไม่ใช่แม่” เสร็จแล้วก็คว้าเอาบาตร จีวร และหยิบเอาไต้ดุ้นยาวขึ้นแบกไว้บนบ่า คงนึกว่าเป็นคันกลดของท่าน แถมคว้าเอาไม้กวาดไปด้ามหนึ่งด้วย ไม่รู้เอาไปทำไม

    ครั้นหลวงตาพวงไป ถึงวัดป่า ทันทีที่ย่างเท้าเข้าสู่บริเวณวัดป่านี่เอง อาการของจิตที่น้อมไปติดมั่นอยู่กับอารมณ์ภายนอก โดยปราศจากการควบคุมของสติที่ได้สัดส่วนกัน ก็แตกทำลายลง เพราะถูกกระแทกด้วยอานุภาพแห่งความโกรธ อันเป็นอารมณ์ที่รุนแรงกว่า ยังสติสัมปชัญญะให้บังเกิดขึ้น ระลึกย้อนกลับได้ว่า ตนเองได้ทำอะไรลงไปบ้าง ผิดถูกอย่างไร สำคัญตนผิดอย่างไร และได้พูดวาจาไม่สมควรอย่างไรออกมาบ้าง

    เมื่อหลวงตาพวงได้สติสำนึกแล้ว ก็ได้เข้าพบท่านเจ้าคุณพระราชสุทธาจารย์และเล่าเรื่องต่างๆ ให้ท่านทราบ ท่านเจ้าคุณฯ ก็ได้ช่วยแนะนำและเตือนสติเพิ่มเติมอีก ทำให้หลวงตาพวงได้สติคืนมาอย่างสมบูรณ์ และบังเกิดความละอายใจเป็นอย่างยิ่ง

    หลังจากได้พักผ่อนเป็นเวลาพอสมควรแล้ว ก็ย้อนกลับมาขอขมาหลวงปู่กราบเรียนว่าท่านจำคำพูดและการกระทำทุกอย่างได้หมด และรู้สึกละอายใจมากที่ตนทำอย่างนั้น
     
  16. nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    หลวงปู่ได้แนะทางปฏิบัติให้ และบอกว่า

    "สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ ว่าถึงประโยชน์ก็มีประโยชน์เหมือนกัน มีส่วนดีอยู่เหมือนกัน คือจะได้เป็นบรรทัดฐานเป็นเครื่องนำสติ มิให้ตกสู่ภาวะนี้อีก เป็นแนวทางตรงที่จะได้นำมาประกอบการปฏิบัติให้ดำเนินไปอย่างมั่นคง ในแนวทางตรงต่อไป”



    รู้จัก วิปัสสนูปกิเลส กับดักขวางการปฎิบัติ และทางแก้ไข
     
  17. nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ".... สังขารทั้งหลาย.....มี อวิชชา เป็นที่อิงอาศัย

    ......วิญญาณ.....มี สังขาร เป็นที่อิงอาศัย

    ......นามรูป.....มี วิญญาณ เป็นที่อิงอาศัย

    ......ผัสสะ.....มี สฬายตนะ เป็นที่อิงอาศัย

    ......เวทนา.....มี ผัสสะ เป็นที่อิงอาศัย

    ......ตัณหา.....มี เวทนา เป็นที่อิงอาศัย

    ......อุปาทาน.....มี ตัณหา เป็นที่อิงอาศัย

    ......ภพ.....มี อุปาทาน เป็นที่อิงอาศัย

    ......ชาติ.....มี ภพ เป็นที่อิงอาศัย

    ......ทุกข์.....มี ชาติ เป็นที่อิงอาศัย

    ......ศรัทธา.....มี ทุกข์ เป็นที่อิงอาศัย

    ......ความปราโมทย์.....มี ศรัทธา เป็นที่อิงอาศัย

    ......ปีติ.....มี ปราโมทย์ เป็นที่อิงอาศัย

    ......ปัสสัทธิ.....มี ปีติ เป็นที่อิงอาศัย

    ......สุข.....มี ปัสสัทธิ เป็นที่อิงอาศัย

    ......สมาธิ.....มี สุข เป็นที่อิงอาศัย

    ......ยถาภูตญาณทัสสนะ.....มี สมาธิ เป็นที่อิงอาศัย

    ......นิพพิทา.....มี ยถาภูตญาณทัสสนะ เป็นที่อิงอาศัย

    ......วิราคะ.....มี นิพพิทา เป็นที่อิงอาศัย

    ......วิมุตติ.....มี วิราคะ เป็นที่อิงอาศัย

    ......ญาณในธรรมเป็นที่สิ้นไป.....มี วิมุตติ เป็นที่อิงอาศัย"


    — อุปนิสสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖
     
  18. nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    นำเรื่องกรรมปรามาสภิกษุมาเล่าสู่กันฟัง เป็นอุทาหรณ์ให้ระมัดระวังกัน ในฐานะเป็นพุทธศาสนิกชนเราต้องช่วยกันจรรโลงรักษาพุทธศาสนาก็จริง แต่ความจริงแท้เป็นอย่างไรยังไม่ปรากฏ จึงต้องสำรวมและระมัดระวังกันให้มาก
    (ที่มา : เวปลานธรรม)

    กรรมของอัมปาลี เกิดเป็นโสเภณี

    บุรพกรรมของอัมพปาลีเกิดขึ้นในอดีตชาติเมื่อครั้ง ๓๑ กัปก่อน ครั้งนั้นเป็นพุทธกาลของพระพุทธเจ้าพระนามว่าพระสิขีทศพล นางอัมพปาลีเกิดเป็นธิดาตระกูลพราหมณ์ในนครอมรปุระ วันหนึ่งนางได้ด่าภิกษุณีรูปหนึ่งว่าเป็นหญิงแพศยา ด้วยเหตุที่ภิกษุณีรูปนั้นเป็นพระอรหันต์ กรรมนี้จึงเป็นกรรมหนักมาก เมื่อทำกาละแล้วนางอัมพปาลีจึงต้องไปรับกรรมหมกไหม้อยู่ในนรกนานแสนนาน

    เมื่อพ้นกรรมหนักจากนรกกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง เศษของกรรมได้ส่งผลให้นางอัมพปาลีต้องเกิดเป็นหญิงแพศยามานับหมื่นๆ ชาติ จนถึงพุทธกาลปัจจุบันนางเกิดขึ้นโดยการอุบัติ (โอปปาติกกำเนิด) เป็นสาวสวยที่โคนต้นมะม่วงในพระราชอุทยานกรุงเวสาลี จึงได้ชื่อว่า อัมพปาลี แต่ด้วยเศษของอกุศลกรรมที่เคยด่าพระเถรีในครั้งนั้นยังคงหลงเหลืออยู่ ความงามของนางจึงเป็นโทษ เพราะทำให้บรรดาเจ้าชายลิจฉวีทะเลาะแย่งชิงกันเพื่อจะได้นางไปเป็นสนม คณะผู้พิพากษาแห่งวัชชีต้องยุติข้อขัดแย้งโดยตัดสินให้อัมพปาลีเป็นหญิงแพศยา เป็นนางคณิกานคร เป็นสมบัติของทุกคน การแย่งชิงนางจึงสงบลงได้

    (ภายหลังบวชเป็นภิกษุณีและสำเร็จเป็นพระอรหันต์)
     
  19. nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    กรรมของโสไรยบุตร จากชายกลายเป็นหญิง

    โสไรยบุตร เป็นบุตรเศรษฐีในโสไรยนครซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ ใกล้กรุงสาวัตถี เขามีภริยา และมีบุตรชายแล้ว ๒ คน

    วันหนึ่ง โสไรยบุตรนั่งยานออกไปอาบน้ำนอกนครกับบริวาร ระหว่างทางเห็นพระมหากัจจายนเถระกำลังบิณฑบาตอยู่ พระเถระรูปนี้มีรูปสวย มีผิวพรรณวรรณะงดงามดังทองคำ โสไรยบุตรเห็นพระเถระแล้วเผลอใจคิดไปว่า “สวยจริงหนอ พระเถระรูปนี้น่าจะได้เป็นภริยาของเรา”

    ด้วยจิตอันเป็นอกุศลต่อพระเถระขีณาสพผู้ล่วงอาสวะแล้ว เพศชายของโสไรยบุตรจึงหายไป กลับกลายเป็นเพศหญิงมาแทนที่ โสไรยบุตรกลับกลายเป็นโสไรยธิดา เป็นกุลธิดารูปงาม ด้วยความตกใจและความอายเธอจึงลงจากยานแอบหนีไป คนรู้จักแม้มองเห็นก็จำไม่ได้ว่ากุลธิดานี้คือโสไรยบุตร

    โสไรยธิดาลงจากยานแล้วไม่รู้ว่าจะไปทางไหน เธอจึงเดินตามขบวนเกวียนสินค้าขบวนหนึ่งไป เมื่อเดินจนเมื่อย เธอจึงถอดแหวนให้ และขอนั่งไปบนเกวียน
    ขบวนเกวียนนั้นเดินทางถึงตักกศิลา แคว้นคันธาระ นายเกวียนคิดว่าบุตรเศรษฐีในกรุงตักกศิลายังไม่มีภริยา กุลธิดาผู้นี้มีรูปงามสมกัน เขาจึงพาโสไรยธิดาไปพบบุตรเศรษฐีหวังได้รางวัล บุตรเศรษฐีเห็นนางแล้วหลงรัก รับนางเป็นภริยา

    โสไรยธิดาจึงได้เป็นภริยาของบุตรเศรษฐีกรุงตักกศิลา ต่อมาเธอก็ตั้งครรภ์ และมีบุตรกับสามี ๒ คน ตอนนี้เธอจึงมีบุตรแล้ว ๔ คน บุตร ๒ คนแรกมีเธอเป็นบิดาอยู่ที่โสไรยนคร ส่วนบุตรอีก ๒ คนมีเธอเป็นมารดาอยู่ร่วมกันที่ตักกศิลา

    (ต่อมาโสไรยธิดาธิดาได้ขอขมาพระเถระจึงได้กลับเพศเป็นชาย ออกบวช และสำเร็จเป็นพระอรหันต์)
     
  20. nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    กรรมของอุคคเสน จากบุตรเศรษฐีเป็นนักแสดงกายกรรม

    ในอดีตกาลครั้งพุทธกาลของพระกัสสปทศพล ชนจำนวนมากช่วยกันสร้างเจดีย์บูชาพระบรมศาสดา ในครั้งนั้นมีสองสามีภรรยามีจิตศรัทธาขนของกินของใช้บรรทุกยานเดินทางไปร่วมงานก่อสร้างพระเจดีย์ ระหว่างทางพบพระเถระองค์หนึ่งกำลังบิณฑบาตอยู่ ภรรยาเห็นพระเถระจึงบอกสามีว่าของกินในยานเรามีจำนวนมาก นายจงนำบาตรของพระคุณเจ้ามาเพื่อถวายภิกษาเถิด

    เมื่อสามีรับบาตรมาแล้วภรรยาก็ใส่บาตรนั้นจนเต็ม ให้สามีนำกลับไปถวายพระเถระ เสร็จแล้วภรรยาได้กล่าวคำปรารถนาว่า ท่านเจ้าข้า ด้วยผลบุญที่ดิฉันและสามีได้ถวายภิกษาแก่ท่านนี้ ขอให้ดิฉันทั้งสองได้เห็นธรรมอันท่านได้เห็นแล้วด้วยเถิด พระเถระตรวจดูความปรารถนานั้นเห็นว่าจะสำเร็จสมความปรารถนาในพุทธกาลถัดไป ท่านจึงทำอาการยิ้ม

    ภรรยาเห็นพระเถระยิ้มจึงพูดกับสามีว่า ดูสินาย พระคุณเจ้าของเราท่านยิ้มเหมือนเด็กนักฟ้อนเลย สามีเห็นดีเห็นงามตามภรรยาตอบว่า จริงสิ

    แม้คำพูดนี้จะไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ แต่ก็เป็นกรรมที่ทำกับพระเถระขีณาสพ ในพุทธกาลปัจจุบันภรรยาผู้นั้นจึงเกิดมาเป็นหญิงนักฟ้อน ส่วนสามีได้เกิดมาเป็นบุตรเศรษฐีในนครราชคฤห์ชื่อว่า อุคคเสน แต่เพราะเห็นดีเห็นงามไปกับภรรยาด้วยเขาจึงมีกรรมต้องออกจากเรือนเศรษฐีไปเร่ร่อนอยู่ในคณะมหรสพกับหญิงผู้เป็นภรรยา

    (ภายหลังทั้งสองสำเร็จเป็นพระอรหันต์)
     

แชร์หน้านี้