อัลบั้มพระ ประวัติ และวัตถุมงคล

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย ปู ท่าพระ, 26 ธันวาคม 2013.

  1. tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,564
    ค่าพลัง:
    +53,107
  2. tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,564
    ค่าพลัง:
    +53,107
  3. NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    445
    ค่าพลัง:
    +1,160



    ๒๔ พฤศจิกายน ครบรอบวันละสังขาร

    หลวงปู่คำพัน โฆสปัญโญ
    มหานักบุญแห่งลุ่มแม่น้ำโขง

    ผู้สมบูรณ์บริบูรณ์ด้วยวิชชาและวิมุติ ด้านวิชาหลวงปู่คำพันได้ครอบครองตำราวิเศษเก่าแก่โบราณภายในบรรจุสรรพวิชา และเป็นศิษย์ในสายสำเร็จลุน ผู้วิเศษมากมายด้วยอิทธิฤิทธิ์ขลัง เรื่องราวปาฏิหาริย์กล่าวขานกันไม่สิ้นไม่แพ้หลวงปู่ศุข วัดปากครองมะขามเฒ่า ของทางบ้านเรา โดยหลวงปู่ได้เรียนกับผ้าขาวครุฑ ศิษย์เอกท่านหนึ่งของสำเร็จลุน

    ทางด้านวิปัสสนากรรมฐาน หลวงปู่คำพันได้ศึกษาเล่าเรียนมาจากหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล ซึ่งเป็นสุดยอดพระคณาจารย์แห่งยุค จึงมั่นใจได้ในภูมิรู้ภูมิธรรมของหลวงปู่ท่าน และยิ่งส่งเสรืมให้สรรพวิชาของหลวงปู่ท่านเข้มขลังเป็นทวีคูณ บารมีของหลวงปู่ท่านจึงแผ่ขจรขจายให้การอนุเคราะห์ วัด โรงเรียน โรงพยาบาล สาธารณะประโยชน์ต่างๆ มากมาย ที่มาขอความช่วยเหลือ หลวงปู่ก็ให้การสงเคราะห์ไป

    เคยมีผู้รู้ได้เล่าว่าคราครั้งเมื่อหลวงปู่สิม สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง เจอกับ หลวงปู่คำพันครั้งแรก หลวงปู่สิมก้มลงกราบหลวงปู่คำพัน หลวงปู่คำพันเห็นดังนั้น ก็รีบก้มลงกราบหลวงปู่สิมด้วยเช่นกัน จึงเป็นภาพที่งดงามยิ่งนัก
     
  4. NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    445
    ค่าพลัง:
    +1,160



    อาคารพิพิธภัณฑ์ "สมบัติพ่อให้"

    จากโพสก่อนสมบัติพ่อให้ชิ้นที่สำคัญที่สุดก็คือคำสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษี ที่แม้แต่หลวงปู่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(ฟื้น ชุตินฺธโร) อดีตเจ้าอาวาสวัดสามพระยา ซึ่งถือได้ว่าเป็นปราชญ์แห่งแผ่นดินที่สำคัญองค์หนึ่ง บางคนก็เรียกท่านว่าเป็นตู้พระไตรปิฏกเดินได้ ยังเคยกล่าวกับลูกศิษย์ว่าหนังสือหนังหาคำสอนของหลวงพ่อฤาษี นั้นสามารถใช้อ้างอิงเป็นแบบแผนได้

    สมบัติพ่อให้ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งนั้นก็คือวัตถุมงคลหรือพระเครื่อง หลวงพ่อท่านได้สร้างขึ้นเพื่อเสริมสร้างกำลังใจให้แก่เหล่าศิษยานุศิษย์ที่ยังมีกำลังใจอ่อน เมื่อตื่นเช้ามาก็หยิบพระเครื่องขึ้นมาอาราธนาจะทำสิ่งใดก็บอกกับท่าน แล้วตลอดวันก็ให้ระลึกถึงว่าเรามีพระอยู่ที่คอจะทำการสิ่งใดก็ให้สำรวมระวังประพฤติแต่สิ่งที่ดีงาม ไม่ควรห้อยพระไปทำในสิ่งที่ชั่วไม่ถูกไม่ควร ก็จะเป็นมงคลแก่ตัว ส่วนคนที่มีกำลังใจเข้มแข็งไม่ต้องห้อยพระก็ได้

    พระเครื่องที่หลวงพ่อท่านสร้างขึ้นนั้นจะเห็นว่าสร้างเพื่อสงเคราะห์ลูกหลานกันจริงๆ เพราะแต่ละรุ่นสร้างกันเป็นแสนเป็นล้านองค์ และมีมากมายหลายสิบรุ่น ออกจากวัดก็ราคาหลักสิบบาท เรียกว่าจะเก็บมาเก็งกำไรกันก็ลำบาก

    วัตถุมงคลที่เป็น singnature ของหลวงพ่อก็คือ สมเด็จองค์ปฐม และพระคำข้าว
    หลวงพ่อเป็นผู้จุดประกายทำให้หลายคนได้รู้จักสมเด็จองค์ปฐมและปัจจุบันมีการสร้างสมเด็จองค์ปฐมกันแผ่กระจายออกไปมากมาย ปัจจุบันรูปหล่อสมเด็จองค์ปฐม เป็นจักรพรรดิแห่งพระเครื่องสายวัดท่าซุง

    พระคำข้าวนั้นตามที่ "พระ" ท่านบอก มีการสร้างตามตำราจริงๆกันเพียง ๓ องค์แค่นั้น คือ สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต พฺรหฺมรํสี) หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค และหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง เพราะพระนี้สร้างได้ยากมาก ตามตำราว่าต้องเสกข้าวคำที่อร่อย คำไหนอร่อยต้องคายออกมาเสกเก็บเอาไว้ตลอด ๓ เดือน แต่ของหลวงพ่อฤาษี "พระ"ท่านบอกว่าไม่ต้องทำถึงขนาดนั้น ให้ตักข้าวมาแล้วทำการเสกเลย ต้องทำทุกวันตลอด ๓ เดือน แล้วนำไปบดเป็นผง เมื่อสร้างเป็นพระแล้วก็นำมาปลุกเสกใหญ่อีกครั้งหนึ่งเป็นอันเสร็จพิธี
     
  5. NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    445
    ค่าพลัง:
    +1,160



    เกร็ดวัตถุมงคลหลวงพ่อฤาษี

    วิธีการปลุกพระ ปลุกผ้ายันต์ และวัตถุมงคลต่างๆ ถ้าพระที่เข้าขั้นที่เรียกว่าได้ทิพยจักขุญาณ โดยมากเขาไม่ทำเองนะ เขาเที่ยววานพระมาทำ พระพุทธเจ้าบ้าง พระปัจเจกพุทธเจ้าบ้าง พระอริยสงฆ์บ้าง เทวดาบ้าง พรหมบ้าง อันนี้ก็สบายดี แต่หากว่าถ้าทำเองไม่นานมันก็เจ๊ง ตัวเองยังคุ้มครองตัวเองไม่ค่อยได้ คนมันก็ตายนี่ แล้วมันจะไปคุ้มครองความตายของใครเค้าได้ วิธีทำฉันก็บวงสรวงชุมนุมเทวดา อาราธนาบารมีพระทั้งหมด ตั้งแต่พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอริยสาวกทั้งหมด ตั้งแต่พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอริยสาวกทั้งหมด พรหมทั้งหมด เทวดาทั้งหมด ครูอาจารย์ทั้งหมด ฉันยกยอดเลย ยกยอดในเมื่ออาราธนาก็เห็นท่านมากันครบถ้วน แล้วมาทำกัน เมื่อท่านบอกว่าไม่มีอะไรจะบรรจุแล้ว เต็มแล้ว ฉันก็เลิก จงจำไว้นะ การที่เราจะเสกพระเสกยันต์อะไรต่ออะไรนี่นะ ถ้าเสกด้วยอำนาจกำลังของเราล่ะก็ ไม่ช้ามันก็เสื่อม เราน่ะมันดีแค่ไหน การเสกว่าคาถาต่างๆ นี่ก็เป็นการอาราธนาบารมีของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือเทวดา หรือพรหมมาช่วย แต่ว่าคาถาบางอย่างก็จะว่าแต่เฉพาะบางจุด




    การเสกพระเสกเจ้า หรือผ้ายันต์เสก อะไรต่ออะไรพวกนี้ ถ้าเราเอาตัวของเราออกเสีย เราไม่เข้าไปยุ่ง แต่อาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอริยสาวกทั้งหมด พรหมหรือเทวดาทั้งหมดท่านมาช่วย ท่านทำประเดี๋ยวเดียวสองสามนาทีมันก็เสร็จ ดีกว่าเราทำ ๑,๐๐๐ ปี แล้วจะเอาอะไรบ้างก็อาราธนาบอกท่าน บอกว่าขอให้ได้อย่างนั้นอย่างนี้ แต่อย่าลืมนะ ถ้าใช้ในทางทุจริตหรือกฏของกรรมบังคับ ไม่มีอะไรที่จะคุ้มครองใครได้ ถ้าหากว่าใครเลวอยู่แล้วก็คอยพยุงๆ ให้เลวน้อยลงไปนิดหนึ่งได้ ถ้าใครดีขึ้นมาหน่อยก็พยุงให้ดีมากได้ นี่เป็นกฏของอำนาจ พุทธบารมี ธรรมบารมี สังฆบารมี และพรหมและเทวดาทั้งหลาย การทำตัวเป็นคนเก่งเองน่ะ มันใช้ไม่ได้ มันต้องให้พระท่านเก่งซี พระพุทธท่านเก่ง พระธรรมท่านเก่ง พระสงฆ์ท่านเก่ง พรหมท่านเก่ง เทวดาท่านเก่ง ของที่เราทำจะตามไปคุ้มครองชาวบ้านชาวเมืองได้ยังไงทุกคน ถ้าหากพระก็ดี พรหมก็ดี เทวดาก็ดี ท่านช่วยคุ้มครอง ท่านก็มองเห็นได้ถนัด สงเคราะห์เขาได้โดยสะดวก




    พระของฉัน หรือของๆที่ฉันออกแจกก็ตาม ฉันไม่เคยบอกว่าของๆฉันเป็นของคงกระพันชาตรี อันนี้ต้องจำกันไว้ด้วย ใครที่รับของๆฉัน แล้วจงทราบว่า ฉันไม่เคยรับรองเรื่องคงกระพันชาตรีเพราะเรื่องนี้ถ้าใครรับรองคนนั้นก็โง่ มันเป็นกฏของกรรม คนที่เหนียวๆ ยิงไม่ออกฟันไม่เข้า แต่ก็ทะลุทุกราย ถ้ากรรมชั่วมันเข้ามาถึงแล้ว กรรมใดที่เป็นบาปมันก็เปิดโอกาสให้คนหนังเหนียวนี่ตายเพราะอาวุธนับไม่ถ้วน




    ความมุ่งหมายในการใช้พระคล้องคอ โดยมาพวกเรามักเข้าใจผิดกัน ที่พระท่านทำไว้ให้คล้องคอ ก็หมายถึงว่า บุคคลที่มีใจเคารพในพระพุทธเจ้า มีใจเคารพในพระธรรม มีใจเคารพในพระอริยสงฆ์ แต่ทว่ามีกำลังใจในการเข้าถึงพระรัตนตรัยทั้ง ๓ ประการยังอ่อนอยู่ ฉะนั้น จึงได้ทำรูปเปรียบของพระพุทธเจ้าก็ดี รูปเปรียบเทียบของพระสงฆ์องค์ใดองค์หนึ่งก็ดี ที่เป็นที่เคารพนับถือห้อยคอไว้ ถ้าหากว่าเรานึกถึงพระท่านไม่ออก จะได้นำพระขึ้นมาดู รูปนี้เป็นรูปขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงแนะนำให้เราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามระบอบแห่งความดีที่เรียกว่า พระธรรมวินัย

    นี่คือความเป็นจริงเป็นความมุ่งหมายของผู้ทำต้องการอย่างนั้น หมายความว่าคนที่มีพระห้อยคอ ควรจะทำใจอย่างพระหรือมิฉะนั้นคนที่มีพระห้อยคอ ก็ควรที่จะทำตามพระแนะนำ ให้ปฏิบัตดี ปฏิบัติชอบ แต่พวกเราก็กลับมาพลิกแพลงเสีย เอาพระไปตีกับชาวบ้านเขา ไปยุให้พระตีกัน





    พระที่นำมาห้อยคอนี่ พระท่านทำขึ้นมาก็ด้วยอาศัยอำนาจของพระพุทธานุภาพนะ อำนาจของพระพุทธานุภาพนี่สามารถที่จะช่วยคนที่ยังไม่ถึงอายุขัยให้พ้นจากอันตรายได้ ที่เรียกว่า " พระเครื่อง" อันนี้ใช้ได้ แต่ถ้าหากจะเรียก " เครื่องรางของขลัง" อันนี้ใช้ไม่ได้ พระทุกองค์ท่านทำมาไม่ใช่ของขลังท่านทำมาด้วย วิธีที่เรียกว่า พุทธศาสตร์ ไม่ใช่ ไสยศาสตร์ พุทธศาสตร์กับไสยศาสตร์มีค่าต่างกัน

    ;พวกของขลังนี่เป็นไสยศาสตร์ เขาทำมาเพื่อขาย สำหรับพุทธศาสตร์ เขาทำเพื่อการสงเคราะห์ เพื่อให้บุคคลที่มีพระประเภทนี้ไว้ ถ้ามีจิตใจเคารพในคุณพระรัตนตรัย ถ้าไม่ถึงอายุขัย ถ้าอันตรายของชีวิตพึงจะเกิดขึ้น ก็สามารถปลอดภัยจากอันตรายนั้นได้


    ที่มา: หนังสือสมบัติพ่อให้
     
  6. NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    445
    ค่าพลัง:
    +1,160





    รูปหล่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    พระมหากัสสปะ หลวงปู่ปาน และพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษี


    ประดิษฐานด้านหน้าอาคารพิพิธภัณฑ์สมบัติพ่อให้

    แต่ปัจจุบันรูปหล่อพระมหากัสสปะ หลวงปู่ปาน และหลวงพ่อฤาษี ได้ย้ายไปอยู่ในวิหารหลังใหม่ใกล้ๆกันแล้ว

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีได้เคยเล่าเรื่องพระมหากัสสปะไว้อย่างน่าสนใจดังนี้


    **************

    สรีรสังขารของพระมหากัสปเถระเจ้า ณ เชียงตุง

    ผู้ถาม : ไม่ใช่อยู่อินเดียหรือครับ.....?.....
    หลวงพ่อ : ปัดโธ่..จะอยู่อินเดียตะพึดเลยนะ ยกยอดให้อินเดีย ตะบัน..ท่านอยู่ตรงนี้ พระมหากัสสปะท่านมีงานอยู่แถวนี้ ระหว่างเชียงตุง เชียงราย แล้วก็ประเทศจีน ที่พระพุทธเจ้าส่งให้มาประกาศศาสนา ถ้าต่ำลงมานั้นเป็นเขตของ พระมหากัจจายนะ จากลำพูนลงมาก็เป็นเขตของพระโมคคัลลาน์ ก็ว่าตามเขต แล้วท่านก็นิพพานแถวนี้ ถ้าถามว่า "ศพของพระมหากัสสปะมีจริงไหม...?.."

    ขอยืนยันว่ามีจริง...ยังอยู่ ดอกไม้ที่เขาบูชาก็ยังอยู่ ธูปกับเทียนที่เขาบูชาก็ยังอยู่ แต่ว่าเวลาปกตินี่เราเข้าไม่ได้ เพราะเขาลูกเล็กๆ สองลูกข้างหน้าต่ำเคลื่อนมาติดกัน เมื่อปีกึ่งพุทธกาลน่ะเข้าได้ เขาลูกเล็ก ๆ มันขยายตัวออก เป็นเรื่องอัศจรรย์เหมือนกันนะ จนกระทั่งฝรั่งเข้าไปถ่ายภาพได้ ฉันได้ภาพที่ฝรั่งถ่ายประมาณ ๑๐ ภาพ

    ในปีนั้นนะ เขาพิมพ์ขาย ไอ้ฉันน่ะไม่ได้ซื้อ เขามาให้แล้วก็เอาภาพนั้นไปให้ หลวงพ่อเล็กดู ถามว่า..."การนั่งอยู่...การเข้าสมาธิเป็นของไม่แปลก แต่ธูปกับเทียนที่เขาบูชาทำไมจึงไม่เศร้าหมอง.....ยังสด ธูปเทียนก็ยังติดอยู่" หลวงพ่อเล็ก (หลวงพ่อเล็ก เกสโร วัดบางนมโค) ก็เลยบอกว่า

    คำอธิษฐานของพระอรหันต์ จะให้เป็นอะไรก็ได้ ใครไม่เชื่อก็ไปดู พวกที่ได้ มโนมยิทธิไปดูก็ได้นี่ ไม่ต้องรอให้เขาเปิด...เข้าได้

    ผู้ถาม : แล้วที่ว่าจะเผาต้องเผาบนมือพระศรีอาริย์ล่ะครับ...?...

    หลวงพ่อ : ตามท่านว่ามา ถ้าเราไม่เชื่อเราอย่าเพิ่งตาย รอดูก่อน..จนกว่าพระศรีอาริย์จะนิพพาน!!"

    ผู้ถาม : โอ้โฮ...?...

    หลวงพ่อ : อ้าว...ถ้าพูดเวลานี้ก็เถียงกันไม่จบ บางคนว่า"ฉันไม่เชื่อหรอก เป็นพระพุทธเจ้า แล้วกฎแห่งกรรมย่อมสิ้นไป มันเป็นเช่นนั้นจริง..!! ตามเรื่องมีว่า....

    สมัยก่อนโน้น พระมหากัสสปะท่านเป็นช้าง รูปร่างท่านจึงใหญ่โตคล้ายช้าง แล้วพระศรีอาริย์ท่านเป็นเจ้าของ และก็มีการพนันกันว่า ช้างตัวนี้สามารถจะหยิบอะไรก็ได้ ก็บังเอิญคนพนันมันเกเร มันเอาเหล็กเผาจนแดงโชนให้อม ที่แรกเจ้าของยอมแพ้ ยอมให้ถูกปรับดีกว่า ไม่ยอมให้ช้างหยิบ ช้างก็รักษาศักดิ์ศรี อาศัยที่รักเจ้าของก็เอางวงหยิบ หยิบได้ฝ่ายนั้นก็ต้องแพ้ แต่ช้างก็ต้องตาย

    เพราะอาศัยกรรมอันนี้หน่อยเดียว เวลาที่พระศรีอาริย์จะนิพพานท่านก็เอาศพพระมหากัสสปะใส่พระหัตถ์ อธิษฐานเตโชธาตุเผา เมื่อเผาแล้วก็อาศัยเหตุนี้เป็นปัจจัยพระองค์จึงนิพพาน แต่อย่าลืมนะ ไฟที่ใช้กำลังใจให้เกิดขึ้นมันไม่ร้อนหรอก ท่านจะร้อนก็ได้ ไม่ร้อนก็ได้


    โดย พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤษีลิงดำ) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
    จากหนังสือตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่มที่ ๖ หน้าที่ ๒๑-๒๓





     
  7. NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    445
    ค่าพลัง:
    +1,160



    เมื่อได้เวลา ๙.๐๐ น. ก็เข้ามาภายในมหาวิหารแก้วร้อยเมตร มากราบพระประธานกันก่อน พระประธานเป็นพระปางมารวิชัยมีซุ้มเรือนแก้ว งดงามมากที่เราเรียกกันว่าพระพุทธชินราช หากใครเคยศึกษาประวัติพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีมา จะรู้ว่าท่านผูกพันกับพระพุทธชินราชมาก ดังเรื่องราวต่อไปนี้

    **************

    เรื่องพระพุทธชินราช

    จาก หนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหา เล่ม ๔

    ตามที่หลวงพ่อท่านได้สร้าง "พระพุทธชินราช" ประดิษฐานเป็นพระประธานไว้ที่วิหาร ๑๐๐ เมตร เพื่อไว้สักการะบูชาของบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย พระพุทธรูปองค์นี้สร้างได้สวยสดงดงามมาก นอกจากญาติโยมทั้งหลายจะได้อานิสงส์ในการร่วมสร้างกันแล้ว หลวงพ่อท่านได้บอกว่า พระพุทธชินาชองค์นี้ ถ้าเกิดฝนแล้งจะอธิษฐานขอฝนก็ได้

    ในโอกาสนี้จึงขอนำเรื่องราวของพระพุทธชินราช ที่หลวงพ่อเคยประสบเหตุการณ์มาแล้ว มาเล่าสู่กันฟัง...

    เนื่องจากมีผู้หญิงคนหนึ่งนำพระพุทธชินราชมาให้หลวงพ่อปลุกเสก เมื่อหลวงพ่อปลุกเสกแล้ว บอกว่า "เอาพระพุทธชินรารมาให้เสก ไม่รู้ฉันจะเสกบทไหน...กลัวท่านจะเสกหัวฉันเข้าน่ะซิ" พอยกมือขึ้นอาราธนาบารมีท่าน...ท่านบอก "มันก็ยี่ห้อเดียวกับแก แกก็ติดชินราช"

    ถูกของท่าน ที่ว่าถูกของท่านคือว่า พระพุทธรูปที่นำมาถวาย ถ้าหากว่ามันไม่เกินวิสัยจริงๆ ฉันต้องทำเรือนแก้วให้ได้ เพราะว่าฉันชอบชินราช เพราะอะไร... "ชินราช" เขาแปลว่า "ชนะ"

    เหตุเกิดที่จังหวัดสุพรรณบุรี
    เรื่องพระพุทธชินราช เริ่มต้นมันมีอยู่คราวหนึ่ง คือว่าไม่ได้ตั้งใจ แต่คิดว่าจะสร้างพระพุทธชินราช คืนหนึ่งก็เข้านอน ตอนหนุ่มๆนะ เป็นพระ ตื่นขึ้นมาตีสอง ตะเกียงมันก็ไม่ได้จุด มันมืดตื้อ เห็นขาวๆหน้าประตูด้านใน เหนือประตูขึ้นไป

    ถามว่า "ใคร?" บอกว่า "ฉัน...พระพุทธชินราช"

    ถามว่า "มายังไงครับ?" บอกว่า "จะมาอยู่ด้วย"

    เราก็นึก เอ....ท่านจะอยู่ยังไง...พอคิดว่าท่านจะอยู่ยังไง...แล้วท่านก็หายไป แต่จิตเรารักพระพุทธชินราชอยู่ตลอดเวลาเพราะท่านสวย ดูแล้วดูไม่อิ่ม

    แล้วก็ปีนั้นต่อมาอีก ๒ เดือน ฉันก็ไปอำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี แล้วก็จะไปเข้าที่อำเภออู่ทอง ตอนนั้นป่ามันมีเยอะ เราก็จะไปซื้อไม้ที่มันถูกต้องตามกฏหมาย คือว่าต้นไม้ออกจากโรงเลื่อยนี่มันถูก คือออกจากที่นี่มันถูก พอไปก็เอาเรือไปจอดที่ตลาดบางลี่ ก็มีเรือเรี่ยไรอยู่ลำ เขาจอดอยู่ทางด้านโน้น

    พอเรือเราไปจอด ปรากฏว่าพวกผู้หญิง จีนบ้าง ไทยบ้าง แบกโตก แบกขันแตก แบกเครื่องทองเหลือง ลงไปเป็นแถวสัก ๒๐ ราย ขนาดแบกไปเลยนะ

    ไปถึงแวะไปทางเรือก็ถาม "ทำไมโยม...?"

    บอก "เอาเครื่องทองเหลือง ทองขาวทำบุญ"

    "อ้าว...ก็ลำโน้นเขาโฆษณาจะสร้างรอยพระพุทธบาท" ไอ้เราเครื่องขยายเสียงก็ไม่มี จะไปซื้อไม้ เครื่องขยายเสียงจะมีได้ยังไงเล่า เขาถามว่า "จะสร้างอะไร?"

    บอก "ไม่ได้สร้างล่ะ จะมาซื้อไม้"

    คนอื่นเขาก็กลับไปหมด ก็เหลือผู้หญิงจีนอยู่คนหนึ่ง แกไม่ยอมไป แกก็พูดอยู่อย่างนั้นแหละ ถาม "ไม่สร้างอะไรรึ?"

    พูดไป พูดมา พูดมาพูดไป ก็นึกขึ้นมาได้ว่า เราคิดว่าจะสร้างพระพุทธชินราช แต่ว่ากำหนดไว้อีก ๓ ปีจึงจะสร้าง ไม่ได้สร้างปีนั้นเพราะเห็นว่าท่านมาคงจะเป็นสัญญลักษณ์ แกถามขึ้นมาก็เลยนึกขึ้นมาได้"ฉันจะสร้างเมือนกันแหละโยม...แต่อีก ๓ ปี"

    แกบอก "เอางี้ก็แล้วกัน ๓ ปี ฉันจะฝากไปด้วย"

    ได้เรื่องเลย...ขันลงหินแกสวยมาก เราเห็นยังนึกเสียดายของเก่า แต่ว่าของเก่าหรือไม่เก่าเราเสียดายไม่ได้ เวลาสร้างต้องทุบกันแน่ ฝากไปด้วย ๓ ปี ก็ไม่เป็นไร เลยบอกว่า

    "เอางี้ดีกว่าโยม เวลาที่ฉันจะสร้าง ฉันจะมาใหม่"

    แกบอก "ไม่ได้หรอก ดีไม่ดีฉันจะตายเสียก่อน"

    แกก็ให้สตางค์ ๑๐ บาทเป็นค่าแรงงาน ให้ค่าบำเหน็จแล้วแกก็เดินกลับบ้านไป แกกลับขึ้นไปมือเปล่านี่ พวกนั้นก็ถามว่า

    "ขันแกไปไหนล่ะ?"

    "ลำนั้นเขาสร้างเหมือนกันนะ แต่สร้างพระพุทธชินราช"

    แกพูดเท่านั้นแหละ ยายพวกนั้นแบกลงมาอีกแล้ว

    "ท่านทำไมโกหกฉันล่ะ?"

    แล้วกัน แหม..ซวยเลย เราเสียยี่ห้อ บอก "ทำไมเล่า?"

    "ก็ท่านจะสร้างพระพุทธชินราช ทำไมท่านไม่รับของล่ะ" ก็บอกว่า "อีก ๓ ปีนะโยม"

    "อ้าว...ถ้ายังงั้นฉันก็ฝากบ้างสิ" แกก็เลยฝากไว้

    ปรากฏว่า แกถือของลงมา ต่างคนต่างฝาก ก็ไม่ต้องนอนกันละ ปรากฏว่าเรือไม่มีที่นอน ทำยังไงล่ะ...มันชักจะยุ่งเสียแล้ว ก็คิดว่าเรื่องมันใหญ่ไปมากแล้ว เลยต้องตกบันไดพลอยโจน เช้าต้องจอดอยู่อีก เช่าเรือต่อเขาอีกลำ ของมันอยู่ในเรือยนต์เต็ม ก็เช่าเรือเขา เขาถามว่า "เช่าทำไม?" บอก "ใส่ของ"

    เจ้าของเรือเขาก็ดี บอกว่า

    "ไม่ต้องเช่า..วัดนี้ ถ้าวัดอื่นอาจจะต้องเช่า"

    "เสียเวลานะโยม หลายวันนะ"

    "เสียเวลาก็ไม่เป็นไร เรือไม่ได้ใช้"

    เขาก็มาคุมเรือให้เอง เอาของใส่จอดอยู่ที่นั่น รุ่งขึ้นมึงมา กูมา ผลที่สุดเห็นท่ามันจะเต็มลำอยู่แล้ว ทองเหลืองทองขาวนะ ก็จะลากลับ กลับไม่ได้อีกแล้ว เรือวิ่งมาจะออกปากคลอง มึงเรียก กูเรียก ร้องไห้จะตาย ไม่มีที่ใส่ ก็นึกว่า เออ..ตกลงไม้เม้ย..ไม่ต้องหากันละ ไอ้เราอุตส่าห์ไม่เรี่ยไร วิ่งไปเรียบๆ มึงกวักกูกวัก กวักผ้าก็ต้องแวะ ต้องกลับมานอนที่เดิมใหม่ ผลที่สุดก็เลยขึ้นไปที่เทศบาล ถามว่า "มีเครื่องขยายเสียงไหม..ขอเช่า"

    ปลัดเทศบาลก็แปลกเหมือนกัน บอกว่า "ถ้าวัดอื่นต้องเช่า แต่วัดนี้ไม่ต้องเช่า ผมให้พนักงานไปเสร็จ"

    "เออ...ก็ดีเหมือนกัน มีคนร่วมมมือได้ด้วยดี...เสร็จ"

    เป็นอันว่ากว่าจะถึงวัด ทองเหลืองทองขาวเต็มทั้งเรือต่อเรือยนต์ สมัยนั้นเงินมันยังแพงอยู่นะ ยังได้เงินมาอีก ๒ หมื่นบาท มันเป็นการบังคับว่าต้องทำแหงๆ ไม่ทำไม่ได้ ใช่ไหม..

    ฝนตกตั้งแต่เริ่มสร้าง
    เมื่อมาหาช่างก็รู้สึกว่ามันพอไปหมด เขาเรียกว่า "พอหมด" ทองก็พอ เงินก็พอ ไปถามเขาว่าจะเอาเท่าไร...ก็พออีก ยังขาดเงินอีกอย่างเดียว คือการจัดงาน อันนี้ไม่ใช่ของแปลก เป็นอันว่าของท่านครบเสร็จ เวลาจัดงานก็มาตกลงกับช่าง ช่างบอกว่า

    "พอเริ่มปั้นหุ่น ฝนตกหนัก ปั้นหุ่นเสร็จ เอาสีผึ้งใส่ ฝนตกอีก เอาดินทรายทับ ฝนตกอีก"

    เขาลากหุ่นไปจากกรุงเทพฯ ไปที่วัดบางนมโค พอไปถึง ฝนตกใหญ่ ทีนี้ก็มาถึงวันหล่อ ตามธรรมดาวันหล่อพระ ฝนต้องตกปรอยๆ ตกหยิมๆ จึงจะดี ใช่ไหม...วันนั้นไม่หยิมละ ล่อเม็ดโป้งๆเลย พอเทเสร็จฝนก็ลงจั้กๆ น้ำนอง พอเลิกแล้วหุ่นเย็นก็ให้ช่างทุบ ช่างไม่ยอมทุบหุ่น บอกว่า

    "ลักษณะอย่างนี้ พระเสียหมด หมายความว่าจะยกหุ่นมากรุงเทพฯเลย แล้วก็มาแต่ง ถ้าเสียหายก็ต้องทำกันใหม่เลย"

    ก็เลยบอกว่า "ไม่ได้หรอก งานมันยังมีอยู่ พิธีกรรมฉันเป็นคนทำนะ พิธีกรรมเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าหากว่าผลเสียหายเกิดขึ้น ก็แสดงว่าคนที่ทำพิธีกรรมน่ะทำไม่ถูก"

    ช่างแกเกิดไม่ยอมทุบ ก็เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อปาน ผลที่สุดก็ตัดสินใจ เสียเป็นเสีย ลักษณะฝนตกแบบนี้เขาต้องเสีย พอทุบหุ่นออกมาแล้ว เรียบร้อยเกือบไม่ต้องแต่ง อีตาช่างน้ำตาไหล บอกว่า "ผมไม่เคยเจอะเลย"เพราะยังไงๆก็ต้องมาแต่งที่กรุงเทพฯให้เรียบร้อย เอาตะไบขัดให้ดี ใช่ไหม...แล้วก็ปิดทองเสร็จ เขาก็เอาไป

    พอดีฝนมันแล้งจัด ชาวบ้านเขาจะไปเล่นนางแมวนางหมาอะไรนั่นแหละนะ แบบสมัยเก่า ฉันก็ไปยืนที่หน้าต่าง ถามเขาว่า "ทำไมเล่า?" บอก "จะไปเล่นขอฝน"

    บอกว่า "กลับไปเถอะ พรุ่งนี้เขาจะเอาพระพุทธชินราชมาจากกรุงเทพฯ ฝนจะตกตลอดตามที่ต้องการ" ไอ้เราก็โม้ไปอย่างงั้นละ โม้ส่งเดช เจ้าพวกนั้นทำยังไง...วันรุ่งขึ้นมันก็มากันเต็มวัดเลย ไม่ใช่ตำบลเดียว ๒-๓ ตำบล ฝนมันไม่ตกนี่ แกก็มานั่งคอยพระพุทธชินราช ฝนจะตกไหม...

    ไอ้เราก็ชักใจเสีย จะไปไหนก็ไปไม่ได้ ถ้าฝนไม่ตกมันคงทุบเราแน่ ก็เป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ บังเอิญก็ได้ พุทธานุภาพก็ได้ พอเรือที่บรรทุกพระพุทธชินราชไปถึง พอจอดเทียบท่าวัดฝนตก ๒ ชั่วโมงเต็ม ตกขนาดไม่ลืมหูลืมตา ล่อเต็มที่จั้กๆตั้งเวลาได้ ๒ ชั่วโมง

    ก็เป็นอันว่าการแบกพระขึ้นเป็นของไม่ยาก เขาดีใจกันใหญ่ ช่วยแบกพระบ้าง ช่วยแบกคนบ้าง มันล่อกันเต็มที่เลย พอขึ้นมาเสร็จ เขาก็ตั้งกฏเลย แกเลยบังคับต้องทำบุญ ๓ วัน พวกนั้นเขาทำเอง ก็เลยบอกว่า

    "แกจะทำสักกี่ร้อยวันก็เชิญ ฉันอยู่วัดไม่ต้องบิณฑบาต"

    เขาก็ขนกันทำบุญ พอทำบุญเสร็จ เขาเวียนเทียนเสร็จก็เข้าที่ ทีหลังก็ขอท่านตอนเย็น ขอให้ฝนตกพอดีๆเท่าที่ข้าวเขาต้องการ ตกตลอดทุกวัน

    อธิษฐานขอฝนตกที่อื่นก็ได้
    ตอนนั้นมีเรื่องแปลกอีกเรื่องหนึ่ง รุ่งขึ้นอีกปีหนึ่งก็ไปสร้างโบสถ์ที่ จ. ราชบุรี เขาให้ไปสร้างโบสถ์ แต่มันเป็นที่แนวลึกเข้าไปที่ใกล้ๆแม่น้ำ บางที่เราไปง่าย เขาไม่ให้สร้างหรอก ไอ้ที่ชาวบ้านทำไม่ถึงละเราไป

    ก่อนจะไปก็อาราธนาท่าน ขอบารมีท่าน ไม่ได้แบกท่านไปด้วยหรอกนะ ถ้าเรือบ่ายหน้าเข้าคลองเล็กละก้อ...พอไปถึงที่เรียบร้อย ขอให้ฝนตกใหญ่ ๒ ชั่วโมง แล้วก็ไป ก็น่าแปลกเรือเราไม่ได้บรรทุกท่านไป แต่เรานึกถึงท่าน ขณะที่เรือวิ่งไปเดือนเมษายนไม่มีแสงแดดเลย ไอ้เมฆนี่ที่จะบังทับไปอยู่ตลอดเวลา แปลกดีเหมือนกัน

    เมื่อไปถึง พอเรือเบนเข้าคลองเล็กปรากฏว่าฝนตกพรำๆไปถึงที่พอนั่งเรียบร้อยแล้วฝนตกลงมา 2 ชั่วโมง มีโยมคนหนึ่งมาบอก

    "ท่าน..ดินสูงมาก ได้อีกสักชั่วโมงก็ดี" เอางั้นอีก ไอ้เราก็ปากหมา บอก "เอาตีสองนะโยม...เอาอีก ๒ ชั่วโมง"

    เราก็นึกว่าตีสองใครจะไปนั่งอยู่มันกลับไปหมด ตกก็ตกไม่ตกก็ช่าง มันต้องกลับไปหมด ใช่ไหม...ที่ไหนได้ คนที่มามันไม่ยอมกลับ มันคอยดูตีสองอีก ซวยละเรา...เอายังไงกันแน่นะ มันก็นั่งดูนาฬิกา ถาม "อยู่ทำไม?"

    "ก็ท่านบอกตีสองฝนจะตก"

    เราก็เลยบอกว่า "ฉันพูดไปยังงั้นแหละ ด้วยพุทธานุภาพ ท่านจะให้หรือไม่ให้ ฉันบังคับไม่ได้นะ"

    เขาก็บอก "ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวขอดูใหม่"

    ดาวที่เต็มฟ้าไม่มีมัวสักนิดเดียว เห็นดาวสบาย เค้าก็ไม่มี พอนาฬิกาตีเป๋ง...ลงพั๊วทันที ล่ออีก ๒ ชั่วโมง

    แต่ก็แปลก พอฉันจำจะต้องย้ายวัด เพราะครบ ๒๐ พรรษาตามที่หลวงพ่อปานท่านสั่ง ก็เอามาไม่ได้เพราะว่าเป็นของสงฆ์ พอออกมาไม่ได้ พออยู่ข้างหลังใครไปขอเท่าไรฝนก็ไม่ตกเป็นไง...?

    ถามท่านว่า "ทำไมจึงเป็นยังงั้น?"

    บอก "ไม่มีใครเขารู้จักฉันนี่ แม้แต่ไหว้ยังไหว้ไม่ถูกเลย" นี่เรื่องของพระพุทธชินราช ท่านให้ผลดีจริงๆ




    วันหยุดคนก็จะแน่นวิหารเลยทีเดียว

     
  8. NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    445
    ค่าพลัง:
    +1,160





    พระพุทธชินราช พระประธานในวิหารแก้วร้อยเมตร

    "พระคำข้าวองค์แรกของวัดท่าซุง"


    วัตถุมงคลที่สร้างชื่อเสียงให้แก่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีอย่างมากก็คือพระคำข้าว พูดถึงพระคำข้าวก็ต้องนึกถึงหลวงพ่อฤาษี นึกถึงหลวงพ่อฤาษีก็ต้องนึกถึงพระคำข้าว เรียกว่าเป็นของคู่กันว่างั้นเถอะ

    ในหมู่ผู้นิยมพระ หากไปไหนมาไหนแล้วแล้วบอกว่าเป็นศิษย์หลวงพ่อฤาษี ก็จะต้องถูกเรียกหาดูพระคำข้าวกัน หยิบมาส่องหยิบมาดูบอกเล่าเรื่องราวประสบการณ์ที่แต่ละคนได้พบประสบกันมา เป็นที่เพลิดเพลิน

    หากแต่หลายท่านอาจจะยังไม่ทราบว่าพระคำข้าวองค์แรกนั้นก็คือพระพุทธชินราชองค์นี้ ใครอยากได้พระคำข้าวไว้บูชาแต่ไม่มีทุนทรัพย์พอก็สามารถกราบไหว้บูชาขอพรจากองค์พระพุทธชินราชองค์นี้ได้เช่นกัน หากจะให้ดีมีโอกาสก็ไปนั่งสวดพระคาถาเงินล้านถวายท่านสัก ๓๐ จบ ๑๐๘ จบก็จะเป็นการดี

    หลวงพ่อฤาษีท่านได้ปรารภกับศิษย์ว่าจะสร้างพระคำข้าวแบบสมัยหลวงพ่อปานขึ้นมา แล้วท่านก็ได้สร้างผงคำข้าวขึ้นตามกรรมวิธี จากนั้นได้นำผงคำข้าวที่บดละเอียดแล้วไปฉาบกับองค์พระพุทธชินราช หลวงพ่อวิรัช เจ้าอาวาสวัดธรรมยาน ท่านได้ให้ช่างขยักผงไว้ส่วนหนึ่ง ซึ่งก็ได้นำมาสร้างเป็นพระเครื่อง คือพระคำข้าวที่เรารู้จักกัน พระพุทธชินราชองค์นี้ก็เป็นพระคำข้าวองค์แรกของวัดท่าซุง ที่ทั้งงดงามและศักดิ์สิทธิ์มากๆ



    หลวงพ่อวิรัช เจ้าอาวาสวัดธรรมยาน เล่าเรื่องพระคำข้าว


     
  9. NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    445
    ค่าพลัง:
    +1,160



    พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษี เล่าเรื่องอานุภาพแห่งพระคำข้าว
    ที่หลวงปู่ปานสร้าง ว่ามีอานุภาพมากมาย พระคำข้าวที่หลวงพ่อฤาษีสร้าง
    ก็สร้างตามตำราของหลวงปู่ปาน

    *************


    หลวงพ่อได้เล่าความอัศจรรย์ของพระคำข้าว สมัยที่ท่านอยู่กับหลวงพ่อปานไว้ดังนี้

    เมื่อสมัยหลวงพ่อปานยังทรงชีวิตอยู่ ท่านทำพระไว้องค์หนึ่ง เสกข้าว ๓ เดือนนี่ ปรากฏว่าคำไหนอร่อยมาก คำนั้นไม่กิน เอาออกเก็บ สำหรับที่ฉันนี่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าคำแรกยังไม่ต้องกิน กับข้าวที่ดีที่สุดผสมก่อน เสกเก็บนะ ก็ทำจริงๆ ๔ เดือน ไปไหนก็ทำหมายความว่าบังเอิญจะมาที่นี่ก่อน จะกินต้องทำเก็บไว้เหมือนกัน เพราะคำว่า ๔ เดือน ๓ เดือน นี่จะขาดสักวันหนึ่งไม่ได้เลย แล้วก็ผลจริงๆ ที่เคยปรากฏนะ ที่หลวงพ่อปานท่านทำใช่ไหม ทำแล้วก็ทำเป็นผงผสมไว้แล้ก็สร้างเป็นพระพุทธรูปไว้ที่บูชาที่พระสวดมนต์เวลาหลวงพ่อท่านไม่อยู่คนก็ไม่ค่อยเอากับข้าวไปให้กิน ฉันก็ไปบูชาพระองค์นั้นขอหม้อใหญ่ๆ มาเรื่อยนี่เป็นเรื่องจริงๆ นะ

    มาอีกวันหนึ่งเป็นเรื่องอัศจรรย์มาก คือว่าหลวงพ่อไปเขาวงพระจันทร์ อีตาโปร่งแกเป็นเจ้าของโรงงานต่อเรือยนต์ แกก็นำแกงมา ๓ หม้อใหญ่มาก ปรากฏว่าพอมาถึงหน้าวัด ฉันบูชาตอนกลางคืนนี่นะ ฉันอดนะ กับข้าวไม่ค่อยมีกิน หลวงพ่อไม่อยู่ เราก็อาศัยพระพุทธรูป ตาโปร่งมาถึง พอมาถึงจอดเรือปี๊บ ถามว่าหลวงพ่ออยู่ไหม เขาบอกไม่อยู่ ไปเขาวงพระจันทร์ แกถอยหลังเรือออกเลย แหมหม้อต้มใหญ่ๆ จะให้หลวงพ่อปานฉันองค์เดียว ใบจักรหัก มันไม่มีตอนะ ใบจักรหัก ฉันเลยหม่ำซะ ๓ หม้อเลย ใบจักรหัก เราก็ไม่ช่วยต่อ เรื่องของแก

    พอหลวงปู่ปานกลับมา ตาโปร่งก็มาเล่าให้ฟังบอกว่า ผมเอาอาหาร มาถวายนึกว่าหลวงพ่อยังอยู่ พอหลวงพ่อไม่อยู่ พระบอกว่าไม่อยู่ ผมเลยถอยหลังกลับเอาอาหารกลับบ้าน แต่ใบจักรไม่รู้ฟันอะไรหัก หลวงพ่อปานบอกที่นั่นไม่มีตอ หน้าวัดไม่มีตอ แกก็ถามทำไมใบจักรจึงหัก ท่านก็เลยบอกว่า แกคลายศรัทธาใบจักรก็หัก ในเมื่อมาถึงวัดแล้ว แกไปทำไม ไอ้คนจะเป็นมหาเศรษฐี ถอยหลังไม่ต้องการมหาเศรษฐีมีที่ไหน อ้อ เทวดาช่วยนะ ช่วยใครรู้ไหม ช่วยฉัน โอ้โฮ หม่ำซะไม่มี ดีใจ กินแกงใบจักรหัก


    *************

    หลวงพ่อตอบปัญหา...เรื่องอานุภาพพระคำข้าวมหาลาภ


     
  10. NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    445
    ค่าพลัง:
    +1,160






    ไฮไลท์ที่สำคัญในวิหารแก้วร้อยเมตรก็คือการมากราบสังขารพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษี การมากราบท่านก็เพื่อเสริมสร้างกำลังใจว่าเรามาฝากตัวเป็นศิษย์ของหลวงพ่อ และศิษย์ที่ดีก็คือการประพฤติปฏิบัติตามคำสั่งสอนของท่าน
    อย่างน้อยสักปีละหนึ่งครั้งก็ควรหาโอกาสมากราบไหว้ครูบาอาจารย์
    "บูชาคนที่ควรบูชาย่อมเป็นอุดมมงคล"

    หลวงพ่ออนันต์ อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าซุงได้เคยเล่าเกี่ยวกับพระศพหลวงพ่อเอาไว้ว่าพระมหากัสสปสมัยพุทธกาลจะมาคอยดูแลพระศพหลวงพ่ออยู่ ใครมากราบก็จะเป็นมงคล


    **************

    เรื่องพระศพหลวงพ่อ

    เรื่องพระศพของหลวงพ่อนี่ เมื่อสมัยที่ท่านมีชีวิตอยู่ ท่านเคยบอกกับเราว่า เมื่อข้าตายแล้วให้ดูศพข้า ใน 7 วัน 15 วัน ท่านบอกว่าท่านขอพรข้างบนไว้แล้ว แต่ไม่บอกว่าใคร

    ทีนี้เมื่อท่านมรณะภาพแล้ว เราไม่ให้ฉีดฟอร์มาลีน ปล่อยให้ศพเป็นธรรมชาติอยู่อย่างนั้น แต่ศพของหลวงพ่อ 7 วันแล้วก็ยังไม่มีกลิ่นเลย ยังไม่มีน้ำเหลืองออกจากร่างกายเหมือนคนนอนหลับธรรมดา เราก็นึกว่า เออ... หลวงพ่อคงจะกลับ เพราะว่าปรกติพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณสามารถเข้านิโรธสมาบัติได้ 7 วัน หรือ 15 วัน โดยไม่ต้องฉันอาหารเลย เมื่อ 7 วันแล้วร่างกายของหลวงพ่อก็ยังงอแขนได้ ยกได้เป็นปรกติ เราก็นึกว่าหลวงพ่อคงจะกลับ พอ 7 วันแล้วไม่กลับแต่ร่างกายก็ยังปรกติอยู่ ก็คิดว่า เอ..พระอรหันต์ในสมยพุทธกาล ยังเข้านิโรธสมาบัติได้ถึง 15 วัน ก็ยังมั่นใจว่าหลวงพ่อจะกลับใน 15 วันอีก เมื่อเรามั่นใจอย่างนี้แล้ว เราก็ไปดูศพท่าน ศพท่านก็ยังปรกติอยู่ ไม่มีน้ำเหลืองออกใน 15 วันนี้ ผิดปรกติทุกอย่าง

    หลัง 15 วันแล้วศพของท่านยุบลงหน่อย มีสีขาวขึ้น บางคนก็ว่าเชื้อรา หมอที่อยู่ที่วัดบอกไม่ใช่เชื้อรา เพราะบางครั้งก็หายไป แล้วก็ปรากฏขึ้นอีก แต่เดี๊ยวนี้ถึงแม้ศพหลวงพ่อยุบลง แต่ก็ยังมีกล้ามเนื้ออยู่ แต่มีท่อนแขนเท่านั้นที่แข็งขึ้น แต่คนก็ยังลุ้นว่าหลวงพ่อจะกลับ แต่ท่านคงไม่กลับแล้วละ

    แต่มีส่วนที่ว่า จะเป็นมงคลกับเรา คือมีคนไปทำความสะอาดใบหน้า คือโกน แล้วเอาเซลผิวหนังเอาไปแจกกัน เดี๊ยวนี้ขาวเป็นแก้วแล้ว เขาเอาไปให้กันทางสุพรรณฯ

    เมื่อท่านมีชีวิตอยู่ ท่านบอกว่า พระมหากัสสปที่อยู่เชียงตุง จะมาช่วยดูแลเกี่ยวกับศพท่าน ท่านบอกว่าถ้าใครไปกราบศพท่านจะเป็นมงคล เหมือนกับที่ท่านมีชีวิตอยู่เพราะพระมหากัสสปจะมาช่วยเกี่ยวกับศพท่าน ยังหาเทปอันนี้ไม่เจอ แต่ท่านเคยพูดไว้


    (จากคอลัมภ์ "จากคำบอกเล่า" ธัมมวิโมกข์ มีนาคม 2536)


     
  11. NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    445
    ค่าพลัง:
    +1,160









    หลังจากที่กราบพระและสรีรสังขารของหลวงพ่อเสร็จแล้วก็มาทำบุญไปตามกำลัง

    บุญนี้เป็นสิ่งที่ครูบาอาจารย์หลายๆองค์ได้กล่าวไว้ตรงกันว่า

    "บุญเป็นสิ่งเดียวสะสมแล้วไปเป็นภาระ"

    **************


    อานิสงส์การทำบุญ
    โดยพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง


    พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า
    ..... การถวายทานกับพระองค์เอง ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายสังฆทาน ๑ ครั้ง ถวายสังฆทาน ๑๐๐ ครั้งมีผลไม่เท่ากับถวายวิหารทาน ๑ ครั้ง
    .....นี่พระพุทธเจ้าท่านตรัสอย่างนี้
    .....แต่มีบางท่านบอกว่า พระนี่ไม่น่าจะทำการก่อสร้าง
    ควรจะสอนคนให้เป็นพระหรือสอนให้เป็นคน
    .....สอนคนให้เป็นคนน่ะไม่ต้องไปสอนเขา เขาเป็นคนกันอยู่แล้ว
    ทีนี้สอนคนให้เป็นมนุษย์น่ะสอนยาก สอนคนให้เป็นพระนี่สอนยาก
    .....ในเมื่อญาติโยมพุทธบริษัทมีใจเป็นพระขึ้นมา ทำไมจะต้องลิดรอนกำลังใจกัน เพราะการก่อสร้างเป็นความดีของญาติโยม
    การทำบุญทุกอย่างเป็นเรื่องของพระ ถ้าคนจิตใจไม่ถึงพระนี่ทำบุญไม่ได้เลย
    โดยพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน(วัดท่าซุง)





    การทำบุญมากๆ
    .....คำว่า "ทำมาก" หมายความว่า ทำบ่อยๆ แต่คำว่า "บ่อย" ไม่ต้องทุกวันก็ได้นะ คำว่า "มาก" หมายความว่า ทำเต็มกำลังที่พึงทำ ไม่ใช่ขนเงินมามากเวลาทำบุญ ต้องดูก่อนว่า ค่าใช้จ่าย เรามีความจำเป็นเพียงไร เงินที่มีความจำเป็น อย่านำมาทำบุญ มันจะเดือดร้อนภายหลัง และให้เหลือส่วนนั้นไว้บ้าง แล้วแบ่งทำบุญพอสมควรและประการที่ ๒ การทำบุญ ถ้าใช้วัตถุมาก แต่กำลังใจน้อย ก็มีอานิสงส์น้อยถ้าหากใช้วัตถุน้อย กำลังใจมีมาก ก็มีอานิสงส์มาก อย่างถวายสังฆทาน ที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทนำมานี่ ลงทุนไม่มาก แต่อานิสงส์มหาศาล ความจริง ถ้าจะพูดถึงอานิสงส์กันจริงๆล่ะก็รู้สึกว่าจะมากกว่าจัดงานที่บ้าน หรือที่วัดตั้ง เยอะแยะทั้งนี้เพราะว่าอะไร เพราะว่าถวายสังฆทาน เราทำกันแบบเงียบๆ ไม่มีกังวล
    .....การบำเพ็ญกุศลแต่ละคราว ถ้ามีกังวลมาก อานิสงส์มันก็น้อย เพราะว่าจิตที่เราเข้าสู่กุศลมันห่วงงานอื่นมากกว่าไม่ตั้งจิตโดยเฉพาะ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การถวายสังฆทานในหมู่สงฆ์ ตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป ตามพระวินัย ท่านเรียกกันว่า คณะสงฆ์ ถ้าต่ำกว่านั้น เป็น คณะบุคคล ถ้าบุคคลเดียว เป็น ปาฏิปุคคลิกทาน โดยเฉพาะ
    โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)





    ทำทานเล็กๆน้อยๆ

    ผู้ถาม : หลวงพ่อครับ คือสงสัยว่าคนที่ทำทานก็ดี รักษาศีลก็ดี แต่ว่าทำเล็กๆน้อยๆ แต่ก็ทำเป็นประจำ ทำจำนวนไม่มากตามมีตามเกิด ที่น่าประหลาดก็คือความดีทำเป็นประจำ แต่มาฝึกมโนมยิทธิไม่ได้สักที ตั้งใจจะไปนิพพานในชาตินี้ กระผมคงไม่มีโอกาสไปได้แน่ เพราะไม่ได้มโนมยิทธิ ขอให้หลวงพ่อช่วยให้กำลังใจหน่อยเถิดขอรับ ?


    (เอ๊ะ ถามเรื่องทานกับศีล แต่วกเข้ามโนมยิทธิ ไม่เป็นไรนะ)

    หลวงพ่อ : การไปนิพพานนี่นะ มโนมยิทธิเป็นหมวดที่ 3 ที่เรียกว่า "ฉฬภิญโญ"

    ไปนิพพานจริงๆเขาไปได้ทั้ง 4 หมวดนั่นแหละ สุกขวิปัสสโกก็ไปได้ เตวิชโชก็ไปได้ ฉฬภิญโญก็ไปได้ ปฏิสัมภิทัปปัตโตก็ไปได้ ได้เหมือนกัน คนที่เขาไม่ได้มโนมยิทธิ เขาไม่ได้อภิญญาเขาสามารถไปได้เยอะแยะไป มันขึ้นอยู่กับกำลังใจที่ตัดกิเลส อย่างหลวงพ่อวัดพระพุทธบาทตากผ้า ท่านบอก "ขณิกนิพพาน"

    ทีแรกฉันสงสัย นิพพานก็ต้องนิพพานกันเลยใช่ไหม นิพพานประเดี่ยวเดียวเป็นยังไง ได้อ่านๆไปก็เกิดมีความเข้าใจ ไอ้คำว่า "นิพ" แปลว่า ดับ เวลานั้นจิตดับกิเลสชั่วคราว ผู้ที่ฝึกมโนมยิทธินี่ ผู้ที่ไปนิพพานได้เวลานั้นไม่มีกิเลส เวลากลับมากิเลสโดดเกาะคอใหม่ พอจะไปอีกทีก็วางกิเลสสักประเดี๋ยว เขาเรียกว่า "ขณิกนิพพาน"

    ผู้ถาม : อย่างนี้ก็มีสิทธิไปได้


    หลวงพ่อ : ก็มีสิทธิไป คือว่าการจะถึงนิพพานได้ก็เพราะอาศัยการตัดกิเลสเฉพาะเวลาเฉพาะเวลานั้น ถ้ากิเลสสงบเราก็เข้าถึงได้ ถ้ากิเลสเกาะใจก็หล่นนี่ อย่างที่เขานั่งๆเขาตัดได้นะอย่าลืม

    อย่างการบำเพ็ญทานต้องสละทรัพย์ นั่นเขาตัดความโลภไปชั้นหนึ่งนะ ตัดทีละชั้นสองชั้น ศีลก็ตัดโทสะความโกรธ อย่างนี้เขาไม่ถือว่าเล็กน้อย เขาถือว่าเรื่องใหญ่นะ

    ผู้ถาม : แต่บางคนเขาหาว่าเล็กน้อย


    หลวงพ่อ : ก็พระพุทธเจ้าท่านว่าใหญ่ ฉันว่าน้อยก็ลงอเวจี เพราะท่านบอกว่า "ถ้าหากทานบารมีเต็ม อย่างอื่นก็เต็มหมด"

    ท่านให้แนะนำเรื่องทานบารมี ทีนี้ทานบารมีไม่จำเป็นต้องทุ่มเท ทำเท่าที่จะทำได้ ถ้ายังไม่มีโอกาส จิตคิดว่าจะทำมีอยู่ อย่างนี้ใช้ได้เป็น "จาคานุสสติ"

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 99 พฤษภาคม 2532 หน้า 17-18)





    อานิสงส์ของการทำบุญ

    โยมผู้หญิงคนหนึ่งได้ทราบว่า พระที่โยมใส่บาตรทุกวันนั้น ไม่ได้มุ่งมาบวชเพื่อตัดกิเลส แต่บวชมาเพื่อกวดวิชาเข้า ม.ศ. 5 โยมจึงบอกกับพระองค์นั้นว่า "พรุ่งนี้ไม่ต้องมาบิณฑบาตอีกนะคะ" โยมพูดไปแล้วก็ไม่สบายใจ เมื่อมีโอกาศได้มาพบหลวงพ่อ จึงเรียนถามว่า "พูดอย่างนี้จะบาปไหมคะ...?"


    หลวงพ่อได้เมตตาตอบว่า
    หลวงพ่อ : ไม่บาปหรอกโยม เพราะเราไม่ได้เอาของเขาใช้ นี่เป็นของของเรา เรามีสิทธิ์ คำว่าบาป แปลว่า ชั่ว ของของเรา เราไม่ให้เขา ไม่ถือว่าชั่ว

    ผู้ถาม : คนจนอยากทำบุญ แต่ไม่มีเงินจะทำ อย่างนี้ควรจะทำด้วยอะไรคะ ?


    หลวงพ่อ : เอ...อย่างนี้ต้องแก้ผ้าทำนะ

    ผู้ถาม : (หัวเราะ)


    หลวงพ่อ : อย่าง มหาทุคคตะ แกผ้าทำจนต้องนุ่งใบไม้ และมีตัวอย่างอีกคนหนึ่ง คือ ท่าน มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร ท่านเป็นลูกของพราหมณ์ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ พ่อแม่ไม่เคารพพระในพระพุทธศาสนา และท่านก็ไม่มีโอกาสจะใส่บาตร ไม่มีโอกาสจะรักษาศีล ไม่มีโอกาสจะได้ฟังเทศน์ แย่เลย....

    เวลาตายปรากฏว่า พ่อก็ไม่เป็นที่พึ่ง แม่ก็ไม่เป็นที่พึ่ง ทรัพย์สมบัติก็ไม่เป็นที่พึ่ง เขาลือกันว่าพระพุทธเจ้านั้นใจดี เป็นที่พึ่งของคนทุกคน ท่านก็นึกถึงพระพุทธเจ้า พอตายแล้วก็ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

    นี่เป็นอันว่า คนที่ทำบุญ ไม่ต้องลงทุนด้วยทรัยพ์สิน แต่ว่าใช้จิตภาวนาหรือพิจารณาถึงความดีส่วนใดส่วนหนึ่ง มันก็เป็นบุญ

    เราทำแบบนี้ อย่าทำบ่อยนะ พระไม่ค่อยชอบ

    ผู้ถาม : ถ้าหากว่าทำบุญแบบนี้ ตายแล้วเป็นเทวดา ไม่จนแย่หรือคะ ?


    หลวงพ่อ : ก็บอกแล้วอย่าทำบ่อยนัก พระไม่ค่อยชอบ ไม่จนหรอก ดูตัวอย่าง ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร ท่านนึกถึงพระพุทธเจ้าหน่อยเดียว ตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดา มีวิมานทองคำ มีเครื่องประดับสวย แจ๋ว แต่พระไม่ชอบเทศน์ แต่ว่าทำได้นะโยม มีอานิสงส์ใหญ่นะ

    ผู้ถาม : อย่างที่เห็นเขาทำบุญ แล้วยกมือ อนุโมทนา สาธุ อย่างนี้จะได้ไหมคะ ?


    หลวงพ่อ : ยกมือดีใจ หรือยกมือแช่งเขาล่ะ ?

    ผู้ถาม : สาธุ ดีใจค่ะ


    หลวงพ่อ : โมทนา แปลว่า ยินดีด้วยนะ ไม่สาธุนึกว่า ไอ้บ้าทำบุญเสือกมาอวดกูด้วย

    ผู้ถาม : หลวงพ่อคะ การทำบุญทุกอย่าง แต่ไม่ได้ปราถนาอะไรเลย จะได้ไหมคะ ?


    หลวงพ่อ : ได้โยม ทำไมจะไม่ได้ คือถ้าไม่ตั้งมโนปณิธานปราถนา บุญมันก็ต้องเป็นบุญ แต่ว่าอานิสงส์เบื้องปลายมันไม่เหมือนกัน

    ผู้ถาม : เป็นไงคะ ?


    หลวงพ่อ : การปราถนาจัดเป็นอธิษฐานบารมีนะ ตั้งใจว่าการทำบุญอย่างนี้เพื่อผลอะไร อย่างที่ไม่ปราถนาพุทธภูมิ ไม่ปราถนาเป็นพระพุทธเจ้า ไม่ปราถนาเป็นพระอัครสาวก แต่ปราถนาเพื่อการหมดกิเลส ก็ชื่อว่า ยังปราถนา อยู่

    ผู้ถาม : ถ้าหากว่า ทำเฉยๆ เล่าคะ ?

    หลวงพ่อ : ถ้าหากว่าทำเฉยๆ ไม่ปราถนาอะไรเลย ตัวอย่างก็มีท่าน อาฬวีเศรษฐี จะฟังนิทานไหม ฉันจะเล่าให้ฟัง

    ผู้ถาม : ฟังค่ะ


    หลวงพ่อ : จะให้เท่าไรล่ะ ?

    ผู้ถาม : (หัวเราะ)


    หลวงพ่อ : คือว่า ท่านอาฬวีเศรษฐี พ่อท่านเป็นมหาเศรษฐี พอพ่อท่านตายลง ท่านก็เป็นเศรษฐีแทน เศรษฐีสมัยนั้นพระราชาต้องแต่งตั้ง แล้วต่อมา พวกขี้เมา ก็ชวนกินเหล้าเมายา ในที่สุดทรัพย์สินก็หมดไป จนกระทั่งกลายเป็นขอทาน

    วันหนึ่ง พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์เสด็จไปที่เมือง อาฬวี เห็นอาฬวีเศรษฐีนั่งขอทานอยู่ข้างฝาเรือนชาวบ้าน พระพุทธเจ้าก็ทรงแย้มพระโอษฐ์

    พระพุทธเจ้าตามปรกติจะไม่แย้มพระโอษฐ์ ถ้ายิ้มแล้วต้องมีเรื่อง

    พระอานนท์จึงทูลถามว่า "พระองค์ยิ้มด้วยเรื่องอะไร พระพุทธเจ้าข้า ?"

    พระพุทธเจ้าถามว่า "อานนท์ เธอเห็นอาฬวีเศรษฐีไหม ?"

    พระอานนท์มองไปมองมาไม่เห็น เห็นแต่ขอทาน พระพุทธเจ้าก็บอกว่า " ขอทานนั่นแหละ คือ อาฬวีเศรษฐี "

    แล้วพระองค์ก็ตรัสว่า "ถ้าอาฬวีเศรษฐี สมัยเมื่อเป็นเศรษฐี ถ้าฟังเทศน์ของเราเพียงจบเดียว จะได้บรรลุพระอนาคามี เมื่อเงินน้อยลงมาเป็นอนุเศรษฐี ถ้าฟังเทศน์จากเราเพียงจบเดียว จะได้เป็นพระสกิทาคามี เมื่อมีฐานะเป็นคหบดี ถ้าฟังเทศน์จากเราเพียงจบเดียว จะได้เป็นพระโสดาบัน

    แต่ว่านี่อาฬวีเศรษฐี เป็นขอทานเสียแล้ว เราเทศน์จึงไม่มีผล"

    ตอนนี้ พระอานนท์ทูลถามว่า "ตามธรรมดาคนจะบรรลุมรรคผล องค์สมเด็จพระทศพลเคยตรัสว่า จะตายก่อนก็ยังไม่ได้ ต้องบรรลุมรรคผลก่อนนี่ พระพุทธเจ้าข้า ?"

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า "นั่นเขามีอธิษฐานบารมี"

    เป็นอันว่าอาฬวีเศรษฐี ไม่มีอธิษฐานบารมี ใช่ไหม..โยม ?

    ผู้ถาม : ใช่ค่ะ


    หลวงพ่อ : คนจะได้ดี เลยไม่ได้ดี ต่อไปอธิษฐานเสียนะ

    ผู้ถาม : ค่ะ ต่อไปจะอธิษฐานเสมอค่ะ



    (จากหลวงพ่อตอบปัญหา ธัมมวิโมกข์ มกราคม 2540)

    ที่มา:
     
  12. tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,564
    ค่าพลัง:
    +53,107
  13. NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    445
    ค่าพลัง:
    +1,160
    ช่วงนี้ทางวัดท่าซุงได้มีการสร้างและมีการบูรณะวิหารต่างๆที่ชำรุดทรุดโทรมขึ้นมาใหม่ให้งดงามและมีการยกฉัตรขึ้นเพื่อเป็นการบูชาคุณพระรัตนตรัย พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษี ได้กล่าวไว้ว่าการยกฉัตรนี้มีอานิสงส์สูงมาก สามารถปรารถนาพุทธภูมิได้ ดังเรื่อง

    ***************

    อานิสงส์การยกฉัตร

    ผู้ถาม :- “การยกฉัตรและซ่อมแซมเนตรพระประธานในพระอุโบสถที่ถูกไฟไหม้ให้ดีอย่างเดิม อยากจะกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า ทำอย่างไรจึงจะถูกต้องและมีอานิสงส์ขอรับ…?”


    หลวงพ่อ :- “ต้องดูก่อนว่าจ่ายเท่าไร จ่ายพันอานิสงส์พัน จ่ายหมื่นก็ได้หมื่น อันนี้นะสร้างพระเนตรพระพุทธเจ้า ก็เป็น พุทธานุสสติ นะ แต่มีอยู่ตอนหนึ่งท่านบอกว่า การยกฉัตรขึ้นบูชาพระรัตนตรัย จะปรารถนาพุทธภูมิก็ได้ อานิสงส์สูง


    ตัวอย่างจากพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันของเรา สมัยท่านเป็นพราหมณ์ ครั้นต่อมาท่านมีลูกชายคนหนึ่งออกไปจากบ้านนานแล้ว ปรากฏว่าลูกชายไปเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วก็ไปพบเมื่อลูกชายนิพพานไปแล้วด้วย ท่านเห็นก็ไม่มีอะไรจะทำบุญก็สร้างเจดีย์ครอบไว้ เอาผ้าขาวม้าที่ติดตัวไป ซักให้ดีแล้ว ทำเป็นธงยกขึ้นเหนือเจดีย์ ผลที่จะพึงได้ท่านปรารถนาพุทธภูมิ ก็สำเร็จได้ตามปรารถนา”


    หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๔ หน้า ๖๗
    พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง)





    และจากหนังสือบันทึกของชาโดว์ เล่ม 6 หน้า 175-178

    เรื่อง ย้อนยุคที่พระธาตุดอยตุง-พระธาตุจอมกิตติ


    วันศุกร์ที่ 17 มกราคม 2540
    ไปเชียงรายกับพี่ชอ คุณเนียร คุณสุธี คุณพิมพา พิมพาจะไปเที่ยวบิรเวลา 10.30 น. ด้วยกันบังเอิญถึงช้าไม่ทันจึงต้องคอยไปเที่ยวบ่ายโมงคนเดียว ข้าพเจ้า พี่ชอ คุณสุธี คุณเนียร ถึงสนามบินเชียงรายด้วยความสะดวกสบาย เดรื่องไม่สั่นไม่คลอนบินเงียบตลอดทางจนลงจอดพื้นดิน

    ขอบารมีพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระอรหันต์ทุก ๆ พระองค์ หลวงพ่อท่านเป็นประธานแล้ว พรหม เทวดานางฟ้า อากาสเทวดา รุกขเทวดา ภูมิเทวดาและพระแม่ธรณี แม่พระพาย แม่พระเพลิง แม่พระคงคา อย่าให้ลมตีเครื่องบินสั่นสะเทือน หรือตกหลุมอากาศ แม่พระเพลิงอย่าให้ไฟไหม้เครื่อง พระแม่คงคาอย่าให้ฝนตกหรือเครื่องตกน้ำ พระแม่ธรณีก็ให้เครื่องลงพื้นด้วยความเรียบร้อย และลูกอยู่ที่ใดก็ตามขอท่านทั้งหลายช่วยคุ้มครอง อย่าให้เจ็บป่วย อย่ามีอุบัติเหตุ แข็งแรง ขอให้รู้โดยไม่ต้องกำหนดจิตและรู้เห็นตรงถูกต้องทุกประการ

    จงโมทนาบุญที่ข้าพเจ้าได้ทำมาแล้วทั้งหมดมากมาย และจะทำต่อไปอีกจนกว่าจะตายเข้าถึงซึ่งพระนิพพานชาตินี้

    ระหว่างบินก็นึกว่าเราอยู่สูงกว่าสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่พื้นดิน ขอขมาพระรัตนตรัยด้วย และสมาทานพระกรรมฐานในใจ ขึ้นนิพพานบ้าง ดูโน่นดูนี่บ้าง เดี๋ยวนี้มันขี้เกียจรู้ขี้เกียจเห็นแล้ว ไม่เหมือนครั้งก่อน ๆ ที่ติดตามหลวงพ่อท่านไปต้องรู้ดูตลอดเวลา เมื่อมีสตินึกขึ้นได้ว่าไปกับท่านและท่านอาจถามเมื่อไรก็ได้ แบบท่านเคยคุยให้ฟังว่าถ้าท่านไปไหนกับหลวงปู่ปาน ท่านก็จะต้องดูรู้ตลอด หลวงปู่ปานจะถามหรือสั่งให้จด เป็นต้น

    เดี๋ยวนี้หลวงพ่อท่านสิ้นแล้วเลยสบายในข้อนี้ แต่เรื่องถวายกุศลหรือแผ่ส่วนบุญนี่ต้องทำเป็นประจำอยู่แล้วทำเต็มที่เพื่อความอยู่รอดปลอดภัยสบายกายสบายใจของเราเอง เรียกว่าตาขาวตรงเผงเลย

    เมื่อถึงโรงแรมวังคำ โดยรถของโรงแรมไปรับ ทานข้าวกลางวันที่โรงแรมแล้ว ให้รถโรงแรมพาขึ้นไปกราบที่พระธาตุดอยตุงก่อนเลย คิดว่าวันรุ่งขึ้นมีรถหลายคัน

    รถบัสจากกรุงเทพฯ 24 คัน
    คณะคุณนราธิป 12 คัน
    คุณแดง 4 คัน
    คณะถาวร 5 คัน
    อาจารย์วิชชุ 1คัน
    คณะไฟฟ้าส่วนภูมิภาคโดยคุณวิชัย 1 คัน
    คณะบางบอน 1 คัน
    ต่างจังหวัดโดยคุณชนะท่าลาน 4 คัน
    ยังรถตู้รถเล็กอีกมากมาย เกือบทั่วประเทศภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง ภาคตะวันออก ชลบุรี สัตหีบ จันทบุรี

    จะต้องเดินไกลเพราะบนนั้นถนนแคบ บริเวณพระเจดีย์ก็ไม่กว้างมากนัก เราคงจะเดินขึ้นหรือเบียดคนมาก ๆ ไม่ไหว จึงไปกราบก่อนดีกว่า รถจอดถึงยอดดอยเลย

    เมื่อก่อนดูว่าสูงใหญ่กว่านี้ วันนั้นดูเล็กลงมาก คงจะเป็นเพราะที่ฐานพระเจดีย์ถูกยกพื้นขึ้นมีกำแพง และสิ่งก่อสร้างใกล้ ๆ นั้นเกิดขึ้นใหม่ เลยทำให้เห็นเจดีย์เล็กลง

    กราบ และปิดทองพระยืนหน้าเจดีย์ 5 องค์สร้างใหม่ตรงกำแพงพระเจดีย์นั้น

    แล้วไปกราบพระที่ศาลาเดิมใกล้ ๆ นั้น ศาลาหลังนี้ไม่เปลี่ยนเพียงแต่เก่าไปกว่าเดิมเท่านั้น ถนนขึ้นไปก็ทำดีสบายกว่าเก่า ผ่านหมู่บ้านชาวเขาที่อยู่ติด ๆ ถนนเห็นมีกางเกงยีนส์ตากอยู่ คุยกับคนขับรถของโรงแรมบอกว่าพวกชาวเขาเดี๋ยวนี้รวยแล้ว เพราะขายดอกไม้ขายผลไม้เมืองหนาวที่สมเด็จย่าและโครงการพระราชทาน มีโทรศัพท์มือถืออีกด้วย พูดไทยภาษากลางได้สบายที่ใกล้ ๆ

    บริเวณพระธาตุมีร้านขายของพื้นเมืองและของจีนหลายร้าน ของไม่แพง ข้าพเจ้าซื้อเห็ดหลินจือมา 2 ห่อ ๆ ละ 400 บาท ซื้อที่กรุงเทพฯขนาดนั้นประมาณ 1,000 บาท คนขายเป็นหญิงสาวชาวเขาพูดไทยภาคกลางเสียงน่าฟังดี ได้ทำบุญโดยเอาเงินหยอดในตู้ที่ตั้งไว้ 2-3 แห่ง

    อธิษฐานขอให้มีความดีหรือของดีเป็นยอดสุดเหมือนที่ลูกได้มาตั้งฉัตรบนยอดพระเจดีย์ 2 องค์นั้นด้วยความเต็มใจ เป็นปลื้ม ขอผลบุญจงสนองอย่างเต็มใจไม่มีอุปสรรคใด ๆ ทั้งสิ้น ฯลฯ

    ก่อนจะถึงพระธาตุดอยตุง ได้แวะไปชมความงามสวนดอกไม้ของสมเด็จย่าด้วย เห็นแล้วคล้ายกับที่สวิสเซอร์แลนด์มาก ระหว่างทางที่ขึ้นไปจากที่เป็นเขาหัวโล้น เต็มไปด้วยต้นไม้และข้างทางก็เป็นต้นสนแบบแถวยุโรปเลย

    ข้าพเจ้าติดตามหลวงพ่อท่านพระราชพรหมยาน หรือหลวงพ่อท่านฤๅษี ครั้งแรกดูเหมือนจะเป็น พ.ศ.2518 ครั้งหลังนี่ 2523 หรือ2525 ไม่แน่ใจ ยังไม่มีอะไรขาย มองไปทางไหนก็เป็นเขาหัวโล้นหมด เดี๋ยวนี้ข้างทางแถว ๆ ใกล้ตัวเมือง มีผลไม้ส้ม แอปเปิ้ล ลูกสาลี่เมืองจีนขายหลายร้านราคาถูก เกรงใจน้ำหนักขึ้นเครื่องบินจึงซื้อได้อย่างละกล่อง 15 กิโลกับ 10 กิโล

    ถึงโรงแรมค่ำพอดี เดินไปหาอาหารทานใกล้ ๆ โรงแรมนั้น ก่อนจะไปทำบุญย้อนยุคนี้อากาศหนาวมาก ก็เตรียมชุดใส่ให้พออุ่นได้ คือชุดผ้าไหม ผ้าไหมนี่ซับในมันก็หนาดี มีผ้าห้อยคอชายยาว ๆ ใหญ่ ๆ หนาหน่อยคงพอไหว เอาผ้าห่มจากเตอร์กีโน่น แต่พอใกล้ ๆ ถึงวันไปอากาศเริ่มร้อนหน่อย ๆ ก็ว่าดีไม่ต้องใส่เสื้อกันหนาว แต่ก็ยังคิดว่าบนเขาคงยังหนาวมากเอาโค๊ตยาวไปด้วย เมื่อถึงเชียงรายอากาศอุ่นเกือบจะเป็นร้อน ทำไงดีอุตุพยากรณ์อากาศบอกว่าอากาศจะอุ่นขึ้นอีก ดีว่าหน้าโรงแรมมีร้านขายเสื้อผ้าสำเร็จรูป ชุดไทย ชุดชาวเขา ไทยสมัยใหม่ ไทยโบราณ มีหมดเลยต้องไปซื้อกัน พี่ชอด้วย เอาไปจากบ้านใส่ไม่ได้ ได้ผ้าฝ้ายทอด้วยมือร้อนน้อยกว่าผ้าไหมซับในนะ ผ้าโพกผมไม่ต้องโพกแล้ว แค่ผ้าห้อยคอก็ร้อน เอาออกเอาพาดพับหลาย ๆ ชั้นให้ผืนไม่ใหญ่นัก ให้เป็นไทยแท้ดั้งเดิมแบบเมืองเหนือ

    เพื่อสมมุติเหตุการณ์ตอนที่กองทัพไทนกู้ชาติจากขอมดำ โดยพระเจ้าพรหมมหาราชเป็นผู้นำ เมื่อรบชนะไทยเป็นอิสระภาพมีความสุขจึงได้ฉลองชัยชนะ เมื่อครั้งที่หลวงพ่อท่านพาไปมีครั้งหนึ่งท่านบอกว่าพระท่านสั่งให้ฉลองชัยชนะหลังจากที่บวงสรวงเสร็จที่พระธาตุดอยตุง สั้งให้แต่งชุดแดง ที่ไม่มีชุดแดงเพราะรู้ก่อนเพียง 1 วัน เมื่อบวงสรวงที่พระธาตุจอมกิตติ จึงต้องไปซื้อผ้าแดงยกไม้เลย ตัดเป็นผ้าโพกหัวกันทุกคน หัวแดงเต็มลานพระธาตุดอยตุง และสั่งให้เอาหม้อหุงต้มเตาไฟเพื่อจะได้ทำอาหารเลี้ยงกันด้วย

    เมื่อบวงสรวงเสร็จก็เอาหัวหมู ไก่ ข้าวสารที่กระถางธูปใส่ในหม้อต้มใบใหญ่แล้วกินกันทั่วทุกคนโดยเติมรวมไปกับข้าวกล่องที่แจกกันกินมื้อกลางวันนั้นเป็นที่สนุกเบิกบานยิ่ง

    ปีนี้รู้ล่วงหน้าเป็นเดือนถึงพิธีกรรม จึงแต่งกายสวยงามพร้อมทั้งเครื่องประดับ เพื่อแสดงถึงความมั่งคั่งเกษมศรีทั้งหญิงชาย อยู่ดีกินดีมีความสุขเรียกว่า "ตัดไม่ข่มนาม" เพราะใกล้สงครามใหญ่จะเกิดขึ้นแล้ว (ที่เขียนนี้กุมภาพันธ์ 2540)

    ถึงแม้สงครามกู้ชาติไทยจะผ่านไปเกือบสองพันปีแล้วก็ตาม เราก็รู้ได้โดยพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านพระราชพรหมยาน หรือหลวงพ่อท่านฤๅษีลิงดำแห่งวัดท่าซุง ท่านบอกว่าพวกเราโดยเฉพาะที่ไปทำพิธีที่บนพระธาตุดอยตุง หรือพระธาตุจอมกิติเกือบทุกคนเคยเกิดในสมัยนั้น

    เมื่อมาเกิดสมัยนี้อีกหากเราจะประสบกับภัยที่จะเกิดขึ้น หรือจะทำให้ยากจนลง เราก็จะสามารถแก้ไขให้บรรเทาเบาบางลงไปได้บ้าง

    เมื่อพระเจ้าพรหมจะยกทัพไปรบกับขอม ท่านก็แต่งเครื่องประดับอย่างสวยงามทั้งแม่ทัพนายกองและทหารทั้งหลาย เป็นการแสดงความมั่นใจในชัยชนะเพื่อข่มขวัญข้าศึก หรือตัอไม้ข่มนาม

    ดีว่าข้าพเจ้า พี่ชอ คุณเนียร คุณสุธีตัดสินใจถูก คือไปกราบก่อนดีกว่า รู้แน่ว่าวันจริงคือเสาร์ที่ 18 มกราคม 2540 รถจะติดมากจอดกันยาวเหยียดคนก็จะต้องลงเดินเป็นกิโล ๆ เห็นว่าเดิน 2 กิโล

    เมื่อวันจะกลับถามเด็ก ๆ ว่าเป็นไงเหนื่อยมากไหม เขาตอบว่าเหนื่อยค่ะแต่คุ้มมากเลย ชื่นใจจริง ๆ เด็กรุ่นนี้คือรุ่นท่านพระครูปลัดอนันต์ ก็เก่งใจสู้ไม่แพ้สมัยหลวงพ่อท่านเหมือนกัน ยิ่งนานวันก็ดูเหมือนจะเพิ่มมากขึ้น ๆ


    ประวัติพระธาตุดอยตุง
    หลวงพ่อท่านเล่าให้ฟังและมีในหนังสือเรื่องฤๅษีทัศนาจรภาคเหนือ ท่านบอกมีผู้มาบอกท่าน (ผู้ที่ตายแล้ว) ว่าสมัยพระเจ้ามังรายมหาราชเสวยราชสมบัติได้ 37 ปี คือตั้งแต่ พ.ศ.100 ถึง พ.ศ.137 จึงสวรรคตเมื่อพระชนมายุได้ 89 พรรษา แล้วมีการสืบสันตติวงศ์ต่อมาจนถึงสมัยพระเจ้าพังคราช ผู้เป็นพระราชบิดาของพระเจ้าพรหมมหาราช

    โดยนับตั้งแต่พระเจ้าสิงหนวัติผู้เป็นต้นวงศ์ มาจนถึงพระเจ้าพังคราชรวมทั้งสิ้น 37 รัชกาล ในเวลานั้นมีพระอรหันต์มาก พระราชาทุกพระองค์เป็นผู้ทรงธรรมไหว้พระสวดมนต์กันตลอดเวลา

    ท่านเล่าไว้สมัยที่ไปบวงสรวงที่พระธาตุดอยตุงเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ.2521 ผู้ที่ได้มโนมยิทธิแล้วท่านให้ดูด้วย ตอนนั้นท่านสอนมโนมยิทธิครึ่งกำลังเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน 2521 ท่านให้ดูและบันทึกให้ท่านด้วย

    ข้าพเจ้ามีเรื่องยาวจึงอัดเทปถวายท่าน เคยลงในหนังสือธัมมวิโมกข์เล่มไหนลืมแล้ว ครั้งนั้นพวกเราได้มโนมยิทธิใหม่ ๆ จึงอยากรู้อยากเห็นมาก รู้แล้วบางอย่างก็ดีใจ บางอย่างก็เศร้าใจน้ำตาไหล

    หลวงพ่อท่านก็ว่า "ลูกบางคนน้ำตาไหล บางคนมีการสะอื้น บางคนซึม" พ่อคิดว่าความรู้สึกของลูกเวลานั้น คงจะพบกับสภาพความเป็นจริงที่เรามีส่วนร่วมในการบูชาพระบรมสารีริกธาตุบนดอยตุง ซึ่งพระเจ้าอชุตราชและพระเจ้ามังรายมหาราชนำมาบรรจุไว้ในเจดีย์ที่ลูกเห็นอยู่เวลานี้เป็นเจดีย์ที่เขาสร้างขึ้นภายหลัง

    สำหรับเจดีย์องค์เดิมอยู่ภายในเป็นทองคำทั้ง 2 องค์ และในเจดีย์ทองนั้นบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ที่กษัตราธิราชเจ้าทั้ง 2 พระองค์คือพระเจ้าอชุตราชพระราชบิดา กับพระเจ้ามังรายมหาราช ราชโอรส นำมาบรรจุที่นี่

    การบูชาคราวนั้นเป็นงานยิ่งใหญ่มาก ขณะนี้ลูกบางคนมีอำนาจธรรมปีติ ที่เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายท่านไปอยู่นิพพาน มีความสุข

    ฉะนั้นอารมณ์ของลูกทั้งหลาย จงอย่าให้มีอารมณ์เป็นทุกข์ มีอย่างเดียวคือ "ธรรมสังเวช" ธรรมสังเวช ตอนที่เราเลวเกินไป จะว่าเลวเกินไปก็ไม่ถูกเพราะการบรรลุธรรมต้องอาศัยความดีพอสมดวร เขามีกำหนดเวลา เช่นสาวกภูมิต้องบำเพ็ญบารมีมาแล้ว 1 อสงไขยกำไรแสนกัป เป็นต้น แต่พวกเราย่องมาถึง 16 อสงไขย กับแสนกัป แล้ว

    ก็แสดงว่าเราดีบ้างทำถูกบ้าง ทำผิดบ้างเป็นของธรรมดา การผิดในกาลก่อนถือว่าเป็นครู

    ในสมัยนี้ชาตินี้อย่าให้ผิดต่อไป

    หลวงพ่อท่าน และหลวงปู่วงศ์ ได้ทำพิธียกฉัตรเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2520 หลวงปู่วงศ์ เป็นผู้จัดหาฉัตรมาสวมยอดพระเจดีย์ ท่านได้บรรจุพระธาตุข้าวไว้ในนั้นด้วย

    มีพวกเรา 10 กว่าคนเท่าที่จำได้ มีพี่ชอ คุณเนียร คุณแอ๊ยุพดี จักษุรักษ์ ข้าพเจ้า พี่เหม่เลิศลักษณ์ ศรีสิงหสงคราม เอ๊าะอายุธ นาครทรรพ เด็กหนุ่ม นั่งรถตู้ไปรับหลวงปู่ที่วัดจามเทวี ลำพูนนอนที่กองพันสัตว์ต่างเชียงใหม่ 1 วัน รุ่งขึ้นเช้าไปเชียงรายนอนที่วัดเม็งราย ถึงวัดเม็งรายเย็นแล้วฝนตกอีกด้วยจึงทำอะไรไม่ได้ รุ่งขึ้นอีกวันคือวันที่ 4 พ.ค. 2520 จึงทานข้าวแต่เช้านำฉัตรและบายศรีเครื่องบวงสรวงขึ้นดอยตุง โดยเปลี่ยนรถเป็นรถ 2 แถวเจ้าถิ่นนำขึ้นไป เพราะรู้และชำนาญทาง ทางยังขรุขระฝุ่นตลบไปหมด ทางแคบด้วยขึ้นลงชันมากกว่านี้เวลารถลงเขาเขาจะขับเร็วมากเพื่อจะได้มีกำลังส่งเมื่อรถขึ้นเขา ดีว่าข้าพเจ้านั่งรถคันเดียวกับหลวงปู่วงศ์ จึงไม่กลัวเท่าไร

    ถึงวัดเชิงดอยตุง หลวงปู่วงศ์ นั่งไหว้ตั้งนาน แล้วหาพะองคือ บันไดที่เป็นไม้ไผ่ยาว ๆ ต้นเดียวแล้วเจาะรูเอาไม้เสียบเล็ก ๆ พอเหยียบขึ้นไปได้ หาและทำที่นั่นแหละ แล้วเอาขึ้นรถไปถึงยอดดอย ใกล้ ๆ จะถึงสูงชันคนต้องเดินรถพาขึ้นไม่หมด ถึงเจดีย์แล้ว หลวงปู่ ก็ขึ้นบันไดเองถึงยอดเจดีย์ เป็นว่ายอดตันไม่มีรูให้เอาฉัตรเสียบได้

    ผู้ชายจัดการทางเจดีย์ ผู้หญิงข้าพเจ้า พี่ชอ คุณเนียร ประกอบบายศรีทำด้วยกระดาษทองข้าพเจ้าทำเองที่บ้านใส่ปี๊ปไป กระทงก็ระดาษทองหมด ดอกไม้ก็ใช้ดอกไม้แห้งประดับตัวบายศรี ส่วนกระทงเอาดอกไม้สด จัดไม่ทันเสร็จดีพวกผู้ชายบอกลงไปก่อน ฉัตรใส่ไม่ได้ ต้องไปหาช่างทำเป็นหมวกสวมเอา

    ถึงเชียงรายมืดแล้ว ช่างเหล็กก็แน่ทำทั้งคืน เช้ามืดคณะล่วงหน้าไปก่อนตื่นแต่เช้ามืดไปรับหมวกที่เขาทำฉัตรติดไว้ขึ้นดอยตุง จัดการไม่ทันเสร็จคณะหลวงพ่อท่านก็ไปถึง จึงช่วยกันใหญ่

    หลวงปู่มหาอำพัน บุญ-หลง วัดเทพศิรินทร์ ไปพร้อมหลวงพ่อท่าน ได้เอาทองคำเปลวไปติดฉัตร และแบ่งให้ข้าพเจ้า พี่ชอ ได้ติดด้วย ขณะที่พวกผู้ชายเอาฉัตรปีนขึ้นไปติดบนยอดเจดีย์ อากาศเป็นใจคือลมพัดเอาก้อนเมฆมาบังวิวข้างล่างไม่ให้เห็นความสูงจากยอดเจดีย์ลงไปที่เชิงเขา ไม่ต้องกลัวความสูง สวมฉัตร และห่มผ้าเจดีย์ 2 องค์เรียบร้อยแล้ว

    หลวงพ่อท่านทำพิธีบวงสรวงแล้วนำเดินเวียนเทียนรอบเจดีย์ด้วย คณะหลวงพ่อท่านเสร็จแล้วกลับเลย คณะล่วงหน้าไปก่อนกลับทีหลัง คือนอนที่วัดเม็งรายอีก 1 คืน

    รุ่งขึ้นไปส่งหลวงปู่ชัยวงศ์ ที่วัดท่าน อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน

    หลวงปู่เอาบายศรีกระดาษทองไว้บูชาที่วัดท่าน นอนที่นั่นอีก 1 คืน จึงได้กลับกรุงเทพฯ ด้วยความเป็นปลื้มสุดขีด

    เห็นรูปเจดีย์พระธาตุดอยตุงมีฉัตรสวยงามที่ไหน ก็นึกปลื้มใจมากทุกครั้ง ว่าเราได้ร่วมทำด้วย

    หลวงพ่อ ท่านบอกว่าการยกฉัตรพระธาตุดอยตุงกับพระธาตุจอมกิติ นั้น เพื่อแก้เคล็ดหรือป้องกันไม่ให้คอมมูนิสต์หรือต่างชาติยึดครองแผ่นดินของเราได้

    จึงรอดปลอดภัยเป็นไทยจนทุกวันนี้
     
  14. tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,564
    ค่าพลัง:
    +53,107
  15. NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    445
    ค่าพลัง:
    +1,160


    วันนี้ช่วงสายๆใกล้เที่ยงจะเกิดปรากฏการณ์สุริยุปราคาบางส่วน(ไม่เต็มดวง)ขึ้น ชนิดเต็มดวงจะเกิดขึ้นที่บ้านเราอีกราวๆ ๕๐ ปีข้างหน้า ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อปี ๒๕๓๘ จำได้ว่าครั้งนั้นตื่นตัวกันมาก มีการประชาสัมพันธ์กันอย่างดี ไม่ว่าทางด้านวิทยาศาสตร์ที่มีการให้ความรู้ แนะนำวิธีการชมปรากฏการณ์ และสถานที่ที่สามารถชมแบบเต็มดวงได้

    ในด้านไสยศาสตร์(ขอใช้คำนี้เพื่อให้ทุกคนเข้าใจได้ง่าย)ก็ไม่น้อยหน้าพระเกจิอาจารย์ต่างๆ ก็เตรียมปลุกเสกวัตถุมงคล พระราหู กันแทบทุกสำนัก เพราะการเกิดแบบเต็มดวงนี้นานหลายสิบปีจะมีสักคนบางคนชั่วชีวตก็สามารถดูได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น งานนี้ผู้นิยมในของขลังจึงตั้งตารอกันมาก

    บ้านผมเองก็วางแผนไปชมกันที่บึงบระเพ็ด จ.นครสวรรค์ ซึ่งเป็นจุดนึงที่เขาแนะนำไว้ว่าจะเห็นได้แบบเต็มดวง และไม่ผิดหวังจริงๆ ปรากฏการช่วงที่สวยที่สุดคือช่วงก่อนที่พระอาทิตย์จะดับลงจะเกิดแสงแว๊บขึ้นเป็นแสงสุดท้ายส่องว๊าบออกมาเป็นประกายเจิดจ้าเหมือนหัวแหวนเพชร จากนั้นพระอาทิตย์จะดับลง และอาจได้เห็นโคโรนาของดวงอาทิตย์ด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะเดียวเท่านั้น

    จากนั้นเราก็ขึ้นไปเที่ยวเชียงใหม่กันต่อ หลังจากกลับมาบ้านได้ไม่นานพ่อก็เกิดเป็นงูสวัดขึ้น ปกติเขาจะเป็นกันรอบเอว แต่ของพ่อผมเป็นที่จมูก แล้ววนมาที่ปากแล้ววกเข้าหู สร้างความเจ็บปวดทรมานอย่างมาก อาการเจ็บปวดจะเป็นพักๆ ไม่ได้ปวดตลอด แต่เวลาที่มันกำเริบขึ้นมาพ่อทรมานจนตัวเกร็งเลยทีเดียว ช่วงแรกเราไปทำการรักษาที่คลินิก ซึ่งเป็นของอาจารย์หมอ ที่เชี่ยวชาญทางด้านโรคผิวหนัง แต่ก็เอาไม่อยู่ จึงเข้าไปรักษาที่โรงพยาบาลเพราะมีหมอประจำของพ่ออยู่





    ทางโรงพยาบาลได้ให้หมอเฉพาะทางมาดูแลร่วมกับหมอประจำตัวพ่อ โดยคุณหมอได้อธิบายให้ฟังว่าโรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัส ตัวเดียวกับอีสุกอีใสนั่นแหละ เมื่อเป็นโรคนี้แล้วเชื้อมันยังอยู่ วันดีคืนดีที่ร่างกายอ่อนแอมันก็สำแดงฤิทธิ์ขึ้นมาโดยเข้าไปเล่นงานระบบปลายประสาท ทำให้เจ็บปวดทรมาน
    การรักษากินเวลานานพอสมควร บางครั้งก็ต้องนอนโรงพยาบาล บางครั้งก็กลับมานอนบ้าน ความเจ็บปวดยังมีไม่หายไป พวกลูกๆเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจตามความเชื่อคนสมัยก่อนโรคนี้ต้องรักษาด้วยวิธีทางไสยศาสตร์ด้วย พี่ชายคนโตผมก็พาอาจารย์หมอดูที่เขานับถือมา แกว่าแกมีตำราโบราณ ผูกเลขผูกดวงทำน้ำมนต์ ตามตำราโบราณ เอามารดมารักษา พี่ชายคนรองพาหมอพื้นบ้านมารักษาด้วยสมุนไพรฝนกับฝาละมี ละลายด้วยเหล้าขาว อมแล้วพ่นใส่แผล ต่างคนต่างก็ทำกันเต็มที่

    ช่วงนั้นใครว่าอะไรดีก็ลองกันไปเพราะสงสารพ่อ ไม่รู้ว่าจะได้ผลหรือเปล่าแต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย ผมปล่อยให้พี่ๆได้ลองวิธีต่างๆจนเวลาผ่านไปสมควรแล้วอาการก็ยังไม่ดีขึ้น ผมจึงเห็นว่าควรลองวิธีของผมบ้างตอนนั้นเป็นเวลาต้นเดือนที่ทางวัดท่าซุงลงมารับสังฆทานพอดี ผมจึงบอกพ่อว่าจะไปทำสังฆทานให้พ่ออนุโมทนาแล้วก็ซื้อน้ำมันชาตรีกลับมาด้วย กลับมาถึงบ้านช่วงบ่ายผมก็อาราธนาบอกกล่าวตามวิธีแล้วก็ทาให้พ่อ

    หลังจากทาน้ำมันให้พ่อแล้วเราก็ไม่รู้ว่าผลจะเป็นอย่างไร จากบ่ายถึงเย็น จากเย็นถึงค่ำก็ไม่มีอะไร ทุกคนก็แยกย้ายเข้านอน ราวๆตี ๔ อยู่ดีๆ แม่ก็ขึ้นมาปลุกทุกคนให้ตื่น บอกพ่อให้เรียกทุกคนลงไป พอพร้อมหน้ากันแล้ว พ่อก็บอกว่า เมื่อกี๊หลวงพ่อฤาษีมาหา บอกว่าให้อยู่อีก๑๐ พอได้ยินคำว่าหลวงพ่อฤาษีมา ผมขนลุกซู่เลย ทุกคนถามพร้อมกันว่า ๑๐ อะไร พ่อบอกว่าไม่รู้ จากนั้นก็คุยกันอยู้อีกสักพัก ทุกคนเห็นว่าการฝันเห็นหลวงพ่อน่าจะเป็นเรื่องดี

    และก็ดีจริงๆ เพราะหลังจากนั้นอาการของพ่อก็ดีวันดีคืนและหายจากโรคนี้ในที่สุด เมื่อหายดีแลัวก็ระลึกถึงหลวงพ่อจึงขึ้นมากราบท่านที่วัดท่าซุงกัน หลังจากที่ถวายสังฆทานเสร็จ อ.ยกทรง(ตอนนั้นท่านยังอยู่) ก็ทักทายไต่ถามว่าเรามาจากไหนกัน ก็เลยเล่าเรื่องทุกอย่างให้ท่านฟัง อยู่ๆพ่อที่นั่งมองรูปบานใหญ่(รูปนั่งโซฟา) ข้างๆบุษบกพระศพหลวงพ่อ ก็เอะอะขึ้นว่า "หลวงพ่อขยับมือ!!!!!" พวกเราก็ถามว่าอะไรนะ พ่อก็บอกว่าเมื่อกี๊เห็นรูปหลวงพ่อขยับมือได้




    อ.ยกทรง ได้ฟังก็ชอบใจ บอกว่ารูปนี้เขาเห็นอัศจรรย์กันมากมาย บางคนเห็นขยับได้ บางคนเห็นหลวงพ่อเดินออกมาจากรูปด้วยซ้ำ แล้วแต่วาสนาบารมี พระท่านจะสงเคราะห์ให้เห็น

    หลังจากนั้นพ่อผมก็ดำรงชีวิตเรื่อยมา จนมาเสียชีวิต ในปี ๒๕๔๗ เป็นเวลา ๙ ปี ใกล้เคียงกับที่หลวงพ่อบอกว่าให้อยู้อีก ๑๐ นับเป็นเรื่องมหัศจรรย์มากๆ



     
  16. NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    445
    ค่าพลัง:
    +1,160



    คำอธิษฐานปีใหม่
    โดยหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง

    ผู้ถาม : ที่หลวงพ่อบอกว่า ให้นั่งหน้าพระพุทธรูปแล้วอธิษฐานว่า ความรวยจงปรากฏ มันเป็นอย่างไรครับ ?

    หลวงพ่อ : ล้อ " เจ้าขวัญ " มันว่า ถ้าอยากรวยก็เอาแบบนี้ซิ ๕ ทุ่ม ๔๕ นาทีใกล้ๆจะ ๖ ทุ่มใช่ไหมเล่า ก็ไปนั่งหน้าพระพุทธรูป บูชาพระ นึกถึงพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ เทวดา และพรหมทั้งหมด ครูบาอาจารย์ ผู้มีคุณทั้งหมด บูชาท่านขอลาภ

    'ขอให้ความซวยทั้งหมด ความยากจน จงไปกับปีเก่า
    แล้วความรวย ความดี ความโชคดี จงมากับปีใหม่ '


    หลังจากนั้นก็ ภาวนา คาถาเงินล้าน เรื่อยๆไป พอนาฬิกาตีเป๊ง..ขึ้นปีใหม่ " ขอให้ความซวย จงหายไปพร้อมกับปีเก่า ฉันต้องการความรวย จากปีใหม่ "

    ผู้ถาม : อ๋อ....หลวงพ่อพูดกับ ขวัญ เหรอ ?


    หลวงพ่อ : ใช่

    ผู้ถาม : แล้ว ลูกๆหลานๆ ที่ไม่ใช่ขวัญ จะได้ไหมครับ ?


    หลวงพ่อ : ก็มีขวัญนี่ ลองก้มหัวดู คนไหนไม่มีขวัญทำไม่ได้ ความจริงไม่ต้องรอดึกก็ได้ ถึงวัด ถึงบ้าน อาบน้ำ สวดมนต์ไหว้พระ ก็อธิษฐานก่อนนอนเลยก็ได้ ไม่ต้องรอถึงเวลานั้น

    คำอธิษฐานได้ผล


    ผู้ถาม : กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง เมื่อคืนวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๓๑ นี้ ลูกได้ทำตามคำแนะนำของหลวงพ่อที่อธิษฐานว่า " ความซวยจงหมดไป พร้อมกับปีเก่า และขอความร่ำรวย จงมาพร้อมกับปีใหม่ ๒๕๓๒ นี้ " ปรากฏว่าวันนี้การค้าของลูกคล่องตัว ลูกอยู่ในโอวาท (แหม..นี่แกคงจะดีใจว่า ลูกอยู่ในโอวาทนะ) หากลูกจะอธิษฐานอย่างนี้ทุกคืนๆ ไป จะผิดกฏที่เทวดาเขาสงเคราะห์อยู่ในเวลานี้หรือเปล่าเจ้าคะ ?


    หลวงพ่อ : ดีมาก ถ้าทำตามนั้นนะ จะดีมากเลย จะมีการทรงตัว เงินจะเหลือใช้ เอาทุกวันดีกว่า ไม่ใช่ทำวันเดียว

    ผู้ถาม : อ๋อ..ยิ่งว่าบ่อยๆ ยิ่งดีหรือครับ


    หลวงพ่อ : ใช่ ทำเป็นสมาธิแบบนั้น ก็ไม่ต้องใช้เวลาใกล้ ๒ ยาม เวลาไหนก็ได้ที่เราเห็นสมควร ที่ว่าใกล้ ๒ ยาม เพราะปีเก่าจะไป ปีใหม่จะมา เวลานี้เป็นเวลาของปีใหม่ ก็ใช้ได้ทุกเวลาตามที่ชอบใจ นั่นดีมากนะ ต่อไปจะรวยใหญ่ เมื่อทุกคนรวยใหญ่ ฉันก็สบายใจ สร้างวัดอีก ๑๐ วัด (หัวเราะ)

    ผู้ถาม : นี่ก็เป็นผลดีแก่แม่บ้านนะ มีผัวอยู่ในโอวาท เอ..ถ้าผู้ชายว่าบ้าง ลูกเมียจะอยู่ในโอวาท หรือเปล่าครับ ?


    หลวงพ่อ : เราอยู่ในโอวาทเขา เขาก็อยู่ในโอวาทเรา " วันทโก ปฏิวันทนัง " ผู้ไหว้ย่อมได้รับการไหว้ตอบ " ปูชา ลภเตปูชัง " ผู้บูชาย่อมได้รับการบูชาตอบ ในเมื่อเราอยู่ในโอวาทเขา เขาก็อยู่ในโอวาทเรา

    ที่มา : (จากหลวงพ่อตอบปัญหา ธัมมวิโมกข์ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๒)


    **************

    คาถาเงินล้าน
    (ตั้ง นะโม 3 จบ )

    • สัมปะจิตฉามิ นาสังสิโม
    • พรหมา จะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ (คาถาปัดอุปสรรค)
    • พรหมา จะ มหาเทวา อภิลาภา ภะวันตุเม (คาถาเงินแสน )
    • มหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันตุเม (คาถาลาภไม่ขาดสาย)
    • มิเตพาหุหะติ (คาถาเงินล้าน)
    •พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย วิระโคนายัง วิระหิงสา
    วิระทาสี วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัสสะ มานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม

    (คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า)
    • สัมปะติจฉามิ (คาถาเร่งลาภให้ได้เร็วขึ้น)
    • เพ็ง ๆ พา ๆ หา ๆ ฤา ๆ


    ( บูชา ๙ จบ ตัวคาถาต้องว่าทั้งหมด)
     
  17. NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    445
    ค่าพลัง:
    +1,160


    สวัสดีปีใหม่เพื่อนๆสมาชิกทุกท่านครับ ห่างหายไปหลายวันเพราะเดินทางไปทำบุญไหว้พระที่เชียงรายมา ทริปนี้ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากเจ้าบ้าน @tee_tores ต้องขอขอบคุณมากๆ มีโอกาสก็คงจะได้ขึ้นไปเยือนกันอีก

    ขอบารมีแห่งองค์พระธาตุดอยตุงได้โปรดปกปักรักษา เพื่อนๆสมาชิกทุกท่านให้มีความสุขความเจริญยิ่งๆขึ้นไป จะนึกหวังสิ่งใดก็ขอให้สำเร็จเสร็จสมประสงค์จงทุกประการเทอญ


    ปล. รายละเอียดทริปเชียงรายจะนำมาลงหลังจากเสร็จทริปวัดท่าซุงนะครับ จะได้จบเป็นทริปๆไป
     
  18. tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,564
    ค่าพลัง:
    +53,107
    เชียงรายยินดีตอนรับเสมอครับผม

     
  19. tee_tores กะยิราเจ กะยิราเถนัง สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    19,564
    ค่าพลัง:
    +53,107
    มะอะอุ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา พุทโธ พุทโธ
     
  20. NiponSuwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2018
    โพสต์:
    445
    ค่าพลัง:
    +1,160

แชร์หน้านี้