(คัดลอกบางตอนจาก หนังสือ ประวัติวัดท่าซุง และหลวงพ่อพระราชหรหมยาน หน้า ๔๗ )
โดย พระบุญมา ปภาธโร เจ้าหน้าที่ธัมวิโมกข์ พิมพ์ สิงหาคม ๒๕๔๙
..ฯลฯ...ผลในเรื่องความสะอาดของจิตนี้ มีเรื่องยืนยันจากเจ้าหน้าที่ศูนย์ศิปาชีพท่านหนึ่ง ซึ่งเดินทางมาร่วมอุปสมบทหมู่ถวายพระราชกุศลฯ ที่วัดท่าซุง ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ เจ้าหน้าที่ท่านนี้ปฏิบัติภารกิจอยู่ภาคใต้ ญาติให้พระมาพกติดตัว ๑ องค์ เพราะความเป็นห่วงที่สถานการณ์ไม่ค่อยปกติ ปรากฏว่าก่อนเดินทางมาบวชประมาณ ๓ วัน ได้ถูกผู้ร้ายดักยิงจนรถมอเตอร์ไซด์ล้มลง เจ้าหน้าที่ท่านนี้คิดว่าตนเองคงต้องตายแน่ เพราะผู้ร้ายได้มายืนจ่อยิงอีกหลายนัด แต่ไม่เข้าเลยสักนัดเดียว ทำให้เกิดความมั่นใจและนึกด่าผู้ร้าย ปรากฏว่าหลังจากนึกด่า ถูกผู้ร้ายยิงซ้ำอีก ๑ นัด ลูกปืนทะลุเข้าฝังอยู่ใต้ผิวหนัง ภายหลังแพทย์ได้ลงความเห็นว่าสามมารถเดินทางมาบวชก่อนได้เพราะไม่เป็นอันตราย หากผ่าตัดเอาลูกปืนออกจะต้องรักษาแผลหลายวัน เจ้าหน้าที่ท่านนี้เมื่อมาบวชที่วัดท่าซุง ได้เล่าเหตุการณ์ให้พระพี่เลี้ยงฟัง และได้นำพระที่ห่อกระดาศทิชชูพกอยู่เพียงองค์เดียวมาให้ดู จึงทราบว่าพระที่พกอยู่นั้นเป็นพระคำข้าวของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุงนี้เอง
เรื่องอานุภาพพระคำข้าว-พระหางหมาก
(คัดลอกบางตอน จากหนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่ม ๓ หน้า ๒๖๖ )
เกล้ากระผม ได้บูชาพระหากหมาก และพระคำข้าวของหลวงพ่อ ไปเมื่อกลางปี พ.ศ. ๒๕๓๔ จะเป็นวันเดือนใดจำไม่ได้ ได้เอาพระคำข้าว และพระหางหมาก และเหรียญของหลวงพ่อ มอบให้ลูกเขยคนเล็กชื่อ อนันต์ ... อยู่บ้านเลขที่ ๑๘๒๐ ซอยสุขศรีเฉลิมพจน์ ถนนกรุงเทพ-นนท์ เขตดุสิต กรุงเทพฯ แกเอาพระคำข้าวและพระหางหมาก เหรียญของหลวงพ่อติดตัวไป และวางไว้หน้ารถแท็กซี่ ในขณะขับไป บังเอิญเด็กวิ่งตัดหน้ารถ เบรกไม่ทัน รถแท็กซี่ได้ชนกับเด็ก กระเด็นไป ๔-๕ วา กระโปรงหน้ารถยนต์ฉีก และได้อุ้มเอาเด็กขึ้นรถไปโรงพยาบาล ขอให้แพทย์ช่วยตรวจ และเอ็กเรย์ให้ ปรากฏว่าหมอบอกว่าไม่มีอะไรผิดปกติ จะฟกช้ำดำเขียว ถลอกก็ไม่มี นี่เป็นที่น่าอัศจรรย์รถชนขนาดนี้ไม่มีเหลือสักราย หรือมิฉะนั้นก็ป่วยหนักเสียสุขภาพ นี่กลับไม่เป็นอะไรเลย ก็เพราะบุญของหลวงพ่อได้คุ้มครองป้องกัน และเมื่อให้หมอตรวจดูปลอดภัยแล้ว ลูกเขยก็นำขึ้นรถกลับบ้าน และมอบเงินบำรุงขัวญ ๒,๐๐๐ บาท (สองพันบาทถ้วน) แจ้งให้ผู้ปกครองทราบ และก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งนี้เพราะอำนาจศักดิ์ของพระคำข้าว และพระหางหมาก และเหรียญหลวงพ่อคุ้มครอง
เรื่อง อานุภาพพระคำข้าว-พระหางหมาก
(ของคุณเพียร ...คัดลอกจากหนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่ม ๓ หน้า ๔๑๘-๔๑๘...)
..เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๒ ก็ได้เดินทางไปทำงานอยู่ที่ประเทศบาห์เรน ต้นปี ๒๕๓๔ ก็เกิดมีสงครามในอ่าวเปอร์เซีย แต่ก่อนที่จะทำสงคราม ก็รู้ล่วงหน้าว่า กองทัพอเมริกันต้องบอมบ์ซัดดัมแน่ คนไทยในบารห์เรนกลับกันเยอะ ชาวต่างชาติก็หนีกลับบ้านเมืองของตนเองเกือบหมด ข้าพเจ้าอดที่จะหวั่นไหวไม่ได้ เขาลือกันว่าบาห์เรนจะต้องจมทะเลถ้าอิรัคเข้ายึกซาอุฯ ได้ เพราะว่าบาห์เรนเป็นเกาะเล็กๆ และมีทางออกทางเดียวคือทางที่จะไปซาอุฯ คือระหว่างประเทศบาห์เรนกับซาอุฯ นี้ จะมีสะพานในทะเล เชื่อมถึงกันยาวกี่กิโลข้าพเจ้าไม่ทราบ แต่ว่านั่งรถไปใช้เวลา ๑ ชั่วโมง ก็ถึงเขตของประเทศซาอุฯ และช่วงสงครามนั้น สนามบินก็ปิด ข้าพเจ้ามาอยู่ที่บาห์เรน ก็ไม่ได้ทิ้งกรรมฐานที่หลวงพ่อสอนไว้ และข้าพเจ้าก็ได้ขึ้นไปถามสมเด็จว่า ข้าพเจ้าจะได้รับภัยจากสงครามครั้งนี้ไหม พระองค์ท่านก็ตอบว่าไม่มี แต่ข้าพเจ้ายังมีกิเลสอยู่มาก ก็อดสงสัยไม่ได้
ข้าพเจ้าก็เลยอธิษฐานขอบารมีหลวงพ่อว่า ถ้าลูกจะได้รับอันตรายจากภัยสงครามครั้งนี้ ก็ขอให้หลวงพ่อดลใจให้ลูกคิดอยากจะกลับบ้านด้วยเถิด ความรู้สึกในตอนนั้นข้าพเจ้าไม่รู้สึกกลัวภัยสงคราม และไม่อยากกลับบ้านเลย พออธิษฐานขอบารมีหลวงพ่อแล้ว ก็มีความรู้สึกเหมือนเดิมคือไม่อยากกลับบ้าน ข้าพเจ้าก็เลยไม่ได้กลับ ในระหว่างสงครามทุกคืน จะมีสัญญานหวอเตือนภัยดังขึ้น เวลาที่หวอดังนั้นก็ไม่เป็นเวลาคือบางทีก็หัวค่ำ บางทีก็สี่ห้าทุ่ม บางครั้งตอนกลางวันก็ยังมี ประชาชนที่เดินอยู่ตามถนน เมื่อได้ยินเสียงหวอดังขึ้น ทุกคนจะพยายามวิ่งหาที่หลบ ที่คิดว่าปลอดภัย โดยทางรัฐบาลบาห์เรนเขาได้สอนให้ประชาชนทุกคน รู้ถึงวิธีป้องกันตัวอย่างไร จึงจะพ้นจากสารพิษที่อิรัคจะยิงมา ทุกคนกลัวกันมาก เรื่องสารพิษ แต่พวกลูกๆ ของหลวงพ่อไม่กลัวกันเลย เพราะลูกๆ ของหลวงพ่อทุกคน มี พระหางหมาก ติดตัวกันทุกคน และเมื่อฝ่ายอิรัคยิงระเบิดมาซาอุฯ หรือบาห์เรนเมื่อใด ก็จะมีเสียงหวอเตือนภัยให้ประชาชนได้ทราบ ข้าพเจ้าคิดแต่เพียงว่า ถึงคราวที่จะต้องตาย ไม่มีใครช่วยข้าพเจ้าได้ ข้าพเจ้าพร้อมที่จะตายทุกเวลา แต่ถ้ายังไม่ถึงคราวตายแล้ว องค์หลวงพ่อช่วยข้าพเจ้าได้แน่ ข้าพเจ้าก็เกิดความอบอุ่นใจไม่รู้สึกกลัวอะไรเลย
อีกทั้งข้าพเจ้าเคยได้ยินหลวงพ่อพูดว่า อิทธิฤทธิ์ใดๆ ก็ไม่เท่าอิทธิฤทธิ์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ข้าพเจ้ายึดพุทโธเป็นที่พึ่ง ถ้าจะตายก็ตายพร้อมพุทโธ กลางวันเขาก็ทำสงครามกันภาคพื้นดิน กลางคืนเขาก็ทำสงครามกันทางอากาศ ฝ่ายอิรัคเขาก็ยิงมาที ๒-๓ ลูก หวังจะบอมพ์บาห์เรน แต่ก็ถูกทหารอเมริกันยิงสกัดเอาไว้ได้ ลูกระเบิดก็จะระเบิดกลางอากาศ แล้วก็กระจายตกทะเลไปหมด แต่ก็มีบางครั้ง ที่อิรัคยิงมาหลายลูก ทางทหารอเมริกันสกัดได้ไม่หมด ก็ลงบาห์เรน แต่ไปลงในทะเลทราย พอสงครามสงบลงบาห์เรนปลอดภัยไม่เป็นอะไร ข้าพเจ้าคิดว่าช่วงสงครามสองเดือนกว่าๆ นั้น บาห์เรนไม่น่าจะรอดมาได้ แต่ด้วย อานุภาพพระคำข้าว-พระหางหมาก และองค์หลวงพ่อ บาห์เรนถึงปลอดภัยมาได้ เพราะลูกหลานอยู่ที่บาห์เรนมีไว้บูชากันทุกคน ยิ่งช่วงสงครามพากันปลุกพระทุกวัน คนที่ไม่เคยปลุกพระก็ปลุกพระเป็นไปกับเขาด้วย และก็ไม่มีใครทุกข์ใจเกี่ยวกับภัยสงครามเลย
อานุภาพพระมหาลาภคำข้าว
(คุณสมศรี ... ลูกศิษย์บันทึกเล่ม ๓ หน้า ๕๗๕ )
เมื่อเดือนสิงหาคม ๒๕๓๔ หลังจากข้าพเจ้าเปิดร้านแห่งใหม่ที่ท่าพระ ได้ไม่ถึงเดือน ก็รู้จักเซลส์แมน ของบริษัทขายเสาอากาศคนหนึ่ง คนนี้ตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยห้อยพระที่คอเลย เป็นคนไม่ค่อยได้มาทางธรรม แต่พอพูดคุยกับข้าพเจ้า ก็รู้สึกชอบพระที่ห้อยคออยู่ (หลวงพ่อมหาลาภคำข้าวปิดทองอย่างหนาทั้งองค์เลี่ยมทองคำอย่างดี) เขาถาม ข้าพเจ้าก็เลยได้บรรยายสรรพคุณของพระมหาลาภ รวมทั้งยกตัวอย่างที่หลวงพ่อท่านเล่าบ้าง ที่ลงธัมวิโมกข์บ้าง ตอนจะกลับ เขาก็ขอพระมหาลาภไปหนึ่งองค์ ข้าพเจ้าก็ได้ให้เลือกไปเองหนึ่งองค์ (ตอนเปิดร้านใหม่ ข้าพเจ้าทำกล่องบรรจุพระมหาลาภไว้แจก เป็นของขัวญแก่ทุกท่านที่มาร่วมงาน มีบางคนมาขอซ้ำแล้วซ้ำอีกหลายองค์) เขาบอกว่านี่เป็นพระองค์แรกที่จะเลี่ยมห้อยคอ
อีกหนึ่งเดือนต่อมา เขาก็มาหาอีก คราวนี้ข้าพเจ้ากำลังยุ่งอยู่ เขาก็ขอเวลานอก ๒-๓ นาที เขาเล่าเรื่องให้ฟังว่า พอได้พระก็รีบไปเลี่ยมมาห้อยคอทันทีพร้อมทั้งโชว์ให้ดูอีกด้วย พอห้อยพระได้ ๒-๓ วันก็เกิดเรื่อง คือเขาขี่มอเตอร์ไซด์ไปถนนวิภาวดีรังสิต ถึงหน้าโรงเรียนตำรวจสอนสุนัข ก็มีรถเก๋งโตโยต้าวิ่งตัดหน้า ตนเองต้องหักหลบ รถคว่ำหลายตลบ ตนเองลอยละลิ่วไถลไปบนพื้นถนน กางเกงขาดหมด ผู้คนหวีดร้องลั่นไปหมด เขาคิดว่าไม่รอดแน่ๆ ไม่หัวโหม่งพื้นก็ถูกรถแล่นทับตายแน่ๆ ปรากฏว่ารถเก๋งวอลโว่ เบรคตัวโกร่งพราะวิ่งมาด้วยความเร็วสูง มาจอดตรงหน้า โดยกันชนรถห่างหน้าเขาแค่คืบเดียวเท่านั้น เขาบอกว่ารอดตายคราวนี้ เพราะหลวงพ่อสมเด็จพระมหาลาภคำข้าวแท้ๆ ส่วนแผลที่ขาเมื่อซื้อยามาทาไม่กี่วันก็หาย อุบัติเหตุคราวนี้ได้เงินมา ๓๐๐ บาท จากคนขับรถวอลโว่ เพราะเขาไม่มีสตางค์เป็นแค่ลูกจ้าง (คนขับรถเท่านั้น) อีก ๒๐๐ บาทต้องเอาไปจ่ายค่าปรับ เนื่องจากจอดรถผิดที่ในที่ห้ามจอดของโรงพัก (ตนเองบาดเจ็บ รถก็ไม่ค่อยสมบูรณ์ จากอุบัติเหตุ) เหลืออีก ๑๐๐ บาท คนขับรถวอลโว่บอกให้ไปซื้อยามาทาบาดแผลก็แล้วกัน แต่ร้อยเวรบอกว่า อย่าเลยเอาไปซื้อสังฆทานถวายพระเพื่อสะเดาะเคราะห์ดีกว่า เพราะคุณน่ะมีเคราะห์ร้ายจริงๆ ! ...