อวิชา คือ ความไม่รู้

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย bigboom007, 3 ตุลาคม 2008.

  1. bigboom007

    bigboom007 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    319
    ค่าพลัง:
    +570
    อวิชา คือ ความไม่รู้ ความหมายที่ผมแปล คือความไม่รู้เท่าทันกิเลส
    แต่เมื่อใด ที่เรา มีตัวรู้ แปลเองครับคือ สติตามรู้ทันกิเลส เราก็จะกำจัด ความไม่รู้คือกิเลส ถือว่าชนะใจตัวเอง เป็นอันจบกิจของบุคคลนั้น เมื่อเรารู้ทันมันบ่อยๆมันก็จะค่อยๆจางหายไปเรื่อยๆ แต่เมื่อใดที่ เราขาดตัวรู้คือ สติ เมื่อนั้นกิเลสมันจะเข้ามาคลอบเงาเรา จงอย่าเผลอ จงอย่าชะล้าใจ เพียงแต่รู้ทันมันเข้าไว้ เราก็จะเป็นผู้ชนะ

    ท่านผู้อื่นคิดเห็นอย่างไรนอกจากนี้ก็เชิญน่ะครับ
     
  2. นิรันตรพินทุ

    นิรันตรพินทุ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +10
    อวิชชา คือ ความไม่รู้ ไม่รู้ตัว
    ขาดสติ ขาดปัญญา ขาดสมาธิ
     
  3. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    มันเป็นความไม่รู้ แถมตอบสนองผิด

    ขันธ์5(กิเลส) มันเป็นของหนัก ดูแบบไม่ต้องคิดมาก ก็รู้ว่ามันเป็นของหนัก

    แต่เพราะความไม่รู้ ก็เลยผละวางไม่ถูก เพราะติดในความเป็นตัวตน ทำให้
    มองตนนั้นมีความสามารถ ก็เลยคิดผละวางสุกโต่งไปสองอย่าง

    อย่างแรก คือค้นคิดวิธีผลักไส จับโยน หรือ ลุยดะ เช่น หลีกหนีเข้าป่า
    ภาวนเห็นขันธ์ก็ไปหาทางดับจับโยนทิ้ง หรือนอนบนตะปู หรืออดข้าวอดน้ำ
    ไปเลย กลายเป็น ฤาษี ชี ไพร นิครณท์ โดยมีมุมมองว่ามีปรมาตมันต์รองรับ
    อย่างนิครณท์นี้มีนิพพานรองรับ แต่ฝึกผิดวิธี(พวกจับกิเลสโยน ควบคุมวิญญาณ
    ขันธ์ สัญญาขันธ์ จะเอานิโรธน)

    อย่างที่สอง คือไม่สนใจเลยว่าขันธ์มันมี จมไปกับมันเสียมันก็ไม่เห็นแล้ว
    ถือว่าพ้น ซึ่งส่วนใหญ่จะมีมุมมองแบบขาดสูญ นรก สวรรค์ ภพ ไม่มี(โดยการเมิน)

    จริงๆแล้ว ขันธ์5 มันเป็นของหนัก ก็แค่ถือไว้ในมือแล้วลองปล่อยมือ ขันธ์
    มันก็หลุดหล่นตกไปเอง ไม่ต้องทำอะไร แค่รู้แล้วปล่อย ไม่จับกำไว้ และไม่โยน
    มันก็หลุดหล่นของมันเอง ต้องดูอย่างนี้ ดูว่ามันหล่นไปเองจริงๆ ให้เนืองๆ จน
    กว่าจิตมันจะเชื่อ จิตมันก็วางของมันเอง แต่ถ้าเก่งๆ ก็ต้องมองว่า จิต มันเองก็
    หนัก หากวงจิตลงมันก็ตกไปเอง จิตถูกละวางขันธ์มันก็ไปพร้อมกับจิตนั้นแหละ

    แต่การเห็นจิตว่าหนักนั้น ยาก ต้องหัดสังเกตเอาเอง มันชี้ไม่ได้ เพราะมันไม่
    สภาวะธรรมคู่ที่จะสลับไปมาพอให้เห็นอาการไปอาการมา ธรรมหนึ่ง จิตหนึ่ง
    มันลอยๆอยู่ ต้องสังเกตให้ดี
     
  4. bigboom007

    bigboom007 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    319
    ค่าพลัง:
    +570
    การปลงขันณ์5ผมก็เคยฝึกน่ะตามมโนมยิทธิเลย อนุโมทนาสาธุครับ
     
  5. หล่อเลือกได้

    หล่อเลือกได้ สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2008
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +3
    อะคือไม่ วิชาคือวิชา

    อวิชาคือ ไม่เข้าเรียน
     
  6. bigboom007

    bigboom007 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    319
    ค่าพลัง:
    +570
    เทพจิงๆ คุณหล่อเลือกได้
     
  7. เจ้าหญิงแพร

    เจ้าหญิงแพร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2008
    โพสต์:
    378
    ค่าพลัง:
    +390
    ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด เปาบุ้นจิ้นเคยบอกไว้
     
  8. bigboom007

    bigboom007 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    319
    ค่าพลัง:
    +570
    คิดได้ไงเนี้ยคุณเจ้าหญิงแพร เหอๆ
     
  9. นิรันตรพินทุ

    นิรันตรพินทุ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +10
    ชายคนนึงไม่รู้ว่าในกล่องมีงู
    ชายคนนึงรู้ว่าในกล่องมีงู

    ผู้ไม่รู้ย่อมนำภัยมาสู่ตน
     
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เพราะไม่รู้ จึงหลงทำกรรม

    เพราะไม่รู้ จึงต้องรับผลของกรรม

    คนไม่รู้ตัว จึงทำแต่กรรม

    คนเริ่มรู้ตัว รู้ว่าใครขับเคลื่อนกรรม

    พระพุทธองค์ ชี้ทางแห่งการรู้ตัว ไว้ให้พวกเราแล้ว สติปัฏฐาน4

    เจริญสติ เพื่อจิตรู้ตัว จิตรู้ทุกข์ จิตวางทุกข์ จิตหยุดขับเคลื่อนกรรม

    จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง จึงแจ้งในพระธรรม รู้อริยสัจจแห่งความจริง
     
  11. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,256
  12. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    อวิชชา ความไม่รู้ไม่เข้าใจตามความเป็นจริงของธรรม ตลอดจนการปฏิบัติให้สติรู้เท่าทัน และรู้ตามความเป็นจริงในสภาวธรรม(ธรรมชาติ)ของการเกิดขึ้นของทุกข์และการดับไปของทุกข์ อันคือ ปัญญาญาณ

    อวิชชา๘ อันมี

    ๑. ความไม่รู้ใน"ทุกข์" ี่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้รู้ และให้ดับสนิทหมายถึงอุปาทานทุกข์หรืออุปาทานขันธ์๕,และมีสติรู้เท่าทันอุปาทานทุกข์ที่เกิดขึ้นเหล่านั้น ที่ล้วนเกิดขึ้นมาจากเหล่าทุกขอริยสัจและทุกขเวทนาที่เป็นสภาวธรรม(ธรรมชาติ)หนึ่งของชีวิต ที่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว แล้วต้องปฏิบัติอย่างไรจึงไม่เป็นเวทนูปาทานขันธ์ อันเป็นอุปาทานทุกข์ที่แสนเร่าร้อนเผาลน คงเป็นเพียงทุกข์ธรรมชาติ, และทุกข์นี้ มีกิจจญาณหรือกิจอันควรกระทำที่ประกอบปัญญายิ่ง คือ เป็นสิ่งที่ควร " รู้ "

    ๒. ความไม่รู้ใน"สมุทัย"
    เหตุให้เกิดทุกข์มาจากตัณหา ๓(กามตัณหา-อยากในกามหรือในทางโลกๆ, ภวตัณหา-ความอยาก, วิภวตัณหา-ความไม่อยาก, อยากดับสูญ) อันจักเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดอุปาทานขันธ์ ๕ อันเป็นอุปาทานทุกข์, สมุทัย มีกิจจญาณหรือกิจอันควรกระทำที่ประกอบปัญญา คือ เป็นสิ่งที่ควร "ละ"

    ๓. ความไม่รู้ใน"นิโรธ"
    เป็นเช่นใด ไม่เคยสัมผัส หรือไม่เข้าใจสภาวะนิโรธอันว่างจาก กิเลส ตัณหา อุปาทาน อันล้วนเป็นเหตุปัจจัยที่ต่อเนื่องสัมพันธ์กันอันยังให้เกิดอุปาทานทุกข์ ทําให้ไม่ทราบว่าดับทุกข์ได้แล้ว จักเป็นสุขสงบ หรือดับร้อน เยี่ยงใด? คุ้มค่าให้ปฏิบัติไหม? มีจริงหรือเปล่า? หรือเข้าใจผิดไปจับสภาวะผลอันสงบเย็นของสมาธิหรือฌานเป็นสภาวะนิโรธ!ทําให้จริงๆแล้วยังคงมีความสงสัยอยู่ลึกๆในจิต(วิจิกิจฉา), นิโรธ มีกิจจญาณหรือกิจอันควรกระทำที่ประกอบปัญญา คือ เป็นสิ่งที่ควร " ทำให้แแจ้ง "

    ๔. ความไม่รู้ใน"มรรค"
    การปฎิบัติในการดับทุกข์ ควรปฏิบัติอย่างไร? ศึกษาแล้วยังไม่เข้าใจ ปฏิบัติไม่ถูก ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน? วิธีใด? ของใครถูกแน่? (อ่านรายละเอียดในอริยสัจ ๔), มรรค มีกิจจญาณหรือกิจอันควรกระทำที่ประกอบปัญญา คือ เป็นสิ่งที่ควร " ปฏิบัติ "

    ๕. ความไม่รู้ใน"ความไม่รู้อดีต"
    การไม่รู้ระลึกชาติ หรือภพที่เคยเกิดเคยเป็นในภพชาติต่างๆในปัจจุบันชาติ หมายถึงการ ย้อนระลึกขันธ์๕หรืออุปาทานขันธ์๕ที่เคยเกิดเคยเป็น กล่าวคือไม่รู้ไม่เข้าใจขันธ์ ๕ ที่เคยเกิดๆดับๆ อันก่อให้เกิดอุปาทานทุกข์นั้นเกิดแต่เหตุปัจจัย และเหตุปัจจัยอะไร? เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติ เครื่องรู้ เครื่องระลึก อันก่อให้เกิดปัญญาญาณ และนิพพิทาญาณอันยังให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องในการดับทุกข์ (โยนิโสมนสิการปฏิจจสมุปบาทเรื่องภพ เรื่องชาติ จบแล้ว ลองย้อนมาพิจารณาอีกครั้ง)

    ๖. ความไม่รู้ใน"ความไม่รู้อนาคต"
    การไม่รู้อนาคต คือไม่รู้ไม่เข้าใจในการอุบัติ(เกิด) การจุติ(ดับ) ของขันธ์ทั้ง๕ว่าล้วนเกิดแต่เหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้นและเป็นไปตามเหตุปัจจัยนั้น เช่น กรรมคือตามการกระทําที่มีเจตนาทั้งสิ้น และอนาคตนั้นก็จักเป็นไปตามเหตุปัจจัยอันคือกรรมการกระทํานั่นเอง ดังนั้นความทุกข์ในภายหน้าหรือชาติหน้าก็ล้วนเกิดดับอันเกิดแต่กรรมการกระทํา อันจักยังให้เกิดอุปาทานขันธ์๕เช่นเดิมหรือเกิดความทุกข์ขึ้นเฉกเช่นเดียวกับอดีต ดังนั้นเพราะความไม่รู้ จึงประมาท จึงมิได้แก้ไขเยี่ยงไร เพื่อไม่ให้ทุกข์จะเกิดขึ้นมาได้อีก กล่าวคือการรู้อนาคตเพราะรู้การเป็นไปตามเหตุปัจจัยนั่นเอง คือเมื่อเหตุเป็นเช่นนี้ ผลเยี่ยงนี้จึงเกิดขึ้นอย่างแน่นอน อันเกิดขึ้นจากความเข้าใจในสภาวะธรรมอย่างถ่องแท้

    ๗. ความไม่รู้ในทั้ง"อดีตและอนาคต" จึงไม่เกิดการยอมรับและเข้าใจในเหตุปัจจัยต่างๆที่เกิดขึ้นอย่างถูกต้อง จึงไม่มีทั้งเครื่องระลึก เครื่องเตือนสติจากการระลึกอดีต, และเกิดความประมาท ขาดการป้องกันจากการไม่รู้ทั้งอดีตและอนาคต


    ๘. ความไม่รู้ใน"ปฏิจจสมุปบาท"
    ไม่ ทราบ,ไม่รู้ กระบวนการเกิดขึ้นของทุกข์ และกระบวนการดับไปของทุกข์ จึงไม่รู้จักอาสวะกิเลส ตลอดจนตัณหาและอุปาทานที่แอบซ่อนนอนเนื่องอยู่ในจิตหรือในอวิชชา เมื่อไม่รู้ไม่เข้าใจจึงไม่สามารถดับทุกข์ ที่เหตุปัจจัยด้อย่างเข้าใจและถูกต้องตามจริง อันอุปมาได้ดั่งช่างยนต์ที่ไม่รู้ไม่ศึกษาเรื่องเครื่องยนต์ แล้วจักซ่อมเครื่องยนต์ให้ดีเยี่ยงใด?


    ที่มา ปฎิจจสมุปบาท
     
  13. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692

    ชะรอย ข้อ 5 6 7 8
    ก็คงสงเคราะห์ลงในอริยสัจจ์ 4
     
  14. bigboom007

    bigboom007 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    319
    ค่าพลัง:
    +570
    ผู้ใดเห็นทุกข์ ผู้ใดเบื่อหน่ายทุกข์ ผู้นั้น ย่อมจะเดินตามทางแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ปีนี้เข้ากึ่งพุทธกาลแล้ว ชาวไทยทุกท่าน ที่นับถือพุทธศาลสนาอยากให้คงอยู่ไว้ โปรด เจริญสติคัดเกลากิเลส ตัณหา โมหะ โทสะ เพื่อดำรงณ์พระพุทธศาลสนาไว้ ให้คงอยู่สืบไป 5000ปีเถิด
     

แชร์หน้านี้

Loading...