อสุรกายใต้น้ำ

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย vacharaphol, 20 มกราคม 2006.

  1. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,172
    ผมเป็นคน ต.ปากวัง อ.บ้านตาก จ.ตาก คนต่างถิ่นฟังชื่อแล้วอาจจะงุนงงว่า เอ๊ะ! ทำไมชื่อคล้ายๆ กัน ผมขอเล่าให้ฟังง่ายๆ นะครับ

    จากหลักฐานทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์บอกว่า ที่ตั้งเมืองตากนั้นประกอบด้วยบริเวณสองแห่งบนริมฝั่งแม่น้ำปิง คือบริเวณเขตอำเภอเมือง ซึ่งเป็นที่ทำการของจังหวัดตากแห่งหนึ่ง กับบริเวณอำเภอบ้านตากอีกแห่งหนึ่ง

    มีลำน้ำปิงไหลลงมาจากเทือกเขาถนนธงชัย มาบรรจบกับลำน้ำวังที่ไหลมาจากเมืองลำปางและเมืองเถิน เรียกว่า "สบวัง"

    บ้านผมผีดุไม่แพ้บ้านใครหรอกครับ!

    คิดง่ายๆ ว่าเป็นบ้านเมืองเก่าแก่ กับการสำรวจทั้งจากภาพถ่ายทางอากาศและการสำรวจทางโบราณคดีภาคพื้นดิน ได้พบว่าบริเวณฝั่งน้ำปิงด้านตะวันตกของบ้านตากน่ะ มีหลักฐานร่องรอยของชุมชนโบราณ ที่มีทั้งคูน้ำและคันดินล้อมรอบอยู่ 2 แห่งแน่ะ

    แห่งหนึ่งอยู่บนเนินเขา ส่วนอีกแห่งอยู่บนที่ราบลุ่ม เคยพบเศษภาชนะดินเผาที่เขาเรียกว่า "เผาแกร่ง" แต่ชาวบ้านเรียกง่ายๆ ว่า "ไหหิน" กระจายเกลื่อนกลาด บางแห่งยังพบเศษภาชนะเครื่องเคลือบของจีนสมัยราชวงศ์เหม็งอีกด้วย

    คิดดูถึงคนโบราณที่เคยมีชีวิตมาหลายร้อยปี หรืออาจจะถึงพันปี ล้มตายซับซ้อนกันมากมายนับไม่ถ้วน ไม่รู้ว่ากี่หมื่นกี่แสนคน...น่าขนหัวลุกนะครับ

    พ่อเล่าว่าสมัยเด็กๆ ในยุคจอมพลป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี สั่งการให้คนไทยเลิกกินหมาก สวมหมวกทั้งประเทศ ใครไม่สวมหมวกออกจากบ้านจะมีความผิด ติดต่อกับทางราชการไม่ได้เด็ดขาด

    แต่ที่แน่ๆ คือบ้านผมมีใบลานมาก ผู้คนเลยเอาใบลานมาสานเป็นหมวกแล้วใส่เรือล่องไปขายตามจังหวัดใกล้เคียง ปรากฏว่าขายดิบขายดีนักเชียว

    นอกจากนั้น สมัยผมเด็กๆ ยังเห็นว่าในช่วงเดือน 4 จะมีการเผาข้าวหลามขายกันแทบทุกบ้าน เพราะมีป่าไผ่เยอะแยะ...ทั้งขายทั้งเอาไปแจกกันเพื่อพิสูจน์ว่าบ้านไหนจะทำข้าวหลามอร่อยกว่ากัน ถ้าเหลือก็เอาไปถวายวัด...เป็นงั้นไป!

    เดี๋ยวนี้ป่าไผ่เหลือน้อยแล้วครับ จะทำข้าวหลามทีก็ต้องไปหาซื้อไม้ไผ่จากที่อื่น ประเพณีนี้ก็เลยชักจะซาๆ กันไป

    ผู้หญิงบ้านผมคงจะคล้ายๆ กับผู้หญิงทั่วไป ตรงที่ต้องทำงานหนักกว่าผู้ชาย ไม่เคยว่างมือซีน่าทั้งกลางวันและกลางคืน เสร็จงานจากไร่นา อาบน้ำอาบท่า กินข้าวกินปลาแล้ว แทนที่จะได้พักผ่อนนอนหลับ กลับต้องทำงานต่อกันแทบทุกคน

    นั่นคือ ต้องปั่นฝ้ายสำหรับทอผ้าไว้ใช้ ไหนจะกรองคาเพื่อไว้มุงหรือซ่อมหลังคาบ้าน ไหนจะต้องตำข้าวเอาไว้กินอีกล่ะ เพราะตอนนั้นยังไม่มีโรงสีเหมือนเดี๋ยวนี้

    อ้อ! เขาว่าพวกสาวๆ เต็มใจเอง เพราะตอนนั้นแหละเป็นเวลาสำคัญที่จะมีไอ้หนุ่มเข้ามาเกี้ยวพาราสี เวลาอื่นเกี้ยวไม่ได้ หรือไม่ก็หาโอกาสยากที่สุด

    เวลาเดียวกัน พวกผู้ชายที่มีครอบครัวแล้วกับพวกหนุ่มวัยรุ่น ก็จะออกไปหาปลากัน เรียกว่าเป็นอาชีพเสริมตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง

    ไม่ว่าในแม่น้ำปิงหรือแม่น้ำวังก็มีปลาชุกชุมทั้งนั้น จากประสบการณ์ของผมพบว่าแม่น้ำวังจะมีปลาชุมกว่าแม่น้ำปิง ยิ่งตอนนี้แล้งยิ่งเหมาะที่สุดเพราะน้ำใสแจ๋วมองเห็นปลาได้ชัดเจน ประมงน้ำจืดก็จะออกหาปลากันทั้งกลางวันและกลางคืน

    ที่อื่นๆ เขาตกเบ็ดหรือไม่ทอดแห ยกยอ ตีอวน ตามถนัดนะครับ แต่พวกบ้านผมอาจจะแปลกกว่าเพื่อนตรงที่เราดำน้ำลงไปแทงปลากันซึ่งๆ หน้าเลย

    ก่อนนั้นเคยใช้หลาวอย่างเดียว อีกมือก็ถือไฟฉายลงไปด้วย แต่มักไม่ค่อยทันกินเพราะปลามันเอาตัวรอดได้เร็วมาก...แถมยังเกิดอุบัติเหตุแทงผิดแทงถูก ดันไปแทงเพื่อนร่วมกลุ่มที่ลงไป 2-3 คนจนขาดใจตายไปในน้ำนั่นเอง!

    พวกผู้ใหญ่บอกว่าเจ้าที่แรง บางคนก็บอกว่าผีน้ำดุที่สุด แต่ไม่ช้าก็ลืม

    ต่อมาเลิกใช้หลาว แต่เปลี่ยนเป็นเหล็กแหลมยาวราวหนึ่งศอก ผูกกับหนังสติ๊กเส้นหนาแล้วใช้ง้างยิงเหมือนธนู...พอมาถึงรุ่นผมก็พัฒนาเป็นใช้ปืน ใช้ฉมวก ทำให้คล่องตัวขึ้นพะเรอ

    วันหนึ่งๆ ได้ปลาเค้าหรือปลาตะเพียนตัวโตๆ หนักราว 3-4 กิโลกรัมก็แฮปปี้แล้วครับ มีพ่อค้าจากตลาดมารับซื้อถึงที่ ราคากิโลกรัมละ 150-200 บาท วันไหนได้ถึง 2-3 ตัวก็ต้องฉลองกันหน่อยละ

    คืนนั้นเอง เราก็ประสบกับเรื่องขนหัวลุกเข้าอย่างจัง!

    ผมกับเจ้าโบ้ลงไปลอยคอในน้ำกันสองคน เห็นแสงไฟวูบวาบๆ จากกลุ่มอื่นๆ ต่างคนก็ต่างหากิน ไม่มีใครผิดพ้องหมองใจกันหรอกครับ

    คืนนั้นเดือนหงาย แมลงระงมมาจากพงหญ้าและค่าคบไม้สูงทะมึน เราดำน้ำลงไปฉายไฟหาเหยื่อตัวอ้วนๆ มือก็กระชับฉมวกแน่น...เห็นแต่ซิวปลาสร้อยที่ไม่น่าสนใจ ส่วนปลาใหญ่ๆ ยังไม่เห็นจนต้องโผล่ขึ้นมาก่อน...เจ้าโบ้ก็ยังไร้โชคเช่นกัน!

    สูดลมหายใจยาวเต็มปอด ดำดิ่งไปใหม่ แหวกว่ายพลางมองหาเหยื่อใต้น้ำเย็นเยือกและเงียบเชียบ...นั่นไง! ปลาเค้าตัวเบ้งกำลังว่ายเข้ามาหา พอเจอแสงส่องตาแดงๆ ก็เบนหนี หันข้างให้จนกลายเป็นเป้าใหญ่ของฉมวกคมกริบที่พุ่งออกไปอย่างแม่นยำ

    ดิ้นกระแด่วไปเลยครับ แต่ได้ยินเสียงร้องโอ๊ย...ดังชัดหูเล่นเอาใจหายไปเหมือนกัน จนกระทั่งโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำพร้อมๆ กับเจ้าโบ้ที่คงรู้ว่าผมได้ลาภแล้ว

    ให้ตกนรกเถอะ! ในแสงไฟฉายเจิดจ้าไม่เห็นมีปลาแม้แต่ตัวเดียว แต่คมฉมวกของผมปักแน่นอยู่กลางอกของชายผู้หนึ่ง ใบหน้าผลุบๆ โผล่ๆ ตาแดงจ้าเหลือกถลนจ้องมองเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อในพริบตา

    ผมร้องเฮ้ย...เจ้าโบ้ร้องโฮ้ย...ตะเกียกตะกายขึ้นฝั่งไม่คิดชีวิต ฉมวกกับไฟฉายหลุดหายไปไหนไม่สนใจแล้ว วิ่งตะโพงรวดเดียวถึงบ้าน...ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นผีที่โดนหลาวเพื่อนแทงตายในอดีต...ตั้งแต่นั้นมาเราก็ออกหาปลาในเวลากลางวันเท่านั้นเอง!

     

แชร์หน้านี้

Loading...