อาการทรยศเจ้าของ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Tboon, 24 กันยายน 2014.

  1. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    เมื่อรู้ธรรมหมดแล้ว แต่ยังกลับออกนอกลู่นอกทางได้
    ไปทางหมอผี หมอทรง ทำนายทายทัก ประมาท
    เพลิดเพลิน หลงในความรู้ อาการเหล่านี้มีอยู่จริง
    ครูบาอาจารย์บางท่านเรียกว่า "อาการทรยศเจ้าของ"
    จะแก้ยากหน่อย เพราะติดรู้มาก มีเหตุมีผลมาก ๆ จึงดื้อมาก
    ที่จริงก็หลงยึดมั่นถือมั่นในสังขารขันธ์อยู่นั่นเอง

    ความรู้อะไรก็ตาม ท่านให้วางความยึดถือเสียทั้งหมด
    อย่าไปยึดมั่นถือมั่น นั่นมันอุปาทานขันธ์ทั้งนั้น
    ว่าโดยย่อ อุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เป็นตัวทุกข์
    รู้ทุกข์ก็ให้วางทุกข์ รู้ธรรมก็ให้วางธรรม

    แต่ไม่ใช่วางธรรมเพื่อกลับไปเมาโลกนะ
    นั่นไม่ใช่รู้ธรรมแล้ววางธรรม
    เป็นแค่เมาธรรม แล้วหลงกิเลส ก็จะทำได้ทุกอย่างเหมือนกัน

    ดังนั้น เจริญสติ มีโยนิโสมนสิการ ตระหนักรู้ตรงนี้ด้วยก็จะดีไม่น้อยเลยทีเดียว
     
  2. ิ์Fist of the North Star

    ิ์Fist of the North Star เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    564
    ค่าพลัง:
    +385
    ถ้าเห็นอริยสัจ เห็นอนิจสัญญา ก็ไม่เป็นอย่างนั้นแล้วน่ะครับ
     
  3. ใจของกาย

    ใจของกาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2014
    โพสต์:
    693
    ค่าพลัง:
    +213
    ปกติ เขาไม่ได้เรียกกันแบบนี้ นี่นา ทำไมพูดให้ยุ่งยากมากความล่ะ
    แค่พูดว่า อาการของคนลืมตัว ก็เข้าใจละ

    โห ทรยศเจ้าของ เข้าใจพูดเน๊าะ
     
  4. ใจของกาย

    ใจของกาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2014
    โพสต์:
    693
    ค่าพลัง:
    +213
    ชื่อกระทุ้ เหมือนน้อยใจ อยากทวงคืนอะไรสักอย่าง

    พิรี้พิไรใจจดจ่อขอทวงกลับ
    อยากลาลับแต่จิตคิดผูกหมาย
    อยากจบสิ้นดินฟ้าลาทิ้งกาย
    แต่ใจยังหมาย สิ่งใด เกินจบลง
     
  5. ใจของกาย

    ใจของกาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2014
    โพสต์:
    693
    ค่าพลัง:
    +213
    ใจเจ้าหมายสิ่งใดวานใจบอก
    อย่าได้นอกเกินกายในสิ่งหวัง
    ทำในสิ่งเป็นไปได้ตามกำลัง
    อย่าคิดชังเมื่อรู้ว่าเธอลืมตน
     
  6. ใจของกาย

    ใจของกาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2014
    โพสต์:
    693
    ค่าพลัง:
    +213
    การลืมตนล้วนมีได้ในตัวสัตว์
    ถ้าไม่ขจัดอวิชชาพาให้หลง
    ทุกข์หลั่งไหลกระหน่ำมาปลงไม่ลง
    อยากพ้นทุกข์คง ทำได้ทางเดียว ปั๊ดเหนี่ยวอวิชชา
     
  7. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    หายตัวได้ดีทีเดียวครับ
    ตามอ่านแล้วชวนให้ขำมากกว่าเครียดด้วยซ้ำ
    แต่ว่าใครใจไม่ถึงอย่าได้คิดเลียนแบบน้าจรเชียว
    เป็นธรรมะในเชิงท้าทายกิเลส สไตล์นี้ก็มีอยู่จริงเหมือนกัน
    สำคัญที่ ถ้ามีตัวก็หายตัวให้ทันก็พอ จบข่าว. :d
     
  8. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    " ไก่ยกตีนงู งูยกนัมไก่ "
     
  9. ใจของกาย

    ใจของกาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2014
    โพสต์:
    693
    ค่าพลัง:
    +213
    ...........อมนุษย์นิวรณ์ เลยไม่เข้า (ใจ)
    ว่าทำไม คนอื่นเขา รู้เรื่องจัง

    พอนิวรณ์ อ่านบ้าง ทำหน้านิ่ว
    ขมวดคิ้ว รับไม่ได้ เล่นใจสั่น
    นั่นก็ผิด นี่ก็ผิด ผิดทั้งนั้น
    เพราะว่ามัน ไม่ถูกใจ ในนิวรณ์

    ไม่ถูกใจ หรือไม่เข้าใจ กระไรแน่
    รู้สึกแย่ คนอื่นหลง ทางแล้วนั่น
    อมนุษย์นิวรณ์สิ รู้แน่กว่า รู้ดีกัน
    เพราะว่าฉัน นิวรณ์นั้น อ่านมาเย๊อะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะ.....จำมาเย๊อะะะะะะะะะะะะะ กว่าใครใคร อิอิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กันยายน 2014
  10. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ครูบาอาจารย์ท่านเคยเล่าให้ผมฟังว่า
    มีโยมอยู่คนนึง แกเป็นคนเก่ง รู้ธรรมดี รู้เยอะ
    แกก็มาสนทนาธรรมกับท่าน พลางก็คิดว่า
    ตัวเองได้บรรลุธรรมระดับใดระดับหนึ่งแน่นอน

    ทีนี้คุยไป ๆ อัตตามันขึ้น หน้าดำคร่ำเครียดเลย
    เริ่มเถียงอย่างจริงจังมากขึ้น เพราะเชื่อว่าที่ตัวเองรู้มานั้นไม่ผิดแน่ ๆ
    แกไม่เห็นความหลงยึดมั่นถือมั่นในความรู้ตรงนั้นเลย
    คงมีหลุดปรามาสท่านอาจารย์ออกมาด้วย

    สุดท้าย ท่านอาจารย์ท่านพูดออกมาคำนึงว่า
    บรรลุธรรมอะไรแบบไหน ทำไมยังด่าพระอยู่เลย
    เล่นเอาแกอึ้งไปเลยเหมือนกัน คงจะไปโดนกิเลสในใจเข้า
    ตอนหลังเห็นท่านชมว่า ตอนนี้ไปได้ดีแล้ว

    ผมว่ามันเป็นตัวอย่างที่ดีอย่างหนึ่งเลย "คนดีจริงเขาไม่ด่าพระนะ"
     
  11. ใจของกาย

    ใจของกาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2014
    โพสต์:
    693
    ค่าพลัง:
    +213
    คนดีจริง เขาไม่ด่าพระ นะจริงหรือ
    ที่ยกมา มันก็คือ สองคนคุยกันนั่น
    พระกับโยม เขาถกเถียง ปัญญากัน
    ว่าตัวฉัน ฉันนั้นเก่ง เก่งกว่าอีกคน

    ถามว่าถ้า คนสองคน ด่ากันหรือ
    ถ้าด่าคือ ด่าอัตตา ในตนนั่น
    ไม่ได้ด่า ความเป็นพระ คลุมเหลืองนั้น
    เขาด่ากัน เอาอัตตา มาช่วงชิง

    เขาด่ากัน ทำไมคิด ว่าเขาด่า
    ถ้าเขาว่า เขาพูดถูก ใจดำฉัน
    เขาพูดถูก ว่าเขาด่า ทำไมกัน
    ถูกผิดนั้น ให้รู้ตน คนรู้ตัว
     
  12. ใจของกาย

    ใจของกาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2014
    โพสต์:
    693
    ค่าพลัง:
    +213
    ถ้าพระจริง จะเข้าใจ ว่าไม่ด่า
    คนทุกคน ล้วนกล่าวว่า ตักเตือนได้
    อย่าถือตน เป็นพระ ดีกว่าใคร
    ถ้าดีจริง คิดได้ไง เขาด่าคุณ

    แค่อัตตา กับอัตตา มาคุยกัน
    ใครยึดมั่น กว่าใคร รู้เห็นยิ่ง
    ตัวต่อตัว หน้าต่อหน้า ท้าความจริง
    ไม่มีสิ่ง ปิดบัง กันและกัน
     
  13. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    เมื่อก่อนนี้ผมก็เคยเป็นนะ ตัวเก่งมันขึ้นแล้วดูไม่ทัน
    เห็นหลงเห็นว่างแล้วจิตใจมันอาจหาญมาก ซ่ามาก
    เพราะคิดว่า มันชนะใจตัวเองได้ เอาชนะกิเลสได้
    ก็บุกตะลุยท่องยุทธภพ เพลิดเพลิน ฟาดฟันกับเขาไปทั่ว

    ครูบาอาจารย์ท่านว่า พวกนี้รู้มาก เจริญปัญญาได้อรูปฌาน
    อาศัยอยู่กับความว่าง เหมือนกับไม่มีอะไรติดข้องอีกแล้ว
    แต่ที่จริงมันขาดญาณไปตัวนึง คือญาณเห็นทุกข์
    ขาดการอนุโลมปฏิโลมจนเห็นทุกข์ที่แท้จริง
    พวกนี้จะขาดความละเอียดอ่อนรอบคอบ
    หนัก ๆ เข้าก็ขาดคารโว นิวาโต สันตุฏฐี
    เพราะมัวแต่ไปตื่นเต้นกับปัญญาอรูปอันนั้นเอง
    แค่นี้ผมก็ร้องอ๋อ แทงทะลุถึงหัวใจเลย
    มันยังไม่เห็นอริยสัจจ์จริงนั่นเอง จบข่าวเลย

    แค่เล่าให้ฟังครับ วิบากกรรมเบาบาง
    ธุลีในดวงตาน้อย ก็พอจะรับฟังด้วยดีได้ :)
     
  14. ใจของกาย

    ใจของกาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2014
    โพสต์:
    693
    ค่าพลัง:
    +213
    เช่นกันเช่นเดียวกัน และ เช่นกัน
    คุณเห็นมัน คุณรู้มัน แทงข้างหลัง
    ทะลุอก ทะลวงใจ ตายดับพลัน
    ก็เพราะมันคือ ความหลง หลงในตน

    ญาณเห็นทุกข์ ที่คุณว่า หาไช่อื่น
    มีดาษดื่น บอกให้รู้ ดูก็เห็น
    เขียนคำโต เขียนตามป้าย อ่านกันเป็น
    คำที่เห็น คือคำว่า กฏแห่งกรรม
     
  15. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ ก็เป็นอย่างนั้นแหละ เพียงแต่ "ตอนนั้น ยังไม่พร้อมเท่านั้นเอง"
    +++ ดูแค่ "ตรงนี้ก็พอแล้ว"

    +++ ใช่แล้วครับ "ยังอ่านอาการของการมีสักกายทิฏฐิไม่ขาด" ข้างบนนั้นเป็นข้อความ "จากกระทู้เก่า" ที่เราเคย "สนทนากันนิดหน่อย" ส่วนกระทู้นี้ ผมแค่ "ผ่านทางมาเฉย ๆ"

    +++ ยินดีด้วยครับ หาก "วิบากกรรมเบาบาง ธุลีในดวงตาน้อย พอจะรับฟังด้วยดีได้" ก็ลองระลึกถึง "การสนทนาในกระทู้นี้ดู" นะครับ

    http://palungjit.org/threads/ผู้ไม่เข้าไปหาย่อมหลุดพ้น.521470/page-2#post8667443
     
  16. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ขอบคุณครับสำหรับคำชี้แนะต่าง ๆ ทราบในเจตนาดีของท่าน
    รู้สึกโปร่งเบาสบายเมื่อได้อ่านข้อความของท่าน
    บ่งบอกให้รับรู้ว่า สภาวะจิตผู้โพสต์มามีความละมุนละไมดี
    แต่ก็คล้ายมีสภาวะร้อนปนอยู่เหมือนกัน
    ไม่ทราบว่าเป็นด้วยอำนาจกสิณหรืออย่างอื่นนะครับ ไม่ขอเดา

    มีคำถามอันนึง อยากเรียนถามท่านธรรมชาติ
    กรณีของนักไต่เชือกครับ นักไต่เชือกทำอย่างนั้นโดยไม่รู้สึกกลัวตาย
    ทำได้หลายครั้งหลายครา หลายสถานที่ด้วย
    แบบนี้หมายความว่า เขาผ่านการทดสอบเรื่องการละสักกายทิฏฐิไหมครับ
    เพราะอันนั้นเขาแสดงจริง เมื่อเทียบกับที่ท่านบอกคือให้กำหนดจินตนาการเอา
    เพราะต่างก็มีการเตรียมตัวพร้อมสำหรับการวัดใจทั้งสองสถานการณ์ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,814
    ค่าพลัง:
    +15,099
    ขอร่วมตอบด้วยคนครับ

    อันว่าความรักตัวกลัวตายนั้นเป็นสัญชาตญาณเดิมของทุกสรรพชีวิตอยู่แล้ว
    ในกรณีนี้น่าจะเป็นความตั้งมั่นแห่งจิตอันเกิดจากสมาธิ บดบังสักกายทิฎฐิมากกว่าครับ

    อีกนัยหนึ่งเพราะเจตนาเขามิได้มุ่งหวังเพื่อละกิเลส แต่มุ่งหวังความสำเร็จจากการเดินไปสู่จุดหมายอีกฟากหนึ่งเท่านั้นเองครับ
     
  18. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ความสงสัยทำให้วิ่งค้นหา
    ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ก็เพื่อแก้เพื่อคลายความสงสัย
    ไปสวรรค์ไปพรหมไปนิพพานก็เพื่อแก้
    เพื่อคลายความสงสัย ให้ตั้งมั่นอยู่ในคุณงามความดี
    และไม่ติดใจอะไรกับสิ่งเหล่านั้นอีก ยกเว้นมีวิบาก เพลินต่อ
    กายใจมีความกังวลน้อย มันก็ง่ายต่อการมีสัมมาทิฏฐิ
    สติตรง สมาธิชอบ เห็นตามความเป็นจริง เจริญในมรรค มีโยนิโสมนสิการ
    เหตุปัจจัยพร้อม ถึงเวลา มันก็ค่อย ๆ ละความเห็นผิดไปได้เอง
    ผมเห็นอย่างนี้นะ
     
  19. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,814
    ค่าพลัง:
    +15,099
    "เมื่อใดความจริงปรากฎแก่พราหมณ์ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้นความสงสัยย่อมหมดสิ้นไป"

    ความสิ้นสงสัยในสภาวะของการเกิดดับ เป็นเหตุให้เกิดนิพพิทา เมื่อเบื่อหน่ายจึงคลายกำหนัด เมื่อคลายตัณหาเป็นสมุทเฉทปหานะแล้ว จึงรู้ เมื่อจิตถึงความเป็นผู้รู้แล้วจึงไม่กลับมาเกิดมาทุกข์อีก ข้าพเจ้าพิจารณาเห็นทางดำเนินทำนองนี้ครับ แต่ติดตรงที่จิตยังมีอาลัยอยู่!
     
  20. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ มันเป็น "ความตรง" (อุชุ) บางคนสัมผัสตรงนี้เข้า ก็จะรู้สึกบ้างนิดหน่อย (หลวงปู่มั่น มีมากกว่าผมอีก ลองดูรูปท่านซิ)

    +++ เรื่องของ "นักไต่เชือก" นั้น มีความสัมพันธ์กับ "กายานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน" มาก แต่เน้นไปทาง "สมถะ" เต็มที่

    +++ การ map จิตที่ใกล้เคียงที่สุด น่าจะอยู่ที่ "การเดินจงกรม กับ รางรถไฟ" (เพื่อความเข้าใจง่าย ของส่วนรวม)

    +++ เด็กที่เคย เล่น เดินกับรางรถไฟ ในขณะเดิน "จิตจะอยู่ที่กาย เท่าเทียมกันทั้งตัว" ไม่ได้อยู่กับ "ทิวทัศน์รอบข้าง หรือ ที่เท้าเพียงอย่างเดียว" (ผู้ที่เคย "เล่น" ตรงนี้ได้สำเร็จ จะเข้าใจได้ชัดเจน)
    +++ หากใครเคย เดินเล่น ตรงนี้มาก่อน ก็จะรู้ได้ว่า กายส่วนหนึ่งใดขยับ "สัญชาติญาณ" จะทำการปรับตัวให้ถ่วง Balance โดยธรรมชาติของตัวมันเอง
    +++ ทิวทัศน์ (รูปภาพ รูปธรรมทั้งหมด) จะเป็นแบบ "แค่ลืมตาก็เห็นเอง แต่ปราศจาก อาการดู" และ "ความระมัดระวังแบบ เกินเหตุ รวมถึง เรื่อง เป็น-ตาย จะไม่ปรากฏในจิต ในขณะนั้น ๆ"

    +++ อาการทั้งหมดนี้ ไม่เกี่ยวกับการละ "สักกายะทิฐิ" แต่เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับ "กายานุสติ ที่เป็น ฌาน" และผลลัพธ์จาก ฌาน โดยตรง รวมทั้งเป็นการ "อยู่ใน อัตตา อย่างมีสติ เต็มที่" ภาษาที่น่าจะตรงตัวที่สุด น่าจะเป็น "เอาทิฐิที่ เต็มไปด้วยสติ เข้าไปอยู่ใน สักกายะ แบบเต็ม ๆ" แต่ภาษาแบบนี้ คงเป็นที่ บันเทิงใจของ พระมหาทั้งหลายแน่ ๆ

    +++ ส่วนที่ผมให้ "กำหนดจินตนาการ เอาของแหลมเข้ามา ทิ่ม ที่อัตตาจิตนั้น" ก็เพื่อ "ชี้ให้ทราบว่า พ้นจาก สักกายะทิฐิ" ตามความเข้าใจแล้วหรือไม่
    +++ ตรงนี้ "เป็นวิธีพิสูจน์เฉย ๆ" แต่ไม่ใช่วิธีที่ "นำเอาไปปฏิบัติ" แบบเดียวกับ "เอามิเตอร์ไปวัดค่าไฟ แต่เอาไป เดินสายไฟไม่ได่" นั่นแหละครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...